บทท1ี่ ความรู้ทว่ั ไปเกยี่ วกบั ศิลปะ อ.ดร.อาริยา ภู่ระหงษ์
ประสบการณ์ ≈ ทางการรบั รู้ 4
ปรัชญา Philosophy ปรัชญาบริสุทธ์ิ ปรัชญาประยุกต์ Pure Philosophy Applied Philosophy อภปิ รัชญา ญาณวทิ ยา คุณวทิ ยา / อรรฆวทิ ยา - ปรัชญาวทิ ยาศาสตร์ Metaphysics Epistemology Axiology - ปรัชญาสังคม- ปรัชญา กฎหมาย จริยศาสตร์ สนุ ทรยี ศาสตร์ - ปรัชญาการศึกษา Ethics Aesthetics
ความงามในผลงานศิลปะ จาแนกเป็ น 3 ฐานศาสตร์ คอื 1. ฐานศาสตร์ของการเห็น ( The PerceptionBeauty of Imagery )
2. ฐานศาสตร์ของการได้ยนิ (The Perception Beauty ofSound )
3. ฐานศาสตร์ของการเคลอื่ นไหว( The Perception Beauty of Movement )
สรุปที่มาขน้ั พืน้ ฐานของศิลปะ
ศิลปะเป็ นเรื่องทเี่ กย่ี วข้องกบั การดาเนินชีวติ ของมนุษย์อยู่ ตลอดเวลา ศิลปะเป็ นส่ิงทมี่ นุษย์สร้างด้วยความคดิ สร้างสรรค์ และจินตนาการ เพอื่ สนองความต้องการของสังคม รูปแบบของ ผลงานจะสะท้อนให้เห็นความคดิ ความเช่ือ ความเป็ นอยู่ สภาพ สังคมและประเพณไี ทยในยุคน้ัน ๆ ศิลปะจึงเป็ นศาสตร์ทเ่ี ตมิ คุณค่าทางจติ ใจให้กบั ชีวติ
ความหมายของศิลปะ ศิลปะ คอื ประดษิ ฐกรรมอนั สูงส่งทม่ี ีผลต่อจติ ใจมนุษย์
ท้งั นีก้ ารเข้าถงึ งานศิลปะของมนุษย์น้ัน ต้องอาศัยประสาท สัมผสั ทม่ี ตี ดิ ตวั มาตามธรรมชาตขิ องแต่ละบุคคล มนุษย์รู้จกั คดิ ค้น สร้างสรรค์ศิลปะขนึ้ มาชื่นชมจนเกดิ เป็ นความเคลบิ เคลมิ้ และดมื่ ดา่ ใน อารมณ์ได้กจ็ ริงอยู่แต่กใ็ ช่ว่าจะสามารถสร้างงานศิลปะขนึ้ มาได้ทุกคน เราเรียกบุคคลทสี่ ร้างงานศิลปะว่า “ ศิลปิ น ” ( Artist ) ศิลปะทุกแขนง น้ันมหี ัวใจสาคญั อยู่ทก่ี ารฝึ กฝน
ที่มาของศิลปะ • เกดิ จากการเลยี นแบบธรรมชาติ • เกดิ จากความเชื่อความศรัทธา • เกดิ จากจินตนาการและความ คดิ สร้างสรรค์ของมนุษย์
ประเภทของงานศิลปะ เราสามารถแบ่งศิลปะออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. วจิ ิตรศิลป์ ( Fine Arts ) เป็ นงานทแ่ี สดงออกถงึ อารมณ์ความรู้สึกของ ศิลปิ น สนองต่อจติ ใจมากกว่าร่างกาย 2. ประยกุ ต์ศิลป์ ( Applied Arts ) เป็ นงานศิลปะทสี่ ร้างขนึ้ เพอ่ื สนองต่อ ความต้องการของผู้บริโภค หรือสนองต่อความพงึ พอใจทางด้านร่างกาย มากกว่าจิตใจ เช่น การออกแบบเสื้อผ้า การออกแบบอนั ญมณีและ เคร่ืองประดบั หรือการออกแบบหีบห่อและบรรจุภณั ฑ์ เป็ นต้น
วจิ ติ รศิลป์ ทศั นศิลป์ ( Visual Art ) แบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คอื • จิตรกรรม (Painting )หมายถึงงานศิลปะทส่ี ร้างขนี้ บนพนื้ ท่รี าบ มี 2มติ ิ
ประตมิ ากรรม ( Sculpture ) หมายถึงงานศิลปะทมี่ ี 3 มติ ิ ( มิตทิ 4ี่ ไม่ใช่สภาวะจริงของโลก ) เช่นการแกะสลกั การ ป้ัน การหล่อ ฯลฯ
สถาปัตยกรรม ( Architecture ) เป็ นงานศิลปะท่ีมขี นาดใหญ่กว่าศิลปะแขนงอน่ื ๆ เพราะเกย่ี วข้องกบั การ ออกแบบสิ่งก่อสร้างทตี่ ้องมีขอบเขตท่วี ่างภายใน เพอื่ ให้เกดิ ประโยชน์ในการใช้ สอย
รูปแบบของงานศิลปะ • แบบเหมอื นจริงหรือรูปธรรม ( Realism )
แบบกง่ึ นามธรรม ( Semi – Abstract )
แบบนามธรรม ( Abstract )
2. โสตศิลป์ ( Audio Art ) หมายถงึ ศิลปะที่อาศัยการฟังเป็ นหลกั หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า “ ดนตรี ” ซ่ึงมี 2 ประเภท คอื • ดนตรีขบั ร้อง หมายถงึ ดนตรีทม่ี ีเสียงร้องของมนุษย์เป็ นหลกั • ดนตรีบรรเลง หมายถงึ ดนตรีทมี่ แี ต่เสียงของเคร่ืองดนตรีโดยปราศจากเสียง ร้อง
ส่ิงสาคญั ประการหนง่ึ ของดนตรีตะวนั ตกน้ัน คอื เราสามารถแบ่งแยกออกเป็ น 2ลกั ษณะ ใหญ่ ๆ ดงั นี้ (1) ดนตรีพนื้ ฐาน หมายถงึ ดนตรีทว่ั ไปทเี่ ราได้ยนิ ได้ฟังอยู่บ่อยๆ เช่น เพลง Popular Jazz Rock Folk (2) ดนตรีประณตี หมายถึงดนตรีทม่ี ีความละเอยี ด มคี วามซับซ้อนมนการประพนั ธ์ และ การบรรเลง ซ่ึงหมายถึงดนตรีประเภทคลาสสิค ( Classic )
โสตทศั นศิลป์ ( Audio – Visual Art ) หมายถงึ ศาสตร์แห่งการเคลอ่ื นไหว ในรูปแบบของศิลปะการแสดง การ แสดงออกซึ้งกริยาท่าทางนี้ ผู้แสดงจะสวมบทบาทและใช้จนิ ตนาการการสร้างภาพ ส่ือความหมาย ความรู้สึกและอารมณ์ให้ผู้ชมเข้าใจ ขวนตดิ ตามและสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ สาหรับศิลปะการแสดงนาฎศิลป์ ไทย มกั จะเป็ นการแสดงทเี่ ป็ นแบบ แผนมาตรฐาน ได้รับการปลูกฝังและสืบทอดต่อเนื่องกนั มาต้งั แต่สมยั สุโขทยั จนถงึ สมยั รัตนโกสินทร์ และการแสดงท่ีเป็ นการละเล่นพนื้ บ้านตามท้องถนิ่ ต่างๆ ทบ่ี ่งบอก ถึงค่านิยม ประเพณี และวถิ ชี ีวติ ของคนไทย
สามารถจาแนกประเภทของนาฎศิลป์ ออกเป็ น 2 ประเภท คอื 1. การแสดงท่ไี ม่ได้ แสดงเป็ นเร่ือง เช่น ระบา รา ฟ้ อน เซิ้ง 2. การแสดงที่แสดงเป็ นเรื่อง เช่น โขน ละคร ศิลปะการแสดง
• ตะวนั ตกอนั มีรูปแบบการแสดง เช่น บลั เลด์ ( Ballet ) อุปรากร ( Opera ) ละครเพลง ( Musical Play ) ละครโศกนาฎกรรา ( Tragedy ) ละครชวนหัว ( Comedy ) และละครรักโศกเศร้าเคล้าสนุก ( Melodrama )
การเขา้ ถึงสนุ ทรียรส การเข้าถงึ ความงาม ความซาบซึง้ อนั เป็ นสุนทรียรสน้ัน จะช่วยให้ผู้ชมและผู้ฟัง มคี วามรึความ เข้าใจในศาสตร์ต่าง ๆ มากยง่ิ ขนึ้ 1. ศาสตร์แห่งการเห็นหรือทศั นศิลป์ ( Visual Art ) การเข้าถงึ สุนทรียรสของการชมงานทศั นศิลป์ มี องค์ประกอบ 3 ประการ คอื 1.1 ผู้ชมต้องมคี วามรู้ความเข้าใจเกย่ี วกบั ทมี่ าและข้อมูลพนื้ ฐาน 1.2 ผู้ชมต้องมีปัจจยั หรือสภาวะทเ่ี ออื้ ต่อการมอง 1.3 ผู้ชมต้องมีใจเป็ นกลาง
2. ศาสตร์แห่งการฟังหรือโสตศิลป์ ( Audio Art ) การเข้าถึงสุนทรียรสในการฟังดนตรี มขี ้ันตอนดังนี้ 2.1 ควรเริ่มต้นฟังเพลงใดเพลงหนึ่งทด่ี ี และง่าย ๆ ฟังซ้า 2.2 เมื่อชินกบั ทานองกเ็ ร่ิมฟังทานองสอดแทรกจากการเล่นประสมวงของเครื่องดนตรีน้อยชิ้น 2.3 ฟังการบรรเลงโดยนักดนตรีหลาย ๆ วง ฝึ กสังเกตเทคนิค ช้ันเชิง 2.4 หาความรู้จากหนังสือ จากการถาม จากการวจิ ารณ์เกย่ี วกบั ประวตั ผิ ู้แต่ง ผู้บรรเลง 2.5 เลอื กฟังเพลงทีม่ ีทานองซับซ้อนพสิ ดารเพมิ่ มากขนึ้ 2.6 ข้นั วเิ คราะห์ วจิ ารณ์
นอกจากนีย้ งั มปี ัจจยั หลายอย่างทชี่ ่วยให้ผู้ฟังดนตรีได้รับประโยชน์เกดิ ความสุข หรือมอี รรถรสมากยง่ิ ขนึ้ ได้แก่ 1. สภาพแวดล้อม ได้แก่ สถานท่ี เวลา บรรยากาศ และสภาพของการ แสดง 2. ตวั ผู้ฟัง ต้องมีรสนิยมและประสบการณ์ 3. คุณภาพของดนตรี เกดิ จากคุณภาพของนักดนตรี วาทยกร การ จดั ระบบเสียง การจดั รายการแสดงดนตรีในคร้ังน้ัน ๆ
นอกจากนีแ้ ล้ว การเข้าฟังหรือชมดนตรีน้ัน เราต้องรู้จกั มารยาทสากลในการเข้าฟัง หรือชมดนตรีด้วย โดยเฉพาะการฟังดนตรีคลาสสิก ซึ่งมขี นบในการปฏบิ ัติ ดงั นี้ 1. แต่งกายสุภาพ 2. ไม่ควรไปสาย 3. ศึกษาสูจิบัตรและทาความเข้าใจกบั เพลงทกี่ าลงั จะบรรเลง 4. ไม่นาอาหารและเครื่องดม่ื เข้าไปรับประทาน 5. ไม่คุยเสียงดงั หรือนาเดก็ เลก็ ๆทอี่ าจร้องเสียงดงั ขนึ้ ได้ไปด้วย 6. ไม่ปรบมือในขณะทีเ่ พลงยงั ไม่จบจริง ๆ
3.ศาสตร์แห่งการเคลอื่ นไหวหรือโสตทศั นศิลป์ ( Audio - Visual Art ) การเข้าถงึ ศาสตร์นีม้ ขี ้นั ตอนท่ีต้องอาศัยระยะเวลา อนั เกย่ี วข้องกบั การสั่งสม ประสบการณ์ กล่าวคอื 1. ผู้ชมควรชมการแสดงทนี่ ่าสนใจ มีเรื่องราวไม่ซับซ้อน เป็ นชุดการแสดงส้ัน ๆ ท่ี เข้าใจได้ง่าย เช่น ระบา รา ฟ้ อน 2. จากน้ันกช็ มเรื่องราวทซ่ี ับซ้อนมากขนึ้ เช่น การแสดงละครซึ่งผู้ชมต้องทาความ เข้าใจ ศึกษาภูมหิ ลงั และเร่ืองราวต่าง ๆ ก่อนเข้าชมการแสดง 3. ผู้ชมต้องรู้จกั วเิ คราะห์ วจิ ารณ์การแสดง ศึกษาหาความรู้เกย่ี วกบั การแสดง ประเภทต่าง ๆ เช่น การแสดงท่ไี ม่ได้แสดงเป็ นเร่ือง และการแสดงทีแ่ สดงเป็ นเร่ือง
การชมการแสดงนาฏศิลป์ และละคร ผู้ชมควรตระหนักในเร่ืองมารยาทในการชม ดงั นี้ 1. ควรถึงสถานท่แี สดงก่อน 30 นาที และน่ังประจาทีก่ ่อนเวลา 15 นาที 2. รับสูจบิ ัตรมาอ่านทาความเข้าใจเนือ้ เรื่องและจุดประสงค์ 3. ไม่ควรพดู คุยในขณะทช่ี มการแสดง 4. เมอ่ื จบการแสดงควรปรบมือให้เกยี รตผิ ู้แสดงและยนื ทาความเคารพอย่างสงบน่ิงใน การ บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี 5. หลงั ชมการแสดงให้ประเมนิ สาระทไี่ ด้รับว่าได้แง่คดิ และประโยชน์อะไรบ้าง
ดนตรี สถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม ศิลปะการแสดง วรรณกรรม นาฎศิลป์ จติ รกรรม
บทท2่ี องค์ประกอบของศิลปะ ( Element of Art ) www.wondershare.com
องค์ประกอบของศิลปะ หมายถึง ส่ิงทศี่ ิลปิ นใช้เป็ นสื่อในการแสดงออกและสร้าง ความหมาย โดยการนามาจัดเข้าด้วยกนั ให้เกดิ เป็ นรูปแบบอนั เด่นชัด เป็ นพนื้ ฐานทจ่ี ะนาไปใช้เพอื่ การสร้างสรรค์งานของ มนุษย์ เพอ่ื ให้เกดิ ความงามและประโยชน์ใช้สอย แบ่งออกเป็ น www.wondershare.com
องค์ประกอบของทศั นศิลป์ มอี งค์ประกอบสาคญั ทเ่ี ป็ นมูลฐาน 8 ประการ คอื 1. จุด เป็ นส่วนทเี่ ลก็ ทส่ี ุดของการมองเห็น ( Pointilism Post – Impressionism ) 2. เส้น ( Line ) ศิลปิ นจะใช้เส้นเป็ นส่ือในการแสดงออกถงึ อารมณ์ และบุคลกิ ของตน เส้นจงึ เป็ นเค้าโครงร่างของงานศิลปะและการออกแบบ นอกจากนีเ้ ส้นทม่ี ที ศิ ทางต่าง ๆ กนั ยงั มี อทิ ธิพลต่อความรู้สึกในการมองได้อาทิ www.wondershare.com
ลกั ษณะของเส้น 1. เส้นต้ัง หรือ เส้นด่ิง ให้ความรู้สึกทางความสูง สง่า ม่ันคง แขง็ แรง หนัก แน่น เป็ นสัญลกั ษณ์ของความซ่ือตรง 2. เส้นนอน ให้ความรู้สึกทางความกว้าง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผ่อนคลาย 3. เส้นเฉียง หรือ เส้นทะแยงมุม ให้ความรู้สึก เคลอ่ื นไหว รวดเร็ว ไม่มนั่ คง 4. เส้นหยกั หรือ เส้นซิกแซก แบบฟันปลา ให้ความรู้สึก เคลอ่ื นไหว อย่างเป็ น จงั หวะ มีระเบยี บ ไม่ราบเรียบ น่ากลวั อนั ตราย ขัดแย้ง ความรุนแรง 5. เส้นโค้ง แบบคลนื่ ให้ความรู้สึก เคลอื่ นไหวอย่างช้า ๆ ลนื่ ไหล ต่อเนื่อง สุภาพ อ่อนโยน นุ่มนวล www.wondershare.com
6. เส้นโค้งแบบก้นหอย ให้ความรู้สึกเคลอ่ื นไหว คลคี่ ลาย หรือเตบิ โตในทศิ ทางท่ี หมุนวนออกมา ถ้ามอง เข้าไปจะเห็นพลงั ความเคลอ่ื นไหวทไ่ี ม่สิ้นสุด 7. เส้นโค้งวงแคบ ให้ความรู้สึกถึงพลงั ความ เคลอื่ นไหวทร่ี ุนแรง การเปลย่ี นทิศทาง ทร่ี วดเร็ว ไม่ หยุดน่ิง 8. เส้นประ ให้ความรู้สึกทไี่ ม่ต่อเนื่อง ขาด หาย ไม่ ชัดเจน ทาให้เกดิ ความเครียด www.wondershare.com
3. รูปร่าง ( Shape ) หมายถึง พนื้ ทภ่ี ายในเส้นขอบเขตมีลกั ษณะเป็ น 2 มติ ิ คอื มคี วามกว้างและความยาว 2 ด้านเท่าน้ัน 4. รูปทรงหรือรูปลกั ษณะ ( Form ) หมายถึงปริมาตรภายในเส้นขอบเขต มลี กั ษณะเป็ น 3 มติ ิ คอื มีความ กว้าง ความยาว ความหนาหรือความลกึ ประกอบด้วยรูปทรง 2 ลกั ษณะ รูปร่าง / รูปทรงแบบเรขาคณติ รูปร่าง / รูปทรงแบบไม่ธรรมดา www.wondershare.com
5. ช่องว่าง ( Form ) หมายถงึ ทว่ี ่างทเ่ี กดิ ขนึ้ ภายในและภายนอกของวตั ถุ บริเวณทว่ี ่างเปล่าทเี่ รียก กนั ว่า“ ช่องไฟ ” ซึ่งแบ่งออกได้เป็ น 2 ลกั ษณะคอื ช่องว่างจริงหรือช่องว่างกายภาพ (งานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม) ช่องว่างลวงตา (งานจติ รกรรม หรือภาพพมิ พ์ ) www.wondershare.com
6. ลกั ษณะผวิ ( Texture ) คุณลกั ษณะต่าง ๆ ของผวิ หน้าระนาบทม่ี ลี กั ษณะเช่น หยาบ ด้าน ขรุขระ มนั ซึ่งช่วยให้วตั ถุน้ันเด่นชัดขนึ้ วตั ถุแต่ละชนิดมพี นื้ ผวิ ทแี่ ตกต่าง กนั เช่น ไม้ กระจก www.wondershare.com
7. มวล ( Mass ) หมายถงึ รูปทรงทมี่ ารวมกนั เป็ นกลุ่มก้อน มวลอาจหมายถงึ ส่ิงท้งั หมด หรือส่วนใดส่วนหนงึ่ ของส่ิงท้งั หมดน้ันกไ็ ด้ เช่น มวลของอาคาร หมายถงึ ท้งั หมดของ อาคารหรือส่วนใดส่วนหนงึ่ ของอาคาร www.wondershare.com
8. สี ( Color) สีทนี่ ามาสร้างผลงานทางทศั นศิลป์ เกดิ จากการผสมสีต่างๆ เข้าด้วยกนั ตามทฤษฎสี ี ซึ่งมอี ยู่ 3 ลาดบั ข้ัน สีข้นั ท่ี 1 ( Primary Color ) หรือแม่สี คอื แดง เหลอื ง นา้ เงนิ สีขน้ั ที่ 2 (Secondary Color )เกิดจากการผสมสีขนั้ ที่1กอ่ ใหเ้ กิดสีใหม่ คือ สม้ มว่ ง เขยี ว www.wondershare.com
สีแดง ผสม สีม่วง เป็ น สีม่วงแดง สีแดง ผสม สีส้ม เป็ น สีส้มแดง สีเหลอื ง ผสม สีส้ม เป็ น สีส้มเหลอื ง สีเหลอื ง ผสม สีเขยี ว เป็ น สีเขยี วเหลอื ง สีน้าเงนิ ผสม สีม่วง เป็ น สีม่วงนา้ เงนิ สีนา้ เงนิ ผสม สีเขยี ว เป็ น สีเขยี วนา้ เงนิ www.wondershare.com
9. คุณค่า ( Value ) หมายถึงค่าของแสงเงา จากแสงสว่างแล้วค่อยๆ มดื ลง จนมืดสนิทจะช่วยให้งานศิลปะมี ชีวติ ชีวาขนึ้ สมจริงและเด่นชัดขึน้ www.wondershare.com
องค์ประกอบของโสตศิลป์ มอี งค์ประกอบทส่ี าคญั อยู่ 7 ประการด้วยกนั คอื 1. เสียง ( Tone ) เสียงดนตรีเป็ นเสียนงทเ่ี กดิ จากการส่ัน สะเทอื นอย่างสม่าเสมอและมีระบบ ก่อให้เกดิ ความไพเราะ ซ่ึงมีองค์ประกอบ 4 ประการ ดงั นี้ 1.1 ระดบั เสียง หมายถงึ ระดับเสียงสูง เสี่ยงต่า มหี น่วยเรียกความต่างของเสียงคอื “เฮิรตซ์” ( Hertz ) โดยมนุษย์จะได้ยนิ เสียงทมี่ ีความถี่ต้ังแต่ประมาณ 16 Hz ถงึ 20,000 Hz www.wondershare.com
1.2 อตั ราเสียง ( Duration ) หมายถงึ ความส้ันยาวของ เสียงใช้ตวั โน๊ตและตวั หยุด เป็ นตวั บอก 1.3 ความเข้มของเสียง ( Intensity ) คอื ความดงั เบา ของเสียง (Volume) เกดิ จากความแตกต่างของช่วงความกว้างหรือสูงของคลน่ื เสียง 1.4 คุณภาพของเสียง ( Tone Quality ) หมายถึง ลกั ษณะเฉพาะของเสียงท่เี กดิ จากแหล่งกาเนิดทต่ี ่างกนั www.wondershare.com
2. จงั หวะ(Time Rhythm ) การกาหนดเสียงดนตรีต้องอาศัยเวลาเป็ นสิ่งกาหนดช่วงอย่าง สมา่ เสมอมสี ่วนประกอบ 3 อย่าง คอื 2.1 กล่มุ เคาะ (Beat )เกดิ จากการเคาะและกาเน้น(Accent ) 2.2 อตั ราความเร็ว (Tempo)เป็ นการกาหนดความช้าเร็ว (เมโทรโนม ) 2.3 ลลี าจงั หวะ ( Rhythmic Pattern ) เป็ นรูปแบบของ จงั หวะท่ีกาหนดขนึ้ สาหรับเพลง www.wondershare.com
3. ทานองเพลง ( Melody ) หมายถงึ ความต่อเนื่องของเสียง ในแนวนอนอย่างมีระบบกากบั ด้วยช่วงของเวลา 4. เสียงประสาน ( Harmony ) เสียงประสานอาจจะอยู่ในรูปของคู่เสียง คอื เสียง 2 เสียงทมี่ ีความสัมพนั ธ์ อย่างกลมกลนื 5. พนื้ ผิว ( Texture ) พนื้ ผวิ ของดนตรีเกดิ จากความสัมพนั ธ์ระหว่างทานองกบั แนวการประสานเสียงมี 4 ประเภท คือ 5.1 พนื้ ผิวท่ีมีแนวทานองเพยี งแนวเดยี ว(Monophonic Texture ) เป็ นลกั ษณะของดนตรี ทม่ี ี ทานองเดียว ไม่มสี ่วนประกอบ ส่วนใหญ่เป็ นประเภท Plain Songซึ่งเป็ นเพลงสวดในศาสนาคริสต์ www.wondershare.com
5.2 พนื้ เสียงแบบมเี สียงร่วม ( Homophonic Textur ) เป็ นลกั ษณะของดนตรีทม่ี ที านองหลกั 1 ทานอง ส่วนแนวทานองอน่ื ๆ จะเป็ นแนวทเี่ ล่นประสานสนับสนุน แนวทานองให้มคี วามเด่นชัดและไพเราะยงิ่ ขนึ้ 5.3 พนื้ ผวิ แบบหลายทานอง ( Polyphonic Texture ) เป็ นลกั ษณะดนตรีทมี่ แี นวทานองหลายแนว แต่ละทานองจะมี ลกั ษณะเฉพาะตวั เด่นชัดเท่าเทียมกนั และมคี วามสัมพนั ธ์กนั ทาง การประสานเสียงด้วย 5.4 พนื้ ผวิ แบบเฮเตอโรโฟนิค (Heterophonic Texture) เป็ นลกั ษณะเร่ิมต้นหลายทานองซ่ึงมีผู้บรรเลงต้ังแต่ 2 คนขนึ้ ไป พนื้ ผวิ แบบนีพ้ บมากในดนตรีของไทย จนี ญป่ี ่ ุน ชวา อฟั ริกา www.wondershare.com
6. คตี ลกั ษณ์ ( Form ) หมายถึง ลกั ษณะของบทเพลงแต่ละ แบบทม่ี คี วามแตกต่าง ซ่ึงมีท้งั คตี ลกั ษณ์ขนาดใหญ่ เช่น เพลง ซิมโฟนี่และคีตลกั ษณ์ขนาดเลก็ เช่นเพลงทบ่ี รรเลงขับร้องตามสมัยนิยม คตี ลกั ษณ์เบอื้ งต้น แบ่ง ออกเป็ น 4 ประเภท ดงั นี้ 6.1 เอกบท ( Unitary Form ) คอื บทบรรเลงทแี่ ยกออก เป็ นท่อนเดียว ( One Part Form ) หรือทานองหลกั ลกั ษณะเดยี ว เช่น เพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี www.wondershare.com
6.2 ทวิบท ( Binary Form ) คอื บทเพลงทม่ี ี 2 ตอน หรือ 2 ท่อน ( Two Part Form ) หรือทานองของหลกั 2 ลกั ษณะ 6.3 ตรีบท ( Ternary Form ) คอื บทเพลงทแี่ บ่งออกเป็ น 3 ตอน หรือ 3 ท่อน ( Three Part Form ) หรือ ทานองหลกั 3 ลกั ษณะ ซึ่งเป็ นลกั ษณะของเพลงไทยสากลในปัจจุบันนี้ 6.4 รอนโด ( Rondo Form) คอื บทเพลงทมี่ ีบทดอก สร้อย ประกอบด้วยทานองหลกั และทานองขัดแย้ง 2 แกน www.wondershare.com
Search