Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔

Published by Apichai Chankat, 2021-05-27 10:16:36

Description: เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔

Keywords: วิชาภาษาไทย

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๒ วชิ าภาษาไทย ใบความรทู้ ่ี ๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๕ ท๓๒๑๐๑ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๓ เรอ่ื ง ความหมายของถ้อยคำและสำนวน คำ เป็นหน่วยของภาษาที่สื่อถึงความหมายซึ่งประกอบด้วยพยางค์หนึ่งพยางค์หรือมากกว่า ปกติแล้วในแต่ละคำจะมีรากศัพท์ของคำแสดงถึงความหมายและที่มาของคำนั้น โดยการนำคำหลายคำ มาประกอบกันจะทำให้เกดิ วลีหรอื ประโยคซงึ่ ใชส้ อ่ื ความหมายใหช้ ัดเจนมากยง่ิ ขึน้ เชน่ น้ำ ๑ คำ มี ๑ พยางค์ มะลิ ๑ คำ มี ๒ พยางค์ นาฬิกา ๑ คำ มี ๓ พยางค์ การพิจารณาความหมายของคำ มีดงั น้ี ๑. ความหมายเฉพาะของคำ สามารถพิจารณาได้ ๒ ทาง ดังน้ี ๑.๑ ความหมายตามตวั กบั ความหมายเชงิ อุปมา ความหมายตามตวั หมายถึง ความหมายเดมิ ของคำเมอื่ ปรากฏในบรบิ ทต่าง ๆ ตัวอยา่ ง ลงุ ซอื้ เก้าอี้ตวั น้ีมาจากช่างไมฝ้ ีมอื เย่ยี ม “เก้าอี้” ในบรบิ ทน้ีมคี วามหมายตามตัว คือ ท่สี ำหรับน่งั มีขาและพนักพิง ความหมายเชิงอุปมา หมายถึง ความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบกับ ความหมายตามตวั • เขาเหน็ เสืออยู่ในปา่ • เขาเปน็ เสือผู้หญงิ (เสือ หมายถึง สัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง มีนิสัย (เสอื หมายถึง ผ้ชู ายทีม่ ีนิสยั เจา้ ชู้ ดุร้าย ไม่ควรเข้าใกล)้ ชอบหลอกผ้หู ญิง) • เธอซือ้ กระดูกไก่มาให้สุนขั กิน • เธอน่ะกระดกู คนละเบอรก์ ับเขา (กระดูก หมายถึง โครงร่างกาย มีลักษณะ (กระดูก หมายถงึ ความสามารถไม่เทา่ กนั ) แขง็ ) ๑.๒ ความหมายนยั ตรงกบั ความหมายนยั ประหวัด ความหมายนัยตรง หมายถึง ความหมายที่มีในพจนานุกรม จะเปน็ ความหมายตามตัวหรอื ความหมายเชิงอุปมากไ็ ด้ ตวั อยา่ ง ➢ แม่ของเขาเป็นแมย่ กลิเกคณะนี้ (แม่ หมายถึง หญงิ ผใู้ ห้กำเนดิ หรือเลย้ี งดูลูก แม่ยก หมายถึง หญิงที่เป็นผู้อุปถัมภ์พระเอกลิเกหรือนาย วงดนตรีลูกท่งุ )

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๓ ความหมายนัยประหวัด หมายถึง ความหมายของคำที่เพิ่มเติมจาก ความหมายพื้นฐาน เป็นไปตามความรสู้ กึ นกึ คดิ ของแตล่ ะคน ซ่งึ เปน็ ไปในทางต่าง ๆ กนั อาจเป็นทางดหี รือไม่ดีกไ็ ด้ ตัวอยา่ ง ➢ เธอเปน็ เจา้ แม่วงการบนั เทิง (เจา้ แม่ มคี วามหมายว่า หญิงผู้เปน็ ใหญ่หรือมอี ทิ ธพิ ลในเร่อื งน้นั ) เมื่อได้ฟังแต่ละคนจะนึกประหวัดไปว่า เธอมีอิทธิพลในวงการบันเทิง อาจยกย่อง หรอื ไม่ยกยอ่ งกไ็ ดเ้ พราะต่างมมุ มองกัน ๒. ความหมายเทยี บเคียงกับคำอน่ื ๒.๑ คำที่มคี วามหมายเหมือนกนั ตัวอย่าง ฉนั - ข้าพเจา้ ผม ดิฉัน ข้าพระพุทธเจา้ ขา้ เรือ - นาวี นาวา นาเวศ ผ้หู ญงิ - นงลักษณ์ นงเยาว์ นงคราญ นารี สตรี สวย - พไิ ล วิไล พลิ าส อรชร โสภา โสภณ คำทมี่ ีความหมายเหมือนกนั บางคำอาจใช้แทนกันได้ในคำประพันธ์ แต่บางกรณีก็ใช้ แทนกันไม่ได้ เช่น ๑) ภาษาท่ตี ่างระดบั กนั ใชแ้ ทนกันไม่ได้ เช่น ภาษาสภุ าพกับภาษาไม่สุภาพ จะต้องเลอื กใช้ใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ เช่น ยัด ฟาด กิน รบั ประทาน บริโภค เสวย ๒) ภาษาพูดกับภาษาเขียน การนำภาษาพูดมาใช้ในภาษาเขียนเป็นสิ่งที่ ไม่ถูกต้อง เนื่องจากภาษาเขียนเป็นภาษาที่เป็นแบบแผน ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ส่วนภาษาพูดใช้ใน การสนทนาแบบกนั เอง ภาษาเขียน - โรงภาพยนตร์ จำนวนมาก ประสบ มงคลสมรส ภาษาพดู - โรงหนงั เยอะแยะ เจอ แตง่ งาน ๓) คำบางคำเหมาะสำหรับคำประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว บางคำเหมาะ สำหรบั ร้อยกรอง ควรใชใ้ หเ้ หมาะสมจึงจะเกดิ อรรถรส ภาษาร้อยแก้ว - นก ดอกไม้ ทอง พระอาทิตย์ ภาษารอ้ ยกรอง - สกณุ า บปุ ผา สุวรรณ ทนิ กร ๒.๒ คำท่มี คี วามหมายคลา้ ยกนั หรือร่วมกนั คำบางคำมีความหมายบางสว่ นรว่ มกันแตค่ วามหมายอกี ส่วนหน่ึงต่างกัน ➢ อบ ปิ้ง ย่าง นึ่ง ต้ม เผา (ใช้ความร้อนเหมือนกัน แต่ทำให้สุกด้วย วิธีต่างกัน) ➢ หั่น ตัด เฉือน ปาด แล่ คว้าน (ใช้มีดหรือของมีคมเหมือนกัน แต่ทำให้ขาดออกจากกนั ดว้ ยวิธตี า่ งกนั ) ➢ เพรียว เอวบางร่างน้อย อ้อนแอ้น สมส่วน (ใช้บอกลักษณะของ ผหู้ ญงิ ท่มี ีรปู ร่างดี แต่มสี รีระแตกตา่ งกันไป)

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๔ ๒.๓ คำทีม่ คี วามหมายตรงขา้ มกัน ดำ - ขาว มืด - สวา่ ง ใหญ่ - เล็ก ขยนั - เกยี จคร้าน รวย - จน ดี - ชัว่ ๒.๔ คำที่มีความหมายครอบคลุมคำอ่ืน คำบางคำมีความหมายครอบคลุมรวมความหมายของคำอื่น ๆ หรอื มคี วามหมายกว้างกว่าคำอืน่ ➢ เครอ่ื งเขียน - ครอบคลุมถึงอุปกรณก์ ารเขยี นทุกชนดิ ➢ อาหารคาว - ครอบคลุมถึงอาหารทุกชนิดที่ใช้รับประทาน กับข้าวหรือรับประทานแทนข้าว เช่น น้ำพริก แกงจืด ปลาทอด ➢ เครอื่ งดม่ื - ครอบคลุมถึงเครื่องดื่มทุกชนิดที่เป็นน้ำ เช่น นำ้ เปลา่ กาแฟ น้ำอัดลม ➢ ญาติ - ครอบคลุมถึงการผูกพันกันทางสายโลหิต เช่น พี่ ป้า น้า อา ปู่ ย่า การนำคำมาใช้ให้เกิดการสื่อสารที่เข้าใจตรงกันนับว่าเป็นการรู้จักใช้คำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลกั การใชค้ ำ มดี ังนี้ ๑. ไมใ่ ช้คำกำกวม คำกำกวม หมายถึง คำที่มีความหมายได้หลายอย่าง เป็นคำที่คลุมเครอื อาจทำให้ผู้ฟังเขา้ ใจ ผิด วิธแี กไ้ ข คือ เพม่ิ คำให้ชัดเจน เช่น เขาเห็นฝรงั่ ตกน้ำ (อาจหมายถึง ผลฝรัง่ หรือชาวตา่ งประเทศ) เขาไมม่ ลี ูกมเี มยี (อาจหมายถึง ไม่มลี กู และไมม่ ีเมีย หรอื ไมม่ ีลกู แตม่ เี มีย) ขอหอมหนอ่ ย (อาจหมายถึง) หวั หอม ต้นหอม หรอื หอมแก้ม) ๒. อยา่ ใช้คำผิดความหมาย ผใู้ ช้คำจะต้องร้จู ักความหมายเฉพาะของคำ แลว้ เลอื กใช้คำให้เหมาะสมกับบรบิ ท เช่น ถ้าจะ บอกว่าบ้านของเขามีขนาดใหญ่โตมาก ต้องใช้คำว่า “ใหญ่โตมโหฬาร” เพราะ มโหฬาร หมายถึง กว้างใหญ่ แตบ่ างคนจะใชว้ า่ “ใหญโ่ ตรโหฐาน” ซึง่ ผิดความหมายเพราะ รโหฐาน หมายถึง หมายถึง ท่ีเฉพาะส่วนตัว ๓. เลอื กใช้คำให้สมั พันธก์ บั สถานการณห์ รอื คำอน่ื คำที่นำมาเรียบเรียงให้เป็นประโยคหรือข้อความมีความเกี่ยวข้องกันในการสื่อความหมาย การเลอื กใช้คำไดถ้ กู ต้องจะทำให้ส่ือความหมายได้ชดั เจนตรงตามจุดประสงค์ของผู้สง่ สาร เชน่ เธอเคยเป็นนางงาม - แสดงถงึ สถานภาพในอดีตทพี่ ้นไปแลว้ เธอเป็นนางงาม - แสดงถึงสถานภาพในปจั จุบนั ทกี่ ำลังเป็นอยู่ เธอจะเปน็ นางงาม - แสดงถงึ สถานภาพทีจ่ ะได้รับในอนาคต การใช้คำลักษณนามก็เช่นเดียวกันควรใช้ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะสิ่งใกล้ตัวที่เรามักมองข้าม และใช้ตามความคุ้นเคย เช่น สิ่งของที่มีลักษณะเป็นแทง่ ยาว ๆ เช่น ปากกา ดินสอ เทียน จะใช้ลักษณนามวา่ อัน ทั้งหมด ทงั้ ท่ขี องแตล่ ะสิ่งมลี กั ษณนามแตกต่างกนั

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๕ ๔. ใช้คำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล ในที่สาธารณะนิยมใช้ภาษาสุภาพเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าสนิทกันนิยมใช้คำอีกประเภทหน่ึง การใชค้ ำพูดสามารถบอกฐานะของบุคคลได้วา่ ไดร้ ับการยกย่องในระดบั ใด เช่น ตาสีแกเปน็ คนขบั รถ คณุ นภดลทา่ นเป็นประธานบริษทั สุรางคนาเธอเป็นพนักงานในบรษิ ัทแห่งหนึ่ง สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่กะทัดรัด คมคาย กินใจผู้ฟัง ไพเราะสละสลวยและมีความหมายลึกซ้ึง เป็นทร่ี ู้จักกนั ทว่ั ไป บางสำนวนมเี สยี งสมั ผสั คล้องจองกนั แต่บางสำนวนก็ไม่มีเสียงสัมผัสคล้องจอง สำนวนไทย มีต้งั แต่ ๒ คำ ไปจนถงึ ๑๒ คำ (สำนวนในท่ีนร้ี วมไปถงึ สภุ าษติ และคำพังเพยดว้ ย) ๑. สำนวนท่มี าจากศาสนา เช่น ตักบาตรอยา่ ถามพระ เถรส่องบาตร ต่ืนแตด่ กึ สกึ แตห่ น่มุ ๒. สำนวนที่มาจากวรรณคดี เชน่ ว่าแตเ่ ขาอิเหนาเป็นเอง งอมพระราม ลกู ทรพี ๓. สำนวนที่มาจากนิทาน เชน่ กระตา่ ยตื่นตูม เด็กเล้ียงแกะ ไก่ได้พลอย ๔. สำนวนที่มาจากชีวิตประจำวันของคนไทย เช่น จับปลาสองมือ ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า พายเรือ ทวนนำ้ ๕. สำนวนที่มาจากอาชพี เชน่ หวั ลา้ นนอกครู ทำนาบนหลังคน ๑. ใช้สื่อสารไดร้ วดเรว็ กะทัดรัดไพเราะร่ืนหู เมอ่ื ใช้แล้วเข้าใจความหมายได้ทนั ที ไมต่ ้องอธิบายความ ใหย้ ืดยาว ๒. ช่วยเน้นความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งข้ึน ๓. โนม้ นา้ วใจให้ปฏบิ ตั ิหรอื มีคา่ นิยมตามทส่ี ังคมปรารถนา ๔. สะท้อนให้เหน็ คา่ นิยม สภาพของสังคมไทยในแง่มมุ ต่าง ๆ ๕. มปี ระโยชน์ด้านการใช้ภาษา เช่น การผกู ถ้อยคำ การเรียงประโยค สำนวนอาจมีจำนวนคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป บางสำนวนมีถึง ๑๒ คำ (คำในที่น้ี หมายถึง พยางค)์ สำนวนท่มี ี ๒ คำ เช่น แผลเก่า นกตอ่ ตัดเชือก แกะดำ สำนวนท่ีมี ๓ คำ เช่น นกสองหัว งอมพระราม เฒ่าหัวงู สำนวนทม่ี ี ๔ คำ เช่น ตบหวั ลูบหลัง เคยี งบ่าเคียงไหล่ เขา้ ด้ายเขา้ เขม็ อ้อยเข้าปากช้าง สำนวนทมี่ ี ๕ คำ เชน่ น้ำข้ึนใหร้ ีบตกั หนูตกถงั ขา้ วสาร ทำคุณบชู าโทษ ไดท้ ขี ี่แพะไล่ สำนวนที่มี ๖ คำ เช่น หนีเสือปะจระเข้ กระดูกสันหลังของชาติ อัฐยายซื้อขนมยาย ปลากระด่ไี ดน้ ้ำ สำนวนที่มี ๗ คำ เช่น งมเข็มในมหาสมุทร ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า กินบนเรือน ขี้บนหลังคา สำนวนที่มี ๘ คำ เช่น ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม มะกอกสาม ตะกร้าปาไมถ่ ูก

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๖ สำนวนทม่ี ี ๙ คำ เชน่ หมูเขาจะหามเอาคานเขา้ มาสอด เสอื สองตวั อยถู่ ำ้ เดยี วกนั ไมไ่ ด้ สำนวนที่มี ๑๐ คำ เช่น คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา สำนวนที่มี ๑๒ คำ เชน่ ปลกู เรอื นตามใจผอู้ ยูผ่ ูกอ่ตู ามใจผนู้ อน สำนวนบางสำนวนมีเสียงสัมผัสกัน เช่น คอขาดบาดตาย ทรัพย์ในดินสินในน้ำ จองหอง พองขน น้ำพงึ่ เรือเสือพ่งึ ป่า ศึกเหนือเสือใต้ หมอบราบคาบแกว้ สำนวนบางสำนวนไม่มีเสียงสัมผัส เช่น คมในฝัก น้ำขึ้นให้รีบตัก แพะรับบาป น้ำท่วมปาก เกลอื เป็นหนอน ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สำนวนบางสำนวนมีลักษณะเป็นกลุ่มคำ เช่น ขมิ้นกับปูน ร่มโพธิ์ร่มไทร หมูในอวย กระดูก สันหลงั ของชาติ สำนวนบางสำนวนมีลักษณะเป็นประโยค เช่น กาคาบพริก น้ำลดตอผุด ดินพอกหางหมู งูกินหาง การใช้สำนวนให้มีประสิทธิผลมีหลักทั่ว ๆ ไปเช่นเดียวกับการใช้คำ คือ ต้องใช้ให้ถูกความหมาย ถูกความนิยม เหมาะสมกับกาลเทศะแสถานการณ์ เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องการพูดหว่านล้อมจูงใจให้เขาทำ ตามทเี่ ราตอ้ งการ ใชส้ ำนวนว่า “ชักแม่น้ำทั้งหา้ ” เชน่ ลกู ๆ ชกั แมน่ ำ้ ทั้งหา้ ใหค้ ุณแม่เห็นประโยชน์ของการไป พักผ่อนสุดสัปดาห์ จนคุณแม่ใจอ่อนรับปากว่าจะพาไปหัวหินในวันเสาร์น้ี” “หนุ่มสาวคู่นี้เหมาะสมกันราว กิ่งทองใบหยก” “เธอน่ีทำตนื่ ตกอกตกใจเป็นกระตา่ ยตนื่ ตูมไปได้” “พ่อแม่หวังจะฝากผฝี ากไข้กบั ลกู ” ๑. สำนวนเกย่ี วกับพชื - หลบหลีกได้คล่อง กลมเปน็ ลกู มะนาว - ตา่ งไมย่ อมลดละกัน ขงิ กร็ าขา่ กแ็ รง - ยืนกรานไม่ยอมรับ ๒. สำนวนที่เก่ียวกับสตั ว์ - รูส้ ึกตะขดิ ตะขวงใจ กระต่ายขาเดยี ว กินน้ำเหน็ ปลิง - หาเรอ่ื งเดอื ดร้อนใส่ตัว - ชว่ ยกันทำมาหากนิ ๓. สำนวนทเี่ กย่ี วกับการกระทำ แกวง่ เท้าหาเส้ยี น ชายหาบหญงิ คอน ๔. สำนวนทม่ี าจากนิทานหรือวรรณคดี - ตื่นตกใจโดยไม่สำรวจให้ถ่องแท้ กระตา่ ยตืน่ ตูม - อาการนิ่งไม่พูด ดอกพิกลุ ร่วง - เหน็ ผิดเป็นชอบ เห็นกงจกั รเปน็ ดอกบวั

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๗ ตอนท่ี ๑ คำช้แี จง : ใหน้ ักเรียนวิเคราะห์คำจากบรบิ ทต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง ๑. เล็ง ๒ มือเศรษฐกจิ กุมบังเหยี น ............................................................................................................................. ................................................. ๒. ชาติชาย นดั แถลงเปดิ ใจก่อนไขกอ๊ ก ............................................................................................................................. ................................................. ๓. นัท - มเี รยี รอเวลาฟ้ากำหนด .............................................................................................................................................................................. ๔. หน้ารอ้ นฮอตซัมเมอร์ปนี ี้ ถา้ ไม่พูดถงึ แฟชน่ั ลายจดุ น้อยใหญท่ กี่ ำลงั กลบั มาทวงบลั ลังก์ ความเทรนดี้อีกคร้งั ก็คงจะเอ้าท์นา่ ดู ................................................................................................................................... ........................................... ๕. Centerpoint@CentralWorld ยึดพืน้ ทชี่ ั้น ๗ - ๘ เปน็ แหล่ง Community รวมกิจกรรมจี๊ด ๆ เดด็ ๆ เปิดเวทีใหว้ ัยรุ่นมารว่ มกนั สร้างสรรคใ์ ห้เตม็ ที่ไปเลย ศลิ ปินหลากหลายวงการตบเทา้ มาร่วมงานกนั อย่างคึกคัก ............................................................................................................................. ................................................. ตอนที่ ๒ คำช้ีแจง : ใหน้ ักเรียนวเิ คราะห์คำต่อไปนีว้ า่ มคี วามหมายลกั ษณะใด (ตามตวั / อุปมา) ๑. ผลการประชุมวันนต้ี ่างฝา่ ยตา่ งเสียงแตกกนั หาขอ้ สรปุ ไมไ่ ดแ้ น่ ๆ ................................... ๒. เธอเผด็ จนลน้ิ ชา เพราะกินสม้ ตำใสแ่ ซบ่ ๆ จนต้องด่มื น้ำแก้เผ็ด ................................... ๓. นกั ผจญเพลิงดับไฟในปา่ แลว้ ทำใหส้ ถานการณ์ไฟป่าดีข้ึน ................................... ๔. ครูคือประทีปผ้สู อ่ งทางสวา่ งไสว ................................... ๕. เขาเปน็ คนใจบญุ รว่ มทอดผา้ ป่าการกุศลทุก ๆ ปี ................................... ๖. เวลาเขาประกวดพดู เขามกั ดำน้ำทุกครงั้ เมอื่ ไดห้ ัวข้อทยี่ ากและไมถ่ นดั ................................... ๗. เมื่อคนื ฟา้ ผ่าเสาไฟทำใหก้ ระแสไฟฟา้ ดบั เป็นบรเิ วณกวา้ ง ................................... ๘. เจา้ หนา้ ท่ถี ูกตำหนจิ นหน้าชากนั เปน็ แถบ ๆ ................................... ๙. หนุ่มฮอตคนนั้นสบั รางเกง่ เหลือเกิน ฉันล่ะเป็นไม่ชอบเขาจริง ๆ ................................... ๑๐. ฉันชอบกนิ เส้นใหญ่ ราคาไม่แพง แถมอ่มิ ดว้ ย ...................................

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๘ ตอนท่ี ๑ คำชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคำถามตอ่ ไปนีใ้ ห้ถูกตอ้ ง ๑. ใหน้ ักเรียนลำดับเหตุการณห์ รอื เลา่ เหตุการณจ์ ากร่ายยาวเวสสนั ดรชาดก กัณฑ์มัทรี มาโดยละเอียด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ๒. ลางร้ายที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี ประกอบด้วยอะไรบ้าง อธิบายขยาย ความมาโดยสังเขป ................................................................................................................................................................... ........... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ........................ .............................................................................................................................................................................. ๓. เหตใุ ดพระนางมัทรจี ึงกล่าวเปรยี บเทียบตวั พระนางว่า “อุปมาเสมือนหนึง่ พฤกษาลดาวลั ยย์ ่อมจะอาสัญลง เพราะลูกเป็นเทีย่ งแท”้ นักเรยี นมคี วามเขา้ ใจว่าอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ๔. เรอ่ื งรา่ ยยาวมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ัทรี แสดงบคุ ลิกลกั ษณะของพระนางมทั รีอย่างไรบ้าง อธบิ ายพร้อม ยกตวั อย่างประกอบ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................ .. .............................................................................................................................................................................. ๕. จากการศึกษาร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี นักเรียนพบคุณค่าด้านสังคมใดบ้าง และจะนำไปใช้ ประโยชนอ์ ยา่ งไรในชีวติ ประจำวัน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๔๙ ตอนท่ี ๒ คำชีแ้ จง : ใหน้ ักเรยี นพจิ ารณาคำประพันธ์ต่อไปนี้ โดยพจิ ารณาว่าคำท่ขี ดี เส้นใต้หมายถึงตวั ละครใด ราชสีห์ เสอื โคร่ง เสอื เหลือง กณั ฑห์ า ชาลี กณั ฑ์หาและชาลี พระเวสสนั ดร นางมัทรี ชชู ก พระอินทร์ ................... ๑. ขา้ แตพ่ ญาพาฬมฤคราชอนั เรอื งเดช ทา่ นกเ็ ป็นพญาสตั วใ์ นหิมเวศวนาสณฑ์ ................... ๒. ทา้ วเธอทรงกระทา้ อนโุ มทนาทานแหง่ พระเวสสนั ดรราชฤาษีผู้เปน็ พระภัสดา ................... ๓. พระน้องแกว้ เจ้าอยา่ โศกศลั ย์ จงตง้ั จิตของเจา้ นน้ั ให้โสมนสั ศรัทธา ในทางอันก่อ กฤดาภนิ หิ ารทานบารมี ................... ๔. อันสองกุมารนี้พใ่ี ห้เปน็ ทานแก่พราหมณ์แต่วันวานน้ีแลว้ ................... ๕. เจ้าเคยว่งิ ระรเ่ี รยี งเคียงแข่งกันมาคอยรับพระมารดา...ฉะออ้ นวอนไหว้ว่า จะเสวยนม ................... ๖. แมม่ าสละเจา้ ไวท้ ง้ั สององค์ ................... ๗. ครั้นท้าวเธอค่อยคลายลงที่โศกศัลย์ จึ่งผันพระพักตร์มาพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่ อาสญั ................... ๘. ได้ยินแต่เสียงดุเหว่าละเมอร้องก้องพนาเวศ พระกรรณเธอสังเกตว่าสองดรุณ เยาวเรศเจา้ รอ้ งขานอยแู่ ว่ว ๆ ................... ๙. สมเดจ็ พระราชสมภาร เม่อื ไดส้ ดับสารพระมัทรเี ธอแสนวิโยคโศกศัลยส์ ดุ กำลัง ................... ๑๐. เจ้าเคยมาอาศัยน่งั นอนประทับรอ้ นสำราญรม่ รื่นๆ สำรวลเลน่ เย็นสบาย

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๐ ตอนท่ี ๓ คำชแี้ จง : ใหน้ ักเรยี นวิเคราะหภ์ าพพจนข์ องคำประพันธ์ต่อไปนใ้ี หถ้ กู ตอ้ ง ภาพพจนอ์ ุปมา ภาพพจน์บคุ คลวตั ภาพพจนอ์ ติพจน์ ภาพพจนส์ ทั พจน์ ภาพพจน์สญั ลกั ษณ์ ภาพพจนป์ ฏพิ จน์ ................... ๑. นางกเ็ ศร้าสร้อยสลดพระทยั ดั่งเอาเหล็กแดงมาแทงใจใหเ้ จ็บจิตน่ี ................... ๒. เหตไุ ฉนเหงาเงยี บเม่ือยามนี้ ทั้งอาศรมกห็ มองศรเี สหมือนหนงึ่ ว่าจะเศร้าโศก ................... ๓. พระกรรณเธอสงั เกตว่าสองดรุณเยาวเรศเจ้ารอ้ งขานอยูแ่ ว่ว ๆ ................... ๔. ดะด่มุ เดนิ เมิลมุง่ ละเมาะไมม้ อบหมอบแตย่ ่างเหยียบเกรยี บกรอบก็เหลยี วหลงั ................... ๕. จะเอาแตย่ งู ยางในปา่ หิมพานต์มาต่างฉัตรเงินและฉัตรทอง จะเอาแต่แสง พระจันทรอ์ นั ผุดผ่องมาตา่ งประทปี แกว้ งามโอภาส ................... ๖. มทั รีน้เี ป็นข้าเกา่ แตก่ อ่ นมาดง่ั เงาตามพระบาทกเ็ หมอื นกนั ................... ๗. เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับประเทืองผิวราวกับ ว่าจะลอยลวิ่ เลอ่ื นลงจากฟา้ ................... ๘. ทงั้ จักจ่นั พรรณลองไนเรไรร้องอยู่หริ่ง ๆ ระเร่อื ยโรย ................... ๙. กน็ ำ้ ใจของมทั รีน้ีกตเวทีเป็นไมเ้ ท้าก้าวเขา้ สทู่ างทดแทน ................... ๑๐. ทงั้ พน้ื ปา่ พระหมิ พานต์กผ็ ดิ ผนั หว่นั ไหวอยู่วงิ เวยี น

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๑ วิชาภาษาไทย ใบความรทู้ ่ี ๒ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๕ ท๓๒๑๐๑ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๓ เร่อื ง การแตง่ คำประพนั ธ์ประเภทร่าย รา่ ย เป็นคำประพันธ์เก่าแกข่ องไทยมีฉนั ทลักษณน์ ้อยกว่าร้อยกรองประเภทอ่นื ถา้ พิจารณาจะพบว่า ร่ายมีลักษณะใกล้เคียงกับคำประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว เพียงแต่มีการกำหนดสัมผัสและบังคับวรรณยุกต์ ในบางแหง่ คำว่า “รา่ ย” แปลว่า อ่าน เสก หรอื เดิน ซ่งึ รูปแบบของรา่ ยมีปรากฏในวรรณคดไี ทยตัง้ แต่สมัยสุโขทัย จำแนกประเภทตามฉันทลักษณไ์ ด้ ๔ ชนดิ คือ รา่ ยโบราณ รา่ ยสุภาพ ร่ายดัน้ และรา่ ยยาว ด้วยเหตุที่ร่ายเป็นคำประพันธ์เก่าแก่ของไทย จึงมิได้มีข้อบังคับมากนัก ลักษณะบังคับโดยทั่วไป มดี งั นี้ คณะ ร่ายบทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ต้องเรียงคำให้คล้องจองกันตามข้อบังคับ โดยทั่วไปมักจะมี ตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป ส่วนตอนจบนั้นบางชนิดก็จบแบบธรรมดา บางชนิดก็จบโดยมีข้อบังคับเพิ่มเติม สว่ นจำนวนคำในวรรคโดยมากกำหนด ๕ คำ แตบ่ างชนดิ อาจนอ้ ยกว่าหรือมากกว่า สัมผัส สัมผัสที่เป็นพื้นของร่าย คือ มีสัมผัสส่งท้ายวรรคและมีสัมผัสรับเชื่อมในวรรคถัดไปเช่นน้ี จนจบ สัมผัสส่งและสัมผัสรับทีเ่ ชือ่ มกันนีจ้ ะต้องส่งและรับคำชนิดเดียวกัน เช่น ถ้าส่งคำที่ส่งสมั ผัสเป็นคำเปน็ หรือคำตาย คำที่รับสัมผัสก็ต้องเป็นคำเป็นหรือคำตายด้วย หรือถ้าส่งสัมผัสด้วยคำที่มีรูปวรรณยุกต์แบบใด กร็ ับสมั ผสั โดยคำทม่ี ีรูปวรรณยุกตน์ น้ั เปน็ ตน้ ๑. ร่ายสภุ าพ ปรากฏครั้งแรกในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งนิยมแต่งกัน แพร่หลายมาจนถงึ ปจั จบุ ัน ๑.๑ คณะ ร่ายสุภาพคณะหนึ่งประกอบด้วยอย่างน้อย ๕ วรรค แต่ละวรรคมักจะมี ๕ คำ เกินกว่านั้นก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน ๗ คำ และจะจบโดยใช้โคลงสองสุภาพเสมอ มีบังคับคำเอก ๓ แห่ง และคำโท ๓ แหง่ ตามแบบของโคลงสองสุภาพ ๑.๒ สัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ของวรรคต่อไป และตอนจบสมั ผัสแบบโคลงสองสภุ าพ คำสมั ผสั ต้องใช้คำท่ีมีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน หรือถ้าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก็ ต้องไม่มีทั้งสองคำ และคำสุดท้ายของบทห้ามใช้คำตาย นิยมมีคำสร้อยปดิ ท้ายด้วย และอาจแต่งให้มีคำสร้อย สลบั วรรคก็ได้ ดังแผนภมู ิ ตัวอย่าง เห็นสองราชกษัตรีย์ ในช่องสหี บัญชร ดจุ อัปสรสูห่ ลา้ เยย่ี มหนา้ ดดุ วงเดือน เหมอื นแวน่ ฟ้าท้ังคู่ ต่างตาดูอยูค่ อยทาง เห็นสองนางพเี่ ลีย้ ง หน้าช่นื สดใสเพย้ี ง พา่ งท้าวเสด็จมาฯ (ลลิ ติ พระลอ : ไม่ปรากฏนามผแู้ ต่ง)

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๒ ๒. รา่ ยโบราณ ๒.๑ คณะ ร่ายโบราณคณะหนึ่งประกอบด้วยอย่างน้อย ๕ วรรค และแต่ละวรรคมักจะมี ๕ คำ แตไ่ ม่ได้เครง่ ครดั ตายตวั ๒.๒ สัมผัส คำท้ายวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ในวรรคต่อไป คำสัมผัส ต้องใช้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน หรือถ้าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก็ต้องไม่มีทั้งสองคำ คำสุดท้ายหรือคำจบนิยม เป็นคำสามัญ และมีคำสรอ้ ยตอ่ ทา้ ยไว้ ลักษณะอ่ืนเหมอื นกบั ร่ายสภุ าพ ดังแผนภมู ิ ตวั อย่าง ชมข่าวสองพี่น้อง ตอ้ งหฤทยั จอมราช พระบาทใหร้ างวลั ปันเสื้อผ้าสนอบ ขอบใจสูเอาขา่ ว มากล่าวต้องตดิ ใจ บารนี (ลลิ ติ พระลอ : ไมป่ รากฏนามผแู้ ตง่ ) ๓. รา่ ยยาว ๓.๑ คณะ ร่ายยาวไม่ได้กำหนดคณะเอาไว้แน่นอน กล่าวคือ ไม่ได้กำหนดจำนวนวรรค แต่ละวรรคก็ไม่ได้กำหนดจำนวนคำ บางครั้งวรรคหนึ่ง ๆ มีจำนวนคำมากถึง ๑๕ คำ ส่วนมากมีคำสร้อย ในตอนจบ เชน่ น้นั แล นี้แล ฉะนีแ้ ล เป็นตน้ ๓.๒ สัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคต่อไป ยกเว้นคำ สุดท้ายเป็นเช่นนี้ไปจนจบเรื่องวรรคสุดท้าย ร่ายยาวไม่มีการบังคับเอกโทและคำสร้อยอย่างร่ายสุภาพ และในการจบบทจะไมน่ ยิ มใช้คำสุดทา้ ยเป็นคำตาย ดงั แผนภูมิ ตวั อย่าง ...แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะ ตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วท่ีแม่จะซับทราบฟงั สำเนียง สุดสุรเสียงท่ีแม่จะร่ำเรียกพิไรรอ้ ง สุดฝีเท้าท่ีแม่จะเยื้อง ย่องยกย่างลงเหยียบดนิ ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสดุ คิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สกั นิดไม่มีเลย จึ่งตรสั ว่าเจ้าดวงมณฑาทองท้ังคู่ของแม่เอ๋ย หรือว่าเจ้าท้ิงขว้างวางจิตไปเกิดอ่ืน เหมือนแม่ฝันเม่ือ คืนน้ีแล้วแล... (มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม์ ัทรี : เจ้าพระยาพระคลงั (หน))

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๓ ๔. รา่ ยด้ัน ๔.๑ คณะ ร่ายดั้นคณะหนึ่งจะประกอบด้วยอย่างน้อย ๕ วรรค แต่ละวรรคมักจะมี ๕ คำ และจะจบด้วยลกั ษณะของบาทที่ ๓ และ ๔ ของโคลงดนั้ ววิ ิธมาลี ๔.๒ สัมผัส คำทา้ ยวรรคหนา้ สง่ สมั ผัสไปยังคำที่ ๑ หรอื ๒ หรอื ๓ ของวรรคตอ่ ไป เป็นเช่นน้ี ไปจนถงึ ส่วนที่เป็นบาทของโคลงด้ันในตอนจบ ดงั แผนภูมิ ตวั อยา่ ง งามดว้ ยเบญจพิธ องคป์ ระดษิ ฐ์อุตดม ศรีสุนทรประณาม พรอ้ มดว้ ยกายวาจาจิต แดบ่ พิตรภควนั ต์ เป็นสมุจเฉทปหาน มวลมารพ่ายแพส้ ูญสิ้นเสร็จ อญั ขยมประจงถวาย เลิศครู ผอู้ รหนั ตห์ กั เกลศ ทรงพระคณุ ลำ้ ลน้ (มาตาปิตุคณุ : พระยาอปุ กติ ศิลปสาร) ๑. ร่ายเป็นคำประพนั ธท์ ่ีถือกันมาแตโ่ บราณว่าเป็นคำประพันธท์ ี่ศกั ด์ิสิทธิ์ ๒. นิยมใชร้ ่ายเพ่ือแต่งเปน็ บทไหวค้ รู บชู าเทวดา กล่าวนำเพอื่ เปน็ สริ มิ งคล ๓. นอกจากนั้นยังนิยมใช้ร่ายแต่งเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เช่น ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก พระปฐม สมโพธกิ ถา นันโทปนันทสตู รคำหลวง เปน็ ตน้ ๔. ใช้แต่งเรื่องที่ต้องการความขลังอลังการ แสดงความยิ่งใหญ่ทำนองสดุดี ยอพระเกียรติ พระมหากษัตรยิ ์ เชน่ ลิลิตยวนพ่าย ลิลติ ตะเลงพ่าย เป็น คำชี้แจง ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ ๓ - ๕ คน แต่งคำประพันธ์ประเภทร่าย โดยเลือกหัวข้อ หรือ พุทธศาสนสุภาษติ ทีน่ กั เรียนสนใจสำนวนใดสำนวนหนึง่ แต่งในกระดาษ A 5 ตกแตง่ ให้สวยงาม ดงั นี้ ๑. กตญญฺ โุ น หิ สปปฺ ุริสา กตเวทโิ น (คนดียอ่ มเปน็ ผกู้ ตญั ญแู ละกตเวที) ๒. นมิ ิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญญฺ กู ตเวทติ า (ความกตญั ญกู ตเวที เป็นเครอ่ื งหมายแห่งคนดี) ๓. ททมาโน ปิโย โหติ (ผใู้ ห้ ย่อมเป็นท่รี ัก) ๔. สุขา มตฺเตยฺยตา โลเก สขุ า มดั เตยยะตา โลเก (ปฏบิ ัติดตี ่อบิดามารดา เปน็ ความสุขในโลก) ๕. สปฺปุริสภมู ิ ยทิทํ กตญตฺ า กตเวทิตา (การรู้คณุ และตอบแทนคณุ เปน็ คณุ ธรรมพ้นื ฐานของคนดี)

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๔ ๔หน่วยการเรียนรู้ที่ .... ล้ำค่าภาษากบั วฒั นธรรม ตวั ชี้วดั • เขียนส่อื สารในรูปแบบตา่ ง ๆ ได้ ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ โดยใชภ้ าษาเรียบ เรียงถูกต้อง มีขอ้ มลู และสาระสำคญั ชัดเจน (ท ๒.๑ ม.๔-๖/๑) • พูดในโอกาสตา่ ง ๆ พูดแสดงทรรศนะ โตแ้ ยง้ โนม้ นา้ วใจ และเสนอ แนวคิดใหมด่ ้วยภาษาถกู ต้องเหมาะสม (ท ๓.๑ ม.๔-๖/๕) • อธิบายธรรมชาติของภาษา พลงั ของภาษา และลักษณะของภาษา (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๑) • วเิ คราะห์อทิ ธิพลของภาษาตา่ งประเทศและภาษาถิ่น (ท ๔.๑ ม.๔-๖/๕) • รวบรวมวรรณกรรมพ้นื บ้านและอธิบายภูมิปญั ญาทางภาษา (ท ๕.๑ ม.๔-๖/๕)

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๕ วิชาภาษาไทย ใบความรทู้ ี่ ๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ ท๓๒๑๐๑ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๔ เร่ือง การเขียนประกาศและการเขยี นเชญิ ชวน การเขียนเชิงกิจธุระ หมายถึง การถ่ายทอดความคิด ความต้องการ หรือข้อมูลเกี่ยวกับกิจธุระต่าง ๆ ของผ้สู ง่ สารออกมาเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร แลว้ สง่ ไปยงั ผู้รับสารผ่านช่องทางตา่ ง ๆ การเขยี นสื่อสารเชิงกิจธุระ น้ีมีมากมาย แต่ในท่ีนจ้ี ะกลา่ วเฉพาะเร่อื งการกรอกแบบรายการและการเขยี นประกาศ ➢ ความหมายของแบบรายการ แบบรายการ หมายถึง แบบสำหรับใช้กรอกข้อความหรือทำเครื่องหมายต่าง ๆ ที่หน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานธุรกิจจัดทำขึ้น โดยเว้นช่องว่างไว้สำหรับให้บุคคลกรอกข้อความ การกรอกแบบรายการทำให้ ผู้กรอกสามารถลำดับความรู้ ความคิดได้เป็นระบบตามที่กำหนดไว้ในแบบรายการ และผู้ทำแบบรายการ จะได้รับรายละเอียดข้อมลู จากผูก้ รอกตามที่ต้องการ แบบรายการแบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ดังน้ี ๑) แบบรายการทใ่ี ชต้ ดิ ต่อกับหนว่ ยงานทงั้ ภาครฐั และภาคเอกชน แบบรายการประเภทน้ีหน่วยงานเปน็ ผู้จดั เตรียมขึ้น เพื่อให้ผู้มาตดิ ต่อใช้ได้โดยสะดวก จะได้ ไม่เสยี เวลาในการเขียน ทำให้หนว่ ยงานไดร้ บั ข้อมูลครบถว้ นที่จำเป็นตามต้องการ นอกจากนี้ยังทำให้จัดเก็บไว้ ได้เป็นระเบียบเรียบร้อย ค้นหาได้ง่าย ตัวอย่างเช่น แบบรายการสมัครงาน แบบรายการสมัครเข้าศึกษาต่อ แบบรายการขอติดตั้งนำ้ ประปา แบบรายการเสียภาษี ๒) แบบรายการทผ่ี ูอ้ ่นื ขอความร่วมมอื ให้กรอกหรือแบบสอบถาม แบบรายการประเภทนี้ใช้เพื่อต้องการทราบข้อมูลทั้งที่เป็นข้อเท็จจริง และทรรศนะของ ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เพื่อประเมินผลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตัวอย่าง สถานีวิทยุกระจายเสียง อยากทราบ ชนดิ ของรายการทีป่ ระชาชนสนใจ กอ็ าจสรา้ งแบบรายการชนิดหน่ึงข้นึ เรยี กว่าแบบสอบถาม ส่งทางไปรษณีย์ หรือให้บุคคลนำไปถึงกลุ่มประชากรที่ต้องการจะสอบถาม ผู้ที่ได้รับแบบสอบถามเป็นผู้กรอก หรือจะบอก ข้อความให้ผ้อู น่ื กรอกก็ได้ ๓) แบบรายการท่ีใช้ในองค์กร องค์กรสมัยนี้มีระบบการรวบรวมเรื่องราวทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรภ ายในหน่วยงาน ของตนด้วยวิธีให้กรอกแบบรายการแทนที่จะต้องเขียนชี้แจงทั้งเรื่องซึ่งมักจะให้รายละเอียดไม่ตรงตามท่ี ต้องการ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ เช่น แบบรายการขออนุญาตใช้วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของหน่วยงาน แบบรายการลา แบบรายการ ขอกู้เงินสวัสดิการ เป็นต้น การใช้แบบรายการตามที่กล่าวมาน้ี จะชว่ ยใหอ้ งค์กรได้รายละเอียดทกุ ประการตามท่ีตอ้ งการ ๔) แบบรายการทำสญั ญา สัญญาในที่นี้หมายถึง เอกสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ระหว่างบุคคล ๒ ฝ่าย เช่น สัญญาจะซื้อจะขายสินค้า สัญญากู้เงิน สัญญาเช่า บ้าน สญั ญาตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี มผี ทู้ ำขึน้ เป็นแบบรายการเพื่อให้ค่สู ัญญาได้รับความ สะดวก ไม่ต้องเรียบเรียงถ้อยคำขึ้นเอง เพียงแต่กรอกสถานที่ วันเดือนปี ชื่อ ตวั เลขบางอยา่ งลงไป และลงลายมอื ชือ่ กำกับไวเ้ ทา่ น้ัน สัญญาก็จะมีผลสมบูรณ์

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๖ โดยผู้กรอกแบบรายการประเภทนี้ต้องมีความระมัดรอบคอบ ไม่ประมาทในการลงชื่อ ไม่ควรให้ผู้อื่นกรอก ข้อความแทน โดยเฉพาะถ้ากรอกตัวเลขจำนวนเงนิ ควรมตี วั อักษรกำกบั จำนวนเงนิ นนั้ ๆ ➢ คุณสมบัติของผกู้ รอกแบบรายการ ๑. ความรู้ความเข้าใจทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องกรอก ผู้กรอกต้องมีความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับตนเอง เช่น วัน เดือน ปีเกิด ภูมิลำเนา นามบิดา-มารดา หมู่โลหิต โรคประจำตัว ประวัติ การแพ้ยา เปน็ ตน้ ๒. ความสามารถทางภาษา สามารถอ่านข้อความและตีความข้อความในแบบรายการได้ ถกู ตอ้ งโดยตลอด เขา้ ใจความต้องการของแบบรายการน้ันว่าต้องการให้กรอกข้อความใดลงในชอ่ งใด เชน่ การ ขออนุญาตใช้รถในช่องวัตถุประสงค์ เราต้องชี้ให้เห็นถึงความน่าจะเป็นว่าต้องการใช้รถ เพอ่ื การปฏิบตั งิ านอันเปน็ ประโยชนส์ ำหรับองคก์ รน้ัน ๓. ความซ่อื ตรง การกรอกแบบรายการทุกชนิด ผกู้ รอกควรใหข้ ้อเท็จจริงเสมอ ไมค่ วรกรอก ขอ้ ความทเี่ ป็นเท็จ เพราะจะทำให้เกิดผลเสีย ๒ ประการ ดังน้ี ๓.๑ เสียประโยชน์ตน เช่น เมื่อเกิดของหายแล้วไปแจ้งความ แม้ตำรวจจะจับขโมย ได้ กจ็ ะเกดิ ปญั หาในการรับของคนื ทีร่ า้ ยแรงกว่าน้นั หากเกิดอบุ ัตเิ หตุจนเราไม่สามารถให้ข้อมูลใด ๆ ได้ ผ้อู ืน่ กไ็ มม่ ที างทจ่ี ะตดิ ตอ่ กบั ญาติให้ได้ ๓.๒ เสียประโยชนผ์ อู้ ่ืนหรือประโยชนส์ ว่ นรวม เช่น กรอกแบบสอบถามโดยให้ข้อมูล ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลก็จะคลาดเคลื่อน หากนำไปใช้ใน การวางแผนก็จะทำให้เกดิ ความผิดพลาดได้ ๔. ความรับผิดชอบ แบบรายการบางประเภทไม่มีผลที่จะก่อให้เกิดพันธะทางกฎหมายแก่ ผู้กรอกกจ็ ริง แต่ผูก้ รอกจำเปน็ ตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ขอ้ ความทต่ี นกรอกลงไป ๕. ความรอบคอบ การกรอกแบบรายการบางประเภทต้องมีความประณีตรอบคอบอย่างย่ิง มิฉะน้ันจะเกดิ ผลเสียหายแกต่ นเองได้ เชน่ ในการกรอกสัญญากู้ยืม สญั ญาค้ำประกัน สญั ญาซือ้ ของผ่อนส่ง ผู้ กรอกแบบรายการต้องดูจำนวนเงินใหแ้ น่นอนตรงกันทงั้ ตวั เลขและตวั อักษร รวมทงั้ ระยะเวลาในการชำระเงิน และเงอ่ื นไขอื่น ๆ กต็ อ้ งดูด้วยความละเอียดรอบคอบ

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๗ ➢ ความหมายของการเขยี นประกาศ การเขียนประกาศ คือ การเขียนข้อความที่ทำให้สาธารณชนรับทราบหรือปฏิบัติตามข่าวสารเรื่อง เดยี วกัน โดยใช้สือ่ สาธารณะ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนงั สือพมิ พ์ อนิ เทอรเ์ นต็ ฯลฯ ➢ ประเภทของประกาศ ประกาศ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประกาศอย่างเป็นทางการ และประกาศอย่างไม่เป็นทางการ แต่ละประเภทมีลกั ษณะ ดังนี้ ๑. ประกาศอย่างเป็นทางการ มักเป็นประกาศของหน่วยงานราชการและองค์กรต่าง ๆ มีรูปแบบ ดงั น้ี ๑.๑ ช่ือหน่วยงานหรือองค์กรทีอ่ อกประกาศ ๑.๒ เร่อื งทป่ี ระกาศ ๑.๓ ขอ้ ความทีป่ ระกาศ แบ่งออกเปน็ ๒ สว่ น คือ ๑) เหตุผลหรือความเป็นมา ๒) จุดประสงค์สำคัญประกอบด้วย รายละเอียด เงื่อนไข และขั้นตอนใน การปฏบิ ตั ิ ๑.๔ วัน เดือน ปี ทปี่ ระกาศ ๑.๕ ลงนามผปู้ ระกาศ (จะมีหรือไม่มีกไ็ ด้) ลกั ษณะของประกาศอยา่ งเปน็ ทางการ - มักจะมีข้อความทคี่ อ่ นข้างยาว ละเอียด และอาจจะเก่ียวเน่ืองกบั ตวั บทกฎหมาย - มจี ุดประสงค์จะประกาศแจง้ ใหบ้ คุ คลทวั่ ไปไดท้ ราบ และหวังผลในการปฏบิ ัติ - ใช้ภาษาระดับทางการ รัดกุม - มลี กั ษณะคล้ายหนงั สือราชการท่วั ๆ ไป ๒. ประกาศอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนใหญ่เป็นประกาศของบริษัทห้างร้าน หรือของส่วนบุคคล ไม่มีการกำหนดรปู แบบ มีเพยี งเนอื้ หาหรอื จดุ ประสงค์ที่สำคัญ ลกั ษณะท่ีดีของประกาศอยา่ งไม่เปน็ ทางการ - การใช้ภาษาไมค่ วรใชข้ ้อความยาว ๆ หรือซับซอ้ นเกนิ ไป เพราจะไมด่ งึ ดดู ความสนใจผ้อู า่ น - ภาษาที่ใช้ตอ้ งชัดเจน มเี หตุผล ไมห่ ว้ นจนเกินไป - ควรใชต้ ัวอักษรหรือสีทสี่ ะดุดตา โดยเฉพาะส่วนสำคญั ทตี่ อ้ งการประกาศ

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๘ วชิ าภาษาไทย ใบความรทู้ ่ี ๒ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๕ ท๓๒๑๐๑ เรือ่ ง อิทธพิ ลภาษาตา่ งประเทศและภาษาไทยถิน่ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๔ คนไทยมีเอกลักษณ์ประจำชาตอิ ยู่ประการหนึง่ คือมีความใจกว้าง โอบอ้อม อารี ดังนั้นทำให้ชาวต่างชาติที่มาติดต่อคบค้ากับคนไทย มีทัศนคติที่ดีต่อคนไทย และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ตลอดจน ด้านภาษา คนไทยก็เปิดกว้างรับเอาภาษาของชาติต่าง ๆ มามาก จนบางคำก็กลืน เป็นคำไทย บางคำก็พอสืบต้นตอได้ว่ามาจากภาษาใด ดังนั้นการศึกษาที่มาของคำ ต่างประเทศที่อยู่ในภาษาไทย จะทำให้เราทราบถึงพัฒนาการของภาษาไทยในอีก แงม่ ุมหน่ึง 1. สภาพภูมิศาสตร์ คือ ประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ พม่า ลาว เขมร มาเลเซีย จึงทำให้คนไทยที่อยู่อาศยั บรเิ วณชายแดนเดินทางขา้ มแดนไปมาหาสู่กนั และมีความเก่ยี วข้องสัมพันธ์ กัน จึงมีการแลกเปลี่ยนภาษากัน เช่น คนไทยที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์ ศรีษะเกษ บุรีรัมย์ ก็จะสามารถสื่อสาร ด้วยภาษาเขมรได้ คนไทยทีอ่ ยูใ่ นจังหวดั ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา กร็ ับเอาภาษามลายเู ขา้ มาใช้ เปน็ ตน้ 2. ประวัติศาสตร์ ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีการ อพยพโยกย้ายของคนไทยเข้ามาอยู่ในถิ่นอาศัยปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมมีชนชาติอื่นอาศัยอยู่ ก่อน เช่น เขมร ละว้า มอญ หรือมีการทำศึกสงครามกับชนชาติอื่น มีการกวาดต้อน เชลยศกึ และประชาชน พลเมืองชนชาติอ่นื ๆ ให้มาอาศัยอยใู่ นประเทศไทย ผู้คนเหล่าน้ี ไดน้ ำถ้อยคำภาษาเดมิ ของตนเองมาใชป้ ะปนกับภาษาไทยด้วย 3. ศาสนา คนไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามาเป็นเวลาช้านาน เมื่อนับถือศาสนาใดก็ย่อมได้รับถ้อยคำภาษาที่ใช้ในคำสอน หรือคำเรียกชื่อต่าง ๆ ในทางศาสนาของศาสนานนั้ ๆ มาปะปนอยใู่ นภาษาไทยดว้ ย เชน่ ศาสนาพราหมณ์ ใช้ภาษาสันสกฤต ศาสนาพุทธใช้ภาษาบาลี ศาสนาอิสลามใช้ภาษาอาหรับ และศาสนาคริสต์ใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้นภาษาต่าง ๆ ที่ใช้ในทางศาสนาก็จะเข้ามา ปะปนในภาษาไทยดว้ ย 4. การค้าขาย จากหลักฐานทางด้าน ประวัติศาสตร์ ชนชาติไทยมีการติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากับชนชาติต่าง ๆ มาเป็นเวลาอันยาวนาน เชน่ ชาวจีน ชาวโปรตเุ กส ฝรั่งเศส องั กฤษ ฮอลันดา ตลอดถึงญี่ปุ่น ทำให้มีถ้อยคำในภาษาของชนชาตินั้น ๆ เข้ามาปะปนอยู่ใน ภาษาไทยเปน็ จำนวนมาก ตลอดเวลาไม่มีการส้นิ สดุ 5. วรรณคดี วรรณคดีอินเดียที่ไทยนำเข้ามา เช่น เรื่องมหากาพย์รา มายณะ และ มหาภารตะ แต่งขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต อิเหนา เป็นวรรณคดีที่มี เค้าเรื่องมาจากดาหลังของชวา ด้วยเหตุนี้วรรณคดีทำให้ภาษาสันสกฤตและ ภาษาชวาเขา้ มาปะปนในภาษาไทย

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๕๙ 6. ความสมั พันธท์ างด้านวัฒนธรรมและประเพณี เมอ่ื ชนชาติตา่ ง ๆ เขา้ มาสมั พนั ธ์ตดิ ต่อกับชนชาติ ไทย หรือเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย ย่อมนำเอาวัฒนธรรมและประเพณีที่เคยยึดถือปฏิบัติ อยู่ในสังคมเดิมของตนมาประพฤติปฏิบัติในสังคมไทย นาน ๆ เข้าถ้อยคำภาษาที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และประเพณเี หลา่ นน้ั ก็กลายมาเปน็ ถอ้ ยคำภาษาทีเ่ กยี่ วข้องกับชวี ิตประจำวันของคนไทยมากขึ้น 7. การศึกษาและวิทยาการดา้ นตา่ ง ๆ จากการทคี่ นไทยเดินทางไป ศึกษายังต่างประเทศ ทำให้ได้ใช้และพูดภาษาอื่น ๆ และรับเอาวิทยาการตา่ ง ๆ เมื่อสำเร็จการศึกษา จึงนำเอาภาษาของประเทศนั้นมาใช้ปะปนกับภาษา ของตน เช่น ภาษาอังกฤษ ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อม ด้านการศึกษาเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและมาตรฐานสากล โดยการจัด การศึกษาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมประเทศสมาชิกสมาคม อาเซียนและภาษาที่สามารถสื่อสารกันในสากลโลก ดังนั้นการหลั่งไหลของ ภาษาตา่ ง ๆ ท่จี ะเขา้ มาปะปนในภาษาไทยกจ็ ะเพิ่มมากขึน้ 8. ความสัมพันธ์ทางการทูต การเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูต ในการอพยพ โยกย้ายหรือในการ ติดต่อทางการทูต ย่อมทำให้ภาษาของเจ้าของถ่ินเดิมหรือผู้อพยพโยกย้ายมาใหม่นำมาใช้รว่ มกัน เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส 9. อพยพย้ายถ่นิ ฐาน การอพยพย้ายถิน่ ฐานมาจากสาเหตุหลายประการ เชน่ สภาพเศรษฐกิจต้องไป ประกอบอาชีพยังประเทศตา่ ง ๆ ภยั สงคราม การเมืองการปกครอง ลนิ้ จี่ คอร์ส เตา้ ฮวย เตน็ ท์ บะหม่ี คลินกิ พุทธ มารยาท กำเนิด วตั ถุ บรรทม เสดจ็

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๐ ภาษาบาลีและสันสกฤต ภาษาบาลีสันสกฤตจัดเปน็ ภาษาหน่ึงในตระกูลภาษาอินโดยูโรเปยี น (อินเดีย-ยโุ รป) สำหรับนกั เรยี น ที่ถนัดภาษาอังกฤษ หรือภาษาฝรั่งเศสจะเข้าใจไวยากรณ์ของภาษาบาลีและสันสกฤตจนสามารถฝึกฝน วทิ ยายทุ ธจนชำนาญไดเ้ ลย ภาษาบาลี เราใช้อักษรย่อว่า “ป.” เพราะมีอีกชื่อว่า “ปาลิ” และภาษาสันสกฤตเป็นภาษาเก่าแก่ ภาษาหน่ึงในตระกูลท่ีได้กล่าวไปแลว้ ข้างต้น โดยท้งั สองภาษามีความคล้ายคลึงกันสว่ นใหญ่ ซ่ึงถ้าพิจารณากัน ลึก ๆ จะเห็นว่า “ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตเป็นคนละภาษากัน” หมายความว่า “ภาษาบาลี” มักใช้ พูดคุย จดบันทึกที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เช่น การบันทึกอรรถคาถาในพระไตรปิฎก ส่วนภาษา สันสกฤตจะเป็นภาษาทีค่ ่อนข้างมีไวยากรณท์ ีย่ ากกวา่ ปกติ จึงเป็นภาษาสำหรับวรรณะกษัตริยท์ ีใ่ ช้สนทนากนั หรือเรียนพระเวทย์กันเท่านั้น (ที่มาจากทางพราหมณ์เชื่อว่าเป็นภาษาที่เทพเจ้าใช้สื่อสารกับมนุษย์เพื่อ ถา่ ยทอดความรู้แจง้ และปัญญาญาณแกเ่ หล่าฤาษี) ตารางพยญั ชนะภาษาบาลี ก่อนที่จะลงลึกไปมากกว่านี้ นักเรียนควรที่จะ “จำ” ตารางพยัญชนะภาษาบาลีเสียก่อน ซึ่งตารางน้ี มักจะเรียกว่า ตารางพยัญชนะวรรคในภาษาบาลี มีทั้งหมด 5 วรรคสำคัญ แต่ละวรรคจะมีฐานกรณ์ ในการออกเสียงทแ่ี ตกตา่ งกนั ดังน้ี แถว พยัญชนะวรรค 12345 วรรค ก กขคฆง วรรค จ จ ฉ ชฌญ วรรค ฏ ฏ ฐ ฑฒณ วรรค ต ตถทธน วรรค ป ปผพภม เศษวรรค ย (ยาย) ร (เรา) ล (เลา่ ) ว (ว่า) ส (เสือ) ห (หาย) ํ (อัง)

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๑ อะไรสะกด อะไรตาม… เมือ่ นักเรยี นสามารถทอ่ งจำตารางวรรคในภาษาบาลีได้แล้ว ทีนค้ี รูจะนำนักเรียนมาสหู่ ลักการ วิเคราะหค์ ำท่ีมาจากภาษาบาลีโดยอาศยั หลกั การดู “ตวั สะกด-ตัวตาม” ดังนี้ 1. กฎข้อท่ี 1 แถวท่ี 1 สะกด แถวที่ 1 และ 2 ตาม เชน่ ทกุ ข์ รุกข์ มจั ฉา อิจฉา สัจจา วตั ถุ บปุ ผา 2. กฎข้อที่ 2 แถวท่ี 3 สะกด แถวที่ 3 และ 4 ตาม เชน่ พยคั ฆ์ มชั ฌมิ วฑุ ฒิ (วฒุ ิ) พทุ ธ คพั ภ์ 3. กฎขอ้ ที่ 3 แถวท่ี 5 สะกด แถวที่ 1-5 ตามได้ เชน่ กังขา กัญชา คัมภรี ์ ปัญญา 4. กฎขอท่ี 4 เศษวรรคต้องตามด้วยเศษวรรคกันเอง เชน่ ตัว ย ตามดว้ ย ย – ล ตามดว้ ย ล และ ส ตามด้วย ส เช่น อยั ยกา ปสั สาวะ อิสสรยิ ะ (อสิ รยิ ะ) รัสสะ อสั สุ หัสสะ พัสสะ บัลลังก์ จลุ ล ** การสะกด-ตาม ตอ้ งอยู่ในวรรคเดียวกนั เทา่ นั้น (ไปยุ่งวรรคชาวบา้ นไมไ่ ด)้ ฝกึ เน้นย้ำความเข้าใจ โดยให้นักเรียนลองบอกวา่ คำบาลีต่อไปน้ีอะไรเปน็ ตวั สะกด อะไรเป็นตวั ตาม เช่น กิจจา ( จ สะกด จ ตาม) 1. อคั คี (........สะกด...........ตาม) 6. จักขุ (........สะกด...........ตาม) 2. อังคาร (........สะกด...........ตาม) 7. อุยยาน (........สะกด...........ตาม) 3. สมั ผสั (........สะกด...........ตาม) 8. สนธิ (........สะกด...........ตาม) 4. สนทนา (........สะกด...........ตาม) 9. อิตถี (........สะกด...........ตาม) 5. อปุ ชั ฌาย์ (........สะกด...........ตาม) 10. ปัจจบุ นั (........สะกด...........ตาม) ตารางเปรยี บเทยี บภาษาบาลี-สนั สกฤต เมอ่ื นกั เรียนทราบพยญั ชนะในภาษาบาลีท้งั 33 ตวั (ตามตารางวรรค) แล้ว ตอ่ ไปครจู ะเปรยี บเทยี บ ลักษณะสำคญั ๆ ระหว่างภาษาบาลแี ละภาษาสันสกฤตท่มี ีความแตกต่างกันอยา่ งเหน็ ได้ชดั เจน ดงั นี้ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต 1. สระภาษาบาลีมี 8 ตัว ไดแ้ ก่ อะ อา อิ อี อุ อู 1. สระในภาษาสันสกฤตมี 14 ตัว ที่สระบาลไี ม่ เอ โอ เช่น เวช กัณห อสิ ิ ฯลฯ มี คือ ไอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦๅ สงั เกตจากคำที่ผสม ดว้ ยสระพวกน้ี เช่น ไวทย กฤษณะ ฤาษี เสาวภาคย์ เมาลี 2. พยัญชนะในภาษาบาลีมี 33 ตัว (ตามตาราง) 3. พยัญชนะในภาษาสันสกฤตมี 35 ตัว (เพมิ่ ศ ษ) ** ยกเว้น ศอก เศิก ศึก เศร้า = คำไทย 3. บาลนี ยิ มใช้ ฬ เช่น จุฬา ครุฬ กฬี า 3. สันสกฤตนิยมใช้ ฑ ฒ เช่น กรฑี า ครฑุ จฑุ า อาสาฬหบชู า วิรฬุ ห์ อาษาฒ วิรูฒ 4. ห้ามใส่ รร ในบาลีเด็ดขาด แต่จะซำ้ พยัญชนะ 4. ใช้ รร (ร เรผะ) เชน่ พรรค วรรค มรรค สะกด-ตามแทน เชน่ มคฺค วคฺค กมฺม ธมฺม ฯลฯ กรรม ธรรม (ยกเวน้ บำ บรร บัน = เขมร)

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๒ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต 5. นยิ มอา่ น เขียนเรียงพยางค์ (ไม่ควบกลำ้ ) เชน่ 5. นิยมอา่ น เขียนควบกล้ำ เช่น ประชา ปรชั ญา อตุ ุ สามี ปฐม ปญั ญา ปชา สวามี สถาน ประถม จกั ร (กระ) หรอื ควบกลำ้ บางตัวในภาษาสันสกฤตแต่ไทยนำเคร่ืองหมาย ์ 6. มักมี ส ปรากฏอยู่ กำกบั ไว้ เช่น ภาพยนตร์ เนตร จนั ทร์ 6. มักมี ส + วรรค ต (ต ถ ท ธ น) เชน่ สถาน สถลุ สถาน สถิติ สตรี สาธยาย ฯลฯ 7. การใชต้ วั ณ ในภาษาเดิม เช่น กัณหา ตณั หา 7. มกั ใช้ตวั ณ ตามหลัง ฤ ร ษ ห ย ว เชน่ ญาณ จัณฑาล มาณพ ฯลฯ ตฤณมัย นารายณ์ กระษาปณ์ กฤษณา ลักษณ์ พราหมณ์ 8. มกั มีคำว่า “ร”ิ ปรากฏอยู่ เช่น จริยา ภริยา อสิ รยิ ะ อจั ฉรยิ ะ 8. สังเกต ร เชน่ อาจารย์ ภรรยา อารยะ 9. ภาษาบาลีใช้ “คห” ห้าม เคราะห์ (ส) ในภาษา อัศจรรย์ ไอศวรรย์ จรรยา บาลี เพราควบกล้ำ เชน่ คหบดี 10. ต้องมตี ัวสะกด และตัวตามเสมอ เช่น กจิ จา 10. ภาษาสนั สกฤตใช้ เคราะห์ (ครห) เช่น กงั ขา พุทธ รุกข์ ฯลฯ สงเคราะห์ อนุเคราะห์ พเิ คราะห์ วเิ คราะห์ 10. มตี วั สะกดแล้วไม่มตี วั ตามก็มี หรือ ตวั สะกดตวั ตามไมแ่ นน่ อน เช่น มสั ยา วัสดุ ฯลฯ

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๓ คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นนำคำที่กำหนดใหเ้ ตมิ ลงในช่องว่างกลมุ่ ที่มาภาษาให้ถูกต้อง ขัตติยะ บำนาญ เกาเหลา จรรยา อจั ฉรา เก้าอี้ เชต้ิ บันเทิง ผทม โอลมิ ปิก ทรัมเป็ด ไปรษณยี ์ กระเทยี ม อัชฌาสัย จฬุ า เบยี ร์ ปราชญ์ ลกั ษณ์ ปัสสาวะ เจรญิ จา่ โก้ย กว๋ ยเต๋ียว ครุฑ ตะหลวิ ซีเมนต์ ปราชญ์ ฟิลม์ มัจฉา เบียร์ เจ บาลี สนั สกฤต อังกฤษ จีน เขมร

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๔ คำชี้แจง ให้นกั เรียนนำคำทกี่ ำหนดให้เติมลงในช่องวา่ งกลุ่มคำภาษาไทยถนิ่ ต่าง ๆ ให้ถกู ต้อง ข้เี ก้ยี ม ลำแต้ ๆ แขบ ไปไส ถด ยาย ยานดั เกบิ ไมโ่ รพ้ ่ือโฉ้ ตงึ วัน รบี บักหุง่ สับปะรด ขจ้ี ุ๊ มะม่วงหิมพานต์ จะได หัวครก บักแตงโม มะละกอ แม่อยุ๊ อู้ เว่า พดู แหลง

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้ วชิ าภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๕ บรรณานุกรม กำชัย ทองหลอ่ . (2๕๕๖). หลกั ภาษาไทย. (พมิ พค์ ร้งั ที่ ๕๔) กรุงเทพฯ : รวมสาส์น. จันทบุรนี ฤนาถ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (2553). ปทานกุ รม บาลี ไทย องั กฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ. กรุงเทพฯ : สภาผู้แทนราษฎร. จริ ภัทร แก้วกู่. (2545). ลกั ษณะไวยากรณ์ของคำยมื จากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ท่ปี รากฏในพระปฐมสมโพธิกถา. วทิ ยานิพนธ์ ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต. ดวงมน จติ ร์จำนงค์. (2528). หลังมา่ นวรรณศลิ ป์. กรุงเทพฯ : เทียนวรรณ. ธเนศ เวศรภ์ าดา. (2549). หอมโลกวรรณศลิ ป์. กรุงเทพฯ : ปาเจรา. บรรจบ พนั ธุเมธา. (2530). ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หวั . (๒๕๔๐). บทพระราชนพิ นธ์ในสมเด็จระมหาธรี ราชเจา้ เร่ือง ธรรมาธรรมะสงคราม, มัทนะพาธา และ ท้าวแสนปม. สงขลา : โรงเรียนมหาวชิราวุธ จงั หวัดสงขลา. พระยาอุปกติ ศิลปสาร. (๒๕๑๑). หลักภาษาไทย : อักขรวธิ ี วจวี ภิ าค วากยสมั พนั ธ์ ฉนั ทลกั ษณ์. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช. ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน. วไิ ลศกั ด์ิ ก่งิ คำ. (2550). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : คณะมนุษยศาสตร์. ศริ เิ พ็ญ วรปสั สุ. (2553). การศกึ ษาความสัมพันธ์ไทยและญป่ี ่นุ สมัยอยธุ ยา-รตั นโกสนิ ทร์ ก่อนสงครามโลกครั้งท่ี 2 จากหลักฐานทางโบราณคด.ี วทิ ยานพิ นธ์ ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต. นครปฐม : มหาวิทยาลยั ศิลปากร. สดใส ขนั ติวรพงศ์. (2525). ภาษาตา่ งประเทศ. นครปฐม : มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สุจิตรา จงสถิตยว์ ฒั นา. (2541). หวงั สรา้ งศลิ ป์นฤมิต เพริศแพร้ว. กรุงเทพฯ : โครงการตำราคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . อนุมานราชธน, พระยา. (2546). การศกึ ษาวรรณคดแี งว่ รรณศิลป์ (พิมพค์ ร้ังท่ี 5). กรุงเทพฯ : สยาม.

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๖ ภาคผนวก

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย (ท๓๒๑๐๑) ๖๗ บทอาขยานทำนองเสนาะ เรือ่ ง ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี ...“จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไร ไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อน คล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะติดตามเจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัว อยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทราบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญา สุดหาสุดค้นเหน็ สุดคิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สกั นิดไม่มเี ลย จ่งึ ตรสั ว่าเจ้าดวงมณฑา ทองท้ังคขู่ องแมเ่ อ๋ย หรอื วา่ เจา้ ทิง้ ขว้างวางจิตไปเกิดอ่นื เหมอื นแม่ฝันเมื่อคนื นแี้ ล้วแล”... เจ้าพระยาพระคลงั (หน)