Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันออก

ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันออก

Published by Vanloha03, 2022-02-24 14:01:05

Description: ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันออก

Search

Read the Text Version

อียิปต์ เมโสโปเตเมียวัติศาสตร์ศิลปะตะวันอสม์ ศิลปะสมัยใหม่ ประ ศิลปะโรมาเนสก์ ศิลปะโกธิค อิตาเลียนพริมีตีฟ ศิลปะเรอเนซอ ง ศิลปะบารอค ศิลปะนีโอ-คลาสสิคอิสม์ รอกโกโก้ โรแมนติคอิ อกน า ง ส า ว ว น ภ ร ณ์ โ ล ห า วุ ธ เ ล ข ที่ 1 9 ม . 6 / 1 2 กรีซ โรม ศิลปะคริสเตียน ศิลปะบีแซนไตน์ ศิลปะซาราเซนิค





History of art ประวัติศาสตร์ศิลปะ \"ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น\" Ars longa, vista brevis - ศิลป์ พีระศรี- การศึกษาประวัติศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากประวัติศาสตร์จะบ่งบอก ความเป็นมาและวิวัฒนาการว่ามีแบบอย่าง ความเคลื่อนไหว แนวคิด ความเชื่ออย่างไร การศึกษาประวัติศาสตร์ศิลป์ทำให้เราทราบถึงรูปแบบผลงานการสร้างสรรค์และ วิวัฒนาการศิลปะของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคปัจจุบัน ศึกษาแนวคิด ความเชื่อ รูปแบบและบริบทแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของศิลปกรรมของแต่ละยุคสมัย ที่จะเป็นแบบอย่างเพื่อการพัฒนา ยกระดับคุณภาพของงานศิลปะหรืองานสร้างสรรค์ใน ยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นการศึกษาประวัติศาสตร์ ยังช่วยให้เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของ งานศิลปะ มีความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติ การศึกษาประวัติศาสตร์จำเป็นจะต้องใช้การ ศึกษาบริบทของช่วงเวลา หรือเส้นแบ่งเวลา (Time line) เป็นตัวกำหนดเหตุการณ์ รูปแบบ ก่อนหลัง การกำหนดยุคสมัยเพราะ ทำให้ง่ายต่อการจัดเรียงและทำความเข้าใจ ตัว ย่อของเวลาในทางประวัติศาสตร์ที่มักพบเห็น ได้บ่อย มีดังนี้ ตัวอักษรย่อที่บอกช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ B.C. (Before Christ) หมายถึง ก่อนคริสตกาล หรือก่อน ค.ศ. 1 C.E. (Common Era) หมายถึง สมัยคริสตกาล เริ่มนับจาก ค.ศ. 1 A.D. (Anno Domini) หมายถึง ปีแห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือเรียกว่า คริสต์ศักราช C. (Century) หมายถึง ศตวรรษ หรือ ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปี เช่น ศตวรรษที่ 1 หมายถึง ช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1 – 100

ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก (History of Western Art) การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์นั้นนักประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคสมัยต่าง ๆ โดยยึดเอาจุด เริ่มต้นของความมีอารยธรรมก้าวหน้าของมนุษย์ กล่าวคือการรู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อ ใช้ในการจดบันทึก ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-historic Arts) สมัยประวัติศาสตร์ (Historic Arts) นอกจากนี้การศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะยังมีการแบ่งออกเป็นศิลปะตะวันตกและ ตะวันออก เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะของงานศิลปะของแต่ละพื้นที่ ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกแบ่งออกเป็น 2 ยุคใหญ่ ๆ คือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคประวัติศาสตร์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคหิน ยุคประวัติศาสตร์ ยุคสมัยอียิปต์และเมโสโปเตเมีย ยุคคลาสสิค (กรีก-โรมัน) ยุคสมัยกลาง ยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยา ยุคศิลปะสมัยใหม่

ยุคหิน PRE-HISTORIC ART 30,000 - 10,000 B.C งานศิลปะได้เริ่มมีการสร้างกันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ ยุคหินเก่าตอนปลาย ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 30 ,000-10,000 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 15,000- 10,000 ปีมานั้น มนุษย์ได้เขียนภาพสีและขูด ขีดบนผนังถ้ำและเพิงผา เป็นภาพสัตว์ การล่าสัตว์และภาพ ลวดลายเรขาคณิต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงออกเกี่ยวกับ วิถีชีวิตประจำวัน และแสดงความสามารถในการล่าสัตว์ ภาพ เหล่านี้มักระบายด้วยถ่านไม้ และสีที่ผสมกับไขมันสัตว์ พบได้ ทั่วไปในประเทศฝรั่งเศส และภาคเหนือของสเปนที่มีชื่อเสียง มากได้แก่ถ้ำลาสโกซ์ในฝรั่งเศส ถ้ำอัลตามิราในสเปนงาน ศิลปะในยุคเก่าไม่มีเพียงแต่การเขียนภาพเท่านั้น ยังมีการปั้ น รูปด้วยดินเหนียว หรือแกะสลักบนกระดูกเขาสัตว์และงาช้าง ด้วยเรื่องราวที่นิยมทำกันได้แก่เรื่องการล่าสัตว์หรือบางก็มีรูป คน เป็นรูปสตรี ซึ่งอาจมีความหมายถึง การให้กำเนิดเป็นการ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับชนเผ่า จิตรกรรม มีการค้นพบภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์บนผนังถ้ำ (CAVE PAINTING) ซึ่งเป็น ภาพเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานจิตรกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมนุษย์ยุคก่อน ประวัติศาสตร์ ที่ผนังถ้ำอัลตามิรา (ALTAMIRA) ประเทศสเปน ซึ่งเขียนเป็นภาพวัว ไบ ซัน ช้างแมมมอส กวางเรนเดียร์ ซึ่งสัตว์ทุกชนิดแสดงการเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา และภาพเขียนบนผนังถ้ำอีกแหล่งหนึ่งที่ ถ้ำลาสโคซ์ (LASCAUX) ประเทศฝรั่งเศส อายุ ราย 20,000 – 13,000 ปี มีรูปม้า กวาง เป็นต้น

สีที่นำมาใช้ส่วนใหญ่เป็นสีที่ได้จากดินสีต่าง ๆ เช่น ดินแดง ดินสีน้ำตาล ดินสีเหลือง สีดำ นำมาจากผงถ่ายไม้หรือเขม่า ผสมกับยางไม้ไขสัตว์หรือน้ำผึ้ง วิธีเขียนใช้พ่นทาหรือ ใช้ไม้ทุบปลายให้แตกคล้ายพู่กันระบายสีแบน ๆ ภาพเขียนที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำมีอยู่ 4 ประเภท คือ รูปมือคน รูปสัตว์ รูปคน รูปลายเรขาคณิต ภาพก่อนประวัติศาสตร์บนผนังถ้ำ ภาพก่อนประวัติศาสตร์บนผนังถ้ำ

ประติมากรรม ในยุคหินเก่าตอนปลายพบรูปแกะสลักด้วยหินขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นรูปแกะสลักหิน ซึ่งนักโบราณคดีสมัยปัจจุบันเรียกชื่อรูปเหล่านี้ว่า วีนัส ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือ ศีรษะไม่ แสดงรายละเอียดของหู ตา จมูกและหาง แต่ทำเป็นเป็นปุ่มเล็ก ๆ แขนและขาลีบไม่ปรากฏ เท้าและนิ้ว เท้า เต้านมใหญ่ ท้องยื่นคล้ายกำลังตั้งครรภ์ แสดงอวัยวะเพศชัดเจน ซึ่งเชื่อว่า รูปเหล่านี้สร้างขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ( FERTILTY RITES) หรือ เพื่อขอบุตร ( FECUNDITY) รูปที่มีชื่อเสียงคือ วีนัส แห่งวิลเลนดรอฟ ( VENUS OF WILLENDORF) พบในออสเตรีย เมื่อ พ.ศ. 1908 ภาพรูปอกะสลักหินวีนัส สถาปัตยกรรม เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยหินของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์มี 4 ชนิด คือ 1. แบบหินตั้ง (MENHIR) ซึ่งเป็นหินก้อนเดียววางตั้งอยู่ 2. หินตั้งเรียงกันเป็นแถวยาว (ALIGNMENT) ซึ่งเป็นหินก้อนเดียววางตั้งเรียงกัน เป็นแถวยาว 3. แบบโต๊ะหิน (DOLMENS) ประกอบด้วยหินสองแท่ง หรือมากกว่าวางตั้งแล้วมีอีก ก้อนหนึ่งวางพาดอยู่ข้างบน โครงสร้างลักษณะนี้ต่อมากลายเป็นโครงสร้างที่สำคัญ ทางสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า โครงสร้างแบบวางพาด (POST AND LINTEL CONSTRUCTION) 4. แบบหินตั้งล้อมกลม (STONEHENGE) ประกอบด้วยโต๊ะหินต่อเนื่องกันล้อมเป็น วงกลม วิธีการก่อสร้างก้าวหน้ามากขึ้นหินที่วางข้างบนมัก เป็นแผ่นวางทับติดต่อโดย ตลอด น้ำหนักแผ่นหนึ่งประมาณ 7 ตัน ภายในวงกลมมีเสาหินปักเป็นโต๊ะหินอีกชั้น หินแต่ละก้อนที่นำมาต่อกัน รู้จักทำสลักเป็นเดือยเพื่อป้องกันไม่ให้หลุดออกจากกัน ที่ มีชื่อเสียงคือ หินโต๊ะล้อมกลม ที่วิลเซอร์ (WILTSHIRE) ประเทศอังกฤษ

อียิปต์ 5,000 - 4,000 B.C งานจิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรมส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีฝังศพซึ่งมีความเชื่อในเรื่องโลกหน้า สวรรค์ นรก และการกลับฟื้ นคืนชีพมาใหม่ เชื่อว่าคนที่ตายไปแล้ววิญญาณ (Ka) จะออกจากร่างไปให้สุริยเทพพิพากษา เมื่อหมดเวรกรรมแล้ววิญญาณจะ กลับมาเข้าร่างเดิมใหม่ จึงมีการรักษาศพไว้อย่างดีและนำสิ่งของเครื่องใช้ที่ มีค่าของผู้ตายบรรจุตามลงไปด้วย Timeline 1 1520-1480 B.C รัชสมัยของพระนาง Hatasu (Hatshepsut) วิหารไว้พระศพของ พระนางที่เมือง Deir el Bahari (1,500 B.C. ) เป็นอนุสรณ์โบราณ ที่มหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่ง 1501-1447 B.C 2 รัชสมัยของพระเจ้า Thothames ที่ 3 (หรือพระเจ้า Thutmosis) เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่และทรงสร้างวิหารมากมายหลายแห่ง

3 1411-1375 B.C รัชสมัยของพระเจ้า Amenophis ที่ 4 (หรือพระเจ้า Ikhnaton) ทรง ย้ายเมืองหลวงมาที่เมือง Tel el Amama เป็นสมัยที่เริ่มต้นศิลปะแบบ จริง (Realistic art) ราชบุตรเขยของพระองค์คือพระเจ้า Tutankamen นั้นได้มีการค้นพบสุสานในปี 1922 ซึ่งเต็มไปด้วยศิลป วัตถุจำนวนมหาศาลในสภาพสมบูรณ์ดี 1375-1358 B.C 4 รัชสมัยของพระเจ้า Amenophis ที่ 45 ( หรือพระเจ้า Ikhnaton) ทรงย้ายเมืองหลวงมาที่เมือง Tel el Amarna เป็นสมัยที่เริ่มต้นศิลปะ แบบจริง (Realistic art) ราชบุตรเขยของพระองค์คือ พระเจ้า Tutankamen นั้นได้มีการค้นพบสุสานในปี 1922 ซึ่งเต็มไปด้วยศิลป วัตถุจำนวนมหาศาลในสภาพสมบูรณ์ 5 1292-1225 B.C รัชสมัยของพระเจ้า Ramses ที่ 26 เชื่อกันว่าพระเจ้า Ramses องค์นี้สร้างห้องโถงใหญ่ (Hypostyle hall) ของ วิหารแห่ง Karmak สุสานที่สร้างสกัดหน้าผาอันมีชื่อเสียงของ พระองค์อยู่ที่เมือง Abu Simbel 712-332 B.C 6 จากศตวรรษที่ 8 B.C. อาณาจักรของอียิปต์เริ่มแตกแยกและถูก ปกครองโดยประเทศเอธิโอเปียอัสสิเรียบาบิโลเนียและเปอร์เซียตาม ลำดับในศตวรรษที่ 7 B.C. มีการฟื้ นฟูวรรณคดีและศิลปะซึ่งเรียก ว่า“ Saite” หรือศิลปะใหม่ของสมัยโบราณ (Neo 'Saite'¹, 17

จิตรกรรม งานจิตรกรรมของอียิปต์เป็นภาพที่เขียนไว้บน ฝาผนังสุสานและวิหารต่าง ๆ สีที่ใช้เขียนภาพ ทำจากวัสดุทางธรรมชาติ ได้แก่ เขม่าไฟ สารประกอบทองแดง หรือสีจากดินแล้ว นำ มาผสมกับยางไม้ น้ำ ใช้พู่กันขนสัตว์หรือต้น พืช สีที่ใช้คือ แดง เหลือง น้ำเงิน เขียว ดำ ขาวการจัดองค์ประกอบไม่นิยมพื้นที่ว่าง เรื่อง มิติไม่นิยม หลักทัศนียภาพไม่รู้จักใช้ซ้อนทับ กัน รูปคนลักษณะพิเศษไม่แสดงอารมณ์บน ใบหน้า ไม่เล่นแสงเงาและเน้นให้เห็นรูปร่าง แบน ๆ มีเส้นรอบนอกที่คมชัด จัดท่าทางของ คนแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ภาพจิตกรรมฝาผนังของอียิปต์ ในรูปสัญลักษณ์มากกว่าแสดงความเหมือนจริงตามธรรมชาติ มักเขียนอักษร ภาพลงในช่องว่างระหว่างรูปด้วยและเน้นสัดส่วนของสิ่งสำคัญในภาพให้ใหญ่ โตกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ เช่นภาพของกษัตริย์หรือฟาโรห์จะมีขนาดใหญ่กว่า มเหสีและคนทั้งหลาย นิยมระบายสีสดใส บนพื้นหลังสีขาว ภาพจิตกรรมฝาผนังของอียิปต์

ประติมากรรม ลักษณะงานประติมากรรมของอียิปต์จะมีลักษณะเด่นกว่างานจิตรกรรม มี ตั้งแต่รูปแกะสลักขนาดมหึมาไปจนถึงผลงานอันประณีตบอบบางของพวกช่างทอง ชาวอิยิปต์นิยมสร้างรูปสลัก ประติมากรรมจากหินชนิดต่าง ๆ เช่น หินแกรนิต หินดิ โอไรด์และหินบะซอลท์ หรือบางทีก็เป็นหินอะลาบาสเตอร์ซึ่งเป็นหินเนื้ออ่อนสีขาว ถ้า เป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ก็มักเป็นหินทราย นอกจากนี้ยังมีทำจากหินปูนและไม้ ซึ่งมักจะพอกด้วยปูนและระบายสีด้วย งานประติมากรรมขนาดเล็ก มักจะทำจาก วัสดุมีค่า เช่น ทองคำ เงิน อิเลคตรัม หินลาปิสลาซูลี เซรามิค ฯลฯ รูปสลักหินพระนางเนเฟอร์ติติและ เสาสลักบริเวณหุบผากษัตริย์ ฟาโรห์อามิโนฟิสที่ 4 พระสวามี เดิมทีอามิโนฟิสที่ 4 เป็นกษัตริย์ของ Thebes ประติมากรรมของอียิปต์มีทั้ง ประติมากรรมแบบนูนสูง แบบนูนต่ำ แบบลอยตัว แบบนูน ต่ำมักจะแกะสลักลวดลายภาพบน ผนัง บนเสาวิหาร และประกอบรูป ลอยตัว ประติมากรรมแบบลอยตัว มักทำเป็น รูปเทพเจ้าหรือรูปฟาโรห์ ที่มีลักษณะคล้ายกับเทพเจ้า นอกจากนี้ยังทำเป็นรูปข้าทาส บริวาร สัตว์เลี้ยง และ สิ่งของ เครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบใน พิธีศพอีกด้วย ในที่นี้ทางเราจึงให้ ข้อมูลครบถ้วน

สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมอียิปต์ สร้างขึ้นเพื่อคนที่ล่วงลับไปแล้ว โดยคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่ สามารถใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมนั้นๆ ใช้ระบบโครงสร้างเสาและคาน แสดงรูป ทรงที่เรียบง่ายและ แข็งทื่อ ขนาดช่องว่างภายในมีเล็กน้อยและต่อเนื่องกันโดย ตลอด สถาปัตยกรรมสำคัญของชาวอียิปต์ได้แก่ สุสานที่ฝังศพ ซึ่งมีตั้งแต่ของ ประชาชนธรรมดาไปจนถึงกษัตริย์ ซึ่งจะมีความวิจิตร พิสดาร ใหญ่โตไปตามฐานะ และอำนาจ พีระมิดเมืองกิซ่า ลักษณะของการสร้างสุสานที่เป็น สถาปัตยกรรมสำคัญแห่งยุคก็คือ ปิรา มิด ปิรามิดในยุคแรกเป็นแบบขั้นบันได หรือเรียกว่า มัสตาบา ต่อมามีการ พัฒนา รูปแบบวิธีการก่อสร้างจนเป็นรูป ปิรามิดที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมี การสร้างวิหารเทพเจ้า เพื่อใช้ประกอบ พิธีกรรมของนักบวช และวิหารพิธีศพ เพื่อใช้ประกอบพิธีศพ ในสมัยอาณาจักร ใหม่ (1020 ปีก่อน พ.ศ – พ.ศ. 510) วิหารเหล่านี้มีขนาดใหญ่โต และ สวยงาม ทำจากอิฐและหิน ซึ่งนำรูปแบบ วิหารมาจากสมัยอาณาจักรกลางที่เจาะ เข้าไปในหน้าผา บริเวณหุบผากษัตริย์ และ หุบผาราชินี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสุสาน กษัตริย์และราชินีฝังอยู่เป็นจำนวนมาก หุบผากษัตริย์

เมโสโปเตเมีย 4,000 - 550 B.C บริเวณที่เรียกว่าตะวันออกใกล้ (Near East) อียิปต์ อิสราเอล ซีเรีย อีรัก อิหร่าน ตุรกี ดินแดนส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย เหลือความอุดมสมบูรณ์ตามบริเวณลุ่มแม้น้ำ เช่น แม่น้ำไนล์ แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส (ซีเรีย - อิรัก) มีชนเผ่าต่าง ๆ อาศัยอยู่ ตามเวลาแต่ละยุคสมัยอาณาจักรบาบิโลเนีย มีกษัตริย์ที่สามารถพระองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าฮัมมูราบิ ทรงตรากฎหมายใหม่ศิลปกรรม ส่วนใหญ่ก่อสร้างด้วยอิฐเผ่าไฟ หรือดินผสมฟางตากแดดให้แห้งสถาปัตยกรรม เนื่องจากวัสดุไม่คงทนถาวร สันนิษฐานว่ามีแผนผังสี่เหลี่ยมและมีการใช้เสาและประตูโค้ง (Arch) เพื่อรับน้ำหนัก จักรวรรดิอัสสิเรีย กษัตริย์สำคัญคือพระเจ้าอัสสุรนะสิรปาล บริเวณลุ่มแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ซึ่งน้ำท่วมถึงแต่เมื่อกล่าวถึงทางด้านวัฒนธรรม แล้วศิลปะของประเทศเปอร์เซีย ฮิตไตท์และเฟอนีเชียก็รวมเข้าอยู่ในศิลปะของเมโสโปเต เมียด้วย ชนชาติต่าง ๆ ได้สู้รบกันเพื่อชิงความเป็นเจ้าเป็นใหญ่แต่โดยทั่วไปแล้ว เราอาจกล่าว ว่าวัฒนธรรมของเมโสโปเตเมียไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่สมัยช่วสุเมเรียน เพราะความ แตกต่างกันในผืนแผ่นดินและฐานะทางภูมิศาสตร์ศิลปะของเมโสโปเตเมียจึงต่างกันกับ ของอียิปต์ ชนชาติในเมโสโปเตเมียมีสิ่งปฏิบัติร่วมกันโดยเฉพาะเป็นพิเศษ คือ 1. ใช้อิฐเผาและเคลือบ 2. มีความรู้ในการชลประทานเป็นอย่างดี 3. สร้าวพระราชวังและวิหารบนพื้ นที่ยกพื้ นสูง 4.ใช้ระบบการก่อสร้างด้วยโวลท์และโตม (Vaults amd Domes) 5.ใช้ตราเครื่องหมาย (Seals) 6.ใช้ตัวหนังสือรูปลิ่ม (Cuneiform Writting) 7.ใช้ดินเผาไฟเป็นแผ่นบางๆ (มีรูปภาพและอักษร) 8.ทำเครื่องปั้ นดินเผาและแจกันด้วยหินอ่อนมาก (Alabaaster)

ศักราช (ก่อนคริสต์ศักราช - B.C) 4,000 - 1,950 ซูเมอร์ (Sumer) 2,750 - 1,950 อักกาด (Akkad) 2,600 - 538 บาบิโลเนีย (Babylonia) 2,700 - 612 อัสสิเรีย (Assyria) 1,900 - 1,200 ฮิตไทด์ (Hittite) 3,000 - 640 อีลาม (Elam) 750 - 550 มีเดีย (Media) สถาปัตยกรรม การวางผังพระราชวังจัดอย่างสลับซับซ้อน ใช้อิฐในการก่อสร้าง ใช้ระบบหลังคาโค้ง ( Barrel Vault) ประตูอิชตาร์ หอบาเบล

ประติมากรรม รูปวัวแกะสลักมีปีกแต่หัวเป็นคน เป็นสัญลักษณ์ คือ วัวหมายถึง แผ่นดิน ศีรษะคน หมายถึง กษัตริย์ ปีก หมายถึง ท้องฟ้าเป็นภาพนูนสูง สร้างเป็นรูปวัวมี 5 ขา ที่ทำเช่น นั้นเพราะหวังผลในการมองดูแต่ละจุดยืน สิงโตสลักได้สวยงามมีชิตสมจริง ภาพสิงโต บาดเจ็บ (wounded lion) รูปวัวแกะสลักมีปี กแต่หัวเป็ นคน ภาพสิงโตบาดเจ็บ ( wounded lion) ยุคโบราณ (Ancient Age) ประมาณ 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล ศิลปะตะวันออกใกล้ (Ancient Near Eastem Aft) อียิปต์พัฒนา อารยธรรมเจริญรุ่งเรื่องสุดขีดในลุ่มแม่น้ำไนล์ ส่วนทางฝั่ งตะวันออกของทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนแถบแม่น้ำไทกรีส และยูเฟรทีส ได้แก่ดินแดนบางส่วนของ ประเทศอิหร่าน ซีเรีย จอร์แดน และซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน เรียกว่าแคว้นเมโสโปเต เมีย (Mesopotamia) หมายถึงดินแดนในลุ่มแม่น้ำสองสาย ชนชาติดังกล่าวมี อารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกัน ประเทศที่อยู่ในวัฒนธรรมนี้ได้แก่ สุเมเรียน บาบิโลเนียน อัสซิเรียน เปอร์เซีย

ลักษณะศิลปกรรมของสุเมเรียนมีความแตกต่างจากศิลปกรรมอียิปต์ คือ อียิปต์ใช้ หินเป็นวัสดุก่อสร้าง ส่วนสุเมเรียนใช้อิฐเผาก้อนใหญ่ ๆ มาเรียงกัน ดังนั้นสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่จึงมีอิฐเป็นโครงสร้างหลัก สถาปัตยกรรมของสุเมเรียนที่รู้จักกันมากที่สุดคือ วิหารใหญ่เรียกว่า ซิกูรัต (Zigurat) เป็นหอสูงแบบตึกระฟ้า มีทางเดินเป็นบันไดวน เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีทางศาสนา ซิกูรัต (Zigurat) ศิลปะบาบิโลน อยู่ช่วง 700 ปี ก่อนคริสตกาล มีสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาก และ เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือสวนลอยแห่งบาบิโลน โดยสร้างสวนให้สูงจากพื้นดิน ใช้อิฐ ซ้อนกันขึ้นไป วางผังลดหลั่นกันและมีความสลับซับซ้อน ตามซุ้มประตูต่าง ๆ ประดับ ด้วย ภาพสลักขนาดมหึมา ปัจจุบันสวนแห่งนี้ถูกทับถมปรักหักพังไปหมดแล้ว เหลือ เฉพาะฐานรากบางส่วนเท่านั้น ศิลปะอัสซิเรียน อยู่ในช่วง 900 ปี ก่อนคริสตกาล ศิลปกรรมงานแกะสลักที่มีชื่อ เสียง เป็นรูปสิงโตกำลังกัดเด็กหนุ่มพบในพระราชวังเมืองนิมรุดในอัสซิเรีย งานชิ้นนี้ ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติซกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ประติมากรรมลอยตัวชิ้น สำคัญที่ติดตั้งตามทางเข้าพระราชวังมีขนาดใหญ่โต เป็นรูปสิงโตมีปีก (Winged Lion) ส่วนงานสถาปัตยกรรมของอัสซิเรียน มีอาคารก่ออิฐเป็นโครงสร้างหลัก เป็นรูปโค้งรับน้ำหนักและใช้อิฐและหินก่อเป็นกำแพง ตกแต่งภายในด้วยภาพ จิตรกรรมฝาผนัง และกระเบื้องเคลือบเป็นรูปสิงโต ศิลปะเปอร์เซีย อยู่ในช่วง 1 ,000 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมของเปอร์เซียมีชื่อ เสียงโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่มีการตกแต่งภายในอย่างสวยงาม มีงาน ประติมากรรมใช้ในการตกแต่งสถาปัตยกรรม ได้แก่ เสาหินวัวคู่ ประดับพระราชวังที่ เมืองเปอร์เซโปลิส (Persepol)

กรีก 4,000 - 100 B.C ศิลปกรรม ความเจริญด้านศิลปกรรมเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของอารยธรรม กรีกซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของงานศิลปกรรมของโลก ส่วนใหญ่ เป็นงานสร้างสรรค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความศรัทธาทางศาสนา โดยสร้าง ขึ้นเพื่อแสดงความเคารพบูชาและบวงสรวงเทพเจ้าของตน ผลงานที่ได้รับการ ยกย่องมีจำนวนมากที่สำคัญได้แก่ ด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และศิลปะการแสดง สมัยก่อนชนชาติกรีกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศกรีซ 3,000 - 2,000 : สมัยอีเยี่ยน (Aegean) ศิลปวัตถุของสมัยนี้ที่ยังคงเหลืออยู่ ให้เราได้เห็นคืองานเครื่องปั้ นดินเผาเท่านั้น 2,000 - 1,400 : สมัยครีเตียนหรือไมโนอัน (Cratean = Minoan) ได้ พบพระราชวังที่เมือง Cnossus แลเมือง Phaestus ใน เกาะครีต (Crete)

สมัยก่อนโฮเมอร์เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศกรีซ 2,000 : ชาวกรีกเคลื่อนย้ายจากบริเวณลุ่มแม่น้ำ Danuube เข้าสู่ ประเทศกรีซ 1,400 - 1,100 : สมัยไมซีเนียน (Mycenean) หลังจากอาณาจักรของไมโนอัน สลายตัวลงแล้ว เมืองต่าง ๆ ของกรีกก็รับเอาวัฒนธรรมของเกาะ ครีดสืบไป 1184 : สงครามกรุงทอย หรืออิลลุอุม (Troy : Illium) ทรอยเป็น เมืองโบราณของเอเชียไมเนอร์ หรือเอเชียน้อยในแคว้นโทรอัด (Troad) กาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ บรรยายถึงการยึดครองและ การทำลายกรุงทรอยโดยพวกกรีก ซึ่งใช้เวลาถึง 10 ปี ติดต่อกันจน ในที่สุดกรีกใช้อุบายโดยซ่อนทหารอยู่ในม้าไม้เมื่อพวกทรอยเข็นม้าไม้ เข้าเมือง เลี้ยงฉลองชัยชนะกันจนเมามาย ไม่ระวังตัว ทหารกรีกจึง ออกมาจากม้าไม้ในตอนดึก ฆ่าฟันพวกทรอยและเผาเมืองเสีย จาก การขุดค้นของชลีแมนปรากฏว่ามีเมืองทับถมกันอยู่ถึง 9 เมือง 1,100 : การรุกรานของพวกดอเรียน (Dorians) พวกนี้เป็นกรีกสายที่ 2 จากลุ่มแม่น้ำ Danube หลังจากที่พวกกรีกสายแรก คือ อาเกียน (Achaeans) ได้เคยรุกรานประเทศกรีซมาแล้ว กรีกสายตอ เรียนนี้ได้รุกรานเมืองต่าง ๆ ทำให้พวกกรีกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนเป็น จำนวนมากต้องอพยพไปอยู่ตามฝั่ งทะเลของเอเชียไมเนอร์ 1,100 - 900 : สมัยของการสร้างบ้านเมืองใหม่ หลังจากการรุกรานของพวก เดอเรียน 900 : สมัยโฮเมอร์ผู้แต่งกาพย์อีเลียดและโอดีสซี 776 : 700 : กีฬาแข่งโอลิมปิคครั้งแรก กรีกตั้งอาณานิคมขึ้นในเกาะซิซิลีในภาคใต้ของอิตาลีและตาม ชายฝั่ งทะเลดำในเกาะซิซิลีและในภาคใต้ของอิตาลีนั้นกรีกเรียกว่า Magna Gracia หรือกรีกผู้ยิ่งใหญ่ มีวหารเทพเจ้าและโรง ละครของกรีกดังกล่าวเป็นการให้อิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรม และศาสนาแก่ชนชาติอื่น ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนเป็นอย่างมาก

สมัยศิลปะของกรีก 800 - 650 : Primitive เป็นสมัยเริ่มต้น 651 - 450 : Archaic เป็นสมัยคลี่คลายจาก Primitive 450 - 300 : Classic เป็นสมัยเจริญสูงสุดหรือยุคทอง 300 - 146 : Classic เป็นสมัยเจริญสูงสุดหรือยุคทอง สงครามระหว่างกรีซกับเปอร์เซีย 490 : กรีกชนะกองทัพบกเปอร์เซียที่มาราธอน 480 : กรีกชนะกองทัพเรือเปอร์เซียที่ซาลสมีส 479 : กรีกชนะกองทัพบกเปอร์เซียที่ปลาเด 444 - 430 : กรุงเอเธนส์เป็นศูนย์กลางของความเจริญทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม ปรัชญา วนนณคดี และอื่น ๆ ภายใต้การนำของเปริคลีส 431 - 404 : สงครามเปโลปอนเนเซียน (Peloponesian Wars) ระหว่าง กรุงเอเธนส์กับสปาร์ดา 382- 346 : พระเจ้าฟิลลิปมหาราชแห่งแคว้นมสิโดเนียรวบรวมประเทศกรีซให้เป็น 356- 323 : ปึกแผ่น 200 - 148 : พระเจ้าฟิลลิปมหาราชแห่งแคว้นมสิโดเนียรวบรวมประเทศกรีซให้เป็น 146 : ปึกแผ่น สงครามระหว่างแคว้นมสิโดเนียกับโรม โรมชนะมสิโดเนีย โรมรุกรานประเทศกรีซ ศิลปะของกรีกดำเนินไปตามสมัยเฮลเลนนิสติค สงครามระหว่างกรีซกับเปอร์เซีย

จิตรกรรม กรีกไม่นิยมสร้างจิตรกรรมนักเพราะถือว่าไม่อาจถ่ายทอดรูปแบบที่มีลักษณะที่แท้ จริงได้ ดังนั้นงานจิตรกรรมส่วนใหญ่ จึงออกมาในรูปแบบการประดับตกแต่งบนภาชนะ เครื่องปั้ นดินเผาต่างๆ เช่น ไห แจกัน อีกทั้งมีภาพบนผนัง ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นจิตรกรรม แท้ของกรีกก็ยังขาดความเป็นเอกลักษณ์ เพราะมักเป็นภาพเล่าเรื่อง จิตรกรรมของกรีกที่ รู้จักกันดีก็มีแต่ภาพวาดระบายสีตกแต่งผิวแจกันเท่านั้น ที่ชาวกรีกนิยมทำมาจนถึงพุทธ ศตวรรษที่ 1 เป็นภาพที่มีรูปร่างที่ถูกตัดทอนรูปจนใกล้เคียงกับรูปเรขาคณิต มีความ เรียบง่ายและคมชัด สีที่ใช้ได้แก่ สีดิน คือเอาสีดำอมน้ำตาลผสมบางๆ ระบายสีเป็นภาพบน พื้นผิวแจกันที่เป็นดินสีน้ำตาลอมแดง แต่บางทีก็มีสีขาวและสีอื่นๆ ร่วมด้วย เทคนิคการ ใช้รูปร่างสีดำ ระบายพื้นหลังเป็นสีแดงนี้ เรียกว่า “จิตรกรรมแบบรูปตัวดำ” และทำกัน เรื่อยมาจนถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 1 มีรูปแบบใหม่ขึ้นมาคือ “จิตรกรรมแบบรูปดัวแดง” โดยใช้สีดำอมน้ำตาลเป็นพื้นหลังภาพ ตัวรูปเป็นสีส้มแดง หรือสีน้ำตาลไม้ ตามสีดินของ พื้นแจกัน ผลงานด้านจิตรกรรมนี้ไม่ค่อยเด่นชัดเท่าที่ควร เนื่องจากหลักฐานมักจะ สูญหายไปเสียส่วนมากไม่คงทนเท่ากับศิลปะแขนงอื่นๆ จึงขุดพบไม่มากนัก ภาพวาดระบายสีบนผิวแจกัน ประติมากรรม ผลงานด้านประติมากรรมจัดว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่น ที่สุดในงานศิลปกรรมของกรีก ประติมากรรมส่วนมาก เป็นเรื่องศาสนาซึ่งสร้างถวายเทพเจ้าต่าง ๆ วัสดุที่นิยม ใช้สร้างงานได้แก่ ทองแดงและดินเผาในสมัยต่อมานิยม สร้างจากสำริดและหินอ่อนเพิ่มขึ้นในสมัยแรก ๆ รูปทรง ยังมีลักษณะคล้ายรูปเรขาคณิตอยู่

การแสดงออกทางประติมากรรมของกรีกเกี่ยวข้องกับปรัชญาความคิดของแต่ละ สมัย ระหว่างศตวรรษที่ 10 - 8 ก่อนคริสตกาล ชีวิตคนกรีกยังสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น เช่น เจ้าแม่ เทพเจ้า ที่พวกเขาจินตนาการขึ้นมาผสมกับสิ่งที่ เป็นจริงที่มองเห็นได้ด้วยตา สิ่งที่เป็นธรรมชาติ คนพึ่งศาสนามาก เพราะชีวิตในสมัยนี้มี แต่การทำสงคราม ตัวอย่างดูได้จากงานประติมากรรมแบบเรขาคณิต ปลายศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาลลงมา มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมกรีกอย่าง ใหญ่หลวง เนื่องจากเกิด \"นักคิด นักปรัชญา\" ขึ้นมาสอนให้คนกรีกหันมาสนใจเรื่องราว ของ จักรวาลหรือธรรมชาติ ความมีเหตุผล และคุณธรรม ความคิดเหล่านี้แรกเริ่มกรีกรับ มาจากนักคิดชาวตะวันออก คือ ชาวไอโอเนียน เช่น เธลส์ เดอ มิเลท์ (640-562 ก่อน ค.ศ.) อแนกซิแมนเดอร์ และ อแนกซิเมน เดอ มิเลท์ (ประมาณ 550 ปีก่อนค.ศ.) ที่ สอนให้คนศึกษาธรรมชาติ ดูตัวอย่างงานได้ในประติมากรรมแบบที่ได้รับอิทธิพลของศิลปะ ตะวันออกที่เราจะเห็นว่าเริ่มปั้ นรูปคนใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น มีการแสดงความรู้สึกออก มาทางใบหน้า ราว 530 ปีก่อนค.ศ. ไพตากอรัส นักคิดจากเกาะซาโมสของกรีก เปิดสอน คณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ขึ้นมา เขาให้ความคิดว่าทุกอย่างนับได้ วัดได้ ความนี้สะท้อน ให้เห็นในงานประติมากรรมกรีกแบบโบราณ ตามภาพข้างบนจะเห็นว่ามีการวัด จัดภาพ อย่างมีสัดส่วน โสเครตีส ชาวเอเธนส์ เป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่ของกรีก เขาเกิดเมื่อ 470 ปีก่อนค.ศ. เป็นบุตรของช่างตัดหิน เขา เน้นให้คนรู้จักใช้เหตุผล รู้จักตนเอง หมายถึง รู้จัก ธรรมชาติของมนุษย์ เขามีความเชื่อในเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ ว่าเป็นผู้คอยเตือนเราไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความคิด ของเขามีผู้สืบทอด คือเปลโต้ ผู้เป็นศิษย์ และเป็นผู้ตั้ง โรงเรียนแห่งแรกขึ้นมา ชื่อ อคาเดมิค สอนวิชา คณิตศาสตร์ เรขาคณิต ดนตรี และดาราศาสตร์ ทฤษฎี ของเปลโต คือ ความจริง ดังสะท้อนให้เห็นผ่านงาน ประติมากรรมแบบคลาสสิคยุคแรก งานประติมากรรมแบบคลาสสิคยุคหลัง ได้รับ อิทธิพลทางความคิดมาจากนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่ง คือ อริสโตเติ้ล (385-343 ปีก่อนค.ศ.) ผู้ออกจากโรง Socrates เรียนอคาเดมิคของเปลโต พระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็ก ซานเดอร์มหาราชด้วย อริสโตเติ้ลสอนให้คนคิดอย่างมี เหตุผล ให้คนพิจารณาธรรมชาติของมนุษย์ ปรัชญาของ เขาสืบทอดมาถึงสมัยเฮเลนิสติค

ประติมากรรมแบบเรขาคณิต งานประติมากรรมนูนต่ำ สลักบนหินอ่อน ภาพคนผู้ชายกับสัตว์ในเทพนิยายครึ่งคนครึ่งม้า ใช้ประดับวิหาร Parthenonในกรุงเอเธนส์นี้ สมัยครึ่งหลังของศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล เป็นงานของประติมากร Phidias สถาปัตยกรรม ชาวเอเธนส์ได้สร้างสรรค์งานด้านสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นให้แก่ชาวโลกจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างอาคารเพื่อกิจกรรมสาธารณะ เช่น วิหาร สนามกีฬา และโรงละคร ความโดดเด่นของงานสถาปัตยกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใหญ่โตของสิ่งก่อสร้าง แต่เป็น ความงดงามของสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น วิหารพาร์เทนอน ( Parthenon) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอะโครโพลิส (Acropolis) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีสัดส่วนงดงามทั้งความ ยาว ความกว้างและความสูง จัดว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของโลก วิหารพาร์เทนอน

สถาปัตยกรรมใช้ระบบโครงสร้างแบบเสาและ คานเช่นเดียวกับอียิปต์มีแผนผัง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจากฐานอาคารซึ่งยกเป็นชั้น ๆ ก็จะเป็นฝาผนังโดยปราศจาก หน้าต่างซึ่งจะกั้นเป็นห้องต่าง ๆ 1- 3 ห้องปกติสถาปนิกจะสร้างเสารายล้อมรอบอาคาร หรือสนามด้วยมีการสลับช่วงเสากัน อย่างมีจังหวะระหว่างเสากับช่องว่างระหว่างเสาทำให้ พื้นภายนอกรอบ ๆ วิหารมี ความสว่างและมีรูปทรงเปิดมากกว่าสถาปัตยกรรมอียิปต์และ มีขนาดเหมาะสมไม่ใหญ่ โตจนเกินไปมีรูปทรงเรียบง่าย สถาปัตยกรรมกรีกแบบพื้นฐาน 2 ใน 3 แบบเกิดในสมัยอาร์คาอิกคือแบบดอริกและแบบไอโอ นิกซึ่งแบบหลังพบแพร่หลาย ทั่วไปในแถบเอเชียไมเนอร์เสาเหล่านี้แต่ละต้นจะมี คานพาดหัวเสาถึงกันหมดในสมัยต่อมา เกิดสถาปัตยกรรมอีแบบหนึ่งคือแบบโครินเธียนหัวเสาจะมีลายรูปใบไม้ชาวกรีกนิยมสร้าง อาคารโดยใช้สถาปัตยกรรมทั้งสามชนิดนี้ผสมผสานกันโดยมีการตกแต่งประดับประดา ด้วยการแกะสลักลวดลายประกอบบางทีก็แกะสลักรูปคนประกอบไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการใช้สี ระบายตกแต่งโดยสี น้ำเงินได้รับ ความนิยมใช้ระบายฉากหลังรูป ลวดลายที่หน้าจั่วและสีแดงใช้ระบาย ฉากหลังสำหรับประติมากรรมที่หัวเสา และลายคิ้วคาน กรีกนิยมใช้สัดส่วน ทองในงานสถาปัตยกรรม และงาน สถาปัตยกรรมของกรีกจะเกี่ยวเนื่อง กับงานสาธารณชน มีลักษณะเรียบ ง่าย นิยมประตูเดียว มีเสาเป็นแถวอยู่ ภายนอก มีห้องเดียวหรือสองห้อง มี การสร้างโคลอสเซียมและวิหารจำนวน มาก

โดยมีลักษณะสำคัญที่ “ หัวเสา ” ที่บ่งบอกได้ถึงสมัย ของสถาปัตยกรรมในกรีก มี 3 แบบ ดังนี้ ดอริก เป็นแบบที่เรียบง่าย มั่นคง แข็งแรง เป็นแบบที่ แพร่หลายมากที่สุด และเก่าแก่ที่สุด ลักษณะของเสาส่วนล่าง จะใหญ่แล้วเรียวขึ้นเล็กน้อย ตามเสาจะแกะเป็นร่องลึกเว้า 20 ร่อง ตอนบนของเสา จะมีคิ้วที่โค้งออกมารองรับแผ่นหิน สี่เหลี่ยมต่อจากนั้นจึงเป็นโครงสร้างจั่ว Doric Order ไอโอนิก เป็นแบบที่ให้ความรู้สึกอ่อนช้อย นุ่มนวล ตอนบนและตอนล่างของเสามีขนาดเท่ากัน มีร่องเว้า 20 ร่อง ระหว่างร่องมีแถบเรียงขั้นแต่ละร่องเว้า ตอนบนของเสา แกะ สลักเป็นรูปก้นหอย ส่วนบนจะมีแผ่นหินสี่เหลี่ยมคั่นไว้เสาแบบ ไอโอนิกนี้มีขนาดเล็กกว่าเสาแบบดอริก และนิยมสร้างฐาน ทำให้รูปทรงระหงมากขึ้นต่างจากเสาแบบดอริกที่ไม่นิยมสร้าง ฐานรองรับ Ionic Order คอรินเธียน ให้ความรู้สึกหรูหราฟุ่มเฟือย นิยม นำมาเป็นแบบอย่างในสมัยโรมัน ลักษณะหัวเสามีการ ตกแต่งโดยแกะเป็นรูปดอกไม้ใบไม้โดยดัดแปลงมาจากบ อาคันธัส รูปร่างคล้ายผักกาด ทำเป็นใบซ้อนกันสองชั้น แล้วแต่งด้วยดอกไม้ ส่วนล่างของสาวมีฐานรองรับ Corinthian Order

โรมัน 50 B.C - 2 A.D แบบอย่างศิลปะโรมันปรากฎลักษณะชัดเจนในช่วงพุทธ ศตวรรษที่ 4 เรื่อยมาจนกระทั่งประมาณ พ.ศ. 1040 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ จนกระทั่งเมื่อกรุง คอนสะแตนติโนเปิลได้กลายเป็นเมือง หลวงใหม่ของ จักรวรรดิโรมัน ในปี พ.ศ.870 ทำให้สมัยแห่งโรมันต้อง สิ้นสุดลง แหล่งอารยธรรมสำคัญของโรมัน คือ อารยธรรมกรีกและอีทรัสกัน จิตรกรรม จิตรกรรมของโรมัน อาศัยจากการค้นคว้าข้อมูลจากเมืองปอมเปอี สตาบิเอ และเฮอร์ คิวเลนุม ซึ่งถูกถล่มทับด้วยลาวาจากภูเขาไฟวิสุเวียส จิตรกรรมฝาผนังประกอบด้วยแผง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งมักเลียนแบบหินอ่อนเป็นภาพทิวทัศน์ ภาพคน และภาพเกี่ยวกับ สถาปัตยกรรมมีการใช้แสงเงา และกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจน เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกับ กาวน้ำปูนและสีขี้ผึ้งร้อน ยังมี ภาพประดับด้วยเศษหินสี (Mosaic) ซึ่งใช้กันอย่างกว้าง ขวาง ทั้งบนพื้นและผนังอาคาร

จิตรกรรมที่พบเมื่อปี ค.ศ. 1968 ก็อยู่ Doric Order ภายในที่ฝังศพวาดมาตั้งแต่ 470 ปีก่อนคริสต์ ศักราชที่เรียกว่า “ที่ฝังศพของนักดำน้ำ” ฉากที่ วาดมีความสำคัญทางประวัติ- ศาสตร์มาก เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ ของคนสมัยนั้น อีกภาพหนึ่งแสดงให้เห็นคน กลุ่มหนึ่งนอนเอนอย่างพบประสังสรรค์กัน อีก ภาพหนึ่งเป็นภาพชายหนุ่มกระโดดลงไปใน ทะเล ต่อมาภายในสมัยปลายจักรวรรดิโรมัน เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึง 2 จิตรกรรมฝา ผนังมักจะพบภายในที่ที่เก็บศพแบบสุสานรัง ผึ้งภายใต้ กรุงโรม และ ประเทศไซปรัส ครีต อี ฟิซุส (Ephesus) คะพาโดเซีย (Capadocia) และ อันติออก (Antioch) จิตรกรรมฝาผนังของโรมันเป็นแบบปูนเปียกบนปูนปลาสเตอร์สี นอกจากนั้นจิตรกรรมฝาผนังของคริสต์ศาสนายังพบได้ที่วัดโกเรเม (Churches of Goreme) ที่ ประเทศตุรกี เมื่อปลายยุคกลางและในสมัยเรอเนซองส์เป็นสมัยที่จิตรกรรมฝาผนังรุ่งเรืองที่สุด โดยเฉพาะในประเทศอิตาลีซึ่งยังนิยมใช้ศิลปะลักษณะนี้ตกแต่งในสิ่งก่อสร้างทางศาสนาและการ ปกครอง Churches of Goreme

ประติมากรรม ประติมากรรมของโรมัน รับอิทธิพลมากจากชาวอีทรัสกันและกรีกยุคเฮเลนิสติก แสดงถึงลักษณะที่ถูกต้องทางกายภาพ เป็นแบบอุดมคติที่เรียบง่าย แต่ดูเข้มแข็งมาก ประติมากรรมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือ ประติมากรรมรูปนูนเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดของเรื่องราวเหตุการณ์ถูกต้อง ชัดเจน วัสดุที่ใช้สร้างประติมากรรมของ โรมันมักสร้างขึ้นจาก ขี้ผึ้ง ดินเผา หิน และสำริด ฉากกล่าวหาจาก ภาพ สลักนูนต่ำของ Augustan Ara Pacis Publius Aiedius และ Aiedia ในช่วงต้นของศิลปะโรมันได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะของกรีซและของเพื่อนบ้านอิทรุส ตัวเองได้รับอิทธิพลอย่างมากจากภาษากรีกของพวกเขาคู่ค้า อาหารพิเศษของชาวอีทรัส คันอยู่ใกล้กับหลุมฝังศพขนาดเท่าตัวจริงในดินเผาโดยปกติแล้วจะนอนอยู่บนฝาโลงศพ โดยวางข้อศอกข้างหนึ่งในท่าทางของผู้รับประทานอาหารในช่วงเวลานั้น ในขณะที่ สาธารณรัฐโรมันที่ขยายตัวเริ่มเข้ายึดครองดินแดนกรีกในตอนแรกในอิตาลีตอนใต้และ จากนั้นโลกเฮลเลนิสติกทั้งหมดยกเว้นปาร์เธียนตะวันออกไกลประติมากรรมที่เป็นทางการ และแบบ Patricianส่วนใหญ่กลายเป็นส่วนขยายของสไตล์เฮลเลนิสติกซึ่งองค์ประกอบ ของโรมันโดยเฉพาะนั้นยากที่จะ ทำให้ยุ่งเหยิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประติมากรรมกรีกจำนวน มากที่มีชีวิตอยู่ในสำเนาของสมัยโรมันเท่านั้น เมื่อถึงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช \" ช่างแกะสลักส่วนใหญ่ที่ทำงานในกรุงโรม \" เป็นชาวกรีกมักตกเป็นทาสในการพิชิตเช่นโค รินธ์ (146 ก่อนคริสตศักราช) และช่างแกะสลักยังคงเป็นชาวกรีกส่วนใหญ่มักเป็นทาสซึ่ง ไม่ค่อยมีการบันทึกชื่อ รูปปั้ นกรีกจำนวนมากถูกนำเข้ามาในโรมไม่ว่าจะเป็นของโจรหรือ เป็นผลมาจากการขู่กรรโชกหรือการค้าและวิหารมักได้รับการตกแต่งด้วยผลงานกรีกที่นำ กลับมาใช้ใหม่

สไตล์อิตาเลียนพื้นเมืองสามารถพบเห็นได้ในอนุสรณ์สถานหลุมฝังศพของชาวโรมัน ชนชั้นกลางที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งมักจะมีรูปปั้ นรูปปั้ นเหมือนคนทั่วไปและการวาดภาพบุคคลถือ เป็นจุดแข็งหลักของประติมากรรมโรมัน ไม่มีผู้รอดชีวิตจากประเพณีการสวมหน้ากากของ บรรพบุรุษที่สวมใส่ในขบวนแห่ในงานศพของตระกูลใหญ่และจัดแสดงในบ้าน แต่รูปปั้ นครึ่ง ตัวจำนวนมากที่รอดมาได้ต้องเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษบางทีอาจมาจากสุสานของตระกูล ใหญ่เช่นหลุมฝังศพของ Scipios หรือในภายหลัง Mausolea นอกเมือง \" Capitoline Brutus \" ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นส่วนหัวสีบรอนซ์ที่คาดว่าจะเป็นของ Lucius Junius Brutus นั้นมีความเก่าแก่ที่แตกต่างกันมาก แต่ถือเป็นการเอาตัวรอดจากสไตล์ตัวเอียงภายใต้ สาธารณรัฐที่หาได้ยากมาก ในทำนองเดียวกันหัวที่เข้มงวดและมีพลังจะเห็นในเหรียญของ กงสุลและในเหรียญสมัยจักรวรรดิรวมทั้งรูปปั้ นครึ่งตัวที่ส่งไปรอบ ๆ จักรวรรดิเพื่อวางไว้ใน มหาวิหารของเมืองต่างจังหวัดเป็นรูปแบบภาพหลักของการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิ แม้แต่ Londinium ก็มีรูปปั้ น Nero ที่อยู่ใกล้ขนาดมหึมาแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่า Colossus of Nero ที่มีความสูง 30 เมตรในกรุงโรม แต่ปัจจุบันก็สูญหายไปแล้ว หลุมฝังศพของ Eurysaces เบเกอร์, ที่ประสบความสำเร็จเป็นอิสระ (50-20 BC) มีผนังที่เป็นตัวอย่างที่มี ขนาดใหญ่ผิดปกติของรูปแบบ \" สามัญชน \" ภาพวาดของชาวโรมันมีลักษณะเฉพาะด้วย รูปปั้ นเหมือนจริงของชายชรามีผ้าคลุมศีรษะ \" หูดและความสมจริงทั้งหมด \" ( capite velato ) ปั้ นครึ่งตัวของ ลูเซียสเคซิลิุส ยูคันดัส ทั้งนักบวชหรือ paterfamilias หล่อไปจากเดิมในบรอนซ์พบในปอมเปอี (หินอ่อนกลางศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช)

โดยทั่วไปแล้วชาวโรมันไม่ได้พยายามที่จะแข่งขันกับผลงานกรีกที่ยืนหยัดอย่างอิสระใน การหาประโยชน์จากประวัติศาสตร์หรือเทพนิยาย แต่ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ได้ผลิตงานทาง ประวัติศาสตร์ในรูปแบบโล่งอกโดยปิดท้ายด้วยเสาชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของโรมันที่มีการ บรรยายภาพนูนต่ำที่คดเคี้ยวรอบตัวพวกเขาซึ่งสิ่งเหล่านี้ เพื่อระลึกถึง Trajan (CE 113) และ Marcus Aurelius (ปี 193) อยู่รอดในกรุงโรมโดยที่ Ara Pacis ( \" Altar of Peace \" , 13 BCE ) แสดงถึงรูปแบบกรีก - โรมันอย่างเป็นทางการที่คลาสสิกและประณีตที่สุด ใน บรรดาตัวอย่างที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ ภาพนูนต่ำที่นำกลับมาใช้ใหม่ก่อนหน้านี้บนประตูชัยของ คอนสแตนตินและฐานของเสาอันโตนินัสปิอุส ภาพนูนต่ำของคัมปานาเป็นเครื่องปั้ นดินเผาที่ มีราคาถูกกว่าของเครื่องปั้ นดินเผาหินอ่อน ระยะเวลาขยายไปที่โลงศพ ประติมากรรมขนาดเล็กหรูหราทุกรูปแบบยังคงได้รับการอุปถัมภ์และคุณภาพอาจสูง มากเช่นเดียวกับถ้วยเงินวอร์เรนถ้วยแก้วไลกูกัสและจี้ขนาดใหญ่เช่น Gemma Augustea, Gonzaga Cameoและ \" Great Cameo of France \" สำหรับส่วนที่กว้างขึ้นของประชากร การตกแต่งภาชนะเครื่องปั้ นดินเผาแบบนูนและรูปแกะสลักขนาดเล็กถูกผลิตขึ้นในปริมาณ มากและมักมีคุณภาพมาก หลังจากเคลื่อนผ่านช่วงปลายศตวรรษที่ 2 \" บาร็อค \" ในศตวรรษที่ 3 ศิลปะโรมันส่วน ใหญ่ถูกทิ้งร้างหรือไม่สามารถผลิตได้ประติมากรรมในประเพณีคลาสสิกการเปลี่ยนแปลง สาเหตุยังคงเป็นที่พูดถึงกันมาก แม้แต่อนุสาวรีย์ของจักรวรรดิที่สำคัญที่สุดก็ยังแสดงให้เห็น ถึงรูปร่างที่ดูโตและมีรูปร่างที่ดูแข็งกร้าวในรูปแบบที่เรียบง่ายโดยเน้นถึงพลังโดยใช้ค่าใช้จ่าย ของความสง่างาม ความแตกต่างดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างมีชื่อเสียงในประตูชัยของคอนส แตนตินแห่ง 315 ในกรุงโรมซึ่งรวมเอาส่วนต่างๆในรูปแบบใหม่เข้ากับทรงกลมในสไตล์กรีก - โรมันเต็มรูปแบบก่อนหน้านี้ที่นำมาจากที่อื่นและ Four Tetrarchs ( ค.ศ. 305 ) จากเมือง หลวงใหม่ของคอนสแตนติขณะนี้อยู่ในเวนิซ Ernst Kitzinger พบในอนุเสาวรีย์ทั้งสอง การปฏิวัติในรูปแบบนี้ไม่นานก่อนช่วงเวลาที่ รูปปั้ นของคอนสแตนติ ศาสนาคริสต์ได้รับการยอมรับจากรัฐโรมันและผู้คน ส่วนใหญ่ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของรูปปั้ นทางศาสนา ขนาดใหญ่โดยปัจจุบันรูปปั้ นขนาดใหญ่ใช้สำหรับ จักรพรรดิเท่านั้นเช่นเดียวกับชิ้นส่วนที่มีชื่อเสียง ของ a มหึมา acrolithic รูปปั้ นของคอนสแตนติ และ 4 หรือศตวรรษที่ 5 ยักษ์ใหญ่ของ Barletta คริสตชนที่อุดมไปด้วยอย่างไรก็ตามยังคงสรร นายหน้าสำหรับโลงศพเช่นเดียวกับในโลงศพของ Junius Bassus และประติมากรรมขนาดเล็กมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงาช้างได้อย่างต่อเนื่องโดยค ริสตชนอาคารในสไตล์ของบานพับกงสุล

สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐาน วัสดุที่ใช้สร้าง อาคารได้แก่ ไม้ อิฐ ดินเผา หิน ปูนและคอนกรีต มีการนำสถาปัตยกรรมที่สำคัญของกรีก ทั้ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้น ชาวโรมันเพิ่มการตกแต่งลงไป เสาของโรมันจะเป็นเสาหินท่อนเดียวตลอดรูปแบบ สถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ของโรมัน คือ สะพานส่งน้ำ ซึ่งใช้เป็นทางส่งน้ำจากภูเขามาสู่เมืองต่าง ๆ ของชาวโรมันเป็น สิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมของโรมัน สถาปัตยกรรมโรมัน ในช่วง พ.ศ. 600 – 873 ได้สะท้อนให้เห็นความมั่งคั่งและอำนาจของ จักรวรรดิโรมัน อาคารสถาปัตยกรรมมีขนาดกว้างใหญ่และมีการตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือย มี การควบคุมทำเลที่ตั้ง การจัดภูมิทัศน์อย่างพิถีพิถัน ภายในอาคารมักประดับด้วยหินอ่อน หินสี และประติมากรรมแกะสลักตกแต่งอย่างสวยงาม โฟรัม (Forum) เป็นย่านชุมนุม ชน สถานที่ราชการ ตลาด โฟรัมจะมี ลักษณะเป็นลานกว้างแต่บางแห่งอาจ จะมีหลังคา บริเวณรอบ ๆ จะรายล้อม ด้วย อาคาร สถานที่ราชการ วิหาร หอ สมุด ที่มีชื่อเสียงในสมัยจักรวรรดินี้ คือ โฟรัมของทราจัน (Forum of Trajan) โฟรัม วิหาร (Temple) สิ่งก่อสร้างที่ สำคัญในยุคจักรวรรดิต้น คือ วิหาร แพนเธออน (Pantheon) สร้างขึ้น ราว 27-25 BC. โดยจักรพรรดิมาร์คุ ส วิบซานิอุส อะกริบปา วิหารแพนเธออน (Pantheon)

บาซิลิกา (Basilica) เป็นชื่อ เรียกอาคารขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นศาล ยุติธรรมและอาคารพาณิชย์ของรัฐ ที่ มีชื่อเสียงมากคือ บาซิลิกา อุลปิอา (Basilica Ulpia) และบาซิลิกาโนวา (Basilica Nova) บาซิลิกา (Basilica) Pont Du Gard สะพานและท่อส่งน้ำ (Bridges and Aqueduct) การทำท่อน้ำมีทั่วไปใน อาณาจักรโรมันเพื่อบริการน้ำสะอาดแก่ ประชาชน บางแห่งต้องลำเลียงน้ำผ่าน หุบเขาและที่ลุ่ม ท่อน้ำที่มีสะพานรองรับ ยกระดับน้ำผ่านหุบเขาและที่ลุ่มที่มีชื่อ เสียงมาก คือ Pont Du Gard ที่เมืองนิ มส์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีช่วงที่ข้าม ช่องเขาหลายตอนด้วยกัน การก่อสร้าง แบบประตูโค้ง โรงละครและสนามกีฬา (Theatres Colosseum and Amphitheatres) เป็นสถานที่พัก ผ่อนชมกีฬา ชาวโรมันมีด้วยกันหลาย แห่งแห่งที่มีชื่อคือ Colosseum เป็นโรง มหรสพรูปวงกลมที่มีอัฒจันทร์ล้อมรอบ สำหรับเกมกีฬาต่อสู้และความบันเทิง ของสาธารณชน

ประตูชัย (Triumphal Arch) สร้าง ประตูชัย (Triumphal Arch) ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะจากสงคราม สร้างโดยจักรพรรดิ นิยมสร้างคร่อมถนน โดยทำเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ตรงกลางทำเป็น ทางลอดและประตูโค้ง บริเวณส่วนหน้า และหลังประดับด้วยประติมากรรมและ ข้อความจารึกเหตุการณ์หรือ วีรกรรม ของผู้สร้างที่ได้ชัยชนะจากสงคราม โรงอาบน้ำสาธารณะหรือเธอร์เม (Thermae or Bath) Thermae มาจาก Thermos แปลว่า ร้อน ใน ภาษากรีก ใช้สำหรับเรียกชื่ออาคารสถานที่ที่ใช้สำหรับ อาบน้ำกับที่ออกกำลังกายในร่ม ของชาวโรมัน เธอร์ เม ที่สำคัญเป็นของจักรพรรดิคาราคารา (Bath of Caracalla) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 211 มีความกว้าง 120 หลา ยาว 240 หลา จุคนได้ 1600 คน โรงอาบน้ำสาธารณะหรือเธอร์เม (Thermae or Bath) สนามกีฬาหรือเซอร์คัส (Circus) ใช้ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของโรมันอีกแห่ง ส่วนใหญ่ใช้แข่งม้า ที่มีชื่อเสียงมากคือ สนามกีฬา แมกซิมุส The Circus Maximus เซอร์คัส (Circus)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook