สารบัญ ก สารบัญ ก สารบญั ภาพ ข 1. ประวตั ิความสําคญั 1 2. สภาพดินฟาอากาศทีเ่ หมาะสม 4 3. ลกั ษณะทว่ั ไปทางพฤกษศาสตร 5 4. ชนิดและพนั ธมุ นั สําปะหลงั 15 16 4.1 พนั ธรุ ะยอง 1 17 4.2 พันธรุ ะยอง 3 18 4.3 พนั ธรุ ะยอง 2 19 4.4 พนั ธุระยอง 5 20 4.5 พันธรุ ะยอง 60 22 4.6 พันธุเกษตรศาสตร 50 23 4.7 พันธรุ ะยอง 90 24 4.8 พันธศุ รรี าชา 1 25 4.9 พันธุห า นาที 26 4.10 พนั ธุร ะยอง 72 28 5. การปลูกมนั สําปะหลัง 30 6. ระยะปลกู มนั สาํ ปะหลงั 30 7. การบํารงุ รกั ษาดินและการใชปุย 33 8. ธาตุอาหารทจ่ี าํ เปน สําหรบั มนั สาํ ปะหลงั 33 9. มันสําปะหลังกับปุยอนิ ทรีย 34 10. คาํ แนะนาํ การใชปยุ กบั มนั สาํ ปะหลงั 35 11. วชั พชื และการควบคุมในมนั สาํ ปะหลงั 45 12. ระบบการปลูกพืชโดยใชม นั สําปะหลงั เปน พชื หลัก 50 13. แมลงศัตรพู ชื และการปอ งกันกาํ จดั 65 14. โรคมนั สําปะหลังและการปองกันกาํ จัด 76 15. การเกบ็ เก่ยี วและการเก็บรกั ษา 81 16. การใชป ระโยชนจากมนั สําปะหลัง
สารบัญภาพ ข ภาพท่ี 1 เปรยี บเทยี บทรงตน เต้ยี และแตกกิ่ง กบั ไมแ ตกกิง่ 7 ภาพท่ี 2 ทรงตน สงู และแตกกิง่ 7 ภาพที่ 3 ลาํ ตน สีแตกตางกัน 7 ภาพที่ 4 รูป ลักษณะใบมนั สําปะหลงั ทแี่ ตกตา งกนั มาก 7 ภาพที่ 5 ดอกมันสําปะหลงั เกดิ ทย่ี อด 9 ภาพท่ี 6 มันสําปะหลงั สว นใหญอ อกดอก 9 ภาพท่ี 7 ดอกตัวผู ดอกตวั เมยี อยูในชอ เดยี วกนั 9 ดอกตัวผอู ยูสวนบนของชอดอก 9 ภาพที่ 8 เปรียบเทียบดอกตวั ผู (ขวา) 11 กับดอกตัวเมีย (ซา ย) 11 ภาพที่ 9 ดอกตัวผขู องมนั สาํ ปะหลงั 11 ภาพที่ 10 ดอกตัวเมยี ขอมันสําปะหลัง 11 ภาพท่ี 11 ผล และเมล็ดมนั สําปะหลงั 13 ภาพท่ี 12 เมล็ดมนั สาํ ปะหลัง 13 ภาพท่ี 13 รูปรา งและสผี วิ ของหัวมันสาํ ปะหลัง 21 ภาพที่ 14 หัวมันสําปะหลงั 21 ภาพที่ 15 พนั ธุร ะยอง 1 21 ภาพที่ 16 พนั ธุระยอง 3 21 ภาพที่ 17 พนั ธุร ะยอง 5 27 ภาพที่ 18 พนั ธุระยอง 60 27 ภาพท่ี 19 พันธเุ กษตรศาสตร 50 27 ภาพที่ 20 พนั ระยอง 90 27 ภาพท่ี 21 พนั ธุหานาที 31 ภาพที่ 22 พนั ระยอง 72 31 ภาพท่ี 23 ปลูกแบบปกบนสันรอง ภาพท่ี 24 ปลกู แบบปกบนพนื้ ราบแลวพูน 31 31 โคน อายปุ ระมาณ 1 เดอื น 31 ภาพที่ 25 ปลกู แบบปกบนพื้นราบ 47 ภาพที่ 26 ยกรอง ปลูกแบบปก ความลึก 5, 10, 15 ซม. ภาพท่ี 27 ยกรอ ง ปลกู แบบปกความลกึ 5, 10, 15 ซม. ภาพที่ 28 ขาวโพดหวานแซมมันสําปะหลัง
ภาพท่ี 29 ถว่ั เหลืองแซมมันสาํ ปะหลัง 47 ภาพท่ี 30 ถวั่ เขียวแซมมนั สาํ ปะหลงั 47 ภาพท่ี 31 ถ่วั ลสิ งแซมมนั สาํ ปะหลงั 47 ภาพท่ี 32 ลักษณะการทาํ ลายของไร 53 ภาพที่ 33 ตวั เต็มวยั ของตวั ห้ําไรแดง ( Stchourse pauper culus ) 51 ภาพท่ี 34 ตวั เตม็ วัยของตวั หา้ํ ไรแดง ( Oligotu pp. ) 51 ภาพท่ี 35 ตวั ไรแดง 51 ภาพท่ี 36 ไข ตวั หนอน แมลงนูนหลวง 54 ภาพท่ี 37 ตัวเตม็ วยั แมลงนูนหลวง 54 ภาพท่ี 38 เพลี้ยหอยขาว 62 ภาพที่ 40 เพล้ยี แปง 62 ภาพท่ี 39 เพล้ยี หอยดํา 62 ภาพที่ 41 โรคราแปง ( Oidium manihotis ) 68 ภาพที่ 42 โรคใบจุดสีนํา้ ตาล ( Cercosporidium henningsii ) 68 ภาพท่ี 43 ลาํ ตน หรอื ทอนพันธเุ นา ( Glomerella cingulata ) 68 ภาพท่ี 44 โรคลําตนเนา ( Botryodiplodia theobromae ) 68 ภาพที่ 45 โรคหัวเนา และ ( Phytophthora root rot or wet rot ) 73 ( Phytophthora drechsleri ) 73 ภาพท่ี 46 โรคหัวเนา แหง ( Dry rot or white thread )-Rigidoporus 75 ( Fomers ) Lignosus ภาพที่ 47 โรคเนาคอดนิ ( Damping-off or c root rot )-Corticium 59 59 ( sclerotium ) rolfsii 59 ภาพท่ี 48 ปลวกทําลายทอ นพนั ธุ 75 ภาพท่ี 49 ปลวกทาํ ลายตน 75 ภาพท่ี 50 ปลวกทําลายสว นหวั ภาพท่ี 51 โรคใบไหม ลกั ษณะเปน จดุ เหลย่ี มบนใบ 75 75 ภาพท่ี 52 ลักษณะอาการตายจากยอดลงมา 78 ( dieback ) ของโรคใบไหม 78 78 ภาพท่ี 53 ระยะตอมาใบจะเหยี่ วและรว งหลน 78 ภาพที่ 54 แสดงอาการยอดแหงตาย ภาพท่ี 55 ตดั ตน กอนขุดหัวมันสําปะหลงั ภาพที่ 56 สว นรากขุดดว ยจอบ ภาพที่ 57 ตัดตนและเหงาจากหวั ภาพที่ 58 เครือ่ งขุดมนั สําปะหลังฉากดว ยแทรกเตอร
ภาพที่ 59 เก็บรกั ษาทอนพนั ธมุ นั สําปะหลงั โดยวางนอนในรม 78 ภาพที่ 60 เกบ็ รักษาทอ นพนั ธุมนั สําปะหลังโดยวางตง้ั กกลางแจง คลมุ ดว ยใบไม 78 ภาพที่ 61 อุตสาหกรรมอาหาร 82 ภาพท่ี 62 อุตสาหกรรมผงชูรส 82 ภาพท่ี 63 อุตสาหกรรมกระดาษ 82 ภาพท่ี 64 อุตสาหกรรมไมอ ดั 82 ภาพที่ 65 อุตสาหกรรมสงิ่ ทอ 82
มนั สําปะหลัง ประวัตคิ วามสาํ คญั และดินฟาอากาศทเ่ี หมาะสม มันสําปะหลังมีตนกําเนิดในอเมริกาใตแถวๆ ประเทศเปรู Maxico, Guatemala และ Honduras สันนิษฐานวามีการปลูกมันสําปะหลังใน Maxico เม่ือ 2,100 ปมาแลวและมีการปลูก ในประเทศเปรู เม่ือ 4,000 ปมาแลว จากถิ่นฐานน้ีไดแพรขยายไปที่อเมริกาแถบรอนโดยชาว อินเดีย และขยายไปสูแหลงอนื่ ๆ ของโลก โดยชาวโปรตเุ กสและชาวสเปน มันสําปะหลังเขามาสู เอเซีย โดยนําเขามาในประเทศอินเดีย ศรีลังกา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ประมาณคริสตศตวรรษที่ 17 ตามเอกสารที่คนไดพ บวา มีการนํามันสําปะหลังเขา มาในเอเซีย ดงั นี้ พ.ศ. 2283 เร่มิ ปลกู มันสาํ ปะหลงั ในมอลิเซียส (Mauritius) โดยนําไปจากชวา พ.ศ. 2329 เริ่มปลกู ในศรลี ังกา โดยนําไปจากมอลิเซยี ส พ.ศ. 2383 เริ่มปลูกในฟลิปปนส โดยนํามาจากเม็กซิโก โดยชาวสเปน อินเดีย นาํ มนั สาํ ปะหลังมาจากอเมรกิ าใต (รุน แรกในศตวรรษท่ี 17) เร่มิ ปลูกมันสําปะหลงั ในสิงคโปร พ.ศ. 2393 ใชมันสาํ ปะหลังในอุตสาหกรรมในมาเลเซีย พ.ศ. 2398 ทาํ แปงมันสําปะหลงั ในสิงคโปร (กรมวชิ าการเกษตร, 2526) สําหรับในประเทศไทยยังไมมีหลักฐานท่ีแนนอนวามีการนํามันสําปะหลังเขามาปลูก เม่ือใด คาดวาคงจะเขามาในระยะเดียวกับท่ีเขาสูประเทศศรีลังกา ฟลิปปนส คือราวๆ พ.ศ. 2329 – 2383 เดิมทีเรียกวา มันสําโรง มันไมและมันสําปะหลัง สรุปวา คําวา “สําปะหลัง” คลาย กับภาษาชาวตะวันตก ที่เรียกมันสําปะหลังวา สัมเปอ (Samper) ดังน้ันคําวาสําปะหลัง อาจจะ มาจากคาํ วา “สัมเปอ” ของชาวตะวนั ตก การปลูกมันสําปะหลังเปนการคาในประเทศไทย สรุปวามีการปลูกมันสําปะหลังเพื่อใช ทําแปงและสาคู ในภาคใต โดยการปลูกระหวางแถวของตนยางพารากันมากวา 70 ปแลว โดยเฉพาะอยางยิ่งท่ีจังหวัดสงขลามีอุตสาหกรรมทําแปงและสาคู จําหนายไปยังปนังและสิงค โปร แตการปลูกมันสําปะหลังภาคใตจะคอยๆ หมดไป เพราะเม่ือตนยางพาราโตคลุมพื้นที่หมด จึงไมสามารถปลูกมันสําปะหลังตอไปได ตอมาไดมีการปลูกมันสําปะหลังในภาคตะวันออก คือ จังหวัดชลบุรี ระยองและจงั หวัดใกลเคยี งและเนือ่ งจากความตองการของตลาดในดานผลิตภัณฑ มันสําปะหลัง เพื่อใชในการอุตสาหกรรมและเล้ียงสัตว มีเพิ่มมากข้ึนทําใหพ้ืนท่ีทางภาค ตะวันออกผลิตไดไมเพียงพอตอความตองการ จึงมีการขยายพ้ืนท่ีปลูกไปยังจังหวัดอ่ืนๆ โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือจนในปจจุบัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นท่ีปลูก มากทส่ี ุดของประเทศไทย ( จรุงสทิ ธิ์ และอัจฉรา, 2537 ก.)
2 ความสาํ คัญ มันสําปะหลังจัดเปนพืชหัวชนิดหนึ่ง มีช่ือสามัญเรียกหลายช่ือดวยกัน ตามภาษาตางๆ ที่ไดยินมากเชน Cassava, yuca, mandioca, manioc, madioc, tapioca เปนตน เดิมทีคนไทย เรียกวา มันไม มันสําโรง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกวามันตนเตี้ย ภาคใตเรียกมันเทศ (เรยี กมนั เทศวา มันฑลา) ปจ จุบันคนสวนใหญเรยี ก มันสําปะหลงั มันสําปะหลังจัดเปนอาหารที่มีความสําคัญเปนอันดับ 7 ของมนุษย ปลูกทั่วไปในเขต tropic มันสําปะหลังเปนอาหารหลักของมนุษยกวา 200 ลานคน โดยรับประทานโดยตรง เล้ียงสัตว กิจกรรมอุตสาหกรรม 95% ของผลผลิตมันสําปะหลังของโลกใชเปนอาหารหลักของ มนุษยทั้งในรูปอาหารหลัก อาหารรอง และอาหารเสริม โดยบริโภคในรูปหัวสด ประมาณหนึ่งถึง สามเปอรเซ็นต ของผลผลิตมันสําปะหลังของโลก ใชเปนอาหารเลี้ยงสัตว มันสําปะหลังอีกสวน หนึ่งใชในการอุตสาหกรรมตางๆ อาหารมากมายหลายชนิดที่ทําจากแปงมันสําปะหลังและยังมี อตุ สาหกรรมหลายชนดิ ทใี่ ชมนั สําปะหลงั เปนวตั ถุดบิ บราซิลเปนประเทศที่ประชากรรับประทานมันสําปะหลังเปนอาหารหลักมากที่สุดเฉลี่ย แลวรับประทานหัวสดคนละ 124 กิโลกรัมตอป อินโดนีเซียรับประทานมันสําปะหลังเปนอาหาร หลักเหมือนกัน ประชากรในชวาและ Madura ไดพลังงานจากมันสําปะหลัง 1,010 แคลอรี่ จากทั้งหมด 1,592 แคลอรี่ตอวัน ในรัฐ Kerala ของอินเดียประชากรบริโภคมันสําปะหลังเปน อาหารหลัก ประเทศในสมาคมเศรษฐกิจยุโรปใชมันสําปะหลังเล้ียงสัตวมากท่ีสุดปละประมาณ หาถงึ หกลานตัน (โสภณ 2526 ก.) สําหรับประเทศไทย มันสําปะหลังเปนพืชที่มีความสําคัญตอเศรษฐกิจของประเทศมาก พืชหนึ่ง เปนพืชท่ีมีเนื้อที่เพาะปลูกทั่วประเทศในป 2543 ประมาณ 7.4 ลานไร ทํารายไดใหแก เกษตรกรปละกวา 12,000 ลานบาท ประมาณ 97% ของผลผลิตจากมันสําปะหลัง (หัวมันสด) ถูกสงเขาโรงงานทําการแปรสภาพเปนผลิตภัณฑมันสําปะหลังมากมายหลายชนิด ในจํานวนน้ี ประมาณ 70% ของผลผลิตมันสําปะหลังใชในการแปรสภาพเปนอาหารสัตว สวนที่เหลือใชใน อุตสาหกรรมอื่น จึงนับวาผลผลิตจากมันสําปะหลังนอกจากจะทํารายไดใหแกกสิกรแลว ยังทํา รายไดใหกับประชากรอีกสวนหนงึ่ ผลสดุ ทา ยผลิตภณั ฑม ันสําปะหลังท่ีแปรสภาพแลว ไดสงเปน สนิ คาออกทาํ รายไดใหก ับประเทศคิดเปน มูลคาถึง 14,036 ลานบาทในป 2543 จากสถิติป 2543 ท่ัวโลกผลิตมันสําปะหลังได 172.7 ลานเมตริกตัน ในปเดียวกันนี้ ประเทศไทยผลิตได 19 ลานเมตริกตัน ผลิตไดมากเปนอันดับสามของโลก ประเทศที่ผลิต ไดมากที่สดุ ไดแ กไ นจเี รีย สามารถผลิตได 32.5 ลา นเมตรกิ ตนั (ตารางที่ 1) แหลงปลูกมันสําปะหลังที่สําคัญท่ีสุดของประเทศไทยในปจจุบัน คือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือภาคกลางซ่ึงรวมภาคตะวันออกและภาคตะวันตกไวดวย (ตารางท่ี 2) จังหวัดที่มีการปลูกมันสําปะหลังมากที่สุดตามสถิติป 2543 ไดแกจังหวัด นครราชสีมา 1,650,994 ไร รองลงมาคือ จังหวัดมุกดาหาร กําแพงเพชร ฉะเชิงเทรา สระแกว กาฬสนิ ธุ ขอนแกน ชลบรุ ี พษิ ณโุ ลก กาญจนบรุ ี (ตารางท่ี 3)
3 ตารางท่ี 1 แสดงผลผลติ มนั สําปะหลงั ของโลกและประเทศผผู ลติ มาก 10 ประเทศ ป 2543 ลาํ ดบั ที่ ประเทศผผู ลติ ผลิตผล (ลานเมตรกิ ตัน) 1 ไนจีเรีย 32,697 2 บราซลิ 22,960 3 ไทย 19,049 4 อินโดนเี ซีย 16,347 5 คองโก 15,959 6 กานา 7,845 7 อินเดีย 5,800 8 แทนซาเนยี 5,758 9 ยูกนั ดา 4,966 10 โมซัมบิก 4,643 ทมี่ า : ศูนยสถิติการเกษตร 2543 ตารางที่ 2 แสดงพนื้ ที่ปลกู มนั สาํ ปะหลงั ตามภาคตา งๆ ของประเทศไทย ป 2539 – 2543 ภาค พื้นท่ปี ลกู (ไร) 2539 2540 2541 2542 2543 เหนอื 969,244 1,002,928 900,435 938,198 1,035,380 ตะวันออกเฉียงเหนือ 4,833,334 4,744,890 3,923,822 4,162,640 4,219,849 กลาง 2,082,859 2,159,033 1,869,485 2,098,702 2,150,742 ใต - - -- - ท่ีมา : ศนู ยส ถติ กิ ารเกษตร 2543
4 ตารางท่ี 3 แสดงพน้ื ทปี่ ลูก ผลผลิต และผลิตผลเฉลย่ี ของป 2543 อันดับ จังหวดั พ้ืนท่ปี ลูก (ไร) ผลผลิต (ตน) ผลผลิตเฉล่ยี (กก./ไร) 1. นครราชสีมา 1,650,994 4,220,157 2,664 2. มกุ ดาหาร 458,313 1,131,962 2,635 3. กําแพงเพชร 402,006 1,125,774 2,887 4. ฉะเชงิ เทรา 384,081 1,052,045 2,984 5. สระแกว 353,987 1,036,268 2,972 6. กาฬสนิ ธุ 332,764 914,147 2,806 7. ขอนแกน 303,029 738,060 2,487 8. ชลบรุ ี 291,221 797,433 3,046 9. พิษณโุ ลก 216,458 486,843 2,378 10. กาญจนบรุ ี 238,434 584,776 2,268 ทมี่ า : ศนู ยสถิตกิ ารเกษตร 2543 สภาพดินฟาอากาศท่เี หมาะสม มันสําปะหลังเปนพืชที่ปลูกในเขตรอน ต้ังแตเสนรุงท่ี 30 องศาใตถึงเสนรุงที่ 30 องศาเหนือ ในเขตหนาวหรอื ในเขตอบอนุ ทีม่ อี ณุ หภมู เิ ย็นจัดถงึ ขั้นมหี มิ ะมันสําปะหลังจะไมสามารถขึ้นได ในเขต รอนที่ปลูกมันสําปะหลัง จะพบวาพืชนี้ขึ้นไดดีในสภาพดินฟาอากาศแตกตางกันอยางกวางขวาง คือ ข้ึนไดด ีในสภาพที่มีฝนตกชุก ดนิ มีความสมบูรณต าํ่ และเปนเกรดในทที่ ่ีคอนขางแหงแลงแถบทวีปอัฟ รกิ าหรือในทีบ่ รเิ วณเทอื กเขาแอนดิสที่มคี วามสูงถงึ 2,000 เมตร จากระดับนาํ้ ทะเล 1. การปรับตัวตอ สภาพฟาอากาศ มันสําปะหลังมีการเจริญเติบโตดีในเขตรอน ในบริเวณพื้นท่ีท่ีแตละฤดูกาลมีอุณหภูมิ เปลี่ยนแปลงมากๆ มันสําปะหลังจะไมสามารถขึ้นได แตในบริเวณพื้นท่ีท่ีอุณหภูมิเฉล่ียต่ํากวา 20 องศาเซลเซียส ซง่ึ อุณหภมู ิไมแปรปรวนมาก เชน ท่ปี ระเทศโคลอมเบยี เปรู เอกวาดอร ซ่ึงมี อุณหภูมิเฉล่ีย 17 องศาเซลเซียส มันสําปะหลังก็สามารถข้ึนได พ้ืนท่ีปลูกมันสําปะหลังสวนใหญ มีปริมาณนํ้าฝนเฉลี่ยตอปมากกวา 1,000 มิลลิเมตร จนถึง 1,300 มิลลิเมตรตอป แตทั้งน้ีใน พื้นท่ีท่มี ีฝนตกชุก จะตองมกี ารระบายนํา้ ดี เพราะหากมีน้าํ ทวมเพยี งวนั เดียวอาจทาํ ใหเ สยี หายได มันสําปะหลังเปนพืชทนแลงไดดี หลังจากปลูกและตนมันสําปะหลังต้ังตัวไดแลว แมจะ ขาดฝนเปน ระยะเวลานานถงึ 6 เดอื นตอป ในสภาพที่กระทบแลงมันสําปะหลังจะลดพ้ืนที่ใบโดย ใบแกจะรวงไป การสรา งใบใหมจะนอยลงและมีขนาดเล็ก ปากใบบางสว นจะปดทําใหก ารคายนา้ํ นอยลง จนกระท่ังมีฝนมันสําปะหลังจะดึงคารโบไฮเดรตที่สะสมในตนและหัวมาใชสรางใบและ ยอดใหม
5 มันสําปะหลังสามารถเจริญเติบโตไดในพื้นท่ีบางแหงที่มีปริมาณนํ้าฝนตอปนอยกวา 1,000 มิลลิเมตร เชนทางแถบทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล และทางทิศ ตะวันออกของทวีปอัฟริกา แตถาเปนบริเวณท่ีมีฝนตกนอยกวา 600 มิลลิเมตรตอป ไมสามารถ ปลกู มันสาํ ปะหลงั ได 2. การปรับตวั ตอสภาพดิน มันสําปะหลังปรับตัวไดดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณตํ่า และทนทานตอสภาพดินที่เปน กรดจัดเชน ในดินที่มีความเปนกรดเปนดาง (pH) ต่ํา 4.4 ก็ไมมีผลกระทบกระเทือนตอผลผลิต ซ่ึงมีพืชนอยชนิดท่ีมีคุณสมบัติทนตอสภาพดินกรดเชนเดียวกับมันสําปะหลัง แตมันสําปะหลังมี ขอจํากัด คือไมสามารถข้ึนไดดีในดินที่เปนดาง (pH) มากกวา 8 ขึ้นไป และนอกจากน้ีมัน สําปะหลงั ไมสามารถทนตอสภาพของดินทม่ี ีนํา้ ขงั โดยทว่ั ไปมันสาํ ปะหลงั ขน้ึ ไดด ใี นดินทุกชนิด ชอบดินรวนปนทราย มีความอุดมสมบูรณ ปานกลางมี (pH) อยูระหวาง 5.5–8 เปนพืชวันสั้น ผลผลิตจะลดลงถาชวงแสงของวันยาวเกิน 10–12 ช่ัวโมง สาํ หรบั ประเทศไทยปลูกมนั สําปะหลังไดตัง้ แตใตสุดจนถึงเหนือสุดของประเทศในอาณา บริเวณเสนรุง 6–20 องศาเหนือ เสนแวง 99–105 องศาตะวันออก แหลงที่ปลูกมันสําปะหลัง มากที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ซ่ึงมีปริมาณนํ้าฝนเฉล่ีย 1,200– 1,500 มลิ ลิเมตรตอ ป อุณหภูมเิ ฉลย่ี ของเดอื นไมตํ่ากวา 20 องศาเซลเซียส พื้นที่ปลูกอยูบริเวณ ท่ีมีความสูงจากระดบั น้ําทะเล 0–200 เมตร (โสภณ 2526 ก.) ลักษณะท่วั ไปทางพฤกศาสตร มันสําปะหลังหรือที่เรียกกันทั่วไปเปนภาษาอังกฤษวา Cassava เปนพืชที่จัดไดวาเปน แหลงคารโบไฮเดรตท่ีสําคัญที่สุด ภาษาในประเทศบราซิล ปารากวัยและอารเจนตินา เรียกวา Mandioca สวนประเทศไทยในแถบทวีปอเมริกาสวนใหญที่ใชภาษาสเปนเปนภาษาพูดจะเรียกวา Yuca ประทศในแถบทวีปเอเซียเรียกวา Tapioca และประเทศแถบอัฟริกาท่ีพูดภาษาฝร่ังเศส เรียกวา Manioc มันสําปะหลังเปนพืชที่มีถ่ินกําเนิด (Center of origin) อยูในเขตรอนของทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในอเมริกาใตแถบประเทศเปรู เม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส ซึ่งสันนิษฐานวามี การปลูก มนั สาํ ปะหลังประมาณ 3,000–7,000 ปมาแลว ตอมาไดขยายไปทั่วเขตรอนของทวีป อเมริกา และขยายไปสูแหลงอ่ืนๆ ของโลก โดยชาวปอรตุเกสและชาวสเปน มันสําปะหลังจาก ประเทศเม็กซิโก มายังประเทศฟลิปปนสประมาณคริสตศตวรรษท่ี 17 และชาวฮอลแลนดนํามา ยงั อินโดนเี ซียจากประเทศสุรนิ ัมประมาณคริสตศตวรรษที่ 18
6 สําหรับประเทศไทยนั้น ไมมีหลักฐานที่แนชัดวา มีการนํามันสําปะหลังเขามาปลูกเมื่อใด แตคาดวามีการนํามันสําปะหลังเขาสูประเทศไทย จากประเทศมาเลเซียเม่ือราวป พ.ศ. 2329 โดยเรียกชื่อตางๆ ในระยะตอมาวามันไม มันสําโรง คําวา “มันสําปะหลัง” น้ัน ภาษามาเลเซีย และภาษาอินโดนีเซียเรียกวา Ubikayu แปลวา พืชท่ีมีรากขยายใหญและไปคลายกับภาษาชวา ตะวนั ตกวา “สมั เปอ (sampar)” มันสําปะหลังมีชื่อสามัญ Cassava, Manihot, Manioc, Tapioca, Tapioka อเมริกาใต เรียกวา Yuca ภาษาโปรตุเกสในบราซิลเรียกวา Mandioca และไดจัดมันสําปะหลังไวเปน หมวดหมูดงั น้ี Genus : Manihot Family : Euphorbiaceae Subdivision : Angiospermae Class : Dicotyledonae Order : Geraniales พืชจําพวกมันสําปะหลังใน Genus Manihot น้ี มีอยูหลาย Species บาง Specie ก็ สามารถใชเปนอาหารได พืชเศรษฐกิจอื่นๆ ท่ีอยูใน Family เดียวกับมันสําปะหลังไดแก ยางพารา ละหุง สาํ หรบั มนั สาํ ปะหลังที่ปลูกในปจจุบันมีชื่อวิทยาศาสตรที่ถูกตองคือ Manihot esculenta Crang. สวนช่ือ Manihot utilissima Pohl. ซ่ึงก็เปนช่ือเดิมของมันสําปะหลังแตปจจุบันไมนิยมใช สมัยกอนแบงมันสําปะหลังเปนชนิดหวานกับชนิดขม M.esulenta เปนชนิดหวาน M.palmata หรือ M.dulcis เปนชนดิ ขม แตป จ จบุ ันมแี ต M.esulenta ชนิดหวานหรือขมแตกตา งกันท่ีกง่ิ พันธุ ตน มันสําปะหลังเปนไมพุม และมีอายุอยูไดหลายป (shrubby perennial crop) ความสูง ของตนมันสําปะหลังแตกตางกันตามพันธุ และสภาพแวดลอมอาจสูง 1-5 เมตร ทุกสวนของตน มันสําปะหลังมียางสีขาว การแตกกิ่งของมันสําปะหลังแตกตางกันตามพันธุ ซ่ึงแตกตางกันมาก ตั้งแตไมแตกก่ิง (unbranched) แตกกิ่ง 2 กิ่ง (dichotomus branching) แตกก่ิง 3 กิ่ง (trichotomus branching) แตไมเกิน 4 กิ่ง การแตกก่ิงยังมีจํานวนแตกตางกัน แตกก่ิงคร้ังแรก เรียก primary branch คร้ังท่ี 2 เรียก secondary branch จํานวนคร้ังท่ีแตกกิ่ง อาจมีมากข้ึนไป อีกได ถึงคร้ังที่ 7 ก็มี ความสูงของการแตกกิ่งแตกตางกันตามพันธุ บางพันธุแตก primary branch ตํ่า เม่ืออายุนอย บางพันธุแตก primary branch สูงเมื่ออายุมาก การแตกก่ิงทํามุมกับ ตนแตกตา งกันตามตามพนั ธุ
7 ลกั ษณะทว่ั ไปทางพฤกษศาสตร ภาพท่ี 1 เปรยี บเทยี บทรงตนเตย้ี และแตกกงิ่ กบั ไมแตกกง่ิ ภาพที่ 2 ทรงตน สงู และแตกกงิ่ ภาพท่ี 3 ลาํ ตนสีแตกตา งกนั ภาพที่ 4 รูป ลักษณะใบมันสําปะหลงั ท่ีแตกตา งกนั มาก
8 ตนมันสําปะหลังจัดเปนพวกไมเนื้อออน ไสกลางของตน (pith) มีขนาดใหญเปนผลให ตนเปราะหักงาย สวนของตนท่ีแก pith มีขนาดเล็กกวาสวนที่ยังออนสีของลําตนท่ีแตกตางกัน ตามพันธุ สวนยอดมักเปนสีเขียว สวนที่ตํ่าลงมามีสีแตกตางกันออกไป เชน สีเขียวเงิน สีเทาเงิน สีเหลือง จนถึงสีน้ําตาล ตนมีเปลือกบางลอกงายสวนของตนที่แกมักใบรวง ทําใหเกิด รอยแผลเปนของกานใบ ท่ีติดกับตนเรียก leaf scar ระยะหาง leaf scar เรียก storey length ระยะ storey length แตกตางกันขึ้นอยูกับพันธุ และระยะเวลาท่ีพืชเติบโต ในชวงฤดูฝน การ เจริญเติบโตเร็ว storey length ยาวหรือ leaf scar หางตรงกันขามในฤดูแลงการเจริญเติบโตมี นอย storey length ส้ันหรือ leaf scar ถี่เหนือ leaf scar ข้ึนไปมีตา (bud) ซ่ึงสามารถงอกงาม เปนตนใหมได เม่ือตนท่ีมีตาไปปลูก ขนาดของตนแตกตางกันตามพันธุตามสภาพแวดลอมและ ตามอายขุ องตน โดยเฉลยี่ เสน ผาศูนยก ลางของตนประมาณ 3-6 ซม. ใบ ใบมันสําปะหลัง เปนแบบ simple leaf แผนใบ ( lamina) ประกอบดวยแฉกใบ (lobe) ลึกแบบ palmate ตามปกติใบมี 3-9 lobe ใบท่ีมีอยูใกลชอดอกมีขนาดเล็กและมีจํานวน lobe นอย มักมีเพียง 1-3 lobe เทาน้ันรูปรางของ lobe แตกตางกันในแตละพันธุ lobe มีรูปรางตางๆ กันไดแก ovate, linear, oborate, lanceolate หรือ pandurate เสนใย (midrib) มีสีแตกตางกัน ตามพนั ธุ กานใบ (petioles) ติดอยกู ับฐานของแผนใบเปน รูปตัว V พยุงใหแผนใบอยูในแนวราบ กานยาวประมาณ 5–30 ซม. ยาวกวาแผนใบ กานใบมีสีแตกตางกัน ตั้งแตขาวหมนจนถึงสีแดง กานใบติดอยูกับลําตนโดยเรียงวนรอบลําตนแบบ 2/5 spiral phyllotaxy ลักษณะตางๆ ของใบ ไดแก จํานวน lobe ความยาว ความกวางของ lobe สีของกานใบ และสีของใบออน ใบแก สามารถใชจําแนกพันธุไ ด ดอก มันสําปะหลังเปนพืชชนิด monoecious คือ มีทั้งดอกตัวผู (staminate flower) และดอก ตัวเมีย (pistillate flower) ดอกตัวผูกับดอกตัวเมียอยูแยกดอกกัน แตอยูในชอดอก (inflorescence) เดียวกันชอดอกเปนแบบ penicle ชอดอกเกิดท่ีจุดตายอดของตน (apical branch) พนั ธุท่ีไมแ ตกกง่ิ จึงไมมีชอดอก ดอกตัวผูเกิดอยูที่สวนบนของชอดอก มีกลีบเล้ียง (sepel) 5 อัน ไมมีกลีบดอก (petal) แตละดอกมี 10 stamen จัดเรียงกันเปน 2 วง วงในมี 5 stamen และมี filament ส้ัน วงนอกมี 5 stamen และมี filament ยาวกวาวงใน filament แยกไมติดกัน ดอกตัวผูมีกานดอก (pedical) ยาว 0.5–1.0 ซม. ดอกตวั ผูบ านหลงั ดอกตวั เมียประมาณ 7–10 วัน ดอกตัวเมียเกิดอยูที่สวนลางของชอดอก โดยทั่วไปมีขนาดใหญกวาดอกตัวผู ประกอบดวยกลีบเลี้ยง 5 อัน ไมมีกลีบดอก petal, รังไข covary ประกอบดวย 3 caple แตละ caple มี 1 ovule
9 ภาพที่ 5 ดอกมนั สาํ ปะหลงั เกดิ ที่ยอด ภาพที่ 6 มันสาํ ปะหลังสวนใหญอ อกดอก ภาพท่ี 7 ดอกตัวผู ดอกตวั เมยี อยใู น ชอเดยี วกนั ดอกตวั ผอู ยู สว นบนของชอดอก ภาพที่ 8 เปรียบเทยี บดอกตัวผู (ขวา) กบั ดอกตัวเมยี (ซา ย)
10 จากการศึกษาพบวา ดอกตัวผูและดอกตัวเมีย เร่ิมบานเวลาประมาณ 12.00 น. ดอกตัว เมยี มีระยะ receptive ประมาณ 24 ชวั่ โมง ต้ังแตเร่ิมบาน สวนละอองเกสร (pollen) นั้นสามารถ เกบ็ ไวใน desicator ไดน านถงึ 6 เดือน ละอองเกสรจะรว งหมดในเวลาค่าํ ของวนั เดยี วกัน การผสมตามธรรมชาตขิ องมันสําปะหลัง เกิดขนึ้ ไดมักเกดิ จากแมลงและลมเปน ตัวนํามา ละอองเกสรไปตกลงบน stigma ของตัวเมีย เปนผลใหเกิดการผสมเกสร (pollination) ขึ้น หลังจากผสมเกสรใชเวลาประมาณ 8–19 ชัว่ โมง จึงเกดิ การผสมพันธุ (fertilization) ผลและเมลด็ หลังจากเกิดการผสมพันธุแลวไขก็จะเจริญเติบโตเปนผล ผลมันสําปะหลังเปนแบบ Capsule ผลโตเต็มที่ขนาดเสนผาศูนยกลางประมาณครึ่งนิ้ว ประกอบดวย 3 locule แตละ locule มีเมล็ดอยูภายใน 1 เมล็ด แตละผลมี 6 wing ผลจะแกเต็มที่ประมาณ 2½ – 3 เดือน หลังจากการผสมพันธุ เม่ือผลแกเต็มท่ี จะแตกและคัดเมล็ด (dehiscent) เม็ดสีนํ้าตาลลายดํา ขนาดกวางประมาณ ¾ ซม. หนา ½ ซม. และยาว 1 ซม. ท่ีเมล็ดสามารถเห็น caruncle สีขาว ชดั เจน ราก หัว มนั สาํ ปะหลงั มรี ะบบรากชนิด adventitious root system เกิดจากสว นตางๆ ของตน คือ cambium ตา leaf scar และ สวนโคนของตน รากมันสําปะหลังมี 2 ชนิดคือ รากจริง (true or wiry roots) และรากสะสม (Modified or storages roots) รากจรงิ เจริญเตบิ โตไปทางลึกมากกวา ดานขางเปนรากยึดเหน่ียวและหาอาหารใหแกตน สวนรากสะสมเจริญเติบโตไปในทางดานขาง รอบๆ ตนเปนสวนมาก เมื่อตนมันสําปะหลังอายุ 2–3 เดือน หลังจากปลูกรากสะสมก็จะเริ่ม ขยายขึ้น จากการสะสมแปงใน parenchyma cell เรียกรากสะสมน้ีวา หัว อันเปนแหลงสะสม อาหาร หัวมันสําปะหลังสวนใหญเกิดอยูบริเวณโคนตนในรัศมีประมาณ 60 ซม. จํานวนหัว รูปราง ขนาด สี น้ําหนัก เปอรเซ็นตแปง ปริมาณกรดของหัว แตกตางกันไปตามแตละพันธุ มีจํานวนหัวประมาณ 5-15 หัวตอตน หัวมีขนาดเสนผาศูนยกลางประมาณ 3-15 ซม. ข้ึนอยูกับ อายุและสภาพแวดลอมดว ย มแี ปง ประมาณ 15-40% เม่ือตัดหัวตามขวางจะเหน็ วาประกอบดว ย 3 สวน 1. ผิวหรือเปลือกชั้นนอก (periderm) เปนเย่ือบางๆ อยูช้ันนอกสุดเปน cork layer ความหนา ลักษณะเรียบ – ขรุขระ และสีของผิวนอกของหัวมันสําปะหลัง แตกตางกันออกไป มี สีขาว นา้ํ ตาลออ น นาํ้ ตาลแก ชมพู 2. เปลือกชั้นใน (cortical region) อยูถัดผิวเขามามีความหนา 0.1-0.3 เซนติเมตร สวนมากมีสีขาว ชมพู อาจมีสีน้ําตาล เปลือกประกอบดวย ชั้นของ cell ชนิดตางๆ ไดแก scleren chyma, cortical-parenchyma เรียกรวมกันวา เปลอื ก (peel)
11 ภาพท่ี 9 ดอกตัวผูของมันสาํ ปะหลงั ภาพท่ี 10 ดอกตัวเมยี ของมนั สาํ ปะหลัง ภาพที่ 11 ผล และเมลด็ มนั สําปะหลงั ภาพที่ 12 เมล็ดมันสาํ ปะหลัง
12 3. เนื้อหรือสวนแกนกลาง (large central pith) เปนสวนที่สะสมแปงเปนสวนประกอบ สวนใหญของหัวท้ังหมด เปนสวนที่ใชเปนอาหารได ประกอบดวยชั้นของ cell ชนิดตางๆ คือ cambium, parenchyma, xylem, vessel เนือ้ มีสีตางๆ ขาว ครมี เหลือง ชมพู แปงในหัวมันสําปะหลังสะสมอยูในสวนของ parenchyma cell ซึ่งมีอยูท้ังในสวนของ เปลอื กและเนื้อแตในเปลือกมปี ริมาณนอยกวา ในเนื้อ (โสภณ 2526 ข.) ตารางที่ 4 สวนประกอบหลักในหัวมนั สําปะหลงั องคป ระกอบในหัวมนั ปรมิ าณ (ตอ100 กรมั นํ้าหนกั หัวมัน) น้ํา 60.21 - 75.32 เปลือก 4.08 - 14.08 เนื้อ (แปง) 25.87 - 41.88 ไซยาไนด (ppm) 2.85 - 39.27 องคป ระกอบในหัวมนั ปรมิ าณ (ตอ100 กรัมนาํ้ หนกั แหงเนอื้ มัน) แปง 71.9 – 85.0 โปรตนี 1.57 – 5.78 เยื่อใย 1.77 – 3.95 เถา 1.20 – 2.80 ไขมนั 0.06 – 0.43 คารโ บไฮเดรตท่ไี มใชแปง 3.59 – 8.66 มันสําปะหลังเปนพืชที่เก็บสะสมอาหารไวในราก เม่ือพืชมีการสรางอาหารจากใบและ สวนท่ีเปนสีเขียวแลว จะสะสมในรูปคารโบไฮเดรต คือแปงไวในราก ความสามารถในการสราง และสะสมแปงในรากมีความแตกตางกันบาง เนื่องมาจากพันธุของมันสําปะหลัง อายุเก็บเก่ียว ปริมาณน้ําฝนในชวงแรกกอนการเก็บเกี่ยว และปจจัยอื่นๆ จึงทําใหสวนประกอบของหัวมัน อาจจะแตกตางกันไป โดยท่ัวไปหัวมันสําปะหลังมีอายุ 12 เดือน ที่ไดรับปริมาณน้ําฝนเพียงพอ และไมมีฝนตกชุกขณะเก็บเก่ียว จะมีสวนประกอบแสดงไดดังตารางที่ 4 จะเห็นวาองคประกอบ สวนใหญในรากนั้น นอกจากนํ้าแลวคือแปง ซึ่งมีถึงรอยละ 70-80 จึงถือวามันสําปะหลังเปนพืช ท่ีเปนแหลงของคารโบไฮเดรตท่ีใหพลังงานกับคนและสัตวไดดีที่สุด โดยปกติหัวมันสําปะหลังท่ี มปี รมิ าณแปง สูงปริมาณน้ําจะนอยและความหนาแนน ของหวั จะมสี ูง ฉะนั้นในการตรวจสอบหรือ วัดปริมาณแปง (เชอ้ื แปง) อยา งเรว็ ทีน่ ยิ มทาํ กันคือตรวจสอบความหนาแนนโดยการช่ังนํ้าหนัก หัวมันในนํ้า ถานํ้าหนักหัวมันในนํ้านอยแสดงวาหัวมันมีปริมาณน้ํามากและมีแปงนอย ในกรณี กลับกนั ถาน้ําหนกั หัวมนั ในนา้ํ มากกแ็ สดงวาหวั มนั มปี ริมาณน้ํานอ ยและมีแปงมาก
13 ภาพที่ 13 รูปรางและสีผิวของหวั มนั สาํ ปะหลงั ภาพที่ 14 หัวมนั สาํ ปะหลัง
14 ในตารางที่ 4 มีสารเคมีที่นาสนใจคือ ไซยาไนด (กรดไซยานิคอิสระ) ที่มีในหัวมันใน ปริมาณท่ีแตกตางกันต้ังแต 2.85 มิลลิกรัม ถึง 39.27 มิลลิกรัมตอกิโลกรัมของหัวมันสําปะหลัง กรดไซยานิคนี้เปนอันตรายตอส่ิงมีชีวิตจะมีอยูในหัวมันสดท่ีเพ่ิงเก็บมา เมื่อหัวมันถูกเก็บเกี่ยว จากไรแลวปริมาณกรดไซยานิคจะเร่ิมลดลง ถาถูกความรอน (เชน ตากแดด เผา ตม) กรดไซ ยานิคกจ็ ะแตกตัวหมดไป (กลาณรงค และคณะ 2542) ตารางที่ 5 ขอมลู บางประการทางอุตุนิยมวิทยาและอื่นๆ ที่พชื ตองการ ปจ จัยท่ีตองการ หนวย เหมาะสม ตา่ํ สุด สูงสดุ อุณหภูมิ องศาเซลเซียส 18-23 10 35 ปริมาณนํา้ ฝนทต่ี อ งการ มลิ ลิเมตร 1200-1500 500 4000 ความช้นื สัมพทั ธ เปอรเซ็นต 60 50 เนอื้ ดนิ ทุกชนดิ ยกเวน ดนิ เหนียวจดั การระบายน้ํา ตอ งการดินท่มี กี ารระบายนา้ํ ดี ความเปน กรด-ดา ง (pH) 6.0-7.0 5.0 8.5 ระยะวิกฤตติ อ การขาดนา้ํ อายุ 2 – 3 เดอื น อายพุ ืช วัน 365 สภาพจาํ กดั ตอการงอกของเมลด็ อุณหภมู ติ า่ํ กวา 10๐C แมลงศตั รู ไรแดง, ปลวก, เพลีย้ หอย, ดว งหนวดยาว โรค ใบจุดสนี ้าํ ตาล, ใบไหม, หัวเนา ปริมาณธาตอุ าหารทีต่ อ งการ กก. / ไร N 20 P2O5 5 K2O 25 (สรุ ชยั , 2537) 4. ชนิดและพนั ธมุ ันสําปะหลัง มนั สําปะหลังทป่ี ลกู ในแหลงปลูกท่ัวโลกและในประเทศไทย แบง เปน 2 ชนิด คอื 1. ชนิดหวาน (Sweet type) เปนมันสําปะหลังท่ีมีปริมาณกรดไฮโดรไซนานิคตํ่าไมมี รสขม ใชเพ่ือการบริโภคของมนุษย มีท้ังชนิดเน้ือรวน นุม และชนิดเนื้อแนน เหนียว ในประเทศ ไทยไมมีการปลูกเปนพ้ืนที่ใหญๆ เน่ืองจากมีตลาดจํากัด สวนใหญจะปลูกรอบๆ บาน หรือตาม รองสวน เพื่อบริโภคเองในครัวเรือนหรือเพื่อจําหนายตามตลาดสดในทองถ่ินในปริมาณไมมาก ราคาตอ กโิ ลกรมั จะประมาณ 2-4 บาท 2. ชนิดขม (Bitter type) เปนมันสําปะหลังที่มีปริมาณกรดไฮโดรไซยานิคสูง เปนพิษ และมีรสขมไมเหมาะสําหรับการบริโภคของมนุษยหรือใชหัวสดเลี้ยงสัตวโดยตรง แตจะใช สําหรับอุตสาหกรรมแปรรูปตางๆ เชน แปงมัน มันอัดเม็ด แอลกอฮอล เนื่องจากมีปริมาณแปง สงู ราคาตอ กโิ ลกรัมจะประมาณ 0.50-1.00 บาท
15 มันสําปะหลังท่ีปลูกในประเทศไทยสวนใหญเปนชนิดขมสําหรับใชในอุตสาหกรรม พันธุท่ีปลูกกันมากเรียกวาพันธุ “พื้นเมือง” ซึ่งสันนิษฐานวา เปนพันธุท่ีนําเขามาจากประเทศ มาเลเซีย มาปลูกคร้ังแรกทางภาคใตของประเทศไทย ที่สถานีทดลองภาคใต (ปจจุบันเปน ศูนยวิจัยยางสงขลา) แลวนําไปทดลองปลูกท่ีสถานีกสิกรรม จังหวัดระยอง (ปจจุบันเปน ศูนยวิจัยพืชไรระยอง) และบริเวณใกลเคียง ปรากฏวาใหผลดีมีความเหมาะสมจึงขยายไปทั่ว ประเทศ พันธุนี้มีช่ือเรียกตางๆ เชน พันธุพื้นเมือง พันธุยอดขาว พันธุสิงคโปร และพันธุระยอง ในระยะหลังเมื่อกรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร เริ่มงานวิจัยมันสําปะหลัง จึงทําการปรับปรุงพันธุมันสําปะหลัง จนในปจจุบันมีพันธุมันสําปะหลังเพ่ือการอุตสาหกรรมท่ี ไดร บั การรับรองพันธุเปนพนั ธุแนะนําแลว 1. พันธุระยอง 1 ประวัติ ป พ.ศ. 2499 สถานีกสิกรรมหวยโปง (ศูนยวิจัยพืชไรระยอง ปจจุบัน) ไดรวบรวมพันธุ มันสาํ ปะหลงั จากทอ งถิ่นตา งๆ ในภาคตะวันออก พบวาพนั ธทุ ี่รวบรวมไดน้ันสวนใหญมีลักษณะ คลายคลงึ กัน ป พ.ศ. 2500 นําพันธุท่ีรวบรวมไดม าปลูกคัดเลือกแบบ Clonal Selection แลวคัดเลือก พันธุท่ีใหผลผลิตสูงสุด ปรากฏวาพันธุที่ใหผลผลิตสูงสุดเปนพันธุที่รวบรวมไดจากทองท่ีของ จังหวัดระยอง จึงไดเรียกชื่อวาพันธุระยองซึ่งตอมาไดขยายพันธุแจกจายใหเกษตรกร และ ทดลองเปรียบเทียบผลผลิตกับพันธุท่ีรวบรวมไดจากทองท่ีตางๆ ท่ัวประเทศ และพันธุที่นําเขา จากตางประเทศ เชน จากอินโดนีเซีย พบวา พันธุระยองใหผลผลิตสูงกวาพันธุตางๆ ที่นํามา เปรยี บเทียบ ป พ.ศ. 2518 กลุม นกั วชิ าการผูปฏิบัตงิ านวิจัยมันสาํ ปะหลังต้งั ชื่อพนั ธุที่คัดเลือกไดน้ีวา พนั ธรุ ะยอง 1 และไดผ ลิตตนพันธแุ จกจา ยใหเกษตรกรอยา งกวางขวางต้ังแตนัน้ เปนตนมา ลักษณะเดน พนั ธุระยอง 1 เปน พนั ธุท่ีใหผ ลผลติ คอ นขางสูง ปรับตวั เขากบั สภาพแวดลอ มตา งๆ ของ ประเทศไทยไดดี ทรงตนสูงตรง สะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา เก็บเก่ียว และขนยายตนพันธุ ตนพนั ธุมคี วามแขง็ แรง มีความงอกดีและเกบ็ รกั ษาไดน าน ขอ จาํ กัด ปรมิ าณแปงไมสงู คอื ประมาณ 18 เปอรเ ซน็ ต ในฤดฝู น หรือ 24 เปอรเ ซ็นต ในฤดแู ลง ลักษณะประจําพนั ธุ ยอดออนสีมวง ในที่เจริญเต็มท่ีสีเขียวอมมวง กานใบสีเขียวอมมวง แผนใบเปนแบบใบ หอกปลายมน (Oblanceolate) มี 3, 5, 7 ถึง 9 แฉก ตนสูงประมาณ 2.0-3.0 เมตร ลําตนตรง มี สีเทาเงิน รอยแผลเปนของใบ (Leaf scar) ใหญนูน แตกก่ิงนอยคือ ประมาณ 0-1 ระดับ หาก
16 แตกกิ่ง ก่ิงแรกจะแตกสูงจากพ้ืนดินประมาณ 1.8 เมตร กิ่งทํามุมแคบ (15-30 องศา) หัวยาว เรียวผิวเรียบ เปลือกสีขาวนวล เน้ือสีขาว สวนใหญจะออกดอกและติดผลเม่ืออายุเกินกวา 1 ป จงึ ไมคอ ยไดเหน็ ดอกและผลของพันธรุ ะยอง 1 ตามแหลง ปลูกโดยทว่ั ไป ผลผลิตและองคประกอบของผลผลิต ผลผลิตหัวสดเฉล่ีย 3.22 ตันตอไร มีแปง 18.3 เปอรเซ็นต หรือมีน้ําหนักแหง (Dry matter) 31.7 เปอรเซ็นต ในฤดูฝนใหผลผลิตแปงประมาณ 0.60 ตันตอไร หรือใหผลผลิตมัน แหงประมาณ 1.03 ตันตอไร มีน้ําหนักรวม (Total plant weight) 5.70 ตันตอไร ดัชนีการเก็บ เกี่ยว (H.I.) ประมาณ 0.56 และมจี ํานวนหัวตอตนเฉล่ยี 8.8 หวั สวนประกอบทางเคมขี องหัวสด มีปริมาณกรดไฮโดรไซยานิค 43 ppm แคโรทีน 79.7 ไมโครกรัม/100 กรัม ไวตามินเอ 133.0 IAU/100 กรมั ความตา นทานตอโรคและแมลง ในสภาพธรรมชาติพันธุระยอง 1 มีความตานทานโรคใบไหมปานกลาง ไมพบอาการ ของโรครุนแรงถึงขนาดทําใหตนตาย แตจากการทดลองปลูกเชื้อ (Xanthomonas campestris pv. manihotis) พบวาพันธุระยอง 1 แสดงอาการของโรครุนแรง คือมีอาการยางไหลท่ีตนทําให ยอดเหยี่ ว ถงึ ยอดแหงตาย โรคใบจุดสีนํ้าตาล พบเห็นไดท่ัวไปในแปลงปลูกมันสําปะหลังทั่วประเทศ แตระดับการ เปนโรคไมรุนแรงถึงขั้นทําใหตนตาย ผลการสํารวจการเปนโรคใบจุดในมันสําปะหลัง 124 พันธุ ในป 2532 พบวาพันธุที่เปนโรคใบจุดมากท่ีสุด มีระดับการเปนโรค 8.74 เปอรเซ็นต พันธุ ระยอง 1 มรี ะดับการเปน โรค 4.80 เปอรเ ซน็ ต ไรแดง แมลงหวี่ขาว และเพลี้ยแปงเปนศัตรูธรรมชาติที่สําคัญของมันสําปะหลัง แตการ แพรระบาดในแตละปไมสม่ําเสมอ จากการสํารวจความหนาแนนของศัตรูพืช 3 ชนิดดังกลาว ในป 2533 ซึ่งมีการแพรระบาดของแมลงนอย พบวาพันธุระยอง 1 ไมมีไรแดง แมลงหว่ีขาว หรอื เพล้ยี แปง เขาทําลายเลย แตในป 2534 ซึ่งมีแมลงแพรระบาดมาก พบการเขาทําลายโดยไรแดง มคี วามหนาแนน 14.4 เปอรเ ซน็ ต แมลงหว่ีขาว 3.8 เปอรเซ็นต และเพลี้ยแปง 1.9 เปอรเซน็ ต 2. พันธรุ ะยอง 3 ประวตั ิ พันธุระยอง 3 มีช่ือเดิมวา CM407-7 หรือหวยโปง 4 ไดจากการท่ีนักวิชาการจาก สถาบันวิจัยพืชไรนําเมล็ดลูกผสมท่ีเกิดจากการผสมระหวางพันธุ MMex 55 กับพันธุ MVen 307 ที่ศูนยเกษตรเขตรอนนานาชาติ (CIAT) ประเทศโคลอมเบีย มาปลูกคัดเลือกในประเทศไทย ทสี่ ถานที ดลองพืชไรหว ยโปง เมื่อป พ.ศ. 2518 มีขัน้ ตอนการดาํ เนนิ งานดังนี้ ป พ.ศ. 2519 คดั เลือกครง้ั ท่ี 1 จากตนท่ปี ลูกจากเมล็ด
17 ป พ.ศ. 2520 คัดเลอื กคร้งั ท่ี 2 แบบตนตอแถว ป พ.ศ. 2521-2525 เปรียบเทียบเบื้องตน เปรียบเทียบมาตรฐาน เปรียบเทียบในทองถิ่น เปรียบเทียบในไรเกษตรกร และทดสอบพันธุในไรเกษตรกร ผลปรากฏวา CM407-7 หรือ หวยโปง 4 มีเปอรเซ็นตแปงสูงและใหผลผลิตแปงสูงกวาพันธุระยอง 1 ไดรับการรับรองพันธุ เปนพันธุแนะนํา ช่ือ พันธุระยอง 3 จากคณะกรรมการวิจัย กรมวิชาการเกษตร เม่ือวันที่ 18 พฤษภาคม 2526 ลักษณะเดน มีเปอรเซ็นตแปงสูง คือประมาณ 23 เปอรเซ็นตในฤดูฝน หรือ 28 เปอรเซ็นตในฤดูแลง ใหผลผลิตแปงสูงกวาพันธุระยอง 1 มีปริมาณกรดไฮโดรไซยานิคตํ่ากวาพันธุระยอง 1 นําไปใช บรโิ ภคไดดว ย ขอจํากดั ตนเตี้ยและแตกก่ิง ไมสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา หัวแหลมยาว เก็บเกี่ยวยากกวา พันธุระยอง 1 และตองการสภาพแวดลอมดีเพ่ือใหไดผลผลิตดี หากสภาพแวดลอมไมดีจะให ผลผลิตหัวสดตาํ่ กวา พันธุระยอง 1 ลกั ษณะประจาํ พันธุ ยอดออนสีเขียวออน ใบที่เจริญเต็มท่ีสีเขียวออน กานใบสีเขียวออนปนแดง แผนใบเปน แบบใบหอก (Lanceolate) ตนสูงประมาณ 1.30-1.80 เมตร ลําตนสีน้ําตาลออน แตกกิ่ง 1-4 ระดับ ระดับแรกสูงจากพ้ืนดินประมาณ 80 ซม. ก่ิงทํามุมกวาง 75-90 องศา หัวยาวเรียวแหลม เปลือกสนี าํ้ ตาลออน เนอื้ ขาว ออกดอกไดห ลายครง้ั ภายใน 1 ป มีดอกและผลดก ผลผลิตและองคป ระกอบของผลผลติ ผลผลิตหัวสดเฉลี่ย 2.73 ตันตอไร มีแปง 23.1 เปอรเซ็นต หรือมีน้ําหนักแหง (Dry matter) 35.2 เปอรเซ็นต ในฤดูฝน ใหผลผลิตแปงประมาณ 0.65 ตันตอไร หรือใหผลผลิตมัน แหงประมาณ 0.97 ตันตอไร มีนํ้าหนักรวม (Total plant weight) 4.32 ตันตอไร ดัชนีเก็บเก่ียว (H.I.) ประมาณ 0.63 ซม. และมจี ํานวนหัวตอตน เฉลี่ย 7.4 หวั สว นประกอบทางเคมขี องหัวสด มีปริมาณกรดไฮโดรไซยานิค 34 ppm แคโรทีน 94.7 ไมโครกรัม/100 กรัม ไวตามินเอ 158.0 IAU/100 กรัม ความตา นทานตอโรคและแมลง ทง้ั ในสภาพธรรมชาตแิ ละจากการทดลองปลูกเช้ือพบวา พันธุระยอง 3 มีความตานทาน โรคใบไหมป านกลาง ผลการสํารวจโรคใบจุดสีนํ้าตาลในป 2532 พบวา พันธุระยอง 3 มีระดับการเปนโรค 2.31 เปอรเ ซ็นต ซง่ึ ตาํ่ กวา พนั ธรุ ะยอง 1 จากการสํารวจความหนาแนนของไรแดง แมลงหว่ีขาว และเพล้ียแปง ในป 2533 ซ่ึงมี การแพรระบาดของแมลงนอย พบความหนาแนนของไรแดงในพันธุระยอง 3 1.36 เปอรเซ็นต
18 แมลงหว่ีขาว 2.28 เปอรเซ็นต และไมพบเพล้ียแปง ในป 2534 ซึ่งมีแมลงแพรระบาดมาก พบ ความหนาแนน ของไรแดง 13.8 เปอรเ ซน็ ต แมลงหว่ีขาว 8.1 เปอรเซ็นต และไมพบเพลี้ยแปง 3. พันธุระยอง 2 ประวตั ิ พันธุระยอง 2 มีชื่อเดิม CM 305-21 หรือหวยโปง 6 ไดจากการท่ีนักวิชาการจาก สถาบันวิจัยพืชไรนําเมล็ดลูกผสมที่เกิดจากการผสมระหวางพันธุ MCol 113 กับพันธุ MCol 22 ที่ศูนยเกษตรเขตรอนนานาชาติ (CIAT) ประเทศโคลอมเบีย มาปลูกคัดเลือกในประเทศไทย ที่ สถานีทดลองพชื ไรหว ยโปง เมอ่ื ป 2518 มขี น้ั ตอนการดาํ เนนิ งานดังน้ี ป พ.ศ. 2519 คดั เลอื กครัง้ ท่ี 1 จากตน ท่ปี ลูกจากเมลด็ ป พ.ศ. 2520 คัดเลอื กคร้งั ที่ 2 แบบตน ตอแถว ป พ.ศ. 2521-2525 เปรียบเทียบพันธุและทดสอบพันธุ ผลปรากฏวาพันธุ CM 305-21 ใหผลผลิตสูงระดับเดียวกับพันธุระยอง 1 มีคุณสมบัติเหมาะในการบริโภคเมื่อนําไปผานเปน แผนบางๆ แลวนํามาทอดกรอบจะมีรสชาติคลาย Potato Chips จึงไดรับการรับรองพันธุเปน พันธุแนะนําสําหรับการบริโภค ชื่อพันธุระยอง 2 จากคณะกรรมการวิจัย กรมวิชาการเกษตร เม่อื วันท่ี 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 ลกั ษณะเดน ผลผลิตสูงเชนเดียวกับพันธุระยอง 1 เนื้อแนน เหนียว มีรสหวาน และมีสีเหลือง เหมาะ สําหรับบริโภคโดยเฉพาะในรูปของมนั ทอดกรอบ ขอ จาํ กัด มีเปอรเซ็นตแปงต่ําประมาณ 14 เปอรเซ็นตในฤดูฝน ไมสามารถปลูกเพ่ือสงขาย โรงงานอตุ สาหกรรมแปงมันหรอื มนั เสน ได ลักษณะประจําพันธุ ยอดออนสีเขียวอมมวง ใบที่เจริญเต็มที่สีเขียวแก กานใบสีเขียวอมมวง แผนใบเปน แบบใบหอก (Lanceolate) ตนสูงประมาณ 1.8-2.2 เมตร ลําตนโคง สีน้ําตาลออนอมเขียว แตกก่ิง 0-1 หากแตกกิ่งจะแตกท่ีระดับความสูงประมาณ 1.5 เมตรขึ้นไป กิ่งทํามุมกวาง 75-90 องศา หัวไมดก เปลือกนอกสีนํ้าตาลออน เน้ือในสีเหลืองออน มักจะไมออกดอกภายใน 1 ป ดอกและผลไมดก ดอกตัวผไู มม ีอบั และละอองเกสร องคประกอบทางเคมขี องหวั สด มแี คโรทนี สูงกวา พนั ธอุ ื่นๆ คือประมาณ 502.04 ไมโครกรมั /100 กรมั มไี วตามินเอ 837 IAU/100 กรมั มีกรดไฮโดรไซยานคิ 24 ppm
19 ความตานทานโรคและแมลง ในสภาพธรรมชาติพันธุระยอง 2 มีความตานทานโรคใบไหมปานกลาง แตจากการปลูก เชือ้ จะมอี าการของโรครนุ แรง คือ มีอาการยางไหลที่ตน ยอดเหีย่ ว หรือยอดแหง ตายได ผลการสํารวจโรคใบจุดสีน้ําตาลในป 2532 พบวาพันธุระยอง 2 มีระดับการเปนโรค 3.25 เปอรเ ซน็ ต ซ่งึ นอยกวาพนั ธหุ า นาทแี ละระยอง 1 การแพรร ะบาดของไรแดง แมลงหวข่ี าว และเพลี้ยแปงในพันธุระยอง 2 ในป 2534 ซ่ึงมี การแพรระบาดของแมลงมาก พบวามีความหนาแนนของโรคไรแดงสูงถึง 41.2 เปอรเซ็นต แต แมลงหวข่ี าว และเพลี้ยแปงมีนอ ยคือ 3.7 เปอรเซ็นต และ 5.6 เปอรเ ซ็นต ตามลําดับ 4. พนั ธุระยอง 5 ประวัติ พันธุระยอง 5 ไดจากการผสมพันธุระหวางพันธุ 27-77-10 กับพันธุระยอง 3 ในป 2525 ทีศ่ ูนยวจิ ยั พืชไรระยอง มีขนั้ ตอนการดําเนินงานดงั น้ี ป พ.ศ. 2525 คดั เลอื กครัง้ ที่ 1 จากตนที่ปลกู ดว ยเมลด็ ป พ.ศ. 2526 คดั เลอื กครั้งที่ 2 แบบตนตอ แถว ป พ.ศ. 2527-2536 เปรยี บเทียบพนั ธแุ ละทดสอบพนั ธปุ ระมาณ 120 แปลง ป พ.ศ. 2537 กรมวชิ าการเกษตรรับรองพันธุ ลกั ษณะเดน ผลผลติ สงู ปรบั ตัวเขากับสภาพแวดลอ มไดด ี ตนพันธมุ คี วามงอกดี ลกั ษณะประจาํ พนั ธุ ยอดออ นสีมวงออน ใบที่เจริญเต็มท่ีสีเขยี วแก กานใบสีแดงเขม แผนใบเปนแบบใบหอก (Lanceolate) ตนสูงประมาณ 1.7-2.2 เมตร ลําตนสีนํ้าตาลออนอมเขียว แตกก่ิง 2-3 ระดับ ระดับแรกสูงจากพื้นดินประมาณ 100-200 ซม. กิ่งทํามุมประมาณ 45-60 องศา หัวอวนสั้นเก็บ เกยี่ วงาย เปลือกนอกสนี าํ้ ตาลออน เนอ้ื สขี าว ออกดอกไดภ ายใน 1 ป ดอกและผลคอ นขา งดก ผลผลติ และองคประกอบของผลผลิต ผลผลิตหัวสดเฉลี่ย 4.02 ตันตอไร มีแปง 22.3 เปอรเซ็นต หรือมีน้ําหนักแหง (Dry matter) 34.6 เปอรเซ็นต ในฤดูฝนใหผลผลิตแปงเฉล่ีย 0.92 ตันตอไร หรือใหผลผลิตมันแหง เฉลีย่ 1.41 ตันตอไร มนี ้ําหนักตนรวม (Total plant weight) 6.03 ตันตอไร ดัชนีเก็บเก่ียว (H.I.) ประมาณ 0.67 และมีจํานวนหวั ตอตนเฉลีย่ 10.3 หัว ความตานทานตอ โรคและแมลง ในสภาพธรรมชาติจะพบอาการของโรคใบไหมในพันธุระยอง 5 ไดมากกวาพันธุอื่นๆ แตยังจัดวาเปนพันธุท่ีมีความตานทานตอโรคใบไหมปานกลาง เน่ืองจากไมพบวาตนตายจาก
20 การเปนโรค สวนใหญมีอาการที่ใบ แตไมลุกลามมากไปกวาน้ัน จากการปลูกเชื้อยืนยันวาพันธุ ระยอง 5 มีความตา นทานโรคใบไหมป านกลาง ผลการสํารวจโรคใบจุดสีนํ้าตาลในป 2532 พบวาพันธุระยอง 5 มีระดับการเปนโรค 4.26 เปอรเซ็นต ซ่ึงมากกวา พันธุระยอง 3 ระยอง 60 และระยอง 90 แตน อ ยกวาพนั ธรุ ะยอง 1 จากการสํารวจความหนาแนนของไรแดง แมลงหวี่ขาว และเพลี้ยแปงในป 2533 ซึ่งมี การแพรระบาดของแมลงนอย พบความหนาแนนของไรแดงในพันธุระยอง 5 แมลงหว่ีขาว 0.10 เปอรเซ็นต และเพล้ียแปง 0.49 เปอรเซ็นต ในป 2534 มีการแพรระบาดของแมลงมาก พบความหนาแนนของไรแดง 5.6 เปอรเซ็นต แมลงหวี่ขาว 6.3 เปอรเซ็นต และเพล้ียแปง 3.8 เปอรเ ซน็ ต 5. พันธรุ ะยอง 60 ประวตั ิ พันธุระยอง 60 มีช่ือเดิมวา CMR 24-63-43 ไดจากการผสมพันธุระหวางพันธุ MCol 1684 กบั พนั ธรุ ะยอง 1 ทศ่ี ูนยวจิ ยั พืชไรร ะยองในป 2524 มขี น้ั ตอนการดาํ เนนิ งานดงั นี้ ป พ.ศ. 2524 คัดเลอื กครงั้ ที่ 1 จากตน ทปี่ ลกู จากเมลด็ ป พ.ศ. 2525 คดั เลอื กครัง้ ท่ี 2 แบบตนตอแถว ป พ.ศ. 2526-2530 เปรียบเทียบเบื้องตน เปรียบเทียบมาตรฐาน เปรียบเทียบใน ทองถิ่น เปรียบเทียบในไรเกษตรกร และทดสอบพันธุในไรเกษตรกร โดยเก็บเก่ียวเมื่ออายุ 8 เดือน และ 12 เดือน ป พ.ศ. 2530 ไดรับการรับรองพันธุเปนพันธุแนะนําจากคณะกรรมการวิจัย กรม วิชาการเกษตร เม่ือวันท่ี 30 กันยายน โดยใหช่ือวา พันธุระยอง 60 เพื่อรวมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ ลกั ษณะเดน ใหผลผลิตสูง ไมวาจะเก็บเก่ียวเม่ืออายุ 8 เดือนหรือ 12 เดือน จึงเหมาะสําหรับ เกษตรกรท่ีตองการพันธุอายุเก็บเกี่ยวสั้น นอกจากนี้ยังมีทรงตนสูงตรง แตกกิ่งนอยสะดวกใน การปฏิบัติดูแลรักษา เก็บเกี่ยวและขนยายตนพันธุ มีจํานวนลําตน 2-4 ลําตอหลุมทําใหมีอัตรา การขยายพนั ธุส ูง ขอจาํ กดั ปริมาณแปงไมสูง คือประมาณ 19 เปอรเซ็นตในฤดูฝน และเนื้อในของหัวมีสีขาวครีม โรงงานอตุ สาหกรรมบางแหงใชเปนขออางในการตัดราคารับซ้อื หวั มนั สด
21 ลกั ษณะประจาํ พนั ธุ ยอดออนสีเขียวอมน้ําตาล ใบท่ีเจริญเต็มที่สีเขียว กานใบสีเขียวออนปนแดง แผนใบ เปน แบบใบหอก (Lanceolate) ตน สูงประมาณ 1.75-2.50 เมตร ลาํ ตนตง้ั ตรงมสี ีนาํ้ ตาลออ น พันธุทนี่ ิยมปลูก ภาพท่ี 15 พนั ธรุ ะยอง 1 ภาพที่ 16 พันธุระยอง 3 ภาพที่ 17 พนั ธรุ ะยอง 5 ภาพที่ 18 พนั ธุระยอง 60
22 แตกกิ่ง 0-3 ระดับ ระดับแรกสูงจากพ้ืนดินประมาณ 150 ซม. กิ่งทํามุม 45-60 องศา หัวอวน และคอนขางสนั้ เปลอื กสีนํา้ ตาลออน เนือ้ สคี รมี ออกดอกและตดิ ผลไดภายใน 1 ป ความดกของ ดอกและผลปานกลาง ผลผลติ และองคป ระกอบของผลผลติ ผลผลิตหัวสดเฉล่ีย 3.52 ตันตอไร มีแปง 18.5 เปอรเซ็นต หรือมีน้ําหนักแหง (Dry matter) 32.0 เปอรเซ็นต ในฤดูฝนใหผลผลิตแปงประมาณ 0.65 ตันตอไร หรือใหผลผลิตมัน แหงประมาณ 1.12 ตันตอไร มีน้ําหนักรวม (Total plant weight) 5.8 ตันตอไร ดัชนีเก็บเกี่ยว (H.I.) ประมาณ 0.60 และมจี าํ นวนหัวตอตนเฉลี่ย 8.6 หวั สว นประกอบทางเคมีของหวั สด มีปริมาณกรดไฮโดรไซยานิค เม่ือวัดโดยใช picric acid paper อยูในระดับ 3 คือ ประมาณ 60-89 ppm. ความตา นทานตอโรคและแมลง ท้ังในสภาพธรรมชาติและจากการทดลองปลูกเชื้อพันธุระยอง 60 มีความตานทานโรค ใบไหมป านกลาง คอื มอี าการใบจดุ หรอื ใบไหม แตไ มมีอาการมากไปกวานนั้ 6. พันธเุ กษตรศาสตร 50 ประวัติ พันธุเกษตรศาสตร 50 มีชื่อเดิมวา MKUC 28-77-3 ไดจากการผสมพันธุระหวางพันธุ ระยอง 1 และพันธุ (CMC76 x V43) 21-1 หรือพันธุระยอง 90 ในป 2527 ท่ีสถานีวิจัยศรีราชา ของมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร มขี น้ั ตอนการดําเนนิ งานดงั น้ี ป พ.ศ. 2528 คดั เลอื กคร้งั ท่ี 1 จากตนทป่ี ลกู จากเมลด็ ป พ.ศ. 2529 คดั เลอื กครั้งท่ี 2 แบบตน ตอแถว ป พ.ศ. 2530-2532 เปรยี บเทยี บพนั ธุ และทดสอบพันธุ ป พ.ศ. 2535 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรแนะนําพันธุ โดยตั้งช่ือวาเกษตรศาสตร 50 เพื่อรวมฉลองวาระครบรอบ 50 ป ของการกอ ตั้งมหาวทิ ยาลยั ลักษณะเดน ปรับตัวเขากับสภาพแวดลอมไดดี ทรงตนสูง ปฏิบัติดูแลรักษางาย ตนพันธุแข็งแรง มี ความงอกดี และเกบ็ รักษาไดน าน ผลผลติ สูงและคณุ ภาพดี คือ มเี ปอรเ ซน็ ตแ ปงสงู ขอ จํากัด พันธุเกษตรศาสตร 50 มีขอจํากัดนอย ขอจํากัดท่ีพบคือ ในบางทองที่พันธุ เกษตรศาสตร 50 จะแตกก่ิงซง่ึ จากการท่ีมีลาํ ตน โคง และกง่ิ ทาํ มมุ กวาง จะทําใหไ มสะดวกในการ ปฏิบัตดิ ูแลรกั ษาและเกบ็ เกีย่ ว ขอ จาํ กดั นพี้ บไดเชนเดียวกนั ในพนั ธรุ ะยอง 90
23 ลักษณะประจาํ พนั ธุ ยอดออนสีมวง ไมมีขน ใบที่เจริญเต็มท่ีสีเขียวอมมวง แผนใบเปนแบบใบหอก (Lanceolate) ตนสูงประมาณ 2.0-3.0 เมตร ลําตนโคง มีสีเทาเงิน แตกก่ิงนอย คือ 0-1 ระดับ หากแตกก่ิง ก่ิงแรกจะแตกสูงจากพื้นดินประมาณ 1.50 เมตร กิ่งทํามุมกวาง 75-90 องศา หัวมี ขนาดสมํ่าเสมอ เปลือกสีนํ้าตาล เน้ือสีขาว สวนใหญไมพบการติดดอกออกผลภายใน 1 ป ดอกและผลไมดก ผลผลิตและองคประกอบของผลผลติ ผลผลิตหัวสดเฉลี่ย 3.67 ตันตอไร มีแปง 23.3 เปอรเซ็นต หรือมีน้ําหนักแหง (Dry matter) 35.4 เปอรเซ็นต ในฤดูฝนใหผลผลิตแปงเฉลี่ย 0.87 ตันตอไร หรือใหผลผลิตมันแหง เฉลย่ี 1.32 ตนั ตอ ไร มนี ้ําหนักตนรวม (Total plant weight) 5.66 ตันตอไร ดัชนีเก็บเก่ียว (H.I.) ประมาณ 0.65 และมีจํานวนหัวตอ ตน เฉลีย่ 10.2 หวั ความตานทานตอ โรคและแมลง ในสภาพธรรมชาติพันธุเกษตรศาสตร 50 มีความตานทานตอโรคใบไหมปานกลาง แต ไมมกี ารทดสอบโดยการปลูกเชอื้ ผลการสํารวจโรคใบจดุ สนี ้ําตาลในป 2532 พบวา พนั ธเุ กษตรศาสตร 50 มีระดับการเปน โรค 3.44 เปอรเซ็นต จากการสํารวจความหนาแนนของไรแดง แมลงหวี่ขาวและเพลี้ยแปงในป 2533 ซ่ึงมี การแพรระบาดของแมลงนอย ไมพบไรแดง และแมลงหว่ีขาวทําลาย พันธุเกษตรศาสตร 50 จะพบแตเพลีย้ แปง เลก็ นอย โดยมีความหนาแนน ของเพลีย้ แปง 0.19 เปอรเซ็นต 7. พันธุร ะยอง 90 ประวตั ิ พันธุระยอง 90 มีช่ือเดิมวา (CMC76 x V43) 21-1 ไดจากการผสมพันธุ CMC76 กับ V43 ในป 2521 ท่ศี ูนยวจิ ยั พชื ไรร ะยอง มีขนั้ ตอนการดําเนนิ งานดงั นี้ ป พ.ศ. 2521 คดั เลอื กครั้งท่ี 1 จากตนที่ปลูกดว ยเมลด็ ป พ.ศ. 2522 คดั เลอื กคร้ังท่ี 2 แบบตนตอ แถว ป พ.ศ. 2523-2533 เปรียบเทียบพนั ธุ และทดสอบพันธุประมาณ 150 แปลง ป พ.ศ. 2534 ไดรับการรับรองพันธุเปนพันธุแนะนําจากคณะกรรมการวิจัย กรม วิชาการเกษตร เม่ือวันที่ 8 กรกฎาคม 2534 โดยใหชื่อวา พันธุระยอง 90 เพื่อรวม เทอดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 90 พรรษา
24 ลักษณะเดน ผลผลิตสูงและมีเปอรเซ็นตแปงสูง ใหผลผลิตสูงกวาพันธุระยอง 1 ประมาณ 5 เปอรเซน็ ต และมีแปง ประมาณ 24 เปอรเ ซน็ ตในฤดูฝน หรือ 30 เปอรเ ซ็นตในฤดแู ลง ขอ จํากัด ลาํ ตนโคง หากมกี ารแตกก่ิงจะทําใหปฏิบตั ดิ แู ลรกั ษายาก และตน พนั ธเุ สื่อมคุณภาพเร็ว ควรใชต นพนั ธภุ ายใน 2 สปั ดาห หลงั การเกบ็ เกี่ยว ลักษณะประจําพนั ธุ ยอดออนสีเขียวออน ใบท่ีเจริญเต็มท่ีสีเขียวแก กานใบสีเขียวออน แผนใบเปนแบบใบ หอก (Lanceolate) ตนสูงประมาณ 1.60-2.00 เมตร ลําตนสีน้ําตาลอมสม แตกกิ่ง 0-1 ระดับ ระดับแรกสูงจากพ้ืนท่ีดินประมาณ 120 ซม. ก่ิงทํามุมกวาง 75-90 องศา หัวยาวเรียว เปลือกสี น้ําตาลเขม เนื้อสขี าว ออกดอกไดภ ายใน 1 ป ถา ลาํ ตนมีการแตกกง่ิ ดอกและผลดกปานกลาง ผลผลิตและองคป ระกอบของผลผลติ ผลผลิตหัวสดเฉลี่ย 3.65 ตันตอไร มีแปง 23.7 เปอรเซ็นต หรือมีน้ําหนักแหง (Dry matter) 35.7 เปอรเซ็นต ในฤดูฝนใหผลผลิตแปงเฉลี่ย 0.88 ตันตอไร หรือใหผลผลิตมันแหง เฉล่ีย 1.31 ตันตอไร มีนํ้าหนักตนรวม (Total plant weight) 5.3 ตันตอไร ดัชนีเก็บเกี่ยว (H.I.) ประมาณ 0.67 และมจี ํานวนหัวตอ ตน เฉลีย่ 9.1 หัว ความตา นทานตอ โรคและแมลง ท้ังในสภาพธรรมชาติและจากการทดลองปลูกเช้ือพันธุระยอง 90 มีความตานทานโรค ใบไหมป านกลาง คอื มีอาการใบจุดหรือใบไหม แตไ มมอี าการมากไปกวาน้นั ผลการสํารวจโรคใบจุดสีนํ้าตาลในป 2532 พบวา พันธุระยอง 90 มีระดับการเปนโรค 3.66 เปอรเซน็ ต ซึง่ ตํ่ากวา พันธุร ะยอง 1 แตส ูงกวา พนั ธรุ ะยอง 3 และระยอง 60 จากการสํารวจความหนาแนนของไรแดง แมลงหว่ีขาว และเพลี้ยแปง ในป 2533 ซึ่งมี การแพรระบาดของแมลงนอย ไมพ บไรแดง แมลงหวขี่ าว และเพลีย้ แปงในพนั ธรุ ะยอง 90 แตใน ป 2534 ซึ่งมีแมลงแพรระบาดมาก พบวา พันธุระยอง 90 ถูกทําลายโดยแมลงหว่ีขาวมาก โดย มีความหนาแนนถึง 81.9 เปอรเซ็นต สวนไรแดงที่พบมีความหนาแนนเพียง 1.9 เปอรเซ็นต และไมพบเพลย้ี แปงเลย 8. พันธุศรีราชา 1 ประวัติ พันธศรีราชา 1 ไดจากการผสมพันธุระหวางพันธุ MKU 2-162 กับ ระยอง 1 โดยผสมท่ี สถานวี จิ ัยศรรี าชา ของมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร ในป พ.ศ. 2526 ป พ.ศ. 2527-2533 คดั เลือกพันธุ เปรียบเทยี บพนั ธุ และทดสอบพันธุ
25 เดือนกรกฎาคม 2533 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรอนุมัติใหขยายพันธุสงเสริมให เกษตรกรนาํ ไปทดลองปลูก ลักษณะเดน มีคุณสมบัติคลายคลึงกับพันธุระยอง 1 แตมีเปอรเซ็นตแปงสูงกวาพันธุระยอง 1 ประมาณ 4 เปอรเซ็นต ลักษณะประจําพนั ธุ ทรงตน สีของยอดออน กานใบ และใบใกลเคียงกับพันธุระยอง 1 แตกตางจากพันธุ ระยอง 1 คือ แผน ใบกลางของพันธุศรรี าชา 1 จะเปนรูปหอก (Lanceolate) สวนของพันธุระยอง 1 จะมีรอยคอดและโปงบริเวณปลายเล็กนอย (Oblanceolate) และสีเน้ือของหัว พันธุระยอง 1 เปน สีขาว สวนของพันธศุ รรี าชา 1 เปน สีครีม 9. พันธหุ านาที ลักษณะเดน เน้ือรวนซยุ เหมาะสําหรบั บรโิ ภคในรูปมนั นึ่งหรอื มนั เชอื่ ม หรอื มนั เผา ขอจํากัด ผลผลิตตํา่ ถาปลกู ในสภาพไร ลักษณะประจาํ พนั ธุ ยอดออนสีเขียวออน ใบที่เจริญเต็มท่ีสีเขียวออน กานใบสีแดงเขม แผนใบเปนแบบ ใบหอก (Lanceolate) ตนสงู 2.5-3.5 เมตร ลาํ ตนสนี ้าํ ตาลอมเขียว แตกกิง่ 1-3 ระดบั ระดับแรก สูงจากพื้นดินประมาณ 1.8 เมตร ก่ิงทํามุมประมาณ 45-60 องศา หัวยาวเรียว เปลือกนอก ขรุขระสนี า้ํ ตาลเขม เนือ้ สขี าว มักจะไมออกดอก ภายใน 1 ป ดอกและผลไมดก ถาปลูกในสภาพไรควรเก็บเก่ียวเมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน หากเกินกวาน้ันเน้ือจะมี เสีย้ นมาก ไมเหมาะจะนาํ มาบริโภค แตถ า ปลูกในสภาพสวนเนอื้ จะไมเ ปน เสยี้ น องคป ระกอบทางเคมี ประกอบดวยคารโบไฮเดรท 87 เปอรเซ็นต โปรตีน 2.3 เปอรเซ็นต ไขมัน 1.2 เปอรเซ็นต ไวตามินเอ 141 IAU/100 กรัม แคลเซียม 0.03 เปอรเซ็นต ปริมาณกรดไฮโดร ไซยานิค 12 ppm. ผลผลิตและองคป ระกอบของผลผลติ หากปลูกมันสําปะหลังพันธุหานาทีในสภาพไรจะใหผลผลิตต่ํา คือเฉล่ียประมาณ 2.00- 3.00 ตันตอไร แตถาปลูกในสภาพสวน เชนท่ีจังหวัดปทุมธานี จะใหผลผลิตสูงประมาณ 5.00 ตันตอไร พันธุหานาทีมีเปอรเซ็นตแปงเฉล่ียประมาณ 14 เปอรเซ็นต เกษตรกรจะไมนําผลผลิต ของพนั ธหุ า นาทีไปขายสง โรงงานอตุ สาหกรรม ความตา นทานโรคและแมลง พันธุหานาทีมีความตานทานตอโรคใบไหมท้ังในสภาพธรรมชาติและจากการทดลอง ปลูกเช้อื โดยจะไมคอยปรากฏอาการของโรค (จรุงสทิ ธิ์ และอจั ฉรา, 2537 ข.)
26 10. พันธุระยอง 72 ลกั ษณะประจาํ พันธุ ลําตนทรงสีเขียว สูง 180-250 ซม. แตกก่ิงนอยปรับตัวกับสภาพแวดลอมไดดี โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตนพันธุเก็บไวไดประมาณ 30 วัน หลังจากตัดตน (กรม วิชาการเกษตร, 2545) ผลผลติ และองคป ระกอบของผลผลติ ผลผลิตเฉล่ีย 5.2 ตันตอไร มีแปงเฉลี่ย 22 เปอรเซ็นต ในฤดูฝน และ 28 เปอรเซ็นตในฤดู แลง สําหรับภาคตะวันออกใหผลเฉล่ีย 4.9 ตันตอไร มีแปงเฉล่ีย 20 เปอรเซ็นตในฤดูฝน และ 27 เปอรเซน็ ตในฤดแู ลง
27 ภาพท่ี 19 พนั ธุเกษตรศาสตร 50 ภาพท่ี 20 พันธุระยอง 90 ภาพที่ 21 พนั ธหุ านาที ภาพที่ 22 พนั ธรุ ะยอง 72
28 การปลูกมันสาํ ปะหลัง 1. ฤดปู ลกู มนั สําปะหลงั มันสําปะหลังเปนพืชท่ีสามารถปลูกไดตลอดทั้งปจากการสํารวจโดยกองเศรษฐกิจ การเกษตรรวมกับ Phillip T.P. ในป 2519 สุมตัวอยางจากกสิกร 2,153 ราย ใน 28 จังหวัด ท่ี ปลูกมันสําปะหลังมาก พบวาเขตท่ีปลูกมันสําปะหลังมากคือ จังหวัดระยอง ชลบุรี และ นครราชสีมา ปลูกมันสําปะหลังตลอดป ปลูกมากในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน สวนจังหวัด อ่ืนๆ 50% ปลูกมากในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม การทดลองเก่ียวกับการหาฤดูปลูกมันสําปะหลังที่เหมาะสมไดเร่ิมดําเนินการตั้งแตป 2510 เปนตนมา เพื่อท่ีจะทราบวาในทองที่ใดควรปลูกมันสําปะหลังเม่ือใดจึงจะใหผลผลิตสูงสุด พบวา เขตจังหวดั สโุ ขทัย กําแพงเพชร การปลกู ตน ฤดฝู น พฤษภาคมถึงกรกฎาคม ใหผลผลิต สงู กวา การปลกู กลางและปลายฝน เขตจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี การปลูกตนฤดูฝน เมษายนถึงกรกฎาคม ไดผลผลิต สูงกวาการปลูกปลายฤดูฝน เปอรเซ็นตแปงไมแตกตางกันมากนัก จากการปลูกเดือนตางๆ ระหวางเดอื นเมษายนถงึ ตลุ าคม เขตจังหวัดขอนแกนและนครราชสีมาการปลูกตนฤดูฝนเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนให ผลผลิตสงู สุด เ ข ต จั ง ห วั ด ร ะ ย อ ง ไ ด ผ ล เ ช น เ ดี ย ว กั บ เ ข ต ภ า ค เ ห นื อ ต อ น ล า ง แ ล ะ ภ า ค ตะวันออกเฉยี งเหนอื การปลกู มันสําปะหลังสามารถกระทําไดทกุ ๆ เดือน ตลอดทงั้ ป การปลูกในชวงฤดูฝนจะมีผลทําใหผลผลิตหัวสดสูงกวาการปลูกในฤดูแลงไมวาจะเก็บ เกี่ยวอายเุ ทาใดระหวาง 8-18 เดอื น 2. การเตรียมดิน การเตรียมดินสําหรับปลูกมันสําปะหลัง ควรไถพรวนใหลึก 8-12 นิ้ว โดยไถกลบเศษ เหลือของพชื เชน ลาํ ตน เหงา ใบ และยอดของมันสําปะหลังที่เหลือจากการเก็บเก่ียว ไมควรจะ เผาหรือเคลื่อนยายออกจากพ้ืนท่ีเพาะปลูก เพราะวาการเผาทิ้งหรือขนยายไปท้ิงจะทําใหธาตุ อาหารสูญหายไปเปน จํานวนมาก การไถควรทํา 1-2 คร้ัง ดวยผาน 3 และผาน 7 หรือพรวน ถาปลูกในพื้นท่ีลาดเท การ ไถควรไถขวางทศิ ทางของความลาดเทนั้นเพื่อลดการสูญเสียหนาดิน และถาพ้ืนที่เพาะปลูกเปน ท่ีมีนา้ํ ขังควรทํารอ งระบายนํ้าและยกรองปลูก สําหรบั พ้นื ท่ีที่น้ําไมข งั การเตรียมดินโดยการ ยก รอง ไมยกรองกับการพูนโคนหลังจากกําจัดวัชพืชคร้ังแรกผลผลิตไมแตกตางกัน เพื่อการ ประหยดั จงึ ไมจําเปนตอ งยกรอ งและไมต องพูนโคนนอกเสยี จากพูนโคนเพ่ือกาํ จัดวชั พืช
29 ตารางที่ 6 แสดงผลของการเตรยี มดินปลูกตอ ผลผลติ มันสําปะหลงั (ตัน/ไร) เตรียมดิน ความลกึ (ซม.) เฉล่ยี 5 10 15 ยกรอ ง 4.44 4.71 4.58 4.58 ไมยกรอง 4.92 4.87 4.60 4.79 พูนโคน 4.89 4.67 4.44 4.67 เฉลย่ี 4.75 4.75 4.54 ( ชาญ ถริ พร และคณะ, 2526) 3. การคัดเลือกทอ นพันธปุ ลกู 3.1 อายุของทอนพันธุท ี่ใชปลกู ทอนพันธุมันสําปะหลังที่จะใชปลูก ควรจะไดจากตนท่ีมีอายุต้ังแต 8 เดือนขึ้น ไปและไมควรเกนิ 18 เดอื น ดงั นั้นการคดั เลือกตน พันธุที่ใชปลูกควรมีอายุไมต่ํากวา 8 เดือน ถา พจิ ารณาขนาดของลําตนขวาง ถาไสกลางของลาํ ตน มขี นาดใหญ แสดงวาตนพนั ธุยังออ นหรอื ถา ไสกลางเล็กเกินไป เล็กกวาคร่ึงหน่ึงของเสนผาศูนยกลางของลําตน แสดงวาตนพันธุน้ันแก เกินไป หรืออีกนัยหนึ่งคือการใชทอนพันธุจากสวนกลางของตนปลูกจะมีเปอรเซ็นตอยูรอด 69- 84% แตถ าใชทอ นพันธุจากสวนยอดของตน ซงึ่ ยังออ นอยูจ ะรอดเพียง 34.7% เทา น้นั 3.2 ขนาดของทอนพันธุ ใชทอนพันธุจากตนท่ีมีอายุ 8-12 เดือน ใหมสด ไมบอบช้ํา ปราศจากโรคแมลง ตัดตนพันธุยาวประมาณ 20 ซม. เมื่อปลูกในฤดูฝนหรือ 25 ซม. เมื่อปลูก ปลายฤดูฝนและอยา งนอยตอ งมจี ํานวน 5-7 ตาตอทอ นพนั ธุ วธิ ีการปลูก การปลูกมันสําปะหลังของเกษตรกรมีหลายวิธี เชน การปลูกแบบวางนอน (ฝง) ใน ปจจบุ ันปลูกกันนอ ยมาก และการปลูกแบบปกกําลังเปนท่ีนิยมในปจจุบัน โดยเกษตรกรบางราย ปลูกตามแนวสัตวไถ คือปลูกบนสันรองที่ใชแรงงานสัตวไถไวแลว วิธีน้ีเกษตรกรปลูกกันมาก นอกจากน้ีวิธีปลูกพื้นราบโดยใชเชือกท่ีทําเคร่ืองหมายบอกระยะ วางเปนแนวในการปลูก วิธีการนี้จะทําใหระยะปลูกถูกตองสมํ่าเสมอใกลเคียงกับวิธีปลูกท่ีทางการแนะนํา ซึ่งวิธีการนี้ กาํ ลงั แพรห ลายอยใู นปจ จุบนั 4. วิธีการปลกู การปลูกมันสําปะหลังของเกษตรกรมีหลายวิธี เชน การปลูกแบบวางนอน (ฝง) ใน ปจ จบุ ันปลูกกันนอยมาก และการปลูกแบบปกกําลังเปนที่นิยมในปจจุบัน โดยเกษตรกรบางราย ปลูกตามแนวสัตวไถ คือปลูกบนสันรองที่ใชแรงงานสัตวไถไวแลว วิธีน้ีเกษตรกรปลูกกันมาก นอกจากนี้วิธีปลูกพื้นราบโดยใชเชือกที่ทําเคร่ืองหมายบอกระยะ วางเปนแนวในการปลูก วิธีการนี้จะทําใหระยะปลูกถูกตองสม่ําเสมอใกลเคียงกับวิธีปลูกท่ีทางการแนะนํา ซึ่งวิธีการนี้ กําลังแพรห ลายอยูในปจ จุบัน
30 จากการทดลองปลูกบนพน้ื ราบและปลกู บนรองในสภาพท่ีนํ้าไมขัง ผลผลิตจะใกลเคียงกัน แตการปลูกโดยวิธีปกตรงหรือปกเอียง ทําใหผลผลิตสูงกวาการปลูกแบบวางนอนราว 13.6% ( ชาญ และคณะ 2526) เพราะการปลูกแบบวางนอน จะทําใหตนมันสําปะหลังงอกชา และ จํานวนตนท่ีงอกจะนอยกวาดวย ความลึกที่ใชปลูกอยูระหวาง 5-10 ซม. ไมควรใหลึกกวานี้ เพราะจะทําใหการเก็บเก่ียวยาก แตวิธีการปลูกในเขตที่แหงแลง เชน ในประเทศเปรู จาไมกา มีปริมาณฝนเพียง 300-350 มม./ป เทาน้ัน ควรปลูกแบบวางนอน จะใหผลผลิตดีกวาปลูกแบบ ปก ถาปลูกแบบวางนอน ในเขตท่ีฝนตกชุก ก็จะทําใหเกิดการเนาได จึงควรพิจารณาสภาพ พ้ืนทปี่ ลูกใหดดี วย แตส ภาพแวดลอมในประเทศไทย ถาปลูกแบบปกจะดีกวาการปลูกแบบนอน ความลึกของทอ นพันธุขึ้นอยกู ับความชน้ื ในดินซึ่งจะลึกระหวาง 5-10 ซม. ตารางที่ 7 แสดงผลของวธิ ีการปลูกและความลกึ ตอผลผลติ มนั สาํ ปะหลงั (ตัน/ไร) วิธีการปลกู ความลกึ (ซม.) เฉลีย่ เปอรเซน็ ต 5 10 15 ตง้ั 4.94 4.98 4.85 4.92 144.7 เอยี ง 4.90 4.94 4.64 4.83 112.6 วางนอน 4.41 4.32 4.13 4.19 100 เฉลี่ย 4.75 4.75 4.54 ( ชาญ และคณะ, 2526) ระยะปลูกมนั สาํ ปะหลงั กสิกรปลูกมันสําปะหลังใชระยะแตกตางกันระยะแถว 70-100 ซม. ระยะหลุม 50-100 ซม. สวนใหญใชระยะปลูกประมาณ 80 x 100, 100 x 100 ซม. มีจํานวนตนตอไร 1,600-2,500 ตนตอไร บนพ้ืนที่ลาดเอียงระยะระหวางรอง 80 ซม. เพื่อชวยลดปญหาการชะลางพังทลาย ของดิน การบํารุงรักษาดนิ และการใชปยุ มันสําปะหลัง (Manihot esculenta Crantz) เปนพืชเมืองรอนท่ีสามารถปรับตัวปลูกข้ึน ไดดใี นดินแทบทุกชนิด ในปจ จบุ ันพืน้ ทเ่ี พาะปลกู กระจัดกระจายแทบทุกภาคของประเทศ แหลง ปลูกที่สําคัญไดแกภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีขอบเขตการเพาะปลูกกวางขวางมากที่สุด รองลงมาไดแก ภาคตะวันออกเฉียงใตแถบชายทะเลซ่ึงเปนพ้ืนที่เพาะปลูกดั้งเดิม ดินไรมัน สําปะหลังมีศักยภาพในการผลิตพืชต่ําเนื่องจากสวนใหญเปนดินรวนปนทรายท่ีมีอินทรียวัตถุ นอยเกนิ ไป ดินมรี ะดบั ความอุดมสมบรู ณตาํ่ และมีคณุ สมบตั ิในการอมุ น้าํ เลว
31 การปลกู มันสําปะหลัง ภาพที่ 25 ปลกู แบบปก บนพน้ื ราบ ภาพที่ 23 ปลกู แบบปกบนสนั รอง ภาพที่ 26 ยกรอ ง ปลกู แบบปกความลกึ 5, 10, 15 ซม. ภาพที่ 24 ปลกู แบบปก บนพืน้ ราบแลว พนู โคน อายปุ ระมาณ 1 เดอื น ภาพท่ี 27 ไมยกรอง ปลกู แบบปก ความลกึ 5, 10, 15 ซม.
32 กสิกรใชปุยเคมีนอยมากหรือแทบจะไมมีการใชปุยเพ่ิมผลผลิต นอกจากขาดเงินทุนซ้ือ ปุยแลวยังจะขาดแรงดลใจใหใชปุย เนื่องจากอัตราสวนของรายไดตอการลงทุนแคบเกินไป ขณะที่ราคาปุยมีแนวโนมเขยิบสูงข้ึน แตราคาหัวมันสําปะหลังในไรผันแปรไมแนนอน พอ มองเห็นไดวานโยบายเรงรัดการใชปุยของรัฐบาลจําเปนตองแกไขระบบการตลาดและนําเอา ระบบสินเช่ือ (credit system) รูปแบบตางๆ มาใชขณะเดียวกันสนับสนุนงานวิจัยเพ่ือหาขอมูล การใชป ุยเพ่ิมผลผลติ ในดินแตล ะชนดิ และดําเนนิ การสาธติ การใชป ุยอยา งกวา งขวาง ลกั ษณะชนิดดินในแหลง ปลูก โดยอาศยั ลักษณะของเนื้อดินช้ันบนเปนหลัก อาจแบงดินท่ีใชเพาะปลูกมันสําปะหลังได เปน 2 พวกใหญๆ คือ 1. ดินทรายจัด ไดแก ดินเน้ือหยาบที่เกิดจากวัตถุตนกําเนิดที่เปนดินทราย ลักษณะ ของชัน้ ดินจึงเปนทรายจัดตลอดทกุ ชั้น มีอยูมากตามบริเวณชายทะเล และตามลํานํ้าเกาซึ่งมีดิน ทรายทับถมกันอยูลึกเกินกวา 80 ซม. มีความอุดมสมบูรณตํ่ามาก อินทรียวัตถุนอยกวา 1 เปอรเซ็นต มีความเปนกรดปานกลาง การระบายน้ําดีถึงดีเกินไป เชน ดินชุดน้ําพอง ดินชุด ยางตลาด ดินชุดระยอง ดินชดุ พัทยาและดินชดุ สัตหีบ 2. ดินรวนปนทรายและรว นเหนียวปนทราย ไดแก ดนิ เนอ้ื ละเอียดปานกลาง มีลักษณะ คลายคลึงกับดินหลายกลุมดินดวยกัน แตละกลุมดินอาจจะมีสีของดินไมเหมือนกัน เน่ืองจาก วัตถุตนกําเนิดและสภาพแวดลอม สภาพพ้ืนท่ี และอายุของดินผิดกันไป ถึงแมวาคุณสมบัติทาง เคมีและฟสกิ สข องดินแตล ะกลมุ อาจจะแตกตางกนั อยูบา ง แตมกั จะพบวา ลกั ษณะการตอบสนอง ตอปุยของมันสําปะหลังคลายคลึงกันมาก จึงเปนดินที่ควรใสในระดับเดียวกัน ไดแก ดินชุด โคราช ดินชุดสตึก ดินชุดวาริน ดินชุดยโสธร ดินชุดสีคิ้ว ดินชุดสูงเนิน ดินชุดมาบบอน ดินชุด คอหงส ดินชุดภูเก็ต เปนตน ดินท้ัง 9 ชุดน้ีมีลักษณะใกลเคียงกัน ยกเวนสีของดินลางเทานั้น ดินชุดโคราชมีสีนํ้าตาล ดินชุดสตึกสีเหลือง ดินชุดวารินสีแดงปนเหลือง ดินชุดยโสธรสีแดง ดินชดุ มาบบอนและคอหงสส เี หลืองแดง และดินชุดภเู กต็ สแี ดง แนวโนม ผลผลติ ต่ําลงถาไมใ สปุย ดินไรเสื่อมลงไปทุกวัน ถาจะสังเกตดูผลผลิตขาวโพดบริเวณปากชอง ก็จะเห็นวาเม่ือ 10 ปกอน กสิกรเคยไดผลผลิตประมาณ 500 กก./ไร ปจจุบันจะลดตํ่ากวา 300 กก./ไร หรือถา จะดูจากผลผลิตตอไรของขาว ก็จะเห็นวาลดต่ําลงมากเชนเดียวกัน อยางไรก็ดีอัตราการเส่ือม โทรมของดินไรจะสูงกวาอัตราการเสื่อมของดินนา เพราะดินไรมีอัตราการสูญเสียผิวหนาดินสูง ถูกชะลางกระทบกระแทกของน้ําฝนรุนแรงมากกวา ขณะเดียวกันธาตุอาหารท่ีถูกชะลางจะไหล ลงไปสะสมอยใู นดนิ ที่ลมุ ซงึ่ ระดบั ตาํ่ อีกดวยดินนาจงึ ไดเปรยี บดินไร
33 ธาตอุ าหารท่จี ําเปนสําหรับมันสําปะหลงั ธาตุอาหารท่ีจําเปนมีอยู 16 ธาตุ ธาตุท่ีไดจากอากาศไดแก คารบอน ในรูปของ CO2 (คารบอนไดออกไซด) ธาตุท่ีไดจากน้ํา ไดแก ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) ในรูปของ H2O (นํ้า) ธาตทุ ไี่ ดจ ากดิน ปยุ แบง ออกเปน 3 พวกคอื 1. ธาตุอาหารหลัก (Major element) ไดแก ธาตุท่ีพืชตองการเปนปริมาณมาก คือ ธาตุไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรสั (P) และโปตัสเซยี ม (K) 2. ธาตุอาหารรองหรือธาตุรอง (Secondary element) ไดแก ธาตุซึ่งพบเปน สวนประกอบของพืชเปนปริมาณรองลงไปจากธาตุอาหารหลัก คือ ธาตุแคลเซียม (Ca) มักนี เซยี ม (Mg) และกาํ มะถัน (S) 3. ธาตุอาหารปริมาณนอย (Minor element) คือกลุมธาตุท่ีพืชตองการเปนปริมาณ เพียงนอยๆ เทาน้ัน ถามีอยูในดินเพียงเล็กนอยพืชก็สามารถเจริญเติบโตไดอยางปกติ ใน พระราชบัญญัติปุย พ.ศ. 2518 เรียกธาตุกลุมนํ้าวา “ธาตุเสริม” ไดแก เหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) แมงกานสี (Mn) โบรอน (Bo) โมลิบดินั่ม (Mo) และคลอรีน (Cl) มันสําปะหลังมีความตองการอาหารธาตุแตละอยางไมเทากัน ธาตุอาหารแตละชนิดมี หนาที่แตกตางกันไป สวนใหญแลวเปนองคประกอบในเน้ือเยื่อ (plant tissue) และเปนตัวเรง (catalyst) ในขบวนการตางๆ บางอยางทําหนาที่สนับสนุนหรือควบคุม membrane permeability ตัวอยางเชน โปตัสเซียมพบอยูใน Cytoplasm ของ Cell เปนธาตุสําคัญที่ชวยใน ขบวนการสรางน้ําตาลและแปง ชวยเคลื่อนยายแปงและน้ําตาลจากสวนยอดไปสะสมในหัว แคลเซียมอยูในผนังเซลล มักนีเซียมในโมเลกุลของคลอโรฟลล ไนโตรเจน กํามะถันและ ฟอสฟอรัส ในโปรตีนรูปตางๆ แรธาตุอ่ืนๆ เชน เหล็ก ทองแดง และสังกะสี เปนธาตุปริมาณ นอยท่ีบทบาทสําคัญใน enzyme system เชนเดียวกันกับแมงกานีสและมักนีเซียมอยางไรก็ดี ธาตอุ าหาร ดงั กลาวท่ีเก่ียวของกับ enzyme system เหลาน้ีถามีอยูมากอาจทําใหเปนพิษตอ พืชไดท งั้ สน้ิ มนั สําปะหลงั กบั ปยุ อนิ ทรยี อินทรียวัตถุในดินเปนกุญแจสําคัญในการแกไขปญหาความอุดมสมบูรณของดินไร มันสําปะหลังซ่ึงปรากฏวามีอัตราการสลายตัวหมดไปของสารอินทรียสูง ความสามารถในการ อุมนํ้าของดินเลวลง ดินขาดความรวนซุย คุณสมบัติในการจับรวมตัวกันของดินเลวลง ดินแนน เมื่อถูกไถพรวนบอยๆ ดังนั้นการรักษาสภาพโครงสรางของดินจึงจําเปนอยางย่ิงท่ีจะตอง เพิม่ เติมสารในปริมาณที่มากพอ ในปจจุบันปรากฏวาดินไรมันสําปะหลังมีอินทรียวัตถุตํ่าเกินไป การใสเศษซากพืช ปุยคอก ปุยหมัก ปุยพืชสด อาจจะส้ินเปลืองแรงงานและคาใชจายสูง แตก็ ใหผ ลคุม คาในระยะยาว การทดลองใสปุยตอเน่ืองกันระยะยาวแสดงใหเห็นวาผลผลิตมันสําปะหลังตอบสนองตอ ปยุ อนิ ทรีย (กทม.) และปยุ พชื สดในรูปของตนใบมนั สาํ ปะหลงั ท่ีเหลือจากเก็บเกี่ยวฤดูกอนอยาง
34 เดนชัด เฉพาะอยางย่ิงเม่ือใสรวมกับปุย NPK อยางไรก็ดีเมื่อพิจารณาในเชิงเศรษฐกิจจะเห็นวา การใสป ุย NPK รวมกบั การไถกลบตนและใบมนั สําปะหลังจากฤดกู อ นเปนวิธที ีป่ ระหยัดมากกวา คาํ แนะนําการใชปุยกับมันสําปะหลัง คําแนะนําการใชปุยกับมันสําปะหลังนี้ เปนผลที่ไดมาจากงานคนควาวิจัยในดานการใช ปุยบํารุงดินและจากการทดสอบปุยในดินท่ีใชเพาะปลูกแตละแหงตามชนิดของดิน อยางไรก็ดี ขอมูลตางๆ ที่ปรากฏอาจเปลี่ยนแปลงไดในอนาคต เมื่อปจจัยที่เกี่ยวของอ่ืนๆ เปล่ียนแปลงไป เชน มีการปรับปรุงในเร่ืองพันธุ ปรับปรุงในเร่ืองการเขตกรรม ตลอดจนดินท่ีใชเพาะปลูกเส่ือม โทรมลงไปอีก การใสธ าตุปุย อยา งหนึ่งอาจมีผลกระทบทําใหอีกธาตุหน่ึงขาดแคลน การใสปุยใน ปริมาณมากเกนิ อาจเปน ผลเสียทาํ ใหผลผลิตและผลกาํ ไรลดต่ําลง คําแนะนําน้ีอาจจะมีการแกไข ปรบั ปรุง เพ่ือใหท นั ตอสถานการณท อ่ี าจเปลีย่ นแปลงไปได ตารางที่ 8 แสดงอตั ราการใสป ยุ มนั สําปะหลงั ท่วั ๆ ไป เนือ้ ดิน N - P2O5 – K2O (กก./ไร) อัตราต่ํา1 อตั ราสงู 2 ทรายจัดถึงรว นจดั 15-15-15 30-30-30 รวนทรายถึงรวนเหนยี วปนทราย 8-8-8 15-15-15 1อตั ราต่ํา เปนอตั ราประหยดั แมจะไมไ ดผลผลติ สูง แตก เ็ สยี่ งนอ ยทสี่ ดุ เม่อื ราคาผลผลติ และ ภมู อิ ากาศผนั แปร 2อัตราสูง เปนอตั ราท่ใี หผลตอบแทนสงู ใชในขณะท่ีราคาผลผลิตสูงและภมู ิอากาศอํานวย (โชต,ิ 2526) หมายเหตุ 1. หลังจากใชปุยตามคําแนะนําติดตอกัน 2-3 ป ควรทําการตรวจสอบวิเคราะหสภาพ ความอุดมสมบูรณของดิน เพราะอัตราปุยท่ีจะใชในปถัดไปอาจจะตองเปลี่ยนแปลง ไป เนือ่ งจากผลตกคา งของปุยในปก อน 2. ผลการใชปุยจะมีประสิทธิภาพเพียงใดข้ึนอยูกับปจจัยอื่นๆ ตลอดจนการควบคุม วัชพืชและความชมุ ช้ืนของดินตลอดฤดปู ลูกดว ย
35 ตารางที่ 9 แสดงอตั ราปยุ ทีแ่ นะนําใกลเคียงกับปยุ ในทองตลาด อัตราแนะนํา (กก.ไร) ตวั อยางเกรดปุยในทองตลาด ปริมาณทใ่ี ช (กก.ไร) 8-8-8 14-14-14 57 53 15-15-15 57 101 17-17-17 100 88 15-15-15 14-14-14 214 200 15-15-15 175 17-17-17 30-30-30 14-14-14 15-15-15 17-17-17 (โชต,ิ 2526) ตารางท่ี 10 แสดงระยะเวลาและวิธีการใสป ยุ กับมนั สาํ ปะหลัง ชนดิ ปุย วิธีการ ระยะเวลา 1. ใชป ยุ เชงิ เดย่ี ว ไนโตรเจน (N) แบงใส 2 ครง้ั แอมโมเนยี มซัลเฟต - คร่งึ หนึ่งใสร องกนหลมุ เปนแถว กอ นปลกู หรือ ยูเรีย - อกี คร่ึงหนง่ึ ใสเ ปน แถวขางตน เมอ่ื อายปุ ระมาณ 2 เดอื น ฟอสเฟต (P2O5) - ใสทั้งหมดรองกนหลมุ กอนปลกู โปแตช (K2O) - ใสท ัง้ หมดรองกนหลุม กอนปลูก 2. ใชปยุ เชิงผสม - ใสค รั้งเดียวโดยวิธีรองกนั หลุม กอ นปลกู หรอื ปุย เชงิ ประกอบ หรือใสเปนแถวขางตน เม่อื อายุ 1-2 เดอื น (โชติ, 2526) วัชพชื และการควบคมุ ในมนั สาํ ปะหลงั การควบคุมวัชพืชท่ัวๆ ไป มีวัตถุประสงคท่ีจะปองกันไมใหงอก ยับย้ังหรือชลอการงอก ของวัชพืชทําลายตนวัชพืชกอนท่ีจะถึงชวงวิกฤติของการแขงขัน ลดการเจริญเติบโต และ ทาํ ลายวัชพืชสว นท่ีอยเู หนือตน คือ ใบ ตน ดอก ทําใหสวนที่อยูใตดิน เชน ไหล หัว เหงา เมล็ด หลุดจากดินตายไป ปองกันการออกดอกเพื่อแพรพันธุของวัชพืช โดยมีวิธีท่ีจะปฏิบัติได ประกอบดว ยเทคนคิ และปจจยั ในภาวะตางๆ ดังนี้
36 การควบคมุ วัชพืชโดยวธิ กี ล การเผา กอนทจี่ ะพรวนดินมกั เผาทําลายวัชพืชเนื่องจากมีตนแข็งและเปนเถายาว หาก ไมเผาทิง้ จะพนั ผานไถเปน อุปสรรคตอการไถเตรียมดนิ การไถกลบ ถาไมสามารถทําลายเศษซากพืช วัชพืชดวยไฟ ควรใชวิธีต้ังผานไถใหไถ กลบวัชพืชลงไปในดินใหลึกกวาปกติจนวัชพืชไมสามารถดันโผลขึ้นมาเหนือดินเปนการไถ เตรยี มดนิ และทาํ ลายวชั พืชไปดวยพรอ มกัน การตัดโดยใชมีดหรือเคียว วิธีน้ีถูกนํามาใชเม่ือฝนชุกมากไมสามารถใชวิธีอ่ืนๆ สวน ของวัชพืชท่ีอยูเหนือพ้ืนดินเทาน้ันท่ีถูกตัดออกไป แตวัชพืชสามารถอาศัยสวนท่ีอยูใตดินพวก ลําตน รากเหงา หัว และไหลเจริญเติบโตข้ึนมาไดอีก จึงตองทําการตัดวัชพืชออกโดยเฉพาะ ในชวงวิกฤตของการแขงขัน ในบางพืชอาจตองตัดมากกวา 1 คร้ัง ท้ังน้ีข้ึนอยูกับอายุของพืช ปลกู การคลุมดิน วัสดุท่ีใชคลุมดินมีท้ังฟางขาว ตอซังขาวโพด หรือใบหญาคา ความหนา ของการคลุมควรไมตํ่ากวา 2 ซม. และสําหรับพืชบางชนิดอาจตองหนาถึง 10 ซม. อยางไรก็ ตามการคลุมดินยงั มีวัชพชื ใบกวางหลายชนดิ สามารถงอกและเจริญเติบโตข้นึ มาไดในระยะหลงั พืชคลุมหลายชนิดที่ยังเปนที่นิยมนํามาใชปรับปรุงดินและอนุรักษดิน ลดการชะลาง พังทลายของดิน โดยปลูกกอนหรือหลังปลูกพืชหรือพรอมกับพืชแตปลูกในระหวางแถวพืช พืช คลุมดินหลายชนิด เชน เวอราโน เซนโทรซีบา พูราเรีย ซีรูเล่ียม และซาราโทร นํามาปลูก รวมกับพืชและแขงขันกับวัชพืชไดท้ังน้ีตองเลือกชนิดท่ีไมไปลดการเจริญเติบโตของพืชปลูก และจําเปนตองใชสารกําจัดวัชพืชเขามาผสมผสานดวยในระยะตนออน เพื่อใหพืชคลุมสามารถ ตงั้ ตัวไดและแขงขนั กบั วชั พชื ไดสืบตอ ไป การเขตกรรม วธิ ีทาํ รุน เปนการกาํ จัดวชั พชื ที่ข้นึ มาหลังจากทพี่ ืชข้นึ มาแลว โดยเฉพาะ พื้นท่ีปลูกขนาด 3-5 ไร วิธีทํารุนสามารถทําไดทันเมื่อใชแรงงานในครัวเรือนที่มีพรอมอยูแลว และจะใชเคร่ืองมือท่ีหาไดงายมีราคาถูก เชนใชแรงงานคนดายดวยจอบคราดซ่ี ไถเล็กท่ีใช แรงงานท้ังคนและสัตวลากจูงหรือไถเดินตาม ตอมาไดมีการประดิษฐพัฒนาดัดแปลงอุปกรณ และของใชในไรนาเปนเคร่ืองมือทํารุนหลายแบบหลายอยางตั้งแตรถไถเล็กติดจานพรวน ลอ จักรยานติดผานไถ สําหรับเปดรองทํารุนในระหวางแถวพืช ใชทํางานไดเหมือนไถพ้ืนเมืองจูง ดว ยววั หรือควาย การไถเตรียมดิน เปนการกําจัดวัชพืชดวยวิธีกลกอนท่ีจะปลูกพืช พื้นดินรับการพลิก ไถคราดใหวัชพชื หลดุ จากดิน จํานวนคร้ังการไถและพรวนท่ีเพิ่มข้ึนมสี ว นทําใหวชั พืชที่ข้ึนมาอยู แลวถกู ทาํ ลายไดมาก การใชเคร่ืองมือทํารุนตางๆ ท้ังหมดรวมทั้งการใชมือถอนกําจัดวัชพืชลวนแลวแตตอง อยูในสภาพที่ฝนทิ้งชวง ดินไมแฉะหรือแหง แนนแข็งเกินไป สภาพดินที่เหมาะจะทํารุนเปล่ียน แปรไปตามปจจัยแวดลอมหลายประการ เชน ชนิดของดิน สภาพดินฟาอากาศ การใหน้ํา ชนิด ของพืช วิธีปลูกรวมทั้งอายุวัชพืชและปริมาณวัชพืช การเขตกรรมยังถือวาทําใหวัชพืชรุนหลัง
37 ขึ้นมาไดอีกเพราะเทากับไปรื้อเอาเมล็ดที่อยูดินชั้นลางใหขึ้นมาอยูขางบนมีความเหมาะสมของ อุณหภูมิ ความช้ืนและแสงแดดที่จะงอกเจริญได โดยเฉพาะอยางย่ิงวัชพืชประเภทใบกวางท่ีมี ขนาดเมลด็ ใหญ เชน สอึก จิจอ อัตราปลูกและระยะปลกู พนั ธทุ ่ีมีลกั ษณะลําตนรปู ทรงของพุม ใบ การแตกกิ่งกานก็เปนปจจัยท่ีทําใหชวยแรงการ เจริญเตบิ โตใหพุมใบชนกันไดเร็ว การใชอัตราปลูกและระยะปลูกถ่ี จึงมีสวนสัมพันธกับพันธุพืช ในอันที่จะทําใหวัชพืชมีเวลาและพื้นที่สําหรับเกิดขึ้นมาเจริญแขงกับพืชปลูก มันสําปะหลังพันธุ ตางๆ มลี ักษณะทรงตน ทแี่ ตกตางกัน นา จะเปน ประโยชนใ นการแขงขนั กับวัชพืชเม่อื ปลูกถี่ การควบคุมวัชพชื โดยวิธีใชสารกําจดั วัชพืช สารกําจัดวัชพืชเปนวิทยาการท่ีเขามาเสริมหรือทดแทนวิธีการกําจัดวัชพืชอ่ืนๆ มาก ที่สุดในขณะนี้เนื่องจากปจจัยเหตุสําคัญหลายประการ ตั้งแตการขาดแคลนแรงงานในไรนา คาจางแรงงานที่แพงจนไมคุมกับการใชแรงงานกําจัดวัชพืช การใชปจจัยการผลิตเรงการ เจริญเติบโตของพืช เชน ปุยและฮอรโมน มีการผลิตสารกําจัดวัชพืชหลายรูปแบบ สามารถใช กําจัดวัชพืชท่ีขึ้นมาแลว ปองกันการงอกหรือยับยั้งการเจริญเติบโตโดยมีคุณสมบัติพิเศษเลือก ทําลายเฉพาะประเภทของวัชพืชเชนใบกวางหรือใบแคบ ทําลายโดยวิธีสัมผัสและพวกที่ เคล่ือนยายไปสูทุกสวนของพืช จึงทําใหมีโอกาสใชไดในภาวการณเฉพาะตางๆ ดวยอุปกรณที่ ผลติ ขนึ้ มาใหก ารกาํ จดั วชั พืชเกดิ ประสิทธิภาพไดต ามความประสงค การควบคุมวัชพืชจึงเปนส่ิงสําคัญสําหรับการปลูกมันสําปะหลัง และจําเปนท่ีตองทราบ วามีวัชพืชชนิดใดเกิดขึ้นเม่ือใด มีลักษณะการแพรพันธุ เจริญเติบโตอยางไร ไดรวบรวมชนิด วัชพืชหลักทีส่ าํ คญั ดงั นี้ ตารางที่ 11 แสดงชนิด วชั พืชหลักที่สาํ คญั ช่ือพ้นื เมือง ช่ือวทิ ยาศาสตร สาบแรง สาบกา Ageratum conyzoides Linn. ถว่ั ลสิ งนา Alysicarpus vaginalis D.C. ผักโขม Amaranthus viridis Linn. ผักโขมหนาม A. spinosus Linn. จิงโจ จงิ จอ Aniscia martinicensis (Jaco.) Choisy. ผักโขมหิน Boerhavia diffusa Linn. หนวดแมว B. erecta Linn. หญา ตีนติด Brachiaria reptans (Linn.) Gard. et Hubb. หญาบงุ Cenchrus echinatus Linn. ผักปราบ Commelina diffusa Burm. f.
ปอปา 38 กกทราย แหว หมู Corchorus sp. หญา ปากควาย Cyperus irea Linn. หญาตีนนก หญา หวั แหวน C. rotundus Linn. หญา นกสชี มพู Dactyloctenium aegyptimm (L.) P. Beauv หญาตีนกา Digitaria adscendens (HBK) Henr. สาบเสอื Echinochloa colonum (Linn.) Link หญายาง ผกั บงุ ยาง ผกั บุง ผี หญา เดอื ย Eleusine indica (Linn) Gaerin น้าํ นมราชสหี Eupatorium odoratum Linn. บานไมร โู รยปา Euphorbia geniculata Orteg. หญาคา E. hirta Linn. สอกึ Comphrena celosioides Mart. หญาไมก วาด Imperata cylincdica (Linn.) Beauv. หญานกเขา Ipomoea gracilis R. Br. ตูดหมตู ดู หมา Leptochloa chinensis (Linn.) Nees. หญาขจรจบดอกเล็ก หญา คอมมวิ นสิ ต Mollugo taphylla Linn.. หญาขจรจบดอกใหญ หญา คอมมิวนิสต Paederia spp. หญาขจรจบดอกเหลือง หญาเนเปยร Pennisetum pedicellatum Trin. หญาดอกขาว หญาทาพระ p. polystachyon Schult. หญาเขมร หญากา นธูป หญา ยายเฮยี ม p. setosum ผักเบย้ี ใหญ Richardia scabra L. ผกั เบ้ียหิน R. oleraces Linn. ตีนตุก แก ดาวกระจาย Portulaca oleracea Linn. Trianthema portulacastrum Linn. Tridax procumbens Linn. การควบคมุ วชั พืชในมันสาํ ปะหลงั วัชพืชในไรมันสําปะหลังเปนปญหาท่ีสําคัญที่สุดในขบวนการอารักขาพืช เมื่อ เปรียบเทียบกับแมลงโรคและศัตรูมันสําปะหลังอ่ืนๆ ในประเทศไทยการกําจัดวัชพืชเปนตนทุน ท่ีคอนขางสูงเม่ือเปรียบเทียบกับพืชไรอีกหลายชนิดซ่ึงคิดเปน 20 เปอรเซ็นตของตนทุนการ ผลติ ในขณะที่ประเทศไนจเี รยี และโคลอมเบีย การใชแรงงานกําจัดวัชพืชคิดเปน 50 เปอรเซ็นต ของแรงงานท่ีใชสําหรับปลูกมันสําปะหลังหรือเปน 30 เปอรเซ็นตของตนทุนการผลิตมัน สาํ ปะหลงั กําหนดเวลาและจาํ นวนครั้งของการกําจัดวัชพืชมีความสัมพันธตอผลผลิตมันสําปะหลัง เปนอยางมาก การทดสอบกําจัดวัชพืช 2 ครั้ง ขณะที่มันสําปะหลังมีอายุ 30 วัน และ 60 วัน
39 ไดผลผลิตเทากับผลผลิตของมันสําปะหลังที่เร่ิมกําจัดวัชพืชเม่ือมีอายุ 30 วัน และกําจัดวัชพืช ติดตอกันไปเรื่อยจนกระทั่งเก็บเก่ียวและผลผลิตน้ีต่ํากวาผลผลิตของมันสําปะหลังท่ีไดรับการ ดูแลรักษาใหอยูในสภาพปราศจากวัชพืชตลอดฤดูปลูกถึง 10-15 เปอรเซ็นต ซึ่งผลผลิตนี้ลด ต่ําลงไปอีกถาเริ่มกําจัดวัชพืชลาชาออกไปอีก ทั้งน้ีมีบันทึกวาผลผลิตลดลง 5 เปอรเซ็นต เนอื่ งจาก วชั พชื ทีข่ ้นึ มาในเดอื นแรก นอกจากการใชแรงงานกําจัดวัชพืชแลวยังมีการใชเคร่ืองมือทุนแรง เชน รถไถเดินตาม รถแทรกเตอร หรือไถพนื้ เมือง ซึง่ ใชกาํ จัดวชั พืชแตกตางกันไปตามความเหมาะสมสําหรับแตละ ทองท่ีซึ่งมีสภาพแวดลอมตางๆ กัน มีรายงานวาการใชเครื่องจักรกลทุนแรงขนาดใหญทําใหผล ผลิตของมันสําปะหลังลดลงต่ํากวาการใชสารกําจัดวัชพืช คือเมื่อใชเครื่องจักรกลขณะท่ีปลูก มันสําปะหลังได 15 วัน และการใชเครื่องจักรกลลาไปกวาน้ี ทําใหกระทบกระเทือนตอหัวมัน สําปะหลงั ในกลุมประเทศแถบตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกาใตไดแนะนําใหใชอะทราซีนหรือ ไดยูรอนปองกันการงอกของวัชพืช แตการปลูกมันสําปะหลังที่เวเนซุเอลา ฟจิ และโคลอมเบีย ใชในอัตราท่ีแตกตางออกไป นอกจากนี้ในโคลอมเบีย เวเนซุเอลา ไนจีเรีย และประเทศไทย พบวาฟลูโอมีทูรอนมีประสิทธิภาพดีที่สุดสําหรับการปองกันการงอกของเมล็ดวัชพืชได ไมเปน อนั ตรายกบั มนั สําปะหลังทป่ี ลกู ดว ยทอนพันธุ เปนวิธีท่ีประหยัดตนทุนไดมากถึง 70 เปอรเซ็นต เม่ือเปรียบเทียบกับวิธีใชแรงงาน แตสารกําจัดวัชพืชน้ีทําใหมันสําปะหลังท่ีปลูกดวยเมล็ด เสียหาย สารกําจัดวัชพืชพาราควอทถูกนํามาใชเม่ือมันสําปะหลังมีอายุ 3 เดือน เพ่ือทําลาย วัชพืชจนกระทั่งเก็บเก่ียว อลาคลอรและทีซีเอเปนสารกําจัดวัชพืชที่ไดรับการแนะนําใหใชใน ประเทศมาเลเซีย ทางแถบตะวันตกที่มีการปลูกมันสําปะหลัง การทดสอบสารกําจัดวัชพืชบาง ชนดิ ในประเทศไทยมรี ายงานวา มันสําปะหลังไดร บั ความเสียหายเน่ืองจากไมทนทานตอพิษของ สารกําจัดวัชพืชในทางตรงกันขามในประเทศโคลอมเบีย มันสําปะหลังทนทานตออลาคลอรใน อัตราสูงมาก (ชาญ และคณะ, 2537) ในประเทศไทยสารกําจัดวัชพืชทําลายโดยวิธีสัมผัสคือ พาราควอท ถูกนํามาใชในมัน สําปะหลังอยางแพรหลาย กอนสารกําจัดวัชพืชอื่นใด โดยเฉพาะในแหลงปลูกดั้งเดิมในภาค ตะวันออกชายฝงทะเลภาคตะวันออก หรือสภาพแวดลอมภูมิอากาศที่แหงแลง และความอุดม สมบรู ณของดินไมเสริมสรา งการงอกและการเจรญิ เติบโตของวัชพชื แมวาในภาครัฐไดทุมเทความพยายามหลายรูปแบบ ท่ีจะลดพื้นท่ีการปลูกมันสําปะหลัง ถึงกระนั้นความเปล่ียนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะบริเวณพ้ืนท่ีชายฝงทะเลภาค ตะวันออก ประกอบกับการปรับเปลี่ยนพืชปลูกพืชไรอ่ืนๆ เพราะราคาพืชผลตกตํ่าจึงมีการปลูก มันสําปะหลังในพ้ืนท่ีใหมหลายจังหวัดเชน เขตจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ ตาก และ กําแพงเพชรเปนตน ในพื้นท่ีเหลานี้เปนแหลงปลูกใหมท่ีมีปญหาวัชพืชรุนแรงมากจนกระทั่ง จาํ เปนตอ งใชส ารกาํ จัดวัชพืชทั้งประเภทคุมการงอกและทําลายพวกที่งอกขึ้นมาแลวมากกวาใน พืน้ ทีป่ ลูกด้งั เดิม และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
40 หลักการควบคุมวัชพืชในมันสําปะหลังน้ัน มีความพิเศษแตกตางจากพืชอื่นโดยเหตุผล ของธรรมชาติการใชประโยชน การปรับเปลี่ยนเทคนิคและการนําเอาผลิตภัณฑใหมทาง วทิ ยาศาสตรมาใชร วมดว ยหลายประการดังน้ี 1. การปลูกดวยทอนพันธุซ่ึงมีอัตราการงอกและการเจริญเติบโตของตนมันสําปะหลัง ในระยะแรกชา 2. ใชร ะยะปลูกกวาง ซึ่งมีระยะปลูกตามคําแนะนํา 1x1 เมตร พื้นท่ีวางระหวางตนและ แถวจงึ ทําใหว ัชพชื งอกข้ึนมาไดเปนเวลานานถงึ 2 เดือนอยางนอ ย 3. การปลูกโดยอาศัยน้ําฝนธรรมชาติเพียงอยางเดียว เปนธรรมดาท่ีภาวะฝนไม แนนอน การกระจายตัวไมสมํ่าเสมอ มีปริมาณไมเพียงพอที่จะทําใหมันสําปะหลัง เจริญไดอยา งรวดเรว็ ในระยะแรก ยิ่งประสบกับภาวะฝนแลงในชวงที่พุมใบยังไมชน กัน มันสําปะหลังจะชะงักงัน แตวัชพืชสามารถอยูไดเปนปกติ ในระดับความชื้นตํ่า หรอื เม่ือมีฝนชกุ มากกก็ ลับเหมาะสมกบั วชั พชื 4. สามารถปลูกไดทุกเวลาตลอดป การปลูกพืชไรบางชนิดเชน ถ่ัวตางๆ งา ขาวฟาง และฝายมีฤดูกาลปลูกเฉพาะจํากัดกําหนดปลูกท่ีแนนอน แตมันสําปะหลังปลูกได ทุกเดือนของป ในชวงปลายฝนของปต้ังแตเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธปริมาณฝนจะตํ่ากวาชวงฤดู ฝนระหวา งเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม ซ่ึงการเกิดและการแพรระบาดของวัชพืชจะแตกตางกัน ไปตามระดับอุณหภูมิและความช้ืนในภูมิอากาศ ในปลายฤดูฝนท่ีอากาศคอนขางเย็นและ ปริมาณความชื้นต่ําจึงมีวัชพืชเกิดนอย ตรงกันขามกับในตนฤดูฝนถึงกลางฝน หากปลูกในชวง น้ีจะพบวัชพืชมากมายหลายชนิด เกิดในระยะตนออนของมันสําปะหลังเพราะเปนฤดูกาลที่รอน ชื้นเหมาะสําหรับการงอกและการเจริญเติบโตของวัชพืชหลายชนิดเชน หญาขจรจบ หญานกสี ชมพู หญายาง หญาเขมร หญาดอกขาว ซึ่งวัชพืชเหลาน้ีจะไมงอกหรืองอกนอยมากในชวง ปลายป 5. ใชลําตนขยายพันธุ เปนธรรมดาท่ีการปองกันและกําจัดวัชพืช ดวยวิธีใดก็ตาม เมื่อ ถึงระยะหนึ่งท่ีพืชโตแลวจะหลีกเล่ียงไมใหกระทบกระเทือน ทําใหลําตนมัน สําปะหลังเสียหาย หรือหยุดกําจัดวัชพืชเม่ือเห็นวาเส่ียงตอการท่ีจะทําใหลําตนที่จะ ใชเปน พันธุบอบชํ้า 6. เร่ิมใชทอนพันธุยาว ในแหลงปลูกบางแหลงท่ีไมทําการไถพรวนดิน หรือไถพรวน ดินกอนปลูกเลือกใชทอนพันธุยาวกวาปกติ คือ 40-50 เซนติเมตร หรือยาวกวา เพื่อใหใชสารกําจัดวัชพืชไดเร็วกวาการใชทอนพันธุขนาด 15 เซนติเมตรและลด ความเสียหายได ดวยปจจุบันเหตเุ ฉพาะของมนั สําปะหลงั ท่กี ลาววา จึงควรเลือกสรรวิธีการควบคุมท่ีเปน ประโยชนของแตละวิธีมาใชเสริม สมทบและเพ่ิมเติม สลับ สับเปล่ียน หมุนเวียนตามความ
41 จําเปน เพือ่ ประหยัดและปลอดภัยสําหรับส่ิงแวดลอม และการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติที่รวม ความถึงวงจรของจลุ ินทรียแ ละพืชพันธทุ ้ังหลาย สารกําจัดวัชพืชเกือบเปนสิ่งท่ีขาดไมไดสําหรับการปลูกมันสําปะหลังโดยเฉพาะพารา ควอท และไกลโฟเสท และเปนความประจวบเหมาะของดินท่ีปลูกมันสําปะหลังซ่ึงคอนขางเปน ดิน รวนทราย เอ้ืออํานวยใหทําการเขตกรรมไดในระยะแรก ในขณะท่ีการใชสารกําจัดวัชพืช ถูกจํากดั ดวยความไมแ นนอนของฝน หากใชไปอาจเปนการสูญเปลา ดังน้ันหลังจากท่ีไถชักรอง 1 คร้ังในระยะที่มันสําปะหลังเปนตนออน ในชวงนี้เขาสูชวงที่มีฝนแลว จึงควรนําเอาสารกําจัด วชั พชื ประเภทคุมการงอก เชน เมโทลาคลอร หรืออลาคลอร มาพนในระหวางแถวมันสําปะหลัง เปนการลดภาระคาใชจาย ตน ทนุ แรงงานการเขตกรรม หรอื เมอ่ื ฝนชุกชกั รองครง้ั ที่ 2 ไมไ ด ในกรณีที่ปลูกมันสําปะหลังเพ่ือใชเปนตนพันธุ การใชสารกําจัดวัชพืชบางชนิดไมวาจะ เปนประเภททําลายโดยวิธีสัมผัส หรือมีคุณสมบัติเลือกทําลายเฉพาะใบแคบ ใบกวาง ควรเลือก สารกําจัดวัชพืชท่ีไมเปนพิษตอมันสําปะหลังและหลีกเลี่ยงการใชในระยะกอนเก็บเก่ียว เพ่ือ ปอ งกันความเสียหายทีอ่ าจเกดิ ขนึ้ ตอตาขา งลาํ ตนมันสาํ ปะหลัง อันเน่อื งมาจากการใชผ ดิ วิธีหรอื เกนิ อตั รา . ตารางท่ี 12 รายชอ่ื สารกาํ จดั วัชพชื อัตราการใชแ ละวธิ ีการใชในมันสาํ ปะหลัง สารกาํ จดั วัชพืช อตั ราการใชก รัมสาร กาํ หนดการใช วชั พชื ทีค่ วบคมุ หมายเหตุ
42 (Herbicides) ออกฤทธติ์ อ ไร (Time of ได (Susceptible (Remark) (Rates) (gm.ai/rai) Application) Weeds) ไดยูรอน (diuron) พน คลุมดนิ กอ น (120-240) วัชพชื งอก วชั พชื ท่งี อกจาก ใชอัตราตํ่า เมโทลาคลอร (pre-mergence) เมลด็ ชนิดใบแคบ สําหรับดิน (metolachlor) (240-360) พนคลมุ ดินกอ น วัชพืชงอก และใบกวา ง ทรายจัด อลาคลอร (240-360) (pre-mergence) วัชพชื ทีง่ อกจาก (alachlor) พนคลุมดินกอ น เมลด็ ชนิดใบแคบ (160-320) วชั พชื งอก เมทรบิ ลชู นิ (pre-mergence) และใบกวาง (metribuzin) (40-80) พนคลุมดนิ กอ น วัชพชื ท่ีงอกจาก วัชพืชงอก เมล็ดชนดิ ใบแคบ ฟลอู าซฟิ อบ - (20-40) (pre-mergence) บวิ ทลิ หลงั วัชพชื งอกมี และใบกวาง วชั พชื ท่ีงอกจาก ใชอัตราต่ํา (fluazifop-butyl) 3-5 ใบ เมล็ดชนดิ ใบแคบ สําหรับดิน (post- ฮาลอ กซฟิ อบ - emergence) และใบกวาง ทราย เมทธลิ หลงั วชั พชื งอกมี วัชพชื ชนดิ ใบแคบ 3-5 ใบ (halozyfop- (post- วชั พชื ชนิดใบแคบ methyl) emergence) พนี อกซาฟอน (25-40) หลงั วชั พชื งอกมี วัชพชื ชนิดใบแคบ ใชครอบ (fenozaprop-p- (80-120) 3-5 ใบ วัชพชื ทกุ ชนดิ กนั ละออง (post- สารกําจดั ethyl) วชั พืช emergence) พาราควอท (paraquat) หลงั วชั พชื งอกมี 3-5 ใบ (post- emergence) ตารางท่ี 12 (ตอ ) รายช่อื สารกําจดั วัชพชื อตั ราการใชและวิธกี ารใชใ นมนั สําปะหลงั สารกาํ จัดวชั พชื อัตราการใชก รมั สาร กาํ หนดการใช วชั พืชทคี่ วบคมุ หมายเหตุ
43 (Herbicides) ออกฤทธต์ิ อไร (Time of ได (Susceptible (Remark) ออ กซฟิ ลูออเฟน (Rates) (gm.ai/rai) Application) Weeds) พน คลมุ ดนิ กอ น ใชครอบ ไกลโฟเสท (40-50) วชั พชื งอก วัชพืชท่งี อกจาก กนั ละออง เมล็ดชนิดใบกวา ง สารกําจัด (240-480) พนระหวางแถว วชั พชื ในมันสาํ ปะหลงั และใบแคบ ทใ่ี ชทอ นพันธุ วัชพชื ทุกชนดิ ยาวปลูกเม่ือมนั สําปะหลังสูงเกิน 80 ซม. ตารางท่ี 13 รายชื่อสามญั และชอ่ื การคา สารกาํ จัดวชั พชื ในมนั สาํ ปะหลัง ชอ่ื สามญั ชื่อการคา สตู ร ไดยูรอน (Diuron) 80% WP ซูรอน 80 80% WP อลาคลอร (Alachlor) คารแ มกซ 80% WP ไดยรู อน 80 80% WP เมโทลาคลอร (Metolachlor) ไดยรู อน 80% WP เมทริบซู นิ (Metribuzin) 80% WP ยูรสี 80% WP คารเ ตอร 80% WP ไดรอกซ 80 พีซรี อน 48% W/V EC 48% W/V EC ฯลฯ 48% W/V EC อะลาคลอร 48% W/V EC 48% W/V EC แลสโซ 48% W/V EC คาลาร อคี ลิปโซ 40% W/V EC โซโล 40% W/V EC แลนเซอร ฯลฯ 70% WP ดอู ัล 400 อซี ี เมโทลาคลอร 400 อีซี เซง็ คอร 70 ดับบลวิ พี
ฟูลอะซิฟอ พ-บูทิล 44 35% W/V EC (Flazifop-metyl) ฮาโลซฟี่ อ พ-เมทธลิ วนั ไซด 25% W/V EC (Haloxyfop-metyl) ฟน อ็ กซาฟอพ-พี-เอทธลิ กาลแลน็ ท 240 เอม็ .อี 7.5% W/V EC (Fenoxafop-p-ethyl) ออ กซีฟลูออรเ ฟน วปิ 7.5 23.5% W/V EC (Oxyfluorfen) พาราควอท (Paraquat) โกล 2 อี 27.6% W/V AS 27.6% W/V AS ไกลโฟเสท (Glyphosate) พาราควอท 27.6% W/V AS พาราควอท 27.6% W/V AS กรัมมอ กโซน 27.6% W/V AS นอ คโซน 27.6% W/V AS พรี าโซน 27.6% W/V AS แชมปเ ปย น 27.6% W/V AS รูตา 48% W/V AS ท-ี คอท 48% W/V AS ฯลฯ 16% W/V AS ไกลโฟเสท 16% W/V AS ไกลโฟเสท 48% 48% W/V AS (36% ae) ไกลโฟเสท 16 16% W/V AS (16% EC) ฟอรม ูลา 16 48% W/V AS ราวดอ พั 48% W/V AS แบน-อิช 48% W/V AS คอนวอย มสั แตง โฟลอพั๊ ฯลฯ ระบบการปลูกพืชโดยใชมนั สําปะหลังเปนพืชหลัก
45 เน่ืองจากมันสําปะหลังเปนพืชท่ีใชอาหารบางอยางในดินมากเปนพิเศษ จึงทําใหดิน เสื่อมคุณภาพไดอยางรวดเร็ว เพราะฉะน้ัน ควรพยายามเปล่ียนที่ปลูกอยูเสมอ โดยการปลูก หมุนเวียนกับพืชไรพวกถ่ัวชนิดตางๆ หรือพืชไรชนิดอื่นๆ ท่ีมีระบบรากตางกันก็ได เพ่ือเพิ่ม ความอุดมสมบูรณใหแ กดิน การจัดระบบการปลูกพืชสาํ หรบั มันสาํ ปะหลัง มวี ตั ถปุ ระสงคท ส่ี ําคัญไดแก 1. เพ่ือปองกนั การเสือ่ มความอุดมสมบูรณของดนิ ที่ปลกู มันสําปะหลงั ติดตอ กัน 2. เพอ่ื ปรับปรงุ ระบบการปลกู ใหเหมาะสม โดยทไ่ี มทาํ ใหผ ลผลติ มนั สาํ ปะหลงั ลดลง มากนัก 3. เพอ่ื ใหก สิกรมรี ายไดเ รว็ ข้นึ และเพ่มิ มากขึ้น เพอ่ื ทจ่ี ะใหเปน ไปตามวตั ถปุ ระสงคขอแรก จําเปน ตอ งใชพชื ตระกลู ถว่ั เปนพชื รว มใน ระบบ และซากของพชื ตระกูลถว่ั จะตองกลบลงไปในดินเนอ่ื งจากกสิกรอาจไมอ ยากปลกู พชื เพอื่ ไถกลบเพยี งอยางเดียว ดงั นน้ั ในวตั ถปุ ระสงคข อท่ีสอง คนจะตองใชพชื ตระกลู ถวั่ ทส่ี ามารถเก็บ เกี่ยวเมลด็ เพอ่ื จําหนา ยเปน รายไดอ กี ดวย จากการปลูกพืชหลายชนิดรวมกันมีอยู 3 แบบ ไดแก พืชแซม พืชเหลื่อมฤดูและปลูก พืชตาม สําหรับมันสําปะหลังแลวใชไดระบบเดียวคือ พืชแซมโดยการปลูกพืชแซมกับพืชหลัก พรอมกัน หรือกอนหลังกันเล็กนอย เนื่องจากมันสําปะหลังมีอายุเก็บเกี่ยว 12 เดือน การที่จะ ปลูกพืชตามมันสําปะหลังเทากับเปนการปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชเหลื่อมฤดูใน มนั สําปะหลังทําไดย าก เน่อื งจากมีวชั พชื มากในระยะทจี่ ะเกบ็ เกีย่ วมนั สําปะหลงั สาขาพืชหวั กองพืชไร กรมวชิ าการเกษตร ไดเรม่ิ ศกึ ษาทดลองเกบ็ เก่ยี วกบั พืชแซมมนั สาํ ปะหลังเร่อื ยมา เร่ิมดว ยการหาชนิดพชื และระบบการปลกู พชื แซมมันสาํ ปะหลังวาเปนสิ่งท่ี เปนไปไดห รือไม มพี ืชชนดิ ใดบา งทจ่ี ะนาํ มาใชเปนพืชแซมไดด ี ซงึ่ ทาํ ใหไ ดขอมูลข้นั ตนอันเปน ข้ันทส่ี ําคญั ทก่ี า วตอ ไปคือ จากพืชหลายชนิดทน่ี ํามาศึกษาปลกู เปน พืชแซม มพี ชื บางชนิดไม เหมาะทีจ่ ะนํามาปลูกเปนพชื แซมมันสําปะหลงั เชน พรกิ ชนดิ ตางๆ ซงึ่ ตอ งการดแู ลรกั ษามาก ไมทนสภาพแลง เกดิ โรคและมกั ตายกอ นแกจดั ถัว่ ดําเปน เถาเลือ้ ยพนั ตนมนั สาํ ปะหลงั ทาํ ให ลําบากในการปฏบิ ตั บิ าํ รุงรกั ษาและเกบ็ เก่ียว ผลผลิตตํ่ามากตอ งดแู ลรกั ษามาก ขาวโพดเลยี้ ง สตั วซ ึง่ ไมใ ชพ ืชบํารุงดนิ และมอี ายเุ ก็บเกยี่ วนาน มผี ลทําใหเ กดิ การแขง ขนั ในดานผลผลิต มันสําปะหลงั พืชท่เี ห็นควรจะใชเปน พชื แซมได ไดแก ถ่วั ลิสง ถวั่ เขยี ว ถวั่ เหลือง ซ่ึงเปน พืช บํารงุ ดนิ และขาวโพดหวานซึง่ มีอายเุ ก็บเกีย่ วส้ัน แมจะไมใ ชพ ืชบาํ รงุ ดิน เพื่อใหเหน็ ขอดขี องพืชแซมแตล ะชนดิ จึงไดแ ยกศกึ ษาขอมูลของแตล ะพชื ดังน้ี
Search