1ช่ือเรอ่ื ง การพัฒนาผลการเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรอื่ งเศรษฐศาสตรโ์ ดยใชก้ ระบวนการกล่มุ ของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่5/6 โรงเรยี นมลู นธิ วิ ดั ศรอี บุ ลรัตนารามช่อื ผ้วู ิจัย นายกติ ตพิ งษ์ ทัดประไพร หมเู่ รียน ค.บ.5.4 เลขที่ 2อาจารย์ท่ปี รึกษา อ.ดร.พงษ์ธร สิงหพ์ นั ธ์ บทคัดย่อ การวิจัยในครงั้ น้ี จดุ มงุ่ หมายเพือ่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรียน กลมุ่ สาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องเศรษฐศาสตรใ์ นชวี ิตประจาวนัของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 /6 โรงเรยี นมูลนธิ ิวัดศรีอุบลรัตนาราม โดยใช้การเรยี นด้วยกระบวนการกลุ่ม จานวน 37 คน และเคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่1. แผนการจดั การเรยี นรูเ้ พ่ือพัฒนาทักษะในการทางานกลมุ่ กล่มุ สาระการเรียนร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5/6 สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ จานวน 2 แผน ใช้เวลาสอน 4 ช่ัวโมง2. แบบประเมนิ ทักษะในการทางานกลุม่3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นจานวน 30 ข้อ และใบงาน เรือ่ ง เศรษฐศาสตร์ ผลจากการศกึ ษาปรากฏว่า การเรยี นแบบกระบวนการกลมุ่ ทาให้นักเรยี น มีความเขา้ ใจในเน้ือหามากขึ้น ทาใหผ้ ลการทดสอบหลังการเรียนแบบกระบวนการกลมุ่ ไดค้ ะแนนเพ่ิมสงู ขนึ้
2 เนอ้ื หาความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 ไดก้ าหนดความม่งุ หมายและหลกั การจัดการศกึ ษา ไวใ้ นมาตรา 6 วา่ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปพฒั นาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบรู ณ์ ท้งัร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคณุ ธรรม มจี ริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถอย่รู ว่ มกบั ผูอ้ นื่ มีความสุขมาตรา 22 การจดั การศกึ ษาตอ้ งยึดหลักว่า ผเู้ รยี นทุกคนมคี วามสามารถในการเรียนร้พู ฒั นาเองได้ และถอื ว่าผู้เรียนสาคัญทส่ี ุดกระบวนการจดั การศึกษาตอ้ งสง่ เสริมให้ผ้เู รียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มศกั ยภาพ (สานกั งานนโยบายและแผนการศึกษาศาสนาและวฒั นธรรมชาติ 2542 : 5 -12) ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั จดุ ม่งุ หมายของหลักสูตรการศึกษาข้นั พนื้ ฐานพุทธศกั ราช 2554 ที่มงุ่ พัฒนาคนไทยให้เป็นมนษุ ยท์ สี่ มบูรณ์ เป็นคนดีมปี ญั ญา มีความสุขและมีความเป็นไทยเหน็ คณุ ค่าของตนเองมีวนิ ยั ในตนเอง มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรมและคา่ นยิ มอันพึงประสงค์โดยมีมาตรฐานการเรียนรูเ้ ป็นขอ้ กาหนด คณุ ภาพของผเู้ รียน ทงั้ ด้านความรู้ ทกั ษะ กระบวนการและคุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยม (กระทรวงศกึ ษาธิการ 2544 : 4) โดยกลมุ่ สาระสังคมศกึ ษาศาสนาและวัฒนธรรม กไ็ ดม้ เี ป้าหมายสาคญั ในดา้ นการพฒั นาคุณลักษณะต่างๆ ของผูเ้ รียนใหเ้ กิดความเจรญิ งอกงามในด้าน ความซือ่ สัตยส์ จุ ริตการรูจักพง่ึ ตนเอง การมีวินยั ตนเอง (กรมวชิ าการ2544 : 3) ซึ่งตรงกบั จุดมุง่ หมายของวิชาสงั คมศกึ ษาธกิ ารการจงึ ให้เป็นการเปน็ วิชาบงั คับแกนนกั เรยี นทกุ คนต้องเรียน ทง้ั ในระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลายและระดับประกาศนยี บตั รวิชาชีพเพราะเป็นวิชาท่มี ลี ักษณะพัฒนาผู้เรยี นใหร้ ู้จักคิด รูจ้ ัก ตัดสนิ ใจพรอ้ มทัง้รู้จกั สรา้ งมนุษย์สัมพันธ์ระหวา่ งมนษุ ยก์ ับสถาบนั สังคมมนุษยก์ บั มนษุ ย์ มนุษยก์ บั สง่ิ แวดล้อม( กระทรวงศกึ ษาธิการ 2535 : 47 ) ดงั นัน้ จะเห็นวา่ เจตนารมณ์ของแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ และพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาขนั้พ้ืนฐานรวมทั้งจุดมงุ่ หมายของหลักสูตรกลุม่ สาระสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรมต่างมุ่งเน้นในการพฒั นาคนและคุณภาพของคน ให้มีความสมดุลท้งั ทางดา้ นทกั ษะกระบวนการ เจคติและคา่ นยิ มแต่จากการศกึ ษาทผี่ า่ นมาพบว่าชวี ติ คนไทยดีขน้ึ แต่เพยี งดา้ นวัตถุแตถ่ ้ามองในดา้ นจติ ใจคุณธรรม แต่ถา้ มองในด้านจิตใจคณุ ธรรม วัฒนธรรมและความเป็นไทยเราไมไ่ ดพ้ ัฒนาขึน้ คนท่ีจบการศึกษาสงู แลว้ ยังเหน็ แก่ตวั ไมม่ คี วามเกรงใจ ไมม่ คี วามตรงต่อเวลา ไมม่ รี ะเบียบ ไม่รักษาวินยั(กาญจนา นาคสกลุ 2546 : 3) ตวั อยา่ งทเ่ี ห็นได้ชัดคอื คนไทยชอบท้ิงขยะลงบนถนน ไม่ตระหนกัวา่ ควรจะทิง้ ท่ี ๆ ควรจะท้งิ ทาใหบ้ า้ นเมอื งของเราสกปรก ตามก๊อกนา้ ทต่ี ิดต้ังใหป้ ระชาชนดม่ื ตามจดุ ต่างๆ ก็มีแต่เศษขยะ เพราะผ้คู นไม่เห็นแกส่ ว่ นรวมไมค่ ิดถึงผลทจี่ ะติดตาม แทจ้ ริงแล้วเป็นเพราะส่วนใหญ่คนไทยยงั ขาดระเบยี บวนิ ัยหรือแม้แตป่ ัญหาจราจรตดิ ขัคเพราะการขาดวนิ ัยของประชากร (นงลกั ษณ์ สวัสด์ิ 2543 : 85)รวมทั้งเด็กและเยาวชนในวัยเรียนมพี ฤตกิ รรมไม่พงึ
3ประสงค์ อาทิ ไม่เหน็ คณุ คา่ ของตนเอง หนีเรียนติดยาเสพตดิ เล่นการพนนั เทย่ี วกลางคืน ขาดคุณธรรมจรยิ ธรรม และมีผลการเรียนตกต่า ก่อใหเ้ กดิ ปญั หาในสังคม (พิกลุ สีหาพงษ์ 2546 : 25)ซง่ึ สาเหตพุ ื้นฐาน กค็ อื การขาดจนุ เน้นในการเรียนรู้ ครไู ม่เน้นกระบวนการเรียนปฏบิ ตั จิ ริงครูมักม่งุ ใหค้ วามรทู้ างดา้ นวิชาการไม่ค่อยคานึงถึงการอบรมทางคุณธรรม จรยิ ธรรมและส่งผลใหเ้ ด็กขาดระเบียบวนิ ยั ในตนเองมากข้ึนการขาดวินัยในตนเองของนักเรยี นนนั้ นอกจากจะทาให้นกั เรียนเกดิการเรียนรู้ท่ลี ดน้อยลงแลว้ ยงั เป็นปัญหาทสี่ ร้างความหนักใจและมีผลต่อสุขภาพจติ ของครูอีกด้วยอนั เป็นผลให้การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนด้อยประสทิ ธิภาพลงได้ (พิสมัย ไชยโยธา 2531 : 2) ตามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 และมาตรา 30 ไดใ้ ห้ความสาคัญกบั การนาการวิจยั ไปใช้ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน โดยกาหนดใหส้ ถานศกึ ษาและหน่วยงานท่ีเกีย่ วขอ้ งดาเนินการส่งเสริมสนับสนุนให้ ผู้สอนสามารถจดั บรรยากาศสภาพแวดลอ้ มสอื่ การเรียนการสอนและส่ิงความสะดวกเพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ ทง้ั นีผ้ สู้ อนและผู้ เรยี นอาจเรยี นรูไ้ ปพรอ้ มกันจากส่ือการการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆนอกจากน้สี ถาน ศกึ ษาควรพัฒนา กระบวนการเรียนการสอนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพโดยการสง่ เสริมให้ผ้สู อนสามารถทาวิจยั เพ่อื พัฒนาการเรียนรู้ทเ่ี หมาะสมกบั ผู้เรียนในแตล่ ะระดับการศกึ ษา การวจิ ยั ในชั้นเรยี นเป็นพัฒนาทางเลือกในการแกป้ ัญหาได้อยา่ งเหมาะสม เกิดประสทิ ธิภาพทส่ี ุดในชนั้ เรียน การวจิ ัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการค้นหาคาตอบอย่างเป็นระบบมีแบบแผน มีจดุ มงุ่ หมายที่แนน่ อน โดยอาศัยวิธกี ารที่นา่ เชื่อถอื เพอ่ื แก้ปญั หาในห้องเรยี น การวจิ ยั ชัน้ เรยี นเปน็ การพฒั นาทางเลือกในการแก้ปญั หาได้อย่างเหมาะสมด้วยตวั ครูผูส้ อนเองมีจดุ มุ่งหมายทส่ี าคญั เพ่ือพัฒนาคุณภาพการเรยี นการสอนใหเ้ กดิ ผลดี สุดด้วยตัวเองซงึ่ การวิจยัในช้ันเรียนมีความสาคญั ดังน้ีเป็นการพฒั นาหลักสตู รและพฒั นาคุณภาพทางการเรียนการสอนด้วยการวิจัยโดยนานวัตกรรมเทคนิคหรอื วธิ กี ารที่มีคุณภาพผา่ นการวจิ ัยมาแล้วมาใชแ้ ก้ปญั หาในชั้นเรียนโดยตรงอันมีผลใหก้ ารจัดการเรยี นการสอนบรรลผุ ลตามจดุ ประสงค์ท่ีวางไวเ้ ป็นการพฒั นาวิชาชีพครใู หม้ ีมาตรฐานยิง่ ขน้ึ และยังเป็นการแสดงถึงความก้าวหนา้ ทางวชิ าชพี ครเู ปน็ การเผยแพร่ความรจู้ ากปฏิบัติจริง อนั จะเปน็ ประโยชนส์ าหรับผบู้ ริหารหรือหน่วยงานท่ีเกย่ี วขอ้ งดว้ ย เป็นการส่งเสรมิ สนับสนุนความกา้ วหนา้ ดา้ นการวิจัยทางการศึกษาและสามารถนาผลวิจยั ไปเป็นผลงานทางวชิ าการเป็นการส่งเสรมิ หรือ พฒั นาผเู้ รยี นแตล่ ะคนด้วยความปจั จุบนั ถงึ แม้ว่าโรงเรยี นสว่ นใหญจ่ ะพยายามจัดการเรียนการสอนโดยเน้นนักเรียนเปน็ ศนู ย์กลางและใช้กระบวนการกลมุ่ มาแกป้ ัญหาแตก่ ็ยงั ไมไ่ ด้ผลเท่าท่ีควร ทั้งน้เี พราะครขู าดความเขา้ ใจเกีย่ วกบั ทกั ษะการสอนโดยใช้กระบวนการกลุม่ ทส่ี ามารถสง่ เสริมใหน้ ักเรยี นมคี ุณลักษณะอันพึงประสงค์ (สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ 2540 : 133 – 134) ดังน้นั แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครผู ู้สอน จึงต้องจดั โดยมุง่ ใหผ้ เู้ รยี นมโี อกาสลงมือกระทากจิ กรรมตา่ งๆ ดว้ ยตนเองของ
4นกั เรยี นเองอยา่ งมีข้นั ตอนจนเกดิ ทกั ษะและสามารถนาไปใช้ไดอ้ กี ท้ังในกระบวนการเรียนรขู้ องครผู ู้สอนจะต้อง มกี ารพฒั นากระบวนการเรยี นของผเู้ รียนทกี่ อ่ ให้ เกดิ การเปลี่ยนแปลงในตวั บคุ คลท่ีเกิดจากจติ สานึกและพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกถงึ ความรับผิดชอบความมีวนิ ยั ความเสยี สละต่อสังคมอย่างแทจ้ รงิ กล่าวอีกนยั หนึ่งกค็ อื ผ้เู รยี นจะต้องมีความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์อย่างฉลาด ( สุพล วังสิทธ์ิ 2538 : 4 ) ซง่ึ มวี ิธีการท่เี ปน็ นยิ ม ใชค้ อื การใชก้ ารเรยี นการสอนแบบเรยี นร่วม (พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์ 2544 : 14) ซึ่งเปน็ วธิ ีการหนึง่ ทมี่ ีการจดั กจิ กรรมการเรยี นเนน้ นกั เรยี นเปน็ จุดศนู ย์กลางของการเรียนรู้ โดยจัดนกั เรยี นอย่รู ว่ มกันเป็นกลุม่ ใหญ่มีกระบวนการทางานกล่มุแบบทุกคนร่วมมอื กนั นกั เรยี นแตล่ ะคนในกลุ่มมีความสามารถทแี่ ตกต่างกนั และมีบทบาททช่ี ดั เจนในการเรยี นหรอื การทากิจกรรมอย่างเท่าเทียมกันและไดเ้ รียนรู้ไปพรอ้ มกันมกี ารหมนุ เวียนเปลย่ี นบทบาทหน้าท่ีกนั ภายในกลุ่ม มีปฏสิ ัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างแท้จรงิ สมาชิกในกล่มุ มีส่วนรว่ มในการแสดงความคดิ เห็น ตรวจสอบผลงานขณะเดยี วกนั ก็ตอ้ งชว่ ยกันรบั ผิดชอบการเรยี นรู้ในงานทุกขน้ั ตอนของสมาชิกในกล่มุ ซงึ่ นักเรียนจะบรรลถุ ึงเป้าหมายของการเรียนรไู้ ด้กต็ ่อเมือ่ สมาชกิ คนอื่นๆ ในกลุ่มบรรลเุ ปา้ หมายเชน่ เดยี วกนั ดงั น้ันนักเรยี นจงึ ตอ้ งช่วยเหลือพ่งึ พาและสนับสนุนเพ่ือนๆทกุ คนใน กล่มุ ให้ประสบผลสาเร็จและบรรลุเปา้ หมายร่วมกนั ผเู้ รยี นจะแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ชว่ ยเหลือซ่งึ กนั และกันและรบั ผิดชอบการทางานของตวั เองเทา่ ๆกับรับผดิ ชอบการทางานกลุ่ม (พรรณรัศม์ิ เง่าธรรมสาร 2533 : 35) การเรยี นรว่ มนอกจากจะช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้เนือ้ หาสาระตา่ งไดก้ วา้ งขึ้นและลกึ ซงึ่ ขน้ึ แลว้ ยังมีความสามารถช่วยพัฒนาผ้เู รยี นทางดา้ นสังคมอารมณม์ ากขึ้นด้วย รวมทงั้ มีโอกาสไดฝ้ ึกฝนพฒั นาทักษะกระบวนการต่างๆท่จี าเปน็ ตอ่ การดารงชีวิตอีกมาก (ทศิ นา แขมมณี 2545 : 263) การเรียนแบบเรยี นรว่ มมอื เปน็ การสอนที่เน้นให้นกั เรยี นทางานกลมุ่ มกี ารปรกึ ษาหาหรือกัน ได้พูดคยุ ชกั ถามอภิปรายและแลกเปลีย่ นความคิดเห็นช่วยเหลือซึ่งกนั และกันกอ่ ให้เกิดบรรยากาศท่ดี ีในการเรียนสง่ ผลใหเ้ กดิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนสงู ขึน้ (วภิ าวรรณ รม่ ร่นื บญุ กิจ 2542 : 81) การเรียนแบบเรียนร่วมจะมีประสทิ ธภิ าพผลยงิ่ ขึ้นกับกิจกรรมการเรยี นรูท้ ีม่ งุ่ พฒั นาผเู้ รียนในดา้ นการเนน้ คุณธรรม จริยธรรม การเสรมิ สร้างประชาธิปไตยในชัน้ เรียน ทักษะทางสงั คม การสรา้ งนสิ ัยความรับผิดชอบรว่ มกนั และความรว่ มมือภายในกล่มุ (วฒั นาพร ระงบั ทกุ ข์ 2545 : 175) ซ่งึ ก็จะสอดคลอ้ งกบั แนวนโยบายของแผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2545 – 2559 ทีม่ ใี หค้ นไทยทุกคนรจู้ กั รบั ผดิ ชอบมีระเบียบวินยั มีจติ สานกึ ต่อส่วนร่วม (สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ 2546 : 61) โรงเรียนมูลนิธวิ ดั ศรอี ุบลรตั นาราม ไดก้ าหนดแนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนไว้ในหลักสตู รสถานศกึ ษา โดยมุ่งใหผ้ ูเ้ รียนเห็นคุณค่าของตนเอง เปน็ ผู้มีวินยั มีความรับผิดชอบซ่ือสัตย์ สจุ ริต มคี วามเสยี สละ เป็นผูใ้ ฝ่รใู้ ฝเ่ รียน
5 กิจกรรมการเรียนในกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ม้งุ เน้นให้นกั เรียนเกดิ ทักษะในการทางานกลุม่ สามารถนาความรู้ ทกั ษะ คา่ นยิ ม และเจตคตทิ ไ่ี ด้รับการอบรมบม่ นิสัย มาใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ทเ่ี กิดขึ้นในชวี ติ ประจาวนั ของผู้เรียน ผวู้ จิ ัยจึงมีความสนใจที่จะพฒั นารูปแบบของการเรียน การสอนโดยกระบวนการกลมุ่ ซึ่งจะสามารถกระทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ ร่วมกัน มีความสนุกสนานมีเจตคตทิ ี่ดตี ่อการเรียนและพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพ่ือจะนาผลการศึกษาคร้งั นีเ้ ปน็ แนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการเรยี นการสอนวิชาสงั คมศึกษาในโรงเรยี นมลู นธิ ิวัดศรอี บุ ลรตั นารามให้มีประสทิ ธ์ภิ าพมากย่ิงขึ้นตอ่ ไปวัตถุประสงค์ เพอ่ื เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่ืองเศรษฐศาสตร์ในชวี ติ ประจาวนั ของนกั เรยี นชนั้ประถมศึกษาปที ่ี 5/6 โรงเรียนมูลนิธิวดั ศรอี บุ ลรัตนาราม โดยใชก้ ระบวนการกลุ่มขอบเขตของการวจิ ยั 1. กลมุ่ เปา้ หมายในการวจิ ยั นักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5/6 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา2553 โรงเรียนมลู นิธวิ ดั ศรีอุบลรตั นาราม จานวน 37 คน ไดม้ าโดยการเลอื กแบบเจาะจง 2. ตวั แปรในการวจิ ยั ตวั แปรอิสระ ไดแ้ ก่ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนโดยกระบวนการกลุ่ม กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษาศาสนา และวฒั นธรรม เรอื่ งเศรษฐศาสตร์ในชวี ติ ประจาวันของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5/6 โรงเรียนมลู นิธิวดั ศรีอุบลรัตนาราม ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะในการทางานกลุ่มและผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรยี นชั้นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5/6 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ 3. เนอ้ื หาในการวจิ ยั เนอ้ื หาในการวิจัยคร้ังนี้ ใชเ้ น้ือหาวชิ ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5/6 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ 4. ระยะเวลาในการวิจยั ระยะเวลาในการทดลองดาเนนิ การในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา2553 (ระหวา่ งเดอื นพฤศจกิ ายน – กมุ ภาพนั ธ์) ใชเ้ วลา 4 สปั ดาห์ๆ ละ 1 ชั่วโมงรวม 4 ชั่วโมงแนวคดิ ทน่ี ามาใช้พัฒนา ในการวจิ ยั คร้ังนี้ ผูว้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาค้นควา้ เอกสาร ตารา บทความ วารสาร หลักสตู ร หนงั สือท่ีเก่ียวข้องตา่ งๆ จึงขอนาเสนอเป็นลาดบั ดงั น้ี
61. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรมในหลกั สตู รการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 25442. แนวคดิ สาคญั ของการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ในหลักสูตรการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 25443. ทฤษฎีการเรียนรู้กบั การสอนโดยกระบวนการกลุม่4. การวัดผลประเมนิ ผลท่เี น้นสภาพจริง1. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรมในหลักสตู รการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2544สาระท่ีเป็นองค์ความรู้ ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมประกอบดว้ ย (กรมวิชาการ.2546 หน้า 6-7)สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรมสาระท่ี 2 หน้าทีพ่ ลเมือง วฒั นธรรมและการดาเนนิ ชวี ิตในสังคมสาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์สาระท่ี 4 ประวตั ศิ าสตร์สาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์มาตรฐานการเรียนรู้กล่มุ สาระการเรยี นร้สู ังคมศึ กษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในสาระที่ 3เศรษฐศาสตร์ การจัดการทรัพยากรเพ่ือการดารงชีวติ มี 2 มาตรฐาน คือมาตรฐาน ส 3.1 : ผเู้ รียนเข้าใจหลักการและกระบวนการทางเศรษฐศาสตร์ เห็นความสาคญั และสามารถบริหารจดั การตัดสนิ ใจเลอื กใชท้ รพั ยากรอย่างประหยัด คุ้มค่า เกิดประโยชน์ สูงสุดต่อตนเอง และส่วนรวมอยา่ งมีคุณธรรมมาตรฐาน ส 3.2 : ผเู้ รียนเขา้ ใจลกั ษณะและความสมั พันธข์ องระบบเศรษฐกิจเหน็ความสาคัญและความจาเป็นของการร่วมมือกนั ทางเศรษฐศาสตร์ในสงั คมโลก เพือ่ การดารงชีวติอยา่ งมีดุลยภาพหลกั การของหลกั สูตรในสาระเศรษฐศาสตร์ การจดั ทรพั ยากรเพื่อการดารงชวี ติ เป็นความคดิ รวบยอดทเี่ ก่ียวขอ้ งกับเศรษฐศาสตร์ ภูมศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ สังคมวทิ ยา และสง่ิ แวดล้อมศึกษา ทีม่ ่งุ ใหม้ คี วามเขา้ ใจว่ามนุษยม์ ีปฏิสมั พันธก์ บั สงิ่ แวดล้อม เพื่อตอบสนองความตอ้ งการและความจาเปน็ ต่อการดารงชีวติ ท้งั นี้เพราะมนุษย์มคี วามตอ้ งการและความจาเป็นทไี่ ม่จากดั ในขณะทีต่ อ้ งดารงชีวิตอยใู่ นสังคมทา่ มกลางทรพั ยากรที่มีอยู่อย่างจากัดสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรมจงึ ต้องใหผ้ ้เู รยี นไดแ้ สวงหาความรู้ และประสบการณ์ทเี่ กย่ี วข้องกบั การผลติ การแจกจ่าย การบรโิ ภคสินคา้ และการบรกิ ารอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ทั้งในระดับประเทศ และระดบั โลก ตลอดจนบทบาทของเทคโนโลยีทม่ี ีตอ่ การตดั สนิ ใจทางเศรษฐกจิ มี
7ความสามารถทจ่ี ะฉลาดเลือก ประเมิน คิดพจิ ารณาผลท่ีเกดิ ขนึ้ จากการเลือก และตดั สินใจอย่างมีวิจารณญาณ 2. แนวคดิ สาคญั ของการเรยี นการสอนกลมุ่ สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2544 ( กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. พ.ศ. 2544หน้า 4-6 )กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม เปน็ ศาสตรแ์ ห่งการบูรณาการหลกั สูตรและการเรียนการสอนจึงมีลักษณะของการเชอื่ มโยงสาระการเรียนรตู้ ่างๆ ในหลักสูตรเขา้ดว้ ยกัน เช่น วธิ ีการและแนวคดิ ของนักวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการของนักคณติ ศาสตร์ สร้างสรรค์ด้านศลิ ปนิ นกั ดนตรี ประสบการณ์ของนกั ศิลปะ และทักษะการเสอ่ื สารถ่ายทอดภาษาออกมาดงั นน้ั การเรียนการสอนกลมุ่ สาระสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงมิใชก่ ารเรยี นแต่เนื้อหาความรู้ แต่ต้องการให้ผู้เรยี นเปน็ นักแก้ปญั หา นาเอาความรไู้ ปใชใ้ นสถานการณ์ต่างๆได้จดั โอกาสให้ผู้เรียนไดส้ ารวจความเป็นไปในสถานการณต์ า่ งๆได้ จดั โอกาสใหผ้ ู้ เรยี นไดส้ ารวจความเปน็ ไปในสังคมและในโลก พจิ ารณาวา่ มนุษย์ พดู เขยี น ประเมิ น คดิ คานวณ วิเคราะห์แกป้ ญั หา สรา้ งจินตนาการและพากเพียร พยายามในเรื่องต่างๆกนั อยา่ งไร สงั คมศกึ ษาเชื่อมโยงกจิ กรรมท่มี นษุ ย์ทาท้งั ในอดตี และปจั จุบัน และอนาคตเข้าดว้ ยกัน ข้ันตอนของกระบวนการกลมุ่ (GD4+1) 1. Ice Breaking - สลายพฤติกรรม ปกติมนุษยเ์ มอ่ื เข้าสสู่ ังคมใหมจ่ ะมีความรสู้ ึกว่า ตัวเองไม่คุน้ เคย ไม่ปลอดภัย ระแวง รู้สกึ เหมอื นถูกจับตามองจากคนที่ไมร่ ู้จกั จึงเกิดพฤติกรรมท่ีปิดก้นัตวั เอง วางฟอร์ม ไม่พดู คยุ กับใคร (คลา้ ยๆจะฆา่ ตวั ตายอะไรประมาณนัน้ ) เหมอื นกับมีกรอบน้าแขง็ ลอ้ มรอบตัวเองอยู่ เพราะฉะนนั้ ข้ันแรกจึงเป็น การละลายนา้ แข็งเพอ่ื ทาใหร้ ู้สึกว่าทกุ ๆคนก็เหมอื นกนั 2. Humanication - สร้างมนษุ ยส์ ัมพนั ธ์+เกิดการปฏสิ มั พนั ธ์ เมื่อน้าแขง็ เกิดละลายและเบาบางลง เขาหรอื เธอจะ มีความรสู้ กึ ว่า ทกุ ๆคนทอ่ี ยู่ต่อหนา้ เปน็ พวกเดียวกนั จะเริม่ ไม่ รสู้ ึกเขนิอาย และเร่ืมกลา้ แสดงออก กจิ กรรมในขัน้ ตอนนจ้ี ะเริ่มมีการพดู คยุ ถูกเนอ้ื ตอ้ งตัวกัน เกดิ ความไวว้ างใจกัน กล้าเล่น จับมอื ถอื แขน โดยไม่คิดมากและขัดเขนิ แต่ต้องอยู่ในกรอบอันดีงาม 3. Creation - สร้างสรรค์ ก่อเกดิ ความคดิ ริเรม่ิ สาหรับขั้นตอนนี้ จะเริ่มเป็นการยืน่ เงื่อนไขบบี เพือ่ ให้ ผูเ้ ขา้ ร่วมกิจกรรม กล้าแสดงออกต่อเพอ่ื นๆในกลมุ่ และสาธารณชนมากข้ึน กล้าแสดงความคดิ อา่ น ใหเ้ พอื่ นๆ รบั ฟงั ทงั้ น้อี าจจะชา้ หรอื เรว็ ไมเ่ ท่ากนั อย่าซเี รียส กจิ กรรมจะเปน็ รูปแบบการกระตุน้ ให้คดิ ภายในกลุ่ม
8 4. Brain Storming - การระดมความคดิ ปลูกฝงั การทางานร่วมกนั ในกลุ่ม ใหร้ ูจ้ กั คิดพดูและรับฟังความคิด เห็นของคนอ่นื เปิดใจให้กว้าง ยอมรับความคิดแปลก แตกต่างอาจมี การเช่ือมความคิด เช่ือมโยงระหวา่ งกลุ่ม นาเสนอความคิดกลมุ่ ตนต่อกล่มุ อื่นๆ กจิ กรรมจะอย่ใู นรปู แบบที่ตอ้ งมีการถกเถยี งกนั หาข้อสรปุ ร่วมทเี่ ป็นความคดิ ของกลุ่ม 5. Evaluation - การประเมนิ ผล ใหร้ จู้ กั การประเมนิ ความสาเรจ็ ของกระบวนการ ในแต่ละขน้ั ตอน (โดยตอ้ งประเมนิ อยตู่ ลอดเวลา) เพือ่ ปรบั ทา่ ที รวมไปถงึ การพิจารณาตัดสนิ ใจในการ ข้ามไปสูก่ ระบวนการต่อไป (อาจใช้กจิ กรรมบางกจิ กรรมในการตัดสนิ )แนวคิด ๑. กระบวนการกลุ่มเปน็ ศาสตร์หนึ่งที่ศกึ ษาเก่ยี วกับพฤตกิ รรมของกลมุ่ อธบิ ายถึงการเปล่ยี นแปลงภายในกล่มุ สภาพการณ์ตา่ งๆ ทม่ี อี ทิ ธิพลต่อกล่มุ เป็นสว่ นรวม รวมถึงพฤตกิ รรมของบุคคลภายในกล่มุ ทถ่ี ูกกล่อมเกลาจากประสบการณ์ของกลมุ่ ชว่ ยให้ผู้เรียนเขา้ ใจกระบวนการของการทางานรว่ มกันในกลมุ่ ๒. เราสามารถแบ่งกลมุ่ ออกไดห้ ลายรปู แบบ เชน่ ยึดความสัมพันธข์ องสมาชิกในกลมุ่ ยดึจุดมงุ่ หมายของการจัดกลุ่ม เชน่ กลุ่มทางสงั คม กลุ่มทางจติ วิทยา ยดึ ความรสู้ ึกของสมาชิก ยดึลกั ษณะการจดั ระบบ ยึดความสนใจของสมาชกิ เป็นตน้ ๓. บคุ คลทมี่ ารวมกลุ่มกันย่อมมบี ทบาทและหน้าทใี่ นกลุ่มแตกตา่ งกนั ออกไป เช่น ผู้นาสมาชกิ เลขานกุ าร ผสู้ ังเกตการณ์ ผูใ้ หค้ าปรึกษาแนะนา ในการปฏิบัติงานของกลุ่มอาจมปี ญั หาตา่ งๆ เกิดขน้ึ สมาชกิ ในกลมุ่ จะตอ้ งร่วมกันแก้ปัญหาเหลา่ นนั้ ใหล้ ุล่วงไปด้วยดีความหมาย คาว่า กระบวนการกลุ่ม มาจากภาษาอังกฤษวา่ Group Dynamics Group หมายถงึ บคุ คลตงั้ แต่ ๒ คนขน้ึ ไป ทางานรว่ มกนั เพ่ือจุดประสงค์อนั เดยี วกนั Dynamics หมายถงึ การเคลือ่ นไหว เปลย่ี นแปลง ไม่อยนู่ ิง่ เมอ่ื รวมกันเปน็ Group Dynamics จึงหมายถงึ ความเคล่ือนไหวเปลีย่ นแปลงของความสมั พันธ์ ภายในกลมุ่ ซึ่งกาหนดเรยี กเปน็ คาไทยว่า \"กลุม่ สมั พนั ธ์\" เร่ืองของกระบวนการกลมุ่ เปน็ เรอ่ื งใหม่ท่เี พง่ิ พฒั นาขึ้นมา และเปน็ เร่อื งทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับศาสตร์ด้านสังคมวทิ ยา นักสังคมวิทยาในปจั จุบนั ได้พยายามศึกษาและนาความรู้ ในเรอ่ื งกลมุ่สัมพนั ธ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในระยะหลัง กล่มุ สัมพนั ธเ์ ข้ามามบี ทบาทในวชิ าจิตวทิ ยา โดยเฉพาะในสาขาจติ วทิ ยาสังคมวธิ กี ารศึกษามงุ่ ไปทางการทดลอง บคุ คลสาคญั ที่มีสว่ นชว่ ยใหว้ ชิ ากลมุ่ สัมพนั ธเ์ ปน็ ท่รี ้จู ักของคนทวั่ ไป ทัง้ ยังเป็น ผบู้ ัญญตั ิศพั ท์คาวา่ Group Dynamics ขน้ึ มาคือ Kurt Lewin
9 ความหมายของกระบวนการกลุ่มก็คือ ความรู้และหลกั การต่างๆ ท่อี ธบิ ายถงึ พฤติกรรมของกลมุ่ หรือเปน็ ศาสตรห์ น่ึงทศ่ี กึ ษาเก่ียวกบั พฤตกิ รรมของกล่มุ วชิ ากระบวนการกลุม่ จะอธบิ ายถงึ การเปลยี่ นแปลงภายในกลุ่ม เป็นการศกึ ษาถึงพลงั หรอื สภาพการณต์ ่างๆ ท่มี อี ทิ ธิพลตอ่ กลุ่มเป็นส่วนรวม รวมถงึ พฤติกรรมของบคุ คลในกล่มุ ท่ีถกู กล่อมเกลาจากประสบการณ์ของกลุ่ม นอกจากน้นั กระบวนการกลมุ่ ยงั เกีย่ วขอ้ งกับการใหเ้ หตุผลท่ีว่า เหตกุ ารณต์ ่างๆ เกิดขึ้นในกลุ่มนัน้ เพราะเหตใุ ด ทาไมกลุ่มจงึ มพี ฤติกรรมเชน่ นนั้ บางกลมุ่ ไดร้ ับความสาเรจ็ บางกลมุ่ ได้รับความลม้ เหลวนัน้ เป็นเพราะเหตใุ ด วิชากระบวนการกล่มุ จะช่วยให้ผู้เรียนเขา้ ใจถึงกระบวนการของการทางานรว่ มกนั ในกลุ่มต้ังแต่ การเลอื กเปา้ หมาย การเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหา การวางโครงการของกลมุ่ ตลอดจนการดาเนินการตาม โครงการ และการประเมนิ คา่บทบาทของแต่ละบุคคลในการเข้าร่วมกลมุ่ บทบาทตา่ งๆ ซึ่งเราพบเสมอในกลุ่มได้แก่ ๑. ผนู้ าหรือประธาน ๒. สมาชกิ ๓. เลขานกุ ารกลุ่ม ๔. ผูส้ งั เกตการณ์ ๕. ผใู้ หค้ าปรกึ ษาแนะนากระบวนการกลมุ่ ๑. มผี นู้ ากลุ่ม ๒. กาหนดวัตถปุ ระสงคแ์ ละวธิ กี าร ๓. รบั ฟังความคิดเห็นจากสมาชิก ๔. แบ่งหน้าที่ความรับผดิ ชอบ ๕. ตดิ ตามผลและปรบั ปรงุ ๖. ประเมินผลและช่นื ชมผลงานทฤษฎีบคุ ลิกภาพของจุง (Jung’s Theory) จงุ เปน็ นกั จิตวิทยาชาวสวสิ เซอร์แลนด์ เขาใหค้ วามสาคัญในดา้ นลักษณะของพฤตกิ รรมบคุ คล และบคุ ลิกภาพของบุคคล ตามลกั ษณะของพฤติกรรมที่แสดงออก ๓ แบบ คือ ๑. บุคลกิ ภาพแบบแสดงตัว (Extravert) ผู้ทม่ี บี คุ ลิกภาพแบบแสดงตวั นัน้ สงั เกตไดจ้ ากพฤติกรรมท่ีแสดงออกในลักษณะดงั นี้คอื มคี วามต่ืนตวั ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม อารมณเ์ ปลีย่ นแปลงขนึ้ ลงได้ง่าย เม่อื มอี ารมณก์ แ็ สดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ชอบทาการตา่ งๆ โดยไมม่ ีการวางแผนไว้
10ลว่ งหน้า ชอบ กิจกรรมทีช่ อบมกี ารเคลอ่ื นไหว ชอบใหม้ กี ารเปล่ียนแปลง ปรับตวั ไดเ้ ร็ว เข้ากบัสถานการณ์ หรอื สง่ิ ใหมๆ่ ไดด้ ี ไมเ่ ช่ือ สงิ่ ใดง่ายๆ จะเช่ือในสิ่งทม่ี กี ารพิสจู น์ใหเ้ ห็นจรงิ แลว้กล้าเผชิญกบั ปญั หาต่างๆ ชอบการสมาคม การเขา้ รว่ มกล่มุ ชอบแสดงออก เปิดเผย ไม่เกบ็ ตวั ๒. บุคลิกภาพแบบเก็บตัว (Introvert) ผมู้ บี ุคลิกภาพแบบเกบ็ ตวั สงั เกตไดจ้ ากพฤตกิ รรมดังต่อไปน้ี ช่างคิด เพ้อฝัน ใจลอย มคี วามสุขที่จะอย่คู นเดยี ว ไม่ชอบสมาคมติดต่อกบั คนหมูม่ ากมีอารมณ์คงที่ รกั ใครรกั จริง โกรธใครจะหายยาก เก็บความรู้สึก ไมช่ อบแสดงอารมณ์ กอ่ นลงมอื ทางานใด จะไตรต่ รองแล้วไตรต่ รองอีก ไมช่ อบให้มีการเปลี่ยนแปลง ปรบั ตวั ไดช้ ้า ถอืความคดิ ของตนเองเปน็ ใหญ่ ควบคุมความประพฤตขิ องตนเองเปน็ ใหญ่ ควบคมุ ความประพฤติของตนเองดว้ ยกฎเกณฑท์ แ่ี น่นอน ยอมจานนตอ่ ปญั หาตา่ งๆ ไดง้ ่าย และคดิ ถงึ ตนเองเปน็ สาคญั ๓. บุคลกิ ภาพแบบกลางๆ (Ambivert) พฤติกรรมของคนเราโดยทั่วไปนน้ั ไมไ่ ด้แบง่ออกเป็นแบบแสดงตัว หรอื แบบเก็บกดโดยเดด็ ขาด เพราะจากการใชแ้ บบสอบถาม หรอื มาตราสว่ นประมาณค่า ในการวดั บคุ ลกิ ภาพ พบวา่ ประมาณครึ่งหนง่ึ ของกลุ่มตวั อยา่ ง ที่มีบคุ ลกิ ภาพอยู่ระหว่างกลางของบคุ ลกิ ภาพแบบแสดงตวั และแบบเกบ็ ตัว ซ่ึงเรยี กวา่ เป็นบคุ ลกิ ภาพแบบกลางๆคือลักษณะของพฤติกรรมทไ่ี มแ่ สดงตวั หรือเก็บตวั จนเกนิ ไปทฤษฎบี ุคลกิ ภาพของซลั ลแิ วน (Sullivan’s Theory) ซลั ลแิ วนเปน็ นักจติ วทิ ยาชาวอเมริกนั เขากลา่ วถึงบคุ ลกิ ภาพของบุคคลว่า เป็นผลมาจากสมั พนั ธภาพกับบคุ คลอ่นื และสิง่ แวดลอ้ ม ในการสมั พันธภาพกับบุคคลอ่นื น้ัน มนุษย์มีความปรารถนา ๒ ประการคือ การไดร้ บั ความพอใจ และความปลอดภัย ดงั นั้นพฤตกิ รรมตา่ งๆ ที่แสดงออกมาน้นั จะเปน็ การปกป้องตนเองใหพ้ น้ จากการได้รับความไมพ่ อใจ หรอื ใหพ้ น้ จากความไม่ปลอดภัยทัง้ ปวงจงึ เปน็ ลกั ษณะของการรกั ษาภาพพจน์ (self) ของตนเอง ให้ดอี ยู่เสมอ ใหเ้ ปน็ ที่ยอมรบั ของบุคคลโดยทัว่ ไป ในการมีความสมั พันธภาพและส่งิ แวดล้อมนนั้ ถ้ามีผลตอบสนองในรปู ของความอบอนุ่ มีความ พึงพอใจ เป็นทีย่ อมรบั ทาใหม้ ีโอกาสตอบสนองความต้องการของชีวติ ตามควร และความสัมพนั ธ์นน้ั เป็นไปอย่างถกู แบบแผน บุคคลกจ็ ะพัฒนาบุคลกิ ภาพไปในทางท่ีดี ในทางตรงกนั ขา้ ม ถ้าเกดิ สัมพันธภาพในทางไมด่ ี หรือมสี มั พันธภาพทผ่ี ดิ แบบแผน บคุ คลจะเกิดพฤตกิ รรมทีเ่ บยี่ งเบนย่อมพัฒนาเปน็ บคุ ลิกภาพที่ไมพ่ ึงประสงค์ ดังน้ี ๑. ประเภทหมกม่นุ อยู่กับตนเอง หรอื คิดเพ้อฝนั เปน็ พวกบคุ ลิกภาพท้อแท้ ผดิ หวงั งา่ ยมคี วามเจ็บแค้นอย่ใู นใจเสมอ คดิ เข้าขา้ งตนเอง คิดวา่ ตนเองถูกเข้าใจผดิ อยู่เสมอ ความผดิ หวังนี้จะเริม่ ตน้ มาจากผิดหวงั ในการมสี ัมพนั ธภาพกับบุคคลอนื่ และผิดหวังในเรือ่ งอ่นื ๆตอ่ ไป ๒. ประเภทไม่เปน็ มิตรกบั ใคร จะมอี ารมณ์ขุน่ มวั อยเู่ สมอไม่อยากสมาคมกบั ใคร แตก่ ับบคุ คลทต่ี ้อยต่ากว่าแลว้ จะดีดว้ ย บุคลิกภาพแบบน้เี กดิ จากการท่พี ่อแมเ่ คย่ี วเขญ็ อยากใหล้ กู เปน็ คน
11ดีมากเกนิ ไปพอ่ แมใ่ หค้ วามสนใจด้านการเรียน หรอื ผลงานของลูก มากกวา่ สนใจสุขทกุ ขค์ วามเป็นอยขู่ องลกู ๓. ประเภทชอบคดั ค้าน บคุ ลิกภาพเชน่ นี้ มกั เกิดกบั บคุ คลในวัยเดก็ ขาดความอบอนุ่ ขาดความสนใจ จึงเปน็ การเรยี กร้องความสนใจ เม่ือโตขึ้นบุคลกิ ภาพนี้ยังคงอยู่ แตม่ กี ารคดั คา้ นที่แนบเนยี นขึน้ จะใชว้ ธิ ีนเ้ี มอื่ มคี วามรสู้ กึ วา่ ตนเองถกู คุกคาม เม่ือใชแ้ ล้วทาใหม้ ีความรู้สกึ ว่าอบอนุ่ปลอดภัยขน้ึ ๔. ประเภทไม่สุงสิงกบั ใคร เนือ่ งจากในวยั เดก็ มคี วามรู้สกึ ว่าตนไม่มีใครรัก นอ้ ยใจ มีความคิดวา่ ทาคุณคนไม่ขนึ้ เมือ่ โตข้นึ จงึ ไม่สนใจทจ่ี ะคบกบั ใคร ๕. ประเภทต้องพ่งึ พาผอู้ ่ืน เกดิ จากในวัยเด็ก พอ่ แมช่ อบวางอานาจบงั คับข่เู ข็ญเสม ทาให้เดก็ รสู้ กึ วา่ ทาอะไรดว้ ยตัวเองไมไ่ ด้ ไม่กล้าตัดสินใจ โตข้ึนจึงชอบพึง่ พาผูอ้ ่นื โดยเฉพาะพ่งึ พาผูม้ ีอานาจ เจา้ นายใหญโ่ ต “เด็กมเี สน้ ” หรอื “มปี ลอกคอ” ๖. ประเภทรักรว่ มเพศ เปน็ การปรับตวั ท่ีผดิ ของบุคคล ที่นามาใช้ในการแกป้ ญั หาทางเพศทฤษฎีทางพุทธศาสนา (Buddhistic Theory) ตามแนวทางพทุ ธศาสนากล่าวถงึ มนุษยไ์ วว้ ่าคนเราเกดิ มาเพ่อื พบทกุ ข์และความไม่สบายใจทัง้ ปวง ขณะทคี่ นเราตกอยู่ในทกุ ข์ หากมีสตพิ อที่จะค้นหาสาเหตแุ หง่ ทกุ ขไ์ ด้ กจ็ ะมองเห็นแนวทางทัง้ นาไปสกู่ ารดับทุกข์น้ัน และสามารถคิดหาวธิ กี าร หรือวิถที างในการดับทกุ ข์ท่ีเหมาะสมกับตนเองได้ในทสี่ ดุทา่ นพทุ ธทาส ภิกขุ ได้แสดงทศั นะเกย่ี วกับคนไว้วา่ คาว่า “คน” เหมาะกับสัตว์ทยี่ ังมีกเิ ลส ยังพูด คดิ และ ทาอยดู่ ว้ ยกเิ ลส ในการเรียกคนวา่ “มนษุ ย์” หมายถึงสตั วท์ ีม่ ีจติ ใจสงู อยา่ งไรก็ตามคน หรอื มนษุ ยก์ ย็ งั เปน็ ผู้บกพร่องเพราะยังคงตอ้ งเรยี นรูแ้ ละแสวงหาในการดาเนนิ ชวี ิต ใครจะเป็นคนในความหมายของสัตวท์ ย่ี งั มีกเิ ลส หรือคนในความหมายของมนษุ ยท์ ่ีมีจติ ใจสูง ย่อมอยู่ทีผ่ ลของกรรม หรอื การแสวงหาจดุ หมายปลายทางของชีวิต ทา่ นพทุ ธทาสภิกขุ ได้ใหค้ ตเิ ตือนใจซ่งึ สามารถใช้เป็นแนวทางในการทาความเข้าใจและปฏิบตั ิต่อเพ่อื มนุษย์ไว้ดงั น้ีเขามีสว่ นเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสว่ นดเี ขามอี ยู่เปน็ ประโยชนโ์ ลกบา้ งยงั น่าดู ส่วนทชี่ วั่ อย่าไปรขู้ องเขาเลยจะหาคนมดี โี ดยส่วนเดยี ว อย่ามัวเทีย่ วค้นหาสหายเอย๋เหมือนเท่ยี วหาหนวดเตา่ ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคยมองแตด่ ใี หค้ ุณจริงแนวทางในการปรบั ปรงุ ตนเอง ไมม่ ีสูตรสาเร็จในการปรับปรุงตนเอง เน่อื งจากบคุ คลแต่ละคน มลี ักษณะเฉพาะตวั ย่อมจะมแี นวทางของแต่ละคนต่างๆ กนั ออกไป การปรับปรุงตนจะเกดิ ขึ้นจากการท่ี
12บุคคลเหน็ ความจาเป็นในการปรับปรุงตนเองเสียก่อน แผนภูมิตอ่ ไปนี้ อาจจะใชเ้ ปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ ตนเองตามความเหมาะสมของสภาพของแต่ละคนได้วงจรในการปรับปรุงตนสารวจและพจิ ารณาตนเอง วเิ คราะหต์ นเองและตัง้ เปา้ หมาย- ข้อดขี องตนเอง -สิ่งท่ีควรเพิม่ ให้มมี าก- ข้อบกพร่องของตนเอง -สิ่งที่ควรรักษาไว้ -ส่ิงท่ีควรลดใหน้ อ้ ยลง -ส่ิงทค่ี วรขจัดโดยเรว็ประเมินผลการดาเนินการ หาวิธกี ารและวางแผนดาเนินการ-บรรลเุ ปา้ หมายเพยี งใด -เลอื กวธิ กี ารท่ีเหมาะสมกบั ตน-ปญั หาอปุ สรรคที่พบ -กาหนดขั้นตอนในการดาเนนิ การไปสู่-การแก้ไขปัญหาและอุปสรรค เปา้ หมาย ดาดาเนินการตามแผน เนินการตามแผน ภาพประกอบที่ 1 วงจรในการปรับปรงุ ตนการปรับปรงุ ตนเองเรม่ิ จากการสารวจและพิจารณาขอ้ ดี และขอ้ บกพรอ่ งของตนเองในแต่ละดา้ น รวมท้ังความสามารถท่ีจะจัดการกบั ตนเองไดแ้ ละวิเคราะหด์ วู ่า ส่ิงใดทพ่ี อใจจะรักษาไว้ส่ิงใดที่ควรเพิ่มใหม้ มี ากข้นึ เพ่อื ให้เกิดคุณคา่ แกต่ นเองและผูอ้ นื่ สงิ่ ใดท่คี วรลดให้เหลือพอเหมาะแกป่ ระโยชนแ์ ละส่ิงใดพงึ เลิกหรือละเว้นให้เรว็ ทส่ี ุด เน่ืองจาก มีผลเสียแกต่ นเองและผอู้ น่ื จากการวเิ คราะหบ์ คุ ลกิ ภาพ หรอื พฤตกิ รรมของตนเอง สง่ิ สาคญั ทจี่ ะสง่ เสรมิ ให้บรรลผุ ลสาเรจ็ ได้ กค็ ือ ความตั้งใจจริง และการใชว้ ธิ ีทเี่ หมาะสมเฉพาะตน จึงควรเลอื กวธิ กี ารพอทจ่ี ะเรยี นรู้ และปฏบิ ัติไดจ้ ริง ภายใตช้ ว่ งเวลาท่ตี ้งั ใจจะให้เกิดผล หลงั จากนั้นจึงลงมอื ทาตามแผน ซงึ่ ตอ้ งอาศยั ระยะเวลาและการฝึกฝนจนเกิดความคุน้ เคยหรือจนกลายเป็นนสิ ัย การปรับปรุงหรือพฒั นาตนเองนี้ ต้องการความตอ่ เนือ่ งและกาลังใจ ผ้ทู ตี่ ง้ัใจปรบั ปรุงอยา่ งแท้จริง ควรไดช้ ื่นชมกบั ความสามารถและกาลงั ใจของตนเอง และติดตามประเมินผลดวู า่ ยงั มีปัญหาอุปสรรคใดบ้าง บางครั้ง อาจจะต้องย้อนมาสารวจตนเอง ทบทวนคร้ัง
13แลว้ ครัง้ เลา่ การเอาชนะตนเองเปน็ ภารกิจที่ย่งิ ใหญ่มาก แตผ่ ลท่ไี ด้รับคือความเจริญของตนเองอันนา่ ภาคภมู ใิ จอนั จะเกดิ ข้ึนแกผ่ ้ทู ี่มคี วามตัง้ ใจอยา่ งแท้จรงิ Group Dynamic (กระบวนการกลมุ่ ) คนเราทกุ คนตา่ งไดร้ ับการปลูกฝังมาจากสง่ิ แวดลอ้ มทแ่ี ตกต่างกนั , ซ่ึงทาใหม้ ีความคิดพ้นื ฐานทางจิตใจท่แี ตกตา่ งกนั กระบวนการกลุ่มจงึ เปน็ วธิ หี น่งึ ทีใ่ ช้ในการปรับสภาพกลุ่มคนเพอ่ื ใหส้ ามารถอยูร่ ว่ มกนั ทางานรว่ มกนั ภายใต้อิทธพิ ลของกลุ่มที่จะบีบบังคับพฤตกิ รรม เพ่อื ให้กลมุ่ แสดงศักยภาพออกมาในทิศทางเดียวกันและเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ นน่ั คอื เราสามารถปรับเปลยี่ นพฤติกรรมพัฒนากลุ่มบคุ คลให้ได้ตามวัตถปุ ระสงคท์ ี่ตอ้ งการไดใ้ นระยะเวลาอันสั้นโดยได้ทัง่ ความสนิทสนม, ความสนุกสนาน, การพร้อมท่จี ะร่วมมอื กันในการทางานต่อไป ทฤษฎที ่ีสาคญั ประกอบดว้ ย 5 ทฤษฎี ท่ีไดพ้ ัฒนาข้ึนโดยผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาเพื่อใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพแวดล้อมและบริบทของวฒั นธรรมไทย มรี ายละเอยี ดดังต่อไปน้ี 1. ทฤษฎีการเรียนร้อู ยา่ งมีความสุข เปน็ ทฤษฎีที่ กิตยิ วดี บญุ ซือ่ เปน็ หวั หนา้ คณะผูเ้ ชยี่ วชาญทาการพฒั นาขึ้น โดยมจี ุดประสงคจ์ ะหาวิธีเรียนแบบใหมท่ ่ที าให้ผ้เู รยี นเรยี นอย่างสนุกสนานทกุ ครั้ง ทุกชั่วโมง ผู้เรยี นมาโรงเรียนด้วยความต่ืนเต้นและมุง่ มนั่ อยากรู้ในสิ่งทเี่ ขายงัไมร่ ู้ อยากทาในสิง่ ท่ีเขาไมเ่ คยทา อยากเปน็ ในสงิ่ ที่เขายังไมเ่ คยเปน็ การเรียนรู้อยา่ งมีความสขุ มีองค์ประกอบอยู่ 6 ประการได้แก่ 1. เด็กแตล่ ะคนได้รบั การยอมรบั วา่ เป็นมนษุ ย์คนหนึง่ ทมี่ ีหวั ใจและสมอง มีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั และมสี ิทธิท่จี ะไดร้ บั การปฏบิ ตั จิ ากผู้ใหญ่อย่างมนษุ ย์คนหนงึ่ 2. ครูให้ความเมตตา จรงิ ใจ และออ่ นโยนตอ่ เดก็ ทกุ คนโดยทั่วถึง เอาใจใสท่ ุกคนอยา่ งเท่าเทียมกนั มคี วามยุติธรรม สมา่ เสมอ อารมณม์ นั่ คง สดชนื่ แจม่ ใจ วางตนเปน็ แบบอยา่ งท่ีดี เสยี สละและอดทน 3. เดก็ เกิดความรัก และภูมใิ จในตนเอง รู้จักปรบั ตัวได้ทุกทท่ี ุกเวลา เหน็ คุณคา่ของชีวิตและความเปน็ มนษุ ยข์ องตน ยอมรับจดุ ดี จุดด้อยของตน รู้วิธปี รับตวั ให้อยูใ่ นสภาพแวดลอ้ มต่างๆโดยไม่เสียสุขภาพจิต 4. เด็กแต่ละคนมโี อกาสเลือกเรียนตามความถนัด และความสนใจ 5. บทเรียนสนกุ แปลกใหม่ จูงใจให้ตดิ ตามและเร้าใจใหอ้ ยากคน้ ควา้ หาความรู้เพม่ิ เติมดว้ ยตนเองในสิ่งทีส่ นใจ การเรียนไม่ขีดวงจากัดอย่ภู ายในห้องเรยี น การเรยี นสัมพันธ์กับวถิ ีชีวิต 6. สง่ิ ท่เี รียนรสู้ ามารถนาไปใช้ไดใ้ นชีวติ ประจาวนั เกิดประโยชน์และเกิดความหมายต่อตวั เขา
14 การจดั การเรียนการสอนท่ีจะทาใหก้ ารเรียนร้ดู าเนินไปอย่างราบรน่ื และมคี วามสขุรว่ มกนั ทงั้ ผเู้ รียนและผสู้ อน ควรมีลกั ษณะดังน้ี 1. บทเรียนเริม่ ต้นจากงา่ ยไปหายาก 2. วิธีเรียนสนกุ ไม่นา่ เบ่ือ 3. ทกุ ขน้ั ตอนของการเรียนรู้มุง่ พัฒนาและสง่ เสรมิ กระบวนการคิดในแนวตา่ งๆ 4. มกี จิ กรรมหลากหลาย สนุกชวนให้ผ้เู รยี นสนใจบทเรยี น เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้มสี ่วนรว่ ม 5. แนวการเรยี นรู้สมั พันธ์และสอดคล้องกับธรรมชาติ 6. สื่อท่ใี ช้ประกอบการสอนเรา้ ใจใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ 7. การประเมินผลเน้นพัฒนาการของผู้เรียนในภาพรวมมากกว่าผลเรยี นทางวิชาการ และเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นประเมินตนเองดว้ ย 2. ทฤษฎีการเรียนร้แู บบมีส่วนร่วม เป็นทฤษฎที ีส่ มุ ณฑา พรหมบุญ เป็นหวั หนา้ คณะผู้เชีย่ วชาญพัฒนาข้นึ จดุ เนน้ ของการเรยี นเรยี นรู้ คือ การใหผ้ เู้ รียนมีสว่ นร่วมทางด้านจิตใจ การเรยี นรู้แบบมีส่วนร่วมช่วยใหผ้ ้เู รียนไดร้ บั ประสบการณท์ สี่ ัมพันธก์ บั ชวี ติ จรงิ ได้รับการฝึกฝนทกั ษะชวี ติ ต่างๆ การแสวงหาความรู้ การคิด การจดั การความรู้ การแสดงออก การสรา้ งความรู้ใหม่ และการทางานกลุ่ม ซง่ึ จะทาให้ผู้เรยี นได้รับการพฒั นาให้เป็นท้งั คนเกง่ คนดี และมีความสขุ กระบวนการเรียนรู้แบบมีสว่ นรว่ ม สามารถจดั ทาได้ 3 วธิ ี คอื 1. กระบวนการกล่มุ (Group process) เปน็ กระบวนการเรยี นรู้ของกลุม่ ผเู้ รียนตั้งแต่2 คนขน้ึ ไปมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ นั มีแรงจงู ใจร่วมกนั ทาสิง่ หนง่ึ สงิ่ ใดโดยทส่ี มาชกิ กลุ่มมีอิทธิพลตอ่กัน หลกั การสาคญั ของกระบวนการกลมุ่ คอื ผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลางการเรยี นรู้ ผเู้ รียนเรียนรู้จากกลุ่มมากทส่ี ุด ผูเ้ รียนได้ค้นพบและสร้างสรรค์ความร้ดู ว้ ยตนเอง โดยครูเปน็ ผู้จัดกระบวนการให้ผู้เรยี นแสวงหาคาตอบ กจิ กรรมท่มี ักจะใชใ้ นการจัดกจิ กรรมกล่มุ คอื เกม บทบาทสมมติ กรณีตัวอยา่ ง การอภิปรายกลุ่ม 2. การเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ( Cooperative learning) เป็นวธิ ีการเรียนท่ีจัดสภาพแวดลอ้ มทางการเรียนโดยให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้ร่วมกนั เปน็ กลุ่ม สมาชิกแตล่ ะคนในกลมุ่ มสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรูแ้ ละความสาเรจ็ ของกลุ่ม โดยการแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ แบ่งปนั ความรู้ ให้กาลงั ใจกันและกนั และดูแลซ่ึงกันและกัน หลกั การจัดการเรยี นรูแ้ บบร่วมแรงรว่ มใจจะคลา้ ยกับกระบวนการกลุม่ แตต่ ่างกันทกี่ ารเรียนรู้แบบร่วมแรงรว่ มใจจดั กลุม่ ใหผ้ เู้ รยี นคละกนั ทงั้ ด้านความรู้ ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด กจิ กรรมที่มักจะใช้ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบรว่ มแรงร่วมใจ คอื การเลา่ เรอื่ งรอบวง มุมสนทนา ปริศนาความคดิ การรว่ มมือกันแขง่ ขนักันคดิ
15 3. การเรียนรแู้ บบสรรค์สรา้ งความรู้( Constructivism) เปน็ วิธกี ารเรยี นรทู้ ่ีผู้เรยี นตอ้ งแสวงหาความรแู้ ละสร้างความรคู้ วามเขา้ ใจด้วยตนเอง โดยนาความรทู้ ี่มีเช่อื มโยงกบั ความรู้ใหม่ โดยครจู ะเป็นผอู้ านวยความสะดวกใหผ้ เู้ รยี นสรรคส์ ร้างความร้คู วามเขา้ ใจดว้ ยตนเอง 3. ทฤษฎกี ารเรยี นรเู้ พ่ือพฒั นากระบวนการคิด เปน็ ทฤษฎีทท่ี ิศนา แขมมณี เปน็ หวั หนา้คณะผูเ้ ชย่ี วชาญพฒั นาข้นึ โดยมีจดุ ประสงคใ์ หเ้ ปน็ แนวทางสาหรับครนู าไปใช้ฝกึ ผู้เรียนใหเ้ กดิการพัฒนาคณุ ภาพในการคดิ แบ่งทกั ษะการคิดออกเป็น 2 ระดบั คือ ทักษะการคดิ ขน้ั พ้นื ฐาน และทักษะการคิดขน้ั สงู ซึ่งสามารถจดั การเรยี นการสอนได้ 3 แบบ ดงั น้ี 1. การสอนเพ่อื พัฒนาการคดิ โดยตรงโดยใชโ้ ปรแกรม สอ่ื สาเร็จรูป หรือบทเรียน/กิจกรรมสาเร็จรูปทม่ี ีผพู้ ฒั นาและจดั ทาไวแ้ ลว้ 2. การสอนเนอื้ หาสาระต่างๆ โดยใชร้ ูปแบบ หรือกระบวนการสอนท่ีเน้น กระบวนการคิด 3. การสอนเนือ้ หาสระตา่ งๆ โดยพยายามส่งเสริมให้ผเู้ รยี นพัฒนาทักษะการคิด ลักษณะการคิด และกระบวนการคดิ ในกจิ กรรมการเรยี นการสอนเนือ้ หาวชิ าต่างๆ 4. ทฤษฎีการเรียนร้เู พื่อพัฒนาสุนทรยี ภาพและลกั ษณะนสิ ยั : ศลิ ปะ ดนตรี กฬี า เป็นทฤษฎีที่สกุ รี เจริญสขุ เป็นหวั หนา้ คณะผเู้ ช่ยี วชาญพฒั นาขน้ึ เพ่ือเปน็ แนวทางจัดการเรียนการสอนวชิ าศิลปะ ดนตรี และพลศึกษาแก่ครู ซึ่งเนน้ การพฒั นาผู้เรียนใหเ้ ป็นคนทีส่ มบรู ณ์ทกุ ดา้ นไดแ้ ก่ 1. ด้านร่างกาย มสี ขุ ภาพท่สี มบรู ณ์ 2. ดา้ นจิตใจและอารมณ์ มรจิตใจทรี่ ่าเริงแจม่ ใส 3. ดา้ นสติปัญญา มีทักษะทางศลิ ป ทักษะในการเลน่ ดนตรี และกฬี าเป็น 4. ดา้ นสังคม มีน้าใจนักกฬี า ร้แู พ้ รชู้ ระ รู้อภยั 5. ดา้ นจริยธรรม ประพฤติดีและประพฤตชิ อบ 5. ทฤษฎีการเรียนร้เู พ่ือพฒั นาสุนทรียภาพและลักษณะนิสยั : การฝกึ ฝน กาย วาจา ใจ เป็นทฤษฎที ี่กิตติคุณ อาไพ สุจริตกุล เป็นหัวหนา้ คณะผเู้ ชี่ยวชาญพัฒนาขึน้ เพอื่ พัฒนาลักษณะนสิ ัยเดก็ ไทย คอื มมี รรยาทและวถิ ีแห่งการปฏบิ ัตติ นทางกาย วาจา ใจ มสี ติสมั ปชญั ญะเพ่ือการครองตน ไม่ถลาไปส่คู วามชว่ั มีคณุ ธรรม มีความรักในเพื่อมนุษยแ์ ละธรรมชาติ การสร้างลกั ษณะนสิ ยั ดังกล่าวต้องใชก้ ลยทุ ธก์ ารสอน ดังนี้ 1. ฝึกสติและสมาธิแบบใหม่ท่เี ขา้ ถึงรสนิยมเด็ก 2. การเรียนรูด้ ว้ ยการเลน่ การใชเ้ กม ละคร และกจิ กรรมสนุกๆ ทแี่ ผงสาระและแง่คิดทางคุณธรรม จริยธรรม 3. การเรียนรู้จากชีวติ จริงดว้ ยกิจกรรมชมุ ชน เช่น การโต้วาที 4. การแนะแนวดว้ ยครูทุกคนท่ีทาการสอน
16 5. การประเมนิ ผลอย่างต่อเนือ่ ง ดว้ ยการเอาใจใสเ่ ด็กเป็นรายบุคคลเนื้อหาหลักสตู ร เศรษฐศาสตร์เบื้องต้นวชิ าเศรษฐศาสตร์ มุง่ ศึกษาเรอ่ื งการจัดสรรทรพั ยากรที่ขาดแคลน เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ จดั ว่าเป็นหัวใจสาคญั ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ความหมายของเศรษฐศาสตร์จากความเป็นมา “economics” มีรากศัพทม์ าจากภาษากรีก ว่า “oikonomia” แปลวา่ การบริหารจดั การของครัวเรอื น ( skilled in the management household)เศรษฐศาสตรห์ มายถึง เปน็ การศกึ ษาถงึ วิธกี ารจัดสรรทรพั ยากรท่ีมอี ยูจ่ ากดั อย่างมีประสิทธภิ าพเพือ่ ผลติ สินค้าและบรกิ ารต่างๆเพอ่ื สนองตอบความตอ้ งการของมนุษย์ซ่ึงมอี ยูไ่ ม่จากัดโดยธรรมชาตมิ นุษย์มีความตอ้ งการตลอดเวลา และไม่มที ่ีสน้ิ สดุ แต่จานวนสินค้าและบรกิ ารมจี ากัด ทาให้เกดิ ความไม่สมดุลระหว่างสนิ คา้ บรกิ ารและความต้องการ จึงเกดิ การเลือกที่จะตอ้ งตอบสนองความต้องการ ในการเลือกทาสง่ิ ใดสิง่ หนงึ่ ทาใหห้ มดโอกาสท่จี ะทาส่ิงอ่นื ไปโดยปริยาย เราเรยี กวา่ สูญเสยี โอกาส จงึ กลา่ วว่าเมื่อตดั สินใจเลอื กจะเกิดต้นทนุ เกิดขึ้นพร้อมกันเราเรยี กว่าต้นทุนค่าเสียโอกาส ดังนนั้ การท่ีจะเลือกเพื่อก่อใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดมีตน้ ทุนตา่ สุดสรุปได้ว่า1. ความต้องการมีไม่จากดั ( unlimited wants)2. ทรัพยากรมีจากัด ( scarcity resources)..ทาให้เกดิ ความขาดแคลน 3. จงึ เกิดการเลอื ก ( choice) 4. เมอ่ื เกิดการเลือกส่ิงทต่ี ามมาคืออะไรสนิ ค้าและบรกิ าร(goods and services)เป็นสิ่งทมี่ ีอรรถประโยชน์( utility)คอื สามารถตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ ริโภค ทาให้ผบู้ รโิ ภคไดร้ บั ความพอใจโดยไม่คานึงวา่ ผิดกฏหมายหรอื ผดิ ศลี ธรรม สินค้าไรร้ าคาหรือทรัพย์เสรี(free goods) มีตามธรรมชาติ เกินความต้องการของมนุษย์ ใชโ้ ดยไมต่ ้องเสียค่าใชจ้ ่าย เช่น นา้อากาศ แสงแดด สนิ คา้ ทางเศรษฐศาสตรห์ รือเศรษฐทรพั ย์ ( economic goods) สนิ ค้าท่มี ีต้นทนุ การผลิต มีจากดั เม่ือเทียบกับความตอ้ งการ ตอ้ งซ้ือหรือจ่ายคา่ ตอบแทนการศึกษาและเข้าใจพฤตกิ รรมของหนว่ ยเศรษฐกจิ ต่างๆต้องเข้าใจพฤตกิ รรมของหน่วยเศรษฐกิจแตล่ ะหน่วย ในลกั ษณะทเี่ ป็น
17ส่วนยอ่ ยและส่วนรวมของระบบเศรษฐกจิ เพ่อื เข้าใจการทางานและปัญหาท่เี กิดขึน้ ในระบบเศรษฐกจิ ทง้ั ระบบไดด้ ียิ่งขึน้วิธีพัฒนา การศึกษาค้นคว้าคร้งั นีเ้ ปน็ การศกึ ษาค้นควา้ เชิงปฏิบัติการในชนั้ เรียนแบบมีสว่ นร่วม(Classroom Action Research) ซึง่ ผูศ้ ึกษาคน้ ควา้ ไดน้ าหลกั ขน้ั ตอนการศกึ ษาคน้ คว้าเชงิ ปฏิบตั ิการโดยแบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น ดงั นี้ สว่ นที่ 1 การสารวจปญั หา ผู้ศึกษาค้นควา้ ได้วิเคราะห์สภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องเศรษฐศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5/6 โรงเรยี นมูลนิธิวดั ศรีอุบลรัตนาราม สังกดั สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาอุบลราชธานี เขต 1 อาเภอเมือง จังหวดัอบุ ลราชธานีโดยใช้กระบวนการกลมุ่ ปัญหาที่พบมากที่สดุ ในการเรยี นการสอน วิชาสงั คมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรอื่ งเศรษฐศาสตร์ ก็คอื ปัญหาด้าน ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนเร่อื งเศรษฐศาสตร์ ประมาณร้อยละ 60 พบวา่ นกั เรยี นประสบปญั หาดา้ นการเรียนเร่อื งเศรษฐศาสตร์ เป็นอยา่ งมาก ดังน้นั ผศู้ ึกษาจึงมคี วามสนใจทีจ่ ะพัฒนาการเรียนวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรมดว้ ยกระบวนการกลมุ่ ส่วนท่ี 2 เปน็ ข้นั ปฏิบตั ิการในรูปวงรอบมี 1 วงรอบ มี 4 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1 ขน้ั วางแผน (Plan) ผู้ศึกษาคน้ ควา้ ไดด้ าเนนิ การสรา้ งแผนการจัดการเรียนรู้ สื่ออุปกรณ์การสอน และเคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการสังเกตเพ่ือใช้ในการศกึ ษาค้นคว้า 2 ขนั้ ปฏบิ ตั ิแผน (Action) เปน็ ขั้นตอนทีล่ งมอื ดาเนนิ การสอนตามแผนการจัดการเรยี นร้ทู เ่ี ตรยี มไว้ 3 ข้ันสังเกต (Observe) ข้นั นศี้ ึกษาค้นคว้าใชเ้ ทคนคิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ทั้งหมดทก่ี าหนดไวไ้ ดแ้ ก่การทาแบบทดสอบเพือ่ วดั ผลสมั ฤทธเ์ิ ร่อื งเศรษฐศาสตร์ 4 ข้ันสะท้อนการปฏบิ ตั ิการ (Reflect)ขนั้ นเ้ี ป็นการนาแสนอขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการสังเกตแบบไม่มีโครงสรา้ งของผู้ศกึ ษาคน้ คว้าการสงั เกต การทาแบบทดสอบกล่มุ สาระสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรอ่ื งเศรษฐศาสตร์ โดยใช้กระบวนการกลุ่ม มาวิเคราะห์ วิจารณ์ เพ่อื ใหไ้ ด้แนวทางท่จี ะศกึ ษาพัฒนากระบวนการกลมุ่ ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5/6 และเพอื่ ปรับปรงุ การพฒั นาการเรยี นการ
18สอนด้วยกระบวนการกล่มุ ในวงรอบต่อไป เพอ่ื ให้เห็นข้ันตอนทีช่ ัดเจน ผู้ศึกษาคน้ ควา้ ขอนาเสนอเปน็ แผนภมู ิการศกึ ษาคน้ คว้าเชงิ ปฏบิ ตั ิการวงรอบท่ี 1 ดังตอ่ ไปนี้ตัวอยา่ งกิจกรรม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธก์ิ ่อนเรยี นและหลังเรยี นจงวงกลม ลอ้ มรอบตัวอักษร ก, ข, ค หรือ ง ทีเ่ ปน็ คาตอบท่ีถกู ทีส่ ุด1. ทาอย่างไรจึงเรียกว่าเป็นการพ่ึงพาตนเอง 5. ข้อใด ไม่ใช่ ปัจจัยการผลติก. รูจ้ ักนาทรัพยากรทมี่ ีอยู่มาใช้ให้เกิด ก. ทรพั ยากรธรรมชาติประโยชน์ ข. สิง่ แวดลอ้ มทางสงั คมข. ผลติ สนิ คา้ ใหไ้ ด้กาไรมากทสี่ ดุค. ผลิตสินค้าท่ีมีคุณภาพดี ค. ทุนและแรงงานง. ผลติ สนิ ค้าทีม่ ีราคาถกู ง. การประกอบการ 6. สมาชกิ สหกรณ์ควรมีคณุ ธรรมในข้อใดในการ2. ใครปฏบิ ตั ติ ามแนวเศรษฐกจิ พอเพยี ง ดาเนนิ กิจกรรมของสหกรณ์ก. แพรวใสเ่ สือ้ ตามแฟช่นั ก. ขยันหม่ันเพยี ร ข. เมตตาข. เพลนิ ซ่อมแซมกระโปรงที่ขาด ค. อตุ สาหะ ง. ซ่ือสตั ย์ค. พลอยซื้อรองเทา้ คร้ังละ 5 คู่ 7. ขอ้ ใดตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงง. เพชรรบั ประทานอาหารเหลอื ทุกครั้ง3. ข้อใด ไมใ่ ช่ การนาหลกั เศรษฐกจิ พอเพียงมา ก. พงึ่ พาผอู้ ืน่ ก่อนพึ่งพาตนเองประยุกต์ใช้ในโรงเรียนก. สง่ เสริมใหน้ ักเรยี นแขง่ ขันตอบปญั หา ข. ผลิตเพ่อื จาหน่ายเป็นสินค้าข. ส่งเสริมการเพาะปลกู และเลีย้ งสตั ว์ในพื้นที่ของโรงเรยี น ค. พงึ่ พาปจั จัยการผลิตจากทีอ่ น่ืค. ส่งเสริมการจัดกจิ กรรมของสหกรณใ์ นโรงเรียน ง. รวมกลุ่มกนั สร้างรายได้ใหช้ มุ ชนง. ส่งเสริมให้นักเรยี นทางานเป็นกล่มุ4. หลักและวธิ กี ารของสหกรณ์ในข้อใด ไมถ่ กู ตอ้ ง 8. การจา่ ยปันผลของสหกรณ์ ควรยดึ หลักเกณฑ์ใดก. ใหค้ วามร่วมมอื กบั สหกรณ์อนื่ ๆ ได้ข สมาชิกตอ้ งนับถอื ศาสนาเดียวกนั ก. จานวนหุ้น ข. จานวนสมาชิกค. มีสว่ นร่วมตามหลกั ประชาธิปไตยง. จดั สรรกาไรด้วยความยตุ ิธรรม ค. จานวนผกู้ อ่ ตั้ง ง. จานวนผ้ดู าเนินการ 9. การเขา้ เป็นสมาชิกของสหกรณ์ ควรมคี ุณสมบัติ อยา่ งไร ก. มอี าชีพแน่นอน ข. มีฐานะม่ันคง ค. มคี วามสมคั รใจ ง. มีการศกึ ษา 10. ขอ้ ใด ไม่ใชป่ ระโยชนข์ องสหกรณ์ ก. ช่วยขจัดปญั หาพอ่ ค้าคนกลาง ข. ช่วยให้สมาชิกมีความเหน็ แก่ตัว ค. มีส่วนรว่ มตามหลกั ประชาธิปไตย
19ง. จดั สรรกาไรด้วยความยุตธิ รรม 18. ธนาคารใดจัดเปน็ ธนาคารพาณชิ ย์ ก. ธนาคารกลาง11. สหกรณใ์ นประเทศไทยมีกี่ประเภท ข. ธนาคารออมสินก. 4 ประเภท ข. 5 ประเภท ค. ธนาคารกรุงเทพ ง. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ค. 6 ประเภท ง. 9 ประเภท 19. ถ้าเราไปกูเ้ งินจากธนาคาร เราต้องเสยี ส่ิงใด ใหก้ ับ ธนาคาร นอกจากเงนิ ต้น12. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ สนิ คา้ ในชมุ ชน ก. ดอกเบย้ี ข. ค่าบริการก. เส้อื สาเร็จรปู ข. ต๊กุ ตาดนิ เผา ค. ค่าเสียเวลา ง. คา่ ธรรมเนยี ม 20. ใครใชห้ ลักการบริโภคได้ถกู ตอ้ งค. ตะกร้าสาน ง. ผา้ ทอมือบริการ ก. จ๋มุ ซอื้ เสื้อนกั เรยี นใส่13. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ความหมายของการผลติ ข. นกซื้อนา้ อดั ลมด่มื ค. เกง่ ซ้อื หมากฝรั่งเคี้ยวก. การแปรสภาพทรพั ยากรให้เปน็ สินคา้ และ ง. เกดซอื้ หนังสอื การต์ นู อ่าน 21. ข้อใด ไม่ใช่ วัตถุทนุ ที่เปน็ ปัจจยั ในการผลติข. การแปรสภาพทรัพยากรใหเ้ กิดประโยชน์ ก. เครื่องจักร ข. โรงงานค. การแปรสภาพทรพั ยากรเพอ่ื ตอบสนอง ค. ทีด่ ิน ง. อปุ กรณ์การผลติ 22. เมือ่ จะซอื้ ของควรพจิ ารณาถงึ ส่ิงใดก่อนความต้องการ ก. ความอยากได้ ข. ความทันสมัยง. การแปรสภาพทรพั ยากรให้มจี านวนจากดั ค. ความสวยงาม ง. ประโยชน์ใชส้ อย 23. ข้อใดไมใ่ ช่ หน้าท่ขี องธนาคารกลาง14. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ หลักการบริโภค ก. เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์ก. ความจาเป็น ข. ความอดทน ข. รับฝากเงนิ จากหน่วยงานของรัฐบาลค. ความประหยดั ง. การมปี ระโยชน์ ค. ออกธนบตั รหรอื พมิ พธ์ นบัตร15. ถ้าเรามเี งินจากดั ไม่ควรซอ้ื ของในข้อใด ง. รบั ฝากเงนิ จากประชาชนทัง้ ในและก. อาหาร ข. เสอ้ื ผา้ ตา่ งประเทศค. ของเลน่ ง. รองเท้า16. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ผลทเ่ี กิดจากเทคโนโลยีก. ทาให้ผลิตสินคา้ ได้มากขึ้นข. ทาใหป้ ระหยดั เวลาในการผลิตค. ทาให้ต้นทนุ การผลติ ตา่ ลง ง. ทาใหม้ ีผบู้ ริโภคลดลง17. ข้อใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ียวกับการผลติ และการ บริโภคก. การบริโภคตอ้ งคานึงถงึ ความจาเปน็ ข. การผลติ ไมต่ อ้ งคานงึ ถงึ ความสวยงามค. ปัจจยั ในการผลติ คือเงินทนุ เทา่ นน้ั ง. ความตอ้ งการของมนษุ ยไ์ ม่มผี ลตอ่ การผลิต
2024. ธนาคารโดยทั่วไปมีหนา้ ท่หี ลักในขอ้ ใด 28. เมอื่ ตอ้ งการไปถอนเงินทธี่ นาคาร เอกสารใดก. รับฝากเงินและใหก้ ู้เงิน ควรเตรยี มไปดว้ ยข. ให้บรกิ ารชาระคา่ นา้ ประปา ก. สมดุ คู่ฝากค. ให้คาปรกึ ษาด้านการเงิน ข. บัตรประจาตัวประชาชนง. ให้การสนับสนุนการส่งออก ค. บตั รประจาตัวผ้เู สียภาษี25. ดอกเบย้ี โดยทวั่ ไปมีกป่ี ระเภท ง. ถูกท้ังขอ้ ก และ ขก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท 29. ในสัญญาก้เู งนิ ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งมีลายมอื ชื่อของใครค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท ก. ผู้กู้ ข. ผู้ให้กู้26. การฝากเงินแบบใดได้ดอกเบี้ยมากทีส่ ุด ค. พยานบุคคล ง. ผสู้ งั เกตการณ์ก. ฝากออมทรพั ย์ 30. ใครกู้ยมื เงนิ มาใชจ้ า่ ยไมถ่ กู ต้อง ก. แดงก้เู งินมาทาธรุ กจิข. ฝากประจา 3 เดอื น ข. ดากเู้ งินมาเลน่ การพนันค. ฝากประจา 1 ปี ค. ขาวก้เู งินมาปลกู บา้ นง. ฝากกระแสรายวนั ง. เขยี วก้เู งนิ เพ่อื เปน็ ทุนการศกึ ษา27. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ ประโยชน์ทีไ่ ด้จากการฝากเงินไวก้ บัธนาคารก. ทาใหเ้ งินไมส่ ูญหายข. ทาให้ไดด้ อกเบีย้ จากการฝากเงนิค. ทาใหเ้ งินเกดิ การหมุนเวยี นง. ทาใหค้ นอ่นื รูว้ า่ เรามเี งินมาก
21ภาพประกอบ การเรยี นดว้ ยกระบวนการกลุ่ม นักเรยี นตงั้ ใจทาแบบทดสอบ
22วงรอบที่ 1 ข้นั ที่1 วางแผน ข้ันที่1 เตรียมแผนการจัดการเรยี นรู้ ส่ือและอปุ กรณ์ การสอน แผนการเรียนร้ทู ี่ 1 เตรยี มเครอื่ งมือในการเก็บขอ้ มลูวงรอบท่ี2 ข้นั ที่2 ข้ันที่4 ข้ันสะท้อนผลการปฏิบตั ิ ดาเนนิ การสอนตามแผน สะทอ้ นผลการปฏบิ ัติในข้นั ตอนที่ 1,2,3 การสอนครั้งท่ี1 จานวน 1 นาเสนอขอ้ มลู ที่ได้จากการสงั เกต เพอื่ ชัว่ โมง แกป้ ญั หาการคดิ ของนกั เรยี นในวงตอ่ ไป ขั้นที่ 3 ข้นั สังเกต เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยการทาแบบทดสอบกระบวนการคิดของ นกั เรียน สงั เกตแบบไม่มีโครงสร้าง ภาพประกอบที่ 2 แสดงข้นั ตอนการวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารทนี่ ามาใช้ใน 1 วงรอบ
23เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคน้ ควา้ คร้งั น้ี 1.แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 2 แผน 2.แบบทดสอบกอ่ นเรียน และหลงั เรยี น เร่ืองเศรษฐศาสตรใ์ นชีวติ ประจาวนั การดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียนเรื่องเศรษฐศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/6 ผ้ศู ึกษาไดศ้ กึ ษาค้นคว้าและไดท้ าการปฏิบตั ิในช่วงเดือน มกราคม 2554รวม 2 สปั ดาห์ รวมทัง้ หมด 4 ช้ัวโมง และดาเนนิ การตามข้นั ตอนดงั นี้ 1. สอนตามแผนการจดั การเรยี นรู้ในวงรอบท่ี 1 คอื แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 โดยการเก็บขอ้ มูลจากการทาแบบทดสอบ มาประเมนิ และนามาคิด วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ เพ่อื ให้ไดข้ อ้ เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงตอ่ ไป 2. ปรบั ปรงุ แบ บทดสอบ ตามขอ้ เสนอแนะและแนวทางในการแก้ไขปรับปรงุ จากการวเิ คราะห์ วิจารณ์ ของผศู้ ึกษาคน้ ควา้ ในวงรอบที่1 เพ่ือมาพัฒนาต่อไป 3. สอนตามแผนการ จัดการเรยี นรใู้ นวงรอบท่ี 2 คือให้นักเรียนทาแบบทดสอบ เร่อื งเศรษฐศาสตรใ์ นชีวิตประจาวัน ทนี่ ามาปรับปรุงแก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยใหน้ กั เรียนทาใหมเ่ พ่ือเกบ็ ขอ้ มลูจากการทาแบบทดสอบหลังเรียน มาประเมิน โดยผ้ศู กึ ษาค้นควา้ นาการทาแบบทดสอบระหวา่ งครัง้ที่1 กับครั้งท่ี 2 มาดวู า่ พัฒนาขนึ้ มากแค่ไหนแลว้ นาไปแก้ไขเพื่อพัฒนาปรับปรงุ ในครัง้ ต่อไปผลการพฒั นา ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดจ้ ดั แบ่งออกเป็น 2 ตอนคอืตอนที่ 1 ความสามารถด้านกระบวนการกลุ่มกอ่ นทาการศึกษาคน้ คว้า ผลจากการประเมนิ การเรียนรวู้ ชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่อื งเศรษฐศาสตร์ ชัน้ประถมศึกษาปที ี่ 5/6 ในชว่ ง 4 เดอื นทผ่ี ่านมาทีผ่ ู้ศึกษาค้นคว้าได้มาฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครทู ี่โรงเรยี นแหง่ นพี้ บว่านักเรยี นมผี ลการเรียนรูใ้ นรายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรื่องเศรษฐศาสตร์ ต่า โดยเฉพาะการเรียนด้วยกระบวนการกลมุ่ ของนกั เรียนเอง นกั เรียนสว่ นใหญ่ไมม่ ีทักษะในการเรียนรรู้ ่วมกนั ขาดความสามัคคขี าดการคดิ ร่วมกัน และเวลาครถู ามกต็ อบไมค่ ่อยได้โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ผลการประเมินแบบทดสอบ ก่อนเรยี น มนี กั เรียนรอ้ ยละ 40 เทา่ นน้ั ท่ีสามารถทาคะแนนได้ดี นอกนั้นนกั เรยี น ทาคะแนนน้อยกว่ากาหนด ขาดความเชอื่ ม่นั ในตวั เอง ขาดความมัน่ ใจในตัวเองจากขอ้ มูลท่ไี ด้รับผูศ้ กึ ษาค้นควา้ จึงต้องการพัฒนา การเรยี น ของนกั เรียนช้นัประถมศึกษาปีที่ 5/6 โดยใช้การเรียนด้วยกระบวนการกลมุ่ เพ่ือแกป้ ญั หา นกั เรียนทีม่ ผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นในรายวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เร่ืองเศรษฐศาสตรต์ ่าเพอ่ื ใหพ้ ฒั นาต่อไป
24 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล จากการวเิ คราะหข์ อ้ มลู สามารถสรปุ ผลการวิจัยไดว้ ่า การเรียนดว้ ยกระบวนการกล่มุ ของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5/6 เรื่อง เศรษฐศาสตร์ มีการพฒั นาสงู ขน้ึ ผเู้ รยี นมคี วามสามารถในทางานร่วมกับผูอ้ ่ืน คดิ วิเคราะห์ คดิ สงั เคราะห์ มวี จิ ารณญาณ มคี วามคดิ สร้างสรรค์ คดิ ไตรต่ รองเปน็ ทน่ี า่ พอใจ สิง่ หนึง่ ท่ีส่งผลใหก้ ารทดสอบเปน็ ไปด้วยดี คือ ความรกั ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผู้เรยี นและผู้สอน กลา่ วคือ หากผู้สอนสามารถบรรยากาศที่เปน็ กัลยาณมติ รกับผ้เู รยี นได้ ผูเ้ รยี นจะเกิดความวางใจ สนุกกับการเรยี น คือกอ่ นทาการเรียนหรอื ทดลองกับนักเรยี นเราตอ้ งให้ความรกัและความอบอ่นุ ก่อนการทาแบบทดสอบ ผ้ทู ดสอบจะรู้สกึ ปลอดภยั ที่จะพดู และตอบคาถามตา่ งๆและสนกุ ท่ีจะคดิ แบบอิสระโดยไม่ระแวงวา่ จะถกู ตาหนิ-การเปล่ียนแปลงของผู้เรยี น นักเรียนทกุ คนมีพัฒนาการท่ดี ขี นึ้ และ มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น พัฒนาขึ้นเล่อื ยๆ จากการเรียนด้วยกระบวนการกลมุ่ ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5/6 นักเรียนสามารถ ทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทกี่ าหนดให้ได้ ตอบคาถามได้ตามเป้า และมี การพัฒนาข้นึ อย่างเปน็ ลาดับ ดงั ตารางคะแนนทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิดงั ต่อไปนี้ตารางที่ 1 คะแนนทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิก์ ่อนเรียนและหลงั เรียนกระบวนการกลุ่มเลขที่ ทดสอบครงั้ ท่ี 1 ทดสอบครั้งท่ี 2 พฒั นาข้นึ(กอ่ นการเรยี นดว้ ยกระบวนการกล่มุ ) (หลังการเรียนด้วยกระบวนการกลุม่ ) 5 81 15 20 9 52 11 19 9 63 12 21 6 104 13 18 5 65 10 19 6 46 16 227 18 248 13 239 15 2010 18 2411 19 2512 20 24
13 22 25 14 18 15 18 28 6 16 19 29 11 17 19 27 9 18 17 26 7 19 16 27 8 20 15 20 3 21 20 26 10 22 21 28 13 23 23 29 9 24 21 28 7 25 21 27 4 26 22 28 7 27 20 26 5 28 20 25 3 29 14 26 6 30 17 24 4 31 19 22 8 32 20 27 10 33 20 25 6 34 27 24 4 35 20 24 4 36 19 30 3 37 23 26 6 26 7รวมเฉลีย่ 18.14 27 4 24.71 6.56
26ตารางแสดงการทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิกอ่ นและหลงั ใช้กระบวนการกลมุ่N ทดสอบครัง้ ที่ 1 ทดสอบคร้งั ที่2(กอ่ นการเรียนดว้ ยกระบวนการกลุ่ม) (หลงั การเรียนดว้ ยกระบวนการกลมุ่ )(x) (x)37 18.14 24.71 จากตารางจะเหน็ ว่าผลการทดสอบครั้งท่ี 1 และครง้ั ท่ี 2 มีความแตกต่างของคะแนนไปในทิศทางทด่ี ขี นึ้ โดยคะแนนทดสอบคร้งั ที่ 2 (x = 24.71) มกี ารพฒั นาขึ้นจากครงั้ ที่ 1 (x = 18.14)-การเปล่ียนแปลงของผ้สู อน ครไู ดบ้ รู ณาการเรียนการสอนดว้ ยกระบวนการกลุม่ หลากหลายวธิ ีลักษณะของทางานเป็นกลมุ่ ท่ีครพู ัฒนาใหก้ บั ผ้เู รยี นบ่อยทส่ี ุด คือการทางานรว่ มกนั ร่วมกนั คิดวเิ คราะห์ รองลงไป ไดแ้ ก่การคดิ อย่างสร้างสรรค์ ตามลาดบั ครกู ระต้นุ สง่ เสริมทางบวกใหผ้ ู้เรียนพัฒนาความสามารถในการทางานรว่ มกับผู้อื่น พบว่า ครูผสู้ อนมกี ารกระตุ้นให้ผูเ้ รียน รู้จกั ทางานร่วมกนั มคี วามสามัคคีในกลุม่ และการชว่ ยเหลือกัน อยใู่ นระดับมาก โดยครใู หอ้ สิ ระแกผ่ เู้ รยี นในการแสดงความคดิ เห็นระหวา่ งเรยี นสูงท่สี ดุ รองลงไปไดแ้ ก่ ครูมอบหมายให้ผู้เรียนปฏบิ ัตงิ าน เปน็ กลมุ่ ตามความคดิ ของกลุ่ม และครกู ระตนุ้ ให้ผู้เรียนคิด(ใช้สมอง)ในระหว่างเรียน อยูใ่ นระดับมากเช่นเดียวกนั แตย่ งั มีครูบางสว่ น ยังมกี ารดาเนนิ การในทางลบ เช่น ครใู ห้ผ้เู รียนตอบคาถามระหวา่ งจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ความจาตอบ และครใู หผ้ ูเ้ รียนทางานเพื่อใหไ้ ดผ้ ลงานที่มรี ปู แบบตามคาส่ัง หรือความคิดของครู อยู่ในระดบั ปานกลางเช่นเดียวกนั การประเมินผลการเรยี น และการเผยแพร่ผลงานท่เี กิดจากการทางานเป็นกลมุ่ ของผูเ้ รียน ในภาพรวมพบวา่ ครดู าเนินการประเมนิ ผลการเรียนของผู้เรียนอย่างเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก โดยครูส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รียนนาเสนอผลงานทง้ั ภายใน และภายนอกสถานศึกษาสูงทสี่ ุด อย่ใู นระดบั มาก รองลงไปได้แก่ ครูส่งเสริมให้ผู้เรยี นประเมนิ ผลงานของตนเอง และครใู ห้ผู้เรยี นประเมินผลงานของเพ่อื นส่วนการให้แรงเสริมของครูตอ่ การแสดงความสามารถด้านการทางานร่วมกันของผเู้ รยี น ในภาพรวมพบวา่ ครูให้แรงเสริมในทางบวก อยู่ในระดับมาก คือ ครูให้คายกย่อง ชมเชย เมอื่ ผู้เรยี นทางานถกู ตอ้ ง สูงท่ีสุด อยูใ่ นระดับมาก รองลงไป ไดแ้ ก่ ครูให้คายกย่อง ชมเชย ผเู้ รยี น เมือ่ ตอบคาถามถูกต้อง และครใู หค้ าชื่นชม ยกย่อง หรือชมเชยผลงานของผเู้ รยี นอยใู่ นระดบั มากเชน่ เดยี วกันขณะเดียวกัน พบว่าครูให้แรงเสรมิ ทางลบ ในภาพรวม อย่ใู นระดับน้อยคือ ครูตาหนิผูเ้ รียน เมือ่ ผู้เรียนทางานไม่ถกู ต้อง และครูตาหนผิ เู้ รยี น เมื่อผูเ้ รยี นตอบคาถามไม่ถูกตอ้ ง แต่ก็ยังมอี ยู่ในระดบั นอ้ ยเช่นเดยี วกนั
27สรุปบทเรยี นแล้วก้าวตอ่ ไป จากการศกึ ษาค้นควา้ การพัฒนา การเรียนกลุ่มสาระการเรยี นร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรื่อง เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5/6 โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ได้ชว่ ยสง่ เสรมิ ให้นักเรียน มกี ารเรยี นทีด่ ขี ้ึนของนักเรยี น ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5/6 มกี ารพัฒนาขน้ึ ในระดับหนึ่ง ซึ่งผู้สอนสามารถทจี่ ะนาการสอนกระบวนการดงั กลา่ วไปพัฒนาใหด้ ยี ่งิ ข้นึ ตอ่ ไป และการใช้การเรยี นดว้ ยกระบวนการกลุม่ ท่เี นน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั สามารถพฒั นา ผลสัมฤทธ์ิของนกั เรยี นไดเ้ ปน็ อย่างดี ทาใหน้ กั เรียนมีความรูม้ ากยิ่งข้นึ วิเคราะห์ปญั หาตา่ งๆ ได้ดีขึ้นดว้ ย สาหรบั ความประทับใจท่ีครูได้รับ จากการจัดการเรียนรู้ในรายวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรอ่ื งเศรษฐศาสตร์ โดยใช้ กระบวนการกล่มุ ให้กับผเู้ รยี นนกั เรียนสามารถวเิ คราะห์ปัญหาได้ เช่น ผูเ้ รียนมีการพัฒนาการคดิ ที่เป็นระบบมากขน้ึ ผเู้ รียนคดิ สร้างผลงานได้อยา่ งสรา้ งสรรค์และหลากหลาย ผเู้ รยี นนาการคิดไปพฒั นาตนเองในด้านการเรียน และการดารงชวี ิตประจาวันไดม้ ากขึน้ ผู้เรียนกลา้ แสดงความคดิ เหน็ ดว้ ยความมน่ั ใจมากข้นึ มีผูเ้ รียนบางสว่ นแสดงความสามารถในการ ทางานร่วมกบั ผูอ้ ื่นได้เป็นอยา่ งดี อย่างทคี่ รูคาดไมถ่ งึ ผเู้ รียนมีความสขุ และสนกุ กับการเรียนมากขน้ึ ผเู้ รียนไดม้ สี ่วนร่วมในกิจกรรมการจดั การเรยี นรู้มากขึน้ ผู้เรยี นมีความกระตอื รอื รน้ รบั ผดิ ชอบและสนใจเรียนมากขนึ้ ข้อเสนอแนะสาหรบั การนาผลการศกึ ษาค้นคว้าไปใช้เพ่อื ปรบั ปรงุ การเรียนการสอนตอ่ ไปดังนี้ 1. ควรขยายผลวิธกี ารจัดการเรียนรู้ ท่ีเนน้ กระบวนการกลุ่มอยา่ งเปน็ รปู ธรรมนี้ ให้กว้างขวางออกไป และตดิ ตาม ประเมินหาข้อบกพร่อง หรือจดุ ทเี่ ป็นปัญหาต่อการพฒั นาผ้เู รียนให้มคี วามสามารถในการทางานรว่ มกับผู้อื่นขน้ั สงู ขึ้น และดาเนินการปรับปรงุ แกไ้ ขใหเ้ หมาะสมอยา่ งสม่าเสมอ ต่อเน่ือง เพื่อชว่ ยกัน พฒั นาผูเ้ รียนให้มคี วามสามารถในการทางานเปน็ กลุ่มขัน้ สูงด้วยตัวของผู้เรียนเอง ใหม้ ากข้ึนเพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นมที ักษะการดารงชวี ติ ที่ดีตอ่ ไป 2. ควรจดั ให้ครู และผเู้ รยี นมกี ารสัมมนา แลกเปล่ยี นผลงาน ทีเ่ กิดจากการพัฒนาการเรยี นดว้ ยกระบวนการกลุม่ เปน็ ระยะ ๆ อย่างทั่วถึง และอยา่ งสมา่ เสมอ เพ่อื ให้เกดิ การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั เนอ่ื งจากสถานศึกษาแต่ละแหง่ จะมีบรบิ ททีต่ า่ งกัน ผทู้ ร่ี ว่ มสมั มนา จะไดเ้ หน็ แนวทางการพัฒนากระบวนการกลุม่ ให้กบั ผู้เรยี นอย่างหลากหลาย 3. การพัฒนาการเรียนด้วยกระบวนการกลุ่ม ให้กับผู้เรียน จาเป็นตอ้ งใชส้ อ่ื อปุ กรณ์ และวัสดุตา่ ง ๆปริมาณมาก ดงั นัน้ ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ควรใหก้ ารสนับสนุนสือ่ อุปกรณ์ และวสั ดุ ท่ีจาเปน็ ตอ้ งใช้ ในการฝึกให้ผ้เู รียนรู้จักวิธีการเรยี นการสอนด้วนกระบวนการตา่ งๆ ให้แกค่ รูผู้สอนท่ีมีความตัง้ ใจทีจ่ ะปลกู ฝงั ใหผ้ เู้ รยี นมกี าร ทางานเป็นกลมุ่ อย่างเป็นระบบ เปน็ กระบวนการ และควรใหข้ วญั และกาลังใจแก่ครูเหล่านี้ เพ่อื เป็นการกระตนุ้ ใหค้ รเู หล่าน้ี แสดงศกั ยภาพในการพฒั นาผู้เรยี นให้มากข้ึน
28 4. ครผู ้สู อนควรวจิ ยั การจดั การเรยี นการสอนด้วยกระบวนการกลมุ่ เพิ่มมากขน้ึ พรอ้ มเผยแพร่ผลงานวิจัยให้กวา้ งขวางออกไป จะช่วยใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนดว้ ยกระบวนการกลุ่มให้กับผู้เรยี นมีการขยายวงกวา้ งข้นึ
29บรรณานกุ รมกรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2540). คมู่ อื การจัดการเรยี นกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.).กรมวชิ าการ. การจัดสาระการเรยี นรูก้ ลุ่มสาระการเรยี นรู้ ตามหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๖.พรทิพา ซิเดนทรยี ์. (2548). การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าสงั คมศึกษาและ ความสามารถในการวางแผนของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนตาม รปู แบบการสืบเสาะหาความรูท้ ี่ใช้กระบวนการกลมุ่ กับการสอนตามคูม่ อื ครู. ปริญญานิพนธ์การศกึ ษามหาบัณฑติ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนทรวิโรฒประสานมติ ร.พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแกไ้ ขเพิม่ เตมิ (คร้งั ท่ี 2) พ.ศ. 2545.กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งค์การรับสง่ สนิ ค้า และพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.), 2546.รัตนา สายคณติ และชลลดา จามรกุล. เศรษฐศาสตรเ์ บื้องต้น. กรงุ เทพฯ : คณะเศรษฐศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2544.ราชบัณฑิตยสถาน. 2546. พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.2542 . กรงุ เทพฯ:นานมบี คุ๊ ส์ พับลิเคชัน่ ส์.ราพงึ เวชยนั ต์วฒุ ิ.ทฤษฎี และนโยบาย : เศรษฐศาสตร์มหภาค.เชียงใหม่ : มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. (ไม่ระบุปที ีพ่ มิ พ์).สุรกั ษ์ บุนนาค และวันรักษม์ งิ่ มณีนาคิน. เศรษฐศาสตร์เบือ้ งตน้ (มหภาค). กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพาณชิ ย์, 2526.
30
31
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: