๘. พระเจา้ กรงุ พาราณสี ทรงโปรดปรานกนิ นรสองผวั เมยี นน้ั โปรดใหอ้ ยใู่ นกรงทอง รบั สง่ั ใหน้ ายพรานผจู้ บั มาได้ ใหน้ �ำ กลบั ไปปลอ่ ยยงั ทเ่ี ดมิ ทจ่ี บั มาไดน้ น้ั นายพรานกท็ �ำ ตามรบั สง่ั ทกุ ประการ กลับบา้ นเรา รักรออยู่ กนิ นรสองผวั เมยี ไมก่ ลา้ พดู มาก กเ็ พราะจะตอ้ งกลวั พดู เทจ็ กนิ นรทง้ั สองผัวเมียรอดตายได้ ก็เพราะพูดคำ�สุภาษติ เพราะฉะนั้น ผู้ปรารถนาจะพ้นจากความตาย ก็ควรเลิก พูดคำ�เหลาะแหละ ควรพดู แต่ความจรงิ เท่านัน้ ดว้ ยเหตนุ แ้ี หละ พระทา่ นจงึ กลา่ ววา่ “สจจฺ ํ เว อมตา วาจา” คำ�สัตยเ์ ป็นคำ�ท่ไี ม่ตาย น้เี ป็นคตมิ าแตโ่ บราณ คนดพี ูดแตค่ �ำ สัตย์ ท่เี ป็นอรรถเป็นธรรมเท่าน้ัน ดงั นี้ 49
ค�ำ ถามประจ�ำ บท ๑. ค�ำ สัตย์ คอื ค�ำ อย่างไร ? ๒. ๓. พดู คำ�สตั ย์ ค�ำ สตั ย์ คือพูดอยา่ งไร ? เปน็ ค�ำ ไมต่ าย อยา่ งไร ? ๔. ๕. พดู ค�ำ สัตย์ จงเลา่ เร่อื ง รอดตายได้อยา่ งไร ? กินนรสองผวั เมียโดยยอ่ มาใหฟ้ งั ? 50
บท๖ที่ ปากเปน็ เอก ๑. ค�ำ วา่ “ปาก” ในสภุ าษติ ทต่ี ง้ั เปน็ หวั ขอ้ น้ี หมายความวา่ ค�ำ พดู ทพ่ี ดู ออกมาใหค้ นอน่ื ไดย้ นิ และตวั ผพู้ ดู เองกไ็ ดย้ นิ ดว้ ย จ�ำ งา่ ย ๆ วา่ “ค�ำ พดู ” ทท่ี า่ นกลา่ ววา่ “เปน็ เอก” กห็ มายความวา่ “ดกี วา่ เขยี น หรือดกี วา่ หนังสอื ” ทเ่ี ปน็ อยา่ งน้ี กเ็ พราะสอ่ื ทจ่ี ะใหค้ นอน่ื รคู้ วามคดิ ของเรา หรอื ทีจ่ ะใหร้ ู้ความคิดของคนอน่ื หรอื คนเราจะรูเ้ รอ่ื งของกันและกนั ได้ กเ็ พราะพูดกันจึงเขา้ ใจกนั ได้ ถา้ ไม่พดู กนั ก็ไมเ่ ขา้ ใจกัน ๒. ในทางวฒั นธรรมวา่ “วาจาสอ่ ชาติ มารยาทสอ่ ตระกลู ” หรอื ว่า “สำ�เนียงบอกภาษา กริ ยิ าบอกตระกลู ” นีห้ มายว่า “คนท่ี รวมกนั อย่เู ป็นกลมุ่ หรอื ประชมุ กันอยู่ ตามธรรมชาตคิ นท่ีอย่ยู ่าน เดียวกนั เชน่ ในย่านเอเซยี นี้ รูปรา่ งหน้าตาของคนเหมอื น ๆ กัน ถา้ ไม่พูดขน้ึ แลว้ ก็จะไมร่ ู้เลยวา่ คนไหนเป็นชาตอิ ะไร ภาษาอะไร ตอ่ เมอ่ื พดู ขน้ึ จงึ ไดร้ วู้ า่ คนนน้ั เปน็ ไทย คนนน้ั เปน็ ญวน คนนน้ั เปน็ จนี คนนน้ั เป็นพม่า คนน้นั เปน็ มลายู เป็นต้น 51
ทีว่ า่ “วาจาสอ่ ชาติ” ก็คอื ค�ำ พดู ท่ีพดู ออกมานน้ั บอกให้ รวู้ ่าเป็นชาตนิ นั้ ชาตนิ ้ี ที่ว่า “สำ�เนียงบอกภาษา” ก็คือ เสียงที่พูดออกมานั้น บอกให้ร้วู ่า คนผ้พู ูดนน้ั เปน็ ภาษาอะไร คอื เปน็ คนไทยหรอื คนจนี อกี อย่างหน่งึ หมายความส�ำ เนียงทพี่ ดู นนั้ บอกใหร้ ูส้ ติปัญญาของ ผูพ้ ูด หรือบอกให้รคู้ วามสูงตำ�่ ในจติ ใจของผู้พดู ด้วย เพราะเหตนุ ้ีแหละ ทา่ นจึงกล่าววา่ “ปากเปน็ เอก” ๓. เรอ่ื งปากเปน็ เอกน้ี มเี รอ่ื งทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ ปากเปน็ เอก จริงๆ หลายเรื่องด้วยกนั จะขอเล่าใหฟ้ งั บางเรอ่ื ง ดงั ตอ่ ไปน้ี เรื่องหนึ่ง ทา่ นเลา่ ไว้ในหนงั สือพุทธประวัติ พระนพิ นธใ์ น สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส วา่ ดงั น้ี ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานใหม่ มัลลกษัตริย์ แห่งนคร กสุ นิ ารา รว่ มกบั พระสงฆจ์ ดั การถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะแลว้ เก็บพระบรมธาตุรวบรวมไว้ ในครั้งนั้นได้มีเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ท่เี ล่อื มใสในพระพุทธเจ้าได้ทราบข่าวน้นั ภายหลังจึงจัดส่งทูตานุทูต พรอ้ มกบั กองทพั มายงั นครกสุ นิ ารา เพอ่ื ขอแบง่ พระบรมธาตุ สง่ั เปน็ คำ�ขาดมาว่า ถ้ามัลลกษัตริย์ไม่ยอมแบ่ง ก็ให้ยกกองทัพเข้ารบ แย่งเอามาให้ได้ เมอื่ ทตู านทุ ูตแหง่ นครนน้ั ๆ ไม่แบ่งเดด็ ขาด มาถงึ ขอส่วนแบง่ ช้ันแรกเจ้ามัลละ ไม่ยอมแบ่ง อ้างวา่ พระพุทธองคป์ ระทาน แก่มัลละโดยเฉพาะ 52
อา้ งพระด�ำ รสั ทต่ี รสั แกพ่ ระอานนท์ ในระหวา่ งทางเสดจ็ เปน็ พยาน ฝา่ ยคณะทูตานทุ ูตแห่งนครนัน้ ๆ กจ็ ะยือ้ แยง่ เอาให้ได้ ขา้ งมลั ลกษตั รยิ ก์ ย็ นื กรานไมย่ อมแบง่ ทง้ั สง่ั ใหท้ หารเตรยี ม พรอ้ มประจำ�ที่ตามปอ้ มค่ายทกุ แห่ง เพือ่ รับศึกแย่งพระธาตุ ๔. โทณพราหมณ์ ซึ่งเป็นพราหมณ์ผู้เฒ่า เป็นผู้ตั้งอยู่ใน ธรรม เปน็ ทเ่ี คารพนบั ถอื ของประชาชน ตง้ั แตม่ ลั ลกษตั รยิ ต์ ลอดถงึ คนท่วั ไป ท่านพราหมณพ์ ิจารณาเหน็ วา่ ถ้าขนื แขง็ ข้อไมย่ อมแบง่ ตอ้ งเกดิ สงครามใหญ่ เปน็ สงครามแยง่ พระธาตพุ ระพทุ ธองค์ ความ พนิ าศกจ็ ะตกแตม่ ลั ละฝา่ ยเดยี ว มลั ละจะตอ้ งเสยี ทง้ั ชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ความระส�ำ่ ระสายกจ็ ะมใี นหมปู่ ระชาชน ยง่ิ กวา่ นน้ั ความเสยี นน้ั กจ็ ะ ตกถึงพระพทุ ธองค์ผู้นิพพานแลว้ เมื่อคิดเห็นเช่นนั้น จึงเข้าไปเฝ้ามัลลกษัตริย์ กราบทูลให้ ทรงทราบถึงภยั ทจ่ี ะมาถงึ พระนคร ขอให้มัลลกษตั ริยย์ อมผอ่ นตาม อืม...แบ่งก็ได้ แบง่ ใหแ้ กเ่ จ้านครเหลา่ นน้ั ตามควร มัลลกษัตริย์เห็นด้วย ตกลงยอมแบ่งตามท่ี โทณพราหมณ์แนะน�ำ ทา่ นพราหมณ์ทลู อุบาย ใหท้ รงทราบ แลว้ ใหร้ อไว้ ๕. ท่านพราหมณ์จึงให้ประชุมทูตานุทูตแห่งนครเหล่าน้ัน ที่มาแล้วแจ้งให้ทราบว่า ขอให้ฟังคำ�อันเอกของท่านสักคำ�เถอะ พระพทุ ธเจ้าของเราทรงมขี ันติ ความอดทน ทรงชกั นำ�พวกเราให้มี 53
ความอดทนด้วย เราทั้งหลายก็เป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธองค์ แม้ พระบรมธาตุที่จะขอแบ่งเอาไปนี้ ก็จะเอาไปบูชา ถ้าพวกเราจะ มาอ้างเอาพระธาตุบังหน้าทำ�สงครามกัน จะเป็นการสมควรหรือ ประวตั ศิ าสตรก์ จ็ ะจดจ�ำ ไวว้ า่ ลกู ศษิ ยพ์ ระพทุ ธเจา้ เอาพระธาตขุ อง พระองคบ์ งั หนา้ รบกนั สงครามแยง่ พระธาตกุ จ็ ะเปน็ ตราตดิ โลกอยู่ ต่อไป ๖. คณะทตู านทุ ตู เหน็ จรงิ ยอมหยดุ สงคราม โทณพราหมณ์ ไดท้ จี งึ แจง้ ใหท้ ราบวา่ มลั ลกษตั รยิ ย์ อมแบง่ แตข่ อใหค้ ณะทตู ยง้ั อยู่ กอ่ น เพราะนครทเ่ี ลอ่ื มใสในพระพทุ ธองคย์ งั มอี กี รอใหน้ ครเหลา่ นน้ั ส่งทูตมากอ่ น เม่ือรอไป นครต่าง ๆ ส่งทตู านทุ ตู มา ๗ นคร โทณพราหมณ์ เหน็ สมควรแลว้ จงึ จัดการแบง่ พระบรมธาตุ แก่นครเหล่านนั้ เท่า ๆ กนั นครเหลา่ นน้ั กน็ �ำ ไปสรา้ งพระเจดยี บ์ รรจไุ วเ้ ปน็ ทส่ี กั การบชู า โดยทวั่ กนั ท่ีโทณพราหมณร์ ะงบั สงครามไดก้ ็เพราะพดู ๗. พระพุทธองค์ทรงโปรดองคุลิมาลให้กลับได้บวชใน พระศาสนากเ็ พราะพูด ทา่ นเล่าไว้ว่า ครง้ั พทุ ธกาล องคลุ มิ าลนเ้ี มอ่ื ยงั เปน็ หนมุ่ ไดไ้ ปเรยี นมนตร์ ในส�ำ นกั อาจารยแ์ หง่ หนง่ึ ตอ้ งการนว้ิ คนพนั นว้ิ มาเปน็ เครอ่ื งประกอบ การเรียนมนตร์ เทย่ี วฆา่ คนไปทวั่ กรงุ สาวตั ถี ได้น้ิวไมถ่ ึงพัน จะไป 54
ทางไหน คนกห็ ลบหนหี มด ไมพ่ บใครต้องไปดกั ซุม่ อยู่ในป่าฆ่าคน ทเี่ ดนิ ทางผ่านไปมา คนเขารเู้ ข้าเขากไ็ ม่เดินไปทางนั้น ขณะนัน้ ไดน้ ว้ิ มือ วนั น้ตี ้องเอา ไว้ ๙๙๙ นิ้วแลว้ ให้ครบพันน้ิว ยังขาดอกี นวิ้ เดยี ว เทา่ นั้นจะครบ ๑,๐๐๐ น้วิ ถา้ จะรอไปอกี ก็จะเนา่ เสียหมด จะตอ้ งทิ้งอกี กว่าจะหามาแทนไดก้ ็ต้องลำ�บากมาก จึงคิด จะไปหาแม่และคดิ ว่าแมค่ งจะไมห่ นี แล้วจะฆา่ แมต่ ัดเอานิ้วมาให้ ครบพัน ตกลงใจแล้ว เดนิ ทางตรงไปยังบา้ นของตน ๘. พระพุทธเจา้ ทรงพิจารณาเห็นว่า องคุลมิ าลมีอปุ นสิ ัย พระอรหัต ถ้าปล่อยให้ไปฆา่ แม่ กจ็ ะเสอ่ื มจากอรหตั คณุ พระพุทธองค์ จึงเสด็จพระพุทธดำ�เนินในทางนั้น พอถึง ทางเลย้ี วเปน็ สามแพรง่ องคลุ มิ าลเหน็ พระพทุ ธเจา้ แตไ่ กล จงึ เปลย่ี นใจ ไมไ่ ปหาแม่แล้ว เอาพระองค์นแ้ี หละ จงึ เดินเลีย้ วติดตามไปหมายจะใหท้ นั หยุดก่อน แลว้ จะจบั ฆ่าตดั เอาน้วิ เดินเท่าไรก็ไม่ทันสักที อย่ใู นระยะทีพ่ อจะ ตะโกนพูดกันได้ยิน จึงรอ้ งตะโกน “ทา่ นครบั ..! ทา่ นขอรับ..! หยดุ ก่อน” 55
ชนั้ แรก พระพุทธองค์ทรงเฉยเสีย คงทรงเดนิ เรือ่ ยไป องคลุ ิมาลก็ ตะโกนหนักขึน้ พระพุทธองค์ทรงเหน็ สมควรแล้ว จึงหนั มาตรสั ว่า “เราหยดุ แล้ว ทา่ นซยิ งั ไม่หยดุ ” องคลุ มิ าลยง่ิ แปลกใจใหญ่ เดนิ อยหู่ ยก ๆ กลบั บอกวา่ “หยดุ แลว้ ” พระองคน์ ้ีพดู เทจ็ จงึ เปลี่ยนใจมาตง้ั ใจจะจบั เท็จ ๙. เมอื่ พระพุทธองคท์ รงย้งั พระองค์ พอองคุลมิ าลตามทัน จงึ ทลู ตอ่ วา่ ทนั ทวี า่ ท�ำ ไมบอกวา่ หยดุ แลว้ ..! หยดุ แลว้ ..! ทง้ั ๆ ทย่ี งั เดนิ อยแู่ ท้ ๆ พระพทุ ธองคต์ รสั ตอบวา่ “เราหยดุ ท�ำ บาปแลว้ ทา่ นซิ ยงั ไมห่ ยุดท�ำ บาป น่กี ็กำ�ลงั จะไปท�ำ บาปมใิ ชห่ รือ” องคลุ มิ าลไดส้ ติ โยนดาบทันที หมอบลงกราบ แทบพระบาททง้ั คู่ ทูลขอบวช พระพุทธองคก์ ท็ รง อนุญาตให้บวชตามปรารถนา ได้ชือ่ ว่าพระองคุลิมาล ต่อมา เป็นพระอรหันตอ์ งคห์ นงึ่ ทรงชพี อยูต่ ลอดอายุขยั เรอ่ื งนก้ี แ็ สดงวา่ พระพทุ ธองคท์ รงโปรดพระองคลุ มิ าล ดว้ ย พระวาจาเพียงคำ�เดียวว่า “เราหยุดแล้ว” เท่านัน้ น้ีกเ็ พราะพูด ๑๐. อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทา่ นเลา่ ไวใ้ นพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาวา่ คทรรง้ั งแยผกน่ กดอนิ งสทมัพเดไจ็ ปพรรบะกนับเรพศวรระมมหหาารอาชุปรคารชาาวหกนรง่ึ ุงหสมงสเดาจ็ วพดรี ะทนี่ยเรกศลว้ำร� 56
แดนไทยเขา้ มาถงึ หนองสาหรา่ ย ในระหวา่ งทางเสดจ็ ยาตราทพั นน้ั เกดิ ลมพายใุ หญพ่ ดั ฝนุ่ ฟงุ้ มดื ฟา้ มวั ฝน มองไมเ่ หน็ กนั กองทพั กแ็ ตก ระส�ำ่ ระสาย ตา่ งคนตา่ งไปกัน แยกยา้ ยกันไปคนละทางสองทาง พอลมสงบ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงชา้ งพระทน่ี ง่ั กบั สมเดจ็ พระอนชุ าสองพระองคเ์ ทา่ นน้ั ตกอยใู่ นทล่ี อ้ มของขา้ ศกึ พระมหา- อปุ ราชายนื ช้างอยูไ่ มไ่ กลนกั ต่างได้ทอดพระเนตรเหน็ กัน แทนทส่ี มเด็จพระนเรศวร จะทรงย่อทอ้ กลบั ไสชา้ ง พระทนี่ ั่งเขา้ ใกล้ตรัสชวน ใหท้ รงทำ�ยทุ ธหตั ถี ไว้เป็นตัวอยา่ ง พระมหาอุปราชา ตอ้ งจำ�สถู้ งึ ขาดคอช้าง ๑๑. สมเดจ็ พระนเรศวร ทรงยกทพั กลบั พระนคร โปรดให้ ลกู ขนุ พจิ ารณาปรกึ ษาโทษแมท่ พั นายกองทต่ี ามเสดจ็ ในงานสงคราม ทงิ้ พระองค์และพระอนุชาไวแ้ ต่ลำ�พงั ดว้ ยเดชะบารมจี ึงไดช้ ัยชนะ กลับมา ลูกขุนปรึกษาโทษประหารชีวิต โปรดให้เป็นไปตามบท พระอยั การ แตบ่ งั เอิญเปน็ วันพระให้รอการประหารไว้ก่อน ขณะนน้ั สมเดจ็ พระวนั รตั วดั ปา่ แกว้ ทราบเรอ่ื งนน้ั จงึ พา พระสงฆร์ าชาคณะหลายองคด์ ว้ ยกนั ไปเฝา้ เยย่ี ม สมเดจ็ พระนเรศวร ตรัสปราศรัยด้วยดี สมเด็จพระวันรัตถวายพระพรถึงเรื่องการศึก ตรัสว่ามีชัยกลบั มา สมเดจ็ พระวนั รัต ถวายพระพรวา่ ตามปรกติ เมอ่ื ชนะศกึ แมท่ พั นายกองจะตอ้ งไดร้ บั พระราชทานทรพั ยส์ นิ ตาม 57
ฐานานุรูป แต่น่ีแมท่ พั นายกองกลับถกู ลงโทษถงึ ประหาร สมเดจ็ - พระนเรศวรก็ตรัสเล่าเรื่องถวายตั้งแต่ต้น จนถึงสั่งให้ประหาร ตรัสเสริมว่า นี่หากบารมีของโยมยังมีอยู่ มิฉะนั้น บ้านเมืองก็จะ ตกเปน็ ของเขาแล้ว ๑๒. สมเดจ็ พระวนั รตั จงึ ถวายพระพรวา่ ความจรงิ แมท่ พั นายกองเหล่านั้น เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงมาตั้งครั้งแผ่นดินสมเด็จ พระบรมชนกนาถแลว้ จะวา่ ไมม่ คี วามจงรกั ภกั ดนี น้ั เหน็ เปน็ ไปไมไ่ ด้ แต่ที่เป็นครั้งนี้ หากบุญบารมีบันดาลให้เป็นไป เพื่อจะเสริม พระเกยี รตยิ ศใหย้ ง่ิ ขน้ึ หากเสดจ็ พรอ้ มทง้ั กองทพั ใหญแ่ ลว้ ชนะศกึ กลบั มากไ็ มเ่ ปน็ การอศั จรรยอ์ ยา่ งใด แตท่ ไ่ี ปทรงชนะกลบั มาครง้ั น้ี เป็นอศั จรรยแ์ ท้ ๑๓. ขอ้ นแ้ี มน้ ดว้ ยเมอ่ื ครง้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงชนะมาร ในขณะ ทพ่ี ระพุทธองคป์ ระทับ ณ โพธบิ ลั ลังก์ กอ่ นเวลาตรัสรนู้ ้ัน เวลาน้ัน มหี มเู่ ทวดาเฝา้ อยู่เป็นอนั มาก แตพ่ อพญามาร ยกพลมาประจญ พวกเทวดาก็ พากนั หนไี ปหมด ท้ิงให้พระพุทธองค์ อยแู่ ตล่ ำ�พงั พระองค์ แต่กท็ รงชนะพญามารไดด้ ว้ ยพระบารมี จึงไดน้ ามวา่ มารวชิ ยั ผู้ชนะมาร ในคราวนน้ั ถา้ มีเทวดา อยู่ด้วย หรือช่วยรบมาร ความชนะครั้งนั้น ก็จะไม่เป็นอัศจรรย์ 58
แตเ่ พราะเหตทุ อ่ี ยลู่ �ำ พงั พระองคก์ ท็ รงชนะได้ ความชนะนน้ั จงึ เปน็ อัศจรรย์นกั ๑๔. สมเด็จพระวนั รตั ถวาย อาตขมอภถาวพาขยอพบรณิ ะพฑรบาต พระพรต่อไปว่า การชนะศึกคราวน้ี หากบารมบี นั ดาลใหเ้ ปน็ ไป เพอ่ื เสรมิ พระเกยี รตยิ ศใหย้ ง่ิ ขน้ึ แมน้ ด้วยพระพทุ ธองค์ ทรงชนะพญามาร ฉะนนั้ สมเดจ็ พระนเรศวรตรสั วา่ ทพ่ี ระผเู้ ปน็ เจา้ กลา่ วน้ี กช็ อบอยู่ โยมกเ็ หน็ ดว้ ย สมเดจ็ พระวนั รตั ไดช้ อ่ ง จงึ ถวายพระพรวา่ ถา้ เชน่ นน้ั อาตมภาพทง้ั ปวง ขอบณิ ฑบาตชวี ติ พวกแมท่ พั นายกองทโ่ี ดยเสดจ็ ในงานพระราชสงครามเสยี ดว้ ย เพอ่ื ไดโ้ อกาสสนองพระเดชพระคณุ เป็นกำ�ลังของบ้านเมอื งตอ่ ไป สมเดจ็ พระนเรศวรตรัสวา่ “ซง่ึ พระผเู้ ป็นเจา้ ขอเชน่ น้ี โยม กจ็ ะยอมยกถวายตามประสงค์ แตข่ อใหแ้ มท่ พั นายกองเหลา่ นไ้ี ดย้ ก ไปทำ�ศึกเมืองทวายแก้ตัวด้วย” สมเด็จพระวันรัตถวายพระพรว่า เร่อื งการศกึ สงครามมใิ ช่กจิ แห่งสมณะ แล้วถวายพระพรลากลบั วัด เร่ืองนี้ ก็แสดงให้เหน็ วา่ พดู เป็นส�ำ คัญ ที่ทรงชนะศกึ ได้ ก็เพราะรับสั่งชวนชนช้างเป็นเหตุ ที่พระราชทานอภัยโทษแม่ทัพ นายกองก็เพราะสมเด็จพระวนั รัตถวายพระพรเปน็ เหตุ เรอ่ื งพดู มคี วามส�ำ คญั อยา่ งน้ี โบราณทา่ นจงึ กลา่ ววา่ “ปาก เปน็ เอก” เมอ่ื เรารอู้ ยา่ งนแ้ี ลว้ จงระวงั อยา่ พดู ค�ำ เสยี จงพดู แตค่ �ำ ดี ที่เป็นสภุ าษิต 59
คำ�ถามประจ�ำ บท ๑. ค�ำ วา่ “ปาก” ในค�ำ วา่ ปากเปน็ เอกน้ัน หมายความวา่ อยา่ งไร ? ๒. ๓. ปากเป็นเอกนนั้ โทณพราหมณห์ า้ ม หมายความว่าอย่างไร ? สงครามแย่งพระธาตุ ไดอ้ ยา่ งไร ? ๔. ๕. พระพุทธองค์ ท�ำ ไมสมเดจ็ พระนเรศวร ตรัสกับพระองคุลมิ าล จงึ พระราชทานอภยั โทษ ว่าอย่างไร ? แกแ่ ม่ทพั นายกอง ? 60
สง่ บทท้าย สรปุ ความ ๑. เดก็ ๆ ทไ่ี ดอ้ า่ นเรอ่ื งนม้ี าตง้ั แตต่ น้ คงจะรแู้ ลว้ วา่ ค�ำ วา่ สภุ าษติ นน้ั หมายความวา่ อยา่ งไร ค�ำ วา่ สภุ าษติ นน้ั ทา่ นหมายความ ได้ ๒ อยา่ ง อยา่ งหนง่ึ หมายความวา่ ค�ำ เปน็ คติ คอื เปน็ ค�ำ ทฟ่ี งั แลว้ ถือเอาเป็นหลักได้, อย่างหนึ่งหมายความว่า พูดดี คือ พูดแล้ว ได้ประโยชนท์ ้ังผฟู้ ัง ผู้พูด ค�ำ เปน็ คตนิ น้ั ไดแ้ ก่ ค�ำ ทพ่ี ดู ไวเ้ ปน็ หวั ขอ้ ใหจ้ �ำ งา่ ย ค�ำ เชน่ นน้ั มีเนื้อความเป็นเชิงห้ามก็มี เช่นว่า “เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง” หมายความว่า เม่ือเหน็ คนมัง่ มี เขากนิ ของแพง ใช้ของแพง ใช้ รถยนต์ ก็อย่าไปกนิ อยา่ งเขาใช้อยา่ งเขา ถ้าขืนทำ�อยา่ งเขา กจ็ ะ ตอ้ งเดอื ดร้อน ต้องทำ�ใหเ้ หมาะแกฐ่ านะของเรา ดงั นเี้ ปน็ ต้น ๒. คำ�อย่างนั้น มีเนื้อความเป็นเชิงตักเตือนก็มี เช่นว่า “หัวล้านได้หวี นิ้วกุดได้แหวน ตาบอดได้แว่น” หมายความว่า เมื่อจะหาอะไร ก็ควรหาสง่ิ ทม่ี ปี ระโยชนแ์ ก่ตน เช่น เขาเอาเสือ้ ผา้ มาแจก ใหเ้ ราเลอื กเอาเอง ถา้ เราเปน็ หญงิ ไปเลอื กเอากางเกงผชู้ าย หรือเราเปน็ ชายไปเลือกเอากระโปรงผู้หญงิ เช่นนี้ ของที่ได้มานน้ั ก็ ไมม่ ปี ระโยชนอ์ ะไรแกเ่ รา หรอื เชน่ เราจะอา่ นหนงั สอื เราชอบไปทกุ เรอ่ื ง อา่ นเรอ่ื งโนน้ 61
หน่อย เร่ืองนีห้ น่อย ไมจ่ บสกั เรือ่ งหนง่ึ ในท่ีสุดกจ็ ะไม่ไดค้ วามรู้ อะไรเลย เสียเวลาไปเปล่า ๆ หรอื เชน่ เราเรยี นวชิ านแ่ี หละ อยา่ งนน้ั กด็ ี อยา่ งนก้ี ด็ ี ชอบไป ทุกอยา่ ง เดย๋ี วเรียนอย่างนน้ั เดยี๋ วเรียนอย่างนี้ เรียนอยา่ งละนดิ ละหนอ่ ย เลยวิชาท่ไี ดม้ าไม่มีประโยชนอ์ ะไรแกต่ ัวเลย เพราะไม่รู้ สักอย่างหนึ่งหรือทำ�ก็เหมือนกัน ทำ�อย่างนั้นบ้าง ทำ�อย่างนี้บ้าง ไม่เสร็จสกั อยา่ งหน่งึ กลายเป็นคนจับจดไป ดังนเ้ี ปน็ ต้น ๓. คำ�อย่างนั้น มีเนื้อความเป็นเชิงแนะนำ�ก็มี เช่นว่า “เมื่อน้อยหาวิชา เมื่อใหญ่หาสิน” หมายความว่า ต้องเล่าเรียน ศึกษาหาวิชาความรู้ให้ติดตัวไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอย่างนี้ จะไปรอ จนโตเสยี แล้ว โอกาสทจ่ี ะเรียนก็ไมม่ ี แม้จะมีคำ�ว่า เรื่องเรียนไม่มีแก่นั้นก็จริง แต่คำ�นั้นมิได้ หมายความว่า ให้เรียนเมื่อโตแล้ว แต่หมายความว่า ให้หาวิชา เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าออกจากโรงเรียนไปทำ�งานแล้วจะ ไมต่ อ้ งหาวชิ าเพม่ิ เตมิ ตอ้ งหาเพม่ิ เตมิ อยตู่ ลอดเวลา “เมอ่ื ใหญห่ าสนิ ” หมายความวา่ เม่ือเรียนเสร็จแลว้ ต้องท�ำ งานหาทรัพยเ์ พอ่ื เล้ียงตน เลี้ยงครอบครวั ของตน เล้ียงพ่อแม่ที่แก่แลว้ หรือว่า “จงฝนท่งั ให้ เปน็ เขม็ ” หมายความวา่ การเลา่ เรยี นกด็ ี การท�ำ งานกด็ ี ตอ้ งบากบน่ั อดทนสะสมไว้ทีละน้อย ๆ เพราะการเล่าเรียนก็ดี การทำ�งานก็ดี ไม่ใช่ว่าจะรู้ดีได้ หรือจะสำ�เร็จได้ในวันเดียว และความรู้ดีนั้นเล่า ก็รู้ได้เมื่อเรียนเสร็จแล้ว กหารรืองวาา่ น“ทนี่ด้ำ�ีกข็เน้ึหใมหือร้ นบี กตันัก”รู้หไดม้เามยื่อคทวำ�าแมลว้ว่า ไมใ่ ชก่ อ่ นท�ำ หรือกำ�ลังทำ� ได้โอกาสเรยี นกใ็ หร้ บี เรยี น ไดโ้ อกาสทำ�กใ็ หท้ �ำ เสยี อย่าปลอ่ ยให้ โอกาสนน้ั ลว่ งเลยไปเสยี หรอื วา่ “ท�ำ ดไี ดด้ ี ท�ำ ชว่ั ไดช้ ว่ั ” ดงั นเ้ี ปน็ ตน้ 62
ค�ำ ทก่ี ล่าวมานีห้ รือค�ำ ท�ำ นองน้ี เรยี กวา่ คำ�สุภาษิต ๔. คำ�สุภาษิต ในคำ�ว่า วาจาสุภาษิต ในมงคลนี้ ท่าน หมายความว่าพูดดี คือ พูดเป็นมงคล หมายความวา่ พดู แล้วได้ ประโยชนท์ ง้ั ผฟู้ งั ผพู้ ดู พดู ดที พ่ี ระทา่ นวา่ วาจาสภุ าษติ นน้ั โดยพน้ื ของค�ำ พดู ตอ้ งเปน็ วจสี จุ รติ คอื เปน็ ค�ำ จรงิ ไมเ่ ปน็ เทจ็ ๑ เปน็ ค�ำ ปลกู ความรักความสามัคคี ไมเ่ ป็นค�ำ ส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกนั ๑ เปน็ คำ�ออ่ นหวาน นา่ ฟงั สะดวกหู ไพเราะหู ไมเ่ ป็นคำ�หยาบ ๑ เปน็ ค�ำ มหี ลกั ฐานควรเชอ่ื ได้ ไมเ่ ปน็ ค�ำ เพอ้ เจอ้ ๑ ทง้ั ๔ อยา่ งนเ้ี ปน็ พืน้ ของคำ� ล�ำ พงั พ้นื ของค�ำ เช่นน้ี ยังไมจ่ ดั เปน็ สุภาษติ แท้ ดงั นน้ั ผพู้ ูดจะต้องพูดคำ�เหล่านใ้ี หเ้ ป็นสภุ าษิตด้วย ๕. การที่จะพูดให้เป็นสุภาษิตนั้น ต้องกำ�หนดดังนี้ คือ ๑. ต้องพูดให้เหมาะกับกาลเทศะ ๒. ต้องพูดจริง ๓. ต้องพูด ออ่ นหวาน ๔. พดู แลว้ เปน็ ประโยชน์ ๕. พดู ดว้ ยเมตตาจติ ค�ำ พดู ท่ี มลี กั ษณะทง้ั ๕ น้ี เรยี กวา่ วาจาสภุ าษติ ค�ำ สภุ าษติ เชน่ น้ี เปน็ มงคล เพราะพดู แลว้ มคี ณุ มปี ระโยชน์ เชน่ เจา้ ของโค พดู ดกี บั โค ท�ำ ใหโ้ ค มีกำ�ลังลากเกวียนไปได้ เจ้าของก็ได้ทรัพย์ โคก็ได้ความชื่นใจว่า ไดส้ นองคณุ เจา้ ของ หรอื เชน่ โทณพราหมณพ์ ดู กบั ทตู านทุ ตู แหง่ นคร ตา่ ง ๆ ท�ำ ใหร้ ะงบั สงครามได้ ท�ำ ใหแ้ บง่ พระธาตไุ ดค้ วามพอใจดว้ ยกนั ทกุ ฝา่ ย หรอื เชน่ พระพทุ ธเจา้ พดู กบั องคลุ มิ าลทก่ี �ำ ลงั เดนิ ทางจะไป ฆา่ แม่แล้วหันมาไล่พระพทุ ธองค์ ทำ�ใหพ้ ระองคุลิมาลเลกิ ฆา่ ถึงได้ บวชในศาสนา หรือเช่นที่พ่อแมส่ อนลูก ท�ำ ให้ลูกเปน็ คนดี พ่อแม่ ก็ได้ความชื่นใจ ครูบาอาจารย์สอนนักเรียน ทำ�ให้นักเรียนมีวิชา ความรู้ ครบู าอาจารย์กไ็ ดค้ วามช่นื ใจ ดงั นี้เป็นตน้ วาจาสุภาษติ เป็นมงคลดว้ ยประการดงั น้ี 63
ค�ำ ถามประจ�ำ บท ๑. ค�ำ ว่า สุภาษติ หมายเอา ค�ำ อย่างไร ยกมาให้ฟัง สักค�ำ หนง่ึ ? ๒. ๓. วาจาสภุ าษติ รู้ได้อย่างไร ได้แก่ วา่ เปน็ คำ�เช่นไร ? วาจาสุภาษิต ? ๔. ๕. พดู อย่างไร วาจาสุภาษิต เรยี กว่า เป็นมงคล พดู วาจาสุภาษิต ? อยา่ งไร ? 64
ภาคผนวก วาจาสุภาษติ หนังสือสอนพระพทุ ธศาสนาแก่เดก็ นายเกษม บญุ ศรี เปรียญ แต่ง ได้รับพระราชทานรางวลั ช้ันที่ ๑ ในการประกวดประจำ�พุทธศกั ราช ๒๕๑๑ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหพ้ ิมพ์พระราชทาน เน่อื งในงานพระราชพิธวี ศิ าขบูชา พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๑
ท่ี รล. ๐๐๐๒/๑๓๗๓ (ส�ำ เนา) สำ�นกั ราชเลขาธิการ ๑ พฤษภาคม ๒๕๑๑ เร่ือง การประกวดแตง่ หนงั สอื แสดงพระพทุ ธศาสนาสำ�หรับเด็ก เรียน เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี อา้ งถึง หนังสือที่ สร. ๐๔๐๑/๔๗๙๔ ลงวนั ท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๑๑ ตามทแ่ี จง้ รายงานของราชบณั ฑติ ยสถาน ขอใหน้ �ำ ความกราบ บงั คมทลู พระกรณุ า ขอรบั พระบรมราชวนิ จิ ฉยั การประกวดแตง่ หนงั สอื แสดงพระพุทธศาสนาสำ�หรับสอนเด็ก ตามหัวข้อธรรม เรื่อง “วาจา สุภาษิต” เพื่อรับพระราชทานรางวัลและพิมพ์พระราชทานในงาน พระราชพิธีทรงบำ�เพ็ญกุศลวิศาขบูชา ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่ง ราชบัณฑิตยสถานได้พิจารณาเห็นชอบด้วยกับความเห็นของสำ�นัก ศิลปกรรม ฉบับหมายเลข ๓ นายเกษม บุญศรี เปรยี ญ เป็นผูแ้ ต่ง ฉบบั หมายเลข ๑ ร.อ. วัชระ คงอดิศกั ดิ์ เปรียญ เปน็ ผูแ้ ต่ง และ ฉบับหมายเลข ๒ พระภิกษุ ชลอ คตุ ฺตธมฺโม เปน็ ผูแ้ ต่ง อยู่ในเกณฑ์ ที่จะได้รับพระราชทานรางวัล ดังสำ�เนาจากต้นฉบับทั้งสามที่ส่งไป สำ�นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำ�เสนอท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณา แล้ว ความละเอียดแจง้ อยู่แลว้ น้ัน
ไดน้ �ำ ความกราบบงั คมทลู พระกรณุ าทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท แลว้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหฉ้ บบั หมายเลข ๓ ไดร้ บั พระราชทาน รางวลั ท่ี ๑ ฉบบั หมายเลข ๑ และ ๒ ไดร้ ับพระราชทานรางวลั ท่ี ๒ (ลงนาม) วนิ ิต นาวกิ บุตร (นายวนิ ติ นาวกิ บตุ ร) หวั หน้ากองการในพระองค์ รักษาราชการแทน ราชเลขาธิการ กองการในพระองค์
ด่วนมาก (สำ�เนา) ท่ี สร. ๐๔๐๑/๔๗๙๔ ส�ำ นักเลขาธิการคณะรฐั มนตรี ๑๗ เมษายน ๒๕๑๑ เรอ่ื ง การประกวดแตง่ หนงั สอื แสดงพระพทุ ธศาสนาส�ำ หรบั สอนเดก็ ทูล ราชเลขาธิการ สิ่งทีส่ ่งมาดว้ ย ส�ำ เนาจากต้นฉบับหนงั สอื แสดงพระพทุ ธศาสนาฯ เรื่องวาจาสภุ าษิต รวม ๓ ฉบับ ดว้ ยราชบณั ฑติ ยสถานรายงานวา่ การประกวดแตง่ หนงั สอื แสดง พระพทุ ธศาสนาส�ำ หรับสอนเด็ก เพือ่ รับพระราชทานรางวัลและพมิ พ์ พระราชทานในงานพระราชพิธีทรงบำ�เพ็ญกุศลวิศาขบูชา ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ราชบัณฑิตยสถาน ได้ดำ�เนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว การประกวดแต่งประจำ�ปีนี้ได้ประกาศให้แต่งประกวดตามหัวข้อธรรม เรื่อง “วาจาสุภาษิต” ตามที่มาในมงคลสูตรซึ่งเป็นหัวข้อธรรมลำ�ดับ ตอ่ จากปที แ่ี ลว้ มผี สู้ ง่ เขา้ ประกวดรวม ๓ ราย เปน็ คฤหสั ถช์ าย ๒ ราย เปน็ พระภกิ ษุ ๑ ราย ราชบัณฑติ ยสถานได้ให้กรรมการตรวจในทาง หลกั ธรรมตรวจพจิ ารณาแลว้ เสนอความเหน็ วา่ แตง่ ถกู ตอ้ งตามหลกั ธรรม ทางพระพทุ ธศาสนาทั้ง ๓ ฉบับ ราชบัณฑิตยสถานจงึ ไดเ้ สนอหนงั สือ ทง้ั ๓ ฉบบั ใหส้ �ำ นกั ศลิ ปกรรมตรวจพจิ ารณาในเชงิ วรรณคดอี กี ชน้ั หนง่ึ แล้วเสนอความเหน็ ว่า ใน ๓ ฉบับน้ี ฉบบั หมายเลข ๑ วางรปู เรอื่ ง ตามแบบเกา่ คลา้ ย ๆ กบั ทเ่ี คยมี ส�ำ นวนแตง่ ดอี ยา่ งธรรมดาจดั เปน็ ท่ี ๒ ฉบบั หมายเลข ๒ วางรปู เรอ่ื งแบบเกา่ กไ็ มใ่ ช่ แบบใหมก่ ไ็ มเ่ ชงิ ส�ำ นวน แตง่ ซบั ซอ้ นยากแกก่ ารจับใจความ มซี ้ำ�คำ�และเฝอื คำ�ในท่ซี ่ึงไมค่ วรมี แตง่ ดไี ม่ถึงขนาดจดั เป็นที่ ๓ ฉบบั หมายเลข ๓ วางรูปเร่อื งดี แปลกไป
จากสามญั ส�ำ นวนเรยี งความกะทดั รดั ใชป้ ระโยคสน้ั ๆ ไมซ่ บั ซอ้ น มกี าร แสดงออกนา่ ฟงั ชวนใหเ้ ดก็ อา่ นไดส้ นกุ เพราะมสี ภุ าษติ และนทิ านจงู ใจ ให้เด็กฟังและจดจำ� จัดเป็นที่ ๑ ความเห็นของสำ�นักศิลปกรรมนี้ ราชบัณฑิตยสถานได้พิจารณาเห็นชอบด้วย เมื่อได้เปิดรายชื่อผู้แต่ง ปรากฏวา่ ฉบับหมายเลข ๓ นายเกษม บุญศรี เปรยี ญ เปน็ ผ้แู ต่ง ฉบบั หมายเลข ๑ ร.อ. วชั ระ คงอดิศกั ดิ์ เปรยี ญ เป็นผู้แตง่ ฉบบั หมายเลข ๒ พระภกิ ษุชลอ คุตตฺ ธมฺโม เป็นผู้แตง่ ราชบัณฑิตยสถาน จึงขอส่งสำ�เนาหนังสือจากต้นฉบับท้ังสามนั้นมาพร้อมกับหนังสือนี้ เพื่อขอให้นำ�ความกราบบังคมทูล ฯ ขอรับพระบรมราชวินิจฉัยต่อไป เมอ่ื ทรงเลอื กฉบบั ใดใหไ้ ดร้ บั พระราชทานรางวลั ท่ี ๑ แลว้ อกี สองฉบบั ก็อยู่ในเกณฑ์ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๒ ตามนัยแห่งประกาศ ราชบณั ฑติ ยสถาน วา่ ดว้ ยการประกวดแตง่ หนงั สอื แสดงพระพทุ ธศาสนา ส�ำ หรบั สอนเดก็ ซง่ึ ส�ำ นกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรไี ดน้ �ำ เสนอทา่ นนายก- รฐั มนตรีพจิ ารณาแล้ว ขอให้นำ�ความกราบบงั คมทลู ฯ ตอ่ ไปได้ จงึ ทลู มาเพอ่ื ขอไดโ้ ปรดน�ำ ความกราบบงั คมทลู พระกรณุ าเรยี น พระราชปฏิบัติ การจะควรประการใดก็สุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ แลว้ แตจ่ ะโปรด (ลงนาม) มนูญ บริสุทธิ์ (นายมนูญ บรสิ ุทธ์ิ) เลขาธกิ ารคณะรัฐมนตรี กองกลาง
นายเกษม บุญศรี เปรยี ญ
วาจาสุภาษติ หนังสอื สอนพระพุทธศาสนาแกเ่ ดก็ ISBM : 978-616-91977-4-4 แต่งโดย นายเกษม บุญศรี เปรยี ญ ไดร้ ับพระราชทานรางวัล ช้นั ที่ ๑ ในการประกวดหนงั สอื สอนพระพทุ ธศาสนาแก่เดก็ ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ พมิ พค์ รั้งท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๑๑ พิมพ์คร้ังที่ ๒ (ปรบั ปรุง) พ.ศ. ๒๕๕๗ จ�ำ นวน ๓,๐๐๐ เลม่ จดั พมิ พโ์ ดย สำ�นกั งานโครงการสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี สวนจิตรลดา พระราชวังดสุ ิต กรงุ เทพฯ ๑๐๓๐๓ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๘๒ ๖๕๑๑ โทรสาร ๐ ๒๒๘๑ ๓๙๒๓ ออกแบบปก/รปู เลม่ /และภาพประกอบโดย ไพยนต์ กาสี เสาวณยี ์ เที่ยงตรง และ เทิดเกยี รติ ปลูกปานยอ้ ย พิมพท์ ี่ หจก. แอลซีพี ฐติ ิพรการพิมพ์ ๑๐๕/๖๖-๖๗ ถนนประชาอุทศิ ซอย ๔๕ แขวงบางมด เขตทุง่ ครุ กรงุ เทพฯ ๑๐๑๔๐
Search