ขัตติยพันธกรณี คณะผู้จัดทำ ชั้นมัธยมศึกษาปี ๖/๕ นำเสนอ คุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน
ขัตติยพันธกรณี คณะผู้จัดทำ น.ส.นิธิวดี โพธิ์พันเหมือน ม.๖/๕ เลขที่ ๑๐ น.ส.ศิรินาฏ สุขเกษม ม.๖/๕ เลขที่ ๓๒ น.ส.อัจจิมา ปานสุวรรณ ม.๖/๕ เลขที่ ๓๕ น.ส.ธนัชชา สันติเตชกุล ม.๖/๕ เลขที่ ๓๗ น.ส.ปณิตา การสมศักดิ์ ม.๖/๕ เลขที่ ๓๘ น.ส.สุชาดา อินสว่าง ม.๖/๕ เลขที่ ๔๐ น.ส.แสงจันทร์ ลุงต๊ะ ม.๖/๕ เลขที่ ๔๒ น.ส.พิมพ์มาดา เปี่ ยมธราสิทธิ์ ม.๖/๕ เลขที่ ๔๖ นำเสนอ คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนสงวนหญิง
ก คำนำ วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย พื้นฐาน ท๓๑๑๐๑ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยว กับวรรณคดีเรื่องขัตติยพันธกรณี เนื้อหามุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้ศึกษาเเละ วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาของบทขัตติยพันธกรณี การอ่าน เพื่อศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้และวิเคราะห์วรรณคดีในด้าน ต่าง ๆ เช่น ด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์ และด้านสังคม คณะผู้จัดทำหวังว่าวารสารเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและ สามารถนำความรู้เเละเป็นประโยชน์ให้เเก่ผู้ศึกษาได้จริง หากมีข้อผิดพลาด ประการขออภัยมา ณ ที่นี้ คณะผู้จัดทำ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๕
สารบัญ ข เรื่อง หน้า ก คำนำ ข สารบัญ ๑ ประวัติผู้แต่ง ๕ ความเป็นมา ๗ ลักษณะคำประพันธ์ ๘ เนื้อเรื่องเต็ม(แบบย่อ) เนื้อเรื่องเต็ม(เฉพาะตอนที่เรียน) ด้านเนื้อหา ๑๐ ด้านวรรณศิลป์ วิเคราะห์คุณค่า ๑๗ ด้านสังคม ๑๗ ๑๘ ๒๓ บรรณานุกรม ๒๕
ประวัติผู้แต่ง ๑ •ประวัติผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรส พระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๓๙๖ ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระเจ้าลูก ยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศ์บริพัตร ศิริวัฒนราชกุมาร ทรงได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้า ต่างกรม มีพระนามกรมว่า กรมหมื่นพิฆเณศวรสุรสังกาศ หลังจากทรง ผนวชเป็นสามเณรทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยขึ้นเป็นสมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ กรมขุนพินิตประชานาถ ทรงเป็น พระราชปิโยรสที่สมเด็จพระบรมชนกนาถโปรดให้เสด็จอยู่ใกล้ชิดติด พระองค์เสมอเพื่อให้มีโอกาสแนะนำสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งวิชารัฏฐาภิบาลราชประเพณีและโบราณคดี นอกจากนั้นยังทรงศึกษา ภาษามคธ ภาษาอังกฤษ การยิงปืนไฟ กระบี่กระบอง มวยปล้ำ รวมทั้งการ บังคับช้างอีกด้วย พระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศนานัปการ ทรงบริหารประเทศก้าวหน้าทัดเทียบนานาประเทศมีพระปรีชาสามารถใน ด้านวรรณกรรม พระองค์ก็ทรงเป็นได้ทั้งกวีและนักประพันธ์ที่มีความ สามารถอย่างลึกซึ้ง การแต่งโคลง ฉันท์ บทละครกาพย์ กลอน หรือร้อย แก้ว ร้อยกรอง ทั้งที่พระองค์ทรงมีภารกิจอยู่มากมายแต่ก็ด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ ทรงสนพระทัยเป็นอย่างยิ่งดังปรากฏผลงานดังเป็นที่ประจักษ์มี มากกว่า ๓๐ เรื่อง
๒ มีพระราชนิพนธ์ ทั้งหมด ๑๒ เรื่อง - ไกลบ้าน - ระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน - พระราชนิพนธ์จดหมายเหตุรายวัน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จประพาสเกาะชวาครั้งหลัง - เงาะป่า - นิทราชาคริต - พระราชพิธีสิบสองเดือน - กาพย์เห่เรือ - คำเจรจาละครเรื่องอิเหนา - ตำราทำกับข้าวฝรั่ง - พระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี - โคลงบรรยายภาพรามเกียรติ์ - โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
๓ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงเป็นพระ ราช โอรสองค์ที่ ๕๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอม มารดาชุ่มธิดาพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิส) ต้นตระกูล” โรจนดิศ” ประสูติ ในพระบรมมหาราชวังเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ สมเด็จพระเจ้าบรม วงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้าน ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นงานใหญ่และงานสําคัญอย่างยิ่งของบ้านเมืองทรงเป็น กําลังสําคัญในการบริหารประเทศหลายด้านและทรงเป็นที่ไว้วางพระราช หฤทัยในพระสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างสูง ผลงานด้านต่าง ๆ ของพระองค์แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพอันสูงเป็นที่ประจักษ์แก่ มหาชนทุกยุคทุกสมัย ทรงริเริ่มและวางรากฐานการดําเนินงานของกิจการ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติและพระองค์ ท่านก็ทรงอุทิศเวลา ทรงพระนิพนธ์หนังสือตําราต่าง ๆ ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีอันเป็น มรดกทางปัญญาของชาวโลกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ สมเด็จกรมพระยาดํา รงฯทรงเปรียบตัวพระองค์เองเหมือนม้าที่เป็นพระราชพาหนะ เตรียมพร้อม ที่จะรับใช้เทียบหน้าพลับพลาคอยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ประทับ และทรงบัญชา การให้ม้าไปทางใด ก็ยินดีจะทําตามพระราชบัญชา ไม่ว่าจะลํา บากหรือใกล้ไกลเพียงใดก็ทรงยินดีรับใช้จนสิ้นพระชนม์ชีพ ถึงจะวาย พระชนม์ก็จะตายตาหลับด้วยได้ทรงบําเพ็ญพระกรณียกิจที่มีต่อชาติบ้าน เมืองสมกับพันธกรณีแล้ว ทรงขอให้อํานาจแห่งคําสัตย์ของพระองค์ดล บันดาลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงหายจากการประชวรทั้งพระ วรกายและพระราชหฤทัย และขอให้สําเร็จพระราชประสงค์ที่ทรงปรารถนา ให้เหตุที่ทําให้ทรงขุ่นขัดพระราชหฤทัยเคลื่อนคลาย เหมือนเวลาหลายปีได้ ผ่านพ้นไป และขอให้ดํารงพระชนม์ชีพยืนนานเพื่อเกื้อกูลและสร้างความ เจริญแก่ประเทศ ไทยตลอดไป
๔ ตัวอย่างผลงาน มีพงศวดาร ๑๓๔ เรื่อง - โคลงกลอน ๙๒ เรื่อง - ศาสนา ๗๙ เรื่อง - อธิบายแทรก ๑๙ เรื่อง - ประวัติ ๑๖๐ เรื่อง - ตำนาน ๑๓๐ เรื่อง
ความเป็นมา ๕ •ความเป็นมา ขัตติย หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน พันธกรณี หมายถึง ข้อผูกมัด ข้อ ผูกพันต่าง ๆ ดังนั้นเมื่อรวมทั้งสองคำเข้าด้วยกันเป็น ขัตติยพันธกรณี จึง แปลว่า เหตุอันเป็นข้อผูกพันหรือข้อผูกมัดของกษัตริย์ เป็นพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ และพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยา ดำรงราชานุภาพ เป็นกวีนิพนธ์ที่ผู้ใดได้อ่านจะประทับใจเป็นอย่างยิ่ง เป็น บท ที่มีที่มาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เกี่ยวกับ ความอยู่รอดของประเทศของเรา เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ซึ่ง ตรงกับ พ.ศ.๒๔๓๖ ไทยขัดแย้งกับฝรั่งเศสเรื่องเขตแดนทางด้านเขมร ฝรั่งเศสส่งเรือปืนแล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ เข้ามาจอดทอดสมอ หน้าสถานทูตฝรั่งเศส ถืออำนาจเชิญธงชาติฝรั่งเศสขึ้นเหนือแผ่นดินไทย ตรงกับวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติฝรั่งเศสและยื่นคำขาดเรียกร้อง ดินแดนทั้งหมดทางฝั่ งตะวันออกของแม่น้ำโขง ซึ่งขณะนั้นอยู่ใต้อำนาจ การปกครองของไทยเนื่องจากไทยให้คำตอบล่าช้า ทูตปาวีของฝรั่งเศสจึง ให้เรือปืนปิดล้อมอ่าวไทย เป็นการประกาศสงครามกับไทย
๖ ซึ่งข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส ได้แก่ ๑.ฝรั่งเศสในฐานะเป็นมหาอำนาจผู้คุ้มครองเวียดนามและกัมพูชา จะต้อง ได้ดินแดนทั้งหมดทางฝั่ งตะวันออกของแม่น้ำโขง ๒.ไทยจะต้องลงโทษนายทหารทุกคนที่ก่อการรุกรานที่ชายแดน ๓.ไทยจะต้องเสียค่าปรับแก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวน ๓ ล้านฟรังค์เหรียญทอง (เท่ากับ ๑,๕๖๐,๐๐๐ บาท สมัยนั้น) เหตุการณ์นี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสียพระราช หฤทัยเป็นอย่างยิ่งจนทรงพระประชวรหนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถใด ๆ ใน ระหว่างนั้นได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ระบายความทุกข์โทมนัส ในพระราชหฤทัยจนไม่ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อไป ได้ทรง ส่งบทพระราชนิพนธ์ไปอำลาเจ้านายพี่น้องบางพระองค์รวมทั้งสมเด็จกรม พระยาดำรงฯ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องยาเธอด้วย เมื่อทรงได้รับสมเด็จกรม พระยาดำรงฯ ก็ทรงนิพนธ์บทประพันธ์ถวายตอบทันที ทำให้กำลังพระราช หฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ กลับคืนมาอีกครั้ง กลับมา เสวยพระโอสถ และเสด็จออกว่าราชการได้ในไม่ช้า
ลักษณะคำประพันธ์ ๗ •ลักษณะคำประพันธ์ ๑.แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ ๒.แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
เนื้อเรื่องเต็ม(แบบย่อ) ๘ •เนื้อเรื่องเต็ม(แบบย่อ) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจน ทรงพระประชวรหนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถใดๆ ในระหว่างนั้นได้ทรงพระ ราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ระบายความทุกข์โทมนัสในพระราชหฤทัยจนไม่ ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อไป ได้ทรงส่งบทพระราชนิพนธ์ไป อำลาเจ้านายพี่น้องบางพระองค์รวมทั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ซึ่งเป็น พระเจ้าน้องยาเธอด้วย เมื่อทรงได้รับสมเด็จกรมยาดำรงฯ ก็ทรงนิพนธ์ บทประพันธ์ถวายตอบทันที ทำให้กำลังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กลับมาเสวยพระโอสถ และเสด็จ ออกว่าราชการได้ในไม่ช้า ส่วนพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น เป็น อินทร- วิเชียรฉันท์ทั้งหมด มีเนื้อความแสดงความวิตกและความทุกข์ของ ประชาชนชาวไทยในพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าฯ สำหรับตัวพระองค์เองนั้น ถ้าเลือดเนื้อของพระองค์เจือยาถวายให้ หายประชวรได้ ก็ยินดีจะทูลเกล้าฯถวาย ทรงเปรียบประเทศชาติเป็นรัฐ นาวา โดยมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเป็นผู้บัญชาการเรือ เมื่อมาทรงพระประชวรและไม่ทรงบัญชาการ ผู้กระทำหน้าที่ต่าง ๆ ในเรือก็ ปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ถูก เป็นธรรมดาเมื่อเรือแล่นไปในทะเล ในมหาสมุทร มีบางครั้งอาจเจอพายุหนักบ้างเบาบ้าง ถ้ากำลังเรือดีก็แล่นรอดไปได้ ถ้า หนักเกินกำลังเรือจะรับก็อาจจะล่ม พวกชาวเรือก็ย่อมจะรู้กัน ดังนั้นตราบที่ เรือยังลอยอยู่ยังไม่จม ก็ต้องพยายามแก้ไขกันจนสุดความสามารถ เหมือนรัฐนาวาเจอปัญหาวิกฤติก็ต้องหาทางแก้จนสุดกำลังความสามารถ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องยอมรับสภาพว่าถึงกรรมจะต้องให้เป็นไป แต่ถ้าพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงทอดธุระเสีย ไม่ทรงหาทางแก้ไข ในที่สุดรัฐ นาวาก็ย่อมจะไปไม่รอดต่างกันก็แต่ว่าถ้าพระองค์พยายามหาทางแก้ไขจน เต็มกำลังพระปรีชาสามารถแล้วแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่มีใครมาว่าได้ว่าพระองค์ ขลาดเขลาและไม่เอาพระทัยใส่ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ถึงจะพลาด พลั้งก็ยังได้รับการยกย่องและความเห็นใจว่าปัญหาหนักใหญ่เกินกำลังจะ แก้ไขได้
๙ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเปรียบตัวพระองค์เองเหมือนม้าที่ เป็นพระราชพาหนะ เตรียมพร้อมที่จะรับใช้เทียบหน้าพลับพลา คอย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ประทับและทรงบัญชาการให้ม้าไปทางใด ก็ยินดีจะทำตามพระราชบัญชา ไม่ว่าจะลำบากหรือใกล้ไกลเพียงใดก็ทรง ยินดีรับใช้จนสิ้นพระชนม์ชีพ ถึงจะวายพระชนม์ก็จะตายตาหลับด้วยได้ทรง บำเพ็ญพระกรณียกิจที่มีต่อชาติบ้านเมืองสมกับพันธกรณีแล้ว ทรงขอให้ อำนาจแห่งคำสัตย์ของพระองค์ดลบันดาลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าฯ ทรงหายจากการประชวรทั้งพระวรกายและพระราชหฤทัย และขอให้ สำเร็จพระราชประสงค์ที่ทรงปรารถนา ให้เหตุที่ทำให้ทรงขุ่นขัดพระราช หฤทัยเคลื่อนคลายเหมือนเวลาหลายปีได้ผ่านพ้นไป และขอให้ดำรง พระชนม์ชีพยืนนานเพื่อเกื้อกูลและสร้างความเจริญแก่ประเทศไทยตลอด ไป
เนื้อเรื่องเต็ม ๑๐ (เฉพาะตอนที่เรียน) •เนื้อเรื่องเต็ม(เฉพาะตอนที่เรียน) พระราชนิพนธ์ เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้ อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ ปวดเจ็บใครจักหมาย เชื่อได้ ใช่เป็นแต่ส่วนกาย เศียรกลัด กลุ้มแฮ ใครต่อเป็นจึ่งผู้ นั่นนั้นเห็นจริง ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย จึง บ อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ สุขและทุกข์พลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี เป็นเด็กมีสุขคล้าย ดีรฉาน รู้สุขรู้ทุกข์หาญ ขลาดด้วย ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ คล้ายกับผู้จวนม้วย ชีพสิ้นสติสูญ ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้า นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้า แดกสิ้นสุดใบ
๑๑ เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุง ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง จะลาบากฤทัยพึง แม้หายก็พลันยาก อุระรัดและอัตรา ตริแต่จะถูกรึง บ ตริป้องอยุธยา บ ละเว้น ฤ ว่างวาย กลัวเป็นทวิราช ก็ บ พบซึ่งเงื่อนสาย เสียเมืองจึงนินทา จึงจะอุดแลเลยสูญ คิดใดจะเกี่ยงแก้ สบหน้ามนุษย์อาย
๑๒ พระนิพนธ์ ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศี- โรตม์ข้าผู้มั่นมี มะนะตั้งกตัญญู ได้รับพระราชทาน อ่านราชนิพันธ์ดู ทั้งโคลงและฉันท์ตู! ข้าจึงดาริตาม อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้ชิงถวาย ทุกหน้าทุกตาตู บ พบผู้จะพึงสบาย ปรับทุกข์ทุรนทุราย กันมิเว้นทิวาวัน ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง นายกลประจาจักร จะใช้หนักก็นึกแหนง จะรอก็ระแวง จะไม่ทันธุรการ อึดอัดทุกหน้าที่ ทุกข์ทวีทุกวันวาร เหตุห่างบดียาน อันเคยไว้น้าใจชน ถ้าจะว่าบรรดากิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อก็พอกัน ธรรมดามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน มีคราวสลาตัน ตั้งระลอกกระฉอกฉาน ผิวพอกาลังเรือ ก็แล่นรอดได้ไม่ร้าวราน หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลาไป แก้รอดตลอดฝั่ ง จะรอดทั้งจะชื่นชม เหลือแก้ก็จาจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม ผิวทอดธุระนิ่ง บ วุ่นวิ่งเยียวยาทา ที่สุดก็สูญลา เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป ใคร่ห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน เสียทีก็มีชื่อ ได้เลื่ องลือสรรเสริญ สงสารว่ากรรมเกิน กาลังดอกจึงจมสูญ
นี้ในน้าใจข้า ๑๓ ทุกวันนี้อาดูร อุปมาบังคมทูล เปรียบตัวเหมือนอย่างม้า แต่ที่พระประชวรนาน ผูกเครื่องบังเหียนอาน ที่เป็นพาหนยาน ประจาหน้าพลับพลาชัย คอยพระประทับอาสน์ กระหยับบาทจะพาไคล ตามแต่พระทัยไท ธ จะชักไปซ้ายขวา จะกระเดือกเต็มประดา ไกลใกล้ บ ได้เลือก ระชีวิตมลายปราณ ตราบเท่าจะถึงวา- ด้วยชื่อนับว่าชายชาญ ธุระได้บาเพ็ญทา ขอตายให้ตาหลับ ภินิหาระแห่งคา เกิดมาประสบภาร- ฤทธิดังมโนหมาย บรมนาถเร่งเคลื่ อนคลาย ด้วยเดชะบุญญา- จะผ่องพ้นที่หม่นหมอง สัตย์ข้าจงได้สัม- ชะประสงค์ที่ทรงปอง พระบาทให้สามัคคี ขอจงวราพาธ จะวิบัติพระขันตี พระจิตพระวรกาย ละลืมเลิกละลายสูญ ยุสถาวรพูน ขอจงสาเร็จรา- สยามรัฐพิพัฒน์ผลฯ ปกข้าฝ่าละออง ขอเหตุที่ขุ่นขัด จงคลายเหมือนหลายปี ขอจงพระชนมา- เพิ่มเกียรติอนุกูล
๑๔ • ถอดบทประพันธ์ พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ด้วยความที่รัชกาลที่ ๕ ทรงประชวรหนักมาเป็นเวลานาน จึงมีความ คิดจะเสด็จสวรรคต ให้พ้นจากความเหน็ดเหนื่อย ไปสู่โลกหน้าที่มีแต่ความ สบายกายสบายใจ มีความสุขมากยิ่งกว่า นอกจาก จะทรงประชวรด้วยโรคฝี สามยอดแล้ว ยังมีไข้ส่าเป็นระยะ ส่งผลให้พระองค์ทรงเจ็บปวดทรมานมาก อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะทั้งปวดทั้งกายและศีรษะ ผู้ที่ไม่เคยมีอาการแบบนี้ ย่อมไม่รู้ว่าความเจ็บปวดทรมานนั้นมันมากขนาดไหน พระองค์ทรงอธิบาย ว่า รู้สึกเหมือนมี “ตะปูดอกใหญ่” ตรึงเท้าทั้ง ๒ ข้างเอาไว้ ทำให้เดินไม่ สะดวก หรือเดินไม่ได้ ใครที่สามารถดึงตะปูดอกใหญ่นี้ออกได้ พระองค์จะ ทรงยินดีให้ดึงออกเป็นอย่างยิ่ง ชีวิตของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มีทั้งทุกข์และสุข ไม่มีใครที่ สุขและทุกข์ได้อย่างถาวร สอดคล้องกับสำนวน “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” ชีวิต ของเด็กนั้นเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน สุขและทุกข์ไปวัน ๆ อย่างไม่มีสติ ไม่ ต่างกับคนที่ใกล้จะตาย โดยรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์บทนี้เพราะหวังจะ กลับไปเป็นเด็ก ที่ไม่ต้องมานั่งกังวลถึงปัญหา ไม่ต้องแก้ไข หรือมีความรับ ผิดชอบอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ รัชกาลที่ ๕ ทรงพบเจอเด็กจำนวน ๕-๖ คน ซึ่งทุกคนโกนผมและใส่เสื้อผ้าสีขาว ทำหน้าที่เชิญเครื่องที่หอศพ การพบปะเด็กในครั้งนี้ ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก กล้วย เผานั้นมีสีเหลืองแก่ยิ่งกว่าสีผิวของพระลักษณ์ ทำให้ในช่วงแรก ๆ ใคร ๆ ก็ อยากกิน แต่หากทิ้งไว้นาน ๆ กลับแข็งและกลืนยาก ไม่ว่าจะใช้ส้อมจิ้มกี่ ครั้ง ก็ยังไม่สามารถจิ้มเข้าไปในเนื้อกล้วยเผาได้ นอกจากความเจ็บป่วย ทางกายจะยังคงดำเนินอยู่เรื่อย ๆ แล้ว รัชกาลที่ ๕ ยังทรงรู้สึกไม่สบายใจ อีกด้วย พระองค์ทรงคิดไม่ตกกับปัญหาต่าง ๆ ทำให้เกิดความกังวลใจและ อัดอั้นตันใจอยู่เป็นประจำ ดูแล้วคงไม่หายไปโดยง่าย พระองค์ทรงกลัวว่า ตัวพระองค์เองจะกลายเป็นเช่นเดียวกับสมเด็จพระมหินทราธิราช และ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งประเทศไทยเราสูญเสียเอกราชในช่วงที่พระมหา กษัตริย์ ๒ พระองค์นี้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าพระองค์จะทรงครุ่นคิดแก้ไข ปัญหานี้เพียงใด ก็ไม่พบทางออก ทำให้ทรงกลัวว่าจะเป็นที่น่าอับอายใน สายตาของประชาชนทั่วไป
๑๕ • ถอดบทประพันธ์ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยา ดำรงราชานุภาพ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกล่าวขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ตัวพระองค์เองเป็นผู้มีใจกตัญญู ได้อ่านบทพระราช นิพนธ์ของรัชกาลที่ ๕ แล้วจึงคิดได้ว่า หลังจากที่รัชกาลที่ ๕ ทรงประชวรหนัก นั้น ประชาชนชาวไทยทุกคนก็วิตกกังวลเป็นอย่างมากจนเกินกว่าที่จะกล่าว ออกมาเป็นคำพูดได้ หากตัวกรมพระยาดำรงราชานุภาพเองประทับอยู่ใกล้ ๆ ก็พร้อมที่จะยอมถวายเลือดและเนื้อของตัวเองมาทำเป็นพระโอสถให้ ขอ เพียงแต่ช่วยให้รัชกาลที่ ๕ มีพระอาการดีขึ้นได้ ไม่มีประชาชนคนใดมีความสุข เลย เวลาเจอหน้ากันก็มักปรับทุกข์เรื่องพระอาการประชวรของรัชกาลที่ ๕ ว่ารู้สึกเหมือนกับเป็นลูกเรือ และนายท้ายเรือที่สับสนงงงัน ไม่รู้จะแล่นเรือ ไปในทิศทางใด เพราะขาดกัปตันเรืออย่างพระมหากษัตริย์ที่คอยควบคุม ดูแลลูกเรือและนายท้ายเรืออยู่เสมอ นอกจากนายท้ายเรือแล้ว ช่างกล ประจำเรือเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี เพราะไม่มีกัปตันเรือคอยช่วยชี้แนะ จะมัว แต่มารอก็ย่อมไม่ทันการณ์ เรียกได้ว่าทุกคนทุกหน้าที่ต่างก็อึดอัดและมีความ ทุกข์ เพราะขาดผู้นำเรืออย่างรัชกาลที่ ๕ การทำงานต่าง ๆ ก็เหมือนกับการ เดินเรือ โดยตามธรรมชาติแล้ว มหาสมุทรย่อมมีทั้งคราวที่สงบเงียบ และ คราวที่มีพายุและคลื่นสูง เปรียบได้กับปัญหาในการทำงานนั่นเอง โดยปกติ หากเรือมีพละกำลังมากพอ ก็ย่อมแล่นได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากมีพายุพัด ผ่านมาก็อาจทำให้เรือใหญ่นั้นล่มได้ ดังนั้นในขณะที่เรือยังคงลอยอยู่ได้ ชาว เรือทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาให้รอด ตลอดรอดฝั่ ง ก็จะชื่นชม แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องจมคิดว่าเป็นกรรม ถ้าทอดธุระนิ่ง เฉย ไม่ขวนขวายเยียวยาแก้ไขทำอะไรในที่สุดจะสูญเสียเรือทั้งลำ เหมือนกับที่ แก้ไขไม่ไหวแต่ต่างกันตรงที่ถ้าแก้ไขเต็มที่แล้วเรือจม ใคร ๆ ก็ไม่อาจมาสบ ประมาทว่าขลาด และโง่เขลา ถึงจะพลาดท่าเสียทีแต่ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือได้ รับการสรรเสริม สงสารแต่ว่ากรรม มากเหลือกำลังจะต้านทานได้ เรือจึงจม สูญไป ในใจข้าพระพุทธเจ้า
๑๖ เปรียบเทียบบังคมทูลทุกวันนี้มีความรู้สึกเดือดร้อนใจ ตั้งแต่ พระองค์ ทรงพระประชวรมานาน เปรียบตัวข้าพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างม้า ที่ เป็นพาหนะ ผูกเครื่องบังเหียนอานประจำพร้อมหน้าพลับพลา คอยพระองค์ ขึ้นประทับ ขยับเท้าจะพาไป ตามแต่พระทัยของพระองค์จะเสด็จไปทางซ้าย หรือทางขวา ไกลใกล้ไม่เลือกจะพยายามเต็มที่ทราบชีวิตจะหาไม่ ขอให้ตายตา หลับ ให้ชื่อว่าลูกผู้ชาย เกิดมาได้ทำภาระธุระที่สำคัญ ขอผลบุญญาอภินิหาร แห่งคำสัตย์ของข้าพระพุทธเจ้า จงสัมฤทธิ์ผลดังใจหมาย ขออาการพระ ประชวรของพระองค์จงบรรเทาเบาบางจางหายไป พระหทัยและพระวรกาย จงผ่องพ้นความหม่นหมอง ขอพระองค์จงทำงานสำเร็จตามพระราช ประสงค์ ปกเกล้าข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทให้สามัคคี ขอให้เหตุที่ขุ่นข้องขัดใจ จงวิบัติด้วยพระขันติ จงคลายและสูญสลายไป ขอให้พระชนมายุ ยืนยาว เพิ่ม เกียรติยศ ช่วยเหลือประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง
วิเคราะห์คุณค่า ๑๗ • วิเคราะห์คุณค่า ๑.ด้านเนื้อหา เนื้อหาของวรรณคดีเรื่องขัตติยพันธกรณีไม่ซับซ้อนยุ่งยากเหมือน วรรณคดีเรื่องอื่น เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจึงสามารถเข้าใจได้ ง่ายด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นแล้วข้อคิดที่ได้จากการอ่านนั้นสามารถนํา ประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจําวันได้ไม่ว่าจะเรื่องของปัญหาที่ต้องเผชิญหรือภาระหน้าที่ที่ ต้องทำ รูปแบบการแต่ง ส่วนแรกใช้โครงสี่สุภาพ และส่วนที่สองใช้อินทรวิเชียรฉันทร์ ลักษณะโวหาร รสนิยมทางวรรณคดี สัมผัสที่เล่น รวมทั้งพระราชทานพระ วจนะที่เหมาะสมกับเนื้อหา องค์ประกอบของเรื่อง - สาระและแนวคิด ๑.ประเทศชาติที่มีพระมหากษัตริย์เข้มแข็งย่อมเป็นประเทศที่เจริญ รุ่งเรือง ๒.เมื่อประสบปัญหาในชีวิต หากเรารู้จักใช้สติในการแก้ปัญหา ก็จะทำให้ ปัญหาคลี่คลายลงได้ ๓.กำลังใจ คือ สิ่งที่จะทำให้ผู้ที่ยามท้อแท้และหมดหวัง กลับมาลุกขึ้นสู้ได้ อีกครั้ง - โครงเรื่อง พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แสดง ให้เห็นถึงความกังวลพระทัยที่พระองค์ประชวรมาเป็นเวลานาน ควบคู่ไป กับความเจ็บปวดของร่างกายและจิตใจ ในส่วนของกรมพระยาดำรงราชา นุภาพเป็นการบรรยายความรู้สึกเบื่อหน่าย หมดหวังที่จะรักษาพระอาการ ประชวรและอาจจะกลับไปทรงงานได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร กรมพระยาดำรง ราชานุภาพเริ่มต้นด้วยการถวายกำลังพระทัยในฐานะที่ปฏิบัติงานอย่าง ใกล้ชิด ทรงมีความกังวล ห่วงใย หลังจากนั้นเป็นการถวายความคิดโดย การใช้อุปมาโวหารปิดท้ายด้วยการถวายพระพรให้ทรงหายจากอาการ ประชวร
๑๘ - ตัวละคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาล ที่ ๕ - กลวิธีการแต่ง ขัตติยพันธกรณี เป็นบทพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพและอินทรวิเชียร ฉันท์ ส่วนมากใช้พรรณนาโวหาร แทรกด้วยเทศนาโวหาร เด่นที่การใช้อุป ลักษณ์และอุปมา จินตภาพด้านภาพ บุคคลวัต นามนัย อติพจน์ เป็นต้น ทั้งยังมีการใช้รสวรรณคดีในการแต่ง ๒.ด้านวรรณศิลป์ - มีการใช้ฉันทลักษณ์ที่หลากหลายเป็นแบบอย่างของการแต่งลิลิต - ไพเราะด้วยสัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสสระและอักษร การเล่นคำ ซ้ำคำ - มีการใช้ภาพพจน์ต่างๆ ทั้งอุปมา อุปลักษณ์ อัพภาส ฯลฯ - นิราศก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจอันเป็นความงามเชิงวรรณศิลป์ได้ดี - การปิดเรื่องน่าประทับใจ คือ การตั้งจิตอธิษฐานของกวีผู้แต่งเป็นบทที่มี ผู้จดจำกันได้มาก บทประพันธ์ใช้ภาษาได้ไพเราะ ด้วยการเล่นสัมผัสอักษร สัมผัสสระ ให้ มีจังหวะกระทบอารมณ์ความรู้สึกทำให้เกิดความไพเราะ การซ้ำคำเพื่อเน้น ความหมาย ให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ๒.๑ การสรรคำ ๑.มีการใช้โวหารภาพพจน์ต่างๆในการบรรยายและสื่อถึงอารมณ์ และความรู้สึก ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย จึง บ อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งมาอัญขยม ได้บรรยายถึงความเจ็บปวดนี้ทุกข์ทรมานนักจนไม่ทรงปรารถนาที่จะ ดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อไป
๑๙ ๒.การเลือกใช้คำเหมาะสมแก่เนื้อเรื่องและฐานะของบุคคล ด้วยเดชะบุญญา ภินิหาระแห่งคำ สัตย์ข้าจงได้สัม ฤทธิดังมโนหมาย ขอจงวราพาธ บรมนาถเร่งเคลื่ อนคลาย พระจิตพระวรกาย จงผ่องพ้นที่หม่นหมอง ขอจงสำเร็จรา ชะประสงค์ที่ทรงปอง ปกข้าฝ่าละออง พระบาทให้สามัคคี” บทประพันธ์นี้มีการเลือกสรรคำถูกต้องตามฐานะของบุคคลในเรื่อง มีการใช้คำราชาศัพท์ให้เหมาะสมกับตัวละครคือ พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่นคำว่า “วราพาธ” “พระจิตพระวรกาย” “ชะ ประสงค์” “ฝ่าละออง” ๓.การซ้ำคำเพื่อเน้นความ เป็นเด็กมีสุขคล้าย ดีรฉาน รู้สุขรู้ทุกข์หาญ ขลาดด้วย ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ คล้ายกับผู้จวนม้วย ชีพสิ้นสติสูญ การเล่นคำซ้ำเพื่อเน้นความหมาย เช่น ละอย่างละอย่างพาล ๔.การเล่นสัมผัสพยัญชนะ เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา บทประพันธ์มีการเล่นสัมผัสพยัญชนะ “น”
๒๐ ๒.๒ การใช้ภาพพจน์ ๑.การใช้พรรณนาโวหาร ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเอย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้ อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม เป็นการให้รายละเอียดในเรื่องโดยแทรกอารมณ์ความรู้สึกลงไป เพื่อสร้างมโนภาพให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจ ๒.การใช้เทศนาโวหาร ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี บทประพันธ์นี้เป็นการกล่าวในเชิงสั่งสอน ชี้แนะเกี่ยวกับชีวิตคนเรา นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดี๋ยวมีทุกข์เดี๋ยวมีสุข สลับกันไปอย่างที่ คนโบราณกล่าวไว้ ๓.การใช้อุปมาโวหาร โดยกล่าวเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง เป็นการเปรียบประชาชนเหมือนเหล่าลูกเรือที่ขาดผู้บังคับบัญชาเรือก็ จะไม่สามารถบังคับเรือต่อไปได้ ๔.การใช้อุปลักษณ์โวหาร ตะปูดอกใหญ่ครึ้ง บาทา อยู่เฮย จึง บ อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม ทรงเปรียบพันธกรณีที่มีต่อชาติบ้านเมืองในฐานะที่พระองค์เป็นพระ มหากษัตริย์ เป็นตะปูดอกใหญ่ที่ตรึงพระบาทไว้มิให้ก้าวย่างไปได้
๒๑ ๕.การใช้อติพจน์โวหาร อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปม ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้ชิงถวาย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้แสดงถึงความวิตกกังวลของ ประชาชนชาวไทย เนื่องมาจากพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าฯ พระองค์จึงทรงกล่าวว่าถ้าเลือดเนื้อของพระองค์สามารถทำ ยาถวายให้หายประชวรได้ก็ยินดีถวาย ๖.การใช้นามนัย กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้ำ นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ ในบทประพันธ์ได้เปรียบสีผิวของพระลักษณ์ที่เป็นสีเหลืองกับความ เหลืองของกล้วย ๗.การใช้คำถามเชิงวาทศิลป์ (ปฏิปุจฉา) ตะปูดอกใหญ่ครึ้ง บาทา อยู่เฮย จึง บ อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงประพันธ์โดยการตั้งคำถามแต่ ไม่ได้ต้องการคำตอบ ในที่นี้กล่าวว่า ใครดึงตะปูออกได้จะยินดีให้เอาออก ๘.การใช้นาฎการ ถ้าจะว่าบรรดารกิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อก็พอกัน คำว่า เรือแล่น เป็นการใช้นาฎการแสดงอาการเคลื่อนไหวให้เห็นภาพ มากขึ้น
๒๒ ๙. การใช้คำไวพจน์ นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวรนาน ในบทประพันธ์บทนี้มีการใช้คำไวพจน์ คือคำว่า อาดูร ซึ่งหมายถึง เดือดร้อนทนทุกขเวทนาทั้งกายและใจ ๒.๓ การใช้รสวรรณคดี ๑.การใช้สัลลาปังคพิสัย ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบเจอเด็กจำนวน ๕-๖ คน ซึ่งทุกคนโกนผมและใส่เสื้อผ้าสีขาว ทำหน้าที่เชิญเครื่องที่หอศพ การ พบปะเด็กในครั้งนี้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก ๒.การใช้กรุณารส อันประประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปม ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้ชิงถวาย หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรหนัก ประชาชนชาวไทยทุกคนก็วิตกกังวลเป็นอย่างมากจนเกินกว่าที่จะกล่าวออก มาเป็นคำพูดได้ หากตัวกรมพระยาดำรงราชานุภาพเองประทับอยู่ใกล้ ๆ ก็ พร้อมที่จะยอมถวายเลือดและเนื้อของตัวเองมาทำเป็นพระโอสถให้ ขอ เพียงแต่ช่วยให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มีพระอาการดีขึ้นได้ ๓.การใช้วีรรส เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเอย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้ อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม รสแห่งความกล้าหาญ แสดงออกถึงความกล้าหาญในศึกสงคราม ของรัชกาลที่ ๕ พระองค์สละชีพเพื่อที่จะไม่เป็นภาระของญาติและข้าราช บริพารโดยความไม่หวาดกลัว
๒๓ ๒.๔ การใช้สำนวนสุภาษิต ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี ชีวิตคนเรานั้น มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเหมือน สำนวนโบราณที่ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ๓.ด้านสังคม เหตุการณ์นี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสียพระราชหฤทัย เป็นอย่างยิ่งจนทรงพระประชวรหนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถใด ๆ ในระหว่าง นั้นได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ระบายความทุกข์โทมนัสในพระ ราชหฤทัยจนไม่ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อไป ได้ทรงส่งบท พระราชนิพนธ์ไปอำลาเจ้านายพี่น้องบางพระองค์รวมทั้งสมเด็จกรมพระยา ดำรงฯ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องยาเธอด้วย เมื่อทรงได้รับ สมเด็จกรมพระยาดำ รงฯ ก็ทรงนิพนธ์บทประพันธ์ถวายตอบทันที ทำให้กำลังพระราชหฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กลับเสวยพระ โอสถ และเสด็จออกว่าราชการได้ในไม่ช้า ๑.สะท้อนความคิดของคนไทยในอดีตได้เป็นอย่างดี ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี ชีวิตของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มีทั้งทุกข์และสุข ไม่มีใครที่ สุขและทุกข์ได้อย่างถาวร สอดคล้องกับสำนวน “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน”
๒๔ ๒.แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่พระมหากษัตริย์พึงปฏิบัติเกี่ยวกับการ ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศชาติเพื่อให้เกิดความสงบสุข แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา กลัวเป็นทวิราช บ ตริป้องอยุธยา เสียเมืองจึงนินทา บ ละเว้น ฤ ว่างวาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ประชวรในขณะที่เกิดการล่า อาณานิคมชองฝรั่งเศส แต่พระองค์ทรงไม่ทอดทิ้งประชาชน พระองค์ทรง งานอย่างหนักเพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ ๓.แสดงให้เห็นถึงประเพณีของคนไทยในอดีต ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพบเจอเด็กจำนวน ๕-๖ คน ซึ่ง ทุกคนโกนผมและใส่เสื้อผ้าสีขาว ทำหน้าที่เชิญเครื่องที่หอศพ โดยการโกน ผมแล้วนุ่งขาวแสดงให้เห็นถึงประเพณีการไว้ทุกข์ในอดีต ๔.ประชาชนและข้าราชบริพารมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ทุกหน้าทุกตาตู บ พบผู้จะพึงสบาย ปรับทุกข์ทุรนทุราย กันมิเว้นทิวาวัน ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง ไม่มีประชาชนคนใดมีความสุขเลย เวลาเจอหน้ากันก็มักปรับทุกข์เรื่อง พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ว่ารู้สึกเหมือนกับ เป็นลูกเรือ และนายท้ายเรือที่สับสนงงงัน ไม่รู้จะแล่นเรือไปในทิศทางใด เพราะขาดกัปตันเรืออย่างพระมหากษัตริย์ที่คอยควบคุมดูแลลูกเรือและ นายท้ายเรืออยู่เสมอ
๒๕ บรรณานุกรม กิ่งกาญจน์. (๒๕๕๘). ขัตติยพันธกรณี. สืบค้น ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://KINGKARNK288.WORDPRESS.COM จุฑาลักษณ์ เชิกหรัน. (๒๕๖๔). ความหมายของขัตติยพันธกรณี. สืบค้น ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://BLOG.STARTDEE.COM จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย. (ม.ป.ป.). พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว. สืบค้น ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://KINGCHULALONGKORN.CAR.CHULA.AC.TH ชลลดา มิ่งแก้ว. (๒๕๖๐). เนื้อหาขัตติยพันธกรณี. สืบค้น ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://SITES.GOOGLE.COM ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. (ม.ป.ป.). คุณค่าด้านวรรณศิลป์. สืบค้น ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://RAK-POOH.WIXSITE.COM ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. (ม.ป.ป.). คุณค่าด้านสังคม. สืบค้น ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://RAK-POOH.WIXSITE.COM ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. (ม.ป.ป.). เนื้อหาขัตติยพันธกรณี. สืบค้น ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://SITES.GOOGLE.COM ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. (๒๕๖๕). สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ. สืบค้น ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://TH.M.WIKIPEDIA.ORG รวิดา อาภาวศินและคนอื่นๆ. (๒๕๕๘). คุณค่าด้านเนื้อหา. สืบค้น ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://NOEYARP.WEEBLY.COM วัลลภา สโตเกอร์. (๒๕๖๒). คุณค่าด้านวรรณศิลป์. สืบค้น ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTPS://SLIDEPLAYER.IN.TH อาจารย์พีระเสก บริสุทธิ์บัวทิพย์. (ม.ป.ป.). ขัตติยพันธกรณี. สืบค้น ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก HTTP://WWW.DIGITALSCHOOL.CLUB
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: