Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 4 โปรโตคอล

บทที่ 4 โปรโตคอล

Published by 9 ณฐกร สุขวิทยากุล, 2022-09-23 11:47:39

Description: 9 ณฐกร ปวช.24 บทที่ 4 โปรโตคอล

Search

Read the Text Version

บทที่ 4 โปรโตคอล

สาระการเรียนรู้ 1. หลักการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2.โปรโตคอล (Protocol) 3. แบบจำลองเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 4.โปรโตคอล TCP/IP 5.หมายเลขไอพี (IP Address) - หมายเลขไอพีภายใน (Private IP) - วับเน็ตมาสก์ สมรรถะการเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการรับส่งข้อมูลของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ 2. อธิบายความหมายของโปรโตคอลได้ 3. อธิบายหลักการทำงานของแบบจำลองเครือข่ายได้ 4.อธิบายคุณลักษณะของโปรโตคอล TCP/IP ได้ 5. เข้าใจคุณลักษณะของหมายเลขไอพี

หลักการทำงานของระบบเครือ ข่ายคอมพิวเตอร์ 1. เมื่อผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางต้องการส่งข้อมูล ไปยังผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ปลายทาง โปรแกรม ประยุกต์ก็จะรับข้อมูลจากผู้ใช้และจะส่งข้อมูลพร้อมกับ ตำแหน่งที่อยู่ของ เครื่องปลายทางให้กับโปรโตคอล โดยจะมีกลไกที่จะทราบได้ว่าผู้ใช้ปลายทางมีตำแหน่ง ที่อยู่ของ เครื่องปลายทางคือตำแหน่งใด 2. โปรโตคอลเมื่อรับข้อมูลและตำแหน่งของเครื่อง ปลายทางมาแล้ว จะประมวลผลข้อมูล ที่รับมานั้นตาม มาตรฐานการสื่อสารของโปรโตคอล จากนั้นจะส่ง ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว และตำแหน่งของ เครื่องปลายทางให้กับแผงวงจรเครือข่าย

3. แผงวงจรเครือข่ายเมื่อได้รับข้อมูลและตำแหน่งของเครื่อง ปลายทาง ก็จะสร้างชุด ข้อมูลตามมาตรฐานของระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ จากนั้นจะแปลงชุดข้อมูลดังกล่าว เป็นสัญญาณแล้ว ส่งผ่านสื่อกลางไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง 4. แผงวงจรเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางเมื่อได้รับ สัญญาณจากสื่อกลาง ก็จะเปลี่ยนสัญญาณที่ได้รับนั้นให้เป็นชุด ข้อมูล จากนั้นจะตรวจสอบว่าเป็นชุดข้อมูลที่ต้องการ ส่งมาเครื่อง ของตนหรือไม่ หากไม่ใช่ก็จะลบชุดข้อมูลนั้นทิ้งไป แต่หากใช่ก็จะ ส่งข้อมูลที่ได้รับ มานั่นให้กับโปรโตคอล 5. โปรโตคอลที่เครื่องปลายทางจะประมวลผลข้อมูลที่ได้รับมา แล้วส่งต่อให้กับ โปรแกรมประยุกต์เพื่อแสดงผลให้กับผู้ใช้ต่อไป

โปรโตคอล (Protocol) ในชีวิตประจำวันของคนเรามีการติดต่อสื่อสารระหว่าง กัน เช่น การพูดคุย การเขียน จะใช้ภาษาที่เหมือนกัน เมื่อ สื่อสารพูดคุยกันแล้วก็จะเข้าใจในเนื้อความนั้น ๆ แต่การสื่อสาร ที่ได้ ในสังคมหนึ่ง หากนำไปสื่อสารกับคนอีกสังคมหนึ่งอาจจะ เข้าใจความหมายที่ไม่เหมือนกันก็ได้ จึงต้องมีภาษากลางเพื่อ การติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ขั้นตอนที่ 1 เริ่มต้นการสื่อสาร การเริ่มต้นการสื่อสาร จะเริ่มจากเมื่อบุคคลที่หนึ่งกล่าวว่า “สวัสดีครับ” ซึ่งเปรียบเสมือน การส่งสัญญาณไปยังบุคคลที่ สองว่าต้องการจะสนทนาด้วย และเมื่อบุคคลที่สองกล่าวตอบ รับ ก็เปรียบเสมือนเป็นการส่งสัญญาณกลับไปยังบุคคลที่ หนึ่งว่าได้รับสัญญาณและพร้อมที่จะสนทนา กับบุคคลที่หนึ่ง แล้ว จากนั้นจึงเริ่มต้นการสนทนา

ขั้นตอนที่ 2 แลกเปลี่ยนข้อมูล เมื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะสนทนากันแล้วการสนทนาก็จะเริ่มต้นขึ้น โดยข้อความ ต่าง ๆ ระหว่างการสนทนาของบุคคลทั้งสองเปรียบเสมือน การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่าง กัน ซึ่งระยะเวลาการสนทนาของ บุคคลทั้งสองจะขึ้นอยู่กับปริมาณของเนื้อหาการสนทนานั้น ๆ ว่ามีมาก น้อยเพียงใด ขั้นตอนที่ 3 เสร็จสิ้นการสื่อสาร เมื่อเนื้อหาการสนทนาของบุคคลทั้งสองจบลง เปรียบเสมือนกับได้ แลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างกันเรียบร้อยแล้ว บุคคลที่หนึ่งกล่าวว่า “สวัสดี” จะเปรียบเสมือนว่าเป็นการส่งสัญญาณ ไป ยังบุคคลที่สอง เพื่อขอยุติการสนทนา และเมื่อบุคคลที่สองตอบรับ การสนทนาของ บุคคลทั้งสอง ก็ถือได้ว่าเสร็จสิ้นและยุติการสนทนา

ดังนั้น โปรโตคอล (Protocol) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่กำหนด ระเบียบ วิธีการ รวมถึงรูปแบบที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบ เครือข่าย เปรียบเสมือน ภาษาที่ใช้สื่อสารระหว่างอุปกรณ์ โปรโตคอลจะเป็นสิ่งซึ่ง ทำให้อุปกรณ์ที่มีสถาปัตยกรรม ต่างกันหรือใช้รหัสแทนข้อมูลต่างกันสามารถสื่อสาร กันได้ โปรโตคอลที่ใช้ในระบบเครือข่ายมีหลายโปรโตคอล แต่ละโปรโตคอลก็จะมีวิธีการ ทำงาน และรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างกัน ตัวอย่างโปรโตคอล เช่น - NetBEUI (NetBIOS Extended User Interface) เป็น โปรโตคอลที่มีขนาด เล็ก ทำงานได้เร็วกับเครือข่ายขนาดเล็ก ไม่มีความสามารถในการค้นหาเส้นทางการส่งข้อมูล เป็น โปรโตคอลที่ใช้ในเครือข่ายแบบ Workgroup ซึ่งเป็นเครือข่าย ขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับเครือข่ายขนาดใหญ่

- IPX/SPX (Internetwork Packet Exchange/Sequenced Packet Ex change) เป็น โปรโตคอลที่ พัฒนาโดยบริษัท Novell ใช้ร่วมกับระบบปฏิบัติการเครือข่าย Net ware รุ่นเก่า มีความสามารถในการค้นหาเส้นทางการส่งข้อมูล โปรโตคอล IPX/SPX แบ่ง การทำงานออก เป็นสองส่วน ได้แก่ IPX ทำหน้าที่ดูแลการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ การอ่าน แอดเดรสของผู้รับ และผู้ส่ง ส่วน SPX ทำหน้าที่ควบคุมการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย - TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็น โปรโตคอลที่มีประสิทธิภาพสูง มีความสามารถในการค้นหาเส้นทางการส่ง ข้อมูลได้ เหมาะกับ เครือข่ายขนาดใหญ่ แต่ก็สามารถใช้ในเครือข่ายขนาด เล็กได้เช่นกัน เป็นโปรโตคอลหลักในระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต

แบบจำลองเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบจำลองเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นมาตรฐานที่กำหนดหน้าที่ต่าง ๆ ในการรับส่งข้อมูล ในเครือข่ายมีจุดประสงค์เพื่อให้อุปกรณ์ที่มีสถาปัตยกรรมแตกต่างกันสามารถรับส่งข้อมูล ระหว่างกันในระบบเครือข่ายได้ แบบจำลองนี้ไม่ใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์และไม่ใช่โปรโตคอล แต่เป็นกรอบมาตรฐานการสื่อสารในเครือข่ายเพื่อให้ผู้พัฒนาโปรโตคอลสามารถนำไป ประยุกต์ใช้งานได้ แบบจำลองดังกล่าวคือ แบบจำลอง OSI (Open Systems Interconnection) แบบจำลอง OSI ประกอบด้วยหน้าที่การทำงานเพื่อการรับส่งข้อมูล 7 หน้าที่ นิยมเรียก ว่า “เลเยอร์ (Layer)” แต่ละเลเยอร์จะมีชื่อประจำเลเยอร์ดังนี้

7 Session Layer 6 Presentation Layer 5 Session Layer 4 Transport Layer 3 Network layer 2 Data Link Layer 1 Physical Layer

หลักการทำงานของแบบจำลองเครือข่ายจะเริ่มจากเมื่อผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องการส่งข้อมูล ผ่าน ระบบเครือข่ายไปยังเครื่องปลายทาง ข้อมูลดังกล่าวก็จะถูกส่งข้อมูลให้กับ Application Layer เมื่อในชั้น Application Layer ดำเนินการกับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งต่อไปยัง Presentation A a Layer เมื่อชั้น Presentation Layer ดำเนินการกับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งต่อไปยัง Session Layer ตามลำดับ จนถึง Physical Layer เมื่อถึง Physical Layer ข้อมูลจะถูกส่งเข้าสู่สื่อกลางของ เครือข่าย (อาจเป็นสาย สัญญาณหรือคลื่นวิทยุ) ไปยังเครื่องปลายทาง เมื่อเครื่องปลายทางได้รับสัญญาณจากสื่อกลางเครือข่ายแล้ว สัญญาณดัง กล่าวจะถูกส่งไปยัง เมื่อชั้น Physical Layer เมื่อชัน Physical Layer ดำเนินการ เรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งข้อมูลต่อไปยัง Data Link Layer เมื่อ Data Link Layer ดำเนินการกับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งต่อไปยัง Network Layer ตามลำดับ จนถึง Application Layer เมื่อถึง Application Layer ข้อมูลจะถูกส่งไปให้กับ ผู้รับข้อมูล เช่น แสดงผลบนจอภาพ หรือบันทึกเป็นไฟล์ในฮาร์ดดิสก์

หน้าที่การทำงานแต่ละชั้นของแบบ จำลองเครือข่าย - ชั้นแอปพลิเคชั่น (Application Layer) เป็นชั้นที่เชื่อมต่อกับโปรแกรมประยุกต์เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ ระบบ เครือข่ายได้ ตัวอย่างเช่น การส่งข้อมูล (ข้อความ รูปภาพ หรืออื่น ๆ) ไปยัง เครื่องปลายทางด้วย โปรแกรมประยุกต์ ข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าว จะถูกส่งมายังชั้น Application Layer เพื่อจัดการข้อมูล ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับรูปแบบของข้อมูลที่ ต้องการจะส่งไปยังปลายทาง และจะเพิ่มข้อมูล บางอย่าง (เรียกว่า เฮดเดอร์ (Header) ร่วมไปกับชุดข้อมูลที่ต้องการจะส่ง เพื่อใช้บอก รายละเอียดของข้อมูลให้ กับชั้นแอปพลิเคชั่นของฝั่ งรับข้อมูล จากนั้นจะส่งชุดข้อมูลทั้งชุดนี้ไปยัง ชัน Presentation Layer ต่อไป

- ชั้นพรีเซนเทชั่น (Presentaion Layer) ทำหน้าที่ในการแปลงรูปแบบของข้อมูลที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของบิต เช่น ตัวอักษร หรือ ตัวเลข ให้อยู่ในรูปแบบของรหัสแทนข้อมูลแบบมาตรฐาน เช่น รหัสแอสกี (ASCII) รหัสยูนิโค้ด (Unicode) เป็นต้น จากน้นจะเพิ่มเฮดเดอร์ของ Presentation Layer ซึ่งเป็นรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการแปลงรูปแบบข้อมูลเข้าไป และเมื่อฝั่ งรับได้รับข้อมูลก็จะสามารถแปลงรูปแบบ ข้อมูลให้เหาะสมกับรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารภใช้งานได้

- ชั้นเซสชั่น (Session Layer) การสื่อสารที่เกิดขึ้นระหว่างต้นทางและปลายทางเรียกว่า \"เซสชั่น (Session)\" ซึ่งในชั้น เซสชั่นนี้จะทำหน้าที่ควบคุมการสื่อสาร ควบคุมจังหวะการรับส่งข้อมูล ระหว่างเครื่องต้นทาง และเครื่องปลายทาง โดยในชั้นนี้จะแทรกข้อมูลบางอย่างระหว่างชุดข้อมูลที่ได้รับมาจากชั้น พรีเซนเทชั่น เพื่อใช้ในกรณีที่เกิดปัญหาการสื่อสารหรือการสื่อสารล้มเหลว ฝั่ งส่งก็จะส่งเฉพาะ ข้อมูลที่ขาดหายไปเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลใหม่ทั้งหมด เมื่อฝั่ งรับได้รับข้อมูลจากชั้น ทรานสปอร์ตแล้ว ก็จะลบข้อมูลส่วนที่ได้ถูกแทรกมาจากฝั่ งส่งกลับไปชุดข้อมูลแล้วส่งต่อไป ยัง ชั้นพรีเซนเทชั่นต่อไป

- ชั้นทรานสปอร์ต (Transport Layer) ทำหน้าที่ส่งมอบข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง โดยจะแบ่งข้อมูลที่ได้รับมาจาก ชั้น เซสชั่นออกเป็นส่วนย่อย ๆ แต่ละส่วนจะมีหมายเลขประจำและรายละเอียดที่สำคัญ เพื่อฝั่ ง รับ ข้อมูลจะได้เรียงลำดับของข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ป้องกันการสูญหายและควบคุมข้อผิดพลาด ระหว่างการส่งข้อมูล อีกหน้าที่หนึ่งคือการควบคุมการเชื่อมต่อระหว่างต้นทางและปลายทาง ซึ่ง การควบคุมการเชื่อมต่อมี 2 รูปแบบคือ แบบคอนเน็กชั่น โอเรียนเต็ด (Connection Oriented) และ คอนเน็กชั่นเลส (Connectionless) เมื่อแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยแล้ว จึงจะ ส่งข้อมูลแต่ละส่วน ย่อยนั้นให้กับชั้นเน็ตเวิร์ก เมื่อฝั่ งรับได้รับข้อมูลจากชั้นเน็ตเวิร์ก) ก็จะนำ ข้อมูลแต่ละส่วนมาต่อกัน เป็นชุดข้อมูลใช้ส่งต่อไปยังชั้นเซสซินต่อไป

- ชั้นเน็ตเวิร์ก (Network Layer) ทําหน้าที่จัดหาเส้นทางสำหรับการส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง ในกรณีที่ฝัง ส่ง และฝั่ งรับอยู่ต่างเครือข่ายกัน จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่เป็นสื่อกลางระหว่างเครือข่ายคือ เรา เตอร์ (Router) การส่งข้อมูลของชั้นเน็ตเวิร์กก็จะเพิ่มข้อมูลรายละเอียดร่วมกับข้อมูลที่ได้รับ มาจากชั้น ทรานสปอร์ต แล้วจึงส่งต่อไปยังชั้นดาต้าลิงก์ และเมื่อฝั่ งรับได้รับข้อมูลก็จะส่งส่วน ที่เป็นข้อมูล ไปยังชั้นทรานสปอร์ตต่อไป

- ชั้นดาต้าลิงก์ (Data Link Layer) ทำหน้าที่ส่งข้อมูลและรับข้อมูล รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับ โดยเมื่อรับข้อมูลมาจากชั้นเน็ตเวิร์กแล้ว จะจัดรูปแบบของชุดข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของเฟรม (Frame) ตามมาตรฐานการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย เช่น หากเชื่อมต่อมาตรฐาน IEEE 802.3 ชั้น ดาต้าลิงก์ ก็จะสร้างเฟรมข้อมูลตามมาตรฐาน 802.3 แล้วจึงส่งข้อมูลต่อไปยังชั้นฟิสิคัล เมื่อฝั่ งรับ ได้รับข้อมูลจากชั้นฟิลิคัลแล้ว ก็จะตรวจสอบความถูกต้องของเฟรมก่อน แล้วจึงจะ ส่งส่วนที่เป็น ข้อมูลต่อไปยังชั้นเน็ตเวิร์กต่อไป

- ชั้นฟิสิคัล (Physical Layer) ในชั้นฟิสิคัลนี้จะไม่สนใจว่าข้อมูลคืออะไร แต่จะทำหน้าที่เปลี่ยนเฟรมข้อมูล ที่อยู่ใน รูปของบิต ที่ได้รับมาจากชั้นดาต้าลิงก์ให้เป็นสัญญาณที่เหมาะสมกับสื่อ กลางที่เชื่อมต่อกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ หากสื่อกลางเป็นสายสัญญาณก็จะเปลี่ยน เฟรมข้อมูลที่เป็นมิติให้เป็นระดับแรงดัน ไฟฟ้า หากเป็นการสื่อสารแบบไร้สายก็ จะเปลี่ยนเฟรมข้อมูลที่เป็นบิตให้เป็นคลื่นความถี่ แล้วจึง ส่งข้อมูลผ่านสื่อกลาง ไปยังเครื่องปลายทาง เมื่อฝั่ งรับได้รับข้อมูลแล้วก็จะเปลี่ยนระดับแรงดัน ไฟฟ้า หรือคลื่นความถี่กลับไปเป็นเฟรมข้อมูลที่เป็นบิด แล้วส่งต่อไปยังชั้นดาต้าลิงก์ต่อ ไป

โปรโตคอล TCP/IP โปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็นโปรโตคอล ที่มี การใช้งานก่อนที่จะเกิดการกำหนดมาตรฐานการ สื่อสารเครือข่าย OSI Model แต่หลักการ ทำงาน ของ TCP/IP สอดคล้องกับหลักการของ OSI Model โดย TCP/IP แบ่งชั้นการทำงานเป็น 4 ชั้น ดังนี้

Application Layer ในชั้นนี้ประกอบด้วยโปรโตคอลย่อยหลายโปรโตคอล แต่ละโปรโตคอลจะมีหน้าที่ การทํา งานทีแตกต่างกันไปตามรูปแบบของข้อมูลและวิธีการสื่อสาร เช่น HTTP (Hyper Text Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลในรูปแบบของไฟล์เว็บเพจระหว่าง เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) กับเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) หรือ SMTP (Simple Ma Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ทำหน้าที่สำหรับการรับส่งข้อมูลอีเมล์ของเมล์เซิร์ฟเวอร์ (Mail Server) เป็นต้น

Transport Layer การทำงานของ Transport Layer จะกำหนดวิธีการส่งข้อมูลไปยัง ปลายทางตามประเภท ของข้อมูลที่ได้รับมาจากชั้น Application Laser โดยจะมีโปรโตคอลย่อย 2 โปรโตคอล ได้แก่ โปรโตออก TCP (Transmission Control Protocol) และโปรโตคอล UDP (Uset Dilagram Protocol) โปรโตคอล TCP จะรับส่งข้อมูลแบบคอนเน็คชั่น โอเรียนเต็ด (Connection- Oriented) โดยจะสร้างเส้นทางให้เรียบร้อยก่อนการรับส่งข้อมูล จากนั้นจึง จะส่งข้อมูลไปยังปลายทาง อย่างต่อเนื่อง เมื่อการรับส่งข้อมูลเสร็จสิ้นก็จะ ยกเลิกเส้นทาง ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดระหว่าง การส่งข้อมูลหรือข้อมูล เกิดสูญหายระหว่างทาง โปรโตคอลนี้ก็จะส่งข้อมูลที่เกิดข้อผิดพลาด นั้นใหม่ โปรโตคอล UDP รับส่งข้อมูลแบบคอนเน็กชั่นเลส (Connectionless) ซึ่งจะ ไม่มีการสร้าง เส้นทางก่อนการส่งข้อมูล จะส่งข้อมูลไปยังปลายทางบน สมมติฐานว่าข้อมูลจะถูกส่งถึงปลายทาง อย่างแน่นอน

Internet Layer ทำหน้าที่ส่งข้อมูลผ่านทางเส้นทางที่ได้เลือกอย่าง เหมาะสม โปรโตคอลหลักของชั้น Internet Layer คือ โปรโตคอล IP ซึ่งมีหน้าที่ค้นหาเส้นทางเพื่อส่งข้อมูลไปยังปลายทาง โดย ในชั้นนี้จะใช้หมายเลข IP (IP Address) เป็นหมายเลขอ้างอิงเครื่องต้นทางและเครื่องปลาย ทาง นอกจากโปรโตคอล IP แล้ว ยังมีโปรโตคอลที่ทำงานร่วมกันอีก 4 โปรโตคอล ได้แก่

- โปรโตคอล ARP (Address. Resolution Protocol) ทำหน้าที่ เปลี่ยนจากหมายเลข IP Address (หมายเลนของโปรโตคอล) ให้ เป็นหมายเลข MAC Address (หมายเลขของแผงวงจร เครือ ข่าย) - โปรโตคอล RARP (Reversed Address Resolution Protocol) ทำหน้าที่เปลี่ยนจาก หมายเลข MAC Address ให้ เป็นหมายเลข IP Address - โปรโตคอล IGMP (Internet Group Message Protocol) ทำ หน้าที่ส่งข้อมูลในเครือข่าย แบบมัลติศาสต์ (Multicast) โดย เป็นการส่งข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังทุก ๆ เครื่องในเครือข่าย - โปรโตคอล ICMP (Internet Control Message Protocol) ทำหน้าที่รายงานข้อผิดพลาด จากการรับส่งข้อมูล

Host- to- Network Layer โปรโตคอล TCP/IP ไม่ได้กำหนดรายละเอียดในชั้น Host-to-Network เพื่อให้โปร โดยอล สามารถใช้งานได้กับมาตรฐานการเชื่อมต่อเครือ ข่ายหลากหลายมาตรฐาน เช่น มาตรฐาน tittieinasi หรือมาตรฐาน การเชื่อมต่ออื่น ๆ ซึ่งสามารถใช้ได้กับระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) หรือระบบ เครือข่ายระยะไกล (WAN)

หมายเลขไอพี เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่ใช้โปรโตคอล TCP/IP มี หมายเลขประจำเครื่องเพื่อการอ้างอิงสำหรับการรับ ส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายเลข ดังกล่าว ของโปรโตคอล TCP/IP เรียกว่า หมายเลขไอพี หมายเลขไอพี คือ หมายเลขประจำของอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ใน ระบบเครือ ข่าย โดยอุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่เครือ ข่ายเดียวกันจะต้องมีหมายเลขไอพี ไม่ซ้ำกัน

หมายเลขไอพีที่ใช้ในปัจจุบันเป็นหมายเลขไอพี เวอร์ชั่น 4 นิยมเรียกว่า IPv4 มีขนาด 32 บิต แบ่ง ออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิต ดังนั้นหมายเลขไอพี 1 หมายเลขจะประกอบด้วย เลขฐาน 2 จำนวน 4 ชุด ชุดละ 8 บิต แต่ในทางปฏิบัติจะใช้เลขฐาน 10 แทนการใช้เลขฐาน 2 เพื่อความสะดวกในการจดจำ หมายเลขไอพี โดยเลขฐานสิบจะมีค่าตั้งแต่ 1) ถึง 255 (2) ดังนั้น หมายเลขไอพีเวอร์ชั่น 4 จึงมี หมายเลขได้ตั้งแต่ 0.0.0.0 ถึง 255.255.255.255 เพื่อให้การใช้หมายเลขไอพีเกิดประโยชน์สูงสุด จึงมีการแบ่งการใช้ช่วงของหมายเลขไอพี เรียกว่า คลาส (Class) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 คลาส ดังนี้

Class A หมายเลขไอพีของคลาส A ถูกกำหนดให้บิดแรกจาก ทั้งหมด 32 บิต เป็นเลข 0 โดยเริ่มตั้งแต่ ถึง QL:ILLI1 เมื่อเขียนในรูปของเลขฐานสิบ จะมีค่า 0 ถึง 127 จะใช้ 00000000 8 บิตแรกเป็นหมายเลขเครือข่าย และ 24 บิตที่เหลือเป็นหมายเลขประจำเครื่อง เครือข่ายที่กำหนด หมายเลขไอพีด้วยคลาส A จะสามารถมีจำนวนเครื่องใน เครือข่ายได้ 16,777.216 เครื่อง (25) เมื่อนํ้าหมายเลข ไอพีของคลาส A ไป าหนดให้กับอุปกรณ์ในเครือข่าย เช่น 119.212.33.99 (011101111010100,0010000101100011) หมายความว่า อุปกรณ์นั้นอยู่ในเครือข่ายหมายเลข 119 โดยมีหมายเลขประจำเครื่องคือ 242,33.99 เป็นต้น

Class B หมายเลขไอพีของคลาส B ถูกกำหนดให้สองบิดแรกจากทั้งหมด 32 บิตเป็นเลข 16. โดยเริ่มตั้งแต่ 10(XXXXX) ถึง 10011111 เมื่อเขียนในรูปของเลขฐานสิบจะมีค่า 128 ถึง 191 จะใช้ 16 บิตแรกเป็นหมายเลขเครือข่าย และ IT นิตที่เหลือเป็นหมายเลขประจำ เครื่อง เครือข่ายที่กำหนด หมายเลขไอพีด้วยกลาส B จะสามารถมีจำนวนเครื่องในเครือ ข่ายได้ 65,536 เครื่อง (2) เมื่อนำ หมายเลขไอพีของคลาส B ไปกำหนดให้กับอุปกรณ์ ในเครือข่าย เช่น 178.100.234.100 (101 10010.0110010011010100110010) หมายความว่า อุปกรณ์นั้นอยู่ในเครือข่ายหมายเลข 178.10 โดยมีหมายเลขประจำ เครื่องคือ 234.100 เป็นต้น

Class C หมายเลขไอพีของคลาส C ถูกกำหนดให้สามนิตแรกจากทั้งหมด 32 บิตเป็นเลข 110 โดยเริ่มตั้งแต่ FT0OKX) ถึง 11011111 เมื่อเขียนในรูปของ เลขฐานสิบจะมีค่า 192 ถึง 223 จะใช้ 24 บิดแรกเป็นหมายเลขเหรือข่าย และ 8 มิติที่เหลือเป็นหลายเลขประจำเครื่อง เครือข่ายที่กำหนด หมายเลข ไอพีด้วยคลาส C จะสามารถมีจำนวนเครื่องในเครือข่ายได้ 256 เครื่อง (2) เมื่อนำ หมายเลขไอพีของคลาส C. ไปกำหนดให้กับอุปกรณ์ในเครือข่าย เช่น 202,185,166.65 011001010 101110011010011010000001) หมายความว่า อุปกรณ์นั้นอยู่ในเครือข่ายหมายเลข 202.185.165 โดยมี หมายเลขประจํา เครื่องคือ 65 เป็นต้น

CLASS D หมายเลขไอพีของคลาส D ถูกกำหนดให้สี่บิตแรก จากทั้งหมด 32 บิตเป็นเลข 1110 โดยเริ่มตั้งแต่ 1,100000 ถึง 1101111 เมื่อเขียนในรูปของเลขฐานสิบจะ มีค่า 224 ถึง 239 หมายเลขไอทีในคลาสนี้ถูกสงวนไว้ ไม่ สามารถนำไปใช้งานได้

CLASS E หมายเลขไอพีของคลาส E ถูกกำหนดให้ บิดแรกจากทั้งหมด 32 บิต เป็นเลข 1111 โดยเริ่มตั้งแต่ ML10080 ถึง 11 เมื่อเขียนในรูปของเลขฐาน สิบจะมีค่า 240 ถึง 255 หมายเลข ไอทีในคลาสนี้ถูกสงวนไว้เช่นกัน ไม่ สามารถนำหมายเลขไอพีในคลาสนี้ไปใช้งานได้ การนำหมายเลขไอพีมาใช้งาน หมายเลขไอพีคลาส A กลาส B และ คลาส C สามารถ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ หมายเลขไอพีสาธารณะ (PUBLIC IP) และหมายเลขไอพีภายใน (PRIVATE IP) PUBLIC IP เป็นหมายเลขไอพีที่ใช้งานร่วมกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ แม่ข่ายที่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะใช้ PUBLIC IP สำหรับ PRIVATE IP' เป็น หมายเลขไอพีที่ใช้สื่อสารได้เฉพาะภายใน ของหน่วยงานเท่านั้น อุปกรณ์ที่กำหนดหมายเลขไอพี เป็น PRIVATE IP

3 คลาส จึงได้กำหนดหมายเลขไอพีไว้ส่วนหนึ่งให้เป็น หมายเลขไอพีที่ให้ใช้เป็นเครือข่ายภายใน โดยคลาส A กำหนด Private IP คือหมายเลข 10.0.0.0 ถึง 10.255,255,255 คลาส B กำาหนด Private IP หมายเลข 172.16.0.0 ถึง 172.31,255,255 และคลาส C กำหนด Private IP หมายเลข 192.168.0.0 ถึง 192.168.255,255 สำหรับหมายเลขไอพีที่ไม่ได้อยู่ในช่วง ของ Private IP จะเป็น หมายเลขไอพีแบบ Public IP

หมายเลขซับเน็ตมาสก์ (Subnet Mask) ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า หมายเลขไอพีแต่ละหมายเลขสามารถ แบ่งได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ หมายเลขเครือข่าย (Network ID) และหมายเลข ประจำเครื่อง (Host ID) การแบ่งหมายเลข ไอพีออกเป็น 2 ส่วนจะต้องใช้ หมายเลขเฉพะอีกหนึ่งหมายเลข หมายเลขเฉพาะดังกล่าวคือ หมายเลขซับ เน็ตมาสก์ โดยหมายเลขซัมเน็ตมาสก์มีขนาด 32 บิตแบ่งออกเป็น 4 ส่วนเช่น เดียวกับ หมายเลขไอพี หมายเลขพื้นฐานของหมายเลขซับเน็ตมาสก์ที่จะใช้ กำหนดควบคู่กับหมายเลขไอพี แต่ละคลาสมีดังนี้

คลาส หมายเลขซับเน็ตมาสก์ A 255.0.0.0 (11111111.00000000.00000000.00000000) B 255.255.0.0 (11111111.11111111.00000000.00000000) C 255.255.255.0 (11111111.11111111.11111111.00000000)

น.ส. ณฐกร สุขวิทยากุล เลขที่ 9 ปวช.2/4


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook