Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e -bookปิโตรเลียม

e -bookปิโตรเลียม

Published by ชัชฎาภรณ์ คงงาม, 2021-10-16 09:01:03

Description: e -bookปิโตรเลียม

Search

Read the Text Version

ปิโตรเลยี มและผลิตภณั ฑ์ ปิโตรเลียม เป็นพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลเกิดเองตามธรรมชาติ เกิดจากการทับถมและแปร สภาพของซากส่ิงมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ในช้ันหินใต้ผิวโลกภายใต้ส่ิงแวดล้อมที่เหมาะสม ปิโตรเลียม สารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอนมีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักคือ ไฮโดรเจน คาร์บอน ปิโตรเลียม มี 3 สถานะ คอื ของแข็ง ของเหลว และ กา๊ ซ ปัจจุบนั ความตอ้ งการพลังงานมมี ากขนึ้ กิจกรรมประจาวัน ตา่ งๆ ตอ้ งอาศยั พลงั งาน แหล่งพลงั งานท่ีมนษุ ย์พงึ่ พาอาศัยมากท่ีสดุ คือ พลงั งานจากปิโตเลียม ความหมายของปิโตรเลียม ปิโตร เลียม มีร าก ศัพ ท์มาจาภาษาละตินว่ า เพ ทร า แปลว่ า หิน และ คาว่ า โ อ ลิ อุม แปลว่า น้ามัน ความหมายของปิโตรเลียมคือ น้ามันที่ได้มาจากหิน โดยจะไหลซึมออกมาเองในรปู ของ ของเหลวหรอื ก๊าซ ปิโตรเลียม เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากซากสิ่งมีชีวิตทั้งพชื และสัตว์ท่ีสะสมทับถมอยู่ กับตะกอนดินท้ังบนบกและในทะเลเม่ือหลายล้านปีก่อน ภายใต้สภาวะที่มีก๊าซออกซิเจนน้อย ซากส่ิงมีชีวิต เหลา่ นีจ้ ะถูกแบคทีเรียและเชอ้ื ราเปลย่ี นสภาพเปน็ อินทรียวัตถุ เมือ่ เวลาผ่านไปบริเวณดังกล่าวจะค่อยๆ ทรุด ตัวหรือจมลงภายใต้ผิวโลกลกึ มากขน้ึ และจากแรงกดทเ่ี พมิ่ มากขึ้นเนอ่ื งจากน้าหนักของช้ันตะกอนท่ีทับถมอยู่ ด้านบน ตลอดจนอุณหภูมิที่สูงขึ้น มีผลทาให้อินทรียวัตถุแปรสภาพเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่ง เรยี กว่า ปโิ ตรเลียม ปิโตรเลียม เป็นแหล่งพลังงานที่สาคัญโดยเฉพาะการใช้เป็นเชื้อเพลิงในการคมนาคมขนส่ง และใน ภาคอตุ สาหกรรมต่างๆ รวมท้ังการผลติ กระแสไฟฟา้ และใชเ้ ปน็ วตั ถุดิบตา่ งๆ ในอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมี การค้นพบปโิ ตรเลยี ม เมือ่ ศตวรรษท่ี 19 มีการค้นพบว่า หนิ นา้ มนั สามารถนามากล่ันเพ่ือเอาน้ามนั มาใช้กับตะเกยี งและ ให้ความสว่างได้ การแสวงหาแหล่งน้ามันโดยการขุดเจาะได้เกิดข้ึนอย่างมากมายในหลายทวีปกว่า 60 ประเทศทวั่ โลก ในช่วงแรกของการขุดพบและนานา้ มันดิบข้นึ มาใชไ้ ด้กนั อยา่ งไม่ระมดั ระวงั ในการสูญเสีย ทา ให้เกิดการสูญเสียผลิตภัณฑ์อื่นท่ีเป็นผลพลอยได้จากการขุด เช่น ก๊าซธรรมชาติ เม่ือมีการขูดน้ามันมาใช้ อย่างมากมาย ทาให้ปริมาณน้ามันดิบในธรรมชาติลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว จึงได้มีการคิดค้นเพ่ือนา ผลิตภัณฑ์อืน่ ๆ ท่ีเป็นผลพลอยไดจ้ ากการขดู นา้ มนั ดิบมาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ การสารวจแหล่งปิโตเลียมอาจทาไดโ้ ดยการศึกษาจากลักษณะของหนิ ใต้พ้นื โลกว่ามีสมบัติในการเกิด ปิโตรเลียมหรือไม่ โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ ข้อมูลทางธรณีวิทยาผลจากการศึกษาจะ ช่วยให้คาดคะเนได้ว่าจะมีโอกาสพบแหล่งที่สามารถกักเก็บปิโตรเลียมในบริเวณนั้นๆ ปัจจุบันมีเครื่องมือ สาหรับตรวจสอบข้อมูลทางธรณีวิทยา เช่น เครื่องมือวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือน ซ่ึงจะส่งคลื่นไหว สะเทือนลงสู่ใต้ผิวโลกเพื่อให้ไปกระทบกับโครงสร้างของหินและสะท้อนกลับมายังเครื่องรับคลื่นเสียง คลื่น

สะท้อนกลับมาจะแตกต่างกันตามสภาพหินที่ไปกระทบ แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาวเิ คราะห์และแปลผลเป็นข้อมลู เกยี่ วกับโครงสรา้ งของหนิ จะทาให้ทราบวา่ แหลง่ นั้นจะมีปโิ ตรเลยี มหรอื ไม่ การกาเนดิ ของปโิ ตรเลยี ม ปโิ ตรเลยี มมีต้นกาเนดิ มาจากสารประกอบอินทรยี ์ทง้ั พชื และสัตว์ ท่สี ะสมปะปนกับตะกอน จาพวกคารบ์ อเนตซึ่งจะตกตะกอนสะสมตัวอยู่ภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มท่ีมพี ลังงานตา่ และขาดแคลนออกซิเจน ตามบรเิ วณแอง่ บนพ้นื ผิวโลกท้ังบนบกในทะเล หลงั จากทีต่ ะกอนสะสมตัวและทับถมฝงั จมลงในแอง่ ตะกอน เปน็ เวลาล้านปี จะเกดิ การเปลย่ี นแปลงภายใต้อิทธิพลของความร้อนและความกดดนั จากภายในโลก ตะกอน ก็จะเปล่ียนแปลงไปเป็นหินตะกอน ส่วนสารประกอบอินทรยี ท์ ่รี ะเหยหรือละลายน้าไดก้ ็จะถกู ขับออกไปจาก หนิ ตะกอน เหลือแตส่ ารประกอบไฮโดรคารบ์ อนท่เี ปน็ ของแขง็ เรยี นกวา่ คีโรเจน (Kerogen) ซึ่งถือวา่ เป็นสารต้นกาเนิดของปิโตรเลียม แหลง่ สะสมของปโิ ตรเลยี ม 1) โครงสร้างรปู โค้งประทุนควา่ เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ทาให้ช้ันหินมรี ูปร่างโค้งคล้ายกระทะคว่าหรือ หลังเต่านา้ มนั และก๊าซจะเคลอ่ื นเขา้ ไปรวมตัวกนั อยใู่ นสว่ นโคง้ ก้นกระทะ โดยมีชน้ั หินเนอื้ แน่นปดิ ทับอยู่ 2) โครงสรา้ งรปู ประดบั ช้นั สามารถเกิดขน้ึ ไดห้ ลายรปู แบบขน้ึ อยู่กับการเปลี่ยนแปลงของผวิ โลกในอดีต ชัน้ หินกักเก็บน้ามนั จะถูกลอ้ มเปน็ กะเปาะอยรู่ ะหว่างชั้นหินเนื้อแนน่ 3) โครงสร้างรูปรอยเล่ือน เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ทาให้ชั้นหินเคล่ือนไปคนละแนว การท่ีน้ามันและ ก๊าซ ถูกกักเก็บอยู่ได้ เพราะมีชั้นหินเนื้อแน่นเลื่อนมาปิดช้ันหินที่มีรพู รุนทาให้น้ามันและก๊าซถกู กกั เก็บอยู่ใน ช่องทป่ี ิดกัน้ แหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทย แหลง่ ปโิ ตรเลยี มทพ่ี บในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 แหลง่ ดังนี้ 1. แหล่งปิโตรเลียมบนบก แหล่งปิโตรเลียมบนบกอยใู่ นบริเวณภาคเหนือและภาคกลาง เป็นแหล่งน้ามันขนาดเลก็ ประกอบดว้ ย 1. แหลง่ ฝาง บริเวณอาเภอฝาง จังหวัดเชยี งใหม่ ปจั จุบนั มีอตั ราการผลติ น้ามนั ดิบ ประมาณ 1,000 บารเ์ รลต่อวัน 2. แหล่งสิริกติ ์ิ ทับแรต หนองมะขาม หนองตูม วัดแตน เสาเถยี ร ประดเู่ ฒ่า ปรอื กระเทยี มหนองแสง ทุ่งยางเมือง บึงหญ้า บึงม่วง บึงหญ้าตะวันตก บึงม่วงใต้ หนองสระ อรุโณทัย และ บูรพา อยู่ในพ้ืนท่ี อาเภอลานกระบือ จังหวัดกาแพงเพชร อาเภอคีรีมาศ อาเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และอาเภอบาง ระกา จังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันมีอัตราการผลิตน้ามันดิบ ประมาณ 30,000 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซ ธรรมชาติท่ผี ลิตข้นึ มากับน้ามันดบิ ประมาณ 25 ล้านลกู บาศก์ฟตุ ต่อวนั

3. แหลง่ วิเชียรบุรี ศรเี ทพ นาสนุ่น นาสนุ่นตะวนั ออก บอ่ รงั เหนอื วเิ ชยี รบุรสี ่วนขยายและ L 33 อยู่ ในพ้ืนที่อาเภอวีเชยี รบุรี และ อาเภอศรีเทพ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ ปัจจบุ ันมีอตั ราการผลติ นา้ มันดิบประมาณ 2,200 บาร์เรลต่อวัน 4. แหลง่ อู่ทอง สงั ฆจาย บงึ กระเทยี ม และ หนองผักชี อยู่ในพ้ืนทีอ่ าเภอเมอื ง และอาเภออู่ทอง จังหวดั สพุ รรณบรุ ี ปัจจุบันมอี ตั ราการผลิตนา้ มนั ดิบประมาณ 350 บารเ์ รลตอ่ วนั 5. แอ่งกาแพงแสน อยใู่ นพื้นท่อี าเภอกาแพงแสน จงั หวัดนครปฐม ปัจจบุ นั มอี ัตราการผลติ น้ามันดบิ ประมาณ 500 บารเ์ รลต่อวัน แหล่งปิโตรเลียมบนบกอยู่ในบริเวณภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ปจั จุบัน มีแหล่งก๊าซธรรมชาติ 2 แหลง่ คอื 1. แหล่งก๊าซนา้ พอง บรเิ วณอาเภอน้าพอง จงั หวัดขอนแกน่ ปัจจบุ นั มีอัตราการผลิตกา๊ ซธรรมชาติ ประมาณ 15 ล้านลูกบาศกฟ์ ุตต่อวนั 2. แหล่งกา๊ ซสินภูฮ่อม บริเวณอาเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันมีอตั ราการผลติ ก๊าซ ธรรมชาติประมาณ 100 ล้านลกู บาศกฟ์ ตุ ต่อวนั และกา๊ ซธรรมชาติเหลวประมาณ 450 บาร์เรลตอ่ วนั ภาพท่ี 3.1 แหลง่ ปิโตรเลยี มบนบก ที่มา : http://www.mcot.net/site/content สืบคน้ เม่อื 5 มนี าคม 2558

2. แหลง่ ปโิ ตรเลียมในทะเลอ่าวไทย แหลง่ ปโิ ตรเลียมในทะเลอ่าวไทยมมี ากมายหลายแหลง่ มดี งั น้ี 1. แหลง่ จัสมนิ และบานเย็น ผลิตนา้ มนั ดบิ ประมาณ 12,000 บารเ์ รลต่อวนั 2. แหลง่ บวั หลวงผลติ นา้ มนั ดบิ ประมาณ 7,400 บารเ์ รลต่อวัน 3. แหล่งนางนวล (หยุดผลติ ชัว่ คราว) 4. แหลง่ สงขลา ผลิตนา้ มนั ดิบประมาณ 17,500 บารเ์ รลตอ่ วนั 5. แหล่งเอราวัณ บรรพต สตูล ปลาทอง และแหลง่ ไพลนิ ผลติ ก๊าซรวมกันประมาณ 1,640 ลา้ นลกู บาศก์ ฟุตตอ่ วนั กา๊ ซธรรมชาติเหลวประมาณ 53,800 บารเ์ รลต่อวนั และนา้ มนั ดบิ ประมาณ 30,000 บาร์เรลตอ่ วัน 6. แหลง่ ทานตะวัน เบญจมาศ ผลิตกา๊ ซธรรมชาติ ประมาณ 130 ล้านลกู บาศกฟ์ ตุ ต่อวนั และน้ามนั ดบิ ประมาณ 25,000 บารเ์ รลต่อวัน 7. แหลง่ บงกช ผลิตก๊าซธรรมชาติ ประมาณ 650 ล้านลูกบาศก์ฟตุ ตอ่ วัน และก๊าซธรรมชาตเิ หลว ประมาณ 21,000 บารเ์ รลต่อวนั 8. แหล่งอาทิตย์ ผลติ กา๊ ซธรรมชาติ ประมาณ 300 ล้านลูกบาศกฟ์ ตุ ตอ่ วัน และกา๊ ซธรรมชาติเหลว ประมาณ 11,500 บารเ์ รลต่อวัน ในเขตพื้นทที่ บั ซอ้ นกบั ประเทศมาเลเซีย ได้จัดต้ังองค์กรร่วมไทย-มาเลเซยี (Malaysia –Thailand Joint Authority : MTJA) เพอื่ แสวงประโยชน์ในแหลง่ ปิโตรเลยี มรว่ มกนั และเร่ิมผลติ ปิโตรเลียมตัง้ แต่เดอื น มกราคม พ.ศ. 2548 ในเดอื นมิถุนายน พ.ศ. 2555 สง่ ก๊าซธรรมชาติและกา๊ ซธรรมชาติเหลวเขา้ ประเทศไทยวนั ละประมาณ 760 ล้านลูกบาศกฟ์ ุต ภาพท่ี 3.2 แหล่งปโิ ตรเลียมในทะเลอา่ วไทย ทมี่ า : http://www.matichon.co.th/online สืบคน้ เมอ่ื 5 มนี าคม 2558

การสารวจหาแหลง่ ปโิ ตรเลยี ม เราสามารถทราบวา่ บรเิ วณใดใตผ้ วิ โลกมีแหลง่ กกั เก็บปิโตรเลยี มสะสมตัวอยู่โดยใชว้ ธิ กี ารสารวจ ปิโตรเลยี ม ซง่ึ แบง่ ออกเป็น 3 ข้นั ตอน คอื 1) การสารวจทางธรณีวิทยา 2) การสารวจทางธรณฟี ิสิกส์ 3) การเจาะสารวจ ขั้นท่ี 1 การสารวจทางธรณีวิทยา (Geological Explorations) เป็นการสารวจเบ้อื งตน้ ดา้ นธรณีวิทยาปิโตรเลียม เพอื่ หาลักษณะรูปแบบการวางตวั ของช้ันหนิ และ ชนิดของหนิ ในบริเวณทส่ี ารวจโดยอาศยั ขอ้ มูลจากภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถา่ ยดาวเทยี ม แผนทธี่ รณวี ทิ ยา รายงานทางธรณวี ทิ ยา และการเก็บตัวอยา่ งหนิ ในพื้นทสี่ ารวจ เพื่อนามาวิเคราะหห์ าองคป์ ระกอบการกาเนิด เป็นแหล่งกกั เกบ็ ปโิ ตรเลยี มได้แก่ หนิ ทมี่ ีสารอนิ ทรียต์ ้นกาเนิดปิโตรเลียมหนิ ที่มีสมบตั ใิ นการกักเกบ็ ปิโตรเลยี ม และโครงสร้างที่มแี นวโน้มว่าจะพบปิโตรเลยี มจากน้นั จึงจะมกี ารสารวจทางธรณฟี สิ กิ สต์ อ่ ไป ข้นั ท่ี 2 การสารวจทางธรณฟี ิสกิ ส์ (Geophysics Explorations) เปน็ การสารวจหาขอ้ มูลรปู แบบการวางตัวของชั้นหนิ ใต้ผิวโลกโดยอาศัยสมบัตทิ างกายภาพท่ีแตกต่าง กันของช้นั หินการสารวจทางธรณฟี ิสกิ สม์ ีหลายวธิ ีแตล่ ะวธิ มี ีวัตถปุ ระสงค์แตกตา่ งกันออกไป เช่น การวดั คลืน่ ไหวสะเทือน (Seismic Survey) การวัดค่าแรงดึงดดู ของโลก (Gravity Survey) เปน็ ตน้ ข้อมูลที่ไดจ้ ากการ สารวจทางธรณีฟสิ ิกส์ทาใหเ้ ราทราบขอบเขตของแอง่ สะสมตะกอนทางธรณวี ทิ ยา และลักษณะรปู แบบการ วางตัวของชัน้ หนิ ใตผ้ ิวโลก และถ้ามีแนวโนม้ ทจ่ี ะพบปโิ ตรเลยี มก็จะทาการเจาะสารวจต่อไป โดยทั่วไปการสารวจทางธรณีฟิสิกส์น้ันจะใช้วิธีการวัดคลื่นไหวสะเทือนซ่ึงมีความสาคัญในการ ตรวจสอบลักษณะและรูปแบบการวางตัวของช้ันหินใต้ผิวดิน โดยการทาให้เกิดสัญญาณคล่ืนเสียงโดยใช้วัตถุ ระเบิดหรือรถส่ันสะเทือน แล้ววัดระยะเวลาที่คล่ืนเดินทางจากจุดกาเนิดคลื่นถึงตัวรับคล่ืน ความเร็วคล่ืนจะ แปรผนั ตรงกับความหนาแน่นของชนั้ หิน กลา่ วคือ ช้นั หนิ ท่มี ีความหนาแนน่ ต่า มคี วามพรุนและมีของเหลวหรือ ก๊าซแทรกอยู่ คลื่นเสียงจะใช้เวลาในการเดินทางผ่านมากมายกว่าการเดินทางผ่านชั้นหินท่ีมีเน้ือแน่นแข็ง นอกจากนี้รอยเลื่อยและการโค้งงอของช้ันหินจะทาให้คลื่นท่ีเคล่ือนท่ีผ่านโครงสร้างดังกล่าวเกิดการหักเหได้ การแปลความหมายข้อมูลของคลนื่ ทไี่ ด้จากตวั รับคลน่ื จะทาให้ทราบถึงลกั ษณะ และรูปแบบวางตวั ของชั้นหิน ใตผ้ ิวดินท่ีระดบั ลึกได้

ข้ันที่ 3 การเจาะสารวจ (Drilling) เม่อื มีการสารวจทางธรณีวทิ ยา และการสารวจทางธรณฟี ิสกิ ส์ด้วยการวัดคลื่นไหวสะเทือนแลว้ จะได้ ข้ อ มู ล โ ค ร ง ส ร้ า ง ชั้ น หิ น ใ ต้ ผิ ว ดิ น แ ล ะ น า ข้ อ มู ล ดั ง ก ล่ า ว ม า พิ จ า ร ณ า ก า ห น ด ต า แ ห น่ ง ห ลุ ม เ จ า ะ ส า ร ว จ (Exploration well) การเจาะสารวจนใ้ี นเบอ้ื งตน้ จะเปน็ การเจาะเพอื่ พิสูจนว์ ่ามีปโิ ตรเลียมภายในแหลง่ กักเก็บ ปิโตรเลียมหรือไม่ นอกจากน้ันยังเป็นการนาตัวอยา่ งหนิ และตัวอย่างของไหลที่อยู่ในช้ันหินมาตรวจวิเคราะห์ เพ่ือหาข้อมูลอ่ืนๆ เช่น ชนิดและอายุของหิน โครงสร้างและการลาดับช้ันหินเป็นต้น และหากพบปิโตรเลียม ภายในแหล่งกักเก็บ ก็จะดาเนินการเก็บข้อมูลอื่นๆ ท่ีเก่ียวข้องกับแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมนั้นๆ เพ่ือนาการ ประเมนิ คณุ คา่ ทางเศรษฐกจิ ของแหล่งกักเกบ็ ปโิ ตรเลยี มดงั กล่าว และตดั สินใจว่าจะดาเนินการพัฒนาและผลิต ปิโตรเลยี มตอ่ ไปหรือไม่ ผลติ ภัณฑ์จาการกลัน่ ปโิ ตรเลียม น้ามันดิบหรือปิโตรเลียมส่วนมากมสี ีดาหรือสีน้าตาลมีสมบัติแตกต่างกันตามแหล่งท่ีพบ บางแหล่งมี ไขมัน บางแหล่งมียางมะตอยมาก ส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์บอนร้อยละ 85-90 ไฮโดรเจนร้อยละ 10-15 กามะถันร้อยละ 0.001-7 และออกซิเจนร้อยละ 0.001-5 นอกนั้นเป็นไนโตรเจนและโลหะอื่นๆ การนา น้ามันดิบมาใช้ประโยชน์จะต้องนาน้ามันดิบไปผ่านกระบวนการแยกสารอื่นๆ ที่ปนอยู่ออกก่อน แล้วจึงนา สว่ นท่ีเปน็ สารไฮโดรคาร์บอนไปกลน่ั แยกออกเป็นผลิตภณั ฑ์ ดังน้ี 1. การกลั่นปิโตรเลยี ม คอื การแปรเปลีย่ นสภาพนา้ มนั ดิบโดยการย่อยสลายสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีเป็นสว่ นประกอบ ของปิโตรเลียมออกเป็นกลุ่ม หรือออกเป็นส่วน ให้เป็นผลิตภัณฑ์สาเร็จรูปชนิดต่างๆ ตามความต้องการของ ตลาด กระบวนการกลั่น ท่ียุ่งยากและซับซ้อน น้ามันดิบในโรงกล่ันน้ามันนัน้ ไม่เพียงแตจ่ ะถูกแยกออกเป็น ส่วนตา่ งๆ เทา่ นน้ั แตม่ ลทินชนิดตา่ งๆ เชน่ กามะถนั ก็จะถูกกาจดั ออกไปอีก โรงกลั่นน้ามันอาจผลิตน้ามัน กา๊ ซ และเคมภี ัณฑท์ ่ีแตกตา่ งกันออกมาได้มากมายถงึ 80 ชนดิ กระบวนการกลั่นประกอบด้วย 1) การแยก หมายถึง การแยกสว่ นประกอบทางกายภาพของน้ามนั ดิบด้วยวธิ ีการกลนั่ ลาดับส่วน น้ามนั ดิบมากลัน่ ในหอกลั่น ซ่ึงน้ามนั ดบิ จะถูกแยกออกเปน็ น้ามันสาเรจ็ รปู ประเภทต่างๆ ตามชว่ งจุดเดือดท่ี ตา่ งกัน 2) การเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโมเลกุลเพื่อให้คุณภาพของน้ามันเหมาะสมกับ ความต้องการในการใช้ประโยชน์ 3) การปรับปรงุ คุณภาพ ผลติ ภัณฑท์ ่ีได้จากกรรมวธิ ีการกลน่ั ลาดับสว่ นและการเปล่ยี นโครงสร้างทางเคมียังมี คณุ ภาพท่ีไม่เหมาะสมกับการใชง้ าน ต้องมีการขจัดออกหรือการเติมกลิ่น การเติมสลี งไป

4) การผสม หมายถึง การนาน้ามันชนิดต่าง ๆ ที่ผ่านกรรมวธิ ีแล้วมาผสมตามสัดส่วนท่ีเหมาะสมเพอ่ื ใหไ้ ด้ ผลิตภัณฑส์ าเรจ็ รปู ตามมาตรฐานทกี่ าหนด เชน่ การผสมนา้ มนั เบนซนิ ใหไ้ ดค้ ่าออกเทนตามมาตรฐาน ผลติ ภัณฑท์ ี่ไดจ้ ากการกลั่นนามนั ดิบ 1) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือเรียกว่า ก๊าซหุงต้ม ใช้เป็นเช้ือเพลิงได้ดี เวลาลุกไหม้ให้ความร้อนสูงและมี เปลวสะอาดไม่มสี ีไมม่ กี ลน่ิ 2) เบนซิน น้ามันเชือ้ เพลิงเครอื่ งยนต์เบนซนิ หรอื เรยี กวา่ นา้ มันเบนซนิ ซึง่ มี 2 ชนดิ ตามคา่ ออกเทน คือ น้ามนั เบนซินธรรมดาออกเทน 91 น้ามันเบนซนิ พเิ ศษออกเทน 95 3) นา้ มนั เช้ือเพลงิ เครือ่ งบนิ ใบพัด หรือนา้ มนั เบนซนิ อากาศยาน มีการปรุงแตง่ คณุ ภาพให้มีคา่ ออกเทนสงู ข้ึน เพอ่ื ให้ไดก้ าลงั ขบั ดันมาก 4) น้ามนั เช้ือเพลงิ เครอ่ื งบินไอพน่ 5) นา้ มนั ก๊าด 6) นา้ มันดีเซล แบง่ ได้ 2 ชนดิ คอื นา้ มนั ดีเซลหมุนเรว็ ใชก้ ับรถปคิ อัพ รถบรรทุก รถโดยสาร น้ามนั ดีเซล หมุนช้าใช้กับเคร่ืองยนต์ขนาดใหญ่ ได้แก่ เรอื ประมง เรอื เดินสมุทร 7) นา้ มนั หล่อลนื่ เช่น นา้ มนั เครอ่ื ง น้ามันเกยี ร์ 8) นา้ มันเตา ใชก้ บั เตาต้มน้าหมอ้ น้าในโรงงานอตุ สาหกรรม 9) ยางมะตอย ตอ้ งมีคณุ สมบตั คิ ือ มคี วามเฉื่อยต่อสารเคมีและไอควัน มคี วามตา้ นทานสภาพอากาศและแรง กระแทกกระเทือน มคี วามเหนียว ความยืดหยุ่นตวั ต่ออุณหภูมริ ะดบั ตา่ ง ๆ ได้ดี นามาใช้ประโยชน์ คอื การ นามารดผวิ ถนน ผวิ ทางเทา้ ทางว่งิ เครื่องบิน วัสดสุ าหรับปูพ้นื หลังคา

ภาพท่ี 3.3 กรรมวิธีการกล่ันน้ามันดบิ และผลติ ภัณฑ์ ท่มี า : http://www.vcharkarn.com สบื คน้ เม่ือ 5 มนี าคม 2558 ตาราง 3.1 ผลิตภณั ฑ์จากหอกลั่นนา้ มนั ดบิ และการใชป้ ระโยชน์ ผลติ ภัณฑ์ จดุ เดือด สถานะ จานวน การใช้ประโยชน์ กลนั่ ตรง (°C) คารบ์ อน ก๊าซ ≤ 30 ก๊าซ 1-4 ทาสารเคมี วัสดสุ งั เคราะห์ เชอื้ เพลงิ กา๊ ซหุงตม้ ปิโตรเลยี ม แนฟทา 60-100 ของเหลว 6-10 ทาสารตัง้ ต้นอตุ สาหกรรมปิโตรเคมี กา๊ ซโซลีน 30-200 ของเหลว 5-12 ทาน้ามันเบนซิน ตวั ทาละลาย เคโรซนี 150-300 ของเหลว 12-16 ทานา้ มันก๊าด เชอ้ื เพลงิ เคร่อื งยนต์ ไอพน่ และตะเกยี ง ก๊าซออยลเ์ บา 150-400 ของเหลว 16-20 ทาเชอ้ื เพลงิ เครือ่ งยนตด์ เี ซล ก๊าซออยล์ 250-400 ของเหลว 20-70 ทาเชอ้ื เพลิงเครื่องจักร นา้ มนั หลอ่ ลืน่ น้ามนั เครือ่ ง เทียนไข หนัก หนดื เครื่องสาอาง ยาขัดมนั ผงซักฟอก กากน้ามนั ≥ 350 ของเหลว ≥ 70 ทายางมะตอย ชนดิ หนดื

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกากล่ันลาดับส่วนในโรงกลั่นน้ามันดิบ ซ่ึงเรียกว่า ผลิตภัณฑ์กลั่นตรงเป็น สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ท่ีมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบตั้งแต่ 1 อะตอมข้ึนไปจนถึงมากกว่า 35 อะตอม ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับชนิดของน้ามันดิบ ผลิตภัณฑ์ท่ีมีจานวนคาร์บอนมาก เช่น ผลิตภัณฑ์ท่ีมีจานวนคาร์บอน 1- 4 อะตอม จะมีสถานะเป็นก๊าซและมีจุดเดือดต่า และเม่ือจานวนอะตอมของคาร์บอนเพ่มิ ข้ึนจะมีสถานะเป็น ของเหลว ซงึ่ ลักษณะตง้ั แตเ่ ป็นของเหลวใสจนถงึ ของเหลวขน้ หนืด จากตารางดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์กลั่นตรงท่ีได้แต่ละชนิดส่วนใหญ่ต้องนาไปเข้าสู่ กระบวนการอ่นื ๆ ในโรงกลนั่ อีก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์สาเร็จรปู ท่ีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ยกเวน้ ผลิตภัณฑ์ ท่ไี ด้จากการกลน่ั นา้ มันดบิ ทีม่ ีคณุ ภาพสูง คอื มสี ง่ิ ปนเปอ้ื นตา่ เม่อื นาไปเขา้ โรงกลั่นจะไดผ้ ลิตภัณฑ์จะได้ผลิตภณั ฑก์ ลน่ั ตรงกลุ่มของก๊าซปโิ ตรเลียม แนฟทา และกา๊ ซโซลีน ทม่ี คี ุณภาพดี สามารถนาไปใช้เปน็ ผลติ ภณั ฑ์สาเรว็ รูปไดท้ นั ที ประโยชนแ์ ละผลกระทบจากการใชป้ ิโตรเลยี ม ก๊าซธรรมชาติท่ีเซฟรอนผลิตไดใ้ นประเทศไทยสามารถตอบสนองความต้องการการใช้เช้ือเพลิงใน การผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง1 ใน 3 ของปริมาณความต้องการภายในประเทศ โดยก๊าซธรรมชาติท่ีผลิตได้ มากกว่าร้อยละ 75 นาไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนท่ีเหลืออีกร้อยละ 25 นาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงาน อุตสาหกรรม เชื้อเพลิงพาหนะ ก๊าซหุงต้ม และวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทั้งนี้ก๊าซธรรมชาติท่ีผลติ ได้ทั้งหมดส่งให้กับบริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) ซึ่ง ปตท. จะส่งก๊าซผ่านท่อใต้ทะเลไปยังโรงแยกก๊าซ ธรรมชาติของ ปตท. ที่จังหวัดระยองและนครศรีธรรมราช เพื่อเข้าสู่กระบวนการต่อไป ส่วนน้ามันดิบท่ีเรา ผลติ ไดน้ นั้ จะมกี ารจัดจาหนา่ ยให้กบั โรงกลน่ั ในประเทศ เช่น ไทยออยลแ์ ละบางจาก และบางส่วนสง่ ออกไป ยังตลาดต่างประเทศและยังใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันอ่ืนๆ เช่น เช้ือเพลิงยานพาหนะในการ ขนส่ง เชื้อเพลิงสาหรับอุตสาหกรรม ใช้ในเคร่ืองกาเนิดความรอ้ นและให้แสงสว่าง ใช้เป็นวัสดุหล่อล่ืน กัน ซมึ ขดั มนั สารสังเคราะห์ เชน่ พลาสติก เสน้ ใยสังเคราะห์ ยางสงั เคราะห์ ใชใ้ นการกอ่ สร้าง เปน็ ต้น ภาพท่ี 3.4 ประโยชนข์ องผลิตภณั ฑ์ปิโตรเลียม ทีม่ า : http://www.vcharkarn.com สืบค้นเมอื่ 8 มนี าคม 2558

ผลกระทบจากการใช้พลังงานปิโตรเลียม การเผาไหม้ปโิ ตรเลยี มจะกอ่ ใหเ้ กิดมลภาวะทางอากาศ โดยการปลอ่ ยไอเสยี ออกมาจากปล่อย ควันของโรงงานอุตสาหกรรมของรถยนต์ เคร่ืองจักร ก่อให้เกิดมลพิษ ได้แก่ การปล่อยก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์ กา๊ ซซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ฝุ่นละออง เขม่า ควันตา่ งๆ จะสง่ ผล กระทบตอ่ สขุ ภาพของประชาชน พืช สัตว์ และสงิ่ แวดล้อมอ่ืนๆ ก๊าซธรรมชาติ การกาเนดิ กา๊ ซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเป็นเช้ือเพลิงจากซากฟอสซิลเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ โดยเกิดจากการสะสมและ ทับถมของซากสิ่งมีชีวิตตามช้ันหิน ดิน และในทะเลหลายร้อยล้านปี ระหว่างน้ันก็มีการเปล่ียนแปลงตาม ธรรมชาติซงึ่ มสี าเหตมุ าจากความรอ้ นและความกดดันของผิวโลก ภาพท่ี 3.5 การขุดเจาะกา๊ ซธรรมชาติ ท่มี า : http://www.erc.or.th/ERCWeb2/Front/Article/ArticleDetail.aspx สืบค้นเม่อื 5 มีนาคม 2558

องค์ประกอบของกา๊ ซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเป็นสารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอน ซ่ึงสามารถแยกส่วนประกอบ ได้ เป็น มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน หรือเรียกว่า ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas) หรอื LPG หรอื ก๊าซหงุ ต้ม ภาพที่ 3.6 องค์ประกอบของก๊าซธรรมชาติ ทมี่ า : http://chonburi.dlt.go.th/chon-taxNGV.html สืบคน้ เมอ่ื 8 มนี าคม 2558

คณุ สมบตั ิของก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติไม่มีสี ไม่มีกล่ิน ไม่มีสารพิษ เม่ือเผาไหม้แล้วจะเป็นเช้ือเพลิงสะอาดส่ง ผลกระทบแก่สง่ิ แวดล้อมน้อย หากเปรียบเทียบกับนา้ มนั เตาและก๊าซหงุ ต้ม กา๊ ซธรรมชาติทไี่ ด้ประกอบด้วย ก๊าซมีเทนตั้งแต่ 70 เปอร์เซ็นต์ข้ึนไป ก๊าซธรรมชาติท่ีประกอบด้วยมีเทนและอีเทน เรียกว่า ก๊าซแห้ง (dry gas) การขนส่งใช้วิธีการวางท่อส่งก๊าซ ก๊าซธรรมชาติท่ีมีพวก โพรเพนบิวเทน และพวกไฮโดรคาร์บอน เหลว หรือก๊าซโซลีนธรรมชาติ เช่น เพนเทน เฮกเทน เป็นต้น ปนอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างสูงเรียกก๊าซ ธรรมชาตนิ วี้ ่า “กา๊ ซชื้น (wet gas)” เราสามารถแยกโพรเพนและบวิ เทนออกจากก๊าซธรรมชาติได้แลว้ บรรจุ ลงในถังก๊าซ เรียกก๊าซชนิดน้ีว่า ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas) หรือ LPG ซึ่งก็ คือ ก๊าซหุงต้ม ส่วนก๊าซธรรมชาติเหลวหรือก๊าซโซลีนธรรมชาติ ซ่ึงเรียกกันว่า คอนเดน เซท (Condensate) คือ พวกไฮโดรคาร์บอนเหลว ได้แก่ เพนเทน เฮกเซน เฮปเทน และออกเทน ซ่ึงมี สภาพเปน็ ของเหลว แหลง่ กาเนดิ กา๊ ซธรรมชาติ ในประเทศไทย มี 2 แหล่งด้วยกันคอื 1) ในทะเล (มีปรมิ าณมาก) ได้แก่ บรเิ วณอ่าวไทย 2) บนบก (มปี ริมาณน้อย) ไดแ้ ก่ อาเภอน้าพอง จงั หวดั ขอนแก่น โรงแยกก๊าซธรรมชาติ มี 2 แห่ง คือ 1) โรงแยกกา๊ ซธรรมชาตขิ องการปิโตรเลียมแหง่ ประเทศไทย ตาบลมาบตาพุด อาเภอ เมอื ง จงั หวัดระยอง 2) โรงแยกก๊าซธรรมชาตขิ องการปโิ ตรเลยี มแหง่ ประเทศไทย ตาบลทอ้ งเนียน อาเภอขน อม จงั หวดั นครศรธี รรมราช ส่วนก๊าซธรรมชาติเหลวหรือกา๊ ซโซลนี ธรรมชาติซ่งึ เรยี กกันว่า \"คอนเดนเซท\" (Condensate) คอื พวกไฮโดรคาร์บอนเหลว ได้แก่ เพนเทน เฮกเซน เฮปเทน และออ๊ กเทน ซงึ่ มสี ภาพเป็นของเหลว ตาราง 3.2 ส่วนประกอบของกา๊ ซธรรมชาติในอา่ วไทย สาร สตู รโมเลกุล ปริมาณเปน็ ร้อยละ 66-80 มีเทน CH4 7-10 3-5 อเี ทน C2H6 1-3 0.1-1 โพรเพน C3H8 เล็กน้อย 14-20 บิวเทน C4H10 0.1-1 เพนเทน C5H12 เฮกเซน C6H14 คารบ์ อนไดออกไซด์ CO2 ไนโตรเจน N2 ทีม่ า : อุทมุ พร แก้วสามศรี และ ประพล นลิ ใหญ่, 2556 : 179

กระบวนการแยกกา๊ ซธรรมชาติ การแยกกา๊ ซธรรมชาติ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนทีห่ นกั ที่สุดจะถูกแยกออกเปน็ ลาดับ แรก ผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากโรงแยกแปรสภาพก๊าซธรรมชาติสามารถจาแนกตามลักษณะ ของสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนทีแ่ ยกออกและนาไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ กระบวนการผลิตอื่นๆ ดงั นี้ 1) ก๊าซมีเทน (CH4) : ใช้เป็นเชื้อเพลิงสาหรับผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมและ นาไปอัดใส่ถังด้วยความดนั สงู เรยี กว่า กา๊ ซธรรมชาติอดั สามารถใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงในรถยนต์ รู้จักกัน ในชื่อว่า “ก๊าซธรรมชาติสาหรับยานยนต์” (Compressed Natural Gas : CNG และมีช่ือเรียก ทางการค้าว่า NGV) 2) กา๊ ซอเี ทน (C2H6) : ใช้เปน็ วัตถุดิบในอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมขี น้ั ต้น สามารถนาไปใช้ผลิต เม็ดพลาสตกิ เสน้ ใยพลาสตกิ ชนดิ ต่างๆ เพอื่ นาไปใช้แปรรูปตอ่ ไป 3) กา๊ ซโพรเพน (C3H8) และก๊าซบิวเทน (C4H10) : ก๊าซโพรเพนใชเ้ ปน็ วัตถุดิบใน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีข้ันตน้ การนาเอากา๊ ซโพรเพนกบั กา๊ ซบวิ เทนมาผสมกัน อดั ใส่ถังเป็นก๊าซ ปิโตรเลียมเหลว (LPG) หรอื ที่เรียกวา่ กา๊ ซหงุ ตม้ สามารถนาไปใช้เปน็ เช้อื เพลงิ ในครวั เรือน เปน็ เชือ้ เพลงิ สาหรับยานยนต์และใช้ในการเช่ือมโลหะ 4) ไฮโดรคารบ์ อนเหลว (Heavier Hydrocarbon) : อยู่ในสถานะทีเ่ ป็นของเหลว ทีอ่ ุณหภูมิ และความดนั บรรยากาศ เมอ่ื ผลติ ขนึ้ มาถึงปากบ่อบนแท่นผลิตสามารถแยกจากไฮโดรคารบ์ อนท่มี ี สถานะเปน็ กา๊ ซบนแทน่ ผลิต เรยี กวา่ คอนเดนเสท (Condensate) สามารถลาเลยี งขนสง่ โดยทาง เรือหรอื ทางท่อ นาไปกลนั่ เป็นนา้ มันสาเร็จรปู ตอ่ ไป 5) กา๊ ซโซลีนธรรมชาติ ไฮโดรคารบ์ อนเหลวบางส่วนท่หี ลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มสี ถานะ เปน็ กา๊ ซ เมื่อผา่ นกระบวนการแยกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาตแิ ล้ว ไฮโดรคารบ์ อนเหลวน้กี ็จะถูกแยก ออก เรียกว่า ก๊าซโซลนี ธรรมชาติ หรือ NGL (natural gasoline) และสง่ เขา้ ไปยงั โรงกล่ันน้ามนั เป็น สว่ นผสมของผลิตภณั ฑน์ ้ามนั สาเร็จรปู ได้ 6) กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ เมือ่ ผ่านกระบวนการแยกแล้วจะถกู นาไปทาให้อยู่ในสภาพ ของแข็ง เรียกว่า นา้ แขง็ แห้ง ใช้ในอตุ สาหกรรมการถนอมอาหาร อตุ สาหกรรมน้าอัดลมและเบียร์ ใช้ใน การถนอมอาหารระหวา่ งการขนสง่ นาไปเป็นวตั ถุดิบสาคญั ในการทาฝนเทยี ม และนาไปใช้สรา้ งควันใน อุตสาหกรรมบันเทิง เช่น การแสดงคอนเสิร์ต หรอื การถ่ายทาภาพยนตร์ เป็นต้น ประโยชน์และผลกระทบตอ่ การใช้ก๊าซธรรมชาติ 1. การใช้กา๊ ซธรรมชาตสิ าหรับยานยนต์ (NGV) กา๊ ซธรรมชาติท่ใี ช้เป็นเช้ือเพลงิ สาหรบั ยานยนต์ โดยกา๊ ซ NGV น้ีมสี ่วนประกอบหลัก คือ ก๊าซมีเทนท่ีมีคณุ สมบตั ิเบากวา่ อากาศ เก็บไวใ้ นถังท่ีมคี วามแข็งแรงทนทานสูงเป็นพิเศษ เชน่ เหลก็ กลา้ บางครั้งเรียกกา๊ ซนีว้ ่า CNG (ซี เอ็น จี) ซง่ึ ยอ่ มาจาก Compressed Natural Gas หรอื กา๊ ซธรรมชาติ และ ใช้ก๊าซธรรมชาตเิ ปน็ เช้ือเพลงิ สาหรบั ยานยนต์

2. ก๊าซหงุ ต้ม LPG กา๊ ซหงุ ต้ม หรอื ก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลว ประกอบด้วยโพรเพนและบวิ เทน เป็นผลิตภัณฑ์ท่ี ได้จากการแยกน้ามันดิบในโรงกลั่นน้ามันในโรงงานแยกก๊าซ นามาเป็นเช้ือเพลิงในการหุงต้มใน ครัวเรือน และในโรงงานอุตสาหกรรมรวมถึงใชใ้ นยานพาหนะ ภาพท่ี 3.7 การใช้ประโยชน์จากกา๊ ซธรรมชาติ ที่มา : http://chonburi.dlt.go.th/chon-taxNGV.html สบื ค้นเม่อื 8 มนี าคม 2558 ผลดีในการใชก้ ๊าซธรรมชาติ มีดงั น้ี 1) เปน็ เชอ้ื เพลิงท่ีมกี ารเผาไหม้ท่ีสมบูรณ์ 2) ลดการสรา้ งกา๊ ซเรอื นกระจก 3) มคี วามปลอดภัยสงู เนอื่ งจากเบากว่าอากาศ 4) มีราคาถูกกวา่ เชอื้ เพลิงปโิ ตรเลยี ม 5) ลดการนาเขา้ พลงั งานเช้อื เพลิง เนอ่ื งจากสามารถผลิตไดใ้ นประเทศไทย ผลเสยี ในการใช้กา๊ ซธรรมชาติ มดี ังนี้ 1) ความเปน็ พิษต่อร่างกาย กา๊ ซธรรมชาตมิ กี ๊าซไฮโดนเจนซัลไฟด์มผี ลต่อเน้อื เยอ้ื ออ่ น 2) ไฟไหม้/ระเบิด ก๊าซธรรมชาตเิ ปน็ ก๊าซติดไฟกรณที ม่ี ีก๊าซร่ัวไหลผสมอากาศก่อให้เกิด การลุกไหม้ได้ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon Compounds) สารทพ่ี บในชวี ติ ประจาวนั สว่ นใหญ่เปน็ สารประกอบคาร์บอน จากการวิเคราะห์หาองคป์ ระกอบในพืช และสัตว์ ถ่านหินและปิโตรเลียม พบว่าเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นธาตุ หลกั และมีไนโตรเจน ออกซเิ จน กามะถนั ฟอสฟอรสั และฮาโลเจนเป็นองคป์ ระกอบ สารประกอบท่ีมีคารบ์ อน และไฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ เรยี กวา่

สารไฮโดรคารบ์ อน เชน่ เอทีลนี (C2H2), โพรเพน (C3H8), บวิ เทน (C4H10) ไฮโดรคารบ์ อนที่มโี มเลกลุ เล็กสุด ประกอบด้วยคารบ์ อน 1อะตอม คือ ก๊าซมีเทน (CH4) แหลง่ สาคัญของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนได้จากการ กล่นั ปโิ ตรเลียม ดังตวั อยา่ งสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนบางชนิด ตาราง 3.3 สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนบางชนดิ และสมบัติ ชื่อ สตู ร สมบตั ิ แหล่งทไ่ี ด้ ก๊าซธรรมชาติ มีเทน CH4 ก๊าซไมม่ ีสี ไม่มกี ลิน่ ติดไฟง่าย อเี ทน C2H6 กา๊ ซธรรมชาติและ โพรเพน C3H8 ก๊าซไม่มสี ี ทาให้เป็นของเหลว ภายใตค้ วาม นา้ มันดบิ บิวเทน C4H10 ดนั สูงติดไฟง่าย ก๊าซธรรมชาตแิ ละการ เพนเทน C5H12 ของเหลวระเหยง่าย ละลายสารต่างๆไดด้ ี กล่ันน้ามนั ดบิ เฮกเทน C6H14 ตดิ ไฟง่าย เฮปเทน C7H16 ออกเทน C8H18 สารประกอบไฮโดรคาร์บอนมีโครงสร้างหลายรปู แบบ การจัดเรียงตัวของคาร์บอน สามารถจัดเรียง ตัวได้หลายแบบ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนท่ีมสี ูตรโมเลกุลคือ C4H10 จะเรยี งตวั เป็นโซต่ รงหรือโซก่ ิง่ สารท่ีมี สูตรโมเลกลุ เหมือนกันแต่สูตรโครงสรา้ งต่างกนั เช่น จุดเดอื ด จุดหลอมเหลว และความหนาแนน่ สารทม่ี ีสตู รโมเลกุลเหมอื นกนั แต่มีสูตรโครงสรา้ งต่างกนั เรยี กว่า ไอโซเม อรซิ มึ (Isomerism) และเรียกสารแต่ละชนดิ วา่ ไอโซเมอร์ (Isomer) สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ใช้ในชีวิตประจาวันส่วนใหญ่ได้มาจากน้ามันปิโตรเลียม และก๊าซ ธรรมชาตใิ นรูปเชื้อเพลิง ทาให้เกดิ ปฏิกิรยิ าระหว่างไฮโดรคารบ์ อนกบั ออกซิเจนซึ่งใหก้ า๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ และน้า เรียกว่า ปฏิกิริยาการเผาไหม้ ปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้สมบรูณ์ต่อเมื่อมีปริมาณออกซิเจนมากพอ เช่น ปฏิกริ ิยาระหว่างก๊าซมีเทน ซ่ึงเป็นก๊าซธรรมชาตกิ บั ออกซิเจน จะไดค้ ารบ์ อนไดออกไซด์และน้า ในบางคร้ังพบว่าการเผาไหม้ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเกิดเขม่าขึ้น ปฏิกิริยาระหว่าง ไฮโดรคาร์บอนที่มปี ริมาณออกซิเจนน้อยจะทาให้เกดิ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซดเ์ ป็นปฏิกริ ิยาทไ่ี ม่สมบรณู ์ เช่นใน เครอ่ื งยนต์ทตี่ ิดเครอ่ื งแล้วมเี ขม่าเกิดขึน้ เกิดจากสัดสว่ นทไ่ี มพ่ อดรี ะหวา่ งไอของน้ามันและออกซเิ จน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นก๊าซที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย เป็นอันตรายต่อระบบ หายใจ เพราะก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะจับกับฮีโมโกบิล ซ่ึงมีผลทาให้เลือดลาเลียงออกซิเจนไปสู่เซลล์

ร่างกายได้น้อยลง และรับคาร์บอนไดรออกไซด์จากเซลล์มายังปอดน้อยลงเช่นกัน การได้รับ คาร์บอนมอนอกไซด์ในปริมาณท่มี ากพอ และเปน็ เวลานานอาจทาใหเ้ สียชีวิตได้ การใช้น้ามันและก๊าซธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย นอกจากจะทาให้สมดุลของคาร์บอนสญู เสียแล้วยัง ทาให้ภาวะอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่างไรก็ตามมนุษย์ก็ยังคงต้องอาศัยพลังงานในการดารงชวี ิต ดังน้ันความจาเป็นในการที่จะต้องคิดค้นเทคโนโลยีในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับการปลุก จิตสานึกของการใช้ทรัพยากรเช้ือเพลิงให้รู้ถึงคุณค่า และโทษอย่างถูกต้อง จึงเป็นแนวทางที่จะยึดเวลา ทรัพยากรเช้ือเพลงิ ให้มใี ชไ้ ดอ้ กี เป็นเวลานาน เชือเพลงิ ในชวี ติ ประจาวนั เช้ือเพลิงท่ีนามาใช้ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกล่ันปิโตรเลียม ซ่ึงได้นามาใช้ในกิจการ ตา่ งๆ เช่น โรงงานอสุ าหกรรม การคมนาคม ผละกระทบจากการใช้น้ามันเชอ้ื เพลงิ มีผลทาให้สภาพแวดล้อม ในปจั จุบันเสื่อมโทรม เชอื้ เพลงิ ที่ใช้ในแต่ละวนั ได้แก่ นา้ มนั เบนซนิ หรือก๊าซโซลนี (Gasoline) เป็นเชือ้ เพลงิ ท่ีระเหยง่าย ได้จากการกลนั่ ปโิ ตรเลียมในโรงกลั่นโดยกลัน่ หรือตดั เอาสว่ นทเี่ บาพอเหมาะจากส่วนตา่ งๆ ในกรรมวิธีการกลน่ั แล้วเอามาผสมกันและปรุงแต่งด้วยสารเพ่ิมคุณภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แนฟธา (Naphtha) lsomerate Remformant และสารเติมแต่ง (Additives) เช่น MTBE (Methyl Tertiary Butyl Ether) เอทานอล เป็น ต้น เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้เป็นเชื้อเพลิงของเคร่ืองยนต์เบนซิน ปัจจุบันน้ามันเบนซินที่ใช้กับรถยนต์มี 2 ชนิด คือ มีเลขออกเทน 92 และ 95 แต่น้ามันท่ีกลั่นได้จากโรงกลั่นมีเลขออกเทนเปน็ 75 ดังน้ันจึงต้องมกี าร เติมสารเตตระเมทิลเลด (MTL) หรือ เตตระเอทิเลด (TEL) เพื่อให้มีการเผาไหม้ดีข้นึ แต่สารที่เติมลงไปนีเ้ กิด เม่อื การเผาไหมจ้ ะให้ไอของสารตะกัว่ ออกมาพร้อมกบั ไอเสียของเครื่องยนต์ปะปนอยู่ในอากาศซึ่งเป็นอันตราย ต่อคนและสตั วถ์ า้ สะสมอยู่ในร่างกายในปริมาณทม่ี ากพอ ประเทศไทยมีการรณรงค์ลดปริมาณสารตะกว่ั ในนา้ มันเบนซินมาตั้งแต่ พ ศ. 2530 ปัจจุบันจึงได้มี การห้ามใช้สารเหล่าน้ีเติมลงในน้ามัน และได้เปล่ียนมาเติมเมทิลเทอร์เชียร์บิวทิลอีเทอร์ (MTBE) แทน และ เรยี กวา่ น้ามนั ไรส้ ารตะกั่วหรอื ยูแอลจี (ULG : Unleaded Gasoline) การกาหนดคณุ ภาพนามนั เลขออกเทน (Octane number) ค่าตัวเลขที่แสดงเป็นร้อยโดยมวลของไอโซออกเทนในของผสม ระหว่างไอโซออกเทนกบั เฮปเทน ซงึ่ เกิดจากการเผาไหม้ เลขออกเทนเปน็ ตัวเลขท่ใี ช้บอกคุณภาพของน้ามนั เบนซนิ ในรถยนต์โดยกาหนดประสิทธภิ าพการเผา ไหมข้ องสารประกอบไอโซแบบบรสิ ทุ ธิ์ มเี ลขออกเทนเป็น 100 และให้ ประสทิ ธ์ภาพการเผาไหมข้ องการประกอบนอรม์ อลเฮปเทนบรสิ ทุ ธิ์ มีเลขออกเทนเป็น 0

นา้ มนั เบนซิน ทม่ี เี ลขออกเทนเป็น 70 คอื น้ามันเบนซินท่ีมีสมบัตรการเผาไหม้เดียวกับเช้ือเพลิงท่ีมี ไอโซออกเทน รอ้ ยละ 70 และเฮปเทน ร้อยละ 30 โดยมวล เลขซีเทน (Cetane number) ค่าตัวเลขที่แสดงเป็นร้อยละโดยมวลของซีเทนในของผสม ระหว่าง ซีเทน (C16H34) และแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน (C11H10) ซ่ึงเกิดการเผาไหม้หมดเป็นตัวเลขคุณภาพ น้ามันดีเซล ซ่ึงเป็นเช้ือเพลิงดีเซลท่ีใช้ในยานพาหนะ รถบรรทุก รถโดยสาร เรือบางประเภท และเคร่ือง กาเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยเลขซีเทนจะแสดงคุณภาพน้ามันดีเซลที่มีประสิทธิภาพในการเผาไหม้เทียบกับ ปรมิ าณของ ซเี ทนเป็นกรมั ทผ่ี สมอลั ฟา (α) – เมทิลแนพ ทาลีน ในนา้ มัน 100 กรัม น้ามันดีเซลท่ีมีค่าซีเทน 100 หมายถึง น้ามันดีเซลท่ีมีคุณสมบัติในการเผาไหม้เช่นเดียวกับซีเทน รอ้ ยละ 100 และแอลฟาแนพทาลีน เทา่ กับ 0 น้ามันดีเซลท่ีมีเลขซีเทน 100 คือ น้ามันดีเซลที่คุณสมบัติการเผาไหม้เช่นเดียวกับซีเทน 100% โดยมวล น้ามันดีเซลที่มีเลขซีเทน 0 คือ น้ามันดีเซลท่ีมีสมบัติการเผาไหม้เช่นเดียวกับแอลฟาเมทิลแนฟทา ลีน 100% โดยมวล น้ามันดีเซลท่ีมีเลขซีเทน 80 คือ คือน้ามันที่มีคุณสมบัติเผาไหม้เช่นเดียวกับซีเทน ร้อยละ 80 โดย มวล ในการผสมระหว่างซเี ทนและแอลฟาเมทลิ เเนฟทาลีน ผลกระทบจากการใชน้ ามนั เชือเพลิง มดี ังน้ี 1. ผลของการผลิตภณั ฑ์ปิโตรเลียมตอ่ สิ่งมชี วี ติ และสงิ่ แวดล้อม ผลิตภัณฑ์ตา่ งๆ จากปโิ ตรเลียม เชน่ แกซ๊ ธรรมชาติ แกซ๊ หุงตม้ น้ามนั เบนซิน ดีเซล พลาสติก โฟม และอืน่ ๆ เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีเกดิ จากการปิโตรเลียม มีประโยชนแ์ ละมีบทบาทในการดาเนินชีวิตประจาวัน ของมนุษย์ ต่อการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมใน ด้านต่างๆ ได้ ผลกระทบส่วนใหญท่ ี่เกิดขึ้นกค็ ือการเกิดมลภาวะทางอากาศซึ่งเป็นผลกระทบท่ีเกิดจากการใช้ น้ามันเชื้อเพลิงต่างๆ เนื่องจากการเผาไหม้ของน้ามันเชื้อเพลิงจะทาให้สารต่างๆ ท่ีปนอยู่ในน้ามันระเหย ออกมาได้ และหากเครอ่ื งยนตม์ กี ารเผาไหมไ้ มส่ มบรู ณ์ก็จะกอ่ ใหเ้ กดิ เขมา่ ควนั และกา๊ ซท่ีเป็นอนั ตราย ดังนี้ 1.1 กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) เกดิ ขน้ึ จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเชือ้ เพลิง เปน็ กา๊ ซนา้ หนกั เบากว่าอากาศ ทาใหส้ ามารถลอยขึ้นส่ชู ้นั บรรยากาศและทาใหเ้ กิดสภาวะโลกรอ้ น 1.2 กา๊ ซคารบ์ อนมอนนอกไซด์ (CO) เกิดจากการเผาไหมไ้ มส่ มบูรณ์เปน็ ก๊าซทอี่ นั ตรายต่อ มนุษย์และสัตว์ โดยสามารถจับตัวกับฮีโมโกรบินในเม็ดเลือดได้ดีทาให้เม็ดเลือดไม่สามารถรับออกซิเจนได้ รา่ งกายจึงรับออกซเิ จนไม่เพียงพอ จะเกดิ อาการวิงเวียนศรี ษะ อาเจียน การสดู ดมเข้าไปในปริมาณมากและ ติดตอ่ กันเป็นเวลานานอาจทาใหห้ มดสติและเสียชีวติ

1.3 สารตะก่ัว (Pb) เกดิ จากสารบางชนิดทเ่ี ติมลงไปในน้ามนั เบนซินเพอื่ เพ่มิ คณุ ภาพให้กับ น้ามัน เม่ือถูกเผาไหม้จึงระเหยปนมากับสารอ่ืนๆ สารตะก่ัวเป็นสารท่ีส่งผลเสียต่อสมอง ไต ระบบ ประสาท โลหิต และระบบสบื พันธ์ุ ในปัจจุบันจงึ มกี ารหา้ มไมใ่ หผ้ สมสารท่มี ตี ะก่วั เจือปนลงในน้ามนั 1.4 กา๊ ซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เกิดจากการเผาไหมข้ องสารทมี่ ซี ลั เฟอรผ์ สมอยู่ มผี ล ต่อกระทบต่อระบบหายใจ เม่ือรวมตัวกับละอองน้าในอากาศ จะเกิดเป็นฝนกรด ซึ่งเป็นอันตรายต่อ ส่งิ มีชวี ิต และทาใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่สิง่ ก่อสร้างต่างๆ ได้ สาหรบั ผลต่อรา่ งกายก๊าซซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์จะ ทาลายเนื้อเยื่อในจมกู ตา และปอด นอกจากน้ียงั ทาลายคลอฟิลล์ในพืชดว้ ย 1.5 กา๊ ซไฮโดรคาร์บอน เกดิ จากการเผาไหม้สารไฮโดรคาร์บอนต่างๆ ทีอ่ ยใู่ นน้ามันเป็น ก๊าซมเี ทน อีเทน ไอของเฮปเทน และน้ามนั เบนซนิ มผี ลตอ่ เยือ่ ดวงตาและก่อให้เกิดการระคายเคอื งในระบบ หายใจได้ 2. ผลจากการใช้นา้ มนั เชอื้ เพลิง จากภาวะเศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทาให้ความต้องการใช้พลังงานมีมากขึ้น การ นาเข้าน้ามันจึงมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากการนาเข้าน้ามันเช้ือเพลิงจากต่างประเทศที่ทาให้ต้องเสีย คา่ ใช้จ่ายมากแลว้ ปญั หาเกีย่ วกบั การใชพ้ ลังงานเช้อื เพลิงทงั้ ในดา้ นปรมิ าณทม่ี ลี ดนอ้ ยลง และจากมลภาวะท่ี เกิดขึ้นจากการใช้และการผลิต จากการสารวจแหล่งพลังงานฟอสซิล พบว่า พลังงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ลด น้อยลงและหมดไป ดงั นนั้ จึงตอ้ งหาแหลง่ พลังงานอ่ืนสารองขึ้นมาแทนโดยคานงึ ถงึ หลัก 2 ประการ คือ ควร ใช้พลังงานทีส่ ะอาดไม่ทาลายส่ิงแวดล้อม ทั้งในกระบวนการผลิตและในกระบวนการใช้ หรอื มผี ลกระทบต่อ ส่ิงแวดล้อมนอ้ ยมาก อีกประการหนึ่ง คือ เป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ได้อย่างยังยืนหรอื สามารถนากลับมาใช้ใหม่ ได้ หนึ่งในทางออกท่ีค้นพบ คือ การนาน้ามันจากพืชหรือสัตว์ที่รู้จักและนามาใช้ในการ บริโภค เช่น น้ามันถั่วเหลือง น้ามันปาล์ม น้ามันมะพร้าว น้ามันหมู เป็นต้น จากการวิจัยและ ทดลอง พบว่า พืชบางชนิดสามารถให้น้ามันได้แต่ไม่สามารถนามาบริโภคได้ เช่น น้ามันจากเมล็ด ละหุ่ง น้ามันจากเมลด็ สบู่ดา เพราะมสี ารพษิ ปนอยู่ แตส่ ามารถนามาผลติ เปน็ นา้ มันเช้ือเพลิงได้ นอกจากนี้ผลผลิตทางการเกษตรก็มีสามารถนามาทาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ามันเชื้อเพลิงได้จาก ก า ร ส กั ด โ ด ย ต ร ง จ า ก พื ช ห รื อ ท า ง อ้ อ ม โ ด ย ก า ร ผ ลิ ต ใ ห้ เ ป็ น เ อ ท า น อ ล มี เ พี ย ง 3 ช นิ ด เทา่ น้ัน ได้แก่ อ้อย กากนา้ ตาล และมันสาปะหลัง เปน็ ตน้ เอทานอล (ethanol) หรือเอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) นามาใช้ประโยชน์มากมาย เช่น เคร่ือง ด่ืมแอลก อฮ อ ล์ แ ละ ที่ เร ารู้ จัก กั น ดี คือ เหล้า ไ ว น์และ เบียร์ ใช้เป็น ตัว ทา ล า ย ใ น ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น สี แลกเกอร์ นอกจากนี้ยังใช้เป็นสารเพ่ิมค่าออกเทนในน้ามัน เบนซิน เรยี กว่า แก๊สโซฮอล์ (Gasohol) แก๊สโซฮอล์ (E85) คือ น้ามันแกส๊ โซฮอลท์ ผี่ สมเอทานอลแปลงสภาพ (Denatured Ethanol) สงู ถงึ 85% กับเบนซินธรรมดา เป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environmentally Friendly Fuel

) เน่ืองจากมลพิษที่ปล่อยจากไอเสียน้อยมากเมื่อเทียบกับเบนซิน นิยมแพร่หลายใช้ในบราซิล สวีเดน และ อเมริกา ผลจากการทดลองใช้แก๊สโซฮอล์กับเครือ่ งยนต์ พบว่า สามรถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนจากมลพษิ ไอเสยี ได้ ไบโอดีเซล (Biodiesel) คือ การนาน้ามันจากพืชมาใช้แทนน้ามันเชื้อเพลิง เป็นความพยายามใน การทจ่ี ะหาพลังงานทดแทนพลังงานเชือ้ เพลงิ ที่ได้จากปิโตรเลียมท่ีนับวันยง่ิ หมดไป วิธีหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นและทดลอง พบว่า พืชหลายชนิดสามารถให้น้ามันได้ และสามารถใช้ ประโยชน์ เช่น นามาใช้ทาสีบ้าน ทายารักษาโรค เครื่องสาอาง และยังสามารถนามาเป็นเช้ือเพลิงหรือ น้ามนั หลอ่ ล่นื ได้ พืชน้ามัน เช่น ถวั่ เหลือง ถว่ั ลิสง มะพร้าว งา ละหงุ่ เมล็ดทานตะวนั อ้อย ซ่งึ เปน็ พืชให้แป้ง และน้าตาล พืชเหล่านเ้ี ม่อื นามาย่อยสลายแลว้ นาไปผ่านกระบวนการสกดั จะไดเ้ อทานอล ไบโอดีเซล เป็นเช้ือเพลิงเหลวที่ได้จากน้ามันพืช น้ามันสัตว์ นามาผ่านปฏิกิริยาเคมีท่ี เรียกว่า ทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน (Transesterification) จะได้สารเอเทอร์ท่ีมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ามัน ดีเซล ซึง่ สามารถนาใช้กบั เคร่อื งยนตด์ ีเซลโดยไมต่ ้องปรบั เครือ่ งยนต์ พืชแต่ละชนิดท่ีนามาผลิตไบโอดีเซลจะได้ไบโอดีเซลท่ีมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น ไบโอดีเซลที่ได้จาก น้ามันถ่ัวเหลืองจะให้ไบโอดีเซลท่ีมีค่าฟอสฟอรัสสูง จะต้องทาให้ค่าฟอสฟอรัสต่าเท่าเกณฑ์ท่ีกาหนดโดยใช้ น้ามันถ่ัวเหลืองบริสุทธ์ิ จากการศึกษาผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมของการใช้น้ามันดีเซลและไบโอดีเซล เป็น เชือ้ เพลิง พบว่า ไอเสียจากเคร่ืองยนตท์ ี่ใช้ไบโอดเี ซลมีมลพษิ ตา่ กว่านา้ มนั ดีเซล ยกเว้นปรมิ าณก๊าซไนโตรเจน ที่ผลิตออกมาจะมปี รมิ าณสูงกวา่ ปริมาณสารที่ออกมา ดงั แสดงในตาราง ตาราง 3.4 ผลเปรยี บเทียบการใชไ้ บโอดีเซล 100% และนา้ มนั ดเี ซลซ่งึ ผสมไบโอดีเซล 20% มลพิษในไอเสีย ไบโอดีเซล 100% นา้ มนั ดเี ซลท่มี ีไบโอดเี ซล 20% ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ลดลง 43.2% ลดลง 12.6% ไฮโดรคารบ์ อน ลดลง 56.3% ลดลง 11.0% ฝนุ่ ละออง ลดลง 55.4% ลดลง 18.0% กา๊ ซไนโตรเจนออกไซด์ เพ่มิ ขึ้น 5.8% เพ่ิมขึ้น 1.2% สารกอ่ มะเรง็ 80-90% ลดลง 20% ขอ้ มลู จาก: พลงั งานทดแทน คณะกรรมมาธิการพลงั งานสภาผแู้ ทนราษฎร

ก า ร น า ไ บ โ อ ดี เ ซ ล ม า ใ ช้ ส า ม า ร ถ ล ด ปั ญ ห า ท า ง อ า ก า ศ ที่ เ ป็ น ผ ล ก ร ะ ท บ จ า ก ก า ร เ ผ า ไ ห ม้ เครอื่ งยนต์ เพราะไบโอดีเซลจากพืชทาให้ลดปริมาณของก๊าซที่ทาใหเ้ กิดภาวะเรือนกระจกได้ นอกจากนีก้ าร ผลติ ไบโอดีเซลจากน้ามนั พืชท่ีใช้แล้วไปประกอบอาหารซา้ หรอื นาไปผลิตเปน็ อาหารสัตว์ เพราะในน้ามนั พืชที่ ใชแ้ ล้วจะมสี ารไดออกซนิ ซึ่งเป็นสารก่อมะเรง็ เมอ่ื บรโิ ภคเข้าไปอาจทาใหเ้ กิดอันตรายได้ การใชไ้ บโอดีเซลในเคร่อื งยนต์ มีขอ้ ควรระวงั คอื ทาให้เครื่องยนต์มีกาลงั ต่ากวา่ การใชน้ ้ามนั ดเี ซล ปกติ ร้อยละ 3 รถยนตท์ ่ีใชไ้ บโอดเี ซลจะมรี ะยะการบารุงรกั ษาบ่อยครง้ั กวา่ การใช้น้ามันดีเซล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook