Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสืออ่านเพิ่มเติมลิลิตตะเลงพ่าย

หนังสืออ่านเพิ่มเติมลิลิตตะเลงพ่าย

Description: หนังสืออ่านเพิ่มเติมลิลิตตะเลงพ่าย

Search

Read the Text Version

หนั งสื ออ่านเพิ่มเติ่ม ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึ กษาปีที่ ๕ วรรณคดี ติดตาม... และ เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย วรรณกรรม ผู้เรียบเรียง : เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครู ฝนและครู ปอย



หนั งสื ออ่านเพิ่ มเติม เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย ว ร ร ณ ค ดี แ ล ะ ว ร ร ณ ก ร ร ม ชั้ นมัธยมศึ กษาปี ที่ ๕ ลิขสิ ทธิ์ ของ เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย สแกนคิวอาร์โคด สแกนคิวอาร์โคด เพื่อไปที่เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย เพื่ออ่านหนั งสื ออิเล็กทรอนิ กส์

คำนำ หนังสืออ่านเพิ่มเติม วรรณคดี เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึ กษาปีที่ ๕ เป็น หนังสือที่เพจบุฟเฟ่ต์ภาษาไทยจัดทำขึ้น เพื่อใช้ในการเรียนรู้วรรณคดีเรื่องลิลิต ตะเลงพ่าย ซึ่งเป็นหนึ่ งในวรรณกรรมคัดสรรในหนังสือเรียนสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึ กษาปีที่ ๕ แนวการนำเสนอเนื้อหาของหนังสืออ่านเพิ่มเติม วรรณคดี เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึ กษาปีที่ ๕ เน้นให้ผู้อ่านได้ศึ กษาประวัติผู้แต่งเรื่องลิลตตะเลงพ่าย ภูมิหลังเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย เนื้อเรื่องเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย คุณค่าเรื่องลิลิตตะเลง พ่าย และการวิเคราะห์ตัวละครที่สำคัญในเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย เพื่อนำไปสู่ความรู้ ความเข้าใจในการคิดวิเคราะห์แยกแยะอย่างมีเหตุผล มีวิจารณญาณและเรียนรู้ วรรณคดีอย่างถูกต้อง โดยนำเสนอได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตาม เพจบุฟเฟต์ภาษาไทยหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ วรรณคดีเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้ามีข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุง แก้ไข กรุณาแจ้งเพจบุฟเฟต์ภาษาไทยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำหนังสืออ่านเพิ่มเติมนี้ ให้สำเร็จ ลุล่วงด้วยดี ณโอกาสนี้ เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย

สารบัญ หน้ า เรื่อง ๒ ๓ ผู้แต่ง ลิลิตตะเลงพ่าย......................................................................... ๖ ภูมหลัง ลิลิตตะเลงพ่าย...................................................................... ๑๐ เนื้อเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย.................................................................... ๑๔ คุณค่า ลิลิตตะเลงพ่าย........................................................................ วิเคราะห์ตัวละคร ลิลิตตะเลงพ่าย.......................................................



เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย ลิลิต ตะเลงพ่าย

-๒- ผู้แต่ง ลิลิตตะเลงพ่าย ? ผู้แต่งลิลิตตะเลงพ่าย คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ประวัติผู้แต่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ – ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖) พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย พระองค์ที่ ๗ แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์) และเป็น พระราชวงศ์ พระองค์แรกที่ทรงได้รับสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช นอกจากนี้ ยังเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกที่ประสูติในสมัยรัตนโกสินทร์ ทรงสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมมังคลารามราชวรมหาวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงสมณศั กดิ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ถึงปี พ.ศ. ๒๓๙๖ รวม ๒ ปี สิ้ นพระชนม์เมื่อพระชันษาได้ ๖๒ ปี ๓๖๔ วัน เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

-๓- ภูมิหลังวรรณคดี ลิลิตตะเลงพ่าย ผู้แต่ง ? คือ สมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส แต่งในสมัย ? - ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น - สมัยรัชกาลที่ ๓ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) แต่งขึ้นช่วงไหน เพราะอะไร ? แต่งในช่วงที่มีการบูรณะปฏิสั งขรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ครั้งใหญ่สมัย ร.๓) เพราะในช่วงนั้น นอกจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๓) จะสั่งให้มีการบูรณะวัดแล้ว ยังสั่งให้กวี ผู้รู้ นักปราชญ์ แต่ง หนังสือ ตำรา ซึ่งเป็นศาสตร์ความรู้แขนงต่าง ๆ มาประดับและจารึก ไว้ที่วัดแห่งนี้ เช่น ตำราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์,ตำราเกี่ยวกับความรู้ การแพทย์, ตำราเกี่ยวกับยาต่าง ๆ, ตำราภาษา เป็นต้น ในการบูรณะปฏิ สั งขรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ครั้งใหญ่ และการนำตำราความรู้แขนงต่าง ๆ มาไว้ที่วัด แห่งนี้ นั่ นก็เพื่อที่จะให้ประชาชนชาวไทยทุกคนมีสิทธิ์ ได้รับความรู้อย่างทั่วถึง (เพราะสมัยก่อนวัดเป็ นเสมือน โรงเรียน และผู้ที่จะมีสิทธิ์ได้เรียนมีเพียงลูกขุนนาง หรือพ่อค้าที่ร่ำรวยเท่านั้ น) ดังนั้ น วัดพระเชตุพนวิมล มังคลารามแห่งนี้ จึงเป็ นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของ ประเทศไทย และเป็ นมหาวิทยาลัยเปิ ดแห่งแรกของ ประเทศไทยด้วย เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

-๔- โครงเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายมาจากไหน ? - มาจากพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ผู้แต่งแต่งเนื้อเรื่องตามพงศาวดารทั้งหมดหรือไม่ ? - ผู้แต่งตัดมาเฉพาะช่วงตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ทำ ยุทธหัตถีกับพระอุปราชาแห่งหงสาวดี (มังกยอชวา พระโอรสของ พระเจ้านันทบุเรง พระนัดดาของพระเจ้าบุเรงนอง) และนอกจากนี้ ผู้ แต่งยังได้ใส่จิตนาการของตนเองเข้าไปด้วย เช่น ในตอนที่พระมหา อุปราชาได้พรรณนาถึงนางอันเป็นที่รัก หรือตอนที่พระมหาอุปราชา ได้กล่าวถึงพระเจ้านันทบุเรง แต่อย่างไรก็ดี เนื้อหาส่วนใหญ่มีการ อิงจากประวัติศาสตร์อย่างดี แต่เพียงนำมาประพันธ์ในรูปแบบใหม่ คือ “ลิลิต” ลิลิตคืออะไร ? - ลิลิต คือ คำประพันธ์ชนิดหนึ่ งที่แต่งด้วยโคลงและร่ายสลับกัน ลิลิตตะเลงพ่ายคืออะไร ? - ลิลิต คือ ลักษณะคำประพันธ์ชนิดหนึงที่แต่งด้วยโคลงกับร่าย - ตะเลง คือ พม่า (ไม่ใช่มอญ / หลายคนมักจำพม่าและมอญเป็น ชนเหล่าเดียวกัน แต่แท้จริงคือไม่ใช่ เหตุที่ทำให้คนจำสลับกันนั่นก็ เพราะพม่าและมอญอยู่ร่วมกัน เพราะครั้งหนึ่ งพม่าเคยไปทำศึ กกับ มอญและได้รบชนะ จึงได้อพยพเข้ามาอยู่ที่เมืองมอญ ซึ่งคือหงสาวดี) - พ่าย คือ แพ้ ***ดังนั้นลิลิตตะเลงพ่ายจึงหมายถึง ลิลิตพม่าแพ้ เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

-๕- ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นวรรณคดีประเภทใด ? - เป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ ***เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช*** ลิลิตตะเลงพ่ายมีทั้งหมดกี่บท ? - ๔๓๙ บท ลักษณะคำประพันธ์ของลิลิตตะเลงพ่าย มีอะไรบ้าง ? ๑) ร่ายสุภาพ ๒) โคลงสองสุภาพ ๓) โคลงสามสุภาพ ๔) โคลงสี่ สุภาพ ตัวละครที่สำคัญ - สมเด็จพระนเรศวรมหาราช - พระมหาอุปราชา ช้างทรง - เจ้าพระยาไชยานุภาพ/เจ้าพระยาปราบหงสาวดี เดิมชื่อ พลายภูเขาทอง (ช้างทรงพระนเรศวร) - พลายพันธกอ (ช้างทรงพระมหาอุปราชา) เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

-๖- เนื้ อเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย เมื่อครั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชพระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวร สวรรคต สมเด็จพระนเรศวรก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาทันที และได้แต่งตั้ง ให้พระเอกาทศรถผู้เป็นอนุชาเป็นพระมหาอุปราช ทางฝั่ งหงสาวดี ในขณะนั้นปกครองโดยพระเจ้านันทบุเรง ซึ่งมีพระราชโอรส พระนามว่ามังกยอชวา ซึ่งคือพระมหาอุปราชา ในขณะนั้นพระเจ้านันทบุเรงเห็นว่า กรุงศรีอยุธยามีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จึงเห็นว่าควรที่จะยกทัพไปตีกรุงศรีอยุธยา ในตอนนี้ เพราะคิดว่าพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ดังนั้น พระเจ้านันทบุเรงจึงได้สั่งให้พระมหาอุปราชาผู้เป็นโอรส เป็นผู้นำศึ กไปรบ กับกรุ งศรีอยุธยาในครั้งนี้ เมื่อพระมหาอุปราชารู้ข่าวว่าพระองค์ต้องไปรบกับพระนเรศวรก็ทรงกังวลพระทัย ประกอบกับโหรได้ทำนายว่าพระองค์กำลังจะมีเคราะห์ ดังนั้นพระองค์จึงได้กราบทูลให้ พระบิดาทรงทราบ แต่พระเจ้านันทบุเรงกลับโกรธเกรี้ยว แล้วตรัสประชดประชัน ความว่า หากพระมหาอุปราชากลัวเคราะห์ร้าย ก็จงอย่าไปทำศึ ก แต่ให้เอาผ้าถุงสตรี มาสวมใส่ให้สร่างเคราะห์ และเมื่อพระมหาอุปราชาได้ฟังเช่นนั้นก็ทรงอับอายและ กลัวพระอาญา จึงรับคำสั่งที่จะไปรบกับกรุงศรีอยุธยาทันที และได้ประกาศสั่งให้ เกณฑ์พลทุกเมือง และรวมถึงเมืองเชียงใหม่ก็ให้เกณฑ์พลมาช่วยเช่นกัน จากนั้นพระมหาอุปราชาก็ได้ไปร่ำลานางสนมอันเป็นที่รัก และเมื่อถึงรุ่งเช้า พระมหาอุปราชาก็ได้สวมใส่ชุดเกราะครบครัน และไปทูลลาพระราชบิดา เมื่อ พระเจ้านันทบุเรงเห็นดังนั้นก็ได้ให้พร ๘ ประการ แก่พระมหาอุปราชา คือ อย่าคึกคะนองพองตน อย่าขี้ขลาด อย่าเกียจคร้าน ให้รู้การจัดกระบวนทัพ ให้รู้จักการตั้งค่าย รู้จักทำนุบำรุงขวัญทหาร รู้จักให้รางวัลผู้ที่มีความสามารถ และอย่าเชื่อคนง่าย จากนั้นพระมหาอุปราชาจึงกราบลาพระราชบิดาและออกเดินทาง เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

-๗- เมื่อออกเดินทางไป พระมหาอุปราชาก็ทรงรำพันถึงนางอันเป็นที่รัก มองเห็น ดอกไม้ต้นไม้ก็ไม่วายให้นึ กถึง.. พระมหาอุปราชาประทับบนหลังช้างผ่านป่าเขา จนกระทั่งเกิดเหตุลางร้าง คือมี หมอกมืดทั้งท้องฟ้า เกิดลมเวรัมภามาหอบพัดฉัตรของพระองค์หักลงดิน พระมหา- อุปราชาเห็นเหตุดังนั้นก็เกิดความตกใจเหมือนเขาหินตกใส่ หวั่นใจสั่นหน้าซีด รีบ ร้องเรียกโหรมาทำนายทันที เมื่อโหรทั้งหลายเห็นก็ล้วนรู้แจ้งว่านี่ คือเหตุร้าย แต่จะ ทูลตามตรงก็เกรงกลัวโทษ จึงทำนายเป็นเรื่องดีกลบเหตุร้ายนี้ ว่า เหตุนี้ หากเกิดเช้า จะเป็นเรื่องร้าย แต่หากเกิดยามเย็นจะเป็นเรื่องดี พระองค์อย่าขุ่นทุกข์ใจ เพราะ พระองค์ชนะศึ กในครั้งนี้ ฟังคำทำนายเสร็จพระมหาอุปราชาทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ทำใจให้เป็นกลาง เพื่อให้คลายหวั่น และคำนึงถึงพระราชบิดาว่า หากพระองค์เสียพระโอรสคงเจ็บทุกข์ ใจใหญ่หลวง เหมือนเสียแขนทั้งสองข้าง ส่วนพระนเรศวรแห่งกรุงศรีอยุธยาใครจะ กล้าราญรอนรบด้วย เสียดายแผ่นดินมอญคงสิ้ นแล้ว เพราะไม่มีใครมาต้านทานศึ กได้ น่าสงสารพระราชบิดาคงเปลี่ยวเปล่า พระชนม์ก็ชรามากแล้ว เกรงว่าหากพระองค์จะ แพ้ศึ กครั้งนี้ เพราะศึ กนี้ น่าหนักใจนัก หากพระองค์ตายไปในสนามรบใครจะเก็บศพ คงถูกทิ้งไว้ไร้คนเผาแน่ ส่วนพระราชบิดาคงอยู่เพียงลำพัง ไม่มีใครเป็นคู่คิดยามทำ ศึ ก พระองค์คนขุ่นใจ พระคุณพระราชบิดามีมากนักแต่กเกรงว่าลูกนี้ จะไม่ได้กลับไป ทดแทนคุณ ทางฝั่ งกรุงศรีอยุธยาเทวดาก็ดลบันดาลให้พระนเรศวรสุบินเห็นกระแสน้ำหลั่งล้น ท่วมหนักทางทิศตะวันตกเป็นแนวยาวสุดสายพระนคร พระองค์ทรงพระราชดำเนิน ลุยกระแสน้ำและได้พบกับจระเข้ตัวใหญ่ และได้ใช้ดาบต่อสู้และฆ่าจระเข้ตาย กระแส น้ำที่เคยไหลแรงก็แห้งเหือด พระองค์ทรงดีพระทัยว่าเผด็จศึ กสงครามเสี้ ยนนี้ ได้ สำเร็จแน่ จากนั้นจึงเรียกโหราทำนาย โหรเมื่อได้รับฟังพระสุบินนิมิตก็ได้แจ่มแจ้ง จึงทำนายว่าพระสุบินนี้ เป็นเทพสังหรณ์คือเทวดาดลใจให้ฝันเพื่อบอกเหตุให้ทรง ทราบ น้ำที่ไหลท่วมป่าสูงทางทิศตะวันตกหมายถึงพม่าผู้เป็นข้าศึ ก ส่วนจระเข้คือ พระมหาอุปราชาผู้เป็นพระเชษฐา สงครามในครั้งนี้ จะเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่ เพราะ พระองค์จะต้องทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา และการที่พระองค์ฆ่าจระเข้ได้ก็ แปลว่าพระองค์จะสามารถเอาชนะพระมหาอุปราชาได้ และพระมหาอุปราชาจะ สิ้ นพระชนม์ด้วยพระแสงของ้าวของพระองค์ และในการที่พระองค์ฝ่าน้ำเชี่ยวเข้า ไปได้นั่นก็แปลว่าพระองค์จะสามารถไล่ลุยสู้ข้าศึ กจนแตกพ่ายไป ข้าศึ กไม่สามารถ ต้านทานพระเดชานุภาพได้เลยและพระองค์จะชนะศึ กดังพระสุบินนิมิต เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

-๘- สมเด็จพระนเรศวรได้รับฟังคำทำนายก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็ทรงแต่ง พระวรกายวิจิตรงดงามสง่าน่าเลื่อมใส และสมเด็จพระเอกาทศรถก็ทรงแต่งพระ วรกายวิจิตรงดงามเช่นกัน กษัตริย์ทั้งสองได้เสด็จไปยังเกยทรงช้าง ซึ่งห้อมล้อมไป ด้วยทหารหาญเป็นขบวน ในขณะที่กษัตริย์ทั้งสองทรงคอยพิชัยฤกษ์อยู่ ก็ได้ทอด พระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุสส่ องแสงสุกใสขนาดเท่าผลส้ มเกลี้ยงล่องลอย ออกมาในท้องฟ้าทางทิศใต้และได้หมุนรอบกองทัพเป็นทักษิณวรรค ๓ รอบ แล้ว ลอยขึ้นไปทางทิศเหนือ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์จึงสรรเสริญนมัสการอธิษฐานให้ ชนะศึ ก ในขณะที่กษัตริย์ท่านสองเคลื่อนพลตามเกล็ดนาคและได้ปะทะกับข้าศึ ก ช้าง พระที่นั่งทั้งสอง คือ เจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักร ได้ยินเสียง ฆ้องปืนก็ร้องขึ้นด้วยความคึกคะนองตกมัน วิ่งเข้าไปสู้สงคราม โดยมีเพียงควาญช้าง ผู้รักษาท้ายช้าง และกลางช้างทรงเท่านั้นที่เสด็จไปด้วยได้ทันจนถึงกองหน้าของ ข้าศึ ก กษัตริย์ทั้งสองทอดพระเนตรเห็นฝ่ายข้าศึ กมีกําลังมากมาย ช้างทั้งสองของ กษัตริย์วิ่งชนช้างศึ กอย่างเชี่ยวชาญ เกิดการตะลุมบอนจนฝุ่นตลบมืดมองไม่เห็น สมเด็จพระนเรศวรผู้เป็นดั่งสมมุติเทพ ทรงมีพระเกียรติฟุ้งเฟื่ องไปทั่วแผ่นดิน ได้มีองค์การเชิญเทพทุกทิศที่ตั้ง ๖ ชั้น และเชิญพระพรหมในพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น มาฟังคำแถลงของพระองค์ว่า การที่เทวดาบันดาลให้ข้าพเจ้ามาเกิดในเชื้อสาย กษัตริย์ ด้วยหวังให้คำ้จุนพระรัตนตรัย ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เหตุไฉนเทวดาทั้งหลายจึงไม่ช่วยดลบันดาลให้ท้องฟ้าสว่างไสว จะได้มองเห็นข้าศึ ก ศั ตรูได้ชัดเจน เมื่อสิ้ นสุดก็ได้เกิดลมพายุใหญ่พัดเอาหมอควันหายไปจนสิ้ นท้องฟ้า โล่งสนามรบแจ่มแจ้งมองเห็นชัด สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นทัพข้าศึ ก ปรากฏว่ามีการจัดช้างทรงไว้ ๑๖ ช้าง แต่กลับไม่พบพระมหาอุปราชาจึงได้เร่ง ขับช้างตามหาก็ได้เห็นฉัตร ๕ ชั้นที่แห่งหนึ่ ง จึงทราบว่าเป็นพระมหาอุปราชา ทรงประทับอยู่บนหลังช้างใต้ต้นข่อย สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาถูกห้อมล้อมด้วยทหารมา กมายและตั้งเครื่องสูงครบครันมองดูแปลกประหลาดกว่าใคร ด้วยความมีไหวพริบดี มองว่าหากสู้ธรรมดาคงไม่สามารถต้านทานกองทัพของหงสาวดีได้ จึงได้ เชิญชวนให้พระมหาอุปราชามากระทำยุธหัตถี โดยขับช้างพระที่นั่งเข้าไปหา พระมหาอุปราชาด้วยพระพักตร์ผ่องใสไม่เกรงกลัวข้าศึ ก จากนั้นสมเด็จพระนเรศวร ได้ตัดถ้อยคำไพเราะน่าฟัง ไม่มีสุริเสียงขุ่นเคืองใด ๆ ว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ประเทศมอญ มีพระเกียรติยศเลื่องลือไกลทั้ง ๑๐ ทิศ ผู้ใดได้ยินก็หวั่นเกรง เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

-๙- พระบรมเดชานุภาพไม่กล้าต่อสู้แล้วรีบหนี พระเจ้าพี่ไม่สมควรเลยที่จะประทับอยู่ใต้ ร่มไม้ ขอเชิญพระองค์ทรงมากระทำยุทธหัตถีร่วมกันให้ปรากฏเกียรติยศไว้เถิด ต่อ จากเราทั้งสองคงไม่มีอีกแล้ว พระมหาอุปราชาตกลงทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวร ช้างทรงทั้งสองช้างของ สมเด็จพระนเรศวรและพระมหาอุปราชาเป็นเหมือนดั่งช้างเอราวัณของพระอินทร์ และช้างคีรีเมขล์ของวสวัตดีมารทั้ง ๒ ช้างต่างสายเศี ยรสายงาเข้าแทงกันและกัน อย่างขวักไขว่ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ต่อสู้รบกันอย่างแข็งขันเต็มกำลังสามารถและ ว่องไว ทั้งสองต่อสู้กันราวกับพระอินทร์และพระยาอสูรเวปจิตติทำสงครามกัน หรือ เป็นดั้งพระรามทำสงครามกับทศกัณฐ์ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเสมอเหมือน สมเด็จ พระนเรศวรต้านทานสมเด็จพระมหาอุปราชาไว้ได้ ทั้งสองพระองค์ไม่ได้ทรงย้ำเกรง กลัวกันเลย สมเด็จพระนเรศวรใช้พระหัตถ์ยกพระแสงของ้าวกวักไกว กวัดเหวี่ยงไป มาเพื่อสู้ข้าศึ ก ช้างของสมเด็จพระนเรศวรโถมเข้าปะทะโดยไม่ทันตั้งหลักให้มั่น ช้าง ทรงของพระมหาอุปราชาจึงดันงาและคางของช้างสมเด็จพระนเรศวรเงยหน้ าขึ้ น สมเด็จพระมหาอุปราชาทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงใช้พระแสงข้อง้าวล่วงฟันอย่าง แรงและรวดเร็ว สมเด็จพระนเรศวรก็หลบได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ก็ต้องถูกพระ มาลาของพระองค์ขาดไป ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรกำลังเสียเปรียบ ช้างทรงของ พระองค์ก็ได้ถอยหลังไปจนถึงต่อต้นข่อยและได้ใช้ยึดเป็นฐาน ทำให้พระนเรศวรได้ เปรียบขึ้นมาบ้างและได้โอกาสใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาสิ้ นใจขาดคอ ช้างทันที หลังจากนั้นพระนเรศวรก็ได้ให้คนมารับศพของพระมหาอุปราชากลับไป ทำพิธีที่หงสาวดี เมื่อกลับมาถึงอยุธยาตามกฎมณเฑียรบาลพระนเรศวรต้องสั่ งประหารทหาร ทั้งหมดที่ไม่สามารถตามมาคุ้มกันพระองค์ ปล่อยให้พระองค์เข้าไปในทัพของศั ตรู เพียงลำพัง แต่สมเด็จพระวันรัตได้ขอให้ลดโทษให้ เนื่องจากเหล่าทหารต่างมีความ สามารถและเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ สมเด็จพระนเรศวรจึงประทาน อภัยโทษให้และได้ทรงเป็นกษั ตริย์ปกครองบ้านเมืองอย่างสั นติสุข เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

- ๑๐ - คุณค่า ลิลิตตะเลงพ่าย ประวัติศาสตร์ เนื่ องจากวรรณคดีเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย มีเค้าโครงเรื่องมาจากพระราชพงศาวดารกรุ งศรีอยุธยา ซึ่งหมายถึงประวัติศาสตร์กรุ งศรีอยุธยา คุณค่า การจัดทัพ เนื่ องจากวรรณคดีเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย ด้านความรู้ และการตั้งค่าย มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดทัพทำศึ ก จึงมีการ สอดแทรกกลวิธีการจัดทัพและการตั้งค่ายตาม หลักพิชัยสงครามสอดแทรกในเนื้ อเรื่องด้วย อักษรศาสตร์ เนื่ องจากวรรณคดีเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย การใช้คำ มีการนำเค้าโครงเรื่องมาจากพระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยา จึงมีคำบางคำที่เหมือนใน พระราชพงศาวดารกรุ งศรีอยุธยาด้วย ความกตัญญูต่อบรรพบุรุ ษของชาติไทย - ที่อุทิศชีวิตเพื่อชาติรักษาแผ่นดินไว้สืบมาจนถึงปัจจุบัน - ความเคารพเทิดทูนต่อพระมหากษัตริย์ - ที่อุทิศพระวรกายและพระหทัยเพื่อชาติและประชาชน - คุณค่า การยกย่องวีรกรรมอันยอดเยี่ยมของพระมหากษัตริย์ไทย - ซึ่งในที่นี้ คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ - ความคิด ความเป็นอันหนึ่ งอันเดียวกัน - ความเสียสละของบรรพบุรุษที่ร่วมใจสามัคคีรักษาแผ่นดินไทยให้เป็นไทยไว้ - ความซาบซึ้งในพระอุตสาหภาพของพระมหากษัตริย์ - ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในการปกครองบ้านเมืองให้สงบสุข - ความเป็นพุทธศาสนา - การมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นอัครสนูปถัมภก มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจของทุกคน - เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

- ๑๑ - คุณค่า ด้านสั งคมและ คติชน เช่น พิธีโขลนทวารตัดไม้ข่มนาม เพื่อเป็นการสร้าง ขนบธรรมเนี ยมและประเพณี ขวัญกำลังใจแก่ทหาร ความเชื่อเรื่องฝัน เช่น สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสุบินว่าได้ต่อสู้กับจระเข้ ความเชื่อเรื่องสวรรค์ และเทวดา ยักษ์ และพระองค์สามารถฆ่าจระเข้ตาย ได้จึงโปรดให้ โหรทำนายพระสุบินซึ่งโหรทำนายว่าพระองค์นั้ นจะชนะ ศึ กหงสาวดีในครั้งนี้ เช่น สมเด็จพระนเรศวรมีองค์การเชิญเทพทุกทิศที่ตั้ง ๖ ชั้นและเชิญพระพรหมในพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น ใน ขณะที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของข้าศึ ก ความเชื่อเรื่องโชคลาง เช่น พระมหาอุปราชาถูกลมเวรัมภาพัดฉัตรหักพระองค์ก็ และการมีเคราะห์ เร่งให้โหรมาทำนายทันที หรือสมเด็จพระนเรศวรและ สมเด็จพระเอกาทศรถได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรม สารีริกธาตุขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยงก่อนออกศึ ก เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

- ๑๒ - คุณค่า ด้านวรรณศิ ลป์ ๑. วิเคราะห์คุณค่าด้านการปรุงแต่งเสียง บำรู ๑.๑ การเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ เชิดด้ำ ไวว่อง นักนา (๓๑๐) สองโจมสองจู่จ้วง เข่นเขี้ยวในสนาม สองขัตติยสองขอชู กระลึงกระลอกดู ควาญขับคชแข่งค้ำ จากโคลงบทข้างต้นที่ยกตัวอย่างมาจะเห็นได้ว่ามีการเล่นเสี ยงสั มผัสพยัญชนะ ภายในวรรคเดียวกันและสัมผัสพยัญชนะระหว่างวรรค ทำให้เกิดความไพเราะ ซึ่งได้แก่คำว่า โจม-จู่-จ้วง เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ จ ชู-เชิด เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ช ไว-ว่อง เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ว ควาญ-คช-ค้ำ เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ค ขับ-แข่ง-เข่น-เขี้ยว เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ข ๑.๒ การเล่นเสียงสัมผัสสระ (๓๑๖) บัดมงคลพ่าห์ไท้ ทวารัตน์ แว้งเหวี่ยงเบี่ยงเศี ยรสะบัด ตกใต้ อุกคลุกพลุกเงยงัด คอคช เศิ กแฮ เบนบ่ายหงายแหงนให้ ท่วงท้อทีถอย จากโคลงดังกล่าวที่ยกตัวอย่างมาจะเห็นได้ว่ามีการเล่นเสี ยงสั มผัสสระภายในวรรค โดยใช้เสียงสระและมาตราตัวสะกดตัวเดียวกัน ซึ่งได้แก่คำว่า เหวี่ยง-เบี่ยง เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระคือ สระเอีย และ มาตราตัวสะกดแม่กง อุก-คลุก-พลุก เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระคือ สระอุ และ มาตราตัวสะกดแม่กก บ่าย-หงาย เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระคือ สระอา และ มาตราตัวสะกดแม่เกย เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

- ๑๓ - ๑.๓ การเล่นเสียงวรรณยุกต์ (๘๖) สลัดไดใดสลัดน้อง แหนงนอน ไพรฤา เพราะเพื่อมาราญรอน เศิ กไสร้ สละสละสมร เสมอชื่อ ไม้นา นึ กระกำนามไม้ แม่นแม้นทรวงเรียม จากโคลงที่ยกตัวอย่างมาดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีการเล่นเสียงวรรณยุกต์ โดยการนำคำ เดียวกันมาวางเรียงชิดกันแล้วใช้วรรณยุกต์ที่มีรูปและเสียงต่างกันออกไป ซึ่งได้แก่คำว่า แม่น-แม้น เป็นการใช้คำคำเดียวกันคือคำว่า แมน แล้วเล่นเสียงวรรณยุกต์โท (รูปเอก) คือ คำว่า แม่น และเล่นเสียงวรรณยุกต์ตรี (รูปโท) คือคำว่า แม้น ๒. วิเคราะห์คุณค่าด้านการปรุงแต่งคำ ๒.๑ การสรรคำ คือ การเลือกใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมแก่เนื้อความ บริบท ตัวละคร เช่น (๓๑๕) เบื้องนั้นนฤนาถผู้ สยามินทร์ เบี่ยงพระมาลาผิน ห่อนพ้อง ศั สตราวุธอรินทร์ ฤาถูก องค์เอย เพราะพระหัตถ์หากป้อง ปัดด้วยขอทรง จากโคลงบทนี้ พบการสรรคำที่แสดงให้เห็นถึงความสูงศั กดิ์ของพระมหากษัตริย์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยการเลือกใช้คำราชาศั พท์ให้เกิดความหลากหลาย ได้แก่คำว่า นฤนาถ หมายถึง กษัตริย์ สยามินทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในสยาม พระมาลา หมายถึง หมวก (คำราชาศั พท์) ศั ตราวุธ หมายถึง ของมีคม เครื่องฟันแทง อาวุธต่าง ๆ อรินทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายข้าศึ กหรือฝ่ายศั ตรู พระหัตถ์ หมายถึง มือ (คำราชาศั พท์) ศึ กษาคุณค่า ด้านวรรณศิ ลป์เพิ่มเติม เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

- ๑๔ - วิเคราะห์ตัวละคร ลิลิตตะเลงพ่าย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช - รักแผ่นดินเกิด - คำนึงถึงความมั่นคงของแผ่นดิน - มีสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดและความเด็ดขาดในการตัดสินพระทัย รอบรู้ และมีไหวพริบ - มีความเป็นนักรบ มีความกล้า เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นเกรงต่อข้าศึ ก พระมหาอุปราชา อ่านลิลิตตะเลงพ่าย ฉบับเต็มเรื่องได้ที่เว็บไซต์ - เป็นลูกกตัญญ - มีพระทัยอ่อนไหว ห้องสมุดวชิรญาณ - มีขัตติยมานะ คือ การถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ แนะนำ แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย

เพจบุฟเฟต์ภาษาไทย โดย ครูฝนและครูปอย