Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่4-5-6-7 พระอนุพงศ์ + กานต์กฤตนัย

บทที่4-5-6-7 พระอนุพงศ์ + กานต์กฤตนัย

Published by kankittanai11, 2022-08-08 15:56:43

Description: บทที่4-5-6-7 พระอนุพงศ์ + กานต์กฤตนัย

Search

Read the Text Version

บทที่ 4 เรื่องระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ โดย พระอนุพงศ์ ศาลางาม รหัสนักศกึ ษา 4641070641124 นายกานต์กฤตนัย วงษ์ประคอง รหสั นกั ศกึ ษา 4641070641110 สาขา จิตรกรรมไทย คาถามท้ายบท 1.ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอรห์ มายถึง ตอบ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึงการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ในยุคแรกเพื่อให้คอมพิวเตอร์ สามารถทางานบางอย่างได้แทนมนุษย์ เพ่ือให้การทางานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว จนเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน ซึ่งยุคน้ีเป็นยุคข้อมูลข่าวสารโดยมีคอมพิวเตอร์ เป็นเทคโนโลยีรองรับ โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) เป็นระบบที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกัน และกันได้ นอกจากนยี้ งั สามารถใช้ทรัพยากร(Resource) ทีม่ อี ยใู่ นเครอื ขา่ ยร่วมกนั ได้ อย่างมีประสิทธภิ าพ 2. จงบอกประโยชนข์ องระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร ตอบ ประโยชน์ของระบบเครือข่ายประโยชน์ของการนาเคร่ืองคอมพิวเตอร์มาต่อเช่ือมกันน้ันหลาย ประการ (โอภาส เอ่ยี มสิรวิ งศ์, 2558) ไดแ้ ก่ 1.สามารถใช้ทรัพยากร (Resource) ท่ีมีราคาสูงร่วมกันได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์(Hard Disk) ปร๊ินเตอร์ (Printer) เปน็ ตน้ ทาใหป้ ระหยัดคา่ ใชจ้ ่ายทางด้านฮารด์ แวร์ (Hard Ware) 2. สามารถนาระบบเครือข่าย (Network) ไปเช่ือมต่อหรือเป็นประตูทางผ่าน(Gateway)เพื่อเข้าสู่ คอมพิวเตอร์ระบบอื่นๆ ได้ เช่น มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) เป็นตน้

3 ประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายซอฟตแ์ วร์ (Software) เนอ่ื งจากสามารถตดิ ตัง้ ซอรฟ์ แวร์ เป็นแบบระบบเครือข่ายได้ ทาให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต้ัง รวมท้ังเป็นการง่ายต่อการบารุงรักษา (Maintenance) เช่นการปรับปรุง ซอฟตแ์ วรใ์ ห้ทนั สมัยทกุ ๆเครอ่ื งทาให้เสยี เวลาเป็นอย่างมาก 4 ผู้ใช้ (User) สามารถใชข้ อ้ มูลร่วมกนั ได้ เนื่องจากข้อมูลของผู้ใช้จะเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ตัวเดียวกันหมด นอกจากน้ันผ้ใู ชง้ านสามารถนง่ั ทางานที่คอมพิวเตอรเ์ ครื่องใดก็ได้ ซึ่งสามารถทจ่ี ะเรียกใช้ขอ้ มลู ของตนเองได้เสมอ 5 สามารถใชง้ านโปรแกรมประเภทมัลติยูสเซอร์ (Multi-User) หรือโปรแกรมสาหรับตรวจสอบข้อมูล คือ โปรแกรมสาหรับตรวจสอบข้อมูล ท่ีเก็บอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์สาหรับผู้ใช้หลายๆคน ซึ่งสามารถหาข้อมูล ทงั้ หมดทอี่ ย่บู นเครือขา่ ย และยังสามารถประเมินระดับของการรักษาความเป็นสว่ นตวั ของผู้ใชง้ านแตล่ ะคนได้ 3.การแลกเปลย่ี นข้อมลู อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพสามารถแบ่งออกได้ก่ีประเภทอะไรบ้าง ตอบ การแลกเปล่ียนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพความสามารถในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างรวดเร็วและ มีประสิทธภิ าพสูงขนึ้ ได้ถูกพิสูจน์แลว้ วา่ เปน็ เหตุผลหลักของการคิดค้นเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การใช้เว็บ และอีเมล์เป็นกิจกรรมท่ีทามากท่ีสุดบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หลายองค์กรสร้างเครือข่ายเพื่อที่จะใช้อีเมล์และ เว็บ ซึ่งอาจจะเป็นการใช้เฉพาะองค์กร หรือที่เรียกว่า ระบบอินทราเน็ต (Intranet) ซ่ึงเป็นศูนย์รวมข้อมูลของ องคก์ รเพอื่ ให้บรกิ ารข้อมูลข่าวสารต่างๆ กับสมาชิกภายในองค์กร สมาชิกสามารถเข้ามาอ่านหรือสืบค้นข้อมูลเมื่อ ต้องการเน่ืองจากอินทราเน็ตเป็นเครือข่ายภายใน ผู้ใช้ท่ัวไปในอินเทอร์เน็ตไม่สามารถเข้ามาใชบริการได้ ซึ่งเป็น การรกั ษาขอ้ มูลขององค์กรได้ ความสามารถในการแลกเปล่ียนข้อมูลผ่านเครือข่ายได้ทาให้ความจาเป็นที่จะต้องใช้ เอกสารกระดาษในการสื่อสารลดน้อยลง เช่น หนังสือเวียนประเภทต่างๆ ซึ่งต้องส่งให้สมาชิกแต่ละคนในองค์กร แทนท่จี ะใชก้ ระดาษกจ็ ะใชว้ ธิ กี ารสง่ เอกสารโดยแนบไปกับอเี มล์ เปน็ ตน้ วธิ ีนีจ้ ะเพม่ิ ประสิทธิภาพในการส่อื สาร ภายใน และเป็นการประหยัดทรัพยากรท่ีใช้ในการทางาน ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ สามารถส่งได้คร้ังละหลายๆคนใน เวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นการเพ่ิมประสิทธิภาพในการทางานมากยิ่งข้ึนซึ่งสามารถแบ่งประเภทของการแลกเปลี่ยน ขอ้ มลู อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพในรูปแบบต่างๆ (โอภาส เอย่ี มสิรวิ งศ์, 2558) ดงั ต่อไปน้ี 1) การใชฮ้ ารด์ แวร์รว่ มกนั 2) การใชซ้ อฟตแ์ วรร์ ่วมกัน 3) การเชอ่ื มตอ่ กับระบบอื่น 4) การใชร้ ะบบมลั ตยิ สู เซอร

4 . จ ง ย ก ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ท า ง า น บ น ร ะ บ บ เ ค รื อ ข่ า ย ( Network)ท่ี น า ฮ า ร์ ด แ ว ร์ ม า ใ ช้ ร่ ว ม กั น เ ป็ น ฮ า ร์ ด แ ว ร์ ประเภทใดบา้ ง ตอบ 1 Share Disks Paces เป็นการใช้งานร่วมกันของเน้ือหาของท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลซึ่งรวม Hard Disk และ CD ROMS (Computer-Disk Read-Only Memory) จะใช้ฮาร์ดดิสก์หรือ ซีดีรอมจากเคร่ือง คอมพิวเตอร์ (PC) ท่ีเรียกว่า File Server โดย File Server นี้จะเป็นเครื่องท่ีใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของผู้ใช้ และซอฟตแ์ วร์ของระบบท้ังหมด รวมท้งั ควบคุมการทางานของระบบ เครอื ขา่ ยดว้ ย 2 Share Printers เคร่ืองพิมพ์เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วง (Peripherals) ท่ีใช้งานมากท่ีสุดโดยเฉพาะในปัจจุบัน มีเคร่ืองปร้ินเตอร์ราคาสูงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเคร่ืองปร้ินเตอร์เลเซอร์และเครื่องปริ้นเตอร์สี (Color Printer) ซง่ึ มีราคาแพงและจะเป็นทจี่ ะต้องนามาใชง้ านรว่ มกนั เพื่อให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด 3 Share Communication Devices เป็นอปุ กรณส์ ื่อสารของระบบคอมพวิ เตอรม์ าใช้ร่วมกนั เช่น โมเด็ม ซ่งึ ใชใ้ นการเปล่ียนถ่ายขอ้ มูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน โดยอาศัยสายโทรศัพท์นอกจากโมเด็มแล้วอุปกรณ์มีอีก อย่างหน่ึงท่ีสามารถนามาใช้งานร่วมกันได้ คอื แฟกส์ โดยสามารถทจี่ ะทาการพิมพข์ อ้ มลู ที่ Workstatio 5.จงบอกประโยชนก์ ารใช้ซอฟตแ์ วร์รว่ มกัน ตอบ ประโยชน์การใช้ซอฟต์แวร์ร่วมกันน้ี ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ท่ี File Server ข้อมูลจึงถูกต้องทันสมัย และรวดเร็วเป็นการควบคุมข้อมูลท่ีจุดศูนย์กลาง โดยแต่ละ Workstation สามารถใช้ข้อมูลของ Workstation อ่ืนได้ทันที ถ้ามีสิทธ์ิโดยไม่ต้องรีรอจึงทาให้การทางานสะดวกขึ้น (Flexible) นอกจากนั้นยังลดขั้นตอนในการ ปฏิบัติงานและลดเวลาในการทางาน คือแทนท่ีจะต้องเสียเวลาในการรอข้อมูลซ่ึงกันและกัน เพื่อที่จะทางาน ขน้ั ตอ่ ไปกท็ าใหไ้ มต่ อ้ งเสยี เวลาและลดความผิดพลาดทีเ่ กดิ จากขอ้ มลู ไม่ถกู ต้องทนั สมยั 6.การใช้ระบบมัลตยิ ูสเซอร์ (Multi-Users) หมายถงึ ตอบ การใช้ระบบมัลติยูสเซอร์ (Multi-Users) หมายถึงผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมหรือข้อมูลเดียวกันได้ คร้ังละหลายๆ คนซงึ่ เครือข่ายนนั้ สามารถใช้งานระบบนไี้ ดเ้ ป็นอย่างดี ทาให้ในปัจจุบันผู้ใช้งานระบบ Multi-Users

หรือ Mini Computer ได้หันมาเล็งเห็นถึงความสาคัญ ของระบบเครือข่ายและเร่ิมใช้งานระบบนี้มากย่ิงข้ึน ตวั อย่างทเ่ี ห็นได้ชัดเจนของการทางานในระบบ Multi-Users ได้แก่ 1 E-mail (Electronic Mail) ซ่ึงผู้ใช้แต่ละคนสามารถส่งและรับข้อมูลหรือข่าวสารซ่ึงกันและกันได้ โดยผ่านทาง Workstation ของตนเองมีโปรแกรมใช้งานแบบอีเมลล์ได้มากมาย เช่น Word Perfect Office, CC- Mail, Microsoft Exchange, Microsoft Outlook เป็นต้น 2 Schedule หรือ Group Calendar เป็นโปรแกรมท่ีรวบรวมปฏิทินรายวันของผู้ใช้แต่ละคนมารวมกัน เป็นราง (Schedule) ของท้ังระบบทาให้ผู้จัดการระบบ สามารถทราบนัดหมายต่างๆของ User แต่ละคนได้ และ วางแผนการทางานได้สะดวกย่ิงขน้ึ เชน่ Google Calendar 3 Database สามารถใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกันได้พร้อมๆกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน File Server ได้ถูกพัฒนาย่ิงข้ัน จนมี File Server เฉพาะสาหรับงานฐานข้อมูลเรียกว่า Database Server ซึ่งเป็น เซริฟเวอร์ชนิดพิเศษที่มีความเร็วสูงในการเรียกใช้และปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลจึงมีผู้กล่าวว่าประสิทธิภาพใน การทางานของ Database Server น้ี ใกล้เคียงหรืออาจจะดีกว่าแบบ Mini Computer เสียอีกดังนั้นการจะนา ระบบเครือข่ายมาใชง้ านในองค์กรน้นั จงึ ควรพิจารณาถงึ ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ด้วย ถึงแม้จะประหยัด คา่ ใชจ้ ่ายในสว่ นของฮาร์ดแวร์เนื่องจากสามารถน าอุปกรณ์บางอย่างมาใช้ร่วมกันได้ก็จริงอยู่ แต่การลงทุนในตอน เร่ิมต้นก็สูงเช่นกัน ท้ังน้ี เน่ืองจากเราต้องซ้ือ Server ที่มีประสิทธิภาพสูงรวมทั้งอุปกรณ์การติดต้ังอ่ืนๆ อีกหลาย อย่าง ดังน้ัน ผู้ที่จะตัดสินใจนาระบบเครือข่ายมาใช้งานจึงควรพิจารณาให้ถ่ีถ้วน ทั้งนี้อาจอาศัยรายละเอียดต่างๆ ทก่ี ล่าวมาขา้ งต้น รวมท้ังนโยบายขององคก์ ร และงบประมาณทางการเงนิ อกี ดว้ ย

บทท่ี 5 องคป์ ระกอบพื้นฐานของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ โดย พระอนุพงศ์ ศาลางาม รหสั นักศกึ ษา 4641070641124 นายกานตก์ ฤตนยั วงษป์ ระคอง รหสั นกั ศกึ ษา 4641070641110 สาขา จติ รกรรมไทย คาคามท้ายบท 1. องคป์ ระกอบพน้ื ฐานของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์มอี ะไรบ้าง จงอธิบาย ตอบ องค์ประกอบพ้ืนฐานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะทางานไม่ได้ ถ้าปราศจากอุปกรณ์ต่างๆ ท่ีทาให้คอมพิวเตอร์และ ระบบเครือข่ายทางานได้ซ่ึงอุปกรณ์สาหรับระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบพื้นฐานท่ีแตกต่างกันไปหลายชนิด แต่ละชนิดมีหน้าที่การทางานท่ีแตกต่างกันออกไป เพ่ือให้สามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมและสามารถเพ่ิม ประสิทธิภาพในการทางานได้อย่างสูงสุดการที่ คอมพิวเตอร์จะสามารถเช่ือมต่อกันเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ ต้องมีองค์ประกอบพ้ืนฐาน (จตุชัย แพงจันทร์ และอนุโชต วฒุ ิพรพงษ์, 2555) ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. คอมพิวเตอร์อยา่ งน้อย 2 เครอ่ื ง เช่ือมต่อกัน 2. เน็ตเวิร์คการ์ด หรือ NIC (Network Interface Card) เป็นการ์ดท่ีเสียบเข้ากับช่องบนเมนบอร์ดของ คอมพิวเตอร์ ซึง่ เป็นชุดเช่ือมต่อระหวา่ งคอมพิวเตอร์และเครอื ข่าย 3. ส่ือกลางและอุปกรณ์สาหรับการรับส่งข้อมูล เช่น สายสัญญาณสายสัญญาณท่ีนิยมใช้ในระบบ เครือข่าย เช่น สายโคแอ็กเชียล สายคู่บิดเกลียว และสายใยแก้วนาแสงเป็นต้น ส่วนอุปกรณ์เครือข่าย เช่น ฮบั สวิตช์ เราทเ์ ตอร์ เกตเวย์ เป็นตน้ 4 . โปรโตคอล (Protocol) โปรโตคอลเป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์ใช้ส่ือสารกันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทีส่ ามารถส่ือสารกนั ได้น้ันจ าเปน็ ต้องใชภ้ าษา หรือโปรโตคอลเดียวกนั เช่น OSI TCP/IP IPX/SPX เป็นตน้ 5. ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOS (Network Operating System) ระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะ เปน็ ตวั ท่ีคอยจัดการเกยี่ วกับการใช้งานเครือข่ายของผู้ใช้แต่ละคน หรือเป็นตัวจัดการและควบคุมการใช้ทรัพยากร

ต่างๆ ของเครือข่ายระบบปฏิบัติการเครือข่ายท่ีเป็นที่นิยม เช่น Windows Server 2007 Novell NetWareSun Solaris และ Red Hat Linux เปน็ ตน้ 2.ลักษณะการทางานของคอมพิวเตอร์ท่ีเชื่อมต่อในการทางานระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ จะแบ่งเครื่อง คอมพวิ เตอรเ์ ปน็ 2 ประเภท คอื ประเภทใดบ้าง ตอบ คือ ประเภทท่ีใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์ของเครือข่าย (Server Computer) และประเภทท่ีใช้เป็นเคร่ือง ลกู ข่าย (Client) 3. ใหน้ กั ศกึ ษาอธิบายหน้าที่ของอุปกรณเ์ หล่านี้ 3.1 แลนการ์ด ทาหน้าท่ีอะไร ตอบ แลนการด์ (LAN Card) ฃองอุปกรณ์น้ีจะทาหน้าท่ีแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณที่สามารถส่งไป ตามสายสัญญาณหรือส่ือแบบอื่นได้ ปัจจุบันน้ีมีการ์ดหลายประเภท ซ่ึงถูกออกแบบให้ใช้กับเครือข่าย ประเภทต่างๆ เช่น อีเธอร์เน็ตการ์ด โทเคนริงการ์ด เป็นต้น การ์ดแต่ละประเภทอาจใช้ได้กับ สายสัญญาณบางชนิดเท่านัน้ หรอื อาจจะใช้ไดก้ บั สญั ญาณหลายชนดิ 3.2 ฮบั (Hup) ทาหน้าท่ีอะไร ตอบ ฮบั (Hub) เปน็ อปุ กรณ์พ้นื ฐานทใ่ี ช้ในการเชอื่ มต่อเครือ่ งจานวนมากเข้าด้วยกันในเครือข่าย คอมพิวเตอร์ โดยท่ีฮับจะมีพอร์ต (Port) หรือช่องสาหรับต่อสาย RJ-45 เข้ามาจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ และทาหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกระจายข้อมูล ไปยังเครื่องอื่นๆ ในระบบเครือข่าย ความเร็วของฮับ มีหน่วยเป็น Megabit persecond (Mbps) โดยเร่ิมต้นท่ี 10 Mbps จนถึงความเร็ว100 Mbps การทางานของฮบั จะใช้วิธีแบ่งชอ่ งทางการส่งผา่ นข้อมลู หรอื กลา่ วได้ว่า ฮบั ความเร็ว 10 Mbps ท่มี ีพอรต์ สาหรับเชื่อมตอ่ อยู่ 24 พอร์ต มเี คร่อื งคอมพวิ เตอร์ต่ออยู่ท่ีแต่ละพอร์ต และทาการส่งข้อมูลอยู่ในขณะน้ัน ความเร็วต่อพอร์ตท่ีจะสามารถส่งข้อมูลได้จะมีความเร็วเพียง 10/24 หรือ 0.416 Mbps เท่าน้ัน นอกจากน้ันเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องท่ีต่อมายังฮับตัวเดียวกันทาให้ข้อมูลที่ส่งออกมามีโอกาสท่ีจะ ชนกนั สูงเนอ่ื งจากอยู่ในระดับของกลุ่มคอมพิวเตอร์ที่จะส่งข้อมูลชนกันได้ (Collision Domain) การท่ีฮับ

ส่งข้อมูลจากเคร่ืองต้นทางไปยังเคร่ืองปลายทาง จะทาโดยการแพร่กระจายสัญญาณ หรือบอร์ดคาสต์ (Broadcast) ซง่ึ เป็นการส่งไปโดยที่เครือ่ งคอมพิวเตอรท์ ุกเคร่อื งในเครือข่ายจะได้รับ แต่จะมีเฉพาะเคร่ือง ท่รี ะบุปลายทางเท่าน้นั ที่จะนาขอ้ มูลนน้ั ไปใช้ได้ การท่ีเครื่องใดจะทราบวา่ ข้อมูลท่ีส่งมานั้นเป็นของตน คือ ในการส่งเครื่องที่ทาการส่งจะเลือกแล้วว่าเคร่ืองปลายทางคือเคร่ืองใด ดังนั้น เคร่ืองท่ีไม่ได้ถูกระบุจะ ไมร่ บั ขอ้ มลู น้นั มาจากขา้ งต้นสามารถสรุปรูปแบบการส่งข้อมูลของฮับได้คือ การส่งข้อมูลของฮับจะท าใน ลักษณะท่ีเรียกว่า “บอรด์ คาสต์” คอื ขอ้ มูลจะถกู แพรก่ ระจายไปยังทุกพอร์ตของฮับ แต่ข้อมูลน้ันจะถูกรับ ไปทางานเฉพาะในพอรต์ ซึง่ มเี ครอื่ งท่ีเป็นเครื่องปลายทางติดต่ออยู่เท่าน้ัน การทางานในลักษณะน้ีจะเป็น การส้ินเปลืองแบนด์วิดธ์จานวนหน่ึงเนื่องจากข้อมูลจะถูกส่งไปยังเคร่ืองทั้งหมดทาการติดต่ออยู่ ฮับมีอยู่ 2 ชนิดคือ Active HUB และ Passive HUB โดย Active HUB จะต้องการไฟเล้ียงวงจรปรับปรุง สัญญาณข้อมูล เม่ือได้รับสัญญาณข้อมูลเข้ามาวงจรนี้จะทาการสร้างสัญญาณข้อมูลเหมือนเดิมท่ีมี คุณภาพเพอ่ื ส่งต่อออกไป ฮับชนดิ น้ีจงึ ทาหนา้ ท่เี หมอื นรีพตี เตอร์ (Repeater) ที่ชว่ ยในการขยายระยะการ เชอื่ มตอ่ ระบบเครอื ข่ายออกไปได้ ดงั นน้ั ใน บางครงั้ จงึ เรยี ก Active HUB ว่า Multi-Port Repeater ส่วน Passive HUB จะเป็นเพียงศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายโดยไม่มีวงจรจัดการปรับปรุงสัญญาณ ขอ้ มูล จึงไม่ตอ้ งการไฟเลยี้ ง 3.3 รพี ตี เตอร์ (Repeater) ทาหนา้ ทอ่ี ะไร ตอบ รีพีตเตอร์ (Repeater) เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายท่ีใช้ในการเช่ือมต่อสายเคเบิล 2 เส้น เข้าด้วยกัน เพ่ือเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย สายสัญญาณแต่ละชนิดที่เลือกใช้ จะมีความสามารถในการขนส่งข้อมูลไปในระยะทางที่จากัดระยะหนึ่งตามมาตรฐานของสายสัญญาณ แต่ ละชนิด จากน้ันสัญญาณข้อมูลจะถูกดูดกลืนไปตามสายทาให้สัญญาณข้อมูลอ่อนลง หากต้องการ เชื่อมโยงระบบเครือข่ายออกไปไกลเกินกว่าสายสัญญาณที่ใช้จะรองรับได้จะต้องใช้รีพีตเตอร์ช่วยในการ ขยายสัญญาณขอ้ มูล

3.4 บริดจ์ (Bridge) ทาหนา้ ที่อะไร ตอบ บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์เช่ือมโยงเครือข่ายของเครือข่ายที่แยกจากกันแต่เดิม บริดจ์ ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายประเภทเดียวกัน เช่น ใช้เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายอีเธอร์เน็ตกับ อีเธอร์เนต็ (Ethernet) บริดจม์ ีใชม้ านานแล้วต้ังแตป่ ี ค.ศ. 1980 บริดจ์จงึ เปน็ เสมือนสะพานเช่ือมระหว่าง สองเครือข่าย การติดต่อภายในเครือข่ายเดียวกันมีลักษณะการส่งข้อมูลแบบแพร่กระจาย ดังนั้น จึงกระจายได้เฉพาะเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น การรับส่งภายในเครือข่ายมีข้อกาหนดให้แพ็กเกตท่ีส่ง กระจายไปยังตัวรับได้ทุกตัว แต่ถ้ามีการส่งมาท่ีอยู่ (Address) ต่างเครือข่ายบริดจ์จะนาข้อมูลเฉพาะ แพก็ เกตนั้น ส่งให้บริดจ์จึงเป็นเสมือนตัวแบ่งแยกข้อมูลระหว่างเครือข่ายให้มีการสื่อสารภายในเครือข่าย ของตน ไม่ปะปนไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง เพื่อลดปัญหาปริมาณข้อมูลกระจายในสายส่ือสารมากเกินไป ในระยะหลังมีผู้พัฒนาบริดจ์ให้เชื่อมโยงเครือข่ายต่างชนิดกันได้ เช่น เครือข่ายอีเธอร์เน็ตกับโทเก้นริง เป็นต้น หากมีการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่าสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน และเครือข่ายท่ีเช่ือมต่อมีลักษณะ ที่หลากหลายจะเลือกเราต์เตอร์(Router) เป็นอุปกรณ์ในการเช่ือมโยงมากกว่าการใช้บริดจ์เป็น ตัว เ ชื่อมโย ง เ ครื อข่า ย เ พื่อ ป ระสิ ทธิภ า พสู ง สุ ดใน กา ร ใช้ ง า นแ ล ะคว า มเ ห มา ะส มใน บริ บ ทกา ร ใช้ ง า น ที่แตกตา่ งกนั 3.5 เราตเ์ ตอร์ (Router) ทาหนา้ ที่ อะไร ตอบ เราต์เตอร์เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายซึ่งทาหน้าท่ีเสมือนสะพานสาหรับเชื่อมต่อเครือข่าย ท้องถ่ิน หรือระบบเครือข่ายแลน (Local Area Network) เข้ากับระบบเครือข่ายแวน (Wide Area Network) ขนาดใหญ่ และเมอื่ เครอื ข่ายแลนถกู เชือ่ มต่อเข้าด้วยกันโดยใช้เราต์เตอร์ เครือข่ายแลน แต่ละ ฝ่ังจะยังคงมีเครือข่ายที่เป็นของตนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายของอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ ในการ บริหารจัดการเครือข่ายภายใน ซ่ึงการทางานของเราต์เตอร์จะมีตารางข้อมูลท่ีเรียกว่า Route Table ช่วยอธิบายวิธีการในการส่งข้อมูลท่ีต้องการให้ไปถึงปลายทางได้อย่างรวดเร็ว โดยตารางข้อมูลนี้ จะถูก เกบ็ ไว้ในหนว่ ยความจ าภายในเราต์เตอร์ และจะถูกปรับปรุงข้อมูล (Update) เสน้ ทางการขนส่งข้อมูลอยู่ ตลอดเวลาเม่ือมีการเปลี่ยนแปลง และจะถูกเพ่ิมเติมเส้นทาง เมื่อมีการส่งข้อมูลไปยังปลายทางที่ใหม่ๆ กระบวนการทางานของเราต์เตอร์นั้น จะท าการรับข้อมูลเป็นแพ็กเกตเข้ามาตรวจสอบแอดเดรส ปลายทาง จากนั้นนามาเปรียบเทียบกับตารางเส้นทางที่ได้รับการโปรแกรมไว้ เพื่อหาเส้นทางที่ส่งต่อ

หากเสน้ ทางที่ส่งมาจากอีเทอรเ์ น็ต และสง่ ตอ่ ออกทางช่องทางของพอร์ตที่เป็นแบบ Point-to-Point ก็จะ มีการปรับปรุงรูปแบบสัญญาณให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ เพ่ือให้สามารถส่งต่อไปยังเครือข่ายนั้นๆ ได้ ปัจจุบนั อปุ กรณ์เราตเ์ ตอร์ ไดร้ บั การพัฒนาไปมากทาให้การใชง้ านเราตเ์ ตอรม์ ีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ เม่ือเชื่อมอุปกรณ์เราต์เตอร์หลายตัวเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เราต์เตอร์มีการทางานอย่าง มปี ระสิทธิภาพ โดยสามารถหาเส้นทางการขนส่งข้อมูลที่ส้ันท่ีสุด เลือกตามความเหมาะสมและแก้ปัญหา ทเี่ กิดข้นึ เองได้เมือ่ เทคโนโลยีทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ได้รบั การพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการทางานได้ เร็วข้ึน จึงมีผู้พัฒนาอุปกรณ์ท่ีท าหน้าท่ีคัดแยกแพ็กเกต หรือเรียกว่า สวิตแพ็กเกตข้อมูล (Data Switched Packet) โดยลดระยะเวลาการตรวจสอบแอดเดรสลงไปการคัดแยกจะกระทาในระดับวงจร อิเลก็ ทรอนิกส์ เพื่อให้การทางานมีประสิทธิภาพเชงิ ความเร็วและความแม่นย าสูงสุด อุปกรณ์สวิตช์ข้อมูล จึงมีเวลาหน่วงภายในตัวสวิตช์ต่างมาก จึงสามารถนามาประยุกต์กับงานท่ีต้องการเวลาจริง เช่น การส่ง สัญญาณเสยี ง วดิ ีโอ เป็นตน้ 3.6 เกตเวย์ (Gateway) ทาหน้าท่ีอะไร ตอบ เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายท่ีมีความซับซ้อนมากกว่าเราต์เตอร์หรือ บริดจ์ เพราะอุปกรณ์ชนิดน้ีสามารถเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอล(Protocal) ในระดับ Data link และ Network Layer ท่ีแตกต่างกันได้มากกว่า 2 ระบบซ่ึงจะทาการอธิบายในบทที่เก่ียวกับ สถาปัตยกรรมเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซ่ึงการทางานของเกตเวย์ทุกระดับช้ันจะเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/OSI Model เกตเวย์สามารถเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลจากเครือข่ายหน่ึงไปยังอีกเครือข่ายหน่ึง หรือเปล่ียนรูปแบบของข้อมลู ในโปรแกรมประยกุ ต์ได้ 4. สายสัญญาณทีใ่ ชเ้ ป็นมาตรฐานในระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์มีก่ีประเภท อะไรบา้ ง ตอบ สายสัญญาณท่ีใช้เป็นมาตรฐานในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อยู่ 3 ประเภท คือ 1 สายโคแอ็ก เชียล (Coaxial Cable) สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) มีลักษณะคล้ายกับสายเคเบิลทีวี คือ มีแกนเป็น ทองแดงหอ่ หมุ้ ดว้ ยฉนวน แลว้ หุ้มดว้ ยตาข่ายโลหะ ชั้นนอกสุดเป็นวัสดุป้องกันสายสัญญาณ สายประเภทนี้นิยมใช้

มากในเครือข่ายสมัยแรกๆ แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วเปลี่ยนเป็นการใช้สายคู่เกลียวบิดแทน 2 สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs) สายคบู่ ิดเกลยี ว (Twisted Pairs) เป็นสายสญั ญาณมาตรฐานที่นิยมใช้มากท่ีสดุ ในระบบเครือข่าย ปัจจุบัน สายสัญญาณจะประกอบด้วยสายทองแดงที่ห่อหุ้มด้วยฉนวน 2 เส้นแล้วบิดเป็นเกลียว เหตุท่ีบิดเป็น เกลยี วกเ็ พื่อลดสัญญาณรบกวนนั่นเอง สายสัญญาณน้ียังแบ่งย่อยออกเป็นหลายประเภท ซ่ึงแบ่งตามคุณภาพของ สายสัญญาณ ได้แก่ สายสัญญาณโทรศัพท์ท่ีใช้กันท่ัวไป ซึ่งจะมีสายทองแดงทั้งหมด 2 คู่ ส่วนหัวท่ีใช้ต่อสายน้ีจะ เรียกว่า หัว RJ-11 ส่วนสายคู่บดเกลียวท่ีนิยมใช้ในระบบเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ต คือ สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับสายโทรศัพท์ แต่มีคุณภาพดีกว่า โดยมีสายทองแดงทั้งหมด 4 คู่ ส่วนหัว เช่ือมตอ่ จะเรียกว่า หัว RJ-45 3 สายใยแก้วนาแสง (Fiber Optic) สายใยแก้วน าแสง (Fiber Optic) เป็นสายท่ีใช้ แสงเป็นสัญญาณ และแก้วหรือพลาสติกใส เป็นสื่อนาสัญญาณ ในขณะที่สายคู่เกลียวบิดและสายโคแอ็กเชียลใช้ สัญญาณไฟฟ้าและโลหะ เป็นสื่อ ข้อเสียของสายสัญญาณประเภทโลหะ คือ จะถูกรบกวนจากแหล่งคล่ืน แมเ่ หล็กไฟฟ้าต่างๆ ไดง้ ่าย เชน่ ฟ้าผ่า มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น แต่สายใยแก้วนาแสงใช้สัญญาณแสง ดังนั้นจึงไม่ถูก รบกวนโดยคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า จึงทาให้สายใยแก้วนาแสงสามารถส่งข้อมูลได้ในอัตราสูงและระยะไกลกว่า แต่การ ผลิต การติดต้ังและ ดูแลรักษาจะยุ่งยาก และราคาแพงกว่าสายท่ีเป็นโลหะ ดังนั้น สายใยแก้วนาแสงจึงเหมาะ สาหรับลิงค์ท่ีต้องการแบนด์วิธสูง และมีความเช่ือถือได้สูง เหมาะสาหรับการส่งข้อมูล ระยะไกล เช่น ลิงค์หลัก (Backbone) ของระบบเครอื ขา่ ย 5. โปรโตคอล (Protocol) หมายถึงอะไร ปัจจบุ นั โปรโตคอลใดท่ีนยิ มใชท้ ส่ี ดุ ตอบ โปรโตคอล (Protocol) เป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลของคอมพิวเตอร์ หรือ อาจกล่าวได้ว่า โปรโตคอลเป็น ภาษา ที่คอมพิวเตอร์ใช้ส่ือสารกัน ดังน้ันคอมพิวเตอร์ท่ีต้องการสื่อสารกันจาเป็นที่ต้องใช้ ภาษา หรือโปรโตคอลเดยี วกนั เพราะไมเ่ ช่นนนั้ คอมพิวเตอรก์ จ็ ะสือ่ สารกันไมไ่ ด้ ปจั จบุ ันโปรโตคอลท่ีนิยมใช้มากท่ีสุดคือ โปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control/ Internet Protocol) ซ่ึงเป็นโปรโตคอลท่ีใช้ในระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งเปน็ ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ท่ีใหญ่ทสี่ ดุ ในโลก นอกจากโปรโตคอลนี้แลว้ ยังมีโปรโตคอลอื่นๆ ท่ีนิยมใช้กันอยู่ เช่น โปรโตคอล IPX/SPX (Internet PacketExchange/ Sequenced Packet Exchange) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ พฒั นาโดยบริษทั โนเวลล์ สาหรับใช้กับระบบปฏบิ ัตกิ ารเน็ตแวร์ (Netware)

บทท่ี 6 ความรู้พืน้ ฐานเก่ยี วกบั ระบบการส่ือสารขอ้ มลู โดย พระอนุพงศ์ ศาลางาม รหสั นักศึกษา 4641070641124 นายกานต์กฤตนัย วงษ์ประคอง รหสั นกั ศึกษา 4641070641110 สาขา จติ รกรรมไทย คาถามทา้ ยบท 1. จงบอกความหมายของระบบการสื่อสารข้อมูล ตอบ ความหมายของระบบการส่ือสารข้อมูลระบบการส่ือสารข้อมูล คือ การโอนถ่าย หรือแลกเปลี่ยน ขอ้ มลู (Transmission) กันระหว่างต้นทางกับปลายทางโดยผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ ระบการ สื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต้องอาศัยอุปกรณ์ หรือเคร่ืองมืออิเล็กทรอนิกส์ช่วยในการถ่ายโอนหรือเคล่ือนย้าย ข้อมูล รวมทั้งยังต้องอาศัยส่ือกลางในการนาข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง (ฝ่ายตาราวิชาการคอมพิวเตอร์ , 2558)คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์และโปรแกรมที่ใช้ควบคุมการไหลของข้อมูล และบุคลากรผู้ดาเนินงานจะช่วย ส่งเสริมในการปฏิบตั ิการ และจดั การในสว่ นตา่ งๆ ทั้งหมด เพือ่ ใหก้ ารสอ่ื สารข้อมลู เปน็ ไปตามต้องการ 2. อธบิ ายองคป์ ระกอบพ้ืนฐานระบบการสื่อสารข้อมูล ตอบ องค์ประกอบพ้ืนฐานของระบบส่ือสารข้อมูลองค์ประกอบพ้ืนฐานหลัก 4 อย่างในระบบส่ือสาร ขอ้ มลู (ฝ่ายตาราวิชาการคอมพวิ เตอร์, 2558; Forouzan, 2007) ได้แก่ 2.1 ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ข้อมูล (Sender) และ ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)ทั้งอุปกรณ์รับและส่ง ข้อมลู อาจจะเป็นอุปกรณช์ นดิ เดียวกันก็ได้อุปกรณ์รับ/สง่ ข้อมลู มี 2 ชนิดคือ 2.1.1 Data Terminal Equipment (DTE) เป็นแหล่งกาเนิดและรับข้อมูล เช่น คอมพิวเตอร์ เทอรม์ ินลั คอมพิวเตอร์ เมนเฟรม เครือ่ งพมิ พ์ เปน็ ตน้

2.1.2 Data Communication Equipment (DCE) เป็นอปุ กรณ์ในการรับ/ส่งข้อมูล เช่นโมเด็ม จานไมโครเวฟ หรอื จานดาวเทยี ม Fibrotic Infrared Wireless เป็นต้น 2.2 โปรโตคอล (Protocol) หรือซอฟต์แวร์ (Software) 2.2.1 โปรโตคอล คือ วิธกี าร หรือ กฎระเบยี บทใี่ ช้ในการสื่อสารขอ้ มูลเพ่ือให้ผู้รับและผู้ส่งข้อมูล เข้าใจกนั สามารถตดิ ต่อส่ือสารกนั ได้ ตัวอย่างคือ x.25 SDLC TCP/IP 2.2.2 ซอฟต์แวร์ คือ ส่วนท่ที าหน้าท่ใี นการดาเนินงานในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามที่โปรแกรม กาหนด ตวั อย่างคอื Windows หรอื Novell’s Netware เป็นต้น 2.3 ข่าวสาร (Message) ข่าวสาร คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร บางคร้ังเรียกว่า สารสนเทศ (Information) รปู แบบของขา่ วสารมี 4 รูปแบบคอื 2.3.1 เสยี ง (Voice) 2.3.2 ข้อมลู (Data) 2.3.3 ข้อความ (Text) 2.3.4 ภาพ (Picture) 2.4 ส่ือกลาง (Medium) เป็นส่ือกลางท่ีใช้ในการสื่อสารข้อมูลจากต้นกาเนิดไปยังปลายทางส่ือกลางนี้ อาจจะเป็น เส้นลวด สายไฟ สายเคเบิล หรือสายไฟเบอร์ออปติก เป็นต้น หรืออาจจะเป็นคล่ืนที่ส่งผ่านในอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลน่ื ดาวเทยี ม หรือคลน่ื วิทยุ เปน็ ตน้ 3. จงบอกการสง่ สัญญาณบนสอื่ กลางข้อมูลในรูปแบบตา่ ง ๆ ได้ ตอบ ส่ือกลางสง่ ขอ้ มูลสื่อกลางส่งขอ้ มลู ประกอบด้วยวัสดุและรวมถึงการนาเทคนิคต่างๆ มาใช้เพื่อนาส่ง สัญญาณ โดยสื่อกลางส่งข้อมูลอาจเป็นได้ท้ังแบบมีสายสัญญาณหรือเคเบิลต่างๆ รวมถึงส่ือกลางแบบไร้สาย เชน่ คลน่ื วทิ ยุ อินฟราเรด หรอื ดาวเทยี ม เป็นต้น เม่ือมกี ารส่งขอ้ มูลจากคอมพิวเตอรส์ ัญญาณเหล่านี้จะเดินไปตาม ส่ือกลาง และพื้นฐานความเป็นจริงสื่อกลางที่นามาใช้เพ่ือเช่ือมโยงบนเครือข่ายที่มีระยะทางไกลๆ อาจประกอบด้วยสื่อกลางหลากหลายชนิดท่ีนามาใช้งานร่วมกัน และอาจมีความแตกต่างกันตามความเหมาะสม บนพื้นท่ีน้ันๆ สาหรับเทคนิคการส่งสัญญาณบนส่ือกลาง อาจส่งเพียงสัญญาณเดียว หรือมากกว่าหนึ่งสัญญาณก็ เป็นได้ (โอภาส เอ่ยี มสริ ิวงศ์ และสมโภชน์ ชนื่ เอย่ี ม, 2558)

3.1 การส่งสัญญาณบนสื่อกลางแบบเบสแบนด์ (Baseband) เป็นการใช้ช่องทางการสื่อสารเพียงช่องทาง เดียวสาหรับการส่งสัญญาณดิจิทัลในแต่ละคร้ังในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักใช้การส่ง สญั ญาณชนดิ น้ี เนอ่ื งจากเป็นวิธีการทีไ่ ม่ซับซอ้ นและสามารถจัดการควบคุมงา่ ย 3.2 การส่งสัญญาณบนสื่อกลางแบบบรอดแบนด์ (Broadband) เป็นการใช้ช่องทางการส่ือสารหลาย ชอ่ งทางเพ่อื สง่ สัญญาณอนาล็อก (Analog) โดยแตล่ ะครง้ั ขอ้ มลู สามารถจัดสง่ หรือลาเลียงบนช่วงความถี่ท่ีแตกต่าง กัน ดังน้ันการส่งสัญญาณชนิดน้ีจะมีระบบการจัดการที่ยุ่งยากกว่าการส่งสัญญาณแบบเบสแบนด์มาก เพราะจะต้องจัดการกับจานวนข้อมูลต่างๆ ท่ีลาเลียงอยู่บนหลายช่องความถี่ บนสายส่ง สาหรับสื่อกลางข้อมูลที่ นามาใช้เพือ่ สง่ สัญญาณแบบบรอดแบนด์นั้น จะรับรองความเร็ว ที่สูงกว่าแบบเบสแบนด์ และมีต้นทุนสูงกว่า โดย ปัจจุบันมักมีการนาเทคโนโลยีบรอดแบนด์มาใช้งานตามบ้านเรือนท่ีพักหรือองค์กรธุรกิจมากขึ้น เช่น เทคโนโลยีบ รอดแบนดอ์ ินเทอรเ์ น็ต เปน็ ตน้ 4. ให้นักศึกษายกตัวอย่างชนิดส่ือกลางส่งข้อมูลที่นามาใช้งานบนเครือข่ายน้ัน ท้ังแบบส่ือกลางส่งข้อมูลแบบ ใช้สาย และแบบไรส้ าย พรอ้ มท้ังอธิบายการการทางาน ตอบ ชนดิ ของส่ือกลางขอ้ มลู ท่ีนามาใช้งานบนเครือข่ายน้ัน สามารถมีได้ทั้งแบบสื่อกลางส่งข้อมูลแบบใช้ สาย และแบบไร้สาย ซึ่งมีรายละเอียด (โอภาส เอ่ียมสิริวงศ์ และสมโภชน์ ช่ืนเอ่ียม, 2558; Forouzan, 2007) ดงั ต่อไปน้ี 1 ส่อื กลางสง่ ขอ้ มูลแบบใชส้ าย สอ่ื กลางชนดิ นี้จะใชส้ ายเพ่ือการลาเลียงข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งประกอบด้วยสายเคเบิลชนิดต่างๆ เช่น สาย คู่บิดเกลียว สายโคแอกเชียล และสายใยแก้วนาแสง สายเคเบิลท้ังสามชนิดนี้ ปกติมันนามาใช้งานภายในตึก สานกั งานหรือฝงั ไว้ใตด้ นิ 1.1 สายคู่บิดเกลียว (Twisted-Pair Cable) ลักษณะของสายคู่บิดเกลียวแต่ละคู่จะทาด้วยสาย ทองแดง 2 เส้น แต่ละเส้นจะมีฉนวนหุ้ม พันกันเป็นเกลียวเพ่ือป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นอกจากน้ีสายคู่บิดเกลียวยังสามารถแบ่งออกเป็นประเภทที่ไม่มีฉนวนป้องกันสัญญาณรบกวน หรือ เรียกว่าสายยูทีพี (UTP: Unshielded Twisted-Pair Cable) สายบิดเกลียวแบบไม่มีโลหะห่อหุ้มนิยมใช้ กับ Ethernet network ซ่ึงมีความเร็วในการส่งข้อมูลประมาณ 10 Mbps กับแบบที่มีฉนวนป้องกัน สัญญาณรบกวน หรือเรียกว่าสายเอสทีพี (STP: Shielded Twisted-Pair cable) สายบิดเกลียวแบบมี

โลหะห่อหุ้มมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูง มีชั้นโลหะที่ทาหน้าที่ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก จึง ทาใหม้ ีราคาแพงกว่าสาย UTP 1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) ลักษณะของสายโคแอกเซียลจะประกอบด้วยตัวนาท่ีใช้ ในการส่งข้อมูลเส้นหน่ึง อยู่ตรงกลางอีกเส้นหนึ่งเป็นสายดิน ระหว่างตัวนาสองเส้นนี้จะมีฉนวนพลาสติก กนั้ สายโคแอคเชยี ลแบบหนาจะสง่ ข้อมลู 1.3 สายใยแก้วนาแสง (Fiber Optic) ลักษณะของสายใยแก้วนาแสงทาจากแก้วหรือพลาสติกมี ลักษณะเป็นเส้นบางๆ คล้าย เส้นใยแก้วจะทาตัวเป็นสื่อในการส่งแสงเลเซอร์ท่ีมีความเร็วในการส่ง สัญญาณเท่ากับความเร็วของแสง สามารถส่งข้อมูลท่ีมีความถี่สูงได้ สัญญารบกวนจากภายนอก คือ แสง จากภายนอก ดังน้ันสายใยแก้วนาแสงที่มีสภาพดีจะมีราคาคอ่ นขา้ งสูงและดูแลรักษายาก 2 ส่ือกลางส่งข้อมลู แบบไรส้ าย ส่ือกลางชนิดน้ีจะใช้ลาเลียงข้อมูลผ่านอากาศ ซ่ึงภายในอากาศจะมีพลังงานคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า แพรก่ ระจายอยู่ทว่ั ไป โดยคลื่นดังกล่าวจะมที ้งั คลื่นความถีต่ ่าและคล่ืนความถ่ีสูง ดงั แสดงรายละเอียดต่อไปน้ี 2.1 อินฟาเรด (Infrared) เป็นการส่ือสารข้อมูลโดยใช้แสงอินฟาเรดเป็นสื่อกลาง โดยในการส่งข้อมูล จาเป็นต้องมอี ปุ กรณ์ทที่ าหน้าที่ส่งข้อมูลและรับข้อมูล เช่น เมาส์ เครื่องพิมพ์ กล้องดิจิทัล และโทรศัพท์ เป็นต้น โดยจะมี IrDA port เป็นอุปกรณ์ในการรบั ส่งดว้ ยแสง ซง่ึ เหมาะกับการสือ่ สารขอ้ มลู ระยะใกล้ 2.2 สัญญาณวิทยุ (Radio Wave) เป็นการส่ือสารข้อมลู แบบไร้สาย ท่ีมีการส่งข้อมูลเป็นสัญญาณคลื่นวิทยุ ไปในอากาศไปยังตัวสัญญาณ จึงทาให้ถูกสภาพแวดล้อมรบกวนข้อมูลได้ง่าย ในช่วงท่ีสภาพอากาศไม่ดี การส่ง สัญญาณวธิ นี จี้ ะช่วยส่งข้อมลู ระยะทางไกล หรือในสภาพภมู ปิ ระเทศที่ไม่เอือ้ อานวย 2.3 คล่ืนวิทยุ (Cellular Radio) ลักษณะของระบบสื่อสารแบบคลื่นวิทยุ เป็นส่ือกลางการสื่อสารแบบไร้ สายที่สามารถแพร่ได้บนระยะทางไกล เช่น ระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศ และยังไม่รวมถึงการแพร่บน ระยะทางสั้นๆ อย่างไรก็ตาม คลื่นวิทยุน้ันมีความเร็วค่อนข้างต่า อีกท้ังไวต่อสัญญาณรบกวน แต่ข้อดี คือ มีความ ยืดหย่นุ สงู สะดวกตอ่ การใชง้ าน และผู้ใชไ้ ม่ต้องเสยี ค่าใช้จ่าย 2.4 คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) ลักษณะของคลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นความถ่ีวิทยุชนิดหน่ึงที่มีความถ่ีอยู่ ระหว่าง 0.3GHz – 300GHz ส่วนในการใช้งานน้ันส่วนมากนิยมใช้ความถ่ีระหว่าง 1GHz – 60GHz เพราะเป็น ย่านความถี่ท่ีสามารถผลิตข้ึนได้ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นส่ือกลางในการสื่อสารท่ีมีความเร็วสูงในระดับกิกะ เฮริ ตซ์ (GHz) และเนือ่ งจากความของคล่นื มีหน่วยวัดเปน็ ไมโครเมตร จึงเรียกชื่อว่า “ไมโครเวฟ” การส่งข้อมูลโดย อาศัยสัญญาณไมโครเวฟซึง่ เป็นสัญญาณคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง และจะต้องมี

สถานทที่ าหน้าทีส่ ่งและรบั ขอ้ มลู และเนอ่ื งจากสญั ญาณไมโครเวฟจะเดนิ ทางเปน็ เส้นตรงในระดับสายตา (Line of sight transmission) ไม่สามารถเล้ียวหรือโค้งตามขอบโลกท่ีมีความโค้งได้ จึงต้องมีการตั้งสถานีรับ-ส่งข้อมูลเป็น ระยะๆ และส่งข้อมูลต่อกันเป็นทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานีจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง หากลักษณะภูมิ ประเทศ มีภูเขาหรือตึกสูงบดบังคล่ืนแล้ว ก็จะทาให้ไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังเป้าหมายได้ ดังนั้นแต่ละสถานี จึงจาเป็นตั้งอยู่ในท่ีสูง เช่น ดาดฟ้า ตึกสูง หรือยอดดอยเพื่อหลีกเล่ียงการชนเนื่องจากแนวการเดินทางที่เป็น เส้นตรงของสัญญาณดังท่ีกล่าวมาแล้ว การส่งข้อมูลด้วยสื่อกลางชนิดนี้เหมาะกับการส่งข้อมูลในพ้ืนท่ีห่างไกล มากๆ และทุรกันดาร 2.5 สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ลักษณะของสัญญาณดาวเทียมเป็นการรับส่งสัญญาณข้อมูลอาจจะ เปน็ แบบจดุ ต่อจุด (Point-to-Point) หรือแบบแพรส่ ญั ญาณ (Broadcast) สถานีดาวเทียม 1 ดวง สามารถมีเครื่อง ทบทวนสัญญาณดาวเทียมได้ถึง 25 เคร่ือง และสามารถครอบคลุมพ้ืนท่ีการส่งสัญญาณได้ถึง 1 ใน 3 ของ พ้ืนผิวโลก เคร่ืองทบทวนสัญญาณของดาวเทียมเรียกว่า (Transponder) ไปยังสถานีปลายทาง การส่งสัญญาณ ข้อมูลขึ้นไปยังดาวเทียมเรียกว่า \"สัญญาณอัป-ลิงก์\" และการส่งสัญญาณข้อมูลกลับลงมายังพ้ืนโลกเรียกว่า “สญั ญาณ ดาวน์-ลงิ ก”์ 2.6 สัญญาณทูธ (Bluetooth) ระบบส่ือสารของอุปกรณ์อิเล็คโทรนิก แบบสองทาง ด้วยคลื่นวิทยุระยะ สัน้ (Short-Range Radio Links) โดยปราศจากการใชส้ ายเคเบิล้ หรอื สายสัญญาณเชือ่ มต่อ และไมจ่ าเป็นจะต้อง ใช้การเดินทางแบบเส้นตรงเหมือนกันอินฟราเรด ซึ่งถือว่าเพ่ิมความสะดวกมากกว่าการเชื่อมต่อแบบอินฟราเรด ท่ีใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์มือถือ กับอุปกรณ์ ในโทรศัพท์เคล่ือนที่รุ่นก่อนๆ และในการวิจัย ไม่ได้มุ่ง เฉพาะการส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังศึกษาถึงการส่งข้อมูลท่ีเป็นเสียง เพื่อใช้สาหรับ Headset บน โทรศัพท์มือถือด้วย การทางานของ Bluetooth จะใช้สัญญาณวิทยุความถ่ีสูง 2.4 GHz. (กิ๊กกะเฮิร์ซ) แต่จะแยก ย่อยออกไป ตามแต่ละประเทศ อย่างในแถบยุโรปและอเมริกา จะใช้ช่วง 2.400 ถึง 2.4835 GHz. แบ่งออกเป็น 79 ช่องสัญญาณ และจะใช้ช่องสัญญาณท่ีแบ่งนี้ เพ่ือส่งข้อมูลสลับช่องไปมา 1,600 คร้ังต่อ 1 วินาที ส่วนที่ญี่ปุ่น จะใช้ความถี่ 2.402 ถึง 2.480 GHz. แบ่งออกเป็น 23 ชอ่ ง ระยะทาการของ Bluetooth จะอยู่ท่ี 5-10 เมตร โดย มีระบบป้องกันโดยใช้การป้อนรหัสก่อนการเชื่อมต่อ และ ป้องกันการดักสัญญาณระหว่างส่ือสาร โด ยระบบจะ สลับช่องสัญญาณไปมา จะมีความสามารถในการเลือกเปลี่ยนความถี่ที่ใช้ในการติดต่อเองอัตโนมัติ โดยที่ไม่ จาเปน็ ตอ้ งเรยี งตามหมายเลขช่อง ทาให้การดักฟังหรือลักลอบขโมยข้อมูลทาได้ยากขึ้น โดยหลักของบลูทูธจะถูก ออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ท่ีมีขนาดเล็ก เน่ืองจากใช้การขนส่งข้อมูลในจานวนที่ไม่มาก อย่างเช่น ไฟล์ภาพ, เสยี ง, แอพพลเิ คช่ันต่างๆ และสามารถเคลอื่ นยา้ ยได้งา่ ย ขอให้อยู่ในระยะทีก่ าหนดไว้เท่านั้น

5.จงอธบิ ายการหนา้ ทขี่ องอุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการสง่ รบั ข้อมูลการสื่อสาร มาอย่างน้อย 3 ชนดิ ตอบ 1 อนิ ฟาเรด (Infrared) เปน็ การสอื่ สารข้อมูลโดยใช้แสงอินฟาเรดเป็นสื่อกลาง โดยในการส่งข้อมูล จาเปน็ ตอ้ งมอี ุปกรณ์ที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลและรับข้อมูล เช่น เมาส์ เครื่องพิมพ์ กล้องดิจิทัล และโทรศัพท์ เป็นต้น โดยจะมี IrDA port เป็นอุปกรณใ์ นการรับสง่ ดว้ ยแสง ซึ่งเหมาะกบั การส่ือสารขอ้ มลู ระยะใกล้ 2 สัญญาณวิทยุ (Radio Wave) เป็นการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สาย ที่มีการส่งข้อมูลเป็นสัญญาณคล่ืนวิทยุ ไปในอากาศไปยังตัวสัญญาณ จึงทาให้ถูกสภาพแวดล้อมรบกวนข้อมูลได้ง่าย ในช่วงท่ีสภาพอากาศไม่ดี การส่ง สญั ญาณวิธนี จ้ี ะช่วยสง่ ขอ้ มูลระยะทางไกล หรือในสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออานวย 3 สายใยแก้วนาแสง (Fiber Optic) ลักษณะของสายใยแก้วนาแสงทาจากแก้วหรือพลาสติกมีลักษณะ เป็นเส้นบางๆ คล้าย เส้นใยแก้วจะทาตัวเป็นส่ือในการส่งแสงเลเซอร์ที่มีความเร็วในการส่งสัญญาณเท่ากับ ความเร็วของแสง สามารถส่งข้อมูลท่ีมี ความถี่สูงได้ สัญญารบกวนจากภายนอก คือ แสงจากภายนอก ดังน้ันสายใยแกว้ นาแสงท่ีมีสภาพดีจะมีราคาค่อนข้างสูงและดูแลรักษายากรองรับอัตราการส่งข้อมูลด้วยความเร็ว สูงอัตราการลดทอนของสัญญาณน้าเช่ือมโยงได้บนระยะทางหลายกิโลเมตรโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ มคี วามปลอดภยั ในขอ้ มูลสูง ยากตอ่ การดกั สัญญาณ ปราศจากการรบกวนของสัญญาณไฟฟ้า สายมีหลายประเภท ให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ข้อเสีย มีราคาแพงท่ีสุดเมื่อเปรียบเทียบกับสายชนิดอื่นๆ การตดิ ตง้ั จาเปน็ ต้องพึ่งพาผู้เชยี่ วชาญเฉพาะ ตวั สายไมส่ ามารถโคง้ งอได้มาก

บทที่ 7 ประเภทของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ โดย พระอนพุ งศ์ ศาลางาม รหัสนักศกึ ษา 4641070641124 นายกานต์กฤตนัย วงษป์ ระคอง รหสั นกั ศึกษา 4641070641110 สาขา จิตรกรรมไทย คาถามทา้ ยบท 1. จงบอกประเภทของเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ตอบ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นระบบส่ือสารข้อมูลท่ีถูกออกแบบให้มีการใช้ ทรัพยากรเครือข่าย ร่วมกัน ทั้งน้เี ปน็ เพราะอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ผู้ใช้หลายๆ คน สามารถใช้ ร่วมกันในระบบเครือข่ายรวมทั้งซอฟต์แวร์ ที่มรี าคาแพง ซึ่งสามารถใช้หลายๆ คนพร้อม กันได้ หรือเม่ือมีความต้องการที่จะโอนถ่ายแฟ้มข้อมูลของผู้ใช้ระบบ เครือข่าย โดย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถจาแนกได้หลายวิธี ข้ึนอยู่กับเกณฑ์ทีใช้ ได้แก่ ขนาด กายภาพทาง ภูมิศาสตร์ของเครือข่าย ลักษณะหน้าท่ีการทางานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย และระดับความปลอดภัยของ ข้อมูล รวมถึงลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูลของคอมพิวเตอร์(อาณัติรัตนถิรกุล, 2558; Tanenbaum, 2003) โดยท่ัวไปการจาแนก ประเภทของเครือข่ายมอี ยู่ 3 วิธี 1.1 ใชข้ นาดกายภาพทางภมู ิศาสตรข์ องเครือขา่ ยเป็นเกณฑ์ แบง่ ออกได้เปน็ 3 ประเภทดังนี้ 1.1.1 เครือข่ายท้องถนิ่ (LAN: Local Area Network) 1.1.2 เครือข่ายในเขตเมือง (MAN: Metropolitan Area Network) 1.1.3 เครือข่าย บรเิ วณกวา้ ง (WAN: Wide Area Network)

1.2 ใช้ลักษณะหน้าท่ีการทางานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเป็นเกณฑ์ สามารถ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทดงั น้ี 1.2.1 เครือขา่ ยแบบเท่าเทียม (Peer-to-Peer Network) 1.2.2 เครือข่ายแบบผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ (Client-Server Network) 1.3 ใช้ระดับความ ปลอดภัยของข้อมลู เปน็ เกณฑ์ สามารถแบ่งไดด้ ังน้ี คือ 1.3.1 เครือข่ายสาธารณะ (Internet) 1.3.2 เครอื ข่ายสว่ นบคุ คล (Intranet) 1.3.3 เครือข่ายร่วม (Extranet) 2. ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรส์ ามารถจาแนกได้กี่ประเภทอะไรบ้าง ตอบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจาแนกออกไดห้ ลายประเภทแล้วแต่เกณฑ์ท่ีใช้คล้าย กับ การจาแนก ประเภทของรถยนต์ ถ้าใช้ขนาดเป็นเกณฑ์ ก็จะแบ่งได้เป็นรถยนต์ขนาด เล็ก รถสิบล้อ รถไฟ เป็นต้น หรือถ้าใช้ ลักษณะการใช้งานเป็นหลักเกณฑ์ก็จะแบ่งได้เป็น รถโดยสารรถบรรทุกสินค้า รถส่วนบุคคล เป็นต้น เครือข่าย คอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน สามารถ จาแนกได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ ซ่ึงในที่นี้ได้ทาการจาแนกประเภทของ เครือข่าย ตามการแบ่งประเภทของเครือข่ายข้างต้น ประกอบด้วย ขนาดกายภาพทางภูมิศาสตร์ของ เครือข่าย ลกั ษณะหน้าท่ีการทางานของคอมพวิ เตอรใ์ นเครือข่าย และระดบั ความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจาแนกประเภทของ เครือข่ายได้ 3 ประเภท 3. ประเภทเครือขา่ ยท่ใี ชข้ นาดทางกายภาพของเครือข่ายเป็นเกณฑแ์ บ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบา้ งจงอธิบาย ตอบ ขนาดกายภาพทางภมู ศิ าสตร์ของ เครอื ข่าย ลกั ษณะหน้าที่การทางานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย และระดบั ความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจาแนกประเภทของเครอื ขา่ ยได้ 3 ประเภท ดงั มีรายละเอยี ด ตอ่ ไปน้ี 1 ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งตามขนาดกายภาพทางภูมิศาสตร์ ถ้าใช้ขนาดกายภาพ ทางภูมิศาสตร์เป็นเกณฑ์ เครือข่ายสามารถแบ่งออกได้เป็น สามประเภทคือเครือข่ายท้องถ่ิน(LAN: Local Area Network) เครือข่ายในเมือง (MAN: Metropolitan Area Network) และเครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN: Wild

Area Network) โดยเครือข่ายท้องถ่ินเป็นเครือข่ายขนาดเล็กที่ครอบคลุมพื้นที่ในบริเวณจากัด เช่น ภายในห้อง หรอื ภายในอาคารหน่ึง หรืออาจจะครอบคลมุ หลายอาคารทอี่ ยใู่ นบรเิ วณ ใกลเ้ คียงกนั 1.1 เครือข่ายท้องถ่ิน (LAN: Local Area Network) เป็นรากฐาน ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วไปเป็น การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ถึงกันท้ังหมดโดย อาศัยสื่อกลาง มีการแบ่งแยกเครือข่ายออกเป็น 2 รูปแบบ การเช่ือมโยงคอื การเชื่อมโยง ภายในพ้ืนท่ีระยะใกล้หรือ แลน (LAN) และการเช่ือมโยงระยะไกลหรือแวน (WAN) โดย การเช่ือมโยงเครอื ข่ายแบบแลน มี 3 รูปแบบ (สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งชาติ, 2554) คอื 1) แบบบัส (Bus) 2) แบบริง (Ring) 3) แบบสตาร์ (Star) 1.2 เครือข่ายในเขตเมือง (MAN: Metropolitan Area Network) คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ มากจะมีขนาดครอบคลุมเมืองหรือบริเวณมหาวิทยาลัย ระบบโครงสร้างพ้ืนฐานโดยปกติแล้วจะเป็นระบบไร้สาย เช่น การใช้คล่ืนไมโครเวฟหรือใช้ ใยแก้วนาแสง เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสถานที่ต่างๆเข้าด้วยกัน (ฝ่ายตารา วชิ าการ คอมพิวเตอร์, 2558) ตัวอยา่ งการใชง้ านจรงิ เช่น ภายในมหาวิทยาลัยหรือในสถานศึกษา จะมีระบบแมน เพอื่ เชื่อมตอ่ ระบบแลนของแต่ละคณะวิชาเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน ในวงกว้าง เทคโนโลยีที่ใช้ในเครือข่าย แมนได้แก่ ATM FDDI และ SMDS ระบบเครือข่าย แมนท่ีจะเกิดในอนาคตอันใกล้ คือระบบท่ีจะเชื่อมต่อ คอมพิวเตอรภ์ ายในเมอื งเขา้ ด้วยกนั โดยผา่ นเทคโนโลยี Wi-Max 1.3 เครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN: Wide Area Network) คือระบบ เครือข่ายที่เช่ือมโยงเครือข่ายแบบ ท้องถ่ินตั้งแต่ 2 เครือข่ายขึ้นไปเข้าด้วยกันผ่าน ระยะทางท่ีไกลมาก โดยการเช่ือมโยงจะผ่านช่องทางการส่ือสาร ข้อมูลสาธารณะของ บริษัทโทรศัพท์หรือองค์การโทรศัพท์ของประเทศต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์แบบอนาลอก สายแบบดิจิทลั ดาวเทยี ม ไมโครเวฟ เปน็ ตน้

4.ประเภทเครือข่ายที่ใช้ลักษณะหน้าที่การท างานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งได้กี่ ประเภท อะไรบา้ งจงอธิบาย ตอบ ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งตามหน้าท่ีของคอมพิวเตอร์ใช้ลักษณะหน้าท่ีการทางาน ของคอมพิวเตอร์ในเครอื ข่ายเปน็ เกณฑ์ สามารถแบ่ง ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ 1 เครอื ข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer to Peer Network) เป็นการ เช่ือมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเคร่ืองจะสามารถแบ่ง ทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์หรือเครื่องพิมพ์ซ่ึงกันและกัน ภายในเครือข่ายได้ เครอ่ื งแตล่ ะเครื่องจะทางานในลักษณะที่ทัดเทียมกัน ไม่มีเคร่ืองใดเคร่ืองเครื่องหน่ึงเป็นเครื่อง หลกั เหมอื นแบบ Client/Server แตก่ ย็ งั คงคณุ สมบตั ิพื้นฐานของระบบเครือข่ายไว้ เหมอื นเดมิ การเช่ือมต่อแบบนี้ มกั ทาในระบบทมี่ ีขนาดเล็กๆ เชน่ หน่วยงานขนาดเล็กท่ีมี เคร่ืองใช้ไม่เกิน 10 เคร่ือง การเช่ือมต่อแบบนี้มีจุดอ่อน ในเรื่องของระบบรักษาความ ปลอดภัย แต่ถ้าเป็นเครือข่ายขนาดเล็กและเป็นงานที่ไม่มีข้อมูลที่เป็นความลับ มากนกั เครือขา่ ยแบบนี้ ก็เป็นรปู แบบท่ีนา่ เลือกนามาใช้ไดเ้ ป็นอย่างดี 2 เครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server Network) เป็น ระบบท่ีมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกเคร่ืองมีฐานะการทางานที่เหมือนๆกัน เท่าเทียมกัน ภายในระบบเครือข่าย แต่จะมีเคร่ืองคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่ง ที่ทาหน้าท่ีเป็นเครื่อง Server ท่ีทาหน้าที่ให้บริการทรัพยากรต่างๆให้กับเคร่ืองClient หรือเคร่ืองที่ขอใช้ บริการ ซ่ึงอาจจะต้องเป็นเคร่ืองทีม่ ีประสทิ ธภิ าพที่คอ่ นข้างสูง ถึงจะทาใหก้ ารให้บริการมี ประสิทธิภาพตามไปด้วย ข้อดีของระบบเครือข่าย Client - Server เป็นระบบท่ีมีการ รักษาความปลอดภัยสูงกว่าระบบแบบ Peer To Peer เพราะวา่ การจัดการในด้านรกั ษา ความปลอดภยั นนั้ จะทากันบนเคร่ือง Server เพียงเครื่องเดียว ทาให้ดูแล รักษาง่าย และ สะดวก มกี ารกาหนดสทิ ธิการเข้าใชท้ รพั ยากรต่างๆ ให้กบั เครอื่ งผู้ขอใชบ้ ริการ หรือเครื่อง Client 3 ประเภทของเซิร์ฟเวอร์ท่ีให้บริการต่าง ๆ เครื่องศูนย์บริการข้อมูล โดยมักเรียกว่า เครื่องเซิร์ฟเวอร์ เป็นคอมพิวเตอร์ท่ีทาหน้าที่บริการทรัพยากรให้กับเครื่อง ลูกข่ายบนเครือข่าย เช่น บริการไฟล์ (File Server) การบริการงานพิมพ์ (Print Server) เป็นต้น เคร่ืองเซิร์ฟเวอร์อาจเป็นคอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์ หรือ ไมโครคอมพิวเตอร์ก็ได้ โดยคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานเป็นเซิร์ฟเวอร์นี้มักจะมี สมรรถนะสูง รวมถึงถูกออกแบบมาเพ่ือรองรับความทนทานต่อความผิดพลาด (Fault Tolerance) เนื่องจากต้อง ทางานหนัก หรือต้องรองรับงานตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นเคร่ือง เซิร์ฟเวอร์จึงมีราคาท่ีสูงมากเม่ือเทียบกับ

คอมพิวเตอร์ท่ีใช้งานทั่วๆ ไป สาหรับการทางาน ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์น้ัน อาจมีได้หลายลักษณะ แล้วแต่ความ เหมาะสมในการทางาน 4 File Server ลักษณะการทางานแบบนี่ เซิร์ฟเวอร์จะเป็นผู้จัดการ ระบบไฟล์ บนดิสก์ในเคร่ืองของ ตนเอง โดยรับคาส่งจากเวิรก์ สเตช่ันหรือ Client อีกทอด หนึ่งว่าจะอ่านหรือบันทึกข้อมูลกับไฟล์ใด แล้วจึงจัดการ กับไฟล์ในดสิ ก์หรอื สง่ ข้อมลู กลับไปตามท่ีถูกขอมา แต่ถ้าในเวลาเดียวกันมีผู้ใช้หลายคนพยายามจะแก้ไขข้อมูลชุด เดียวกัน ระบบปฏิบัติการของไฟล์เซิร์ฟเวอร์ก็จะต้องป้องกันข้อมูลไม่ให้ถูกแก้ไขโดยผู้ใช้ หลายคนพร้อมๆ กัน หรือเรียกว่าการ Lock คือขณะที่คนหนึ่งกาลังแก้ไขข้อมูลอยู่ตัวหน่ึงอยู่ จะต้อง Lock ข้อมูลน้ันไม่ให้คนอ่ืน เข้ามายุ่ง (เรียกดูได้แต่แก้ไขไม่ได้) จนกว่าจะเสร็จ คนอ่ืนๆ ที่จะเข้ามาแก้ไขต้องคอยจนกว่าคนแรกจะยกเลิกการ Lock ก่อน 5 Application Server/ Database Server เป็นการทางานท่ี ซับซ้อนกว่า File Server อีกระดับหนึ่ง ตัวอย่างที่เราพบบ่อยๆ คือ Database Server หรือ SQL Server ซ่ึงจะย้ายหน้าท่ีการค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือ Database มาไวท้ ี่ เซริ ์ฟเวอร์เองเช่นเมือ่ เครื่องClient ตอ้ งการค้นหาข้อมูลเรคอรด์ หน่ึงท่ีมีเงื่อนไขตรง ตามที่ กาหนด แทนท่ีจะต้องอ่านข้อมูลทุกเรคอร์ด (ทั้งไฟล์) มาเปรียบเทียบ ซ่ึงจะต้องมี การส่งข้อมูลจานวนมากผ่าน สาย LAN ก็เปลี่ยนเป็นทางฝั่ง Client เพียงแค่ส่งชื่อไฟล์และ เง่ือนไขที่ต้องการค้นหามาให้ Database Server ค้นหาแล้วส่งเฉพาะเรคอร์ดที่ต้องการ กลับไป ซึ่งวิธีส่งเง่ือนไขให้ค้นหาข้อมูลมาท่ี Database Server นี้ปัจจุบัน นิยมใช้เป็นภาษา SQL (Structure Query Language) จึงมักเรียก Database Server อีกอย่างหน่ึงว่า SQL Server 6 Print Server เรียกว่าระบบSPOOL (Simultaneous Peripheral Operation On-Line) ซ่ึงจะช่วยให้ ผ้ใู ชส้ ามารถพิมพง์ านไดพ้ รอ้ มกันหลาย คน โดยเครื่อง Client สั่งพิมพ์งานจะส่งข้อมูลไปให้เครื่องท่ีเป็นเซิร์ฟเวอร์ ซงึ่ กจ็ ะรบี เอา ข้อมูลนั้นเกบ็ ลงฮารด์ ดิสก์ไวก้ อ่ น จากน้ันเมอื่ มเี วลาว่างพอก็จะทยอยเอาข้อมูลของแต่ละ คนที่ส่งมา เข้าควิ กันไว้นั้นไปพิมพ์จริงๆ อกี ทหี น่ึง

5. ประเภทเครือขา่ ยทีใ่ ช้ระดบั ความปลอดภัยของขอ้ มูลเป็นเกณฑ์มอี ะไรบ้างจงอธิบาย ตอบ ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งตามระดับความปลอดภัยของ ข้อมูลการแบ่งประเภท เครือข่ายตามระดับความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจะแบ่งออกได้ เป็น 3 ประเภทคือ อินเทอร์เน็ต (Internet) อินทราเน็ต (Intranet) และ เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ทุกคนสามารถ เช่ือมต่อเข้าได้ เครือข่าย น้ีจะไม่มีความปลอดภัยของข้อมูลเลย ถ้าทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลท่ีแชร์ไว้บน อินเทอร์เน็ตได้ ในทางตรงกันข้าม อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคล ข้อมูลจะถูกแชร์ เฉพาะผู้ที่ใช้อยู่ข้างใน เทา่ นน้ั หรือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่สามารถเข้ามาดูข้อมูลในอินทราเน็ต ได้ ถึงแม้ว่าท้ังสองเครือข่ายจะมีการเช่ือมต่อ กันอยู่ก็ตาม ส่วนเอ็กทราเน็ตน้ัน เป็น เครือข่ายแบบก่ึงอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตกล่าวคือ การเข้าใช้เอ็กส์ทรา เน็ตน้ันมีการ ควบคุม เอ็กส์ทราเน็ต ส่วนใหญ่จะเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างองค์กรเพื่อแลก เปลี่ยน ข้อมูล บางอย่างซึ่งกันและกัน ในการแลกเปล่ียนข้อมูลน้ีต้องมีการควบคุม เพราะมีเฉพาะ ข้อมูลบางอย่างเท่าน้ันท่ี ต้องการแลกเปลี่ยน (โอภาส เอยี่ มสิริวงศ์ และสมโภชน์ ช่ืนเอยี่ ม, 2558) 1 อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายสาธารณะหรืออินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายท่ีครอบคลุมทั่วโลก ซึง่ มคี อมพวิ เตอร์เป็นล้านๆ เครื่องเช่ือมต่อเข้ากับระบบ และยังขยายตัวข้ึนเร่ือยๆ ทุกปี อินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้ทั่วโลก หลายร้อยล้านคน และผู้ใช้เหล่าน้ี สามารถแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ โดยทที่ระยะทางและเวลา ไม่เป็น อุปสรรค นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่างๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตเชื่อม แหล่งข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจมหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐบาล หรือแม้กระท่ัง แหล่งข้อมูลบุคคล องค์กรธุรกิจหลายองค์กรได้ใช้ อินเทอร์เน็ตช่วยในการทาการค้า เช่น การติดต่อซื้อขายผ่าน อินเทอร์เน็ตหรืออีคอมเมิร์ช (E-Commerce) ซ่ึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งสาหรับการทาธุรกิจท่ีกาลังเป็นท่ีนิยม เน่ืองจากมี ต้นทุนท่ีถูกกว่าและมีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก ส่วนข้อเสียของอินเทอร์เน็ตคือ ความปลอดภัย ของข้อมูล เน่ืองจากทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างท่ีแลกเปลี่ยนผ่านอินเทอร์เน็ต ได้อินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอลที่เรียกว่า “TCP/IP (Transport Connection Protocol/Internet Protocol)” ในการส่ือสารข้อมูลผ่านเครือข่ายซ่ึง โปรโตคอลน้ีเป็นผลจากโครงการหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โครงการน้ีมีช่ือว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ในปี ค.ศ. 1975 จุดประสงค์ของโครงการน้ีเพ่ือเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ที่ อยู่ห่างไกลกัน และภายหลังจึงได้ กาหนดให้เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในเครือข่าย ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้ กลายเป็น เครือข่ายสาธารณะ ซ่ึงไม่มีผู้ใดหรือองค์กรใดองค์กรหน่ึงเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงการเชื่อมต่อเข้ากับ อินเทอร์เน็ตต้องเช่ือมต่อผ่านองค์กรท่ีเรียกว่า “ISP (Internet Service Provider)” ซ่ึงจะทาหน้าท่ีให้บริการใน

การเช่ือมต่อเขา้ กบั อินเทอรเ์ น็ต น่ันคือ ข้อมูลทุกอย่างท่ีส่งผ่านเครือข่าย ทุกคนสามารถดูได้ นอกเสียจากจะมีการ เข้ารหสั ลบั ซ่ึง ผู้ใชต้ อ้ งทาเอง 2 อินทราเน็ต (Intranet) เครือข่ายส่วนบุคคลหรือตรงกันข้ามกับ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตเป็นเครือข่าย ส่วนบุคคลทใี่ ชเ้ ทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ อีเมล FTP เป็นต้น อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP สาหรับการ รับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับ อินเทอร์เน็ต ซ่ึงโปรโตคอลน้ีสามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณ หลายประเภท ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต แต่เป็น ซอฟต์แวร์ท่ีทาให้อินทราเน็ต ทางานได้ อนิ ทราเนต็ เปน็ เครอื ขา่ ยทอ่ งคก์ รสรา้ งขนึ้ สาหรบั ใหพ้ นักงานขององค์กรใช้ เท่านั้น การแชร์ข้อมูลจะอยู่ เฉพาะในอินทราเน็ตเท่านั้น หรือถา้ มกี ารแลกเปลีย่ นข้อมูลกับโลกภายนอกหรืออินเทอร์เน็ต องค์กรน้ันสามารถที่ จะกาหนดนโยบายได้ในขณะท่ีการแชร์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตน้ันยังไม่มีองค์กรใดที่สามารถควบคุมการ แลกเปลี่ยน ขอ้ มูลได้ เมอ่ื เช่ือมตอ่ เข้ากบั อินเทอรเ์ นต็ พนักงานบรษิ ทั ของบริษัทสามารถ ติดต่อส่ือสารกับโลกภายนอกเพ่ือการ ค้นหาข้อมูล หรือทาธุรกิจต่าง ๆ การใช้โปรโตคอล TCP/IP ทาให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้เครือข่ายจากท่ีห่างไกลได้ (Remote Access) เช่น จากท่ี บ้าน หรือ ในเวลาท่ีต้องเดินทางเพ่ือติดต่อธุรกิจ การเชื่อมต่อเข้ากับอินทราเน็ต โดยการใช้ โมเดม็ และสายโทรศพั ท์ กเ็ หมือนกับการเชือ่ มต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต แต่แตกต่างกันที่เป็น การเช่ือมต่อ เข้ากับเครือข่ายส่วนบุคคลแทนท่ีจะเป็น เครือข่ายสาธารณะอย่างเช่น อินเทอร์เน็ต การเช่ือมต่อกันได้ระหว่าง อินทราเน็ตกับอินเทอร์เน็ตถือเป็นประโยชน์ที่สาคัญอย่างหนึง ระบบการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่แยก อนิ ทราเนต็ ออกจากอนิ เทอร์เน็ต เครือขา่ ยอนิ ทราเนต็ ขององค์กรจะถูกปกป้องโดยไฟร์วอลล์ (Firewall) ซ่ึงอาจจะ เป็นได้ท้ัง ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ท่ีทาหน้าท่ีกรองข้อมูลท่ีแลก เปล่ียนกันระหว่างอินทราเน็ตและ อินเทอร์เน็ต เม่ือท้ังสองระบบมีการเช่ือมต่อกัน ดังนั้นองค์กรสามารถกาหนดนโยบายเพ่ือ ควบคุมการเข้าใช้งานอินทราเน็ตได้ อินทราเน็ตสามารถสนองความตอ้ งการของผใู้ ช้ใน องค์กรได้หลายอย่าง ความง่ายในการตีพิมพ์บนเว็บทาให้เป็นท่ี นยิ มในการประกาศ ข่าวสารขององคก์ ร เช่น ข่าวภายในองค์กร กฎ ระเบียบ และมาตรฐาน การปฏิบัติงานต่าง ๆ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงฐานข้อมูลขององค์กรก็ง่ายเช่นกันผู้ใช้สามารถทางานร่วมกันได้ง่าย และมี ประสิทธิภาพมากขึน้ 3 เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) เครือข่ายร่วม หรือเอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) เป็นเครือข่ายกึอินเทอร์เน็ต ก่ึงอินทราเน็ต กล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ต คือ เครือข่ายท่ีเช่ือมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสององค์กร ดังน้ันจะมี บางส่วนของเครือข่ายท่ี เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างสององค์กรหรือ บริษัท การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จากัดด้วย เทคโนโลยี แต่จะยากตรงนโยบายท่ีเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ท้ังสอง องค์กรจะต้องตกลงกัน

เชน่ องคก์ รหนึ่งอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้ของอีกองค์กรหน่ึงล็อกอิน เข้าสู่ระบบอินทราเน็ตของตัวเองหรือไม่ เป็นต้น การสร้างเอ็กส์ทราเน็ตจะเน้นท่ีระบบการ รักษาความปลอดภัยข้อมูล รวมถึงการติดตั้งไฟล์วอลล์หรือระหว่าง อินทราเน็ตและการ เข้ารหัสข้อมูลและ ส่ิงที่สาคัญท่ีสุดก็คือ นโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการ บังคับใช้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook