อนั ตรายจากสตั วท์ ะเลแบ่งออกไดเ้ ป็ น 3 กลุ่มดงั น้ี1.อันตรายจากสัตว์ทะเลท่ีมีพิษ กัด ท่ิมแทง หรือต่อย (venomous animals) และปลอ่ ยสารพิษเข้าส่รู ่างกายตรงบริเวณบาดแผลนนั้ พิษของสตั ว์ทะเลอาจอย่ทู ี่เง่ียง ก้าน ครีบ เขีย้ วและมีเข็มพิษที่เรียกว่า นีมาโตศีย์สต์ (nematocyst) ตวั อย่างได้แก่ ดอกไม้ทะเล แมงกะพรุน งูทะเล ปลาสงิ โต และเมน่ ทะเล2.อนั ตรายจากสัตว์ทะเลท่ที าให้การเกดิ บาดแผล (injurious animals) เน่อื งจากถกู อวยั วะท่ีแหลมคม เช่น ฟัน หนาม ก้านครีบ หรือเง่ียง รวมทงั้ การปลอ่ ยกระแสไฟฟ้าออกมาของสตั ว์ทะเลบางชนิด ตวั อยา่ งเช่น ฉลามกดั ปหู นีบ เพรียงหินบาด และเปลือกหินทิ่มตา เป็นต้น สตั ว์เหลา่ นีม้ กั มีฟัน ครีบ และเงี่ยงทีแ่ หลมคมไว้ใช้ในการป้องกนั ตวั และลา่ เหยื่อเทา่ นนั้ หาได้มีไว้เพอ่ื โจมตี หรือทาร้ายมนษุ ย์แตอ่ ยา่ งไร
3.อันตรายจากการบริโภคเนือ้ และอวัยวะของสัตว์ทะเลท่ีมีพิษ (poisonous animals) สตั ว์ทะเลบางชนิดมีการสะสมสารพิษในบริเวณเนือ้ เย่ืออวยั วะภายใน และรังไข่ เมื่อมนษุ ย์นาเอาสตั ว์ทะเลนนั้ มาบริโภค จะได้รับสารพิษเข้าส่รู ่างกาย อาจเป็นอนั ตรายถึงชีวิต เช่น แมงดาทะเล ปูบางชนิด และปลาปักเป้า เป็นต้น สตั ว์บางชนิดมีสารพิษสะสมอยู่ในเนือ้ เย่ือเป็นบางช่วงฤดูกาล เช่นหอยแมลงภู่ หอยนางรม ท่ีเพาะเลีย้ งอยู่ตามชายฝ่ังท่ีมักเกิดปรากฏการณ์นา้ เปล่ียนสีเป็นประจาในช่วงฤดฝู น หรืออาจได้รับสารพิษจากไดโนแฟลกเจลเลตท่ีเป็นสาเหตุของปรากฏดงั กล่าวเข้าไปเมื่อมนษุ ย์นาสตั วม์ าบริโภคทาให้ได้รับสารพิษนนั้ ได้ ในทานองเดียวกนั หากดนิ ตะกอนบริเวณชายฝ่ังมีการสะสมโลหะหนกั และยาฆ่าแมลง ทีพ่ ดั พามาจากแผ่นดิน สตั ว์ทะเลท่ีอาศยั อยใู่ นบริเวณนนั้ อาจมีการสะสมของสารพิษดงั กล่าวด้วยเช่น หอยสองกาบที่อาศยั อยู่ตามพืน้ ท้องทะเล ได้แก่ หอยลายหอยแครง เป็นต้น ท ความร้อนจากการปรุงอาหารไม่สามารถทาให้สลายไปได้ เช่น พิษของไข่แมงดาทะเล เนือ้ และอวยั วะภายในของปลาปักเปา้ เป็นต้น
1.ฟองนา้ (Sponge)ฟองนา้ เป็นสตั ว์เกาะน่ิงอย่กู ับท่ี มีลาตวั เป็นรูพรุนดารงชีวิตได้โดยอาศยั ระบบท่อให้นา้ ไหลผา่ นลาตวั มีโครงคา้ จนุ ร่างกายเป็นหนามท่ีเรียกวา่ สปิคลุ (Spicule) หรือเส้นใยออ่ นนมุ่การป้องกันและรักษา หลีกเลี่ยงจากการสมั ผสั ฟองนา้ ขนาดใหญ่ตามแนวปะการัง เช่นฟองนา้ ครก หากเป็นความบงั เอิญท่ีไมไ่ ด้ระวงั ตวั การปฐมพยาบาลเบือ้ งต้นนนั้ คือ การทาให้สปิคุลของฟองนา้ หลดุ ออกไป โดยทาการล้างแผลบริเวณท่ีสมั ผสั ด้วยนา้ สะอาด หรื อนา้ กรดนา้ ส้ม 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 15-30 นาที ยาจาพวกแอนติฮิสตามีน ใช้ทาบรรเทาอาการผน่ื คนั
2.ขนนกทะเล (Sea feather)ขนนกทะเลเป็นสตั ว์ที่มีลกั ษณะคล้ายพืชและมีอยู่หลายชนิด แต่ละตวั มีรูปร่างเป็นโพลิปขนาดเลก็ อาศยั อย่รู วมกนั เป็นกลมุ่ หรือนิคม มกั พบตามแนวปะการังเกาะกบั หลกั ท่ีปักอยรู่ ิมชายฝ่ัง เสาสะพานท่าเรือ ตลอดจนเศษวสั ดทุ ่ีลอยในทะเล บางชนิดมีลกั ษณะคล้ายขนนกและบางชนดิ ลกั ษณะคล้ายเฟิร์น เม่ือผิวหนงั สมั ผสั กบั นิคมของขนนกทะเล โพลปิ จะปลอ่ ยนีมาโตศีย์สต์ ที่มพี ิษแทรกเข้าสผู่ ิวหนงั ทาให้เกิดอาการคนั ปวดแสบปวดร้อนการป้องกันและรักษา หลีกเลี่ยงการสัมผัสขนนกทะเลโดยตรง การใส่เสือ้ ผ้าป้องกันอนั ตรายได้ ล้างบริเวณท่ีถกู พิษด้วยแอลกอฮอล์ปะคบด้วยนา้ แข็งหรือนา้ เย็น หากมีอาการรุนแรงต้องสง่ แพทย์ทนั ที
3.ปะการัง (Corals)ปะการังเป็นสตั ว์ทะเลกล่มุ ใหญ่ท่ีมีมากกว่า 750 ชนิด ส่วนใหญ่อาศยั อย่แู บบเด่ียว ปะการังมีฐานรองรับโพลปิ หรือตวั ปะการังเป็นหนิ ปนู บางชนดิ มหี นามหรือแงย่ ื่นท่ีแหลมคม และบางชนดิ มีนีมาโตศยี ์สต์ท่ีมนี า้ พษิ ทาให้ระคายเคืองตอ่ ผิวหนงั ปะการังทอ่ี าจทาให้เกิดบาดแผล ได้แก่ ปะการังเขากวาง (Acropora) ปะการังแกแลคซ่ี (Galaxea) ปะการังลกู โป่ ง(Plerogyra) ปะการังดอกจอก(Pec-tinea) ปะการังสมองหยาบ(Symphyllia) เป็นต้น มรี ายงานวา่ ปะการังเห็ดบางชนดิ ผลติ นมี าโตศยี ์สต์ทีม่ ีพษิ ทาให้เกิดอาการบวมแดงและผ่ืนคนั ได้การป้องกนั และรักษา หินปูนของปะการังมีความแข็งและแหลมคม การเดินเหยียบย่าไปบนปะการัง หรือดานา้ ผา่ นแนวปะการัง อาจทาให้เกิดบาดแผล เนื่องจากปะการังมกั มีพวกแบคทีเรียอาศยั อยเู่ ป็นสาเหตทุ าให้บาดแผลหายช้าจงึ ต้องล้างด้วยนา้ สะอาด หรือ แอลกอฮอล์โดยเร็ว และตรวจดวู า่ ไมม่ ีเศษปะการังติดค้างอยู่ ใสย่ าฆา่ เชือ้ ถ้าแผลมขี นาดกว้างและลกึ ควรรีบนาสง่ แพทย์
4.ปะการังไฟ (Fire coral)ปะการังไฟ ไม่ใชป่ ะการังแท้จริง แตเ่ ป็นสตั ว์ทะเลพวกเดียวกบั ขนนกทะเลและมีพิษเช่นเดยี วกนัโพลิปมีขนาดเล็กอาศัยอยู่รวมกันเป็นนิคม โดยสร้ างหินปูนฐานรองรับโพลิปจึงมีลกั ษณะคล้ายคลงึ กบั ปะการังมาก ปะการังไฟมรี ูปร่าง 3 แบบใหญ่คือ แบบแผน่ แบบก้อน และแบบแขนงโดยทวั่ ไปมกั มีสเี หลอื งออ่ นหรือนา้ ตาล พบปะปนอย่กู บั สตั ว์อื่นในแนวปะการังทวั่ ไป หากสมั ผสักบั ปะการังไฟ จะทาให้เกิดรอยไหม้ บวมแดงและปวดแสบบริเวณผวิ หนงั ทส่ี มั ผสัการรักษาการปฐมพยาบาลเบอื้ งต้น คอื การล้างแผลด้วยนา้ ส้มสายชูหรือล้างด้วยอะลมู ิเนียมซลั เฟตอีกครัง้ หนง่ึ สง่ิ ทีค่ วรระมดั ระวงั คอื หากสว่ นที่สมั ผสั ปะการังเป็นมือ ก็อยา่ ได้นามาเช็ดหน้าหรือให้เข้าตาโดยเดด็ ขาด เพราะนา้ พษิ จากนมี าโตศีย์สต์ของปะการังไฟท่ยี งั เหลอื อยู่ จะทาให้เกดิระคายเคืองได้ สาหรับครีมท่ีเป็นยาปฏิชีวนะนนั้ ใช้ป้องกันการติดเชือ้ จากแบคทีเรีย ไม่ใช่การรักษาสารพษิ จากนมี าโตศีย์สต์ โดยตรง
5.แมงกะพรุน (Jelly fish)แมงกะพรุนทวั่ ไปมีรูปร่างคล้ายร่ม หรือ กระดิ่งคว่า (medusa) ลาตวั โปร่งแสงประกอบด้วยว้นุ เป็นส่วนใหญ่ ดารงชีวิตโดยการว่ายเวียนและล่องลอยไปตามกระแสนา้ และแรงพัดพาของคลื่นลม อาหารท่ีแมงกะพรุนกินได้แก่ ปลา ครัสเตเซยี น และแพลงค์ตอนอ่ืนๆ บริเวณหนวดและแขนงที่ย่ืนออกมารอบปากมีเข็มพิษนีมาโตศีย์สต์ ใช้ฆ่าเหย่ือหรือทาให้เหย่ือสลบก่อนจบั กินเป็นอาหาร ปริมาณของนีมาโตศยี ์สต์อาจมีจานวนถึง 80,000 เซลล์ใน 1 ตารางเซนติเมตรเทา่ นนั้ ภายในนีมาโตศยี ์สต์ มีนา้ พิษที่เป็นอนั ตรายทาให้เกิดอาการคนั เป็นผ่ืนบวมแดงเป็นรอยไหม้ปวดแสบปวดร้ อน และเป็นแผลเรือ้ รังได้ ขนึ ้ อย่กู บั แมงกะพรุนแตล่ ะชนดิ บางรายทาให้เกิดอาการจกุ แน่นหน้าอก หายใจไมอ่ อก กระสบั กระส่าย นอนไม่หลบั อ่อนเพลียเป็นไข้ บางรายถงึ เสียชีวติ โดยทว่ั ไปเรียกแมงกะพรุนมีพษิ วา่ แมงกะพรุนไฟการป้องกันและรักษา การป้องกันการถูกแมงกะพรุน คือ การหลีกเลี่ยงลงเล่นนา้ ทะเลบริเวณท่ีมีแมงกะพรุนชุกชุม หรือ ชว่ งหลงั พายุฝน เพราะจะมีกระเปาะพิษของแมงกะพรุนหลดุ ลอยไปในนา้ ทะเลแม้จะไมไ่ ด้สมั ผสั กบั แมงกะพรุนโดยตรงกต็ ามการเกิดพิษเม่อื ถกู แมงกะพรุน กระทาได้โดยใช้นา้ ส้มสายชลู ้างแผลเพ่อื ไมใ่ ห้นีมาโตศีย์สตป์ ลอ่ ยนา้ พิษภายใน
6.ดอกไม้ทะเล (Sea anemone)ดอกไม้ทะเลเป็นสตั ว์ทะเลท่ีมีลาตวั อ่อนนมุ่ ด้านปากมีหนวดเรียงรายอย่รู อบปาก ด้านลา่ งเป็นฐานยึดเกาะอย่กู ับก้อนหิน ก้อนปะการัง หรือฝังตวั ลงในพืน้ ทะเลบริเวณดินเลนหรือดินทรายดอกไม้ทะเลเป็นสตั ว์ที่ดารงชีวิตแบบเด่ียว ไม่มีการสร้ างหินปูนเป็นฐานรองรับโพลิปเหมื อนปะการัง โพลปิ ดอกไม้ทะเลมกั มขี นาดใหญ่ บางชนดิ มีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางถงึ 30 เซนติเมตรมกั พบอาศยั อย่ตู ามแนวปะการัง เมื่อสมั ผสั หนวดของดอกไม้ทะเล นีมาโตศีย์สต์จากหนวดของดอกไม้ทะเล จะทาให้เกิดผ่ืนแดงและคนั บริเวณท่ีสมั ผสั ถ้าอาการรุนแรงมากจะทาให้เกิดอาการบวมแดง มนึ งง คลนื่ ไส้ อาเจียน ทงั้ นขี ้ นึ ้ อยกู่ บั ภมู ิต้านทานของแตล่ ะคนการรักษาการปฐมพยาบาลในเบือ้ งต้น ให้ใช้นา้ ส้มสายชลู ้างแผล และพยายามล้างเอาเมือกและชิน้ สว่ นของหนวดดอกไม้ทะเลออกให้หมด ถ้าผ้ปู ่ วยมอี าการทรุดลงให้นาสง่ แพทย์โดยดว่ น
7.บุ้งทะเล (Fire worms)บ้งุ ทะเลเป็นหนอนปล้องจาพวกเดียวกบั แมเ่ พรียงหรือไส้เดือนทะเล แตม่ ีลาตวั สนั้ กว่า เป็นสตั ว์ทะเลพวกโพลยี ์ฆีต (polychaete) ตามลาตวั มขี นยาวมาก และมสี ว่ นย่นื ของร่างกายออกไปเป็นคู่ด้านข้าง ช่วยในการว่ายนา้ ขนที่มีลกั ษณะเป็นเส้นแข็งนีจ้ ะหลดุ จากตวั บ้งุ ได้ง่ายและแทงเข้ าสู่ผิวหนงั ทาให้เกิดอาการคนั ในธรรมชาติ บ้งุ ทะเลอาศยั อยตู่ ามพนื ้ ทะเลใต้ก้อนหนิ ใต้ซอกปะการังตามลาคลองในเขตป่ าชายเลน หรือตามพืน้ ทะเลและถกู จบั มาโดยอวนหน้าดิน ตวั อย่างของบ้งุทะเลจึงพบปะปนอยกู่ บั สตั ว์นา้ อืน่ ๆทถี่ กู นาไปทาอาหารสตั ว์การป้องกันและรักษา ต้องระมดั ระวงั ไมใ่ ห้บ้งุ ทะเลสมั ผสั กบั ผิวหนงั หรือใช้มือเปลา่ หยบิ จบั บ้งุทะเล หากถกู บ้งุ ทะเล ทาการแก้ไขได้โดยหยบิ ขนบ้งุ ออกให้หมด แล้วใช้ครีม หรือ ยานา้ คาลาไมน์ทาเพอ่ื บรรเทาอาการคนั และปอ้ งกนั การติดเชือ้ ทีอ่ าจเกิดตามมาได้
8.เพรียงหนิ (Rock Barnacle)เพรียงหินเป็นสตั ว์จาพวกเดียวกบั ก้งุ และปู ท่ีมีการปรับตวั เปล่ยี นแปลงไปจากพวกก้งุ มาก โดยสร้างเปลอื กหินปนุ ออกมาช่วยยึดติดอย่กู บั ที่ และห่อห้มุ ร่างกายเอาไว้ ทาให้สามารถอาศยั อยู่บนบกได้เป็นเวลานาน เพรียงหินอาศยั อย่ตู ามโขดหิน เสาสะพานท่าเรือ หลกั โป๊ ะ หลกั เลีย้ งหอยแมลงภู่ ฟาร์มหอยนางรม หรืออาจพบเกาะอย่บู นสตั ว์มีเปลอื ก เช่น หอย แมงดาทะเล ปูเป็นต้น เป็นสตั ว์ทพี่ บบอ่ ย และพบชกุ ชมุ ตามริมชายฝ่ังทะเลทวั่ ไปการป้องกันและรักษา อนั ตรายที่อาจได้รับจากเพรียงหนิ คือการถกู บาดจากเปลอื กท่แี หลมคมขณะเดินไปตามโขดหินหรือจากการดานา้ เก็บหอยแมลงภู่ เป็นต้น หากถกู เพรียงหินบาดให้ทาความสะอาดบาดแผล และใสย่ าฆ่าเชือ้ เช่น ยาแดง และเสียเลือดมากให้นาสง่ แพทย์เพ่ือเย็บบาดแผลนนั้ ทนั ที
9.ปู (Crab)ปูเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการจากกุ้ง โดยมีส่วนท้องลดขนาดลง และพับอยู่ใต้อก ปูมีขาเดิน 5 คู่ คู่แรกเปล่ียนแปลงไปเป็นก้ามใช้หนีบจบั เหยื่อและปอ้ งกนั ตวั ปสู ่วนใหญ่มีก้ามแข็งแรง การจบั ปเู หล่านีจ้ งึ ต้องระมดั ระวงั โดยเฉพาะปทู ี่ยงั มีชีวิตและถกู แก้มดั ออกแล้ว ปใู บ้มีเปลือกแขง็ ก้ามแข็งแรงมาก เม่ือหนีบแล้วไม่ยอมปล่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม อันตรายจากปูหนีบนัน้ ยังไม่ร้ ายแรงเท่ากับการบริโภ คปูมีพิษเช่นเดยี วกบั แมงดาไฟ ซงึ่ อาจทาให้เสียชีวติ ได้ ตวั อยา่ งปมู ีพษิ ได้แก่ ปใู บ้แดง และปใู บ้ลายเป็นต้นพิษอนัเกิดจากปทู ี่นามาบริโภค บางครัง้ อาจเกิดจากปมุ ้าหรือปทู ะเลก็ได้ เช่น ปมู ้าที่ไม่สด หรือปทู ่ีมีดนิ ตะกอนจากพืน้ ทะเลติดอยู่ตามลาตวั โดยเฉพาะบริเวณเหงือกปู เมื่อนามาปรุงอาหาร แบคทีเรียจากปทู ่ีไม่สดและดินตะกอนจะทาให้เกิดอาการท้องเดินได้เช่นกนั บางคนอาจไม่สามารถบริโภคปไู ด้เลยเนื่องจากแพ้อาหารทะเล หากบริโภคเข้าไปจะทาให้เกดิ เป็นผืนคนั หรือ บวมทใ่ี บหน้าและลาคอก็ได้การบริโภคปูมีพษิ ในไม่กี่ชว่ั โมงจะเกิดอาการบวมท่รี ิมฝีปาก ลิน้ ปาก ลาคอและใบหน้า ถ่ายท้อง ปวดท้อง และช็อค
10.แมงดาทะเล (Horse-shoe crab)แมงดาทะเลเป็นสตั ว์ทะเลโบราณท่ียงั คงเหลืออย่ใู นโลกปัจจบุ นั เพียง 4 ชนิด ท่ีพบในทะเลไทยมีอยู่ 2 ชนิดคือแมงดาจานหรื อแมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus gigas) และ แมงดาถ้ วยหรื อแมงดาหางกลม(Carcinoscorpius rotundicauda) ทงั้ สองชนิดมีความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกนั แมงดาจานอาศยัอย่ตู ามพืน้ ทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งท่ีเป็นดนิ ทราย ส่วนแมงดาถ้วยอาสยั อย่ตู ามพืน้ ทะเลที่เป็นดนิ โคลนและตามลาคลองในป่ าชายเลน เทา่ ที่มีรายงานในประเทศไทย เฉพาะแมงดาหางกลมเท่านนั้ ทอี่ าจเป็นพิษและมักเรียกช่ือแมงดาที่เป็นพิษว่าแมงดาไฟ หรือ เหรา จนบางครัง้ ทาให้เข้าใจสับสนว่า เหรา เป็นแมงดาชนดิ ท่ีสาม อาการของคนทบ่ี ริโภคแมงดาถ้วยท่มี ีสารพิษเข้าไป จะทาให้เกดิ อาการมึนงง ปวดศรี ษะ คลื่นไส้อาเจียน หวั ใจเต้นเร็ว ปากชาพูดไม่ได้ แขนขาอ่อนเปลีย้ กล้ามเนือ้ ไม่ทางาน หมดความรู้สึกและอาจเสียชีวติ ได้ ขนึ ้ อย่กู บั ปริมาณท่ีบริโภคเข้าไปมากหรือน้อยการรักษา เม่ือพบผ้ทู ี่บริโภคแมงดาทะเลแล้วเกิดเป็นพิษ ให้ทาการล้างท้อง ทาให้อาเจียน และรีบนาส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สดุ
11.หอยเต้าปูน (Cone shell)หอยเต้าปนู เป็นหอยกาบเด่ียวพวกหนึ่งท่ีล่าจบั สตั ว์อ่ืนกินเป็นอาหาร ลกั ษณะเปลือกเป็นรูปกรวยคล้ายถ้วยไอศกรีมโคน (cone) สว่ นใหญ่มีเปลือกหนา ด้านหน้าของลาตวั มีท่อนา้ ย่ืนออกไปยาว และมีงวงย่ืนอยทู่ างด้านใต้ของไซฟอนด้วย ตรงปลายงวงหอยเต้าปนู นีเ้ องมีฟันแหลมคล้ายลูกธนซู ึ่งหอยใช้แทงเหยื่อ หอยเต้าปนู มีจานวนราว 500 ชนิด บางชนิดมีตอ่ มนา้ พิษร้ายแรง เท่าท่ีมีรายงานในต่างประเทศมีไมน่ ้อยกว่า 10 ชนิดท่ีเคยต่อยคนทาให้เสียชีวิตมาแล้ว ตามปกติแล้วหอยเต้าปูนท่ีอาศัยอยใู่ นธรรมชาติ จะใช้นา้ พิษเพื่อฆ่าเหย่ือ และโอกาสทห่ี อยจะทาอนั ตรายให้คนนนั้ น้อยมาก นอกจากคนไปเก็บจบั หอยเหล่านีด้ ้วยมือเปลา่ และถือเอาไว้ หอยจึงป้องกันตัวโดยใช้งวงที่มีฟันพิษแทงพิษท่ีเกิดจากหอยเต้าปูนต่อย จะทาให้เกิดอาการบวมแดง ตาพร่ามัวหายใจตดิ ขดั หรือ เสยี ชวี ิตได้การรักษาการปฐมพยาบาล เมื่อถกู หอยเต้าปตู อ่ ย คือ การปฏิบตั ิเช่นเดียวกบั ถกู งกู ดั โดยใช้สายยางรัดแขนเพื่อไมใ่ ห้พิษไหลเข้าสหู่ วั ใจ ให้ผ้ปู ่ วยนอนและเคล่ือนไหวน้อยที่สดุ แล้วรีบนาสง่ โรงพยาบาลโดยนาหอยไปด้วยแม้ว่าทางโรงพยาบาลจะไม่มีเซรุ่มแก้พิษของหอยเต้าปูนโดยตรง แต่แพทย์ก็อาจใช้เซรุ่มแก้พิษงู ท่ีอาจมีประสิทธิภาพคล้ายคลงึ กนั ชว่ ยรักษา
12.หมึก (Cephalopod)หมึกเป็นมอลลสั พวกหน่งึ ที่มีววิ ฒั นาการสงู กว่าหอยโดยสามารถเคลอื่ นทีได้รวดเร็ว สามารถไล่ลา่ สตั ว์อื่นกินได้ ลาตวั ไม่มีเปลอื กด้านนอก แตม่ ีแกนคา้ จนุ อย่ภู ายใน หนวดของหมึกจานวน 8เส้นได้เปลี่ยนแปลงมาจากเท้าของหอย ภายในปากของหมึกมีขากรรไกรแข็ง ซึ่งหมึกใช้ขบกัดเหย่ือ ย่ิงไปกว่านนั้ หมึกสายบางชนิด เช่น หมึกสายวงหมึก (Hapalochlaena naculosa) ซึ่งอาศยั อยตู่ ามแนวปะการังของออสเตรเลยี แตไ่ มพ่ บในนา่ นนา้ ไทย มตี อ่ มพษิ ทสี่ ามารถทาให้เกิดอนั ตรายถึงแก่ชีวิตได้การรักษา เม่ือถกู หมกึ กดั ควรรีบห้ามเลอื ด ทาความสะอาดบาดแผล ใสย่ าฆา่ เชือ้ ถ้าบาดแผลมีขนาดใหญ่ควรรีบพบแพทย์ และถกู อวยั วะทรงกลมสาหรับใช้ดดู บนหนวดหมกึ (suction cub)ดดู อาจทาให้เกิดอาการห้อเลือด ควรใช้นา้ เย็นปะคบ ดงั นนั้ การจบั ด้วยมือขณะที่หมึกยงั มีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ หมกึ สาย อาจถกู กดั ทาให้บาดเจ็บได้
13.ดาวหนาม (Clown-of-thorn sea star)ดาวหนามหรือดาวมงกุฎหนามเป็นดาวทะเลชนิดหน่ึงที่มีแขนจานวนมาก ตามผิวลาตวั มีหนามยาวประมาณ 1 นิว้ อาศัยอย่ตู ามแนวปะการังโดยกินโพลิปปะการังเป็นอาหาร นักอนรุ ักษ์ธรรมชาติถือวา่ ดาวหนามเป็นตวั ทาลายแนวปะการัง และพยายามควบคมุ ปริมาณดาวหนามให้ลดลงนอกจากผลกระทบตอ่ ระบบนิเวศในแนวปะการังแล้ว ดาวหนามยงั เป็นอนั ตรายตอ่ นกั ดานา้และชาวประมงทด่ี านา้ อยบู่ ริเวณปะการังด้วย เพราะหากเหยียบลงไปบนตวั ดาวหนามแล้วจะทาให้เกิดบาดแผล และได้รับความเจ็บปวดการรักษา เม่ือถกู หนามของดาวทะเลนีต้ า แผลจะบวมแดง ถ้าหนามหกั คาต้องผา่ หรือถอนออก ทาความสะอาดแผลด้วยนา้ สะอาด แช่สว่ นที่ถกู ตาด้วยนา้ ร้อน 50-60 องศาเซลเซียสใช้ยาฆา่ เชือ้ ใสบ่ ริเวณบาดแผล เพ่ือปอ้ งกนั การอกั เสบ
14.เม่นทะเล (Sea urchin)เม่นทะเลเป็นสตั ว์มีหนามตามผิวลาตวั เช่นเดียวกบั ดาวทะเล แต่เม่นทะเลมีหนามยาวจานวนมาก ชนิดท่ีพบชกุ ชุมในแนวปะการังของชายฝั่งทะเลไทยคือเม่นดาหนามยาว (Diadema setosum) มีหนามขนาดยาวอยู่รอบตวั การเลน่ นา้ ดานา้ ในบริเวณท่ีมีเม่นทะเล คล่ืนอาจซดั ให้โยนตวั ไปเหยียบย่าหรือนงั่ ทบั เมน่ ทะเลได้ หนามของเมน่ ทะเลมกั เปราะหกั ง่าย เม่ือฝังอยู่ในเนือ้ ไม่สามารถบ่งออกได้อยา่ งเสยี ้ นหรือหนามจากพืช เมน่ ทะเลบางชนดิ มีตอ่ มนา้ พษิ ด้วยเมื่อถหู นามเมน่ ตาแล้ว นา้ พษิ ยงัอาจเข้าส่รู ่างกายทาให้เกิดอาการอกั เสบ บวมแดง เจ็บปวดและเป็นไข้ได้ นอกจากหนามท่ีแหลมคมแล้วเม่นทะเลยังมีโครงสร้างพิเศษท่ีเรียกว่า เพดิเศลลาเรีย (อี) (pedicellariae) กระจดั กระจายแทรกอย่รู ะหว่างหนามตรงปลายมกั มี 3 แฉกคล้ายคีม ซง่ึ ทาหน้าท่เี ก็บเศษอินทรีย์และจลุ ินทรีย์ออกจากผวิ ลาตวั เพดเิ ศลลาเรียในเม่นทะเลบางชนิดมีตอ่ มนา้ พิษอย่ดู ้วยดงั นนั้ อนั ตรายจากเม่นทะเลจงึ ไม่เฉพาะหนามเพียงอย่างเดียว หนามของเม่นทะเลจะทาให้เกิดอาการบวมแดง ชา เป็นอยู่นานประมาณ 30 นาที จนถงึ 4-6 ชวั่ โมง และหนามจะย่อยสลายไปภายใน 24 ชว่ั โมงการป้องกันและรักษา โดยปกตเิ ม่นทะเลมกั ไม่เป็นอนั ตรายตอ่ นกั ดานา้ ถ้าไม่เข้าไปใกล้ หรือ จบั ต้อง เมื่อถกู หนามเม่นทะเลตาให้ถอนหนามออก ถ้าทาได้ หากถอนไมอ่ อกให้พยายามทาให้หนามบริเวณนนั้ แตกเป็นชนิ ้ เลก็ ๆ โดยการบดิ ผิวหนงั บริเวณนนั้ ไปมา หรือ แช่แผลในนา้ ร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซยี ส เพื่อช่วยให้หนามยอ่ ยสลายได้เร็วขนึ ้ แตห่ นามบางชนิดอาจไม่ยอ่ ยสลาย ต้องผ่าออก
15.ปลากระเบน (Ray)ปลากระเบนเป็นปลากระดกู ออ่ น ลาตวั แบนด้านบนด้านลา่ ง รูปร่างคอ่ นข้างกลมและมีหางยาว ปากของปลากระเบนอยทู่ างด้านลา่ ง อาหารของปลากระเบนสว่ นใหญ่เป็นสตั ว์หน้าดินตา่ งๆ ปลากระเบนมีการปอ้ งกนั ตวั ด้วยการมีเง่ียงแหลมคมอยบู่ ริเวณโคนหาง ผ้ทู ่ีเดินลยุ นา้อยรู่ ิมชายฝั่งทะเล จึงอาจเหยียบไปบนตวั ปลากระเบนท่หี มกตวั อยตู่ ามพนื ้ ทะเล และถกู เง่ียงตาได้รับความเจ็บปวด ในแนวปะการังของไทย มีปลากระเบนทอง (Taeniura lymna) อาศยัอยู่ตามแนวปะการังท่ัวไป ผู้ท่ีดานา้ ลงไปในบริเวณดงั กล่าว จึงมีโอกาสถกู เงี่ยงของปลากระเบนทองตาได้เช่นเดยี วกนัเม่อื ถกู เง่ยี งของปลากระเบน ตาจะได้รับพิษทาให้เกิดอาการปวดอยา่ งแรง บางครัง้ อาจทาให้เกิดอาการช็อค หมดสติ และเสยี ชีวิตได้การรักษา การปฐมพยาบาลในขนั้ แรก คือ ห้ามเลือดท่บี าดแผล แล้วตรวจดวู ่ามีเศษของเง่ียงพษิ ตกค้างอยรู่ ึไม่ เน่ืองจากพิษของเงี่ยงปลากระเบน เป็นสารพวกโปรตีนย่อยสลายในความร้อน ดงั นนั้ ควรแชบ่ าดแผลใน
16.ปลากระเบนไฟฟ้า (Electric ray)ปลากระเบนไฟฟ้ามลี าตวั แบนคอ่ นข้างกลม มอี วยั วะผลติ กระแสไฟฟา้ ประกอบด้วยเซลลร์ ูปหกเหลย่ี ม เรียงซ้อนกนั เป็นกลมุ่ ตงั้ อยทู่ างด้านข้างของตาถดั ไปถึงครีบอก ภายในมีสารเป็นเมือกคล้ายว้นุ ทาหน้าที่เป็นตวั ผลติ กระแสไฟฟา้ จะว่ิงจากด้านล้างขนึ ้ ไปด้านบนภายใต้การควบคุมของสมอง การปล่อยกระแสไฟฟ้าเกิดขึน้ เมื่อได้รับการกระตุ้น หรือถูกรบกวนตามปกติใช้เพอื่ ลา่ เหยื่อหรือทาร้ายศตั รู หากคนไปเหยียบปลากระเบนไฟฟ้าท่ีหมกตวั อาศยัอยตู่ ามธรรมชาติ กระแสไฟฟ้าท่ีปลอ่ ยออกมามกั มีกาลงั ไฟประมาณ 40-100 โวลต์ ซง่ึ อาจทาให้เกิดอาการชา จนอาจจมนา้ ได้การป้ องกันและรักษา หากทราบว่าในบริเวณใดมีปลากระเบนไฟฟ้าอาศัยอยู่ ควรหลกี เลย่ี งในการลงเลน่ นา้ ในบริเวณดงั กลา่ ว เนือ่ งจากกระแสไฟฟา้ ทป่ี ลอ่ ยออกมาอาจทาให้หมดสติ เมื่อนาผ้ปู ่ วยขนึ ้ บนผิวนา้ และชว่ ยให้ผ้ปู ่ วยหายใจ (CPR) แล้วนาสง่ โรงพยาบาล
17.ปลาสิงโต (Lion fish)ปลาสิงโตเป็นปลาที่อาศยั อย่ตู ามแนวปะการัง ว่ายนา้ เชื่องชา มกั ถกู จบั มาเลีย้ งเป็นปลาตู้สวยงาม จึงมกั พบปลาชนดิ นเี ้ลยี ้ งเป็นปลาต้สู วยงาม นา้ เคม็ แทบทกุ แห่ง ปลาสงิ โตมคี รีบหลงัและครีบอกยาว ประกอบด้วยก้านครีบแข็งขนาดยาวหลายเซนติเมตร ก้านครีบแข็งนีม้ ีอนั ตรายมาก สามารถท่มิ แทงเข้าสผู่ วิ หนงั ของคนได้ลกึ และมตี อ่ มนา้ พิษทีท่ าให้เจบ็ ปวดรุนแรงการป้องกันและรักษา ระวงั อย่าจบั ปลาชนิดนีค้ วรปล่อยให้ตาย หรือไม่ควรไปเลน่ กบั มนัการรักษาเชน่ เดียวกบั การถกู เงี่ยงปลากระเบน
18.ปลากะรังหวั โขน (Stonefish)ปลาชนิดนีม้ ีลกั ษณะใกล้เคียงกบั ปลาสิงโตและปลาแมงป่ อง มีหวั ขนาดใหญ่ ปากกว้าง มกันอนสงบน่ิงอย่ตู ามพืน้ ทะเล เพื่อรอให้เหย่ือวา่ ยผ่านมา ปลาจะพ่งุ ตวั ฮุบเหง่ือกินทงั้ ตวั ปลาชนดิ นแี ้ ม้วา่ ยถกู จบั มาได้ก็ไมน่ ยิ มนามาบริโภคปลากะรังหวั โขน มีรูปร่างคล้ายคลงึ กบั ก้อนหินมองดูกลมกลนื กับสภาพแวดล้อมท่ีอาศยั อย่ทู าให้มองไม่เห็น จึงไม่เพียงทาให้เกิดบาดแผลเทา่ นนั้ ท่กี ้านครีบของปลาชนิดนีย้ งั มพี ิษทีเ่ ป็นอนั ตรายรุนแรงอาจทาให้ถงึ แกช่ ีวติ ได้การป้ องกันและรักษา ระวังอย่าจับปลาชนิดนี ้ หรือไม่ควรไปเล่นกับมัน การรักษาเช่นเดยี วกบั การถเู งี่ยงปลากระเบน
19.ฉลาม (Shark)ปลาฉลามเป็นปลาท่ีคนโดยทวั่ ไปเข้าใจว่าเป็นสตั ว์ดรุ ้าย หรือเป็นปลากินคน ความจริงแล้วปลาฉลามเป็นสตั ว์กินเนอื ้ พวกหนง่ึ ซึ่งมฟี ันแหลมคมไว้ช้ลา่ เหย่อื เป็นอาหารแตก่ ็มบี อ่ ยครัง้ ทปี่ ลาฉลามขนาดใหญ่เข้าจ่โู จมกดั นกั ดานา้ หรือผ้คุ นที่เลน่ นา้ อยตู่ ามชายหาด ด้วยเข้ าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารส่วนใหญ่แล้วข่าวเก่ียวกับปลาฉลามกินคนหรือกัดนักประดานา้ นักท่องเที่ยว ที่เล่นนา้ ตามชายหาด เกิดเฉพาะในตา่ งประเทศ เช่น ออสเตรเลยี ฮ่องกง ตวั อย่างฉลามที่มีความดรุ ้ายและมีรายงานกดั คนได้การป้องกันและรักษา ควรหลกี เลี่ยงการเลน่ นา้ หรือ ดานา้ ในบริเวณท่ีมีฉลามชุกชมุ และไมค่ วรแสดงอาการต่ืนกลวั เม่ือพบฉลาม หลีกเลี่ยงการกระต้นุ ความสนใจของฉลามเช่น ยิงปลา เพราะเลือดและการดิน้ ของปลาจะกระต้นุ ความสนใจของปลาฉลาม หากถกู ฉลามกดั ต้องพยายามห้ามเลอื ดทกุ วิธี นาผ้บู าดเจ็บขนึ ้ จากนา้ หากหมดสติให้ออกซิเจนสว่ นมากผู้ป่ วยเสยี ชีวติ เน่ืองจากเสยีเลอื ด ดงั นนั้ การห้ามเลอื ดได้ดจี ะสามารถช่วยชีวติ ผ้ปู ่ วยได้ดีทสี่ ดุ แล้วนาสง่ โรงพยาบาล
20.ปลาไหลมอร์เลย์ (Morley eel)ปลาทะเลในแนวปะการังหลายชนิดเป็นสตั ว์กินเนือ้ และมีฟันแหลมคม โดยเฉพาะปลาไหลมอร์เลย์ซึง่ ซ่อนตวั อย่ตู ามโพรงหินปะการังและโผลห่ วั ออกมาเฝา้ ระวงั เหย่ือหรือศตั รู หากนกัดานา้ หรือผ้ทู ่วี า่ ยนา้ ผา่ นบริเวณที่ปลาอาศยั อยู่ ปลาก็อาจพงุ่ ตวั ออกมาฉกกดั คล้ายงไู ด้ แม้วา่ปลาไหลมอร์เลย์จะไมม่ ีเขยี ้ วพษิ อยา่ งงทู ะเล แตเ่ มอื กในปากของปลาก็เป็นพิษออ่ นๆการป้องกันและรักษา ถ้าพบปลาไหลอยา่ เข้าใกล้ อยา่ ล้วงมือเข้าไปในโพรงหิน หรือซากเรือจม อย่าเลน่ กบั ปลาไหลที่ไม่ค้นุ เคย เมื่อถูกกัดจะเกิดบาดแผลลึกจากเขีย้ วของปลา ทาให้เลือดออกมาก และอาจหมดสติได้ ต้องนาผู้ป่ วยขึน้ จากนา้ ห้ามเลือด และรีบนาผู้ป่ วยส่งแพทย์โดยเร็ว แผลทีถ่ กู กดั มกั มขั นาดลกึ ต้องรีบทาความสะอาดแผลให้ทวั่ ถึง
21ปลาปักเป้า (Puffer fishes)ปลาปักเปา้ เป็นปลาท่ีรู้จกั กนั ดีว่ามีพิษโดยเฉพาะอย่างไข่ ตบั ลาไส้ ผิวหนงั ส่วนเนือ้ ปลามีพิษน้อยการนาปลาปักเปา้ มาบริโภค ถ้าการเตรียมก่อนนาไปปรุงไม่รู้วิธีท่ีถูกต้อง ทาให้พิษที่อยู่ในอวยั วะภายในปนเปือ้ นเนือ้ ปลา ทาให้ผ้บู ริโภคได้รับสารพิษเกิดอาการชาท่ีริมฝีปาก มีอาการคนั แสบร้อนที่ผิวหนังและตา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ขาอ่อนแรง หรือเกิดอมั พาต กลืนลาบาก หัวใจเต้นเร็ว เจ็บอก ความดนั เลือดสูง จนถึงขนั้ หยุดหายใจและเสียชีวิต พษิ ของปลาปักเปา้ เป็นสารเตโตรโดทอกซนิ (tetrodotoxin) ตวั อย่างปลาปักเปา้ ทีม่ ีพิษได้แก่ ปักเปา้ ดา ปักเปา้ หนามทเุ รียนการป้องกันและรักษา งดบริโภคอาหารแปลกๆ ถ้าไม่แน่ใจให้ถามชาวประมง หรือคนในท้องถ่ินถ้าหากได้รับสารพิษพยายามให้ผู้ป่ วยอาเจียน โดยวธิ ีล้วงคอ หรือให้ผ้ปู ่ วยดื่มผงถ่านกมั มนั ต์ ผสมนา้ อตั ราส่วน 10 กรัม ตอ่ นา้ 100 มล. เพื่อดดู ซบั สารพษิ ท่ีตกค้างอยใู่ นกระเพาะอาหาร ไม่ให้ดดู ซมึเข้าร่างกาย แล้วรีบนาสง่ แพทย์
22.งทู ะเล (Sea snake)งทู ะเลมีลกั ษณะตา่ งจากงบู กคือ ลกั ษณะลาตวั สว่ นท้ายค่อนข้างแบนทางด้านข้างจนถงึ ปลายหางคล้ายใบพายเพ่ือใช้สาหรับว่ายนา้ งทู ะเลทกุ ชนิดมีพษิ อย่ทู ่ีเขีย้ วที่ปาก บางชนิดวา่ ยนา้ เหมือนอย่างปลา และบางชนิดขึน้ มาวางไขบ่ นชายฝั่งเชน่ เดียวกบั เตา่ ทะเล พิษของงทู ะเลมีอนั ตรายร้ายแรงมาก แม้จะถกู นาขึน้ มาบนบกแล้วก็ไมค่ วรใช้มือจบั การเดินไปตามแนวปะการังควรใส่รองเท้ายางห้มุ ข้อ งทู ี่ตายแล้วก็ยังต้องระวงั พิษจากเขีย้ วท่ีสามารถออกฤทธิ์ได้ นา้ จากพิษงทู ะเลมีผลโดยตรงต่อระบบกล้ามเนือ้ ทาให้ปัสสาวะของผู้ป่ วยจะเปลี่ยนเป็นสีนา้ ตาลภายในเวลา 3-5 ชว่ั โมง เนื่องจากเม็ดสีถกู ปลอ่ ยออกมาจากเซลล์กล้ามเนือ้ ท่ีถกู ทาลาย มกี ารหายใจขดั หรือการทางานของหวั ใจล้มเหลว งทู ะเลที่พบในน่านนา้ ไทยมอี ยหู่ ลายชนิด บางชนิดมีพิษ บางชนิดท่พี ษิ ออ่ นหรือไมม่ ีพิษตวั อยา่ งเชน่ งแู สมบงั งแู สมรัง งคู อออ่ น งผู ้าขีร้ ิว้ งชู ายธง เป็นต้น รายละเอยี ดดไู ด้จากบทความเร่ืองของงูการป้องกันและรักษา ควรหลีกเล่ียงการลงเลน่ นา้ ในบริเวณท่ีมงี ชู กุ ชมุ หากมีผู้ถกู งทู ะเลกดั ควรให้ผ้ปู ่ วยนอนนิ่งๆ และไมค่ วรให้บาดแผลท่ีถกู กดั เพอ่ื ชะลอการไหลของเลอื กพยายามอยา่ ให้ผ้ปู ่ วยเคลอื่ นไหว ทาความสะอาดแผลและรีบนาสง่ แพทย์โดยเร็วท่ีสดุ ในประเทศไทยยงั ไม่มีเซรุ่มใช้กับงทู ะเล แตอ่ าจใช้เซรุ่มสาหรับผ้ปุ ่ วยที่ถกู งูสามเหล่ียมกดั แทนได้
23.แมงกะพรุนลอดช่องลาตวั ใส สฟี ้า ขาว ชมพู หรือ ม่วงคราม ผิวนอกของร่มมีรยางค์คล้ายว้นุ เป็นเส้นตรงเหมือนเส้นลอดช่องสงิ คโปร์ รยางค์ทีอ่ ยตู่ รงกลางใต้ร่มมขี นาดใหญ่ ขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางร่ม ท่พี บวา่นามาใช้ทาแมงกะพรุนแห้งอยรู่ ะหวา่ ง 20-50 เซนตเิ มตรการป้องกันและรักษา การปอ้ งกนั การถกู แมงกะพรุน คอื การหลกี เลยี่ งลงเลน่ นา้ ทะเลบริเวณท่ีมีแมงกะพรุนชกุ ชมุ หรือ ช่วงหลงั พายฝุ น เพราะจะมกี ระเปาะพษิ ของแมงกะพรุนหลดุ ลอยไปในนา้ ทะเลแม้จะไมไ่ ด้สมั ผสั กบั แมงกะพรุนโดยตรงก็ตาม
24. แมงกะพรุนหนังแมงกะพรุนหนงั เป็นสัตว์นา้ ไม่มีกระดกู สนั หลัง จาพวกแมงกะพรุนสกุลหน่ึง เป็นแมงกะพรุนแท้ คือแมงกะพรุนที่จดั อยู่ในชนั้ ไซโฟซวั มีร่างกายเป็นก้อนคล้ายว้นุ โปร่งใส ไม่มีสี มีรูปร่างคล้ายร่ม ขนาดเส้นผ่าศนู ย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร บริเวณขอบร่มเป็นริว้ ตรงกลางด้านเว้ามีส่วนย่ืนออกไปเป็นชอ่ คล้ายดอกกะหล่าท่ีมีปากอยตู่ รงกลาง โดยแมงกะพรุนหนงั จดั เป็นแมงกะพรุนที่สามารถรับประทานได้ ชาวประมงจะจับกนั ในเวลากลางคืน ด้วยการล่อด้วยแสงไฟสีเขียว เม่ือได้แล้วจะนาไปล้างด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนตและสารส้ม เพ่ือให้เมือกหลดุ จากตวั แมงกะพรุนและทาให้มีเนือ้ ที่แข็งขนึ ้ ก่อนจะนาไปพกั ไว้ เพ่ือปรุงหรือเป็นส่วนผสมในอาหารประเภทตา่ ง ๆ เชน่ ยา เยน็ ตาโฟ หรือสกุ ี ้การป้องกันและรักษา คือ การหลีกเลี่ยงลงเล่นนา้ ทะเลบริเวณท่ีมีแมงกะพรุนชุกชุม หรือ ช่วงหลงัพายฝุ น เพราะจะมีกระเปาะพิษของแมงกะพรุนหลดุ ลอยไปในนา้ ทะเลแม้จะไม่ได้สมั ผสั กบั แมงกะพรุนโดยตรงก็ตาม
Search