ทฤษฎกี ารเรยี นร้แู บบร่วมมอื
จดั ทำโดย นายสรุ พัศ จาปขี าว รหสั นักศกึ ษา63031030144
ความหมายและแนวคดิ ของการเรียนรูแ้ บบรว่ มมือ ทฤษฎกี ารเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื คอื การเรียนรู้เป็นกล่มุ ย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มท่มี คี วามสามารถต่างกันประมาณ 3-6 คน ช่วยกนั เรยี นร้เู พ่อื ไปสู่เปา้ หมายของกลมุ่ นกั การศกึ ษาคนสาคัญทเี่ ผยแพรแ่ นวคดิ ของการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื นค้ี ือ สลาวิน, เดวทิ จอห์นสนั , และโรเจอร์ จอห์นสนั กลา่ วว่าความสมั พันธ์ระหวา่ งผู้เรียนเป็น มติ ิที่มกั จะถกู ละเลยหรือมองขา้ มไปทงั้ ๆ มผี ลวจิ ัยช้ีชดั เจนว่า ความร้สู กึ ของตนเองตอ่ ผู้เรยี น ตอ่ โรงเรียน ครูและเพือ่ นร่วมชนั้ มีผลตอ่ การเรยี นรู้มาก จอหน์ สันและจอหน์ สนั กลา่ วว่าปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งผู้เรยี นมี 3 ลกั ษณะคือ 1. ลกั ษณะแข่งขันกนั ในการเรียนรู้ 2. ลกั ษณะตา่ งคนตา่ งเรยี น 3. ลักษณะร่วมมอื กนั หรือชว่ ยกันในการเรยี นรู้
1. องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ● 1.1 การพึง่ พาและเก้ือกลู กัน คอื แต่ละคนในกลมุ่ ตอ้ งรบั ผิดชอบในบทบาทหนา้ ทข่ี องตนและในขณะเดียวกนั ก็ ชว่ ยเหลอื สมาชกิ คนอ่ืนๆด้วย เพ่ือประโยชนส์ ่วนรวม ● 1.2 การปรกึ ษาหารอื กันอยา่ งใกลช้ ดิ การทสี่ มาชกิ ในกลมุ่ มกี ารพึง่ พาช่วยเหลอื เกอื้ กลู กนั เปน็ ปจั จัยที่ สง่ เสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสมั พันธต์ อ่ กันและกนั ในทางท่ีจะชว่ ยให้กลมุ่ บรรลุเปา้ หมาย ● 1.3 ความรบั ผิดชอบท่ตี รวจสอบไดข้ องสมาชิกแต่ละคน กลุม่ จาเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบงานท้งั เป็น รายบุคคลและเป็นกลุม่ เพือ่ สง่ เสริมใหท้ กุ คนไดท้ าหน้าท่ีของตวั เองอย่างเต็มท่ี ● 1.4 การใช้ทกั ษะการปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลและทกั ษะการทางานกลมุ่ ยอ่ ย การเรียนรู้แบบรว่ มมอื จะ ประสบความสาเรจ็ ได้ ต้องอาศัยทักษะทีส่ าคัญๆ หลายประการซ่ึงครคู วรสอนและฝึกให้แกผ่ ู้เรียนเพือ่ ชว่ ยให้ ดาเนนิ งานไปได้ ● 1.5 การวิเคราะหก์ ระบวนการกลมุ่ การเรยี นรู้แบบรว่ มมอื จะต้องมกี ารวเิ คราะหก์ ระบวนการทางานของ กลมุ่ เพื่อชว่ ยใหก้ ลุ่มเกดิ การเรยี นรูแ้ ละปรับปรุงการทางานให้ดขี น้ึ
2. ผลดขี องการเรียนรู้แบบร่วมมือ ● 2.1 มคี วามพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น เปน็ ผลทาให้ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นสูงขึ้นและมีผลงานมาก ขึ้น ● 2.2 มคี วามสัมพนั ธร์ ะหว่างผูเ้ รยี นดขี ้นึ การเรยี นรุ้แบบร่วมมือช่วยให้ผเู้ รยี นมีนา้ ใจนกั กีฬามากข้ึน ใสใ่ จใน ผูอ้ ื่นมากขน้ึ เหน็ คุณคา่ ของความแตกตา่ ง ความหลากหลาย การประสานสัมพันธ์และการรวมกล่มุ ● 2.3 มีสขุ ภาพจิตดี การเรยี นรู้แบบร่วมมือ ทาให้ผู้เรยี นมสี ขุ ภาพจิตดขี นึ้ มีความรสู้ กึ ท่เี ก่ียวกบั ตนเองและมี ความเชื่อมน่ั ในตนเองมากขนึ้
3. ประเภทของกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3.1 กลุม่ การเรียนร้แู บบร่วมมืออย่างเป็นทางการ ครจู ัดขนึ้ โดยการวางแผน จัดระเบยี บ กฎเกณฑ์ วิธกี ารและเทคนคิ ต่างๆ เพือ่ ให้ผเู้ รยี นไดร้ ว่ มมือกันเรยี นร้สู าระตา่ งๆ อย่างต่อเน่อื ง 3.2 กล่มุ การเรียนร้แู บบรว่ มมอื อยา่ งไม่เป็นทางการ กลุ่มประเภทน้จี ดั ขึน้ เฉพาะกจิ ชั่วคราว โดย สอดแทรกอยใู่ นการสอนปกติอ่ืนๆ 3.3 กลุม่ การเรียนรู้แบบร่วมมอื อยา่ งถาวร กลมุ่ ประเภทน้เี ป้นกลมุ่ การเรยี นร้ทู ส่ี มาชิกกลุ่มมี ประสบการณก์ ารทางาน การเรยี นรูร้ ว่ มกันจนเกิดความสัมพันธ์ท่แี นน่ แฟน้
การประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการสอน ● ครูสามารถนาหลักการของการเรียนรแู้ บบร่วมมอื ไปจดั การเรยี นการสอนของตนได้ โดยการพยายามจดั กล่มุ การเรียนรู้ให้มีองค์ประกอบครบ 5 ประการ การวางแผนบทเรยี นและจัดการเรยี นการสอนใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รียนรู้ แบบรว่ มมือมปี ระเดน็ สาคัญ ดังนี้ ● 1. ดา้ นการวางแผนการจัดการเรยี นการสอน ● 1.1 กาหนดจดุ ม่งุ หมายของบทเรียนทัง้ ดา้ นความรูแ้ ละทกั ษะกระบวนการตา่ งๆ ● 1.2 กาหนดขนาดของกลมุ่ ● 1.3 กาหนดองคป์ ระกอบของกลมุ่ หมายถึงการจัดผเู้ รียนเขา้ กล่มุ ซ่ึงอาจทาไดโ้ ดยการสมุ่ ● 1.4 กาหนดบทบาทของสมาชิกแต่ละคนในกล่มุ ● 1.5 จัดสถานทีใ่ หเ้ หมาะสมในการทางาน ● 1.6 จดั สาระ วัสดุหรอื งานทจ่ี ะให้ผูเ้ รียนทา วิเคราะหส์ าระ/ งาน/หรือวสั ดทุ ่ีจะใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้
การประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ● 2. ด้านการสอน ● ครูควรมีการเตรยี มกลมุ่ เพอ่ื การเรยี นรูร้ ่วมกนั ดังน้ี ● 2.1 อธบิ ายชีแ้ จงเกี่ยวกบั งานของกลุ่ม ● 2.2 อธิบายเกณฑ์การประเมนิ ผลงาน ● 2.3 อธิบายถงึ ความสาคัญ และวธิ ีการสอนของการพึ่งพาและเกอ้ื กูลกนั ● 2.4 อธบิ ายวิธีการช่วยเหลือกันระหวา่ งกลมุ่ ● 2.5 อธิบายอธบิ ายถงึ ความสาคัญและวธิ กี ารในการตรวจสอบความรับผิดชอบต่อหนา้ ท่ที ่แี ต่ละคนไดร้ บั มอบหมาย ● 2.6 ชีแ้ จงพฤติกรรมท่ีคาดหวัง
การประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการสอน ● 3. ด้านการควบคมุ กากบั ● 3.1 ดแู ลใหส้ มาชิกกลุ่มมกี ารดูแลกันอย่างใกล้ชิด ● 3.2 สังเกตการณ์การทางานร่วมกนั ของกลุ่ม ว่าสมาชิกกล่มุ มคี วามเข้าใจในงานหรือบทบาทหน้าที่ท่ไี ดร้ บั มอบหมาย หรือไม่ ● 3.3 เขา้ ไปช่วยเหลือกลมุ่ ตามความเหมาะสม ● 3.4 สรุปการเรยี นรู้ ● 4. ดา้ นการประเมนิ ผลและวิเคราะหก์ ระบวนการเรยี นรู้ ● 4.1 ประเมินผลการเรยี นรู้ ● 4.2 วเิ คราะหก์ ระบวนการทางานและกระบวนการเรียนรรู้ ว่ มกนั ●
สรุปไดว้ ำ่ กำรจดั กำรเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื นน้ั ยอ่ มมที งั้ ขอ้ ดใี นกำรพฒั นำผูเ้ รยี น ในดำ้ นตำ่ งๆ และขอ้ จำกดั ของกระบวนกำรจดั กำรเรยี นรู ้ เพรำะเป็ นกำรทำงำน รว่ มกบั บุคคลอนื่ ทมี่ คี วำมแตกตำ่ งในหลำยๆดำ้ น ซงึ่ ทกั ษะทำงสงั คมเป็ น สงิ่ จำเป็ นทตี่ อ้ งพฒั นำในตวั ผูเ้ รยี นแตล่ ะคน และหำกผูส้ อนไดน้ ำเทคนิคกำร จดั กำรกบั ควำมขดั แยง้ มำใชไ้ ดท้ นั ทว่ งที ในระยะแรกทคี่ วำมขดั แยง้ ไดเ้ กดิ ขนึ้ ก็ จะเป็ นกำรชว่ ยลดอปุ สรรคในกำรเรยี นรู ้ และยงั เป็ นกำรเพมิ่ ประสทิ ธภิ ำพของ กำรเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื ดว้ ย
http://krupitui11.blogspot.com/p/theory-of-co-operative-or-collaborative.html
จบกำรนำเสนอ ขอบคุณครบั
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: