Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมจริยาการประพฤติธรรม...อดิศักดิ์ ทองบุญ เปรียญ แต่ง

ธรรมจริยาการประพฤติธรรม...อดิศักดิ์ ทองบุญ เปรียญ แต่ง

Published by E-book Prasamut chedi District Public Library, 2020-01-08 21:17:31

Description: อดิศักดิ์ ทองบุญ เปรียญ แต่ง
สำนักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
หนังสือ,เอกสาร,บทความนี้นำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเท่านั้น

Search

Read the Text Version

บท๒ท่ี ธรรมจริยา ทางวาจา วนั น้ีมาแตเ่ ชา้ เชยี วรึ ค่ะหลวงปู่ วันรุ่งข้ึน ด.ญ.ฉันทนา นาครธรรม ไปถึงวัดเร็วกว่าปรกติ เล็กน้อย เพราะอยากฟังเรื่องการประพฤติธรรมต่อ แต่ขณะน้ัน พระอาจารย์คงกำ�ลังมีแขกอยู่ เธอจึงหลบไปช่วยเขาจัดเตรียม อาหารทห่ี อฉนั จนแขกนน้ั กลบั ไปแลว้ เธอจงึ เขา้ ไปกราบและหลงั จาก ได้สนทนากันด้วยเร่ืองทั่ว ๆ ไปพอสมควรแล้ว พระอาจารย์คงได้ ถามข้ึนว่า “ลูกนาบันทึกธรรมจริยาทางกายไว้เรียบร้อยแล้วหรือ ลกู ” 49

“เรยี บรอ้ ยแลว้ ค่ะหลวงปู”่ “ดีมาก ผู้เรียนที่ดีจะมีคุณสมบัติ ๔ อย่าง คือ (๑) สุ หมายถึงฟงั (๒) จิ หมายถึงคิด (๓) ปุ หมายถงึ ถาม และ (๔) ลิ หมายถงึ เขียน อธบิ ายว่าเมอ่ื ถึงคราวเรยี น วันนหี้ ลวงปู่ จะอธบิ ายเรอ่ื งธรรมจริยา ทางวาจาให้ฟังนะ จะตอ้ งฟงั ดว้ ยความตงั้ ใจ ฟงั ไปและคิดไป เม่ือสงสัยส่งิ ใดหรือ ไม่เข้าใจสง่ิ ใดกต็ อ้ งถาม แล้วบันทกึ เรอื่ งท่ีฟงั มา ทงั้ หมดตามความเข้าใจของตน อย่างที่ลูกนาทำ�น้ีแหละลูก การเรียนจึงจะได้ผลดี เอาละ วันน้ีหลวงปู่จะอธิบายธรรมจริยาข้อต่อไป คือข้อธรรมจริยาทาง วาจา ลกู นารูไ้ หมว่า ธรรมจริยาทางวาจานี้น่ะ คืออะไร” “คอื การประพฤตธิ รรมทางวาจาใชไ่ หมคะ” ผเู้ ปน็ หลานสาว ตอบอยา่ งไมแ่ นใ่ จ “ใช่ แต่ขอถามต่อไปว่า การประพฤติธรรมทางวาจาคือ ประพฤติอยา่ งไร” “ไมท่ ราบค่ะ” ฉันทนาตอบทันทีโดยไมต่ อ้ งคิด “ลกู นาคดิ ถามตัวเองมาแล้วตั้งแต่เมื่อบันทึกเร่ืองธรรมจริยาทางกายเสร็จค่ะ 50

แต่ยังหาคำ�ตอบไม่ได้ จึงต้องมาขอปัญญาบารมีของหลวงปู่เป็น ทีพ่ ่ึงนไี่ งคะ” พระอาจารยค์ งหวั เราะชอบใจในส�ำ นวนใหมข่ องหลานสาว นึกชมอยู่ในใจว่าฉลาดพูดเหมือนพ่อไม่มีผิด แล้วท่านอธิบายว่า “คำ�วา่ วาจาแปลว่า ค�ำ พูด ไงละ่ ลูก การประพฤตธิ รรมทางวาจา ก็คือการประพฤติธรรมด้วยคำ�พูด จำ�ไว้นะลูกคำ�พูดของคนเรา นนี่ ะสำ�คญั นกั เปน็ เครื่องมอื ท�ำ มาหากนิ กไ็ ด้ ใช้เปน็ อาวุธประหัต- ประหารกันก็ได้ ใช้เปน็ เสน่ห์ให้เขารักตนกไ็ ด้ ใหเ้ ขาเกลยี ดกันก็ได้ ฉะนั้นการประพฤติธรรมด้วยคำ�พูดนี้จึงนับว่ามีประโยชน์ มาก ควรศึกษาให้เข้าใจดีว่าประพฤติธรรมด้วยคำ�พูดนี้ประพฤติ อย่างไร” “นัน่ ซคิ ะ ประพฤติอย่างไรคะ” 51

“ลูกนาลองนึกทบทวนเร่ืองการประพฤติธรรมทางกาย เมือ่ วานนีด้ เู พอ่ื เปรียบเทยี บกนั ก็ได้ การประพฤติธรรม ไม่ฆ่า ทางกายคือ ไม่ลักขโมย การไม่ท�ำ ชั่ว ดว้ ยก�ำ ลังกาย ไมล่ ่วงเกินลูกเมียเขา ๓ อย่าง ได้แก่ ไม่ฆ่า ไม่ลกั ขโมย และ ไม่ล่วงเกินลูกเขาเมียเขา ดังนั้นการประพฤติธรรมด้วยคำ�พูดก็คือ การไม่ทำ�ช่ัวด้วย คำ�พูด แต่พูดอย่างน้ีก็ยังฟังยากอยู่ พูดให้ฟังกันง่าย ๆ ก็คือการ ไม่พูดชั่ว และการพูดดีทั้ง ๒ อย่างนี้รวมเรียกว่า ธรรมจริยาทาง วาจา เขา้ ใจไหมลกู ” “พูดอย่างไรคะ เรียกว่าพูดช่ัว และพดู ดี” “ลูกนาถามดีมาก ที่ว่าพูดช่ัว คือ ใช้คำ�พูดช่ัว พูดดีคือใช้ คำ�พูดดี คำ�พูดช่วั มอี ะไรบา้ ง คำ�พูดดีมีอะไรบา้ ง เราจะได้พดู กนั ให้ ละเอยี ดตามลำ�ดับนะลูก” “ดีค่ะหลวงปู่ คำ�พูดชั่ว ได้แก่ คำ�เท็จ หรือท่ีคำ�พระว่า มุสาวาท นนั่ ใชไ่ หมคะ” 52

“ใช่ลูก แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น พระพุทธเจ้าของเราทรงแบ่ง คำ�ช่วั ออกเปน็ ๔ ชนิด คือ ๑. มสุ าวาจา = ค�ำ เท็จ ๒. ปิสณุ วาจา = ค�ำ ส่อเสยี ด ๓. ผรุสวาจา = ค�ำ หยาบ ๔. สัมผปั ปลาปะ = ค�ำ เพอ้ เจอ้ ลูกนาลองสังเกตดูเถอะว่าทำ�ไมจึงเรียกคำ�เหล่าน้ีว่า คำ�ช่ัว หรอื คำ�เสีย คำ�ไม่ดี หลวงปจู่ ะอธบิ ายใหฟ้ งั แต่ละชนดิ คำ�เท็จ คือ ค�ำ ไม่จรงิ คำ�ปด โกหก หลอกลวง เกดิ ขึ้นด้วย ความจงใจของผพู้ ดู เพอ่ื จะใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจคลาดเคลอ่ื นจากความจรงิ อยา่ งคำ�พดู ของคนทม่ี าหาหลวงปู่เมอื่ สกั ครนู่ ”ี้ 53

“เป็นอยา่ งไรคะ” ฉันทนาซกั ทนั ที “คนน้ี หลวงปรู่ มู้ านานแลว้ วา่ เปน็ คนโกหกหลอกลวงเขากนิ ทเ่ี รยี กว่านักต้มมนษุ ย์นัน่ แหละ เมอื่ ปกี ่อนเขามาบอกกับนายชติ ว่า ลูกของลงุ ฝากใหฉ้ ัน มาเอาเงินท่ีลุงน่ะ เขาเพิ่งกลบั จากกรงุ เทพฯ นายชยั ลกู ของนายชติ ทก่ี �ำ ลังเรยี นหนงั สอื อยูท่ น่ี ่นั ส่ังมาว่าตอ้ งการเงนิ ๕,๐๐๐ บาท เป็นคา่ เรียน คา่ หนงั สอื และคา่ เครอ่ื งแตง่ กาย ขอใหส้ ่งไปด่วน และบอกวา่ หากหาเงนิ ไดท้ นั ใน ๒-๓ วนั น้ี ตนจะน�ำ ไปใหเ้ อง เพราะก�ำ ลงั จะเดนิ ทางเขา้ กรงุ เทพฯ อกี สบายแลว้ เรา ซ่ึงนายชิตกห็ ลงเช่อื เงินเยอะแยะเลย หาเงนิ ใหล้ กู จนครบทเ่ี ขาตอ้ งการ และฝากกบั ชายผู้นไ้ี ป แต.่ ..เปล่าเลย นายชัยลกู ชายนายชติ ไม่ได้สั่งมา และชายผ้นู ี้ ก็ไม่ได้น�ำ เงินจ�ำ นวนนน้ั ไปใหน้ ายชัยแตป่ ระการใด ...นีแ่ หละคำ�เท็จ 54

หลังจากน้ันหลวงปู่ก็ได้ยินว่าเขาไปเที่ยวโกหกใครต่อใคร อีกหลายราย ทำ�ให้เสียทรัพย์บ้าง เสียเวลาบ้าง เสียเกียรติบ้าง แล้วก็หายหนา้ ไปนาน ผมจะมานมิ นตพ์ ระ วันน้ีเขามานิมนตพ์ ระ ไปฉนั เพลครบั ไปสวดมนต์ฉันเพล ท่บี า้ นผู้ใหญจ่ ันท์ บ้านดอนรักโน้น บอกว่านิมนต์ พระผ้ใู หญ่ ๆ หลายวดั จงึ ตอ้ งการของใชด้ ี ๆ ไปใชใ้ นงานดว้ ย เปน็ ต้นว่า พระพุทธรปู เกา่ ๆ ขนาดใหญพ่ อสมควร พรมปูพื้นอยา่ งดี อาสนะและ หมอนพิงอย่างดี ถว้ ยชาอยา่ งดี 55

หลวงปบู่ อกใหเ้ ขานง่ั คอยสกั ครจู่ ะจดั การให้ แตไ่ มใ่ ชจ่ ดั การ ใหเ้ ขายืมสิง่ ของดงั กลา่ วนะลกู คอื หลวงปู่เรียกเดก็ มากระซบิ ให้ไป ตามตัวผู้ใหญ่บา้ นจันทม์ าโดยดว่ น และแลว้ ผใู้ หญ่บ้านจันท์ ก็ได้จับตวั ชายผู้นนั้ ไปมอบให้ตำ�รวจ สอบสวนในขอ้ หา ทจุ รติ มจิ ฉาชีพ หลอกต้มเขากนิ ตอ่ ไปแล้ว” “ท�ำ ไมหลวงป่จู งึ ทราบวา่ เขาพูดเทจ็ ล่ะคะ” “เพราะเขาพูดเท็จมาแล้วหลายครั้งหลายหน เรียกว่าเป็น นิสัยก็ได้ เขาเคยใช้เล่ห์อุบายทำ�นองนี้หลอกเอาของวัดอ่ืน ๆ ไป ขายกินเสียหลายวัดแล้ว คร้ังนี้จึงแน่ใจว่าเขาต้องมาในรูปเดิม จึง ให้ไปตามผู้ใหญ่บ้านจันท์มาสอบถาม พอเห็นผู้ใหญ่บ้านจันท์มา เขาทำ�ท่าจะลากลับ แต่หลวงปู่ก็รู้ทันกล่าวห้ามไว้ ในท่ีสุดความ จึงปรากฏว่า ผู้ใหญ่บ้านจันท์ไม่มีงานเล้ียงพระอะไรเลย จึงต้อง จับตัวผู้แอบอ้างน้ันไป จงจำ�ไว้นะลูก คนท่ีพูดเท็จได้ครั้งหนึ่งแล้ว จะตอ้ งพูดอย่างนนั้ อีก การพดู เทจ็ ทุกครง้ั ย่อมท�ำ ลายความจรงิ ใจ 56

ของตนเองลงไปทุกครั้ง เพราะตนรู้นี่นะว่าตนกำ�ลังพูดเท็จ เมื่อ พดู เทจ็ จนเปน็ นสิ ยั กแ็ ปลวา่ ความจรงิ ใจหรอื ความจรงิ ในใจของเขา ถกู ท�ำ ลายลงไปหมดแลว้ เขาจะไมม่ คี วามจรงิ ใจใหใ้ ครอกี แลว้ ไมว่ า่ กับพระกับเจ้าแหละลูก พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า คนชอบพูดเท็จ ท่ีจะไม่พึงทำ�ความช่ัวไม่มี๒ ซึ่งหมายความว่า คนที่พูดเท็จจนติด เป็นนิสัยน้ันเป็นคนใฝ่ตำ่� ย่อมจะทำ�ช่ัวได้ทุกชนิด ที่จะหันมาทำ�ดี โดยเจตนาบริสทุ ธ์ินั้นไม่มเี สียละ จริง โกหก ลูกนารไู้ หมวา่ ความจรงิ ใจ หรือความจรงิ ในใจคนน้แี หละ ลูกที่ทำ�ให้คนพูดดี พูดคำ�จริงออกมา เม่ือไม่มีความจริงใจเสียแล้ว ค�ำ พดู จรงิ จะเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร ฉะนน้ั ค�ำ พดู เทจ็ นจ้ี งึ ท�ำ ลายความจรงิ ๒ บาลวี า่ นตถฺ ิ อกรยิ ํ ปาปํ มสุ าวาทสิ สฺ ชนตฺ โุ น 57

ในใจของผพู้ ดู อนง่ึ ค�ำ เทจ็ ใคร ๆ กร็ วู้ า่ เปน็ ค�ำ ไมจ่ รงิ จงึ ไมม่ ใี ครเชอ่ื ถอื ผู้พูดคำ�เท็จจึงไม่มีใครเชื่อน่ีคือผลเสียของคำ�เท็จท่ีมีแก่ผู้พูดเอง นอกจากน้ี ยงั ใหผ้ ลเสยี แกผ่ ฟู้ งั คอื ท�ำ ใหเ้ สยี ทรพั ย์ เสยี เกยี รติ หรอื เสียเวลา เปน็ ต้น ฉะน้ัน ค�ำ เท็จ จึงเปน็ คำ�ชั่ว ค�ำ เสีย เพราะท�ำ ให้คนพดู เป็นคนชัว่ คนเสยี ไม่มีใครเช่ือถือ และท�ำ ให้คนฟงั เสยี ผล เสียประโยชนด์ ้วย ลูกนาเขา้ ใจไหม” “เขา้ ใจดคี ะ่ หลวงปู่ ขอใหห้ ลวงปอู่ ธบิ ายค�ำ ชว่ั ค�ำ ท่ี ๒ ตอ่ ไป เถิดคะ่ ” “ค�ำ ชว่ั ค�ำ ท่ี ๒ คอื ค�ำ สอ่ เสยี ด ลกั ษณะของค�ำ นท้ี เ่ี หน็ ไดช้ ดั คือ เก็บความข้างน้ีนำ�ไปบอกข้างโน้น หมายความว่าตนได้ยิน คนหนง่ึ นนิ ทาวา่ รา้ ยอกี คนหนง่ึ แลว้ น�ำ ความนน้ั ไปบอกคนทถ่ี กู นนิ ทา โดยมเี จตนา ๒ อยา่ ง อย่างใดอย่างหนึ่ง คอื ๑. มุง่ ให้เขาแตกกัน ๒. มงุ่ ใหเ้ ขารกั ตน หรือเอาหนา้ ” 58

“คำ�ว่ายุยงละ่ คะหลวงปู่ ต่างกันหรือไม่กบั ค�ำ สอ่ เสยี ดน้ี” “ยุยงก็เป็นคำ�พวกเดียวกันกับส่อเสียดนี้แหละ เกิดขึ้น จากเจตนา ๒ อยา่ งนี้เหมือนกนั เปน็ คำ�พดู ของคนประจบสอพลอ เจ้านั่นมันบอกว่า ลักษณะของค�ำ ยุยง นายไม่เอาไหน สมู้ นั ไมไ่ ด้เลย คอื ช่วยเขากระพือ แทรกแซงท�ำ ให้ เรอื่ งรา้ ยแรงขน้ึ เหมอื นคนทีท่ �ำ ใหไ้ ฟ ทกี่ �ำ ลงั คอุ ย่ลู กุ ฮอื ขึ้น นัน่ แหละลกู ขอยกตัวอย่างให้ฟัง คณุ นายขา้ ราชการผู้ใหญค่ นหน่ึง มคี นชอบไปประจบสอพลอมาก เพอื่ จะเขา้ พบขา้ ราชการผู้นัน้ คณุ นายคนนก้ี ็ชอบ คนประเภทอย่างนีอ้ ยู่ดว้ ย ใครว่ารา้ ยอะไรตวั กม็ ักไม่ชอบ “แหม ! แม่คนนั้นพดู ดูหมิ่นฉนั ...” ทา่ นบ่นกบั คนทเ่ี ขา้ พบ คนหน่งึ 59

“วุ้ย ! คนคนน้ัน แม่คนนัน้ ชอบนินทา ใชไ้ ม่ไดเ้ จา้ คะ่ คณุ นายใหค้ นอนื่ อีฉนั ได้ยินเขานินทา ฟังบ่อย ๆ ค่ะ คุณนายเสมอ ๆ แม้ท่าน (ขา้ ราชการผู้นนั้ ) กโ็ ดนดว้ ยเจ้าคะ่ ” ยุส่ง “น่านนะซี ชอบวางทา่ ยโสเหลอื เกนิ ” คณุ นายบ่นต่อ “แหม ! เวลาพูดง้ีดัดจริตทำ�ปากเบ้ปากแบน น่าเกล๊ียด น่าเกลยี ด” ยุยงซำ�้ ลงไป “เห็นจะต้องว่าใหเ้ จ็บเสียบ้าง” คณุ นายว่า “วุ้ย ! เพียงแตว่ า่ น้อยไปเจ้าคะ่ คนยงั งต้ี อ้ ง...ตบเลย” นแ่ี หละลูก ค�ำ ยุยง ปญั หาท่ีว่าท�ำ ไมจึงเรียกคำ�ส่อเสียด ค�ำ ยุยงวา่ ค�ำ ชัว่ ค�ำ เสยี กค็ งตอบไมย่ ากใช่ไหมลูก” “ลูกนาเข้าใจท่ีหลวงปู่พูดมาค่ะ แต่ยังหาคำ�พูดให้ถูกต้อง ไมไ่ ด้” “ถา้ อยา่ งนน้ั หลวงปจู่ ะบอกให้ คอื ในฝา่ ยผพู้ ดู ค�ำ สอ่ เสยี ด คำ�ยุยง จะทำ�ลายความเป็นสุภาพชน ทำ�ให้เป็นคนไว้ใจไม่ได้ ในฝ่ายผู้ฟัง คำ�นี้จะทำ�ให้เกิดความแตกแยก แตกความสามัคคี ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในสังคม สรุปว่า ให้โทษท้ังตนและผู้อื่น แหละลกู จงึ จดั เปน็ ค�ำ ชว่ั ค�ำ เสยี คอื ท�ำ ใหค้ นพดู เปน็ คนชว่ั คนเสยี ทีนเ้ี ข้าใจไหม” 60

“ค่ะหลวงปู่ ค�ำ ช่ัวค�ำ ท่ี ๓ ละคะ” “ค�ำ หยาบ คอื ค�ำ พดู ของคนใจหยาบ ลกู นาจ�ำ ไวว้ า่ ความคดิ ของคนเรามีอยู่ ๒ ประเภทคือ ๑. คิดรอบคอบสุขุมมุ่งดีหวังประโยชน์ผู้อื่น คำ�พูดและ กริ ิยาท่าทางของผู้คดิ เช่นนี้จะออกมาไม่หยาบ ๒. คำ�หยาบมุ่งทำ�ลายและเบียดเบียนคนอ่ืน คำ�พูด และ กริ ยิ าทา่ ทางคนใจหยาบอยา่ งนจ้ี ะออกมาเปน็ ค�ำ หยาบ กริ ยิ าหยาบ คำ�หยาบก็เหมือนกับของหยาบทั่วไป คือเข้าใกล้อะไรเป็นทำ�ลาย สิ่งนั้น คำ�หยาบนั้นแสดงออกมาในรูปลักษณะต่าง ๆ เช่น คำ�ด่า คำ�ประชด คำ�กระทบกระเทียบเปรียบเปรย คำ�แดกดัน คำ�สบถ ตลอดจนคำ�หยาบโลน ค�ำ อาฆาต คำ�ต�ำ่ และคำ�สแลงอน่ื ๆ เหน็ จะ ไมต่ ้องอธบิ ายรายละเอียดของคำ�เหลา่ นี้นะลูก” 61

“คะ่ หลวงปู่ ความชว่ั ของค�ำ หยาบกค็ งเปน็ เพราะมนั ใหโ้ ทษ ทั้งผู้พดู และผฟู้ ังนะคะ” “ใช่ เม่อื คำ�หยาบเกดิ จาก ความคดิ หยาบหรือใจหยาบ คนท่ีพูดค�ำ หยาบบ่อย ๆ ใจยิง่ หยาบยง่ิ ต�ำ่ ลงไป ๆ จนต�ำ่ ทสี่ ุด น้เี รียกว่า ให้โทษแกผ่ พู้ ดู ทีน้ีคนผ้ฟู ังหรือคนทีถ่ กู ด่าถกู ว่านั่นนะรสู้ กึ อยา่ งไรลูก” “เจ็บคะ่ เจ็บแล้วกโ็ กรธ ถา้ อดทนไมไ่ ด้กด็ ่าวา่ ตอบไป” “ใช่ เหมอื นสาดนำ�้ เข้าหากนั สงครามปากก็เกดิ ข้ึน และถ้าไม่มีใครยอมใคร สงครามมือกเ็ กิดตามมา นี่แหละโทษของคำ�หยาบ สำ�หรับผู้ฟงั คือทำ�ลาย ความสงบสุข ค�ำ หยาบจึงเป็น คำ�ช่ัวคำ�เสียด้วยเหตนุ ี”้ 62

“คำ�ชั่วคำ�สุดท้ายล่ะคะหลวงปู่ ฟังชอบกล คำ�เพ้อเจ้อมี ลักษณะอย่างไรคะ” “คำ�เพ้อเจ้อ คือ คำ�พูดเหลวไหล พูดพล่อย ๆ โดยผู้พูด ไมไ่ ดม้ งุ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ะไรแกผ่ ฟู้ งั เรยี กวา่ พดู เรอ่ื งไรส้ าระ ไมไ่ ด้ เรื่องได้ราวอะไร มีปากอยากพูดก็พดู ไปน่นั เอง” เฮ้อ..! พดู อะไร #! #! ของเคา้ นะ ไร้สาระจรงิ ?##! ##! “หลวงปู่กรุณายกตัวอย่างลักษณะคำ�เพ้อเจ้อให้ดูสักคำ� ไดไ้ หมคะ” หลานสาวถามรกุ “ไมไ่ ด”้ หลวงปจู่ นปญั ญา “ค�ำ ชนดิ นไ้ี มม่ ใี ครจ�ำ กดั ลงไปได้ ไม่เหมือนคำ�เท็จ คำ�ส่อเสียดและคำ�หยาบท่ีกล่าวมาแล้ว ซึ่งมี ลกั ษณะของค�ำ ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั สว่ นค�ำ เพอ้ เจอ้ นล้ี กั ษณะของค�ำ โดยเฉพาะ ไม่มี แตใ่ ช้คำ�ทัว่ ไปนน่ั แหละ ต่างแตว่ ่าผพู้ ูดน�ำ มาพูดสง่ ๆ ไปโดย ไม่มุ่งให้ผู้ฟังได้ประโยชน์อะไร เหมือนคนเพ้อคนละเมอน่ันแหละ ลูก จึงเป็นคำ�ช่ัว คำ�เสีย ซ่ึงให้โทษท้ังผู้พูดและผู้ฟัง คือทำ�ให้เสีย เวลาเขา้ ใจไหมลกู ” 63

“ค่ะหลวงปู่ ก็เป็นอันว่าจบคำ�ชั่ว ๔ ชนิด ทีน้ีคำ�ดีล่ะคะ มีอะไรบ้าง” “คำ�ดี ก็ตรงข้ามกับคำ�ชั่วน่ันแหละลูก ลองจับมาเรียงให้ เข้าคูก่ นั ดังนี้ คำ�ช่ัว ค�ำ ดี ค�ำ เทจ็ ค�ำ ไม่เท็จ - ค�ำ จรงิ ค�ำ ส่อเสยี ด ค�ำ ไมส่ อ่ เสยี ด ค�ำ หยาบ ค�ำ ไมห่ ยาบ ค�ำ เพ้อเจอ้ ค�ำ ไมเ่ พ้อเจอ้ ธรรมจรยิ าทางวาจา พดู สไอ่ มเ่สียด พดู คไำ�มห่ ยาบ ก็คือไมพ่ ดู คำ�เท็จ พดู เพไม้อ่ เจ้อ พูดแต่ค�ำ จริง ไมพ่ ูดคำ�สอ่ เสียด พดู ไมเท่ ็จ พูดแตค่ ำ�ท่ไี ม่ส่อเสยี ด ไม่พดู คำ�หยาบ พดู แตค่ �ำ ท่ีไม่หยาบ ไมพ่ ูดคำ�เพ้อเจ้อ พูดแตค่ �ำ ทไ่ี มเ่ พ้อเจอ้ 64

ผลหรือลูก ก็คือความดีความสุข ความเจริญ ท้ังผู้พูดและ ผู้ฟงั เขา้ ใจไหมลูก” “เข้าใจค่ะหลวงป่”ู “เอาละวนั น้ีจบแค่นีก้ ่อน นกี่ ไ็ ด้เวลาฉันเพลพอด”ี ฉนั ทนากราบผู้เปน็ หลวงปู่ของเธอแลว้ ลากลับบา้ น 65

คำ� ถาม ประ จำ� บท ๑. ค�ำ เทจ็ มีลักษณะ เชน่ ไร ทำ�ไมจึงจดั เปน็ ค�ำ ชั่ว ? ๒. ๓. ค�ำ สอ่ เสยี ด คำ�หยาบ มีลกั ษณะเช่นไร ทำ�ไม มลี ักษณะเชน่ ไร ท�ำ ไม จึงจดั เปน็ ค�ำ ชวั่ ? จึงจดั เป็นคำ�ช่วั ? ๔. ค�ำ เพอ้ เจอ้ มีลกั ษณะ เช่นไร ทำ�ไมจงึ จดั เปน็ ค�ำ ชวั่ ? 66

บท๓ท่ี ธรรมจริยา ทางใจ ทค่ี ยุ กันเมอื่ ครง้ั กอ่ น ไม่มคี ่ะหลวงปู่ ลูกนามอี ะไรสงสยั มย้ั ลูกนาบันทกึ ไว้ทบทวนแล้วค่ะ ในวันถัดมา ด.ญ.ฉันทนา นาครธรรม ก็ได้นำ�อาหารไป ถวายพระในเวลาเดียวกับวันก่อน วันนี้พระอาจารย์คงไม่มีแขก เธอจึงเข้าไปกราบท่าน และแล้วการสนทนาธรรมก็เริ่มข้ึน โดย พระอาจารย์คงเป็นผู้ถามข้ึนก่อนว่า “เมื่อวานนี้ เราได้พูดกันถึง ธรรมจริยาทางวาจาจบไปแล้ว ลูกนามีอะไรสงสัยบ้างไหม ถ้ามี กจ็ ะพิจารณากันกอ่ น กอ่ นจะพดู ถึงขอ้ ตอ่ ไป” 67

“ไมม่ คี ่ะหลวงปู่ ลกู นาเขา้ ใจดีแลว้ ขอให้หลวงปู่อธิบายถึง ธรรมจรยิ าทางใจอะไรนน้ั ตอ่ ไปเถดิ คะ่ ” ฉนั ทนาตอบดว้ ยความมนั่ ใจ “ตกลง เราจะเรม่ิ ดว้ ย ไหนลองอธิบายธรรมจริยาทางใจ การแปลความหมายของค�ำ ใหห้ ลวงปฟู่ ังหน่อยซิ ธรรมจรยิ าทางใจกนั ก่อน ลูกนารไู้ หมว่าหมายถงึ อะไร” “หลวงป่เู คยแปลว่า การประพฤติธรรม ทางใจไมใ่ ชห่ รอื คะ” คราวนี้เธอตอบ อย่างไม่ค่อยมนั่ ใจ “ใช่ นบั เป็นค�ำ แปลที่ถกู ต้อง แต่การประพฤตธิ รรมทางใจ ละ่ ลกู นาเขา้ ใจว่าอะไร” “ลูกนาเข้าใจว่า หมายถึงการคิดค่ะ แต่ยังสงสัยว่า คิด อย่างไรจึงเป็นการประพฤติธรรมทางใจ เพราะใจของคนเราคิดอยู่ ตลอดเวลาตน่ื วนั ๆ เราคดิ สารพดั อยา่ ง จะทราบไดอ้ ยา่ งไรละ่ คะวา่ คดิ อยา่ งไรเปน็ การประพฤตธิ รรม คดิ อยา่ งไรไมใ่ ชก่ ารประพฤตธิ รรม หรอื วา่ ความคดิ ทุกอยา่ งเป็นการประพฤติธรรมทัง้ น้ัน” 68

พระอาจารย์คง หัวเราะหึ ๆ กอ่ นตอบวา่ คิดดี คิดไมด่ ี “วนั น้ีลกู นาถามดมี าก คิดดซี ิลูก เป็นการประพฤตธิ รรม คดิ ไมด่ ี ไมใ่ ชก่ ารประพฤตธิ รรม จริง ใจคนเราคดิ อยตู่ ลอดเวลา แตเ่ มื่อจัดประเภทความคดิ เขา้ มากองไวเ้ ปน็ พวก ๆ กจ็ ะได้ ๒ พวก คือ พวกความคดิ ดี กับ พวกความคดิ ไมด่ ี เหมอื นกบั ค�ำ พดู นน้ั แหละลกู คนเราพดู กนั วนั ๆ หลายพันหลายหม่ืนค�ำ แตเ่ ม่อื จัดเข้าพวกแล้วได้ ๒ พวก คือคำ�ดี คำ�ชวั่ ดังทห่ี ลวงปไู่ ด้พูดแล้วเม่อื วานน”้ี “อ๋อจริง คุณพ่อเคยพูดว่า ความคิดนี่สำ�คัญมาก เพราะ เป็นต้นเหตุของการทำ�ดี ท�ำ ชว่ั และพดู ดี พดู ช่วั ” เธอเสรมิ คิดดี คิดชั่ว “ใช่ คิดดี พูดดี พูดชว่ั เป็นเหตุ ใหท้ �ำ ดี พูดดี คิดไมด่ ี เปน็ ต้นเหตุ ใหท้ ำ�ช่ัว พดู ชว่ั 69

การศกึ ษาใหร้ ซู้ ง้ึ ถงึ ตน้ เหตแุ หง่ การท�ำ ดี พดู ดี ท�ำ ชว่ั พดู ชว่ั จึงเป็นประโยชนม์ าก โดยเฉพาะประโยชนแ์ กต่ วั เอง เพราะจะได้รวู้ า่ ความคดิ ชนิดไหนดี ชนิดไหนไมด่ ี เมอื่ ร้แู ล้วจะคิดแต่ทด่ี ี จะไดป้ ดิ กัน้ หรือหกั ใจ ไม่ให้คิดท่ไี ม่ดี ซึง่ ก็เท่ากับปดิ ก้ัน การทำ�ชั่ว และพูดช่ัวดว้ ย บางคนอาจจะเห็นว่า ความคิดนี้เป็นเรื่องภายในใจ คิดดี คิดชั่ว ก็ไม่เห็นจะเป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร และไม่มีใครรู้ ลูกนาว่า ความเห็นนถี้ กู ไหม” “ลูกนาตอบไม่ถูกค่ะหลวงป่”ู เธอตอบอยา่ งชัดถอ้ ยชดั ค�ำ “ความคดิ เหน็ นี้ไมถ่ กู ดว้ ยเหตุผลท่ีกลา่ วแลว้ คอื ความคดิ เป็นต้นเหตุแห่งการทำ� การพูด คิดดีส่งผลให้ทำ�ดี พูดดี คิดชั่ว ส่งผลให้ทำ�ช่ัว พูดช่ัว การทำ�ชั่ว พูดช่ัวนั้นให้ผลเป็นอย่างไรเราได้ พูดกนั มาแลว้ เอาละเรามาว่ากนั ว่า ถ้าความคดิ นน้ั ยงั ไมแ่ สดงออก มาเปน็ การท�ำ หรือการพูดล่ะ จะให้ผลไหม ให้ ใหแ้ กใ่ คร แก่ตัวเอง เพราะความคิดดี หรือคำ�ช่ัวเป็นพฤติกรรมหรือการทำ�งานของจิต 70

ย่อมจะมีผลทุกคร้ังท่ีจิตทำ�งาน ผลนั้นก็ติดอยู่ในจิตนั้นเอง น่ันคือ คิดดีทกุ ครง้ั ความดเี กิดตดิ อยู่ในจิตทกุ ครงั้ เม่อื ในจติ มีดมี าก มนั ก็ จะแสดงออกมาเปน็ ทำ�ดีมาก พดู ดมี าก ชั่วช่วั ชัว่ ชั่วช่ัวชัว่ ชัว่ ชวั่ ช่ัว ในทางตรงขา้ ม ช่ัว ช่ัว คิดช่ัวทุกครง้ั ผลชั่วจะฝังจติ ทกุ ครงั้ คิดช่วั มากเขา้ ๆ มันก็จะแสดงออก เปน็ ทำ�ชั่วมาก และพดู ชวั่ มาก เข้าใจไหมลกู ” “เขา้ ใจคะ่ ความคดิ พวกดี ความคดิ พวกชวั่ นมี้ อี ะไรบา้ งคะ” “หลวงปู่ขอพูดความคิดชั่วก่อน เพราะความคิดดี ก็คือ ความคิดท่ีตรงข้ามกับความคิดชั่วน่ันเอง ในเรื่องธรรมจริยาน้ี พระพุทธเจ้าตรสั ถึงความคดิ ช่ัวไว้ ๓ ชนิด คือ อภชิ ฌา = ความเพง่ เล็ง พยาบาท = ความคิดปองรา้ ย มิจฉาทิฏฐ ิ = ความเหน็ ผดิ ขออธบิ ายยอ่ ๆ ดงั น้ี 71

อภชิ ฌา แปลวา่ ความเพง่ เลง็ คอื ความอยากไดอ้ ยา่ งแรงกลา้ เกิดจากโลภะ และความเพ่งเล็งน้ี หมายถึงเพ่งเล็งในทางทุจริต เทา่ น้นั เช่น เด็กคนหนึ่ง อยากไดเ้ สื้อมาใส่สกั ตวั เดินเข้าไป ในตลาดผ้า ด้วยต้ังใจ จะขโมยเสอื้ สกั ตวั หนึง่ เขาเดนิ ไปเรือ่ ย ๆ อย่างไมร่ อ้ นรน... ขอให้สังเกตว่าตอนนี้เขามีความอยากได้แล้ว แต่ไม่รุนแรง เขาจึงเดนิ ไปเรอื่ ย ๆ ...คร้ันพอเดินไปถงึ รา้ นรา้ นหนึง่ เสื้อตวั น้ี ถูกใจเราจริง ๆ มองเขา้ ไปเหน็ เสื้อท่ีถูกใจ เขาหยดุ เดินทนั ที แลว้ เพ่งเลง็ ไปยังเสอ้ื ตัวนนั้ ตัดสินใจว่า เอาละตัวน้ีแหละ แลว้ คดิ หาทางขโมยตอ่ ไป... 72

ตอนนเี้ ปน็ อภชิ ฌาแล้ว ลูกนาจงจ�ำ ไวด้ ้วยวา่ ถา้ เด็กคนนน้ั อยากได้เส้ือเม่ือไปพบเส้ือที่ตนต้องการแล้ว ตัดสินใจว่า เอาละ ตวั นแ้ี หละ แล้วเข้าไปถามซ้อื กบั คนขาย อย่างน้ไี มใ่ ช่อภิชฌาหรอก โทษของอภิชฌา คือ ความเศร้าหมองของจิตใจ และเม่ือ แสดงออกทางกายเปน็ การขโมยนัน่ แหละลกู พอเข้าใจไหมลกู ” “เขา้ ใจค่ะหลวงปู่ ขอ้ ตอ่ ไปล่ะคะ” “พยาบาท แปลตามรปู ศพั ทว์ า่ การด�ำ เนนิ ไปสคู่ วามฉบิ หาย มาจาก พฺยา แปลว่าความฉิบหาย ปาท แปลว่า การดำ�เนินไป แตแ่ ปลอย่างไทย ๆ วา่ แกทํำ�ใหฉ้ นั เสยี หนา้ ความคดิ ปองร้าย ฉนั ไมป่ ล่อยแกไวแ้ น่ คอื ความคดิ ท่มี ุ่งรา้ ยต่อผูอ้ นื่ ความคดิ น้เี กิดมาจาก โทสะ หรือความโกรธ ฉะนนั้ บางทีเราใช้กนั วา่ ผกู โกรธ บ้าง ผูกเวร บา้ ง ผกู อาฆาต บา้ ง คำ�ว่าผูกโกรธ หมายถึงผูกใจไว้กับความโกรธ ผูกเวร คือ ผูกใจไว้กับเวร ผูกอาฆาต คือผูกใจไว้กับความอาฆาต เมื่อผูกแล้ว กต็ อ้ งแก้กนั คือ แก้แค้น... 73

หลวงปขู่ อยกตวั อยา่ งใหฟ้ งั เด็กนักเรียนคนหน่ึง โทษนะ เราไมไ่ ดต้ ง้ั ใจ ขณะเลน่ ฟตุ บอลกนั ในสนามหนา้ โรงเรยี น โอย้ ..! ถูกเพอื่ นคนหน่งึ เตะรวบขา ล้มลงหวั ฟาดพน้ื เกิดโทสะข้ึน ลกุ ข้นึ จะไปตอ่ ย เพ่ือนนักเรียนคนนน้ั ฝากไวก้ อ่ นเถอะ แตพ่ อดีระฆงั สญั ญาณ เขา้ หอ้ งเรียนดังข้ึนชว่ ยไว้ ต่างคนจงึ ต่างก็เข้าหอ้ งเรยี น แตเ่ ด็กทถี่ กู เตะขานน้ั ได้ผูกใจโกรธว่า ขอให้เลิกเรยี นก่อนเถอะ เป็นเหน็ ดีกนั นแ่ี ละลกู พยาบาท 74

แตผ่ ลของมนั เปน็ อยา่ งไร เดก็ คนนน้ั มสี ภาพจติ ใจเปน็ ปรกติ ไหม” “ไมค่ ะ่ เขาจะครนุ่ คดิ แตจ่ ะแกแ้ คน้ จนเรยี นไมร่ เู้ รอ่ื งทเี ดยี ว” เธอตอบตามสามญั สำ�นึกทีต่ นเคยรูส้ ึก “ใชแ่ ลว้ ลกู นแ่ี หละโทษของพยาบาท คอื ท�ำ ใจใหเ้ ศรา้ หมอง ไมป่ ลอดโปรง่ ปดิ ก้นั ไม่ใหค้ ิดความดี จงึ ไม่มีโอกาสท�ำ ดี ทำํ�ไมไม่เข้าใจ อยา่ งเดก็ นกั เรยี นคนนน้ั คํ�ำ ถามข้อน้เี ลยนะ ชว่ั โมงกอ่ นที่ผิดใจกบั เพือ่ น เธอมีใจปลอดโปรง่ เรียนได้เข้าใจดี เรียกวา่ ทำ�ความดีใหม่ ๆ ตอ่ ไปได้ แตผ่ ูกโกรธขนึ้ แล้ว เขาเรียนไมไ่ ด้ เรียนไม่รู้เรอื่ ง น่ีแหละพยาบาทปิดก้นั ความดไี ว้ นอกจากน้ี พยาบาทย่อมนำ�ไปสู่ความพินาศฉิบหาย คือ พินาศฉิบหายจากคุณความดีในใจตัวเอง และเม่ือแสดงออกมา ทางวาจาเป็นคำ�พูด คำ�พูดน้ันจะเป็นคำ�หยาบก็จะฉิบหายเพราะ คำ�ชั่วคำ�เสียนั้น ถ้าออกมาทางกายเป็นการกระทำ�คือแก้แค้น (ปาณาตบิ าต) กฉ็ บิ หาย เพราะโทษของปาณาตบิ าตน้นั อีก สรปุ ว่า พยาบาทนี้ไมด่ ีจริง ๆ ใช่ไหมลกู ” 75

“แตค่ งมีผลดอี ยู่บา้ งกระมงั คะ เชน่ เมื่อใครมาทำ�รา้ ยบดิ า มารดา หรือผู้มีคุณของเรา ถ้าเราไม่ผูกใจโกรธ และแก้แค้นแทน ทา่ น เราจะไมถ่ กู ประณามวา่ เป็นคนอกตญั ญหู รือคะ” “เออ...ค�ำ ถามนน้ี า่ คดิ มาก หลวงปขู่ อถามลกู นาบา้ ง คณุ พอ่ คุณแมข่ องลกู นารักลูกนาไหม” “รักคะ่ ทำ�ไมคะ” เธองง ไมท่ ราบวา่ หลวงปู่ของเธอจะมา ไมไ้ หน “แล้วคุณพ่อคุณแม่จะยินดีให้ลูกนาซ่ึงเป็นที่รักไปเส่ียงกับ อันตรายในการแกแ้ ค้นนั้นไหม” “ท่านคงไม่ยินดีแน่ แต่คนทั้งหลายย่อมยกย่องว่าทำ�ด้วย ความกตัญญ”ู “อยา่ ลมื การตอบแทนบญุ คณุ ตอ่ ผใู้ ดนน้ั ควรท�ำ ในสง่ิ ทผ่ี นู้ น้ั ประสงค์ใหท้ ำ� และเป็นสิ่งทีด่ ดี ้วย เราเลกิ แคน้ กนั เถดิ การแกแ้ คน้ กัน มแี ตเ่ จบ็ ตวั กันทั้งสองฝ่าย เหมือนสาดน�ำ้ ใส่กัน โอย..! จะต้องเปรอะ ไปท้ัง ๒ ขา้ ง ไม่ท�ำ ให้ฝา่ ยใดดี แต่ทำ�ใหพ้ นิ าศ ฉบิ หายฝ่ายเดียว 76

เปน็ อยา่ งไรบ้างครบั คดิ ดูซิ ยังเจ็บอยู่ไหม ถา้ ผทู้ ่ีเรารัก เราเคารพนับถอื หรือถา้ ทา่ นถูกฆา่ เราไมแ่ ก้แค้น ถูกทำ�รา้ ย แตช่ ว่ ยรกั ษาความดี ไดร้ บั บาดเจบ็ อยา่ งอน่ื ของทา่ น เราช่วยรกั ษาทา่ น ใหด้ ำ�รงอยู่ ให้หาย ชว่ ยไม่ให้ ให้ปรากฏแพร่หลาย ทา่ นไปแก้แค้น กับเอาชวี ติ เราเขา้ แลกกบั แต่ใหส้ งบจติ ใจ ความตายในการแกแ้ คน้ นนั้ ท�ำ ความดตี อ่ ไป อยา่ งไหนจะดีกว่า” ผมจะเป็นคนดี อยา่ งท่ีพ่อเคยเป็นครับ 77

“ไม่แก้แคน้ ค่ะดีกว่า เพราะเป็นทางสงบสุข” “ทีน้ีกม็ าถึง มจิ ฉาทฏิ ฐิ นะลกู ” “ค่ะ หลวงปู่ มิจฉาทิฏฐิท่ีแปลว่า ความเห็นผิด คือเห็น อยา่ งไรคะ” “ความเหน็ ในทน่ี ้ี คนเหน็ ผดิ ก็คลา้ ยกบั คนเดินปิดตา หมายถงึ เหน็ ทางใจ ทำ�ํ ให้เดนิ ไมต่ รงทาง ไมใ่ ชเ่ หน็ ทางตา อยา่ งเห็นสงิ่ ของต่าง ๆ คือ ลักษณะทางใจท่ตี ัดสินลงไปวา่ เป็นอย่างนั้นอยา่ งนี้ ความเหน็ ผดิ หมายถึงความคดิ เห็น ผดิ จากทำ�นองคลองธรรม อะไรคือท�ำ นองคลองธรรม ลกู นาตอบไดไ้ หม” “คือความถูกต้องตามธรรมถกู ไหมคะ” เธอตอบเดา ๆ โดย อาศยั เชาว์ปญั ญา “ถูก เชน่ ความคดิ เห็นดงั ต่อไปน้ี 78

ผิดทำ�นองคลองธรรม ถกู ท�ำ นองคลองธรรม - บดิ ามารดาไมม่ ีคุณ - บดิ ามารดามคี ุณ - ครอู าจารยไ์ มม่ คี ุณ - ครูอาจารยม์ ีคณุ - ท�ำ บุญทำ�บาปไม่มผี ลดชี ่ัว - ท�ำ บญุ ได้บญุ ท�ำ บาปได้บาป - ความดคี วามชัว่ เกดิ ขนึ้ เอง - ความดีความช่วั เกดิ จาก - นรก สวรรค์ นพิ พานไม่มี การกระท�ำ ของตนเอง ฯลฯ - นรก สวรรค์ นพิ พาน มี ฯลฯ น่ีแหละลูกความคิดเห็นผิด และถูกตามทำ�นองคลองธรรม และขอให้จำ�ไวว้ า่ เขา้ ใจเรื่องมจิ ฉาทฏิ ฐิ มิจฉาทฏิ ฐนิ ี้ แลว้ ใชไ่ หมล่ะ เกิดมาจากโมหะ ซ่งึ แปลว่า ความโง่ ความไมร่ ูจ้ รงิ คนโงย่ อ่ มทำ�อะไร พดู อะไรก็ทำ�อย่างโง่ ๆ พดู อยา่ งโง่ ๆ นแี่ หละ คือโทษของมิจฉาทฏิ ฐิ 79

หลวงปู่สรุปตรงนเี้ สียทวี า่ ความคิดชว่ั ทง้ั ๓ น้ี ท่านจดั เปน็ อกศุ ลกรรมทางใจ เกิดจากรากเหง้าทีไ่ ม่ดี หรือที่พระเรยี กว่า อกศุ ลมูล ๓ โทสะ คอื โลภะ ความโลภ โมหะ ความอยากได้ โลภะ โทสะ ความโกรธ และ โมหะ ความหลง ความโง่ ตามล�ำ ดับ และอกุศลมูลทั้ง ๓ น้ีก็สืบเน่ืองมาจากกิเลสท่ีติดเน่ืองใน สนั ดานของคนเราทีเ่ รียกว่าอนสุ ยั ๓ อย่างเหมือนกนั คือ กามราคะ ความก�ำ หนัดยินดใี นกาม (กามะ คือส่ิงทีน่ ่าใคร่ นา่ ปรารถนาท้ังหลาย) ปฏิฆะ ความขุ่นเคือง และอวิชชา ความไม่ร้จู ริง ตามล�ำ ดับ 80

เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจชดั จงดตู ารางทน่ี กั ปราชญท์ า่ นหนง่ึ ๓ ท�ำ ไวด้ งั น้ี สายของความคิดช่ัว อกุศลกรรม - อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ อกุศลมลู - โลภะ โทสะ โมหะ อนุสัย - กามราคะ ปฏฆิ ะ อวชิ ชา พอเข้าใจไหมละ่ ลกู ” “เขา้ ใจคะ่ หลวงป่”ู ฉันทนาตอบดว้ ยอาการแจม่ ใส “เอาละ วนั นข้ี อยตุ ไิ วแ้ คน่ ก้ี อ่ น พรงุ่ นจ้ี ะพดู ถงึ ตอนทส่ี ำ�คญั ท่ีสุดให้ฟงั ขอใหม้ าอกี นะลกู ” เธอรบั ปากกบั หลวงปแู่ ลว้ กลา่ วขอบคณุ และกราบลากลบั มาบ้าน ๓ พ.ต. ปน่ิ มทุ กุ นั ต.์ ค�ำ บรรยายพทุ ธศาสตร.์ ส�ำ นกั พมิ พค์ ลงั วทิ ยา, พระนคร. พ.ศ. ๒๕๐๐, ภาค ๒ หนา้ ๕๐๒. 81

คำ� ถาม ประ จำ� บท ๑. ๒. ความคดิ เชน่ ไร อภิชฌา เรียกวา่ อภิชฌา ? ใหโ้ ทษอยา่ งไร ? ๓. ๔. ความคิดเชน่ ไร พยาบาท เรียกว่า พยาบาท ? ให้โทษอย่างไร ? ๕. ๖. ความคิดเช่นไร มจิ ฉาทฏิ ฐิ เรยี กวา่ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ? ใหโ้ ทษอยา่ งไร ? 82

บทสง่ ทา้ ย ธรรมจริยา เป็นอุดมมงคล วันนีห้ ลวงปู่ จะสรุปสง่ ทา้ ยใหฟ้ งั นะ คุณหนูท่รี กั น่าเสียดายอย่างยิ่งท่ีไม่อาจนำ�บทสนทนาบทสุดท้ายมาให้ คุณหนูอ่านโดยละเอียดได้ เพราะหน้ากระดาษไม่พอเสียแล้วจึง จำ�ต้องเก็บใจความสำ�คัญมาให้อ่านกัน ขอรับรองว่าจะไม่ทำ�ให้ ขาดสาระของเรื่องแต่ประการใด ในการสนทนาเรื่องน้ีคร้ังสุดท้าย พระอาจารย์คงได้กล่าวสรุปเรื่องราวทั้งหมดที่ท่านพูดมาแล้วและ ได้ช้ีให้เห็นว่า การประพฤติธรรมน้ันให้ประโยชน์อย่างไร ขอเชิญ คณุ หนอู า่ นต่อไปเถอะ 83

พระอาจารย์คงกล่าวว่า ความจริงเรื่องการประพฤติธรรม ทัง้ หมดทีพ่ ดู มาแล้วนัน้ กค็ ือเร่อื งกรรมบถ ได้แก่ ฝา่ ยชัว่ กายกรรม ฝา่ ยดี - ฆ่าสัตว์ - เว้นจากฆ่าสัตว์ - ลักทรพั ย์ - เว้นจากลักทรัพย์ - ประพฤติผดิ ในกาม - เวน้ จากประพฤตผิ ดิ ในกาม วจีกรรม - พดู เทจ็ - เว้นจากพดู เทจ็ - พูดสอ่ เสยี ด - เว้นจากพูดส่อเสียด - พูดคำ�หยาบ - เว้นจากพดู คำ�หยาบ - พูดเพอ้ เจอ้ - เว้นจากพูดเพ้อเจอ้ มโนกรรม - คิดเพ่งเลง็ - ไม่คิดเพ่งเล็ง - คดิ พยาบาท - ไมค่ ดิ พยาบาท - คิดเห็นผิด - คิดเหน็ ถูก ทำ�นองคลองธรรม ท�ำ นองคลองธรรม พระอาจารยค์ งใหข้ อ้ สงั เกตวา่ กศุ ลกรรมบถหรอื กรรมฝา่ ยดี กค็ ือการไม่ทำ�กรรมฝา่ ยช่วั นั่นเอง กเ็ ท่ากบั ไมท่ �ำ อะไรแล้วจะชอื่ ว่า ท�ำ ดไี ดอ้ ยา่ งไร แลว้ ชใ้ี หห้ ลานสาวของทา่ นเหน็ วา่ ความดขี องคนเรา นัน้ ยอ่ มเริม่ จากการไมท่ ำ�ชว่ั ก่อน ลองคิดดูเถอะ 84

แน่จริงเข้ามาสิ คนท่ถี กู ยวั่ ให้โกรธ ไมแ่ น่จรงิ นี่นา แตเ่ ขาระงับใจ ไว้ได้ไม่โกรธ ไม่ฆ่าหรอื ทำ�ร้ายเขา กน็ บั ว่าดนี กั หนาแลว้ ... ทกุ คนย่อมอยากรวย แตท่ ี่อดใจไว้ได้ไม่ฉอ้ โกงเม่อื มโี อกาส หรอื ไม่ขโมยของเขา กด็ นี ักหนาแล้ว...ทุกคนยอ่ มมีความกำ�หนดใน กามารมณ์ แต่ท่ีอดใจไว้ได้ไม่ล่วงละเมิดลูกใครเมียใครผัวใคร ก็ดี นกั หนาแล้ว...คนหนึง่ ๆ ต้องพูดจาวนั หนึ่ง ๆ เป็นพันเป็นหม่นื คำ� แต่ที่ไม่พูดค�ำ เท็จ ค�ำ สอ่ เสียด ค�ำ หยาบหรอื ค�ำ เพอ้ เจอ้ ไร้สาระ ก็ดี นกั หนาแล้ว... ใจคนเราทกุ คนคดิ ได้สารพดั อย่าง แตท่ ห่ี ักหา้ มใจได้ ไม่ใหค้ ดิ ชั่ว คือไมโ่ ลภ ไม่ปองร้าย ไมเ่ ห็นผิด ทำ�นองคลองธรรม กน็ บั วา่ ดนี กั หนาแลว้ ... ประพฤตไิ ด้ดังนี้แหละ เรียกว่า ประพฤติเปน็ ธรรม 85

การประพฤตธิ รรมนน้ั กนิ เยอะ ๆ นะ นอกจากไม่ทำ�ช่ัว พดู ชว่ั เจา้ ตบู และคดิ ชั่วแลว้ ยงั ต้องทำ�ดี พูดดี และคิดดดี ้วย เชน่ ไมฆ่ ่าสตั วแ์ ล้ว ควรมเี มตตากรณุ า ตอ่ สัตว์ด้วย... ไมล่ ักทรพั ยแ์ ลว้ ควรมสี ัมมาอาชพี ด้วย...ไมป่ ระพฤตผิ ดิ ใน กามแลว้ ควรมคี วามสงั วรในกามดว้ ย...ไมพ่ ดู เทจ็ แลว้ ควรพดู ค�ำ จรงิ ค�ำ สตั ยด์ ว้ ย...ไมพ่ ดู สอ่ เสยี ดแลว้ ควรพดู ค�ำ ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ สามคั คดี ว้ ย... ไมพ่ ดู ค�ำ หยาบแลว้ ควรพดู ค�ำ สภุ าพออ่ นโยนดว้ ย...ไมพ่ ดู ค�ำ เพอ้ เจอ้ แล้ว ควรพูดคำ�ท่ีมีสาระประโยชน์แก่ผู้ฟังด้วย...ไม่คิดเพ่งเล็งจะ เอาของเขาแลว้ ควรคดิ จะให้เขาดว้ ย...ไมค่ ิดพยาบาทแล้ว ควรคดิ ให้อภยั เขาดว้ ย...ไม่คดิ เห็นผดิ แลว้ ควรคดิ เห็นใหถ้ ูกตอ้ งตามคลอง ธรรมดว้ ย...ประพฤติได้ดงั น้แี หละเรียกว่า ประพฤตถิ กู ตามธรรม การประพฤติธรรม ทั้งส่วนท่ีเป็นการประพฤติเป็นธรรม และการประพฤติถูกตามธรรม ดังกล่าวแล้วนั้น พระพุทธเจ้าตรัส ว่าเป็น “อุดมมงคล” คือเป็นส่ิงท่ีนำ�ความสุขความเจริญสูงสุดมา ใหแ้ กต่ วั เองและผอู้ ื่น ดงั ได้กล่าวมาแลว้ ขา้ งต้น นอกจากนใี้ นกรณี- 86

ยากรณยี สูตร ไดส้ รุปผลดขี องการประพฤตธิ รรมตามกศุ ลกรรมบถ ไว้ ๕ อยา่ งคอื ๑. ตนเองตเิ ตยี นตนเองไม่ได้ ๒. ท่านผู้ร้ทู งั้ หลาย สรรเสรญิ ๓. มีเกียรตยิ ศชอ่ื เสยี ง ๔. เวลาตายไมห่ ลง ๕. ตายแล้ว ไปสสู่ คุ ติคอื ไปเกิดทด่ี ีท่ีเจริญ 87



ภาคผนวก ก ธรรมจริยา การประพฤตธิ รรม หนังสือสอนพระพทุ ธศาสนาแกเ่ ด็ก นายอดศิ ักดิ์ ทองบญุ เปรียญ แตง่ ได้รับพระราชทานรางวัลชั้นที่ ๑ ในการประกวดประจำ�พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๗ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้พมิ พพ์ ระราชทาน เนอ่ื งในงานพระราชพิธีวสิ าขบูชา พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๗



ก ดว่ นมาก สำ�นักราชเลขาธกิ าร ท่ี รล. ๐๐๐๒/๒๗๗๓ ๒ พฤษภาคม ๒๕๑๗ เรื่อง การประกวดแต่งหนังสือแสดงพระพุทธศาสนาสำ�หรับ สอนเดก็ เรยี น เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี อา้ งถึง หนังสอื ท่ี สร. ๐๒๐๑/๙๔๔๗ ลงวันท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๑๗ ตามทแ่ี จง้ รายงานของราชบณั ฑติ ยสถาน เพอ่ื ขอใหน้ �ำ ความ กราบบังคมทูลพระกรุณาเรียนพระราชปฏิบัติ เรื่องการประกวด แตง่ หนงั สอื แสดงพระพทุ ธศาสนาส�ำ หรบั สอนเดก็ ตามหวั ขอ้ ธรรม เรือ่ ง “ธรรมจรยิ า การประพฤติธรรม” เพ่ือรับพระราชทานรางวลั และพิมพ์พระราชทานในงานพระราชพิธีทรงบำ�เพ็ญพระราชกุศล วสิ าขบูชา ประจ�ำ ปี ๒๕๑๗ ซง่ึ ปรากฏมีผู้แตง่ ส่งประกวดรวม ๑๑ ราย และไดพ้ จิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ สมควรไดร้ บั การพจิ ารณา ๒ ฉบบั คือฉบับหมายเลข ๓ แต่งโดย นายอดิศักดิ์ ทองบุญ และฉบับ หมายเลข ๗ แตง่ โดยนายสุวิทย์ สารวตั ร ความละเอยี ดปรากฏ ตามส�ำ เนาหนงั สอื และส�ำ เนาตน้ ฉบบั หนงั สอื แสดงพระพทุ ธศาสนา ฯ

รวม ๒ ฉบบั ทไ่ี ดแ้ นบไป ซง่ึ ส�ำ นกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรไี ดน้ �ำ เสนอ ท่านนายกรฐั มนตรพี ิจารณาแล้วนน้ั ได้นำ�ความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลี- พระบาทแล้ว โปรดเกล้า ฯ พระราชทานรางวัลที่ ๑ แก่ฉบับ หมายเลข ๓ รางวัลที่ ๒ แก่ฉบับหมายเลข ๗ และให้พิมพ์ได้ ตามเคย (ลงนาม) ทวีสนั ต์ ลดาวัลย์ (หม่อมหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย)์ ราชเลขาธิการ กองการในพระองค์ โทร. ๒๑๑๑๕๑-๓ ตอ่ ๒๑

ข ดว่ นมาก ส�ำ นกั เลขาธกิ ารคณะรัฐมนตรี ที่ สร. ๐๒๐๑/๙๔๔๗ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๗ เรื่อง การประกวดแต่งหนังสือแสดงพระพุทธศาสนา สำ�หรับสอนเดก็ เรยี น ราชเลขาธกิ าร ส่ิงท่สี ง่ มาด้วย สำ�เนาหนังสือที่ รบ. ๐๐๐๒/๑๑๔๗ ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๗ และสำ�เนาจากต้นฉบับหนังสือ แสดงพระพุทธศาสนา ฯ เร่อื ง “ธรรมจริยา การ ประพฤตธิ รรม” รวม ๒ ฉบบั ด้วยราชบัณฑิตยสถานรายงานว่า ได้ดำ�เนินการประกวด แตง่ หนงั สอื แสดงพระพทุ ธศาสนาส�ำ หรบั สอนเดก็ ตามหวั ขอ้ ธรรม เรือ่ ง “ธรรมจริยา การประพฤตธิ รรม” เพอ่ื รับพระราชทานรางวัล และพิมพ์พระราชทานในงานพระราชพิธีทรงบำ�เพ็ญพระราชกุศล วิสาขบูชา ประจำ�ปี ๒๕๑๗ ซึ่งปรากฏมีผู้แต่งส่งประกวด รวม ๑๑ ราย และได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สมควรได้รับการพิจารณา ๒ ฉบบั คอื ฉบบั หมายเลข ๓ แตง่ โดย นายอดศิ กั ด์ิ ทองบญุ และ

ฉบับหมายเลข ๗ แต่งโดย นายสวุ ิทย์ สารวัตร จึงขอใหน้ ำ�ความ กราบบงั คมทลู ฯ ขอรับพระบรมราชวนิ จิ ฉัย ความละเอียดปรากฏ ตามส�ำ เนาหนังสอื และส�ำ เนาจากต้นฉบบั หนังสือแสดงพระพุทธ- ศาสนา ฯ รวม ๒ ฉบับ ที่ได้แนบมาพร้อมนี้ สำ�นักเลขาธิการ คณะรฐั มนตรไี ดน้ �ำ เสนอทา่ นนายกรฐั มนตรพี จิ ารณาแลว้ ใหน้ �ำ ความ กราบบังคมทูลฯ ตอ่ ไปได้ จงึ เรยี นมาเพอ่ื ขอไดโ้ ปรดน�ำ ความกราบบงั คมทลู พระกรณุ า เรียนพระราชปฏบิ ัติ การจะควรประการใดสดุ แต่จะทรงพระกรณุ า โปรดเกลา้ ฯ ขอแสดงความนบั ถอื อย่างสูง (ลงนาม) ดุสิต บุญธรรม (นายดุสิต บุญธรรม) รองเลขาธิการคณะรฐั มนตรฝี ่ายการเมอื ง ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กองกลาง โทร. ๘๑๒๒๔๐

นายอดิศกั ด์ิ ทองบญุ เปรยี ญ

ธรรมจริยา การประพฤตธิ รรม หนังสือสอนพระพทุ ธศาสนาแก่เด็ก ISBN : 978-616-7975-11-5 แตง่ โดย นายอดศิ ักดิ์ ทองบญุ เปรียญ ได้รับพระราชทานรางวลั ชนั้ ท่ี ๑ ในการประกวดหนังสือสอนพระพทุ ธศาสนาแกเ่ ดก็ ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๑๗ พิมพค์ ร้ังที่ ๒ (ปรบั ปรงุ ) พ.ศ. ๒๕๕๙ จำ�นวน ๓,๐๐๐ เล่ม จัดพิมพโ์ ดย สำ�นกั งานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี สวนจติ รลดา พระราชวังดสุ ติ กรงุ เทพฯ ๑๐๓๐๓ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๘๒ ๖๕๑๑ โทรสาร ๐ ๒๒๘๑ ๓๙๒๓ ออกแบบปก/รปู เล่ม/และภาพประกอบโดย ไพยนต์ กาสี เสาวณยี ์ เที่ยงตรง และ อนันต์ กติ ตกิ นกกุล พิมพ์ท่ี หจก. แอลซีพี ฐิตพิ รการพิมพ์ ๑๐๕/๖๖-๖๗ ถนนประชาอทุ ิศ ซอย ๔๕ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ๑๐๑๔๐