สภาพไรห่ มนุ เวยี นทีม่ ีการปลกู ถ่วั แดงหลวงสลับเมอื่ ปลกู ขา้ วไรไ่ ด้ผลผลติ ตาํ่ ระบบไร่หมุนเวียนท่ีมีการปรับตัวอย่างพึ่งพา คือ ระบบที่ถูกแรงกดดันจากนโยบายรัฐในการจัดการ พ้ืนท่ีทํากินลดลงจนไม่สามารถรักษาระบบไร่หมุนเวียนเอาไว้ได้ พื้นท่ีส่วนใหญ่จึงถูกเปล่ียนให้เป็นไร่ถาวร และ หันไปพ่ึงพาตลาดภายนอกด้วยการปลูกพืชเพื่อการค้าและการรับจ้างแรงงานเป็นรายได้หลัก สถาบันชุมชนเริ่ม ไร้อํานาจในการจัดการทรัพยากร ระบบเกษตรและท่ีดินถูกปรับเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การจัดการของปัจเจกชน สง่ ผลใหร้ ะบบนเิ วศเสือ่ มลง สภาพไรท่ มี่ กี ารปลกู พชื ผักเพอื่ การคา้ ระบบการปลกู พืชมคี วามสัมพันธ์กับรปู แบบของระบบไร่หมนุ เวียน ถาวร (2547) กล่าวถึงพืชท่ีปลูกร่วม ในไร่ข้าวของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ มคี วามหลากหลายของชนดิ พืชและสายพันธุ์ เช่น ขา้ วโพด แตงกวา แตงลาย มนั มันหัวเล็ก เผอื ก ฟกั เขียว ผกั กาด ผักชี ถ่วั กลว้ ย ออ้ ย ผกั ข้ีอ้น บวบ มะระ มะเขือ ตะไคร้ เป็นต้น ซ่ึงการปลูก พืชหลากหลายดังกล่าวจะส่งผลถึงความมั่นคงทางด้านอาหาร พบในระบบไร่หมุนเวียนท่ีปรับตัวอย่างยั่งยืนและ ระบบไร่หมุนเวยี นที่ปรบั ตัวอยา่ งมที างเลอื ก อานนั ท์และคณะ (2547) ให้เหตผุ ลว่าความหลากหลายของชนิดพืช ในไร่หมุนเวียนรอบสั้น ๆ มีน้อยกว่าในไร่หมุนเวียนท่ีมีรอบยาวเน่ืองจากพืชบางชนิดไม่สามารถข้ึนได้ในพื้นที่ที่มี อายไุ รเ่ หล่าตา่ํ กว่า 3 ปี เช่น แตงและงา เป็นต้น เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไรอ่ ยา่ งยั่งยนื | 45
แต่พบว่าในบางพ้ืนที่ท่ีมีการคมนาคมสะดวกและมีระบบชลประทานสามารถให้นํ้าได้ มีการปลูกพืชได้ ตลอดทั้งปี โดยจะปลูกข้าวไร่สําหรับบริโภคและปลูกพืชร่วมระบบเพื่อการค้า เช่น ผักกาดขาวปลี มะเขือเทศ กะหล่าํ ปลี มนั ฝรัง่ กระเทียม เป็นต้น การปลกู พืชรว่ มระบบในไร่ขา้ วสามารถจําแนกออกได้ 4 ระบบ ดงั น้ี คอื 1. การปลูกพืชร่วมระบบ คอื การปลูกพืชพร้อมกับการปลกู ขา้ วไรห่ รือก่อนหน้าการปลูกข้าวไร่ โดยอาจจะแยกปลูกหรือใช้เมล็ดพืชผสมกับเมล็ดข้าวไร่แล้วปลูกพร้อมกับข้าวไร่ พืชท่ีใช้ปลูกร่วมระบบในข้าวไร่ เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มัน มะเขือ พริก อ้อย ถ่ัว ฟัก เป็นต้น เป็นระบบที่เหมาะสมกับระบบไร่หมุนเวียนท่ี ปรบั ตัวอยา่ งย่ังยืน 2. การปลูกพชื ตาม เปน็ การปลูกพืชหลายชนดิ ตดิ ต่อกันในพื้นท่ีเดียวกันในเวลาหน่ึงปี เป็นการ ปลูกพืชหมุนเวียนแต่มีระยะเวลาเป็นตัวกําหนด พืชที่ใช้ปลูกเป็นพืชหมุนเวียนในข้าวไร่ เช่น กระเทียม มันฝรั่ง ผักกาดขาว กะหลํา่ ปลี มะเขือเทศ เปน็ ต้น 3. การปลูกพืชแทรก เป็นการปลูกพืชชนิดหนึ่งลงไประหว่างแถวหรือระหว่างต้นของพืชอีก ชนิดหนึ่งในขณะที่พืชชนิดแรกยังไม่สุกแก่ ตัวอย่างพืชท่ีสามารถปลูกแทรกกับข้าวไร่ เช่น ถ่ัวแปยีโดยปลูกถ่ัว แปยีในระยะข้าวไร่ตั้งท้องหรือประมาณต้นเดือนกันยายน เม่ือเก็บเก่ียวข้าวไร่แล้วถ่ัวแปยีจะเจริญเติบโต เก็บ เก่ยี วผลผลิตได้ประมาณตน้ เดือนมนี าคม 4. การปลกู พืชหมนุ เวียน เป็นการปลกู พืชสลับกับข้าวไร่ เช่น ปีแรกปลูกข้าวไร่ ปีที่สองปลูกถ่ัว แดงหลวง ปที ส่ี ามจึงกลับมาปลูกขา้ วไรอ่ ีกครง้ั หน่ึง การปลกู พชื แซมในไร่ขา้ ว พืชผักท่ปี ลูกในไรข่ า้ ว สรุป เดิมมีการปลูกข้าวไร่ตามการอพยพถิ่นฐาน จึงไม่มีปัญหาเร่ืองความอุดมสมบูรณ์ของดิน แต่ในปัจจุบัน การอพยพไดส้ ิน้ สุดลงแล้วจึงจําเป็นต้องทําไร่หมุนเวียน หรือการปลูกข้าวไร่มีความจําเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีการ ปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินเน่ืองจากพ้ืนท่ีปลูกข้าวไร่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ท่ีมีความลาดชัน ความอุดม สมบูรณ์ของดินตํ่า การปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินอาจจัดการโดยวิธีธรรมชาติคือปล่อยให้ไร่เหล่าฟื้นตัว 46 | เทคโนโลยกี ารปลกู ข้าวไร่อย่างยงั่ ยืน
ซ่ึงอาจจะต้องใช้เวลานาน 7-10 ปี แต่การปลูกข้าวไร่ที่มีระยะหมุนเวียนส้ันลง จะต้องจัดการโดยการปลูกพืช หมุนเวียนโดยมีพืชตระกูลถ่ัวร่วมระบบหรือการใช้ปุ๋ยเพื่อเพ่ิมความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ และปุ๋ยแต่งหน้าสูตร 21-0-0 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่หรือ 46-0-0 อตั รา 7 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ ในพนื้ ทล่ี าดชนั จะต้องมีการใช้มาตรการควบคมุ การพงั ทลายของดินร่วมด้วย ในการปลกู ข้าวไร่ไม่วา่ จะเปน็ การปลูกในไร่หมนุ เวียนระบบใดกต็ าม สามารถจดั ระบบการปลูกพืชได้ ซ่ึง มี 4 ระบบ คือ การปลูกพืชร่วมระบบ การปลูกพืชตาม การปลูกพืชแทรก และการปลูกพืชหมุนเวียน ชนิดพืช รว่ มระบบเช่น พืชตระกูลถั่ว ตระกูลแตง พืชหวั การจดั ระบบการปลกู พืชในไร่ขา้ วนอกจากจะทําใหม้ ีความมัน่ คง ทางด้านอาหารแล้วยังสามารถเพม่ิ รายได้อกี ทางหนึง่ ดว้ ย เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไรอ่ ยา่ งยั่งยนื | 47
การจดั การความชื้นในดนิ ในการปลูกข้าวไร่ ต้องอาศัยน้ําฝนที่ตกลงมาอย่างสมํ่าเสมอติดต่อกันมากกว่าการปลูกข้าวนาสวนในที่ ราบล่มุ เพราะสภาพการปลกู ขา้ วไรท่ ป่ี ลกู บนพนื้ ทส่ี งู ไหล่เขาหรือพนื้ ท่ลี าดเชงิ เขา ซงึ่ เป็นพน้ื ที่ลาดเอียงไม่มีการ ทําคันนาเพ่ือกักเก็บนํ้า ข้าวไร่จึงต้องอาศัยนํ้าฝนทําให้เกิดความชุ่มชื้นแก่ดิน ดังน้ัน ปริมาณนํ้าฝนท่ีตกและการ กระจายตัวของน้ําฝนอย่างสมํ่าเสมอในจํานวนท่ีมากพอสมควรเท่าน้ันท่ีจะทําให้ข้าวไร่สามารถเจริญเติบโตได้ อยา่ งเตม็ ศักยภาพ ถ้าปีใดมีฝนตกไม่สม่ําเสมอหรือมีฝนทิ้งช่วงมากกว่า 20 วัน จะทําให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ไม่ ดีเท่าท่ีควร ทําให้ผลผลิตลดลง นอกจากน้ันยังทําให้เกิดปัญหาวัชพืชระบาดมากข้ึนตามมาอีกด้วย เพราะโดย ธรรมชาตวิ ชั พืชมีความทนทานต่อภาวะวิกฤติขาดนํ้าหรือความชื้นได้มากกว่าข้าวไร่ เมื่อมีการบุกรุกทําลายป่าไม้ มีการตัดไม้เป็นจํานวนมาก ปริมาณนํ้าฝนรวมถึงน้ําในห้วย แม่นํ้าลําธารจะลดลง สภาพฟ้าอากาศเปล่ียนแปลง ตามมาด้วย การเพาะปลูกพืชก็จะมีปัญหา เกษตรกรส่วนมากปลูกข้าวไร่เพียงเพื่อการบริโภคในครัวเรือนเท่าน้ัน แตผ่ ลผลิตที่ไดม้ กั จะไม่เพียงพอต่อการบรโิ ภคจึงควรพฒั นาการปลูกข้าวไรเ่ พ่ือใหไ้ ดผ้ ลผลิตสงู เมธนิ ี (2529) กล่าววา่ ฝนในเขตภาคเหนือจะเริ่มตกตง้ั แตเ่ ดอื นเมษายนและปรมิ าณนํ้าฝนที่ตกในแต่ละ วันมีปริมาณเพ่ิมมากขึ้นในเดือนพฤษภาคม ทําให้ดินมีความชุ่มชื้นพอที่จะปลูกข้าวได้ เมล็ดข้าวจะเร่ิมงอกเป็น ต้นเล็ก ส่วนในเดือนมิถุนายนฝนจะเร่ิมตกน้อยลง เรียกว่า “ฝนทิ้งช่วง” บางท้องที่ฝนท้ิงช่วงนานไปจนถึงเดือน กรกฎาคมหรือบางพ้ืนท่ีในเดือนมิถุนายนพอจะมีฝนอยู่บ้าง แต่เม่ือถึงต้นเดือนกรกฎาคมฝนจะตกลดลงหรือไม่มี เลย และฝนเร่ิมตกมากข้ึนในช่วงเข้าพรรษาและจะตกติดต่อกันไปเร่ือย ๆ จนตลอดพรรษา ฝนจะตกน้อยลง ตั้งแต่เดือนตุลาคม ดังนั้น การปลูกข้าวไร่จึงนิยมปลูกต้ังแต่ปลายเดือนเมษายนซ่ึงจะมีฝนตกลงมาบ้าง สามารถ เตรียมดินโดยใช้จอบเสียม หรือบางพื้นท่ีอาจจะใช้รถไถและใช้แรงงานสัตว์ในการเตรียมดิน ส่วนการปลูกจะใช้ เมล็ดปลูกโดยตรง ได้แก่ การหยอดโรยหรือหว่านและเก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคม บางพื้นที่เก็บเก่ียวช่วงปลาย เดอื นตลุ าคม คําแนะนาํ ทัว่ ไป 1. การปลูกข้าวไร่ในประเทศไทยอาศัยน้ําฝนจากอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในภาคเหนือ ตอนบนมปี รมิ าณฝนตกเฉล่ยี ท้ังปปี ระมาณ 1,200 มิลลเิ มตร ซ่ึงเพียงพอต่อการปลกู ข้าวไร่เพราะต้นข้าวต้องการ น้าํ วนั ละ 6-10 มิลลเิ มตรเท่านนั้ ถ้าตน้ ข้าวมอี ายปุ ระมาณ 140 วันนบั จากวันปลกู ต้นข้าวจะได้รับน้ําเฉลี่ยเดือน ละ 200 มิลลิเมตร ปริมาณน้ําฝนเฉล่ียปีละ 800-1,200 มิลลิเมตร ซ่ึงทําให้เพียงพอต่อการปลูกข้าวไร่ได้ตลอด ฤดกู าลปลูก 48 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไรอ่ ย่างยงั่ ยืน
2. ในภาคเหนือตอนบนช่วงเดือนตุลาคม อากาศจะเร่ิมเย็นลงเน่ืองจากมีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัด มาจากประเทศจีนแผ่เขา้ มาปกคลุมทําใหอ้ ากาศหนาวเย็นรวมทั้งยงั มปี รมิ าณฝนท่ตี กลงมาอย่างสมํ่าเสมอ หากมี ปริมาณนํ้าฝนมากเกินไปในช่วงเก็บเกี่ยว คือ ช่วงปลายเดือนตุลาคมจะทําให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าวได้ ควรปลูกข้าวไร่ช่วงเดอื นพฤษภาคมเพอ่ื หลีกเล่ยี งฝนตกหนักและอากาศหนาวเยน็ ปลายฤดูปลกู 3. ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าวไร่จะแคระแกรนเมื่อปลูกในดินที่เป็นเกลือ พันธ์ุข้าวอายุเบามีอายุ ปลกู จนถึงเกบ็ เกย่ี วประมาณ 90-100 วัน พนั ธ์ขุ า้ วอายุกลางอายุต้ังแต่ 120-140 วัน ส่วนพันธุ์ข้าวอายุหนักอายุ ตั้งแต่ 150 วันข้ึนไป การกําหนดพันธ์ุข้าวเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่เป็นเร่ืองจําเป็นและเหมาะสม (สุนันท์, 2511) ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ จากการศึกษาของทวี (2506) พบว่า กลุ่มชาติพันธ์ุบางกลุ่มนิยมปลูกพันธ์ุข้าวอายุเบาซ่ึงมีความจําเป็น ในการเดินทางอพยพ การปลูกพันธุ์ข้าวอายุเบาจะทําให้มีการเก็บเกี่ยวและนํามาบริโภคได้เร็ว ผู้ที่เก็บเก่ียว ผลผลิตข้าวได้น้อยจะรีบปลูกพันธ์ุข้าวอายุเบาเพื่อป้องกันการขาดแคลนข้าว บางครอบครัวที่มีแรงงานมากจะ ปลูกพันธ์ุข้าวอายุเบาจําหน่ายได้ ท้ังนี้ต้องให้สอดคล้องกับช่วงเวลาการตกของฝนที่จะมาช้าหรือเร็วด้วย ข้าว พันธ์ุอายุเบามักเก็บเกี่ยวช่วงที่ฝนตกชุกและไม่มีแดดเพียงพอท่ีจะตากรวงข้าว นํ้าฝนมักจะทําให้ข้าวเปลือกงอก และมักมีนก หนู สัตว์ป่าโดยรอบรบกวนมากในขณะท่ีข้าวตั้งท้องและออกรวง นักวิชาการส่วนใหญ่จะแนะนํา เกษตรกรให้ปลูกขา้ วอายุเบาและอายปุ านกลาง เนื่องจากขา้ วอายหุ นกั มอี ายุยาว การออกรวงช้า ถ้าหากฝนหมด เร็ว ข้าวอายุหนักจะเกิดเมล็ดลีบสูงและผลผลิตน้อย การปลูกในฤดูฝน วันหยอดเมล็ดจะข้ึนอยู่กับสภาพความ เปน็ อย่แู ละวฒั นธรรมความเคยชินของคนในท้องถ่ินรวมทั้งอายุของพันธุ์ข้าวที่ปลูกด้วย พันธุ์ข้าวอายุเบาจะปลูก ช่วงเดอื นเมษายนถึงสิงหาคม พันธุ์ข้าวอายุปานกลางจะปลูกเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม พันธ์ุข้าวอายุหนักปลูก เดือนมิถุนายนถึงตุลาคม ซึ่งงานวิจัยในปัจจุบันได้ดําเนินการหาระยะเวลาการปลูกข้าวท่ีเหมาะสมในแต่ละ ท้องถิ่น เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากนํ้าฝนในการปลูกข้าวให้มากท่ีสุด และเพื่อเป็นการลดความเส่ียงจากความ แปรปรวนของฝนในแต่ละปี กลุ่มชาติพันธุ์จะปลูกข้าวท่ีมีอายุสุกแก่แตกต่างกันในพ้ืนที่เดียวกัน ท้ังท่ีแยกแปลง ปลกู ในไรผ่ ืนเดียวกนั และผสมเมล็ดข้าวต่างพันธุ์กันแล้วนําไปปลูก ในปีที่ฝนหมดเร็วพันธ์ุท่ีอายุเบาจะได้ผลผลิต ดี ในปีที่ฝนหมดช้าพันธุ์ที่อายุหนักจะให้ผลผลิตดี โดยจะเลือกปลูกพันธ์ุข้าวอายุเบากว่าให้มีต้นสูงหรือคอรวง ยาวเพื่อให้เกบ็ เก่ียวไดง้ า่ ย เทคโนโลยีการปลูกข้าวไร่อยา่ งย่ังยนื | 49
การเตรยี มพ้ืนที่สาํ หรบั ปลกู ขา้ วไร่ แปลงข้าวไรช่ ่วงตน้ ฤดูปลกู ผลงานวิจัยที่เกย่ี วขอ้ ง ไพโรจน์และสกุล (2546) รายงานผลการทดลองศึกษาวิธีการปลูกข้าวไร่ที่ปลูกแบบคละพันธ์ุ ซึ่งจะต้อง อาศัยความช้ืนจากน้ําฝนสําหรับการเจริญเติบโตเท่านั้นติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี มีปริมาณน้ําฝนและการ กระจายตวั ของฝนระหวา่ งฤดปู ลกู ตา่ งกนั 2 รูปแบบคอื ปีท่ี 1 (พ.ศ. 2544) มีฝนต้นฤดู (มิถุนายน) น้อย แต่กระจายตัวดีช่วงปลายฤดูปลูก (กันยายน-ตุลาคม) รวมทั้งปริมาณนํ้าฝนตลอดฤดูปลูก (มิถุนายน-ตุลาคม) มาก (1,128.6 มิลลิเมตร) มีผลทําให้ข้าวเจ้าลีซอท่ีมีอายุ เก็บเก่ียวมากกว่าให้ผลผลิตสูงกว่าสายพันธ์ุ SPTUR88004-SMG-9-2-1-1-1 รวมท้ังในการปลูกแบบคละพันธุ์ที่ มีพนั ธเ์ุ จา้ ลซี อมากกวา่ กใ็ ห้ผลผลิตสูงกว่าด้วย ปีท่ี 2 และปีท่ี 3 (พ.ศ. 2545 และ 2546) มีฝนต้นฤดูปลูกมากและปริมาณนํ้าฝนลดลงช่วงปลายฤดู ปลูก และมีปริมาณน้ําฝนตลอดฤดูปลูกน้อยกว่าปีแรก (855.9 และ 908.4 มิลลิเมตรในปี 2545 และ 2546 ตามลาํ ดับ) สายพันธ์ุ SPTUR88004-SMG-9-2-1-1-1 ท่ีมีอายุเบากว่า 9-12 วัน ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุเจ้าลีซอที่ ปลกู แบบพนั ธ์ุเด่ียว รวมทง้ั ในการปลูกแบบคละพันธ์ุที่มีอัตราส่วนของสายพันธุ์ SPTUR88004-SMG-9-2-1-1-1 มากกว่าก็ใหผ้ ลผลติ สงู กว่าด้วย การปลูกแบบคละพันธ์ุในอัตราส่วน 1:1 ทั้งวิธีปลูกแบบสลับแถวและแบบคละเมล็ดให้ผลผลิตข้าวที่ดี และสมํ่าเสมอตลอดระยะเวลา 3 ปีท่ีทําการทดลอง แสดงให้เห็นว่า การปลูกข้าวแบบคละพันธุ์เป็นวิธีที่ช่วยลด ความเส่ียง (risk) และรักษาความมั่นคง (security) หรือเสถียรภาพ (stability) ของการปลูกข้าวไร่ต่อความ แปรปรวนของการกระจายตัวและปริมาณน้ําฝน ซึ่งไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี ในการปลูกข้าวแบบ คละเมล็ดข้าวจะสุกแก่และเก็บเกี่ยวไม่พร้อมกัน ในขณะที่การปลูกแบบสลับแถวจะเก็บเก่ียวได้สะดวกกว่าการ ปลกู แบบคละเมลด็ 50 | เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไร่อย่างยง่ั ยนื
จากการทดลองการใช้ฟางข้าวเป็นวัสดุคลุมดินที่มีความชื้นในดิน การระบาดของวัชพืชและผลผลิต ปี 2553 ท่ีแปลงทดลองดงหลักหม่ืน พบว่า เปอร์เซ็นต์ความชื้นในดินทุกวิธีมีค่าเฉล่ียใกล้เคียงกัน โดยวิธีคลุมฟาง 800 กิโลกรัมต่อไร่ มีเปอร์เซ็นต์ความชื้นในดินเฉลี่ยมากที่สุด 15.5 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือวิธีคลุมฟางที่ 400 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ มีเปอร์เซ็นตค์ วามชื้นในดินเฉล่ีย 15.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนวิธีท่ีไม่คลุมฟางมีเปอร์เซ็นต์ความช้ืนในดิน เฉล่ียน้อยท่ีสุดคือ 15 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปริมาณวัชพืช วิธีคลุมฟาง 1,200 กิโลกรัมต่อไร่พบปริมาณวัชพืชน้อย ท่ีสุด คือ 29 ต้นต่อตารางเมตร รองลงมาคือวิธีคลุมฟาง 800 และ 400 กิโลกรัมต่อไร่ พบปริมาณวัชพืชเฉลี่ย 30 และ 44 ต้นต่อตารางเมตร ตามลําดับ (ไพโรจน์, 2553) จากผลการทดลอง พบว่า การใช้ประโยชน์จากฟาง ข้าวไร่เปรียบเทียบกับการไม่ใช้ฟางข้าวคลุมพ้ืนที่ปลูกข้าวไร่ นอกจากจะช่วยรักษาความชื้นในดินเพ่ือให้ต้นข้าว สามารถเจรญิ เตบิ โตไดด้ ีหากเกิดสภาวะฝนทิง้ ช่วงแล้วยงั สามารถลดปริมาณวัชพชื ได้อกี ทางหนึง่ ด้วย สาวิตร (2554) รายงานผลการทดลองการนําข้าวนาสวนมาปลูกเป็นข้าวไร่ พบว่า ในฤดูแล้งได้ทําการ ปลกู ทดสอบในแปลงนาทด่ี อน ข้าวทกุ พันธ์ุไม่สามารถเกบ็ เกีย่ วผลผลิตได้เนือ่ งจากเกิดภาวะขาดน้ําในช่วงต้ังท้อง จนถึงเก็บเก่ียว แต่พบว่าข้าวพันธ์ุ กข7 กข21 และ กข23 มีแนวโน้มสามารถปลูกได้ถ้าสามารถให้นํ้าในบางคร้ัง โดยเฉพาะในช่วงต้ังท้องและออกรวง ส่วนในช่วงฤดูฝนการนําพันธ์ุข้าวที่ใช้ทดสอบมาปลูกในสภาพไร่ พบว่า พันธุ์ กข23 ใหผ้ ลผลติ สงู และมคี วามเหมาะสมที่สดุ ในการปลกู ในสภาพไร่ได้ รองลงมาคือ พันธ์ุ กข7 และ กข21 ซ่งึ สามารถทนแล้งได้บางช่วงระยะเวลาทมี่ ีฝนทิ้งช่วง แต่สําหรบั พันธุ์ กข21 น้ันไม่เหมาะสมกับการปลูกในสภาพ ท่ีมีการขาดน้ําเลย และจากการทดลองพบว่า พันธ์ุ กข25 แม้จะมีอายุส้ันซ่ึงตรงกับความต้องการการปลูกเพ่ือ เป็นพันธ์ุข้าวไร่น้ัน ไม่สามารถทนแล้งและอ่อนแอต่อโรคไหม้อย่างรุนแรงตลอดช่วงอายุพันธ์ุ แต่อาจนําไป ถ่ายทอดในการปลูกเป็นพันธุ์อายุเบาในบางพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาเร่ืองการขาดนํ้าหรือฝนทิ้งช่วง หรือสามารถนําไป ปรบั ปรุงพันธ์ุเพ่ือปรับตวั ให้เป็นพันธุ์ข้าวไรท่ ่ีดีต่อไปได้ มีข้อสังเกตจากการทดสอบนําข้าวไร่ที่สูงพันธุ์น้ํารูและขาวโป่งไคร้มาปลูกในสภาพนาสวน ตกกล้าและ ปักดํา 1 ต้นต่อกอ และรักษาระดับน้ําขังในนาเช่นเดียวกับข้าวนาสวน พบว่า ข้าวไร่ทั้งสองพันธุ์ไม่มีการแตกกอ และใหร้ วงเพียง 1 รวงตอ่ กอเทา่ น้ัน การปรับพ้ืนท่ีสภาพไร่ให้เป็นนาข้ันบันได พบว่าการปลูกข้าวไร่ในพ้ืนท่ีสภาพนาข้ันบันไดที่ไม่มีน้ําขัง ข้าวใหผ้ ลผลิตเฉลีย่ มากกว่าการปลกู ในพื้นทส่ี ภาพไร่ร้อยละ 50 เม่ือนาขั้นบันไดสามารถขังนํ้าได้และปลูกโดยวิธี ปักดํา สามารถเพ่ิมการจัดการและใส่ปัจจัยการผลิตร่วมกับการใช้พันธุ์ท่ีให้ผลผลิตสูง ข้าวให้ผลผลิตได้มากกว่า การปลกู ในสภาพไร่แบบเดมิ โดยเฉล่ียมากกว่าหนึ่งเท่าตวั (กลมุ่ ศูนย์วจิ ัยข้าวภาคเหนอื ตอนบน, 2553) เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไรอ่ ย่างย่ังยนื | 51
สรปุ เง่ือนไขสําคัญในการปลูกข้าวไร่ในสภาพดินแห้งหรือชื้นแต่ไม่เปียกแฉะ จะต้องปลูกโดยวิธีหยอด โรย หรือหว่านข้าวแห้งแล้วกลบเมล็ดด้วยดิน ทําให้ต้องกําหนดช่วงเวลาปลูก คือ เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน และ เลอื กพันธ์ุข้าวท่มี ีอายุเก็บเกี่ยวสอดคล้องกับปริมาณนํ้าฝนในพื้นที่ พันธ์ุข้าวไร่มีความทนแล้งได้ดีกว่าพันธ์ุข้าวใน นิเวศน์อ่ืนจะสามารถอยู่ได้ในสภาพดินมีความช้ืนต่ําหรือผ่านสภาพฝนท้ิงช่วงได้ 8-10 วัน (ไม่เกิน 20 วัน) และ สามารถฟน้ื ตวั ได้ดีเมอื่ ได้รบั นาํ้ ฝนในครัง้ ตอ่ ไปอยา่ งเพียงพอ โดยมผี ลกระทบต่อผลผลิตและการเจริญเติบโตน้อย ท่ีสุด อย่างไรก็ตาม ในพ้ืนที่ท่ีมีแหล่งน้ํา การเปล่ียนพ้ืนที่เป็นนาขั้นบันไดจะทําให้การปลูกข้าวมีเสถียรภาพทาง ดา้ นน้ําหรอื ความช้นื ในดินได้สูง รวมท้ังสามารถใชพ้ ันธแ์ุ ละเทคโนโลยีมาเพ่มิ ผลผลิตข้าวไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ การเจรญิ เตบิ โตของขา้ วไรพ่ ันธ์จุ ะเนาะนะ โครงการหม่บู ้านป่าไมแ้ ผนใหม่บ้านนาศิริ ตามพระราชดํารฯิ อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ การเจรญิ เติบโตของขา้ วไรพ่ ันธแุ์ ซะซะ โครงการสถานพี ัฒนาการเกษตรที่สูงฯ ม่อนล้าน อําเภอพรา้ ว จงั หวัดเชยี งใหม่ 52 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อย่างยัง่ ยนื
สภาพพนื้ ทกี่ ่อนปลกู ขา้ วไร่ พ้ืนท่ปี ลกู ขา้ วไร่ เทคโนโลยีการปลกู ขา้ วไรอ่ ย่างย่ังยืน | 53
การอารกั ขาพชื ในขา้ วไร่ ศัตรูพืชของข้าวไร่ ประกอบด้วย โรคข้าว แมลงศัตรูข้าว สัตว์ศัตรูข้าว และวัชพืชในแปลงข้าว ศัตรูพืช ดังกล่าวนบั ว่าเปน็ สาเหตุทส่ี ําคญั ประการหนึง่ ในการจาํ กดั การใหผ้ ลผลิตของข้าวไรท่ ีป่ ลูกในแต่ละแหล่งปลูกและ แต่ละฤดูปลูกด้วย ความรุนแรงของการระบาดของศัตรูข้าวแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อม ตา่ ง ๆ ของแต่ละพ้ืนที่ว่ามีความเหมาะสมต่อการเพ่ิมประชากรของศัตรูพืชแต่ละชนิดหรือไม่อย่างไร ดังน้ัน การ ที่จะไม่ทําให้เกิดผลเสียหายต่อการปลูกข้าวและผลผลิตข้าวจึงมีความจําเป็นต้องมีกระบวนการหรือวิธีการ ดําเนนิ การซงึ่ วิธีการต่าง ๆ ดังกล่าวรวมเรยี กว่าการอารักขาข้าวกไ็ ด้ การอารักขาข้าวจึงเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันกําจัดศัตรูข้าวชนิดต่าง ๆ ไม่ให้ทําความเสียหายต่อข้าว ท่ีปลูก ซึ่งการปลูกข้าวไร่โดยท่ัวไปแล้วจะพบว่ามีศัตรูข้าวชนิดต่าง ๆ เข้ารบกวนและทําความเสียหายต่อข้าวใน ทุกระยะการเจริญเติบโต แต่จะมีมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเอ้ืออํานวยต่อการเพิ่มประชากรและการ ระบาดของศัตรูข้าวแต่ละชนิด แต่ชนิด ปริมาณของศัตรูข้าวและความเสียหายอาจจะไม่มากหรือรุนแรงเท่ากับ การปลูกขา้ วในพน้ื ราบท่ัวไป ทง้ั นเี้ พราะการปลูกข้าวไร่จะทาํ ในพื้นท่เี ฉพาะซ่ึงส่วนใหญ่อยบู่ นพื้นทสี่ ูง มีช่วงเวลา ปลูกและอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีจํากัด เช่น ปริมาณนํ้าฝน อุณหภูมิและความช้ืน อีกท้ังพันธุ์ข้าวท่ีปลูกส่วนใหญ่ เป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองดั้งเดิมท่ีมีการปลูกในพื้นท่ีอยู่แล้ว ซึ่งพันธุ์ข้าวไร่ดังกล่าวส่วนใหญ่ได้มีการคัดเลือกตาม ธรรมชาติมาแล้วว่ามีการปรับตัวให้เหมาะสมต่อการปลูกและสามารถเจริญเติบโตได้ดีในแต่ละพื้นที่ จึงมีความ ตา้ นทานตามธรรมชาตติ ่อศตั รพู ชื ทสี่ ําคญั ในพ้นื ทใ่ี นระดับหนึ่งอยแู่ ล้ว เว้นแตว่ ่าจะมีการเปล่ียนแปลงของสภาวะ แวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเพิ่มประชากรของศัตรูพืชแต่ละชนิดข้ึนมา จึงจะเกิดการระบาดข้ึนได้เป็นคร้ังคราว เช่นกัน ศัตรูข้าวที่พบว่ามีส่วนสําคัญท่ีทําความเสียหายต่อการปลูกข้าวไร่จะเป็นศัตรูข้าวประจําถิ่นมากกว่าศัตรู ข้าวท่ีเคล่ือนย้ายมาจากท่ีอื่น ดังน้ัน การอารักขาข้าวจึงต้องหาวิธีการต่าง ๆ มาควบคุมประชากรของศัตรูพืช ไม่ให้มีปริมาณมากจนทําให้เกิดผลเสียหายต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวไร่ อาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีการ ป้องกันกําจัดศัตรูพืชวิธีใดท่ีสามารถเพ่ิมศักยภาพของผลผลิตได้ เป็นแต่เพียงให้สามารถรักษาผลผลิตไว้ได้สูงสุด ที่ควรจะได้ในแต่ละฤดูกาลโดยลดระดับความสูญเสียจากการทําลายของศัตรูพืชเท่าน้ัน แนวทางการใช้วิธี ผสมผสานจึงเป็นแนวทางท่ีสามารถนํามาปรับใช้กับการจัดการศัตรูพืชของข้าวไร่ได้ เพราะการจัดการศัตรูพืช แบบผสมผสานเป็นการนําเทคนิคหรือวิธีการป้องกันกําจัดต่าง ๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น พันธ์ุต้านทาน การ เขตกรรม ชีววิธีและสารเคมี ท้ังน้ีโดยกระทําในวิธีการท่ีสอดคล้องกันโดยที่การป้องกันกําจัดนั้นอยู่บนพื้นฐาน ของข้อมูลการสํารวจศัตรพู ชื เป็นประจํา จะทําให้ประเมินประชากรของศัตรูพืชแต่ละชนิดแต่ละช่วงเวลาได้ ซึ่งมี ความสําคญั ต่อการตดั สินใจในการจัดการศตั รูพชื ดงั กล่าว 54 | เทคโนโลยีการปลกู ขา้ วไร่อย่างยัง่ ยนื
การสํารวจและประเมินประชากรศัตรูข้าวในสภาพไร่จะทําเพื่อให้ทราบว่าศัตรูข้าวในพื้นที่มีจํานวน ประชากรหรอื ปรมิ าณการทําลายถงึ ระดบั เศรษฐกิจทีจ่ ะต้องป้องกันกําจัด (Economic threshold) (ตารางที่ 7) ซง่ึ วิธีการสาํ รวจจํานวนประชากรศตั รขู า้ วทําได้ ดังนี้ 1. การตรวจนับด้วยสายตา ใช้การประเมินประชากรแมลง โรคข้าว สัตว์ศัตรูข้าว และวัชพืชของข้าว บางชนดิ โดยนบั จาํ นวนหรอื ปริมาณการทาํ ลายจากตน้ ข้าว จํานวน 20 จุด (กอ) ตามเส้นทแยงมุมของแปลงข้าว แต่ละจุดห่างกัน ประมาณ 5-10 ก้าว เช่น การนับจํานวนเพล้ียกระโดดสีน้ําตาลหรือนับจํานวนต้นข้าวที่แสดง อาการเห่ียว ใบถูกทําลายจากหนอนกอข้าว หนอนห่อใบข้าว แมลงบ่ัว เพล้ียไฟและหนอนกินใบต่าง ๆ หรือดู ลกั ษณะผดิ ปกติของใบข้าวทเ่ี กดิ แผลแบบต่าง ๆ เชน่ เปน็ จุดสีนํ้าตาล เป็นขีดหรือเป็นแผลของโรคไหม้ เปน็ ตน้ 2. การตรวจนับโดยใช้สวิงโฉบ เป็นการประเมินประชากรแมลงต่าง ๆ ท่ีอยู่บริเวณใบหรือเหนือกอข้าว เช่น เพล้ียจักจ่ันสีเขียว แมลงปอ แมลงเบียนและแมลงหํ้าบางชนิด โดยใช้สวิงโฉบตามแนวเส้นทแยงมุมของ พน้ื ทีป่ ลกู ขา้ วไร่ จาํ นวน 20 โฉบต่อการสาํ รวจ 1 พน้ื ท่ี (1 โฉบ หมายถึง การใชส้ วงิ โฉบไปและกลบั ) ตารางท่ี 7 ความเสียหายระดับเศรษฐกิจ (Economic threshold) ของศัตรูข้าวท่ีสําคัญ ชนดิ ของศัตรพู ชื ระดับเศรษฐกจิ ของศตั รพู ืชท่ีตอ้ งตัดสนิ ใจปอ้ งกันกําจดั เพลย้ี กระโดดสนี ํา้ ตาลและ พบตัวเต็มวยั และตวั ออ่ นมากกวา่ หรือเทา่ กบั 10 ตวั ต่อกอ หรือ เพล้ียกระโดดหลังขาว 10 ตัวต่อ 10 ต้น พบมวนเขยี วดูดไข่น้อยกว่า 1 ตวั ตอ่ ตน้ หนอนกอข้าว พบการระบาดหรือพบต้นขา้ วมยี อดเห่ยี วมากกว่ารอ้ ยละ 10-15 ของจํานวนตน้ ทส่ี ุม่ ตรวจ หนอนหอ่ ใบขา้ ว พบใบถกู ทําลายมากกวา่ รอ้ ยละ 15 ของจาํ นวนต้นท่ีสุ่มตรวจ หรอื พบผเี สอื้ 4-5 ตัวต่อตารางเมตร แมลงบั่ว พบหลอดบ่ัว 3-5 หลอดตอ่ ข้าว 10 ตน้ แมลงสงิ พบตวั เต็มวัย 4 ตัวตอ่ พ้นื ท่ปี ลกู 1 ตารางเมตร โรคไหม้ โรคกาบใบแหง้ และโรคเมล็ดด่าง พบแผลอาการโรคไหมท้ ี่ใบ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ พบแผลอาการโรคกาบใบแหง้ หน่งึ สว่ นสามของความสงู ของต้น พบแผลอาการใบจดุ สีนํา้ ตาล 5 เปอร์เซน็ ตท์ ่ีระยะข้าวตงั้ ทอ้ ง ท่ีมา : สํานกั วจิ ัยและพฒั นาข้าว (2552) เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อยา่ งยั่งยืน | 55
การสาํ รวจและประเมินประชากรศตั รขู า้ วโดยการตรวจนับดว้ ยสายตา การสาํ รวจและประเมนิ ประชากรศตั รขู า้ วโดยการใชส้ วิงโฉบ โรคข้าวที่สําคญั และพบในพืน้ ท่ีปลูกขา้ วไร่ภาคเหนือตอนบน โรคข้าว หมายถึง ความผิดปกติที่ต้นข้าวแสดงออกให้เห็นสาเหตุของโรคท่ีเกิด อาจจะเกิดจากสิ่งมีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็ได้ สิ่งมีชีวิตที่ทําให้เกิดโรค ได้แก่ เช้ือรา แบคทีเรีย ไวรัส ไฟโตพลาสมา ไส้เดือนฝอย สงิ่ ไม่มีชีวิต ได้แก่ สภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิสูงหรือต่ําเกินไป ดิน นํ้า อากาศเป็นพิษ ความสูงจากระดับน้ําทะเลหรือ ความต้ืนลึกของหน้าดิน การขาดธาตุอาหารที่สําคัญ เช่น ไนโตรเจน โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น ลักษณะ อาการของโรคท่ีต้นข้าวจะแสดงออกให้เห็น เช่น ต้นเตี้ย แคระ สีใบผิดปกติ เช่น เหลือง ด่าง ซีด ไหม้ เป็นจุด เหีย่ ว หรอื สว่ นของพชื ผดิ ปกติ เช่น ใบเกดิ ปุม่ ปม เป็นตน้ 56 | เทคโนโลยกี ารปลูกขา้ วไรอ่ ย่างย่ังยืน
คาํ แนะนาํ ทวั่ ไป โรคข้าวสําคญั ท่พี บในการปลกู ขา้ วไร่ในภาคเหนอื ตอนบนและการป้องกนั กาํ จดั 1. โรคไหม้ (rice blast disease) สาเหตเุ กิดจาก : เชื้อรา Pyricularia grisea Sacc. อาการ ระยะกล้า : ใบมีแผล จุดสีนํ้าตาลคล้ายรูปตา มีสีเทาอยู่ตรงกลางแผล ความกว้างของแผลประมาณ 2-5 มิลลิเมตร และความยาวประมาณ 10-15 มิลลิเมตร แผลสามารถขยายลุกลามและกระจายทั่วบริเวณใบ ถ้าโรค รนุ แรงข้าวจะแห้งฟุบตาย อาการคลา้ ยถกู ไฟไหม้ ระยะแตกกอ : อาการพบไดท้ ี่ใบ ขอ้ ตอ่ ของใบและขอ้ ต่อของลาํ ต้น ขนาดแผลจะใหญ่กวา่ ทพ่ี บในระยะกล้า แผล ลุกลามตดิ ต่อกนั ได้ ที่บริเวณข้อตอ่ ใบจะมลี ักษณะแผลช้ําสีน้ําตาลดาํ และมกั หลุดจากกาบใบเสมอ ระยะออกรวง : (ระยะคอรวง) ถ้าข้าวเพิ่งเริ่มใหร้ วง เม่อื ถูกเช้อื ราเข้าทาํ ลาย เมลด็ จะลีบหมด แตถ่ ้าพบระยะรวง ขา้ วแก่ใกลเ้ ก็บเก่ยี ว จะพบรอยแผลชาํ้ สีนํ้าตาลที่บรเิ วณคอรวง ทําใหเ้ ปราะหกั งา่ ย รวงขา้ วรว่ งหลน่ เสียหายมาก การแพร่ระบาด : พบโรคในแปลงท่ีต้นข้าวหนาแน่น ทําให้อับลม ถ้าใส่ปุ๋ยเคมีอัตราสูงและมีสภาพแห้งในตอน กลางวันและชน้ื จดั ในตอนกลางคนื นํ้าคา้ งยาวนานถึงตอนสายราว 9 โมง อากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิประมาณ 22-25 oC ลมแรงจะชว่ ยใหโ้ รคแพร่กระจายได้ดี อาการของโรคไหม้ การปอ้ งกนั กาํ จัด : • ใช้เมล็ดพันธุ์ในอัตราที่เหมาะสม คือ 10-15 กิโลกรัมต่อไร่ และไม่ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูงเกินไป ถ้าสูงถึง 50 กิโลกรัมต่อไร่ จะทาํ โรคไหมพ้ ฒั นาอย่างรวดเร็ว • คลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารป้องกันกําจัดเชื้อรา เช่น คาซูกะมัยซิน ไตรไซคลาโซล คาร์เบนดาซิม โปรคลอลาส ตามอัตราทีร่ ะบุ • ในแหล่งที่เคยมีโรคระบาดและพบแผลโรคไหม้ทั่วไป 5 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ใบ ควรฉีดพ่นด้วยสารป้องกัน กําจัดเชอ้ื รา เช่น คาซกู ะมัยซิน อดิ เิ ฟนฟอส ไตรไซคลาโซล ไอโซโปรไธโอเลน คาร์เบนดาซิม ตามอตั ราทรี่ ะบุ เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไรอ่ ย่างย่ังยืน | 57
2. โรคใบจุดสีน้ําตาล (brown spot disease) สาเหตุเกิดจาก : เชื้อรา Helminthosporium oryzae Breda de Haan. (Bipolaris oryzae (Brada de Haan) Shoemaker) อาการ : แผลท่ีใบข้าวพบมากในระยะแตกกอมีลักษณะเป็นจุดสีนํ้าตาล รูปกลมหรือรูปไข่ ขอบนอกสุดของแผล มีสีเหลือง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-1 มิลลิเมตร แผลที่มีการพัฒนาเต็มที่มีขนาดประมาณ 1-2 x 4-10 มลิ ลเิ มตร บางครง้ั พบแผลไม่เป็นวงกลมหรือรปู ไข่ แตจ่ ะเป็นรอยเปอ้ื นคล้ายสนมิ กระจัดกระจายท่ัวไปบนใบข้าว แผลยังสามารถเกิดบนเมล็ดข้าวเปลือก (โรคเมล็ดด่าง) บางแผลมีขนาดเล็ก บางแผลอาจใหญ่คลุมเมล็ด ขา้ วเปลือก ทําใหเ้ มลด็ ขา้ วเปลอื กสกปรก เส่อื มคณุ ภาพ เมอ่ื นําไปสขี ้าวสารจะหักง่าย การแพร่ระบาด : เกิดจากสปอรข์ องเชือ้ ราปลวิ ไปตามลมและติดไปกับเมลด็ อาการของโรคใบจดุ สนี า้ํ ตาล การปอ้ งกนั กาํ จัด : • ปรับปรุงดนิ โดยการไถกลบฟางหรอื เพ่ิมความอดุ มสมบูรณด์ ินโดยการปลูกพืชปุ๋ยสดหรือปลูกพืชหมุนเวียนเพ่ือ ชว่ ยลดความรนุ แรงของโรค • คลุกเมล็ดพันธ์ุก่อนปลูกด้วยสารป้องกันกําจัดเชื้อรา เช่น แมนโคเซ็บ หรือ คาร์เบนดาซิม+แมนโคเซ็บ อตั รา 3 กรัมต่อเมลด็ พันธ์ุ 1 กิโลกรมั • ใสป่ ุ๋ยโปแตสเซยี มคลอไรด์ (0-0-60) อัตรา 5-10 กโิ ลกรัมต่อไร่ ชว่ ยให้ข้าวเป็นโรคน้อยลง • กําจัดวัชพืชและทําแปลงข้าวให้สะอาดและใสป่ ยุ๋ ในอตั ราทเี่ หมาะสม • ถ้าพบอาการของโรคใบจุดสีน้ําตาลรุนแรงท่ัวไป 10 เปอร์เซ็นต์ของพ้ืนที่ใบในระยะข้าวแตกกอหรือระยะข้าว ต้ังท้องใกล้ออกรวง เม่ือพบอาการใบจุดสีนํ้าตาลที่ใบธงในสภาพฝนตกต่อเน่ืองอาจทําให้เกิดโรคเมล็ดด่าง ควร พ่นด้วยสารป้องกนั กาํ จัดเช้ือรา เช่น อิดิเฟนฟอส คารเ์ บนดาซมิ แมนโคเซ็บ หรอื คารเ์ บนดาซิม+แมนโคเซ็บ 58 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อย่างยง่ั ยนื
3. โรคเมลด็ ด่าง (dirty panicle disease) สาเหตุเกดิ จาก : เช้ือรา Curvularia lunata (Wakk) Boed. Cercospora oryzae I.Miyake. Helminthosporium oryzae Breda de Haan. Fusarium semitectum Berk & Rav. Trichoconis padwickii Ganguly. Sarocladium oryzae Sawada. อาการ : ในระยะออกรวง พบแผลเป็นจุดสีน้ําตาลหรือดําที่เมล็ดบนรวงข้าว บางส่วนมีลายสีน้ําตาลดํา และบาง พวกมีสีเทาปนชมพู ท้ังน้ีเพราะมีเชื้อราหลายชนิดท่ีสามารถเข้าทําลายและทําให้เกิดอาการต่างกันไป การเข้า ทาํ ลายของเชอ้ื รามกั จะเกดิ ในช่วงดอกขา้ วเร่มิ โผล่จากกาบห้มุ รวงจนถึงระยะเมล็ดข้าวเริ่มเป็นน้ํานม และอาการ เมล็ดด่างจะปรากฏเด่นชัดในระยะใกลเ้ ก็บเกีย่ ว การแพรร่ ะบาด : เชอื้ ราสามารถแพรก่ ระจายไปกบั ลม ตดิ ไปกับเมล็ดและสามารถแพร่กระจายในยุง้ ฉางได้ อาการของโรคเมล็ดด่าง การป้องกนั กาํ จดั : • เมลด็ พนั ธ์ุทีใ่ ช้ปลูกควรคดั เลอื กจากแปลงทีไ่ ม่เป็นโรค • คลุกเมล็ดพันธ์ุด้วยสารป้องกันกําจัดเช้ือรา เช่น คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคเซบ อัตรา 3 กรัมต่อเมล็ดพันธ์ุ 1 กโิ ลกรมั • ในระยะท่ีต้นข้าวต้ังทอ้ งใกลอ้ อกรวงเมื่อพบอาการใบจุดสีน้ําตาลที่ใบธงและโรคกาบใบเน่า ถ้ามีฝนตกชุก ควร วางมาตรการปอ้ งกันแตต่ ้น โดยฉีดพ่นสารป้องกนั กาํ จัดเชื้อรา เช่น โพรพิโคนาโซล โพรพิโคนาโซล+ไดฟีโนโคนา โซล หรือ โพรพิโคนาโซล+โพรคลอราซ หรือ คาร์เบนดาซิม+อีพ๊อกซ่ีโคนาโซล หรือ ฟูซิราซอล หรือ ทีบูโคนาโซล หรือ โพรคลอราซ+คารเ์ บนดาซิม หรือ แมนโคเซบ หรอื คาร์เบนดาซิม+แมนโคเซบ ตามอตั ราที่ระบุ เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไรอ่ ย่างยั่งยืน | 59
4. โรคขอบใบแห้ง (bacterial leaf blight) สาเหตุเกิดจาก : เช้ือแบคทีเรีย Xanthomonas oryzae pv. oryzae (ex Ishiyama) Swings et al. ชื่อเดิม X. campestris pv. oryzae (Ishiyama Dye) อาการ : โรคนี้เป็นได้ต้ังแตร่ ะยะกลา้ แตกกอจนถึงออกรวง จะมีจุดเล็ก ๆ ลักษณะช้ําที่ขอบใบของใบล่าง ต่อมา ประมาณ 7-10 วัน จุดช้ํานี้จะขยายกลายเป็นทางสีเหลืองยาวตามใบข้าว ใบที่เป็นโรคจะแห้งเร็วและสีเขียวจะ จางลงเปน็ สเี ทา ๆ ใบท่ีเป็นโรค ขอบใบมีรอยขีดช้ํา ต่อมาจะเปล่ียนเป็นสีเหลือง ท่ีแผลมีหยดนํ้าสีครีมคล้ายยาง สนกลม ๆ ขนาดเล็กเท่าหัวเข็มหมุด ต่อมาจะกลายเป็นสีนํ้าตาลและหลุดไปตามลม นํ้าหรือฝน ซึ่งจะทําให้โรค สามารถระบาดต่อไปได้ แผลจะขยายไปตามความยาวของใบ บางคร้ังขยายเข้าไปข้างในตามความกว้างของใบ ขอบแผลมีลักษณะเป็นขอบลายหยัก แผลนี้เมื่อนานไปจะเปลี่ยนเป็นสีเทา ใบท่ีเป็นโรค ขอบใบจะแห้งและม้วน ตามความยาว ในบางกรณีท่ีเชื้อมีปริมาณสูงเข้าทําลายทําให้ท่อน้ําท่ออาหารอุดตัน ต้นข้าวทั้งต้นจะเหี่ยวเฉา และตายโดยรวดเรว็ การแพร่ระบาด : แพร่ระบาดติดในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง ในสภาพที่มีฝนตก ลมพัดแรง จะช่วยให้โรค แพร่ระบาดอยา่ งกวา้ งขวางรวดเรว็ อาการของโรคขอบใบแหง้ การปอ้ งกนั กาํ จัด : • ควรเฝ้าระวังการเกิดโรคถ้าปลูกข้าวพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคนี้และใช้สารป้องกันกําจัดโรคพืช สเตร็พโตมัยซิน ซัลเฟต+ออกซเี ตทตราไซคลนิ ไฮโดรคลอไรด์ (แคงเกอร์เอ็กซ์) หรือ คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ (ฟังกูราน) หรือ ไอโซ โพรไทโอเลน (ฟจู -ิ วนั ) ออราลินิค แอซิด หรือ ไตรเบซิคคอปเปอร์ซลั เฟต เม่อื เรมิ่ พบอาการของโรคบนใบข้าว 60 | เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไร่อย่างยั่งยนื
5. โรคใบขดี โปรง่ แสง (bacterial leaf streak disease) สาเหตเุ กดิ จาก : เชอื้ แบคทเี รีย Xanthomonas oryzae pv. oryzicola (Fang et al) Swings et al. อาการ : โรคนี้เป็นได้ตั้งแต่แตกกอจนถึงออกรวง อาการปรากฏท่ีใบ ขั้นแรกเห็นเป็นขีดช้ํายาวไปตามเส้นใบ ต่อมาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือส้ม เมื่อแผลขยายรวมกันก็จะเป็นแผลใหญ่ แสงสามารถทะลุผ่านได้ และ พบแบคทีเรียในรูปหยดน้ําสีครีมคล้ายยางสนกลม ๆ ขนาดเล็กเท่าหัวเข็มหมุดปรากฏอยู่บนแผล ส่วนความยาว ของแผลขึ้นอยู่กับความต้านทานของพันธุ์ข้าวและความรุนแรงของเช้ือแต่ละท้องที่ ในพันธุ์ที่ไม่มีความต้านทาน เลย แผลจะขยายจนใบไหม้ไปถึงกาบใบด้วย ลักษณะของแผลจะคล้ายคลึงกับเกิดบนใบ ส่วนพันธ์ุต้านทาน จํานวนแผลจะนอ้ ยและแผลจะขยายตามทางยาวน้อย รอบ ๆ แผลจะมสี ีนา้ํ ตาลดํา การแพร่ระบาด : ในสภาพท่มี ฝี นตก ลมพดั แรง จะชว่ ยให้โรคแพรร่ ะบาดอยา่ งกว้างขวางรวดเร็ว การป้องกนั กําจัด : • ในดนิ ทอี่ ุดมสมบูรณ์ไม่ควรใสป่ ยุ๋ ไนโตรเจนมาก • ไม่ควรปลูกขา้ วให้มคี วามหนาแน่นมากเกินไปและไมค่ วรให้ระดับนาํ้ ในนาสูงเกนิ ไป • โรคนี้จะลดความรุนแรงลงเมื่อข้าวมีอายุมากขึ้นและไม่ทําให้ผลผลิตเสียหายอย่างร้ายแรง จึงไม่แนะนําให้ใช้ สารปอ้ งกนั กําจดั โรค แมลงศัตรูข้าวที่สาํ คัญและพบในพน้ื ที่ปลูกข้าวไร่ภาคเหนอื ตอนบน แมลงศัตรูข้าวไร่มีหลายชนิดส่วนใหญ่จะเป็นแมลงศัตรูข้าวประจําถ่ิน การแพร่กระจายและการระบาด ทําลายในข้าวไร่แต่ละช่วงขึ้นอยู่กับจํานวนประชากรของแมลงศัตรูพืชเหล่าน้ัน โดยมีสภาพแวดล้อมและปัจจัย ทางธรรมชาติเป็นตัวกําหนด เช่น ปริมาณนํ้าฝน อุณหภูมิ ความช้ืน ตลอดจนแมลงศัตรูธรรมชาติท่ีเป็นตัวหํ้าตัว เบียนในแต่ละท้องถ่ิน ถ้าปัจจัยดังกล่าวมีความเหมาะสมต่อการเพ่ิมประชากรของแมลงศัตรูข้าวจะเกิดการ ระบาดทําลายข้าวอย่างรุนแรงได้ ซ่ึงการระบาดดังกล่าวของแต่ละพ้ืนท่ี แต่ละแหล่งปลูกก็ย่อมจะต่างกันไปด้วย แมลงศัตรูขา้ วที่มีการสํารวจและมีรายงานว่าเปน็ ศัตรขู องข้าวไร่ทส่ี าํ คัญในภาคเหนอื ตอนบน มีดังน้ี 1. มดง่าม (ant : Pheidole sp.) เปน็ แมลงศัตรูข้าวไร่ในระยะเริ่มต้นของการปลูกที่ปลูกด้วยการหยอดเมล็ดข้าวลงดิน มดง่ามท่ีอาศัยอยู่ ในรังในดินจะขนเมล็ดข้าวดังกล่าวไปเป็นอาหาร ทําให้สูญเสียเมล็ดพันธ์ุข้าวและจํานวนต้นต่อพื้นท่ีน้อยลงมีผล ตอ่ ผลผลิตขา้ วต่อพืน้ ทด่ี ว้ ย การปอ้ งกันกําจดั : • ใช้สารฆ่าแมลงคาร์บาริล (เซฟวิน 85%) ชนดิ ผงโรยทร่ี งั หรือทางเดินของมด • คลุมเมล็ดพันธ์ุข้าวด้วยสารฆ่าแมลงชนิดผง เช่น คาร์บาริล (เซฟวิน 85%) อัตรา 12 กรัมต่อเมล็ดพันธ์ุ ข้าว 1 กโิ ลกรัม เทคโนโลยีการปลกู ขา้ วไรอ่ ยา่ งย่ังยืน | 61
• ในการปฏิบัติของเกษตรกรบางพ้ืนท่ีที่ไม่สามารถใช้สารฆ่าแมลงได้ จะใช้วิธีการเพ่ิมอัตราเมล็ดพันธ์ุข้าว ให้มากขึ้น ประมาณ 15-20 เมล็ดตอ่ หลุม หรือประมาณ 15-20 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ รังมดง่ามในดนิ ศัตรูขา้ วไร่ในระยะเร่มิ ต้นของการปลกู 2. ปลวก (termite : Odontotermes sp.) เป็นแมลงศัตรูข้าวไร่ที่ทําลายส่วนรากและลําต้นข้าวในทุกระยะการเจริญเติบโตของข้าว โดยเร่ิมจาก ส่วนที่อยู่ใต้ดินข้ึนสู่บนดิน ต้นข้าวที่ถูกทําลายในระยะแรกจะปรากฏอาการของต้นเหลือง เหี่ยวและแห้งตายใน ทส่ี ดุ พบได้ในทุกพ้นื ทท่ี ปี่ ลูกขา้ วไร่ การปอ้ งกันกาํ จดั : • ทาํ ลายรังปลวกที่พบด้วยการขุดทําลาย • คลุกเมล็ดพันธ์ุข้าวด้วยสารฆ่าแมลง carbosulfan อัตรา 20 กรัมต่อเมล็ดพันธ์ุ 1 กิโลกรัม แล้วนําไป ปลกู ทนั ที ปลวกทําลายสว่ นรากและลาํ ต้นทุกระยะการเจริญเตบิ โตของข้าว 62 | เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไรอ่ ย่างย่ังยืน
3. เพลย้ี ออ่ นทรี่ ากข้าว (rice root aphid : Tetraneura nigriabdominalis Sasaki) เป็นแมลงขนาดเล็ก 1-2 มิลลิเมตร สีนํ้าตาลอ่อนถึงนํ้าตาลเข้ม รูปร่างคล้ายผลฝร่ังผ่าคร่ึง เป็นเพล้ีย อ่อนชนิดไม่มีปีก เคลื่อนไหวช้า พบดูดกินนํ้าเล้ียงบริเวณรากข้าวในดินและระดับดิน อาศัยอยู่กันเป็นกลุ่ม ทําลายข้าวต้ังแต่ระยะหลังงอกถึงออกรวง ต้นข้าวที่ถูกทําลายจะมีอาการเหลือง เห่ียว แคระแกรนและแห้งตาย ในท่ีสดุ มักพบในดินทมี่ ลี ักษณะโครงสร้างโปรง่ พรนุ เช่น จังหวดั น่าน บริเวณทพี่ บเพลยี้ อ่อนที่รากขา้ วจะพบว่ามี มดชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็ก สีครีมถึงสีน้ําตาลอ่อนอยู่ร่วมด้วยและเป็นพาหะท่ีนํามดจากแหล่งหนึ่งไปสู่ต้นข้าว บริเวณอ่ืนด้วย การป้องกันกําจดั : • ใชส้ ารฆา่ แมลงชนิดผง เช่น คารบ์ าริล (เซฟวิน 85%) ฉีดพน่ บริเวณทีพ่ บการทาํ ลายของเพลยี้ อ่อนที่ราก ข้าว ไมค่ วรฉีดพน่ ทง้ั แปลง ตน้ ขา้ วท่ถี ูกทําลายจะมีอาการเหลือง เหี่ยว แคระแกรนและแห้งตายในทสี่ ุด 4. เพลี้ยแป้ง (rice root mealy bug : Cataenococcus sp.) เพศเมียไม่มีปกี ลําตัวเป็นปล้องค่อนข้างสั้น ยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีผงแป้งคลุมอยู่ภายนอก พบ เป็นกลมุ่ ระหว่างกาบใบและลาํ ตน้ ขา้ ว มกั อยกู่ บั ทไ่ี ม่เคลอ่ื นไหว เม่ือฉีกกาบใบดูจะพบแมลงมีสีขาวคล้ายแป้งปก คลุม เมอื่ เอาส่วนแป้งที่ปกคลมุ ออกจะพบแมลงตวั สชี มพู เพศผ้มู ีปีก เคล่อื นย้ายโดยอาศัยมดหรือลมพัดพาไป เพล้ียแปง้ มีการลอกคราบ 3 ครง้ั ๆ ละ 5 วนั ระยะตัวเต็มวัย นาน 13 วนั วางไข่ไดป้ ระมาณ 109 ฟอง เพศผู้ลอกคราบ 4 ครั้ง ระยะเวลานาน 15 วัน เพล้ียแปง้ ทาํ ลายขา้ วโดยดดู กินน้าํ เล้ยี งจากต้นข้าวต้ังแตร่ ะยะกล้าถึงระยะออกรวง ส่วนใหญ่ทําลายช่วง ข้าวแตกกอ ถ้ามีปริมาณมากทําให้กาบใบและใบข้าวเป็นสีเหลืองถึงนํ้าตาล เห่ียวแห้ง แคระแกรน และแห้งตาย ท้ังกอ ต้นท่ีไม่แห้งตายจะไม่สามารถออกรวงได้ตามปกติหรือออกรวงแต่เมล็ดข้าวลีบ ระบาดเป็นครั้งคราวและ เปน็ หย่อม ๆ ยกเว้นปที ่ีอากาศแหง้ และฝนแลง้ ความเสยี หายเกดิ ขึน้ มากในภาคเหนอื และตะวนั ออกเฉียงเหนือ เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไร่อย่างย่ังยนื | 63
การปอ้ งกนั กําจดั : • เมื่อขา้ วแตกกอ ถ้าพบต้นข้าวเน่าฟุบตายหรือแห้งตายเป็นหย่อม ๆ และพบเพลี้ยแป้งให้ถอนต้นข้าวท่ีมี เพล้ยี แป้งมาเผาทําลาย • เม่อื มีการระบาดรุนแรง ใช้สารมาลาไทออน (มาลาไธออน 83% อีซี) อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ํา 20 ลิตร ฉดี พ่นในจดุ ท่พี บ 5. แมลงนนู (scarab beetle : Lachnosterns sp.) ตัวเต็มวัยเป็นแมลงปีกแข็งมีขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร สีนํ้าตาล-ดํา ตัวหนอนอาศัยอยู่ในดิน ทําลายข้าวโดยกัดกินส่วนรากของต้นข้าว การทําลายข้าวจะเป็นหย่อมไม่แพร่กระจายท้ังแปลง ต้นข้าวท่ีถูก ทําลายจะมีอาการใบเหลอื งแลว้ แหง้ ตายทง้ั กอ ตน้ ข้าวท่ีถูกทําลายจะดึงออกจากพน้ื ดนิ ไดง้ า่ ย การป้องกันกาํ จดั : • ทําลายตัวเต็มวัยของแมลงท่ีชอบมาอาศัยบนต้นไม้ เช่น ทองกวาว ข้ีเหล็ก มะขามเทศ ในห้วงเดือน มนี าคม • ขุดจับตัวหนอนที่ทําลายต้นข้าวโดยสังเกตต้นข้าวที่เริ่มมีใบเหลืองในกอข้าว โดยข้าวท่ีถูกทําลายจะเห็น ชดั เจน และจะเปน็ กลุ่มฯ ในแปลงปลกู ข้าวไร่ ตวั หนอนของแมลงนูนอาศยั อยูใ่ นดนิ ทําลายขา้ วโดยกัดกนิ สว่ นรากของต้นข้าว 6. แมลงคอ่ มทอง (snot weevil : Hypomeces squamosus Fabricius) ตัวเต็มวัยเป็นด้วงงวงขนาดกลาง ลําตัวยาวประมาณ 10 มิลลิเมตร มีเส้นแบ่งกลางตัว หัว อกและปีก เห็นชัดเจน สว่ นหวั ซ่ึงสนั้ ทจู่ ะยน่ื โค้งไมง่ มุ้ เข้าใต้อก เพศผู้มีขนาดเลก็ กว่าเพศเมยี มีหลายสี เช่น เหลือง เขียว ฟ้า พชื อาหารมหี ลายชนิด เช่น มะมว่ ง ส้ม ฝา้ ย มะขามเทศฯ ตัวเต็มวัยวางไข่ในดินก่อนหรือหลังการปลูกข้าวไร่ ตัว หนอนท่ีฟักออกมาที่อยู่ในดินจะเข้าทําลายต้นกล้าได้ทุกระยะ โดยกัดกินลําต้นใต้ผิวดิน ต้นข้าวระยะแรกท่ีถูก ทําลายจะเหลืองซดี แล้วแหง้ ตายในทสี่ ดุ ข้าวในระยะต้นกลา้ และแตกกอใหมจ่ ะถกู ทําลายมากทสี่ ุด 64 | เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไรอ่ ย่างย่งั ยนื
การปอ้ งกนั กําจดั : • จบั ทําลายตวั เตม็ วัยทบี่ นิ มาเกาะตามต้นพชื ทเี่ ป็นอาหารในช่วงระยะฝนแรกปลายเดอื นเมษายนถงึ ต้น เดอื นพฤษภาคม • ขดุ จับทําลายตัวหนอนท่พี บขณะทําลายต้นข้าวโดยสังเกตจากตน้ ขา้ วทเี่ หลอื งผิดปกติ • การใช้สารฆา่ แมลงชนิดต่าง ๆ ไมค่ มุ้ ค่ากบั การลงทุนและเกษตรกรไม่นยิ มใช้ ตวั หนอนของแมลงคอ่ มทองทอี่ ยู่ในดินจะเขา้ ทาํ ลายตน้ กลา้ โดยกัดกนิ ลาํ ต้นใต้ผิวดิน 7. ต๊ักแตน (grasshoppers) ตั๊กแตนศัตรูข้าวมีหลายชนิด ได้แก่ ตั๊กแตนข้าว (Hieroglyphus banian Fabricius) ต๊ักแตนข้าวเล็ก (Oxya spp.) ต๊ักแตนปาทังกา (Patanga succincta (Linnaeus)) ต๊ักแตนโลคัสตา (Locusta migratoria manilensis (Meyen)) โดยทั่วไปตั๊กแตนเป็นแมลงที่ไม่ค่อยมีความสําคัญในแปลงข้าวไร่ เพราะมีพืชอาหาร หลากหลายชนดิ ชนิดท่พี บในแปลงข้าวไร่จะเป็นตั๊กแตนข้าวและตั๊กแตนข้าวเล็กท่ีกระจายอยู่ท่ัวไป ตัวอ่อนและ ตัวเต็มวัยกัดกินใบข้าว ทําให้ใบข้าวแหว่ง และพบว่ามีการกัดกินต้นข้าวและรวงข้าวด้วย ปกติจะพบการระบาด ทาํ ลายไมม่ ากนัก แตถ่ า้ สภาพแวดลอ้ มเปลี่ยนแปลงไปเปน็ ทางทเี่ อือ้ ต่อการเพ่มิ ประชากร อาจทําให้มีการระบาด จนเกิดความเสียหายรนุ แรงได้ การปอ้ งกันกาํ จดั : วธิ ีการที่ได้ผลควรใช้ทุกวิธีการที่สามารถลดประชากรของต๊ักแตนให้น้อยลง ควรรู้ชนิด อุปนิสัย ชีพจักร นิเวศวทิ ยาฯ ของต๊กั แตนจึงจะสามารถป้องกันกําจดั อย่างได้ผล • ควรจับต๊ักแตนในฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) ซึ่งถ้าอุณหภูมิตํ่ากว่า 13๐C ต๊ักแตนจะเคล่ือนไหวช้า ตวั แข็งบนิ ไมไ่ ด้ สามารถจับได้งา่ ยดว้ ยมอื เปล่า • กาํ จัดวัชพชื หรือพชื อาศยั เทคโนโลยกี ารปลูกขา้ วไร่อย่างยั่งยนื | 65
ตก๊ั แตนขา้ ว (Hieroglyphus banian Fabricius) 8. เพลยี้ ไฟ (rice thrips : Stenchaetohrips biformis (Bagnall)) เป็นแมลงจําพวกปากดดู ขนาดเลก็ ลําตัวยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร มีท้ังชนิดมีปีกและไม่มีปีก ตัวเต็ม วัยมีสีดํา ตัวอ่อนสีเหลืองอ่อน ตัวเต็มวัยวางไข่ในเนื้อเย่ือของใบข้าว ตัวอ่อนมี 2 ระยะ ระยะเวลาต้ังแต่ตัวอ่อน ถงึ ตวั เตม็ วยั นานประมาณ 15 วัน เพล้ียไฟท้ังตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะทําลายข้าวโดยการดูดกินน้ําเลี้ยงจากใบข้าวท่ียังอ่อนโดยอาศัยอยู่ ตามซอกใบ ระบาดในระยะต้นกล้า เมื่อต้นข้าวโตข้ึนใบท่ีถูกทําลายปลายใบจะเห่ียว ขอบใบจะม้วนเข้าหากลาง ใบและอาศัยอยู่ในใบท่ีม้วนน้ัน พบทําลายข้าวในระยะกล้าถึงข้าวแตกกอ โดยเฉพาะที่อากาศร้อนแห้งแล้งหรือ ฝนทิง้ ช่วงนานติดต่อกันหรือสภาพขา้ วทขี่ าดนํ้า ถ้ามกี ารระบาดมากทําใหต้ น้ ข้าวแหง้ ตายได้ทั้งแปลง การปอ้ งกันกาํ จดั : • เม่ือตรวจพบเพล้ียไฟตัวเต็มวัย 1-3 ตัวต่อต้นในข้าวอายุ 6-7 วันหลังงอก ใช้ปุ๋ยยูเรียอัตรา 10 กิโลกรัม ตอ่ ไร่ หว่านเมื่อข้าวอายุ 10 วนั เพอื่ เรง่ การเจรญิ เติบโตของต้นข้าว • ใชส้ ารฆ่าแมลง มาลาไทออน (มาลาไธออน 83% อีซ)ี อตั รา 20 มลิ ลิลิตรต่อนาํ้ 20 ลติ ร หรอื คาร์บาริล (เซฟวิน 85% ดับบลิวพี) อัตรา 20 กรัมต่อน้ํา 20 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อใบข้าวม้วนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ในระยะข้าวอายุ 10-15 วันหลงั งอก ตน้ ขา้ วที่ถูกเพลย้ี ไฟทําลาย ปลายใบจะเห่ยี ว ขอบใบจะมว้ นเขา้ หากลางใบ 66 | เทคโนโลยีการปลูกข้าวไร่อย่างยงั่ ยืน
9. เพลี้ยกระโดดสีนาํ้ ตาล (brown planthopper : Nilaparvata lugens) เป็นแมลงจําพวกปากดูด ตัวเต็มวัยมีลําตัวสีน้ําตาลถึงสีนํ้าตาลปนดํา มีรูปร่าง 2 ลักษณะ คือ ชนิดปีก ยาวและชนดิ ปีกส้นั ชนดิ มปี ีกยาวสามารถเคล่ือนยา้ ยและอพยพไปในระยะทางใกล้และไกล โดยอาศัยกระแสลม ช่วย ตัวเต็มวัยเพศเมียจะวางไข่เป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่วางไข่ท่ีกาบใบข้าวหรือเส้นกลางใบ โดยวางไข่เป็นกลุ่ม เรียง แถวตามแนวต้ังฉากกับกาบใบข้าว บริเวณที่วางไข่จะมีรอยช้ําเป็นสีน้ําตาล ไข่มีลักษณะรูปกระสวยโค้งคล้าย กลว้ ยหอม มีสขี าวข่นุ ตัวออ่ นมี 5 ระยะ ระยะตวั ออ่ น 16-17 วัน ตัวเตม็ วยั มีชีวติ ประมาณ 2 สัปดาห์ ในหนง่ึ ฤดู ปลูกข้าว เพลยี้ กระโดดสนี าํ้ ตาลสามารถเพิ่มปรมิ าณได้ 3-4 รุน่ เพล้ียกระโดดสีนํ้าตาลทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยทําลายข้าวโดยการดูดกินนํ้าเล้ียงบริเวณโคนต้นข้าว ทํา ใหต้ ้นขา้ วมอี าการใบเหลอื งแห้งลกั ษณะคล้ายถูกนาํ้ ร้อนลวกแหง้ ตายเป็นหย่อม ๆ เรยี ก \"อาการไหม้\" โดยท่ัวไป พบอาการไหม้ในระยะข้าวแตกกอถึงระยะออกรวง ซ่ึงตรงกับช่วงอายุขัยท่ี 2-3 ของเพลี้ยกระโดดสีนํ้าตาล นอกจากน้เี พลยี้ กระโดดสีนา้ํ ตาลยังเป็นพาหะนําเช้ือไวรัสโรคใบหงิกมาสู่ต้นข้าว ทําให้ต้นข้าวมีอาการแคระแกรน ตน้ เตี้ย ใบสีเขยี ว แคบและสั้น ใบแกช่ ้ากว่าปกติ ปลายใบบิดเปน็ เกลยี วและขอบใบแหวง่ ว่ิน ตัวเต็มวยั เพลย้ี กระโดดสีนาํ้ ตาล การปอ้ งกันกาํ จัด : • เมื่อตรวจพบสัดส่วนของเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาลตัวเต็มวัยต่อมวนเขียวดูดไข่ ระหว่าง 6:1 - 8:1 หรือตัว อ่อนวัยที่ 1-2 เม่ือต้นข้าวอายุ 30-45 วัน พบมีจํานวนมากกว่า 10 ตัวต่อต้น ให้ฉีดพ่นด้วยสารฆ่าแมลง บูโพรเฟซิน (แอปพลอด 10% ดับบลิวพี) อัตรา 25 กรัมต่อนํ้า 20 ลิตร เมื่อต้นข้าวอายุ 45-60 วัน ฉีด พ่นด้วยสารฆ่าแมลง เช่น อีโทเฟนพรอกซ์ (ทรีบอน 10% อีซี) อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อนํ้า 20 ลิตร หรือ บูโพรเฟซิน/ไอโซโพรคาร์บ (แอบซิน 5%/20% ดับบลิวพี) อัตรา 50 กรัมต่อนํ้า 20 ลิตร ฉีดพ่นหลัง หว่านหรอื ปักดําข้าวถึงระยะข้าวแตกกอ และใช้สารฆ่าแมลงไทอะมิโทแซม (แอคทารา 25% ดับบลิวจี) อัตรา 2 กรัมต่อนํ้า 20 ลิตร หรือ ไดโนทีฟูแรน (สตาร์เกิล 10% อับบลิวพี) อัตรา 15 กรัมต่อนํ้า 20 เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไร่อยา่ งยั่งยืน | 67
ลติ ร หรอื อิทิโพรล (เคอร์บิกซ์ 10% เอสซี) อัตรา 40 ซีซีต่อนํ้า 20 ลิตร หรือ โคลไทอะนิดิน (เด็นท๊อซ 16% เอสจี) อตั รา 6-9 กรัมต่อนํา้ 20 ลิตร • ไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงที่เป็นสาเหตุทําให้เกิดการระบาดเพ่ิมของเพล้ียกระโดดสีน้ําตาล ได้แก่ สารกลุ่ม ไพรีทรอยดส์ งั เคราะห์ เช่น แอลฟาไซเพอร์เมทรนิ ไซเพอร์เมทริน หรือกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต เช่น เอส เฟนแวเลอเรต แลมบ์ดาโซแฮโลทริน ไซนาโนเฟนฟอส ไอโซซาไทออน เมทิลพาราไทออน เดคาเมทริน เพอรเ์ มทริน ไพริดาเฟนไทออน ควนิ าลฟอส เตตระคอลร์วนิ ฟอส เปน็ ต้น 10. เพล้ยี กระโดดหลงั ขาว (whitebacked planthopper : Sogatella furcifera) เพลยี้ กระโดดหลังขาว เป็นแมลงจาํ พวกปากดูด ตัวเต็มวยั คลา้ ยกับเพล้ียกระโดดสีนํ้าตาล แต่ปีกมีจุดดํา ท่ีกลางและปลายปีกและมีแถบสีขาวตรงส่วนอกระหว่างฐานปีกท้ังสอง ตัวเต็มวัยมีสีน้ําตาลถึงสีดํา ลําตัวสี เหลอื ง มีแถบสขี าวเห็นชดั อยูต่ รงส่วนอกระหว่างฐานปกี ทงั้ สอง มีทงั้ ชนิดปกี สั้นและปีกยาว เพศผู้พบเฉพาะชนิด ปีกยาว ลําตัวยาวประมาณ 2.5 มิลลิเมตร เพศเมียลําตัวยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร วางไข่ในใบและกาบใบข้าว โดยจะวางไขอ่ ยูเ่ หนอื กว่าระดบั ที่เพลีย้ กระโดดสีน้ําตาลวางไข่ เพศเมียสามารถวางไข่ได้ 300-500 ฟองในช่วั ชวี ิต ประมาณ 2 สัปดาห์ ไข่มีลักษณะและขนาดเหมือนกับไข่ของเพลี้ยกระโดดสีนํ้าตาล แต่มีเปลือกหุ้มไข่ยาวกว่า ตัวอ่อนมีจุดดําและขาวท่ีส่วนท้องด้านบน ต่างจากเพลี้ยกระโดดสีนํ้าตาลที่ตัวอ่อนมีสีนํ้าตาลอ่อน ตัวอ่อนมี 5 ระยะ ทง้ั ตัวออ่ นและตัวเตม็ วัยอาศยั อย่บู ริเวณกอข้าวเชน่ เดียวกับเพล้ียกระโดดสีนํ้าตาล แต่ตัวเต็มวัยชอบอาศัย อยบู่ ริเวณกลางตน้ ข้าวเหนือระดบั ทเ่ี พล้ยี กระโดดสีน้าํ ตาลอาศัยอยู่ ตวั เต็มวัยของเพล้ียกระโดดหลงั ขาวเข้ามาในแปลงข้าวชว่ ง 30 วันแรกหลังจากเป็นระยะต้นกล้า โดยจะ อาศัยอยู่บริเวณโคนต้นข้าว ใน 1 ฤดูปลูกสามารถขยายพันธ์ุได้น้อยชั่วอายุกว่าเพลี้ยกระโดดสีนํ้าตาลและชอบ ดูดกินน้ําเล้ียงบนข้าวต้นอ่อนและขยายพันธ์ุเป็นพวกปีกยาว จากนั้นจะอพยพออกจากแปลงข้าวก่อนท่ีข้าวจะ ออกดอก กับดักแสงไฟสามารถดักจับตัวเต็มวัยได้เป็นจํานวนมาก เพลี้ยกระโดดหลังขาวพบเป็นแมลงประจํา ท้องถน่ิ ในภาคเหนอื ตอนบนมากกว่าภาคกลางโดยพบระบาดมากในพน้ื ท่ีจงั หวัดเชียงใหมแ่ ละแม่ฮ่องสอน ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยกระโดดหลังขาวจะดูดกินนํ้าเล้ียงจากโคนกอข้าว ต้นข้าวท่ีถูกทําลายใบ มสี ีเหลืองส้ม ซึ่งตา่ งจากต้นข้าวท่ีถูกเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาลทําลายจะแสดงอาการใบสีนํ้าตาล แห้ง เมื่อมีปริมาณ แมลงมาก ต้นข้าวอาจจะถูกทําลายจนเห่ียวและแห้งตายในท่ีสุด การระบาดค่อนข้างกระจายสม่ําเสมอเป็นพื้นท่ี กว้าง ซึ่งแตกต่างจากเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาลที่การระบาดทําลายข้าวจะเป็นหย่อม ๆ พบระบาดต้ังแต่ระยะกล้า ถึงระยะออกรวง ยังไมม่ ีรายงานว่าเปน็ แมลงพาหะนําโรคไวรัสมาส่ตู น้ ขา้ ว 68 | เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไรอ่ ย่างย่งั ยนื
ตัวอ่อนและตวั เตม็ วยั ของเพลี้ยกระโดดหลังขาวจะดดู กินนํ้าเล้ียงจากโคนกอขา้ ว การป้องกันกําจัด : เมือ่ ตรวจพบเพล้ียกระโดดหลงั ขาวมากกวา่ 1 ตวั ตอ่ ตน้ ใหป้ ฏบิ ตั ิเช่นเดียวกบั เพลี้ยกระโดดสนี ้าํ ตาล 11. หนอนหอ่ ใบขา้ ว (rice leaffolder : Cnaphalocrocis medinalis) หนอนห่อใบข้าวหรือเรียกว่าหนอนม้วนใบข้าว หนอนกินใบข้าว ตัวเต็มวัยเป็นผีเส้ือกลางคืน ปีกสี น้ําตาลเหลือง มีแถบสดี าํ พาดท่ีปลายปกี ตรงกลางปีกมีแถบสีน้ําตาลพาดขวาง 2-3 แถบ ขณะเกาะใบข้าวปีกจะ หุบเป็นรูปสามเหล่ียม มักเกาะอยู่ในท่ีร่มใต้ใบข้าว เพศผู้มีขนาดเล็กกว่าเพศเมียเล็กน้อย เพศเมียวางไข่เวลา กลางคนื ประมาณ 300 ฟองบนใบข้าว ขนานตามแนวเส้นกลางใบและสามารถมองเหน็ ด้วยตาเปล่า ไข่มีลักษณะ เป็นรูปจานสีขาวขุ่นเป็นกลุ่มประมาณ 10-12 ฟอง บางคร้ังวางไข่เป็นฟองเด่ียว ๆ ระยะไข่ 4-6 วัน หนอนท่ีฟัก จากไข่ใหม่ ๆ มีสขี าวใส หัวมีสีน้ําตาลอ่อน หนอนโตเต็มที่มีสีเขียวแถบเหลือง หัวสีนํ้าตาลเข้ม หนอนโตเต็มที่จะ เคลอื่ นไหวอยา่ งรวดเร็วเมอ่ื ถูกสัมผัส หนอนมี 5-6 ระยะ ส่วนใหญ่มี 5 ระยะ หนอนวัยที่ 5 เปน็ วยั ทีก่ นิ ใบขา้ วได้ มากที่สุด ระยะหนอน 15-17 วัน หนอนเข้าดักแด้ในใบข้าวที่ห่อตัวนั้น ระยะดักแด้ 4-8 วัน ตัวเต็มวัยจะหลบ ซอ่ นบนตน้ ข้าวและวชั พชื ตระกลู หญา้ ในเวลากลางวันและจะบนิ หนีเมือ่ ถกู รบกวน ผีเสอื้ หนอนห่อใบข้าวจะเคล่ือนยา้ ยเข้าแปลงขา้ วต้งั แตข่ า้ วยังเลก็ และวางไขท่ ่ใี บออ่ น โดยเฉพาะใบที่ 1- 2 จากยอด เมื่อตัวหนอนฟักออกมาจะแทะผิวใบข้าวส่วนที่เป็นสีเขียวทําให้เห็นเป็นแถบยาวสีขาวบริเวณที่ถูก ทําลายจะเปน็ ทางขาวยาวขนานกบั เสน้ กลางใบ มผี ลใหก้ ารสงั เคราะหแ์ สงลดลง หนอนจะใช้ใยเหนียวท่ีสกัดจาก ปากดงึ ขอบใบข้าวท้งั สองดา้ นเข้าหากนั เพีอ่ หอ่ ห้มุ ตวั หนอนไว้ จะทําลายใบข้าวทุกระยะการเจริญเติบโตของข้าว ถ้าหนอนมีปริมาณมากจะใช้ใบข้าวหลาย ๆ ใบมาห่อหุ้มและกัดกินอยู่ภายใน ซ่ึงปกติจะพบตัวหนอนเพียงตัว เดียวในใบห่อนนั้ ในระยะข้าวออกรวงหนอนจะทําลายใบธงซ่งึ มผี ลตอ่ ผลผลิตเพราะทําให้ข้าวมีเมล็ดลีบ น้ําหนัก ลดลง หนอนห่อใบสามารถเพิ่มปริมาณได้ 2-3 อายขุ ยั ตอ่ ฤดูปลูก เทคโนโลยกี ารปลูกขา้ วไรอ่ ย่างย่ังยนื | 69
ตวั หนอนแทะผิวใบขา้ วสว่ นท่เี ปน็ สเี ขยี วทาํ ให้เห็นเป็นแถบยาวสขี าวขนานกบั เส้นกลางใบ การป้องกนั กาํ จดั : • ในพ้ืนท่ีที่มีการระบาดเป็นประจําควรปลูกข้าว 2 พันธุ์ข้ึนไป โดยปลูกสลับพันธ์ุกัน จะช่วยลดความ รุนแรงของการระบาด • กําจัดพืชอาศัย เช่น หญ้าข้าวนก หญ้านกสีชมพู หญ้าปล้อง หญ้าไซ หญ้าชันกาดและข้าวป่า ไม่ควรใช้ สารฆ่าแมลงชนิดเม็ดและสารกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์หรือสารผสมสารไพรีทรอยด์สังเคราะห์ในข้าว ระยะหลังหว่าน 40 วัน เพราะทําให้ศัตรูธรรมชาติถูกทําลาย ทําให้เกิดการระบาดของหนอนห่อใบข้าว รุนแรงได้ในระยะข้าวตง้ั ท้องถึงออกรวง • เมื่อเร่ิมมีการระบาดของหนอนห่อใบข้าวในแปลงข้าว ไม่ควรใช้ปุ๋ยไนโตรเจนเกิน 5 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ ปยุ๋ ยูเรยี ไมเ่ กนิ 10 กิโลกรัมต่อไร่ ควรแบ่งใส่ปุ๋ยในช่วงข้าวกําลังเจริญเติบโตและลดปริมาณปุ๋ยท่ีใส่ โดย ใส่ปยุ๋ เคมีสตู ร 16-20-0 ไมเ่ กิน 30 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ • เม่ือตรวจพบผีเส้อื หนอนห่อใบข้าว 4-5 ตัวต่อตารางเมตร และใบข้าวถูกทําลายมากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ในข้าวอายุ 15-40 วัน ฉีดพ่นสารฆ่าแมลงประเภทดูดซึม เช่น เบนซัลแทป (แบนคอล 50% ดับบลิวพี) อตั รา 10-20 กรัมต่อน้าํ 20 ลิตร ฟิโปรนิล (แอสเซน็ ด์ 5% เอสซี) อตั รา 30-50 มิลลลิ ิตรตอ่ น้ํา 20 ลิตร และสารคาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 20% อีซี) อัตรา 80-110 มิลลิลิตรต่อน้ํา 20 ลิตร เฉพาะพื้นท่ีที่ใบถูก ทําลายจนเห็นรอยสขี าว ๆ 12. หนอนกอข้าว (rice stem borers) เป็นแมลงศตั รขู ้าวท่พี บเป็นประจาํ ในแปลงขา้ ว ผเี ส้ือหนอนกอข้าวจะเคล่ือนย้ายเข้าสู่แปลงข้าวเม่ือข้าว อายุระหว่าง 30-50 วัน การระบาดมากน้อยขึ้นกับสภาพแวดล้อมและฤดูการปลูกข้าวของสถานท่ีน้ัน ๆ หนอน กอข้าวสามารถขยายพันธุ์ได้ 2-3 อายุขัยต่อฤดูปลูก หนอนกอข้าวที่พบในประเทศไทยมี 4 ชนิดคือ หนอนกอสี ครีม Scirpophaga incertulas (Walker)) หนอนกอแถบลาย (Chilo suppressalis (Walker) หนอนกอแถบ ลายสมี ว่ ง (Chilo polychrysus (mayrick) และหนอนกอสชี มพู (Sesamia inferens (Walker) 70 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไรอ่ ย่างยง่ั ยืน
หนอนกอข้าวทั้ง 4 ชนิด ทําลายข้าวลักษณะเดียวกันโดยภายหลังหนอนฟักจากไข่จะเจาะเข้าทําลาย กาบใบ ทําให้กาบใบมีสีเหลืองหรือนํ้าตาล ซ่ึงจะเห็นเป็นอาการชํ้า ๆ เม่ือฉีกกาบใบดูจะพบตัวหนอน เม่ือหนอน โตขึ้นจะเข้ากัดกินส่วนของลําต้นทําให้เกิดอาการใบเห่ียวในระยะแรก ใบและยอดท่ีถูกทําลายจะเหลืองในระยะ ต่อมา ซึ่งการทําลายในระยะข้าวแตกกอน้ีทําให้เกิดอาการ “ยอดเห่ียว” ถ้าหนอนเข้าทําลายในระยะข้าวต้ังท้อง หรือหลงั จากข้าวออกรวงจะทําให้เมล็ดขา้ วลบี ทง้ั รวง รวงขา้ วมีสีขาวเรียกอาการนว้ี ่า “ข้าวหัวหงอก” ขา้ วหัวหงอกท่ีเกิดจากการทําลายของหนอนกอขา้ วทีร่ ะยะข้าวตงั้ ท้องหรือหลงั ข้าวออกรวง การปอ้ งกันกําจัด : • ไมค่ วรใส่ปยุ๋ ไนโตรเจนมากเกินไป ทําให้ใบข้าวงาม หนอนกอมกั ชอบวางไข่ • เมื่อพบอาการข้าวยอดเหีย่ วในระยะขา้ วอายุ 3-4 สัปดาห์หลงั ปลูกในระดบั 10-15 เปอร์เซ็นต์ ให้ฉีดพ่น ด้วยสารกําจัดแมลง เช่น คลอร์ไพริฟอส (ลอร์สแบน 20% อีซี) อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อนํ้า 20 ลิตร หรือ คารโ์ บซลั แฟน (พอสซ์ 20% อีซี) อตั รา 80 มลิ ลลิ ติ รต่อนํา้ 20 ลติ ร ให้ทว่ั แปลงเพียงคร้ังเดยี ว 13. แมลงบ่วั (rice gallmidge : Orseolia oryzae (Wood-Mason)) ตวั เต็มวัยของแมลงบั่วมีลักษณะคลา้ ยยุงหรือร้ิน เวลากลางวันจะเกาะซ่อนตวั อยูใ่ ต้ใบข้าวบริเวณกอข้าว และจะบินไปหาทม่ี ีแสงไฟเพอ่ื ผสมพันธุ์ เพศเมยี วางไข่ใตใ้ บขา้ วเป็นฟองเดยี่ ว ๆ หรอื เป็นกลุ่ม 3-4 ฟอง ระยะไข่ ประมาณ 3-4 วัน หนอนมี 3 ระยะ ตัวหนอนท่ีฟักจากไข่จะคลานตามบริเวณกาบใบเพื่อแทรกตัวเข้าไปในกาบ ใบเข้าไปอาศัยกัดกินที่จุดเจริญ (growing point) ของตายอดหรือตาข้างท่ีข้อ ระยะหนอนนาน 11 วัน ขณะที่ หนอนอาศัยกัดกินอยู่ภายในตาท่ีกําลังเจริญเติบโต ต้นข้าวจะสร้างหลอดหุ้มตัวหนอนไว้ ทําให้เกิดเป็นช่องกลวง ที่เรียกว่า “หลอดบั่ว หรือ หลอดหอม” หลอดจะยิ่งขยายใหญ่ข้ึนตรงส่วนที่ถูกหนอนบ่ัวทําลาย มีลักษณะเป็น หลอดยาว มีสีเขียวอ่อน แตกต่างจากหน่อข้าวปกติ ระยะดักแด้นาน 6 วัน แมลงบั่วจะพักตัวในระยะดักแด้ ในช่วงฤดูแล้ง โดยอาศัยอยู่ที่ส่วนตาของพืชอาศัย ระยะตัวเต็มวัยนาน 3-4 วัน ฤดูปลูกหน่ึง ๆ แมลงบ่ัวสามารถ ขยายพันธ์ุได้ 6-7 ชว่ั อายุ ซึ่งชว่ั อายทุ ี่ 2, 3 และ 4 เป็นชวั่ อายุทส่ี ามารถทําความเสยี หายใหข้ า้ วได้มากท่สี ุด เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไร่อยา่ งยั่งยนื | 71
แมลงบ่ัวเป็นแมลงศัตรูข้าวที่สําคัญในภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะพ้ืนที่จังหวัดตาก แพร่ ลําปาง น่าน แม่ฮ่องสอน พะเยา เชียงรายและเชียงใหม่ พบมีการระบาดรุนแรงในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม เนื่องจากมี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเพ่ิมปริมาณของแมลงบั่ว กล่าวคือ มีความช้ืนสูง มีพื้นที่เป็นเขาหรือเชิงเขา ล้อมรอบท้ังนี้เพราะความช้ืนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการวางไข่ จํานวนไข่ การฟักไข่ การอยู่รอดหลังจากฟัก จากไขข่ องหนอนและการเข้าทาํ ลายยอดออ่ นขา้ วของตน้ ขา้ ว หลอดบั่วทมี่ ีลกั ษณะคลา้ ยหลอดหอมและตัวเตม็ วัยแมลงบวั่ การป้องกนั กําจัด : • กําจัดวัชพืชรอบแปลงข้าว เช่น ข้าวป่า หญ้านกสีชมพู หญ้าข้าวนก หญ้าชันกาด หญ้าแดงและหญ้าไซ ก่อนตกกล้าหรือหว่านข้าวเพอ่ื ทาํ ลายพชื อาศยั ของแมลงบ่ัว • ทําลายตวั เต็มวัยท่บี ินมาเลน่ แสงไฟตามบ้านชว่ งเวลากลางคืน • ไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงใด ๆ ในการป้องกันกําจัดแมลงบ่ัวเนื่องจากไม่คุ้มค่ากับการลงทุนและเป็นการ ทาํ ลายศตั รูธรรมชาติ เช่น ไรตัวห้ําทําลายไข่แมลงบั่ว และแตนเบียนหนอน Platygasterid Dupelmid และ Pteromid เปน็ ต้น 14. แมลงสิง (rice bug : Leptocorisa oratorius) แมลงสิง หรือเรียกว่า แมลงฉง เป็นมวนชนิดหน่ึง ตัวเต็มวัยมีรูปร่างเพรียว ยาวประมาณ 15 มิลลิเมตร หนวดยาวใกล้เคียงกับลําตัว ลําตัวด้านบนสีนํ้าตาล ลําตัวด้านล่างสีเขียว เม่ือถูกรบกวนจะบินหนี และปล่อย กลิ่นเหม็นออกจากต่อมท่ีส่วนท้อง ตัวเต็มวัยจะออกหากินช่วงบ่าย ๆ และช่วงเช้ามืด และเกาะพักท่ีหญ้าขณะที่ มแี สงแดดจดั เพศเมยี วางไข่ได้หลายร้อยฟองในช่วงชีวิตประมาณ 2-3 เดือน วางไข่เป็นกลุ่มจํานวน 10-12 ฟอง เรียงเป็นแถวตรงบนผิวใบข้าวขนานกับเส้นกลางใบ ไข่มีสีนํ้าตาลแดงเข้ม รูปร่างคล้ายจาน ระยะไข่นาน 7 วัน ตัวอ่อนมีสีเขียวแกมนํ้าตาลอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและดูดกินนํ้าเล้ียงจากกาบใบข้าวก่อน ต่อมาเป็นตัวเต็มวัยจะเข้า ทาํ ลายเมลด็ ขา้ วในระยะนาํ้ นมจนถึงออกรวง ตวั อ่อนมี 5 ระยะ 72 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อย่างยั่งยนื
แมลงสิงเริ่มพบในต้นฤดูฝน และเจริญเติบโตขยายพันธ์ุ 1-2 รุ่นบนพืชอาศัยพวกวัชพืชตระกูลหญ้า กอ่ นท่จี ะอพยพเขา้ มาในแปลงขา้ วชว่ งระยะขา้ วออกดอก แมลงสิงพบได้ทุกสภาพแวดล้อม สภาพท่ีเหมาะสมต่อ การระบาด คอื แปลงข้าวที่อยู่ใกลช้ ายปา่ มีวชั พชื มากมายใกลแ้ ปลงขา้ วและมกี ารปลกู ขา้ วเหลือ่ มเวลากัน ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากแทงดูดกินนํ้าเล้ียงจากเมล็ดข้าว ระยะเป็นนํ้านมแต่ก็สามารถดูดกินเมล็ด ขา้ วทัง้ เมลด็ อ่อนและเมล็ดแข็ง ทําให้เมล็ดลีบหรือเมล็ดไม่สมบูรณ์และผลผลิตข้าวลดลง การดูดกินของแมลงสิง ไมท่ ําให้เป็นรบู นเปลอื กของเมล็ดเหมือนมวนชนิดอ่ืน โดยปากจะเจาะผา่ นช่องว่างระหว่างเปลือกเล็กและเปลือก ใหญ่ของเมล็ดข้าว ความเสียหายจากการทําลายของแมลงสิงทําให้ข้าวเสียคุณภาพมากกว่าทําให้นํ้าหนักเมล็ด ลดลง โดยเมล็ดข้าวท่ีถูกแมลงสิงทําลาย เม่ือนําไปสีจะแตกหักง่าย ข้อสังเกตถ้ามีแมลงสิงระบาดในแปลงข้าวจะ ไดก้ ล่ินเหม็นฉนุ ขา้ วเมลด็ ลีบทเี่ กดิ จากตวั ออ่ นและตวั เตม็ วัยใชป้ ากแทงดดู กินนํ้าเลย้ี งในระยะนาํ้ นม การปอ้ งกนั กาํ จัด : • กาํ จัดวัชพชื ในแปลงขา้ ว คนั นาและรอบ ๆ แปลง • ใช้สวิงโฉบตัวอ่อนและตัวเตม็ วัยในแปลงข้าวที่พบระบาดและนาํ มาทําลาย • ตวั เตม็ วัยชอบกินเนอื้ เน่า นาํ เน้ือเน่าแขวนไว้ตามนาข้าวและจบั มาทําลาย เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อยา่ งยั่งยืน | 73
สตั ว์ศตั รขู ้าว 1. หนู (rat) ลกั ษณะการทําลาย : หนูเป็นสัตว์ฟันแทะ เป็นศัตรูสําคัญของข้าว ได้แก่ หนูพุกใหญ่ หนูพุกเล็ก หนูนาใหญ่ หนู นาเล็ก หนูหรง่ิ นาหางยาวและหนหู ร่ิงนาหางสนั้ มีการระบาดสรา้ งความเสียหายตลอดระยะการเจริญเติบโตและ ระยะเกบ็ เกี่ยวข้าว ช่วงเวลาระบาด : ทุกฤดูปลูก โดยเฉพาะบนพื้นที่สูงนั้นหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้ว หนูจะเข้าทําลายแปลง ปลกู ข้าวทอี่ ยบู่ รเิ วณใกล้เคยี งแปลงปลกู ขา้ วโพด โดยทาํ ลายขา้ วในระยะต้งั ทอ้ งถึงออกรวงมากกวา่ ในระยะอื่น การป้องกนั กําจัด : ก่อนทําการป้องกันและกําจัดหนู ควรทําการสํารวจข้อมูลหนูในพ้ืนท่ี การระบาดของประชากรหนูและ ความเสยี หายของข้าวท่เี กดิ จากหนู 1. ข้อมูลการระบาดของหนู ก่อนที่จะทําการปลูกข้าวในพื้นที่ใด ๆ ควรต้องทราบว่ามีหนูชนิดใดบ้าง และมีการระบาดมากน้อยเพียงใดในบรเิ วณน้ันยอ้ นหลังไปประมาณ 3-4 ปี 2. ร่องรอยของหนู เช่น รูหนู รอยเท้า ทางเดิน ขี้หนู ซากพืชและซากสัตว์ท่ีถูกกัดกินเป็นอาหาร หรือ ลบั ฟนั ถ้ามีการระบาดของหนูนอ้ ยหรอื พบรอ่ งรอยของหนูไม่มากนัก ใช้วิธีป้องกันและกําจัดหนูดังนี้ คือ ดักจับ ด้วยกับดักแบบต่าง ๆ ขุดรูหนู ทําคันนาให้เล็กและไม่มีหญ้ารก อนุรักษ์งูและนกท่ีล่าหนูเป็นอาหารหรือใช้เหย่ือ โปรโตซัวกําจัดหนู ถา้ มีการระบาดของหนหู รอื พบรอ่ งรอยของหนูมาก จาํ เปน็ ต้องป้องกนั และกาํ จัดหนู แนวทางการจัดการหนูในนาข้าวอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ : 1. ลดประชากรหนลู งอยา่ งรวดเรว็ ก่อนปลูกข้าวหรอื ช่วงเตรียมดนิ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เชน่ - ขดุ ดกั จบั ใชไ้ ฟฟา้ ช็อตหรอื ช่วยกันล้อมตี ล้อมรั้วร่วมกับการใชก้ รง/ลอบดกั หนู - โดยใช้สารกําจัดหนูประเภทออกฤทธิ์เร็ว เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์ (ยาดํา) อัตราส่วนผสมผงยาดํากับ ปลายข้าว (1:100) วางตามแปลงข้าวที่มีรอยทางเดินของหนูจุดละ 1 กอง การวางเหย่ือพิษที่ผสมแล้วให้โรย แกลบรองพ้ืนและตักวางเพียง 1 ช้อนชา และคลุมด้วยแกลบ 1-2 กํามืออีกครั้ง แต่ละจุดห่างกัน 5-10 เมตร และใช้เพียง 1 ครั้งต่อฤดูปลูก 2. รักษาระดบั ประชากรของหนูใหต้ ํ่าอยเู่ สมอ หลังการใช้วิธีต่าง ๆ ในข้อ (1) หนูจะตายเป็นจํานวนมาก ถ้าไม่มีการกําจัดอย่างต่อเน่ือง จํานวนหนู จะเพ่มิ สงู ขน้ึ ได้ ดงั นั้นในระหว่างต้นข้าวเจริญเติบโตควรจัดการหนูได้ 2 แบบ ดังนี้คือ 74 | เทคโนโลยกี ารปลกู ข้าวไร่อย่างยั่งยืน
แบบที่ 1 ใช้สารชีวินทรีย์ (bioagent) เช่น เหยื่อโปรโตซัวกําจัดหนู (Sarcocystis singaporensis) ผสมผสานกับการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติของหนู และวิธีกลต่าง ๆ ที่เหมาะสม เหยื่อโปรโตซัวกําจัดหนูควรวาง หลังการใช้วิธีที่ 1 ทันที บริเวณที่พบร่องรอยหนูหรือในภาชนะใส่เหย่ือท่ีวางเป็นจุด ๆ (ภาชนะใส่เหยื่อควรวาง บรเิ วณทางเดินหนู และห่างกัน 10-20 เมตร) หรือใส่ลงในรูหนทู ่มี ขี ยุ ดินใหม่ ๆ โดยตรง รูละ 2 ก้อนโดยใช้เหย่ือ โปรโตซัว 25 ก้อนต่อไร่ เป็นเวลา 3 เดือน ๆ ละ 1 คร้ัง ก็เพียงพอที่จะรักษาระดับประชากรหนูให้ตํ่าและลด ความเสียหายของขา้ วลงได้ แบบที่ 2 ใช้วธิ กี ลต่าง ๆ ในรูปแบบของกับดักผสมผสานกบั การใช้สารกําจัดหนูประเภทออกฤทธิ์ช้าท่ี หนูกินคร้ังเดียวตาย เช่น สะตอม ไดเฟทไทอะโลน บาราคี หรือเส็ด อย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่งเป็นเหย่ือพิษกําจัดหนู สําเร็จรูปชนิดก้อนขี้ผึ้ง ควรวางเหย่ือพิษชนิดนี้หลังจากกําจัดหนูโดยวิธีที่ 1 ไปแล้ว 2 สัปดาห์ โดยวางเหยื่อพิษ ตามคันนาหรือแหล่งที่พบร่องรอยหนูจุดละ 1 ก้อน แต่ละจุดห่างกัน 5-10 เมตร ท้ังน้ีจะต้องวางเหย่ือพิษเดือน ละ 1 ครง้ั ตดิ ต่อกนั 3 คร้งั ซ่ึงเพยี งพอแก่การควบคุมประชากรหนูให้อยู่ในระดับตํ่าได้ สําหรับวิธีการแบบน้ีต้อง หม่ันเก็บหนูตายออกจากแปลงนา เพ่ือป้องกันการสูญเสียของนกที่จะกินหนูอันเนื่องจากพิษตกค้างของสารเคมี กําจดั หนู หนเู ขา้ ทําลายตน้ ขา้ ว 2. นก (bird) นกที่เป็นศัตรูข้าวท่ีสําคัญ ได้แก่ นกกระติ๊ดขี้หมู เข้าทําลายข้าวโดยจิกกินเมล็ดข้าวตั้งแต่เมล็ดอยู่ใน ระยะน้ํานมจนถึงระยะเก็บเกี่ยว ในระยะข้าวเริ่มเป็นน้ํานม นกจะจิกที่รวงแล้วขบเมล็ดข้าวกินเฉพาะเนื้อแข็ง และนํ้านม รวงข้าวจะยังมีเปลือกติดอยู่กับรวง แต่มีรอยแตกเห็นได้ชัด ถ้าข้าวเลยระยะนํ้านมจนแข็งหมดท้ัง เมลด็ แลว้ นกจะใชป้ ากรูดเมลด็ ออกจากรวงแลว้ คาบเมลด็ มาขบกนิ แตเ่ นอื้ ภายใน ช่วงเวลาระบาด : ระยะน้าํ นมถงึ ระยะกอ่ นเกบ็ เกย่ี ว เทคโนโลยีการปลกู ขา้ วไร่อย่างย่ังยนื | 75
การป้องกนั กําจัด : • กาํ จัดวชั พืชเพื่อทําลายแหลง่ อาศัยและแหลง่ อาหารซง่ึ เปน็ พวกเมลด็ วชั พืช • ใชห้ นุ่ ไลก่ าหรอื คนไล่ • ใช้วสั ดุสะทอ้ นแสง เชน่ กระจกเงา แผ่น CD เป็นต้น • ใช้สารป้องกนั กาํ จัดนก ไดแ้ ก่ เมทไทโอคารบ์ (50% ดบั บลวิ พี) อตั รา 80 กรัม ฉดี พ่นคร้งั แรกเม่อื เมล็ด ข้าวเรม่ิ เป็นน้ํานมแลว้ และฉดี พน่ ซ้าํ อีกคร้ังหลังจากฉีดพน่ ครง้ั แรก 10 วนั นกจะเขา้ ทําลายเมลด็ ขา้ วท่ีระยะนา้ํ นมถงึ ระยะก่อนเก็บเกย่ี ว ภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ ในด้านการป้องกันกําจัดศัตรูข้าวไร่ของกลุ่มชาติพันธุ์ใช้ประโยชน์จากฐานพันธุกรรมข้าวเป็นหลัก โดย คัดเลือกพันธ์ุข้าวที่อยู่รอดภายหลังการระบาดจริงของศัตรูข้าวในสภาพธรรมชาติ รวมถึงพันธุ์ที่อยู่รอดภายใต้ ความแปรปรวนของสภาพภมู ิอากาศดว้ ย ซ่ึงเป็นลกั ษณะเด่นของข้าวไร่มากกวา่ พันธ์ุข้าวในนิเวศน์อื่น นอกจากน้ี ยังใช้วิธีปลูกข้าวหลายพันธ์ุที่มีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูข้าวที่สําคัญต่างกัน เพ่ือลดความเส่ียงจาก ความเสยี หายของผลผลิตจากศัตรูขา้ วในแตล่ ะปเี พาะปลกู กลุม่ ชาตพิ นั ธยุ์ ังมีการทาํ พธิ กี รรมตา่ ง ๆ ตามความเชอื่ เพื่อไล่หรือป้องกันศัตรูข้าวและมีความเช่ือในการ ใช้เอื้องหมายนาสําหรับไล่แมลง ความเช่ือการปลูกข้าวเหนียวดําตามหัวไร่ปลายนาว่าช่วยคุ้มครองรักษาข้าว ปลูกและไล่ผี บางกลุ่มชาติพันธ์ุ เช่น ปกาเกอะญอ นิยมใช้ส้มโอ มะกรูด หน่อไม้ดอง ในการไล่แมลงศัตรูข้าว ด้านการป้องกันกําจัดสัตว์ศัตรูข้าวมีการใช้กับดักหนูแบบต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย รวมถึงการปลูกพืชอื่นรอบ แปลงข้าวไร่ เช่น แตงไร่ มันสําปะหลัง เพื่อล่อให้สัตว์กินก่อนเข้ามากินข้าว การกําจัดนกยังคงใช้คนไล่ หุ่นไล่กา และอุปกรณท์ ่ที ําให้เกิดเสียงดงั เช่น การเคาะกระบอกไม้ไผ่ หรือ ปีบ 76 | เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไรอ่ ย่างยัง่ ยืน
กบั ดักหนไู มไ้ ผ่ : ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ ผลงานวิจัยท่ีเกย่ี วข้อง อัจฉราพรและสมเกียรติ (2529) ศึกษาปฏิกิริยาของข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ท่ีมีความหลากหลายทางพันธุกรรม ในการตอบสนองต่อการเกิดโรคไหม้ พบว่า ข้าวไร่พันธุ์รับรอง เจ้าฮ่อ ขาวโป่งไคร้ และ อาร์ 258 มีความต้านทาน โรคไหม้ในทกุ ระยะการเจรญิ เตบิ โต รศั มีและคณะ (2551) ได้ทดสอบประสทิ ธภิ าพของผงเช้ือแบคทีเรียปฏิปักษ์ Bacillus subtilis และสาร จากผงกากเมล็ดชาในการควบคุมโรคเมล็ดด่างของข้าว พันธ์ุบือพะดู ท่ีปลูกในสภาพนาขั้นบันไดของเกษตรกร กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรท่ีสูงตามพระราชดําริ บ้านนาเกียน ตําบลนาเกียน อําเภอ อมกอ๋ ย จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ผงกากเมล็ดชามีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของโรคเมล็ดด่างได้ โดยใช้ ผงกากเมลด็ ชา อัตรา 250 กรมั ตอ่ นํ้า 20 ลิตร ละลายน้ํา 1 คืน นํามากรองและใช้นํ้าท่ีกรองได้ ฉีดพ่นต้นข้าว 3 ครง้ั ในระยะขา้ วตัง้ ทอ้ งใกล้ออกรวง ในระยะข้าวออกรวง 5 เปอร์เซ็นต์ และระยะข้าวออกรวง 100 เปอรเ์ ซ็นต์ จิราพันธ์ุ (2529) ศึกษาการใช้สารฆ่าแมลงชนิดคลุกเมล็ดก่อนปลูก ในปี 2525-2527 พบว่า สารฆ่า แมลงบางชนิดเทา่ นั้นสามารถใช้ป้องกันกําจัดมดง่ามและแมลงคอ่ มทองซ่งึ เปน็ แมลงศัตรทู สี่ าํ คญั ท่ีสุดในการปลูก ข้าวไร่ โดยมีผลกระทบต่อความงอกของเมล็ดน้อย ได้แก่ คาร์โบฟูแรน 35 เอสที คาร์โบซัลแฟน 25 เอสที และ เมทไธโอคารบ์ 20 ดบั บลวิ พี อตั รา 1% สารออกฤทธิ์ต่อน้าํ หนักเมลด็ ชัชวาลและคณะ (2527) ศึกษาถึงชนิดของนกท่ีลงทําลายในข้าวไร่ที่สูง ความเสียหายท่ีเกิดจากนกและ การป้องกันกําจัดโดยใช้สารไล่นก methiocarb (mesurol 150% wp) ฉีดพ่นที่รวงข้าวในอัตรา 120 กรัมของ สารออกฤทธ์ิต่อไร่ผสมกบั นา้ํ 20 ลิตร ฉดี พน่ 2 คร้งั ในระยะขา้ วเป็นนํ้านมและครัง้ ที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 10 วัน พบว่านกศัตรูข้าวไร่ที่สูงท่ีพบ 5 ชนิดคือ นกกะติ๊ดข้ีหมู (Lonchura punctulata) นกกะติ๊ดตะโพกขาว (L. striata) นกกระจอกตาล (Passer flaveolus) นกกระจาบธรรมดา (Ploceus philippinus) นกกระจาบปีก อ่อนอกเหลือง (Emberiza aureola) ความเสียหายจะพบมากต้ังแต่ข้าวเร่ิมเป็นน้ํานมจนถึงระยะเก็บเก่ียว ข้าว ไร่บางพันธุ์ เช่น อาร์ 258 ในระยะเก็บเก่ียวเมล็ดร่วงง่าย ดังนั้นความเสียหายทางอ้อมท่ีเกิดจากฝูงนกโผบินขึ้น เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไรอ่ ย่างยั่งยืน | 77
ลง ทาํ ให้เมลด็ รว่ งหล่นจากรวง สว่ นการป้องกนั กําจัดพบวา่ หลังจากใช้สารไลน่ กฉดี พน่ ทร่ี วงข้าวในระยะขา้ วเร่ิม เป็นนํ้านมแลว้ พบประชากรของนกศตั รขู า้ วไรล่ ดลง ทักษิณและคณะ (2527) ทดสอบประสิทธิภาพของสารไล่นกศัตรูข้าว พบว่า การปลูกข้าวให้เป็นพืชกับ ดัก 5 แถว โดยปลูกพืชกับดักก่อนปลูกข้าวในแปลงใหญ่ 10 วัน แล้วฉีดพ่นสารไล่นก methiocarb (mesurol 150 % wp) อัตรา 180 กรัมต่อไร่ของสารออกฤทธิ์ ในพืชกับดัก 2 คร้ัง เร่ิมครั้งแรกเม่ือพืชกับดักเป็นนํ้านม ครั้งที่ 2 หลังจากฉีดพ่นครั้งแรก 10 วัน ท่ีสถานีทดลองข้าวนครศรีธรรมราช ผลปรากฏว่า จํานวนนกศัตรูข้าว หลงั จากฉีดพน่ สารไล่นกทพ่ี ชื กับดกั ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ การใช้เหย่ือโปรโตซัวผสมผสานกับวิธีกลอื่น ๆ ที่เหมาะสมและการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ ให้นําเหย่ือ โปรโตซัวใส่ในภาชนะแล้ววางบริเวณท่ีพบร่องรอยหนูในอัตรา 25 ก้อนต่อไร่ ห่างกันจุดละ 10-20 เมตร หรือใส่ ลงในรหู นทู ม่ี ีขยุ ดนิ ใหม่ ๆ โดยตรง รูละ 2 กอ้ น หลงั จากผ่านข้ันตอนแรกมาแล้ว 1 สัปดาห์ ให้วางเหยื่อดังกล่าว เดอื นละ 1 คร้งั ต่อเนอ่ื งไปเป็นเวลา 3 เดอื น หรอื หากไม่ใช้เหย่อื โปรโตซัวกส็ ามารถใช้เหย่ือพิษประเภทสารออก ฤทธิ์ช้าหลังจากผ่านข้ันตอนแรกไปแล้ว 2 สัปดาห์ โดยวางตามคันนาหรือแหล่งที่พบร่อยรอยหนูจุดละ 1 ก้อน แต่ละจุดห่างกัน 5-10 เมตร เดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 เดือน และต้องหมั่นเก็บหนูตายออกจากแปลงเพราะ สารเคมดี งั กลา่ วมีพษิ ตกคา้ งในหนู อาจทําใหศ้ ัตรธู รรมชาตติ ายได้ (ยวุ ลกั ษณ,์ 2553) สรุป โรคข้าวท่ีระบาดทําความเสียหายในข้าวไร่ส่วนใหญ่จะเป็นโรคข้าวที่เกิดในสภาพนาทั่วไป เช่น โรคไหม้ โรคใบจุดสีนํ้าตาล ดังนั้นการป้องกันกําจัดโรคในข้าวไร่สามารถนําวิธีการและชนิดของสารป้องกันกําจัดโรคที่ใช้ ในสภาพนามาใช้สภาพไร่ได้ด้วย ในส่วนของพันธุ์ข้าวต้านทานโรคน้ัน ไม่ได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวไร่ที่ต้านทาน โรคพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา มีเพียงการปรับใช้พันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพ้ืนที่และแหล่งปลูกต่าง ๆ อย่างไรก็ดี ใน ลักษณะพันธุ์ข้าวต้านทานโรคของข้าวไร่นั้นได้มีการคัดเลือกโดยธรรมชาติอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ประกอบกับการ ใช้สารเคมีไม่เป็นท่ีนิยมของเกษตรกรทั้งนี้เป็นเพราะเกษตรกรเข้าไม่ถึงปัจจัยการผลิตดังกล่าว และมีราคาแพง เกษตรกรสว่ นใหญจ่ งึ ปลอ่ ยใหเ้ ป็นไปตามสภาพธรรมชาติของแตล่ ะพ้นื ที่ แมลงศัตรูข้าวไร่นอกจากจะเป็นแมลงศัตรูข้าวที่พบทั่วไปในแปลงนาแล้ว ยังมีศัตรูข้าวที่ส่วนใหญ่อาศัย อยู่ในดิน เช่น มดง่าม ปลวก เพล้ียอ่อนที่รากข้าว เพลี้ยแป้งที่รากข้าว ตัวอ่อนของแมลงปีกแข็งต่าง ๆ เช่น แมลงค่อมทอง แมลงนูน ด้วงหนวดยาว เป็นต้น การป้องกันกําจัดแมลงศัตรูข้าวไร่อาจจะใช้วิธีเดียวกับการ ป้องกันกําจัดแมลงศัตรูข้าวนาทั่วไปก็ได้ และการคลุกเมล็ดพันธุ์ข้าวก่อนปลูกด้วยสารฆ่าแมลงชนิดคลุกเมล็ด สามารถป้องกันกําจัดแมลงศัตรูในดินได้ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปเกษตรกรท่ีปลูกข้าวไร่จะไม่ค่อยใช้สารฯ ดังกล่าว แต่จะใช้อัตราเมล็ดพันธ์ุข้าวให้มากข้ึนกว่าปกติเพ่ือชดเชยส่วนที่เสียหายไป และสารป้องกันกําจัด 78 | เทคโนโลยกี ารปลูกขา้ วไรอ่ ย่างย่ังยนื
ศัตรูพืชบนพื้นท่ีสูงมีราคาแพงและหายาก กอรปกับเกษตรกรส่วนใหญ่มีรายได้ต่ําและเข้าไม่ถึงปัจจัยการผลิต ดังกล่าว การเลือกใช้พันธุ์ข้าวท่ีเหมาะสมกับพื้นท่ีจึงเป็นแนวทางหน่ึงท่ีจะช่วยลดการสูญเสียผลผลิตข้าวไร่จาก การทาํ ลายของแมลงศัตรูพืชดังกลา่ วได้ สัตว์ศัตรูข้าวท่ีสําคัญในการปลูกข้าวไร่ ได้แก่ หนู และนก ป้องกันกําจัดหนูโดยวิธีกล การใช้กับดักแบบ ต่าง ๆ ซ่ึงกลุ่มชาติพันธุ์พัฒนาของตนเองข้ึนมารวมถึงการปลูกพืช เช่น แตงและมันสําปะหลัง รอบแปลงปลูก ข้าวไร่ เพื่อให้หนูกินก่อนที่จะเข้ามาทําลายข้าว ในทางวิชาการมีการใช้เหย่ือพิษกําจัดหนูท้ังชนิดออกฤทธ์ิเร็ว และชา้ รวมถึงการใชเ้ หยือ่ โปรโตซัวกําจัดและควบคุมประชากรของหนู ส่วนการป้องกันนกใช้คนไล่และหุ่นไล่กา เปน็ หลัก ข้อพิจารณาและต้องคํานึงถึงในการป้องกันกําจัดศัตรูพืชของข้าวไร่น้ัน ควรมุ่งเน้นในการป้องกันมาก กว่าการกําจัด แต่ถ้าถึงเวลาท่ีต้องกําจัดให้ใช้วิธีการท่ีไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้และไม่เกิดความเสียหายต่อ สภาพแวดล้อมหรือมีผลกระทบท่ีเสียหายต่อบุคคลและสภาพแวดล้อมให้น้อยท่ีสุด และต้องคํานึงถึงต้นทุนกับ ผลตอบแทนหรือความคุ้มค่าที่ได้รับหลังจากพิจารณาใช้วิธีการต่าง ๆ ด้วยว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ท้ังน้ี เนื่องจากบนพ้ืนที่สูงเป็นพื้นท่ีต้นนํ้าและเป็นพื้นที่ที่ห่างไกล จึงเป็นพ้ืนท่ีที่มีต้นทุนการผลิตที่เป็นปัจจัยภายนอก ค่อนข้างสูง เช่น สารเคมีต่าง ๆ จะมีราคาสูงกว่าพื้นที่ราบ และการใช้สารเคมีท่ีไม่ถูกต้องจะส่งผลกระทบท่ีไม่ดี ต่อสภาพแวดล้อมด้วย ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ในพื้นท่ีดังกล่าวควรจะใช้สารเคมี เม่ือใช้วิธีการอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล โดยมีขอ้ แนะนาํ วา่ เกษตรกรจะตอ้ งรู้จกั ชนิดและปริมาณของศัตรูพืช ใช้สารเคมีให้ตรงตามชนิดของศัตรูพืชท่ีจะ กําจัด ใช้ในอัตราที่กําหนดในฉลาก และใช้เม่ือการแพร่ระบาดของศัตรูพืชถึงระดับเศรษฐกิจ ซ่ึงถ้าไม่ใช้แล้วจะ ก่อใหเ้ กิดความเสียหายทางเศรษฐกิจได้ ดงั นนั้ การอารกั ขาขา้ วในการปลกู ขา้ วไร่จงึ มคี าํ แนะนาํ ให้ปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 1. การปอ้ งกันศัตรพู ชื ของขา้ ว 1.1 การใช้พันธ์ุข้าวต้านทานศัตรูพืชท่ีมีในพื้นท่ี เช่น พันธุ์ซิวแม่จันต้านทานต่อการทําลายของโรค ไหม้มากกว่าพันธอ์ุ ื่น ๆ การพิจารณาและคัดเลอื กพันธ์ขุ ้าวพน้ื เมืองที่ต้านทานศตั รพู ชื ในพ้ืนที่ 1.2 การใชเ้ มลด็ พนั ธุ์ดที ่ปี ราศจากศตั รพู ชื ท่ตี ดิ มากับเมล็ดโดยเฉพาะโรคขา้ ว 1.3 การเขตกรรมท่ีดีจะช่วยลดประชากรของศัตรูพืชบางชนิดได้มาก โดยเฉพาะวัชพืช แมลง ศตั รูพืชในดินและโรคพืชบางชนิด 1.4 การทําให้ต้นข้าวแข็งแรง เช่น การใส่ธาตุอาหารที่ข้าวต้องการให้เหมาะสมกับช่วงระยะการ เจริญเติบโตจะช่วยให้ตน้ ข้าวแข็งแรงมีความทนทานตอ่ ศัตรูข้าวได้ในระดบั หนง่ึ เชน่ โรคไหม้ โรคใบจดุ สนี ้าํ ตาล 1.5 การใช้วิธีกลหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นในการกําจัดศัตรูพืชตลอดปี เช่น การกําจัดหนู การกําจัดตัว เต็มวัยของแมลงฯ เพอื่ ป้องกนั การเพ่ิมประชากรศตั รูพชื อยา่ งรวดเรว็ เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อยา่ งยั่งยืน | 79
2. การกําจัดศัตรูพืชของขา้ ว 2.1 ใช้วิธีกล เช่น กับดักชนิดต่าง ๆ หรือภูมิปัญญาท้องถ่ินในการกําจัดศัตรูพืช เช่น นก หนู วัชพืช ในการลดประชากรของศตั รพู ชื 2.2 ใช้สารอินทรีย์ เช่น สมุนไพรกําจัดศัตรูพืช การใช้สารชีวินทรีย์หรือเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ เช่น ไสเ้ ดือนฝอย หรือ แบคทเี รียบางชนิดกําจัดแมลงศตั รขู า้ ว 2.3 ใช้สารเคมตี ามชนดิ ของศตั รูพชื และตามอตั ราท่รี ะบุในฉลาก 2.4 การใช้วธิ ผี สมผสาน โดยพิจารณาใชว้ ิธีการตา่ ง ๆ รว่ มกนั ตามสภาวะและความเหมาะสม 80 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อย่างยงั่ ยืน
การจัดการวชั พืชในขา้ วไร่ วชั พชื หมายถึง พืชท่ีไม่ต้องการให้ข้ึนในแปลงปลูกพืชหลัก ในท่ีนี้คือข้าว วัชพืชที่ข้ึนอยู่แข่งขันแย่งธาตุ อาหาร ความชื้น แสง รวมทั้งปลดปล่อยสารยับย้ังการเจริญเติบโตท่ีรากซ่ึงมีผลต่อการเจริญเติบโตและทําให้ผล ผลิตข้าวลดลง วัชพืชทําให้ผลผลิตข้าวไร่สูญเสียได้มากตั้งแต่ร้อยละ 42 จนถึงร้อยละ 100 เม่ือไม่มีการกําจัด วัชพืชเลย (Gupta and O’Toole, 1986) ส่วนการทําข้าวนาน้ําฝนวัชพืชทําความสูญเสียต่อผลผลิตร้อยละ 70 (Romyen et al., 1999) ในวิธีปลูกแบบต่าง ๆ วัชพืชทําให้ผลผลิตข้าวไร่สูญเสียได้มากที่สุด คือ ร้อยละ 31.2- 80.2 รองลงมาคือนาหว่านข้าวแห้ง สูญเสียร้อยละ 4.4-47.3 ส่วนข้าวนาดําวัชพืชสร้างความสูญเสียได้ร้อยละ 2.3-33.6 (ประสาน, 2540) วัชพืชยังทําให้คุณภาพของผลผลิตลดลงโดยมีเศษของต้นและเมล็ดวัชพืชปะปนใน ผลผลิต ในทางอ้อมวัชพืชเบียดแย่งพ้ืนท่ีกับพืชปลูก กีดขวางทางนํ้าและทางเข้าสู่แปลงนา เป็นท่ีอยู่อาศัยของ สัตว์ศัตรูข้าว เช่น หนู นก เป็นต้น วัชพืชเป็นพืชอาศัยของโรคพืชและแมลงศัตรูพืช รวมท้ังสร้างอันตรายจากไฟ ไหม้ได้ (Food and Agricultural Organization of the United Nation, 1986) วัชพืชเปน็ ปัญหาทส่ี าํ คัญในการปลกู ข้าวไร่เพราะทาํ ให้ผลผลิตขา้ วลดลงหรืออาจไม่ได้ผลผลิตเลย ข้ึนอยู่ กบั ชนดิ วชั พชื จํานวนประชากรของวัชพชื และขา้ วไร่ ตลอดจนช่วงระยะเวลาในการระบาด (สมเกียรติและคณะ, 2539) วัชพืชขยายพันธุ์แพร่กระจายออกไปได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เมล็ดและส่วนขยายพันธ์ุอ่ืน ๆ เช่น หัวและ ลําต้นใต้ดิน ไหลหรือลําต้นเหนือดิน เป็นต้น มีการแพร่กระจายออกไปโดยนํ้า ลม มนุษย์และสัตว์ รวมท้ัง เครื่องจักรกลเกษตรและปัจจัยการผลิตที่นําเข้ามา เมล็ดและส่วนขยายพันธ์ุของวัชพืชยังมีความสามารถในการ พักตวั (Dormancy) ได้เปน็ เวลานานกวา่ พืชปลูก กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่องยาวนาน วัชพชื จาํ แนกออกไดใ้ นหลายลักษณะ เชน่ 1. จําแนกตามนิเวศน์ทชี่ อบขึ้นอยเู่ ป็น วชั พืชทส่ี ูง ทด่ี อน สภาพน้าํ ขงั และขึ้นใตน้ ํา้ 2. จาํ แนกตามวงจรชวี ติ เป็น วัชพชื ปเี ดยี ว วัชพชื ขา้ มปี และวชั พชื ถาวรหรอื หลายปี 3. จําแนกตามลักษณะทางพฤกษศาสตรเ์ ปน็ วัชพชื ใบกวา้ ง วชั พืชใบแคบ กก เฟิร์นและอาลจี คําแนะนําท่ัวไป หลักในการควบคุมวัชพืช เริ่มต้นโดยการใช้พันธุ์ข้าวที่โตเร็วและสามารถแข่งขันกับวัชพืชได้ดี การใช้วิธี ทางเขตกรรม คือ การเตรียมดินดี ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่สะอาดปราศจากเมล็ดวัชพืช การป้องกันและกําจัดเมล็ด วชั พืชท่ตี ดิ มากบั เคร่ืองจักรกลเกษตรและนา้ํ ท่ีไหลเขา้ มาในพ้ืนทป่ี ลูก นอกเหนือจากการใช้พันธ์ุข้าวท่ีมีลักษณะที่สามารถแข่งขันกับวัชพืชได้ดีแล้ว วิธีจัดการวัชพืชสามารถ ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นขนั้ ตอนต่าง ๆ ของการปลูกข้าวตง้ั แต่กอ่ นปลกู จนถึงเกบ็ เก่ียว ได้แก่ เทคโนโลยีการปลูกข้าวไร่อยา่ งยั่งยืน | 81
1. การเตรียมดิน การเตรียมแปลงปลูกท่ีดีจะช่วยลดปัญหาจากวัชพืชได้ ในพื้นท่ีอาศัยน้ําฝน เมื่อ ปริมาณและการกระจายตัวของฝนเหมาะสมจะทําให้เมล็ดข้าวท่ีอยู่ในดินงอกข้ึนมา ขณะเดียวกันเมล็ดวัชพืชที่ อยใู่ นระดับผิวดนิ ก็จะงอกขน้ึ มาพรอ้ มกับตน้ ข้าวและการแขง่ ขันในปจั จยั การเจริญเติบโตกบั ต้นข้าวจึงเร่ิมข้ึน อีก กรณีหนึ่งการไถเป็นการกําจัดวัชพืชท่ีเกิดขึ้นมาหรือทําลายเมล็ดวัชพืชในระดับที่จะงอกได้ ในเวลาเดียวกันจะ เป็นการพลิกใหเ้ มล็ดวัชพชื ทอ่ี ยู่ลึกในดนิ ขนึ้ มาสูผ่ วิ ดินและสามารถงอกขึน้ มาได้อกี 2. การเตรียมเมล็ดพันธ์ุข้าว จะต้องไม่มีเมล็ดวัชพืชปนและมีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง อัตราเมล็ดพันธุ์ ข้ึนอยู่กับวิธีการปลูก สําหรับวิธีการหว่านการเพิ่มอัตราเมล็ดพันธุ์ให้สูงข้ึนจะมีผลทําให้ชนิดและจํานวนวัชพืชท่ี เกิดขึ้นในแปลงปลูกข้าวลดลงตามอัตราการเพิ่มข้ึนของเมล็ดพันธุ์ เป็นการเพิ่มการแข่งขันระหว่างข้าวกับวัชพืช ในนา อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ในการปลูกข้าวโดยการหว่านตามสภาพความเหมาะสมของ พ้ืนที่และความพร้อมของเกษตรกรซ่ึงมีการจัดการวิธีการเตรียมดินและวิธีการปลูกและใช้เมล็ดพันธุ์ท่ีเหมาะสม ช่วยลดต้นทนุ การผลติ ขา้ วด้านแรงงานและค่าใชจ้ า่ ยต่าง ๆ และลดปัญหาวัชพืชไดใ้ นระดบั หนง่ึ 3. การกาํ หนดช่วงเวลาปลูก การหวา่ นขา้ วเร็วจะทําให้ต้นข้าวอยู่ในนาเป็นเวลานานและจะประสบกับ ปัญหาจากสภาพความแห้งแล้งเนื่องจากฝนทิ้งช่วง มีวัชพืชขึ้นแข่งขันมากและแมลงสัตว์ศัตรูข้าวรบกวน การ กําหนดช่วงระยะปลูกที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาจากวัชพืชได้ โดยแนะนําให้ปลูกข้าวประมาณเดือนกรกฎาคม จนถงึ สิงหาคม 4. อัตราการปลูก การใช้อัตราเมล็ดพันธ์ุสูงจะมีปัญหาการแข่งขันกับวัชพืชน้อยกว่าอัตราเมล็ดพันธุ์ตํ่า น้ําหนักแห้งของวัชพชื ลดลงตามอัตราการเพิม่ ข้ึนของเมล็ดพันธ์ุ 5. การใช้แรงงานกําจัด การถอนอาจทําได้โดยใช้มือถอนหรืออุปกรณ์อื่น เช่น จอบขยันในข้าวไร่ที่ หยอดเป็นหลมุ ชว่ งเวลาท่ีเหมาะสมคอื ไมเ่ กิน 45 วนั หลงั ข้าวงอก 6. การปลูกพืชหมุนเวียน โดยเฉพาะพืชตระกูลถ่ัว เป็นการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อม ลดการสะสม ของวัชพืชบางชนดิ 7. การปลูกพืชเหลื่อมฤดู เป็นการปลูกพืชสองชนิดหรือมากกว่าสองชนิด แต่พืชท่ีปลูกหลังจากน้ัน จะต้องปลูกหลังจากพืชแรกออกดอกแล้ว ในขณะที่ปลูกพืชหลังก็เป็นการกําจัดวัชพืชให้กับพืชแรกด้วยและเมื่อ พืชหลังเจริญเตบิ โตข้ึน ทรงพมุ่ จะปกคลมุ ดินทําใหก้ ารระเหยของนํ้าน้อยและเป็นการคลมุ วชั พชื ด้วย 8. การควบคุมโดยชีววิธี เช่น การใช้โรคพืช แมลงหรือสารสกัดจากพืช เช่น สารสกัดจากสาบหมา (Eopatorium adenophorum Spreng) ยับย้ังการงอกของวัชพืชหลายชนิด เช่น ผักโขม (Amaranthus spinosus L.) ก้นจ้ําป๋า (Bidens pilosa L.) หญ้าเขมรเล็ก (Borreria alata) ซ่ึงเป็นวัชพืชที่พบในข้าวไร่ แต่ การใชส้ ารสกัดน้ันจะตอ้ งไมเ่ ปน็ พิษกบั ตน้ ข้าว (ประสาน, 2540) 82 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อย่างยง่ั ยนื
การจัดการวัชพืชเป็นวิธีการลดปัญหาวัชพืชอย่างเป็นระบบ โดยใช้ทุกข้ันตอนของการปลูกข้าวที่มีส่วน ในการควบคมุ วัชพืชมาผสมผสานกนั มีคณุ สมบัตงิ า่ ยตอ่ การปฏิบตั ิ มีประสทิ ธภิ าพในการลดประชากรวัชพืชและ เพ่ิมผลผลิตข้าว ใช้แรงงานและเวลาในการกําจัดน้อย มีผลท่ีแน่นอนและใช้ได้กว้างขวาง เกษตรกรยอมรับ นาํ ไปใช้ การจัดการวัชพืชแตกต่างจากการควบคุมวัชพืชในด้านเป้าหมาย วัตถุประสงค์ วิธีการ การดําเนินการท่ี ไดผ้ ลและการนาํ ไปใช้ (Kon, 1993) คําแนะนําในการจัดการวัชพืช (ประสาน, 2540) เร่ิมจากการป้องกันวัชพืช ทําได้โดยจํากัดการแพร่ กระจายของวชั พืช ตง้ั แต่การทําความสะอาดเมล็ดพันธ์ุข้าวให้ปราศจากส่วนขยายพันธ์ุหรือเมล็ดวัชพืช ทําความ สะอาดและป้องกันเมล็ดและส่วนขยายพันธุ์ของวัชพืชท่ีติดไปกับเคร่ืองจักรกลเกษตร สัตว์เล้ียง และทางน้ําที่ใช้ ข้ามระหวา่ งแปลงนา รวมถึงการใชร้ ะบบด่านกักกันพืชป้องกนั วชั พชื ข้ามประเทศ เลือกพันธขุ์ ้าวทีม่ ลี กั ษณะแขง่ ขันกบั วัชพืชได้ดี คอื ตน้ สูง ใบปรกบังรม่ และรากแผใ่ นแนวนอน เมอ่ื ปลกู ชดิ จะไมม่ ีช่องวา่ งให้วัชพืชขึน้ วิธีการปลูกข้าว พบว่านาดํามีปัญหาวัชพืชน้อยท่ีสุด เพราะขณะปักดําหลังการเตรียมดิน ต้นกล้าข้าวมี ขนาด 20-30 เซนติเมตรแล้ว ส่วนวัชพืชกําลังเริ่มงอกและมีน้ําท่วมผิวนา ทําให้แข่งขันกับข้าวไม่ทัน นาหว่าน ข้าวแห้งและข้าวข้ึนน้ําที่มีสภาพดอนในช่วงแรกและมีน้ําขังในช่วงต่อมามีปัญหาวัชพืชมากขึ้นมา แต่ยังน้อยกว่า การปลกู แบบข้าวไรท่ ี่เป็นสภาพไร่ตลอด ซ่ึงพบว่าวิธีปลูกแบบหว่านมวี ชั พืชนอ้ ยกวา่ แบบปลูกเป็นแถวหรือหยอด เปน็ หลุม การเตรียมแปลงปลูกข้าว ในกรณีข้าวไร่ เกษตรกรมักจะมีการเผาเพ่ือกําจัดวัชพืชให้หมดไปก่อนหยอด ขา้ ว และมที างเลือกพน่ สารกําจัดวชั พชื ชนิดไมเ่ ลอื กทําลายและไมม่ ีฤทธิ์ตกคา้ งเปน็ พิษตอ่ ตน้ ขา้ วท่ปี ลูกตาม วิธีการปลูกข้าวไร่ปลูกแบบหยอดเป็นหลุมหรือโรยเป็นแถว การถอนวัชพืชด้วยมือหรือใช้จอบขยันเป็น การใช้แรงงานในการกําจัดวัชพืช ควรทําในระยะข้าวแตกกอหรืออยู่ในระยะ 45 วันหลังหว่านหรือหลังข้าวงอก โดยเฉพาะการถอนท่ีระยะ 30 วันหลังข้าวงอก ต้นข้าวจะแตกกอ ใบคลุมพ้ืนที่และคุมวัชพืชได้ดี การถอนวัชพืช ยังมสี ่วนชว่ ยเตมิ ธาตุออกซิเจนให้แก่ดนิ ดว้ ย แนวทางการควบคุมวัชพืชยังมีแนวทางในการจัดการอีกหลายด้านท่ีช่วยสนับสนุนซ่ึงกันและกัน เช่น การจัดการปุ๋ย การจัดการเรื่องน้ํา เป็นต้น วิธีการต่าง ๆ เหล่าน้ีจะต้องมีการนํามาวิจัยผสมผสานร่วมกันเพ่ือหา วิธีการท่เี หมาะสมในการลดปญั หาวชั พืชไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพและแนะนําถา่ ยทอดสู่เกษตรกรตอ่ ไป เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไร่อยา่ งย่ังยนื | 83
การกาํ จดั วัชพืชด้วยแรงงานคน ภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น ในไร่ข้าวของเกษตรกรบนพื้นท่ีสูงไม่ได้ปลูกข้าวไร่เพียงอย่างเดียว แต่มีการปลูกพืชร่วมระบบหรือพืช แซม (Intercropping) ที่มีความหลากหลายทั้งท่ีเป็นพืชอาหารและเพ่ือวัตถุประสงค์อื่น ซ่ึงไม่นับว่าเป็นวัชพืช ได้แก่ พืชผัก เช่น ผักกาด แตง ฟักทอง บวบ มะเขือ ถั่ว ถั่วพู แมงลัก พริก กระเจี๊ยบ ผักอีลืน เป็นต้น พืชไร่ เช่น ขา้ วโพด ข้าวฟ่าง เผือก มันมือเสือ มันเทศ มันสําปะหลัง ฝ้าย เป็นต้น ไม้ดอกเพื่อใช้ในพิธีกรรม เช่น สร้อยไก่ ดาวเรอื ง เปน็ ตน้ ในการกําจัดวัชพืชด้วยมอื หรอื เสียมจะเวน้ ไม่กําจัดหรอื ถอนตน้ พืชเหล่านี้ การปลูกพชื แซมมีผล ชว่ ยควบคุมวัชพืชในแปลงข้าวไร่ไดอ้ ีกทางหนง่ึ ด้วย ท่ีผ่านมาการควบคุมหรือป้องกันกําจัดวัชพืชในการปลูกข้าวไร่ของกลุ่มชาติพันธ์ุบนท่ีสูงทําโดยการ เตรียมพ้ืนที่ด้วยวิธีตัดฟันและเผา (Slash and burn) และอาจมีการขุดด้วยจอบร่วมกับการใช้พันธ์ุข้าวที่มี ความสามารถงอกและเจรญิ เติบโตไดเ้ ร็วในช่วงแรกเพือ่ ให้แขง่ ขันกับวัชพืชได้ดี การปลูกแบบหยอดเป็นหลุมแล้ว กําจัดวัชพืชด้วยวิธีถอนหรือใช้เครื่องมือขนาดเล็ก เช่น เสียม จอบขนาดเล็ก ถากกําจัดวัชพืชในช่วงอายุข้าว ประมาณ 30-50 วัน จํานวน 1-2 คร้ัง ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของวัชพืชก็สามารถควบคุมวัชพืชในแปลงข้าวไร่ ที่สงู ได้ อยา่ งไรกต็ าม เม่ือปลกู ในพ้ืนที่เดมิ ซํา้ หลาย ๆ ปี จะมีการสะสมเมล็ดวัชพืช ความหนาแนน่ ของวัชพืชเพิม่ มากขึ้นและควบคุมไม่ได้ เกษตรกรจะย้ายแปลงปลูกไปยังพ้ืนท่ีใหม่ซึ่งมีความหนาแน่นของวัชพืชน้อยกว่าและ สามารถควบคุมได้ ในปัจจุบนั เกษตรกรบนพืน้ ที่สูงมกี ารใช้สารกําจัดวัชพืชโดยเฉพาะชนิดก่อนปลูก คือ พาราควอท ฉีดพ่น วัชพืชและพุ่มไม้ในแปลงท่ีจะใช้ปลูก เม่ือต้นแห้งตายแล้วจึงจุดไฟเผา (Spray and burn) ซึ่งใช้กับการปลูกพืช ไร่โดยเฉพาะข้าวโพดและข้าวไร่ ทําได้เป็นพ้ืนท่ีกว้างขวางและรวดเร็วกว่าการใช้แรงงานวิธีตัดฟันและเผามาก แตจ่ ะมผี ลต่อดา้ นสภาพแวดลอ้ มบนพืน้ ทส่ี งู อยา่ งแนน่ อน 84 | เทคโนโลยีการปลกู ขา้ วไรอ่ ย่างยัง่ ยนื
จากปญั หาของวชั พชื ในการปลูกข้าวไร่ซ่ึงทําให้ผลผลิตข้าวลดลง ส่งผลให้ปริมาณข้าวไม่เพียงพอต่อการ บริโภคในครวั เรอื นในแตล่ ะปี ดงั น้นั การลดปญั หาดงั กลา่ วในการปลูกขา้ วไร่ของกลุ่มชาติพันธ์ุจึงได้นําภูมิปัญญา ทอ้ งถน่ิ หลากหลายวิธีการเข้ามาผสมผสาน ไดแ้ ก่ • การเลือกปลกู พนั ธ์ขุ ้าวที่มีการเจรญิ เตบิ โตเรว็ ในระยะแรกเพือ่ แขง่ ขันกับวัชพืชส่วนใหญ่เป็นพนั ธ์ุข้าว ที่มีลักษณะทรงต้นสูง ใบยาวใหญ่แผ่ โน้มปกคลุม เป็นลักษณะที่มีความสามารถในการแข่งขันกับ วชั พืชได้ดี • การเผาแลว้ ปลกู ขา้ วไรเ่ ปน็ หลุม เพือ่ การกําจัดวัชพชื ดว้ ยเครือ่ งมือในภายหลัง • การทําไร่หมุนเวียนหรือไร่เหล่า การปลูกซ้ํา ๆ ในพื้นที่เดิมทําให้ชนิดวัชพืชลดลงแต่ปริมาณวัชพืช เพมิ่ มากขึ้น • การใชเ้ กลือในการกําจดั วัชพืช • การใช้ปยุ๋ เคม(ี ไนโตรเจน) ปุ๋ยยเู รีย กําจัดวชั พชื ใบกวา้ งในระยะกลา้ • การใชจ้ อบถากแลว้ ถอน ขดุ ฝงั กลบเศษวชั พชื มกั ทาํ ในพนื้ ท่ที ี่มคี วามลาดชนั (Slope) เครือ่ งมอื การกําจัดวชั พืชของกลุ่มชาตพิ ันธุ์ • การปลกู พืชร่วมระบบในพนื้ ที่ ไดแ้ ก่ ถั่วรอด พืชตระกลู แตง เพ่ือคลุมดนิ และวัชพืช • การแช่เมลด็ ข้าวกอ่ นปลูกเพอ่ื ทําใหข้ ้าวงอกก่อนวัชพืช ส่วนการควบคุมวัชพืชของเกษตรกรที่ปลูกข้าวไร่พ้ืนราบน้ัน มีการเตรียมพื้นที่โดยการไถด้วยรถไถเดิน ตามหรือรถแทรกเตอร์เพื่อกําจัดวัชพืชและเตรียมดินให้เหมาะสมต่อการงอกและเจริญเติบโตของข้าว มีการใช้ สารกาํ จัดวัชพชื ประเภทกอ่ นงอกและประเภทหลงั งอก มีการใช้จอบหรือเสยี มดายหญา้ รวมท้ังใช้รถไถเดินตามไถ กลบวัชพชื ทีอ่ ย่รู ะหว่างแถวข้าวด้วย เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อยา่ งย่ังยนื | 85
ผลงานวิจัยท่เี กยี่ วข้อง การปฏิบัติของเกษตรกรท่ีปลูกข้าวไร่ส่วนใหญ่จะขาดการเตรียมดินที่ดี ทําให้วัชพืชงอกหรือมีการ เจรญิ เตบิ โตกอ่ นต้นข้าว (ประสาน, 2527) มีผลให้ปัญหาวัชพืชในข้าวไร่มีความรุนแรงมากกว่าการปลูกข้าวแบบ อนื่ ๆ (De Datta and Llagas, 1984) Moody (1988) พบว่า ช่วงวิกฤติของการระบาดของวัชพืชอยู่ในช่วง 2-6 สัปดาห์หลังข้าวงอก โดยที่ วัชพืชจะไปเบียดเบียนแก่งแย่งแสงแดด นํ้าและธาตุอาหารของข้าว การควบคุมวัชพืชในข้าวไร่มีหลายวิธี แต่ เกษตรกรส่วนใหญ่ยงั นยิ มใชแ้ รงงานในการกาํ จัดวชั พชื เช่น การถอนด้วยมือหรือใช้จอบถาก (Kittipong, 1983) วิธีดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองแรงงาน แต่ถ้ากําจัดวัชพืชในช่วงเวลาท่ีเหมาะสมจะช่วยประหยัดแรงงาน และควบคมุ วัชพชื ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ (De Datta, 1981) ลกั ษณะของข้าวแต่ละพันธุม์ ีกลไกในการแข่งขันกบั วัชพชื แตกต่างกัน Sagar (1968) รายงานถึงลักษณะ ของพืชท่ีน่าจะเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับวัชพืช ส่วนเหนือพ้ืนดินคือการงอกและการเจริญเติบโตอย่าง รวดเร็วในระยะแรกเพ่ือให้สามารถแข่งขันกับวัชพืชได้ การพัฒนาใบอย่างรวดเร็ว ขนาดและลักษณะของใบซึ่ง ทําให้สามารถสร้างอาหารและคลุมพื้นท่ีไม่ให้วัชพืชเจริญเติบโตได้ดี ส่วนใต้ดินน้ันจะต้องมีการพัฒนาระบบราก อย่างรวดเรว็ ท้งั ด้านกว้างและดา้ นลกึ สามารถลาํ เลยี งธาตอุ าหารและนา้ํ ไดร้ วดเร็ว วัชพชื ท่สี าํ คัญในขา้ วไร่ แยกเปน็ ประเภทใบกว้าง (Broadleaved weeds) มีสาบแร้งสาบกา (Ageratum conyzoides L.) โปร่งฟ้า (Richardia brasilensis Gomez) ก้นจ้ําป๋า (Biden pilosa L.) ผักเผ็ด (Spilanthes paniculata Wall. Ex DC.) ไมยราบเครือ (Mimosa invisa Mart.) ผักม่วง (Mitracarpus vilosus (SW.) DC.) และผักปราบไร่ (Commelina benghalensis (L.)) ประเภทใบแคบ (Grassy weeds) มีหญ้าตีนนก (Digitaria ciliaris (Retz.) Koel) หญ้าปากควาย (Dactyloctenium aegyptium (L.) P.B.) และหญ้าตีนกา (Elusine indica (L.) Gaertn.) ส่วนประเภทกก (Sedge) มีแห้วหมู (Cyperus rotundus L.) ซ่ึงส่วนใหญ่แข่งขันกับวัชพืช ด้านแย่งนํ้าและธาตุอาหาร แต่มีบางชนิดเป็นเถาเล้ือยปกคลุมต้นข้าวไร่และแผ่กิ่งก้านแย่งแสง เช่น ไมยราบเครือ โปรง่ ฟา้ (ประสาน, 2540) การควบคุมวัชพืชสามารถทําได้หลายวิธี เช่น การใช้สารเคมี วิธีเขตกรรมหรือใช้แรงงาน อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้พันธุข์ า้ วเปน็ วธิ หี น่ึงทอี่ าจลดความเสยี หายจากการแข่งขันกับวัชพืชได้ สุธีราและคณะ (2543) ศึกษา ความสมั พนั ธข์ องลกั ษณะพันธ์ขุ า้ ว อัตราการเจรญิ เตบิ โตทางลาํ ตน้ และใบและจํานวนประชากรของข้าวไร่ที่มีผล ในการแข่งขันกับวัชพืช จากการทดลอง พบว่า การกําจัดวัชพืชและอัตราเมล็ดพันธ์ุมีแนวโน้มว่ามีความสัมพันธ์ และมีผลต่อผลผลติ ของข้าวแดงหอมและซิวแมจ่ นั ทีไ่ ปในทาํ นองเดียวกนั โดยการกําจดั วชั พืช 1 ครัง้ หลงั ขา้ วงอก 10 วัน มีแนวโน้มทําให้ผลผลิตข้าวลดลงมาก ต้ังแต่ร้อยละ 50-80 ที่อัตราเมล็ดพันธุ์ 50, 100 และ 250 ต้นต่อ 86 | เทคโนโลยีการปลกู ขา้ วไรอ่ ย่างยั่งยนื
ตารางเมตร และลดลงร้อยละ 17-31 ทีอ่ ตั ราเมลด็ พันธ์ุ 500 และ 1,000 ต้นต่อตารางเมตร สําหรับวิธีการกําจัด วัชพืชทุกสัปดาห์ อัตราเมล็ดพันธ์ุไม่มีผลต่อนํ้าหนักแห้งและพ้ืนที่ใบของต้นข้าว จะมีผลต่อต้นข้าวเมื่อข้าวมีอายุ นอ้ ยคอื 35 และ 56 วัน สมเกียรติและคณะ (2539) ศึกษาชนิดและปริมาณของวัชพืชที่สําคัญที่มีผลต่อผลผลิตข้าวไร่ พบว่า การมีวัชพืชในแปลงข้าวไร่ทําให้ผลผลิตลดลงร้อยละ 32-79 การกําจัดวัชพืชเพียงครั้งเดียวแล้วปล่อยให้มีวัชพืช เกิดข้ึนต่อไปทําให้ผลผลิตลดลงมากท่ีสุด วัชพืชใบแคบโดยเฉพาะหญ้าตีนกาจะระบาดในช่วงหลังปลูกข้าวไร่ถึง 4 สัปดาห์ ไพโรจน์ (2552) ศึกษาการใช้ฟางข้าวควบคุมความช้ืนในดิน การระบาดของวัชพืชและผลผลิตข้าวไร่ พบว่า การใช้ฟางข้าวอัตราที่สูงจะมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นในดินเฉล่ียสูงกว่าร้อยละ 3.1 นํ้าหนักแห้งของวัชพืช เฉล่ียตํ่ากว่า 57.13 กรัมต่อตารางเมตร คิดเป็นร้อยละ 87.5 จํานวนวัชพืชรวมตํ่ากว่า 164 ต้นต่อตารางเมตร คิดเปน็ รอ้ ยละ 63.1 จํานวนหญ้าแห้วหมูตํา่ กว่า 159 ตน้ ตอ่ ตารางเมตร คดิ เปน็ ร้อยละ 73.1 อาทิตย์และคณะ (2537) พบว่า ช่วงเวลาท่ีเหมาะสมในการกําจัดวัชพืชในข้าวไร่ ควรเร่ิมกําจัดตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังขา้ วงอกและกําจัดทกุ 2 สัปดาหไ์ ปจนถึง 6 สัปดาห์หลังข้าวงอก ก่อนการใสป่ ุ๋ยจะต้องพิจารณาวา่ ในแปลงข้าวหากมวี ชั พืชขึ้นอย่มู ากและอยู่ในระยะการเจริญเตบิ โตที่ยัง ดูดใช้ธาตุอาหารได้ดี จะต้องกําจัดวัชพืชก่อนการใส่ปุ๋ย หรือหากไม่กําจัดวัชพืชก็ไม่ควรใส่ปุ๋ยเพราะวัชพืชมี ความสามารถดูดใช้ปุ๋ยได้ดีกว่าข้าวหรืออาจเลื่อนเวลาใส่ปุ๋ยไปจนกว่าวัชพืชครบวงจรชีวิต (Lee and Moody, 1989) สารกําจัดวัชพืชที่ใช้ได้ผลดีในการปลูกข้าวไร่ ชนิดก่อนปลูกข้าว ได้แก่ Paraquat ชนิดใช้หลังปลูกข้าว ทนั ที ไดแ้ ก่ Bifenox, Oxadiazon และ Pendimethalin และประเภทหลังวัชพืชและข้าวงอกแล้ว ได้แก่ 2,4-D และ Propanil การเลือกใช้สารกําจัดวัชพืชในข้าวไร่จําเป็นต้องมีความเข้าใจและใช้ให้เหมาะสมทั้งรูปของสาร ชนดิ ของสาร อัตรา เวลาท่ีใช้ นาํ้ หรือความชน้ื ในดิน และการเลือกทาํ ลายของสาร (พรชยั , 2531) วราภรณ์ (2539) รายงานว่าจากการดําเนินงานโครงการพัฒนาข้าวในเขตเกษตรล้าหลัง พบว่า วัชพืช เป็นสาเหตุท่ีสําคัญยิ่งในการปลูกข้าวไร่และข้าวนาน้ําฝน ทําให้ผลผลิตข้าวลดลงถึง 30-100% จึงต้องให้ ความสําคัญกับการควบคุมวัชพืชในพ้ืนที่นี้ โดยเริ่มจากการคัดเลือกพันธ์ุข้าวที่แข่งขันกับวัชพืชได้ดี วิธีปลูกแบบ หยอดเป็นหลุมหรือโรยเป็นแถวช่วยอํานวยความสะดวกในการกําจัดวัชพืชด้วยมือ ซึ่งควรทํา 2-3 ครั้ง ที่ระยะ 15, 30 และ 45 วันหลงั ข้าวงอก การใชส้ ารกําจดั วชั พืชและการใส่ปุย๋ ควรพิจารณาให้เหมาะสมด้วย เทคโนโลยกี ารปลูกข้าวไรอ่ ย่างยั่งยนื | 87
สรปุ วัชพชื เปน็ ปญั หาสําคัญท่ีมีผลต่อผลผลิตข้าวไร่มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทําให้ผลผลิตข้าวไร่สูญเสียได้ ถงึ ร้อยละ 30-100 ในการปลกู ขา้ วไรข่ องกล่มุ ชาติพนั ธ์นุ อกจากจะให้ความสําคัญกบั การเลอื กใชพ้ นั ธุ์ข้าวแลว้ ยัง ต้องมีการกําจัดวัชพืชโดยใช้แรงงานคนทุกครั้งที่ปลูกข้าว 2-3 คร้ังต่อฤดูปลูกข้ึนอยู่กับความหนาแน่นของวัชพืช และเมื่อพื้นท่ีปลูกมีการสะสมเมล็ดและประชากรวัชพืชหนาแน่นมากแล้ว จะย้ายพื้นที่ปลูกไปยังแปลงใหม่ที่มี ปัญหาวชั พชื น้อย อยา่ งไรก็ตาม ในปัจจบุ ันนี้ ด้วยเงอ่ื นไขที่จะต้องปลูกข้าวไร่ซํ้าต่อเนื่องในพ้ืนที่เดิม การควบคุม วชั พืชในขา้ วไรจ่ งึ ย่ิงมีความสาํ คญั มากขนึ้ ไปอกี จากหลักการ คําแนะนํา ภมู ิปัญญาท้องถ่ินและผลงานวิจัยด้านวัชพืชในข้าวไร่ จึงแนะนําให้ใช้วิธีจัดการ วชั พืชในขา้ วไรแ่ บบผสมผสานและคดั เลือกวธิ กี ารท่เี หมาะสมกบั พื้นท่ีของตนเอง คือ 1. การเลอื กใชพ้ นั ธ์ขุ า้ วทงี่ อกและเจริญเติบโตในระยะแรกได้เร็ว แข่งขันกบั วัชพืชไดด้ ี 2. ใช้เมล็ดพนั ธุข์ า้ วท่ปี ราศจากเมล็ดหรือสว่ นขยายพันธขุ์ องวัชพืช 3. เตรียมแปลงปลูกข้าวโดยการกําจัดเศษวัชพืช และไถกลบเตรียมดินให้ข้าวงอกและเจริญเติบโตได้ดี และเร็วกวา่ วัชพชื และตอ้ งป้องกันวชั พชื ที่ตดิ ไปกบั เครอ่ื งจกั รกลเกษตรดว้ ย 4. เลอื กวิธีปลูกท่ีอํานวยความสะดวกในการกาํ จดั วชั พืช เชน่ หยอดเปน็ หลุม หรือ โรยเป็นแถว 5. ควรกาํ จัดวชั พชื กอ่ นการใสป่ ยุ๋ ทกุ คร้ัง หรือหากกําจดั วัชพืชไม่ทันกไ็ ม่ควรใส่ป๋ยุ ในครง้ั นน้ั 6. การกาํ จดั วัชพชื ด้วยมือ จอบหรอื เสยี ม ควรทํา 2-3 คร้ังข้ึนอยู่กับปริมาณวัชพืช ที่ระยะ 15, 30 และ 45 วนั หลงั ขา้ วงอก 7. การใช้สารกําจัดวัชพืช ชนิดก่อนปลูกข้าว ได้แก่ Paraquat ชนิดที่ใช้หลังปลูกข้าวทันที ได้แก่ Bifenox, Oxadiazon และ Pendimethalin และประเภทหลังวัชพืชและข้าวงอกแล้ว ได้แก่ 2,4-D และ Propanil ซึ่งการใช้สารกําจัดวัชพืชในข้าวไร่จําเป็นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนและใช้ให้เหมาะสมทั้งรูป ของสาร ชนดิ ของสาร อัตรา เวลาทใ่ี ช้ ความชนื้ ในดนิ และการเลอื กทาํ ลายของสาร 88 | เทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วไร่อย่างยง่ั ยืน
การจัดการก่อนและหลังเกบ็ เกยี่ ว การปลูกข้าวบนพื้นท่ีสูงโดยเฉพาะข้าวไร่มีข้อจํากัดเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลายประการ โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2554) ได้สรุปปัญหาหลักของผลผลิตข้าวไร่ตํ่า เกิดจาก สาเหตุสําคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ การปนกันของเมล็ดพันธ์ุข้าวต่างสายพันธ์ุท่ีใช้ในการปลูกทําให้ใน แปลงสุกแก่ไม่พร้อมกัน การขาดการบํารุงคุณภาพดินและขาดการจัดการเขตกรรมที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยบ่งชี้ภูมินิเวศน์เฉพาะ เช่น พันธุ์ข้าว ลักษณะพ้ืนท่ี ความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ศัตรูข้าว การ ดูแลรักษาต้ังแต่ปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว เก็บรักษา ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถิ่นของแต่ละกลุ่มชาติพันธ์ุ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อผลผลิตข้าวไร่ท่ีจะได้ท้ังสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกข้าวไร่ซ่ึงกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นท่ีสูง เน้นไว้เพื่อการบริโภคและทําพันธุ์เป็นหลัก การบริหารจัดการทุก ขนั้ ตอนจะเป็นตัวบ่งช้ขี องผลผลิต หากปฏบิ ตั ิไดถ้ ูกต้องเหมาะสม จะเปน็ หลักประกันได้อย่างหนึ่งว่าสามารถเพ่ิม ผลผลติ ต่อไรใ่ หส้ งู ขนึ้ และสามารถลดความสญู เสียทง้ั เชิงปรมิ าณและรกั ษาคุณภาพข้าวได้อย่างยั่งยืนในอนาคต โดยท่ัวไปการจัดการก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวมุ่งเน้นเพ่ือการป้องกันการสูญเสียเชิงปริมาณและเชิง คุณภาพไมใ่ หล้ ดลงกวา่ เดิมหรอื ลดลงน้อยทสี่ ุด การสญู เสียข้าวเชงิ ปรมิ าณคือการทําให้ผลผลิตหรือน้ําหนักข้าวที่ ควรจะไดล้ ดลง เนือ่ งจากการเก็บเก่ียวไม่ตรงช่วงเวลา การร่วงหล่นขณะเกบ็ เกย่ี ว การเก็บเก่ียวเร็วหรือช้าเกินไป เกบ็ เก่ียวไม่หมด การนวดที่ไดเ้ มลด็ ดีปนไปกบั เศษฟางมากเกนิ ไปรวมถงึ การถูกสัตว์ศัตรูทําลาย เป็นต้น ด้านการ สูญเสียเชิงคุณภาพ เช่น เปอร์เซ็นต์ข้าวเต็มเมล็ดและต้นข้าวลดลง การเกิดข้าวเมล็ดเหลือง มีเชื้อรา กลิ่นสาบ ข้าวสารมีสีคลํ้า หรือกรณีทําเมล็ดพันธ์ุ เช่น การเสื่อมความงอกเร็ว มีความงอกต่ํากว่ามาตรฐาน และความ แข็งแรงของเมล็ดลดลง เปน็ ต้น ซงึ่ ถา้ เกษตรกรหรือกล่มุ ชาติพันธม์ุ ีวธิ ีการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องจะทําให้ลดความ สญู เสียได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ด้วยความแตกต่างของแต่ละภูมินิเวศน์ อาจทําให้การปฏิบัติในแต่ละข้ันตอน ต้งั แต่ก่อนการเกบ็ เกีย่ วจนถึงการเกบ็ รกั ษาอาจเหมือน คล้ายคลึง หรอื แตกตา่ งกันได้ คาํ แนะนําท่วั ไป 1. การเก็บเกย่ี วและตากลดความชื้น เมือ่ ตน้ ข้าวในแปลงได้รับการปฏิบัติดูแลรักษาจนข้าวออกดอกมีการสะสมแป้งในเมล็ดจนถึงระยะสุกแก่ ทางสรีรวิทยา เมล็ดจะมีองค์ประกอบทุกอย่างสมบูรณ์ เช่น ขนาด การสะสมนํ้าหนักแห้ง สี ความช้ืน ความงอก ความมีชีวิต ความแข็งแรงตลอดจนโครงสร้างและส่วนประกอบทางชีวเคมีของเมล็ด การเก็บเกี่ยวในระยะ ดังกล่าวย่อมไดเ้ มล็ดข้าวท่ีมีคุณภาพดีท่ีสุด แต่ความช้ืนในเมล็ดยังคงสูงอยู่ คือประมาณ 28-33 เปอร์เซ็นต์ และ พบวา่ ขา้ วบางพนั ธเ์ุ มลด็ ยังสุกแกไ่ ม่ทั่วทงั้ รวง บรเิ วณโคนรวงยังมีข้าวเมล็ดเขียวอยู่บ้าง ต้องรอประมาณ 5-7 วัน เทคโนโลยีการปลกู ข้าวไร่อย่างย่ังยนื | 89
จึงเหมาะสมที่จะเก็บเก่ียว โดยในระยะนี้ความชื้นในเมล็ดข้าวจะอยู่ที่ประมาณ 22-25 เปอร์เซ็นต์ การนับวัน ออกดอกของข้าวยังมีความจําเป็นในข้าวทุกระบบนิเวศน์ กล่าวคือ การเก็บเก่ียวข้าวเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงและ เมลด็ มีคณุ ภาพดีท่ีสดุ ขา้ วในนาต้องมีการเจริญเติบโต ออกดอกและสกุ แก่สมํ่าเสมอ ภายหลงั การผสมเกสร ดอก ข้าวมีการสะสมน้ําหนักสูงสุดภายใน 3 สัปดาห์ หรือ 21 วัน และดอกข้าวท้ังรวงใช้เวลาประมาณ 7 วันกว่าจะ ผสมเกสรทว่ั ถึง ทัง้ นแี้ ลว้ แต่พันธ์ุ เพราะฉะนั้นข้าวจึงใช้เวลาประมาณ 28-30 วัน จึงจะสุกแก่ท้ังหมด และพร้อม สาํ หรับการเกบ็ เกี่ยว 2. การนวดและทําความสะอาด การนวดและทําความสะอาดข้าวเป็นขั้นตอนหน่ึงหลังการเก็บเก่ียวข้าวท่ีทําให้เมล็ดหลุดออกจากระแง้ และรวง การนวดข้าวท่ีดีต้องไม่ทําให้เมล็ดข้าวแตกร้าวหรือหัก เมล็ดข้าวที่นวดได้ต้องสะอาด สิ่งเจือปน เช่น เศษระแง้ ใบข้าว ฟาง ดิน หิน หรือเมล็ดวัชพืชเจือปนเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เป็นต้น การนวดข้าวมีหลายวิธี เช่น การใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์ รถไถ รถแทรกเตอร์ เครื่องนวดและเคร่ืองเกี่ยวนวด แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสีย และ ขอ้ ควรระวงั แตกตา่ งกนั ไป ผู้ใชต้ ้องศึกษาและเรียนรู้ใหเ้ ข้าใจ การใช้แต่ละวธิ จี ึงจะมีประสิทธภิ าพ ลดการสูญเสีย ของปรมิ าณขา้ วและไมใ่ ห้มผี ลกระทบตอ่ คุณภาพข้าวท้ังเปอรเ์ ซน็ ต์ขา้ วเตม็ เมลด็ และความงอกของเมลด็ พันธ์ุ 3. การเกบ็ รกั ษา การเก็บรักษาเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนท่ีจะนําไปแปรรูปหรือทําเป็นเมล็ดพันธ์ุปลูกในปีต่อไป การเก็บ รักษาที่ดีเป็นการป้องกันความสูญเสียเชิงปริมาณและรักษาคุณภาพข้าวไม่ให้ลดลงมากกว่าเดิม หากเก็บในยุ้ง ข้าว ควรเป็นแบบยกพ้ืนสูงพอประมาณและภายในควรมีแคร่สําหรับรองกระสอบข้าวเพื่อให้ระบายอากาศได้ดี ไพฑูรย์ (2536) ได้สรุปสาเหตุสําคัญที่เป็นสาเหตุทําให้เกิดความสูญเสียระหว่างการเก็บรักษา ประกอบด้วยข้าว ที่นําไปเก็บ การปฏิบัติดูแลในขณะเก็บรักษา สภาพโรงเรือนหรือภาชนะที่เก็บ สภาพภูมิอากาศในโรงเก็บและ แมลงสัตว์ศัตรูรวมทั้งจุลินทรีย์ต่าง ๆ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพข้าวท่ีเก็บรักษาทั้งส้ิน นอกจากนี้บนพ้ืนที่สูงมีความแปรปรวนของอุณหภูมิและความช้ืนสัมพัทธ์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งท่ีกําหนดความ ยาวนานในการเกบ็ รกั ษาข้าวอกี ด้วย ภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่น 1. การเกบ็ เก่ียวและตากลดความช้นื ภายหลังการสังเกตหรือนับจํานวนวันหลังการออกดอกของข้าวร่วมกับปัจจัยตามประสบการณ์ของภูมิ ปัญญาท้องถ่ินเพื่อกําหนดวันเก็บเก่ียวแล้วจะลงมือเก็บเกี่ยวทันที โดยใช้แรงงานในครอบครัวเป็นหลัก อาจจะมี การแลกเปล่ียนแรงงานกันบ้างแต่ไม่พบบ่อยนัก เนื่องจากพ้ืนที่ปลูกข้าวไร่ของแต่ละครัวเรือนมีจํานวนจํากัด การเก็บเก่ียวข้าวไร่ของกลุ่มชาติพันธ์ุส่วนใหญ่จะเริ่มจากบริเวณท่ีสูงของไร่ข้าวก่อน แล้วค่อยเล่ือนลงมาเป็นสูง ปานกลางและระดับล่างสุดของพื้นที่ เหตุผลเพราะกลุ่มชาติพันธ์ุนิยมปลูกข้าวหลายพันธุ์ในแปลงเดียวกัน แต่จะ 90 | เทคโนโลยีการปลูกข้าวไรอ่ ย่างยงั่ ยนื
แยกพันธุ์ข้าวตามอายุ โดยข้าวอายุเบาจะปลูกบนท่ีสูง ข้าวท่ีอายุหนักปลูกบริเวณที่ต่ํา ท้ังน้ีเพื่อป้องกันความ เสี่ยงของการได้ผลผลิตจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ฝนแล้ง เป็นต้น การเก็บเก่ียวข้าวไร่ของกลุ่มชาติพันธ์ุจึงเร่ิมจาก ขา้ วทอี่ ายเุ บาบนที่ดอนก่อน วธิ ีการเก่ยี วขา้ วไร่ทุกวิธจี ะมีผลถงึ การตากเพ่ือลดความชืน้ ทง้ั จากรวงและการนวด ซ่ึงแบ่งได้ 3 วิธี คอื 1. การเกี่ยวพันกํา เป็นการเกี่ยวข้าวด้วยเคียวให้ได้กําใหญ่พอประมาณแล้วใช้ซังหรือใบข้าวท่ีติดกับต้นมา มัดเป็นฟ่อนเล็ก ๆ (บางรายอาจใช้ตอกไม้ไผ่ขนาด 1 ปล้องแทน) แล้วตากไว้บนตอซัง เรียกการตาก แบบน้วี า่ “ตากสุ่มซงั ” ท้ิงไวป้ ระมาณ 3-4 วัน จึงเกบ็ รวบรวมฟอ่ นขา้ วมาไว้เพือ่ รอการนวด 2. การเก่ียววางราย คือการเก่ียวข้าวด้วยเคียวเม่ือได้เต็มกํามือแล้วจะวางไว้บนตอซังหรือบนต้นข้าว โดย เกลีย่ ให้บางเพ่ือให้รวงข้าวแห้งได้เร็วยิ่งขึ้น แต่การตากดังกล่าวมีข้อควรระวังคือ จะต้องไม่ให้ข้าวสัมผัส กับพ้ืนดิน เพราะจะทําให้รวงข้าวถูกความชื้นหรือหากมีฝนตกช่วงดังกล่าวเมล็ดข้าวจะดูดความชื้นกลับ เข้าไปในเมล็ดซ้ํา ทําให้เมล็ดเกิดรอยร้าว เม่ือนําไปสีจะได้ข้าวหักมากกว่าปกติ การตากแบบวางรายจะ ใช้เวลาประมาณ 2-7 วัน (รัฐพงศ์, 2554) ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศเป็นหลัก หลังจากนั้น เกษตรกรจะทําลานสําหรับกองข้าวและนวด โดยตัดต้นข้าวในแปลงเป็นวัสดุปูรองพ้ืนใช้กระสอบปุ๋ยผ่า ตามแนวยาวปูทับอีกหนึ่งชั้น หลังจากตากข้าวทั้ง 2 วิธีแล้วจะรวบรวมข้าวไว้เป็นฟ่อนใหญ่พอประมาณ นําฟ่อนข้าวมาวางให้เป็นรูปวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2.0 เมตร โดยให้ปลายรวงข้าววน เข้าหากลางวงกลม แต่บริเวณศูนย์กลางจะเปิดเป็นช่องว่างโล่งไว้เพ่ือระบายความช้ืน วางเรียงฟ่อนข้าว ทีละช้ันจนความสูงประมาณ 1 เมตร จึงนําฟ่อนข้าวค่อย ๆ เรียงปิดช่องว่างดังกล่าว จนได้กองข้าวที่มี รูปทรงคล้ายกรวยควํ่า หากไม่รีบนวดจะนําพลาสติกปิดหรือคลุมท่ีรวงเพื่อป้องกัน นก หนูทําลายและ ป้องกนั ฝนหากมีการตกหลงฤดู สามารถกองไว้ได้นานวนั เพอ่ื รอการนวด 3. การเก่ียวเป็นรวง โดยใช้แกระหรือหวู แม้จะมีการปฏิบัติในบางกลุ่มชาติพันธ์ุและบางพ้ืนที่เน่ืองจากทํา ได้ช้า เหมาะสําหรับพ้ืนท่ีที่มีการปลูกข้าวน้อย รวงข้าวท่ีได้จะได้เฉพาะรวงที่ดี ไม่มีข้าวที่เป็นโรค เม่ือ เกี่ยวเสร็จแล้วจะนํารวงข้าวมัดเป็นกํา นําไปตากลดความชื้นบนราวอาจทําด้วยไม้ไผ่หรือวัสดุอื่นซ่ึงทํา เป็นโครงอย่างง่าย ๆ ตากเรียงเป็นช้ัน ๆ สูงพอประมาณ เมื่อถึงช้ันบนสุดจะใช้พลาสติกวางปิดบนมัด รวงข้าว ป้องกันความเสียหายจากกรณีต่าง ๆ เช่น นก หนูหรือแม้กระทั่งฝน แต่มีข้อควรระวังคือพันธ์ุ ข้าวท่ีปลูกเมล็ดจะต้องไม่ร่วงหล่นง่ายและต้องเก็บเกี่ยวในระยะที่เหมาะสม จึงจะสามารถลดความ สูญเสียได้ นอกจากน้ียังพบว่าบางครัวเรือนที่ต้องการข้าวบริโภคเนื่องจากข้าวไม่พอกินจะลงมือเก็บ เกี่ยวและนวดทนั ที แล้วจึงนาํ เมล็ดข้าวไปตากแดดเพอ่ื ลดความชน้ื หลงั จากน้ันจงึ นาํ ไปสี เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไรอ่ ย่างยั่งยืน | 91
ขา้ วไร่ระยะสุกแก่ การเกบ็ เก่ยี วขา้ วไรด่ ว้ ยเคยี ว การตากแบบวางราย การเกบ็ เกี่ยวขา้ วไร่ดว้ ยแกระทลี ะรวง ขา้ วทเี่ ก่ียวนํามารวมมดั เปน็ กาํ เพ่ือนาํ ไปตาก การตากลดความชืน้ ของกล่มุ ชาตพิ นั ธเ์ุ ม่ยี น การเกบ็ เก่ยี วและตากลดความชนื้ 92 | เทคโนโลยีการปลูกขา้ วไรอ่ ย่างยง่ั ยนื
2. การนวดและทําความสะอาด หลังจากเก็บเกี่ยว ตากข้าวในนาและรวมกองแล้ว กลุ่มชาติพันธ์ุบนท่ีสูงจะเริ่มนวดข้าว โดยมีวิธีการคือ หากเป็นการเกี่ยวแบบพันกํา หลังจากตากสุ่มซังแล้ว เกษตรกรจะขนย้ายกําข้าวท่ีเป็นฟ่อนขนาดพอเหมาะมาไว้ บนวสั ดุ เชน่ ผ้าฟางพลาสติก แล้วใช้แรงงานคนกําฟ่อนข้าวฟาดบนวัสดุนั้น หรือบางแห่งอาจมีไม้ไว้เพื่อฟาดรวง ข้าวให้เมล็ดหล่นเพราะถูกแรงกระทบได้เร็วและมากข้ึน เม่ือได้ปริมาณข้าวพอสมควรจะมีการทําความสะอาด เมล็ดข้าวโดยการปัด กวาด ส่ิงเจือปนอย่างลวก ๆ ซักคร้ังหนึ่ง จนนวดแล้วเสร็จจึงจะรวมกองเมล็ดข้าวแล้วทํา ความสะอาดอย่างพิถีพิถันเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนการเก็บเกี่ยวแบบวางรายเป็นการรวบรวมต้นข้าวที่ตากไว้ให้เป็น ฟ่อนขนาดปานกลาง กองรวมไว้ดังที่กล่าวมาแล้ว นวดโดยการฟาดข้าวบนวัสดุเช่นเดียวกับวิธีแรก แต่เน่ืองจาก ฟ่อนข้าวมีขนาดใหญ่กว่า กลุ่มชาติพันธุ์จะใช้เครื่องทุ่นแรงเพื่อช่วยฟาด เช่น ใช้ท่อนไม้ท่ีมีลักษณะเหมือนไม้ตี กอลฟ์ แต่ส่วนหวั จะมีขนาดยาว ฟาดบนฟอ่ นข้าวท่ีนํามาวางไว้บนวัสดุคร้ังละไม่มาก หรือบางคนจะใช้ไม้เนื้อแข็ง ทําเป็นโครงสร้างรูปสามเหล่ียมหน้าจ่ัว โดยมีด้านที่สําหรับฟาดใช้ไม้คล้ายแผ่นกระดานตีเว้นช่องว่างเล็กน้อยไว้ ด้านหน้าแล้วใช้มือกําฟ่อนข้าวทีละฟ่อนฟาดลงบนแผ่นไม้นั้น เมล็ดข้าวก็จะร่วงหล่นลง การทําความสะอาด เชน่ เดยี วกับวิธแี รก โดยเมื่อนวดเสรจ็ ทง้ั 2 วธิ แี ล้ว ขน้ั ตอนสุดทา้ ยของการทาํ ความสะอาดจะใช้แรงลมแยกเมล็ด ขา้ วลบี และสิ่งเจือปนออกจากเมล็ดดี โดยการสาดข้าวให้สูงแล้วใช้วีพัด หรือการยืนโปรยเมล็ดข้าวครั้งละไม่มาก ให้หล่นจากมือ หรือแม้แต่ปัจจุบันจะมีการดัดแปลงเคร่ืองตัดหญ้าชนิดสะพายแต่ถอดใบมีดออก แล้วนําใบพัด ของพดั ลมติดแทน เม่อื สตาร์ทเคร่อื งใบพดั กจ็ ะทาํ งาน ซ่ึงเป็นการประยุกต์ใช้ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง นอกจากการนวดทั้ง 2 วิธีแล้ว บางแห่งเกษตรกรเริ่มใช้เครื่องนวดข้าวแบบท่ีใช้กันในพ้ืนราบ แต่การคมนาคมต้องค่อนข้างสะดวก เน่ืองจากเครอื่ งจกั รมขี นาดใหญ่ รวมถงึ ข้าวท่ีจะนวดตอ้ งมปี ริมาณพอสมควรจึงจะคุ้มทุน เทคโนโลยกี ารปลูกขา้ วไร่อย่างยั่งยืน | 93
แครไ่ มไ้ ผแ่ บบสี่ขา แคร่ไม้ไผแ่ บบสองขา ไม้กระดาน พน้ื ปดู ว้ ยผา้ พลาสตกิ อุปกรณก์ ารนวดขา้ วของกลุ่มชาติพนั ธุ์ 94 | เทคโนโลยกี ารปลูกขา้ วไรอ่ ย่างยั่งยืน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122