3204-8501 โครงการหน่วยท่ี 5 การเขยี นรายงานบทท่ี 1-2
1 บทท่ี 5 การเขียนรายงานบทที่ 1-2การเขยี นรายงานการวจิ ยั ประเภทโครงการส่ิงประดิษฐ์ / นวัตกรรม รายงานการวิจยั ประกอบด้วย 3 สว่ น คือ ส่วนหน้า ส่วนเน้ือหา และส่วนท้าย แนวทางการเขียนแต่ละส่วนมดี ังนี้ สว่ นหน้า ประกอบด้วย - ปกนอก ประกอบด้วยช่อื เร่อื ง ชือ่ ผวู้ ิจัย และข้อความอ่ืนๆ เช่น หน่วยงานของผู้วิจัยปที ่ีทาวิจัย ตัวอักษรตัวหนา - ใบรองปก - ปกใน ประกอบด้วยช่อื เร่อื ง ชอื่ ผวู้ ิจัย และข้อความอื่นๆ เช่น หน่วยงานของผู้วิจัยปีที่ทาวจิ ัย ตวั อักษร ไมต่ ้องทาตวั หนา - แบบขออนมุ ัตโิ ครงการ - บทคดั ย่อ เปน็ สว่ นทสี่ รปุ ย่อเรื่องราวทั้งหมดของงานวจิ ยั ส่ิงสาคัญท่ีควรนาเสนอได้แก่วัตถุประสงคข์ องการวิจยั วิธดี าเนนิ การวจิ ยั ผลงานวจิ ัย สรปุ และข้อเสนอแนะ - กิตติกรรมประกาศ เปน็ การประกาศขอบคุณบคุ คลและหน่วยงานที่ให้ความอนุเคราะห์และสนบั สนุนใหก้ ารดาเนนิ งานการวิจัยสาเรจ็ ไดด้ ว้ ยดี - สารบญั โดยทว่ั ไปแบ่งเปน็ 3 สว่ นไดแ้ ก่ สารบญั เนอ้ื เร่อื ง สารบัญตาราง และสารบัญแผนภมู แิ ละภาพประกอบ - หมายเหตุ การกาหนดเลขหน้าในสว่ นหนา้ นนี้ ยิ มใช้ระบบตวั อกั ษร คอื ก ข ค.....
2สว่ นเน้ือหาประกอบไปดว้ ย 5 บท (รวมจานวนหน้าไม่เกิน 20 หนา้ ) ดงั น้ี บทที่ 1 บทนา บทท่ี 2 แนวคิดทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ ง บทที่ 3 วธิ ดี าเนนิ การวิจยั บทท่ี 4 ผลการวจิ ัย บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะส่วนทา้ ย บรรณานุกรม ภาคผนวก - หนังสอื รบั รองการนาไปใช้ประโยชน์ - คู่มอื การใช้ - แผนธรุ กจิ - รายงานค่าใชจ้ า่ ย - อ่ืนๆ ประวตั ิผทู้ าวิจัย
3 แนวการเขียนสว่ นเนือ้ หา5.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา การเขียนหัวข้อนม้ี งุ่ ตอบคาถามว่า ทาไมจงึ ศกึ ษาวจิ ัยเรอ่ื งนี้ ศึกษาแล้วจะได้อะไร จึงเป็นการเขียนท่แี สดงถงึ ความสาคัญของปญั หาหรือเร่ืองทเี่ สนอจะทาวิจยั โดยจะต้องพยายามเขียนให้ทราบท่ีมาของปัญหาและเหตุผลความจาเป็นที่จะต้องศึกษาวิจัยให้ละเอียดชัดเจน ซ่ึงอาจจะ ต้องกล่าวถึงปรากฏการณ์หรือเรือ่ งราวทผี่ ่านมาของปัญหาที่จะวิจัย พรอ้ มระบุข้อมูลผลงานวิจัยท่ีมีผู้อื่นได้ศึกษาไว้แลว้ ทอ่ี าจมีจดุ อ่อนหรือประเด็นขอ้ สงสยั ทค่ี วรจะต้องศึกษาเพิ่มเตมิ รปู แบบการเขยี นอาจเขียนได้ 2 ลกั ษณะคือ การเขียนเป็นข้อความทางบวก โดยระบุเหตุผลว่าปัญหาน้นั มีความสาคญั หรอื ถ้าได้ทาวจิ ัยเรื่องน้ันแลว้ จะมีประโยชน์อย่างไร หรือเขียนเป็นข้อ ความทางลบ ถา้ ไม่ไดท้ าวิจยั เร่ืองน้ี จะเกิดผลเสียหายอะไรบา้ งหลกั เกณฑ์การเขยี นความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาการวิจยั 1. ระบคุ วามสาคญั ของเร่อื งทจี่ ะศกึ ษาและช้ีให้เห็นปรากฏการณห์ รือท่ีมาของปัญหาให้ชัดเจนตลอดจนระบเุ หตุผลที่จะตอ้ งศึกษาวจิ ยั อย่างสมเหตสุ มผล 2. ควรนาทฤษฎแี ละหรือแนวคดิ ของผู้ทเี่ ชอ่ื ถอื ได้เปน็ ทีย่ อมรบั เก่ยี วกับเร่ืองท่ีจะศึกษามากล่าวเพ่อื เปน็ ข้อมลู สนบั สนุน 3. ชใ้ี หเ้ ห็นวา่ คาถามวจิ ยั หรือปญั หาการวิจัย (Research problem) หรอื ปญั หาที่จะศึกษาน้ันคอื อะไร ระบปุ ญั หาหรือเรื่องท่ีจะวจิ ยั วา่ มคี วามสาคญั อย่างไร 4. เขียนใหต้ รงประเด็น ใชภ้ าษาทีถ่ ูกต้อง กะทัดรัด ไดใ้ จความ และสามารถเรียบเรียงลาดับความคิดอยา่ งตอ่ เนอื่ งและชัดเจน 5. มีการอ้างองิ แหลง่ ข้อมลู ถกู ตอ้ งตามรปู แบบท่ีกาหนด
4 หลกั การเขยี น ความเปน็ มา และความสาคญั ของปัญหา ย่อหน้าแรก จะต้องอภปิ รายถึง ความเปน็ มา ปัญหา ข้อดี ข้อเสีย หรือ ข้อโต้แยง้ ของการทดลองที่ ไดท้ าการก่อนหน้า ย่อหน้าทส่ี อง จะต้องอภปิ รายถงึ ความสาคัญ ขอ้ ดีของปัญหา รวมถงึ แนวทางแก้ไขปญั หา ในเร่อื ง ทีเ่ ราสนในจะทา และควรมเี อกสารหรือที่มาของปัญหาทีใ่ ชใ้ นการอ้างอิง เพือ่ สนับสนนุ หรอื โต้แย้งสง่ิ ท่ีเราจะทาการ ทดลองน้นั ย่อหนา้ สุดท้าย ต้องอภิรายสรุปเปา้ หมายหรือเหตผุ ลทจี่ ะทา เพอ่ื แกไ้ ขปัญหาในงานท่เี ราจะทา โดย ลงทา้ ยด้วยรปู แบบการเขียนวา่ .... เราจะทาอะไร เพื่ออะไร/ใคร และคาดว่าจะได้ประโยชน์อะไร หรือแกป้ ญั หาได้ อยา่ งไร รูปแบบการเขยี น ความเป็นมา และความสาคญั ของปัญหา ปญั หาวิจัย ควรเขยี นลักษณะเปน็ เหมือนรปู ปิระมิดกลบั ดา้ น น่ันคือ ควรเขียนจาก ฐาน ไปหา ยอด(กว้าง ไป ลึก) กว้าง เขียนเรื่องท่ัวๆไป เขียนเรื่องเฉพาะ สรุป ชใี ้ ห้เห็นปัญหาท่ศี ึกษา ลึก เพือ่ แก้ ปัญหานนั ้
55.2 วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั เปน็ ทศิ ทางของการดาเนินการวจิ ัยเพ่ือทาให้เกดิ ความชดั เจนวา่ การวิจัยเรอ่ื งนนั้ ๆ ต้องการศึกษาอะไรและดา้ นใดบา้ ง มวี ตั ถุประสงค์หลกั หรอื วตั ถปุ ระสงค์ย่อย ๆอะไรบา้ ง โดยปกติวตั ถุประสงค์ของการวิจยั เปน็ ส่วนหน่งึ ทจี่ ะชว่ ยทาใหช้ อ่ื เร่ืองหรือปัญหาการวจิ ัยมีความชดั เจนมากข้นึ การตง้ั วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั ควรจดั เรยี งตามลาดบั ความสาคัญ โดยขอ้ แรก ๆควรเปน็ วัตถปุ ระสงคท์ ่ีตรงหรือสอดคล้องกบั ช่ือเร่อื งหรือหัวขอ้ วิจัย สว่ นขอ้ ตอ่ ๆ ไปจงึ เปน็วัตถุประสงคท์ ตี่ อ้ งการศึกษารองลงมาหลักเกณฑ์การเขยี นวัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย 1. เขยี นใหส้ อดคล้องหรอื อยูใ่ นขอบขา่ ยของประเด็นปัญหาการวจิ ัย 2. เขยี นเปน็ ประโยคบอกเลา่ ใหช้ ัดเจน และใช้ภาษาทเี่ ขา้ ใจงา่ ย 3. เขยี นให้ครอบคลมุ เรอ่ื งหรือประเดน็ ปญั หาท่ตี อ้ งการศึกษา และชีเ้ ฉพาะเจาะจงว่าผู้วิจัยตอ้ งการจะทาอะไร ต้องการคน้ หาคาตอบอะไร 4. มคี วามเปน็ ไปได้ มีขอบเขตท่ีพอเหมาะและสามารถหาข้อมูลเพื่อตอบคาถามหรือทดสอบได้ 5. เปน็ แนวทางในการตงั้ สมมติฐานการวิจัย การพิจารณาเลือกกลุ่มตัวอย่างและการเลอื กใชส้ ถติ เิ พ่อื การวเิ คราะหข์ อ้ มูลได้
6 ตัวอย่างชือ่ เรอ่ื ง : การพัฒนาส่ือการเรยี นการสอน รายวชิ า 3204-2004 ระบบฐานข้อมลูวัตถปุ ระสงค์ : 1. เพอ่ื สร้างและพฒั นาสือ่ การเรยี นการสอน รายวิชา 3204-2004 ระบบฐานขอ้ มลู 2. เพอื่ สอบถามความพงึ พอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อส่ือการเรียนการสอน รายวิชา3204-2004 ระบบฐานข้อมูลช่อื เรือ่ ง : การพฒั นาโปรแกรมร้านกาแฟวัตถุประสงค์ : 1. เพ่ือสร้างและพัฒนาโปรแกรมรา้ นกาแฟ 2. เพ่อื สอบถามความพึงพอใจของผใู้ ช้ทมี่ ีต่อโปรแกรมร้านกาแฟ
75.3 ขอบเขตของการวิจัย (ขอบเขตการสร้างสิง่ ประดษิ ฐ์และการประเมินประสทิ ธภิ าพส่ิงประดิษฐ)์ เปน็ การกาหนดกรอบของการดาเนนิ การวิจัย โดยกาหนดขอบเขตของการวิจัยว่าจะศึกษาประเด็นอะไร กวา้ งขวางเพยี งใด หลักเกณฑ์การเขยี นขอบเขตของการวิจยั การเขยี นขอบเขตของการวิจยั ต้องระบสุ ง่ิ ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ขอบเขตของประชากรทีจ่ ะใช้ในการศึกษาวิจัยให้ชัดเจนว่าประชากรคืออะไร มีจานวนเท่าไร ถ้าระบุได้ 2. ขอบเขตของเน้ือหาวา่ จะศกึ ษาเร่ืองอะไร กว้างขวางหรอื ลึกซ้ึงมากน้อยเพยี งใด 3. ขอบเขตของพื้นที่หรือสถานทใี่ นการศึกษา ซึ่งจะสะทอ้ นถึงแหล่งเก็บข้อมูล หรือประเด็นสาคัญของปัญหาการวิจัย อาจลงลึกถึงลักษณะสาคัญของตัวแปรเบื้องต้นได้แต่ ไม่ จาเป็นต้องจาแนกรายละเอยี ด 4. ช่วงระยะเวลาในการดาเนินการศึกษาวจิ ยั 5. ขอบเขตที่จาเป็นอ่นื ๆ หรอื ขอ้ จากัดต่าง ๆ (ถ้ามี)
8ตวั อยา่ งขอบเขตของการวิจยั การศึกษาเรอ่ื งการพัฒนาส่อื การเรียนการสอน รายวิชา 3204-2004 ระบบฐานข้อมูลผตวู้ ัวจิ อยั ยได่าก้งาหนดขอบเขตของการวิจัยดงั ต่อไปนี้ 1. ขอบเขตประชากร การวจิ ัยครงั้ นี้เปน็ การศึกษาการพฒั นาสอื่ การเรยี นการสอน รายวชิ า 3204-2004ระบบฐานข้อมูล ประชากรท่ใี ชใ้ นการศึกษาครง้ั น้ี ไดแ้ ก่ นกั ศกึ ษา แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ ท่กี าลังศกึ ษาในระดบั ชัน้ ปวส. 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2560 จานวน 102 คน กลมุ่ ตัวอย่างทใ่ี ช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ นกั ศึกษา แผนกวิชาคอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ ท่ีกาลงั ศึกษาในระดบั ชั้น ปวส. 1/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2560 จานวน 34 คน 2. ขอบเขตเนือ้ หา การวจิ ัยครัง้ น้ี เป็นการศกึ ษาการพัฒนาส่อื การเรียนการสอน รายวิชา 3204-2004ระบบฐานขอ้ มูล หลักสูตรประกาศนยี บตั รวิชาชพี ช้ันสูง สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 3. ขอบเขตพื้นที่ พนื้ ทีใ่ นการดาเนนิ การวจิ ัยคร้ังนค้ี ือ วทิ ยาลยั อาชีวศึกษานครราชสมี า 4. ขอบเขตระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ตง้ั แตเ่ ดอื นตลุ าคม 2560 ถึงเดอื นกุมภาพนั ธ์ 2561
95.4 ตัวแปรท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ตัวแปร (variable) หมายถงึ คาหรอื ข้อความที่แสดงข้อมูลที่แปรเปลี่ยนได้ หรือแสดงข้อมูลท่มี คี ่าได้มากกวา่ 1 ค่า เช่น เพศ เปน็ ตัวแปร เพราะมี 2 เพศ คอื เพศหญิงและเพศชาย ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เปน็ ตัวแปร เพราะนกั เรยี นแต่ละคนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนตา่ งกัน หรอื นักเรียนคนเดยี วอาจจะมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเปลย่ี นแปลงไดเ้ ม่อื ได้รบั การพฒั นา ในการวิจยั ตวั แปร คอื สิง่ ท่ีผูว้ จิ ยั มงุ่ ศกึ ษา ตวั แปรมีหลายประเภท โดยท่ัวไปตัวแปรท่ีใช้ในการวจิ ยั แบง่ เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรต้น (Independent variable) เป็นตัวแปรต้นเหตุทีจ่ ะทาใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงหรือการผนั แปรของตัวแปรอีกตวั หน่ึงที่เรยี กวา่ ตัวแปรตาม 2. ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรท่ีเป็นผลจากการกระทาของตัวแปรอสิ ระ
10หลักการเขียนตัวแปร 1. ถา้ สามารถระบุประเภทของตัวแปรได้ ให้ระบไุ ว้อยา่ งชัดเจตว่าตวั แปรใดเป็นตัวแปรอิสระตวั แปรใดเป็นตวั แปรตาม แต่ถา้ ไมส่ ามารถระบปุ ระเภทของตัวแปรได้ ให้ใช้คาว่า ตัวแปรท่ีศกึ ษาตัวอย่าง ชอื่ เรอ่ื ง การพฒั นาสือ่ การเรียนการสอน รายวชิ า 3204-2004 ระบบฐานข้อมูล วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั : 1. เพื่อสร้างและพัฒนาสอ่ื การเรยี นการสอน รา ยวิชา3204-2004 ระบบฐานขอ้ มูล 2. เพ่ือสอบถามความพงึ พอใจของผู้เรยี นทม่ี ีต่อสอื่ การเรียนการสอน รายวิชา3204-2004 ระบบฐานข้อมลู ตัวแปรทีศ่ กึ ษา คือ การเรียนโดยใชส้ ่ือการเรียนการสอน รายวิชา 3204-2004 ระบบฐานข้อมลู ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การเรียนโดยใช้สื่อการเรียนการสอน รายวิชา 3204-2004ระบบฐานขอ้ มูล ตวั แปรตาม คือ ความพงึ พอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อส่ือการเรียนการสอนรายวิชา 3204-2004 ระบบฐานขอ้ มลู 2. ตวั แปรท่ีเลอื กมาศึกษาต้องมีเหตุผล หรอื ขอ้ มูลสนับสนุนเพียงพอ เช่น ตัวแปรอิสระเพศ การศึกษา และอาชีพ จากตัวอย่างข้อ 1 ผู้วิจัยต้องมีเหตุผล หรือข้อมูลสนับสนุนเพียงพอว่าทาไมถงึ เชอื่ วา่ ประชาชนท่มี ีเพศ การศึกษา และอาชีพ ต่างกัน มีความร่วมมือต่างกัน เหตผุ ล หรือขอ้ มลู สนบั สนนุ ตอ้ งมาจากการศึกษามาแลว้ อย่างละเอียด
11 ตัวอยา่ ง ตวั แปรท่ใี ชใ้ นการวิจยั การศึกษาปจั จยั ทสี่ ง่ ผลต่อประสิทธภิ าพในการปฏิบัติงานของข้าราชการรมควบคมุ การปฏิบตั ิทางอากาศ กองทพั อากาศ มีตัวแปร ดงั นี้ 1. ตวั แปรอสิ ระ (Independent Variables) ไดแ้ ก่ ปจั จยั ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับ ประสิทธภิ าพในการปฏิบตั ิงานไดแ้ ก่ 1.1 ความรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั การปฏิบัตงิ าน 1.2 ความพึงพอใจในการปฏบิ ตั งิ าน 1.3 ขวัญในการปฏิบตั งิ าน 1.4 ความกา้ วหนา้ ในการปฏิบตั งิ าน 1.5 ความมั่นคงและความปลอดภัยในการปฏบิ ตั ิงาน 1.6 ความสัมพันธ์กับเพ่อื นรว่ มงาน 1.7 การบริหารงานของผู้บังคบั บัญชา 1.8 นโยบายและกฎ ระเบียบของหนว่ ยงาน 1.9 สภาพแวดลอ้ มในการปฏิบตั ิงาน 2. ตวั แปรตาม (Dependent Variables) ได้แก่ ประสิทธภิ าพในการปฏิบัตงิ านของ ข้าราชการกรมควบคุมการปฏบิ ัติทางอากาศ มี 3 ดา้ น ได้แก่ 2.1 ดา้ นความรับผิดชอบ 2.2 ดา้ นความสาเรจ็ 2.3 ด้านการยอมรบั นับถอืท่มี า : ประชิด ป้องเคน. (2552 : 4)
125.5 ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ บั การเขยี นประโยชนข์ องการวิจัยเป็นการสอ่ื สารให้ทราบว่า เมื่อได้ศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้วสามารถนาผลการวจิ ัยไปใชป้ ระโยชน์อะไรได้บ้าง ประเด็นน้ีอาจนับได้ว่าเป็นประเด็นที่สาคัญมากประเด็นหนง่ึ ของเคา้ โครงวิจยั เพราะเป็นประเด็นทีใ่ ชป้ ระเมินวา่ งานวจิ ยั เรื่องนี้จะมีผลอะไรที่นามาใช้ประโยชน์ได้ และหรือมปี ระโยชนม์ ากน้อยเพียงใด ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัยที่ระบุไว้จะเป็นส่วนบง่ ชีถ้ ึงความสาคัญและความจาเปน็ ทีต่ ้องทาการวิจัยปัญหาน้ัน ๆ การวิจัยท่ีให้ประโยชน์ในการนาไปใชไ้ ด้มาก ถอื ว่าเป็นการวจิ ัยท่สี าคัญและควรดาเนนิ การกอ่ น การกล่าวถึงความสาคัญของการวิจยัมักจะอยู่ในรูปของการคาดคะเนว่าถ้าการวิจัยนั้นได้ผลตรงตามวตั ถุประสงค์แล้วจะได้ความรู้อะไรและหรือใครหรอื ส่วนงานใดจะสามารถนาไปใชใ้ นลักษณะใดไดบ้ า้ ง ประโยชน์หรอื ความสาคญั ของการวิจัยจาแนกเปน็ 2 ประเภทคือ 1. ประโยชน์ทางวิชาการ หมายถึงองค์ความรูท้ ี่ชว่ ยเพิ่มพูนความร้ใู นเร่ืองใดเร่ืองหนงึ่ 2. ประโยชนท์ างนโยบายหรือการนาไปใช้แกป้ ัญหา หมายถึงความรู้หรือข้อค้น พบท่ีได้สามารถนาไปสู่การแก้ปญั หา หรือการกาหนดนโยบายของหน่วยงานหรือองค์กรหลกั เกณฑก์ ารเขียนประโยชนข์ องการวิจยั 1. เขยี นในแง่ความรทู้ ่ีจะไดร้ บั จากการวจิ ยั วา่ จะให้ข้อเท็จจริง หรือช่วยเพ่ิมพูนความรู้เรอ่ื งใดได้บ้าง 2. เขยี นในแงข่ องการนาผลการวิจยั ไปประยุกต์ใช้ โดยการกล่าวถึงผลทีไ่ ด้จากการวจิ ยั น้ันว่าจะเป็นประโยชน์ตอ่ ใคร เปน็ ประโยชนอ์ ย่างไร ใครหรือส่วนงานใดจะนาข้อค้นพบไปใช้ประโยชน์ ในลกั ษณะใดได้บ้าง 3. ข้อคน้ พบ ตามข้อ 1. และข้อ 2. ต้องสอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั กลา่ วคือผ้เู ขียนจะต้องพิจารณาวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั แต่ละข้อวา่ ก่อให้เกิดความรอู้ ะไร แล้วจึงพิจารณาต่อไปวา่ ความรู้นั้นเป็นประโยชนต์ ่อใครและสามารถนาไปใช้ในเรื่องใดไดโ้ ดยไมเ่ ขยี นจนเกินความเปน็ จริง
13 ตัวอยา่ งประโยชนข์ องการวิจยั การศกึ ษาความสมั พันธ์ระหว่างบรรยากาศองคก์ ารกับการมสี ่วนร่วมในการประหยดั พลงั งานของพนักงานธนาคารนครหลวงไทย อาคาสวนมะลิ คร้ังนีม้ ปี ระโยชน์ดงั นี้ 1. นาขอ้ มลู ความคดิ เหน็ ตอ่ บรรยากาศองคก์ ารของพนักงานธนาคารนครหลวงไทย อาคารสวนมะลิ ไปพัฒนาบรรยากาศองค์การใหด้ ขี ้ึน 2. นาข้อมูลการมสี ว่ นรว่ มของพนกั งานธนาคารนครหลวงไทย อาคารสวนมะลิ ไปปรบั ปรงุกระบวนการใหพ้ นักงานมีส่วนรว่ มมากขน้ึ 3. เปน็ แนวทางในการวางแผนเกยี่ วกับบรรยากาศองค์การให้สอดคล้องกบั การมสี ว่ นร่วมของพนักงาน เพื่อให้การดาเนินการในโครงการตา่ ง ๆ ขององค์การเปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพทม่ี า : วชั ระ ภริ มย์ไกรภกั ดิ์. (2551 : 3)
14 5.6 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ เป็นการเขยี นอธิบายความหมายของคา กลุม่ คา ข้อความ หรือ ตัว แปรที่ศกึ ษาเพื่อส่ือความหมายให้เข้าใจตรงกนั ระหว่างผวู้ ิจัยกับผ้อู ่าน การนยิ ามศัพท์เฉพาะถือเป็นส่วนหนึ่งในการนิยามหรอื การชี้เฉพาะเจาะจงปัญหาการวจิ ัย การนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ มี 2 แบบ คอื 1. นิยามศัพท์ตามทฤษฎี (Constitutive definition) หรือนิยามศัพท์ท่ัวไป (General definition)เปน็ การอาศัยความคิดเดิมที่เป็นท่ียอมรับกันทั่วไปหรือใช้ความตามทฤษฎี ตามผู้เชี่ยว ชาญ มาให้ความหมายท่เี ป็นการบอกคณุ ลักษณะเฉพาะท่ีสาคญั ของตวั แปร คาศัพท์ หรือข้อความเฉพาะน้ัน ๆทานองเดียวกบั การให้นยิ ามตามพจนานกุ รม 2. นิยามศัพทป์ ฏิบตั ิการ (Operational definition) เป็นการให้ความหมายในเชิงรูปธรรม หรอือธิบายลักษณะกิจกรรมทสี่ ามารถวัดได้ สังเกตได้ของตวั แปรน้นั การใหน้ ิยามระดับนี้ถือว่า จาเป็นมากสาหรบั ศพั ทเ์ ฉพาะของตวั แปรทีเ่ ปน็ นามธรรม ผู้เสนอเค้าโครงอาจนานยิ ามทั่วไปมาอธบิ ายความหมายอย่างละเอียดอีกครง้ั หนึง่ โดยกาหนดสถานการณ์ เง่ือนไขหรอื สงิ่ ที่เป็นต้นเหตุทาให้เกดิ คณุ ลกั ษณะนนั้พรอ้ มทั้งระบุพฤติกรรมท่สี ามารถสังเกตและวัดได้ หลกั เกณฑ์การเขยี นนยิ ามศัพท์เฉพาะ 1. ตัวแปรท่เี ป็นนามธรรมจะต้องให้นยิ ามท้งั ระดบั นิยามศัพทท์ วั่ ไป และนยิ ามศพั ท์ปฏบิ ตั กิ าร 2. กรณีที่ใช้นยิ ามของผู้อ่นื ให้เขียนอา้ งอิงไว้ด้วย 3. ใหน้ ยิ ามศัพท์ คาหรือข้อความที่ตอ้ งการให้ผอู้ า่ นเขา้ ใจตรงกบั ผู้วิจยั 4. การเขยี นนยิ ามศัพท์เฉพาะไม่ต้องมตี ัวเลขกากับคา หรือขอ้ ความทนี่ ยิ ามศัพท์เฉพาะ
15 ตวั อย่าง เจตคติตอ่ วชิ าคอมพวิ เตอร์ หมายถึง ความรู้สกึ หรือความคดิ เหน็ ท่มี ตี ่อวชิ าคอมพวิ เตอร์เก่ียวกับ คณุ ประโยชน์ ความสาคญั ของเนือ้ หาและกิจกรรม โดยวดั ได้จากแบบวัดเจตคตติ ่อวิชาคอมพิวเตอร์ท่ผี ้วู จิ ยั สร้ างขึน้ ซ่งึ ผ้เู รียนอาจมีเจตคติตอ่ ด้านตา่ ง ๆ ในทางบวกหรือทางลบ อยา่ งใดอย่างหน่ึง ดังนี ้ เจตคติด้าน คณุ ประโยชน์ เจตคติด้านเนือ้ หา เจตคตดิ ้านกิจกรรมทมี่ า : ชูศรี วงศ์รัตนะ. 2549 : 39 5.7 บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง บทนเี้ ป็นการนาเสนอแนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้องท่ีใช้เป็นกรอบในการวิจัย ต้องเรียบเรยี งสรุปกรอบความคดิ หลักการ การเขยี นตอ้ งเปน็ การเรยี บเรียงเน้ือหาเหมือนกับ การเขียนบทความทางวิชาการไม่ควรลอกเนื้อหามาต่อกันเป็นท่อนๆ หัวข้อสาคัญควรจะ ประกอบด้วย - แนวความคดิ หรอื ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องทน่ี ามาใชใ้ นงานวจิ ยั - ผลการวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ งกบั ส่ิงท่นี ามาใช้ในการแกป้ ัญหา
16 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกยี่ วขอ้ ง เปน็ การเขียนรายงานผลการศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เห็นว่างานวิจัยเรอื่ งนีม้ แี นวคดิ ทฤษฎี หรือผลงานวจิ ยั อ่ืน ๆ เปน็ พ้ืนฐานการวางแผนการวจิ ัยอย่างไรและเพียงใด ความสาคัญของการนาเสนอเนอื้ หาในบทนี้ นอกเหนือจากจะชี้ให้เห็นแนวคิด ทฤษฎีและผลงานวจิ ัยทเี่ ปน็ พ้ืนฐานของงานวิจัยเร่ืองนั้นแล้ว ยังจะเป็นข้อมูลท่ีช่วยให้คณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธม์ ีความมั่นใจว่า ผู้เสนอเค้าโครงวิจัยน้ัน ๆ มีข้อมูลและแนวทางเพียงพอท่ีจะดาเนนิ การวิจยั ได้ การเขยี นรายงานผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้องน้ี ผเู้ สนอเค้าโครงวจิ ัยตอ้ งคัดสรรสงิ่ ท่ีจะเขียนใหด้ ีทงั้ ส่งิ ท่ไี ดจ้ ากเอกสารท่ีเป็นงานวิจัยและเอกสารทไ่ี ม่ใชง่ านวิจัย โดยเขยี นในลกั ษณะสงั เคราะหส์ ิง่ ที่คน้ ควา้ มา ไมใ่ ชเ่ ป็นเพียงการนาสิง่ ทค่ี น้ คว้ามาเขยี นเรยี งต่อ ๆ กันไปเรอ่ื ย ๆกอ่ นลงมือเขยี นจรงิ ควรเรม่ิ ด้วยการวางโครงเรอ่ื งให้สอดคล้อง เหมาะสมกับปัญหาวิจัยโดยกาหนดโครงเรื่องเป็นหวั ขอ้ ต่าง ๆ ซึ่งมีทัง้ หวั ขอ้ ใหญ่ หัวขอ้ รอง และ หัวขอ้ ย่อย การนาเสนอรายละเอยี ดควรเรม่ิ ต้นด้วยความนาหรืออารมั ภบทว่า จะนาเสนออยา่ งไร แบ่งเปน็ กตี่ อน แต่ละตอนมีหวั ข้อใดบ้าง เป็นตน้
17หลกั เกณฑก์ ารเขียนเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง 1. บทท่ี 2 จะต้องประกอบดว้ ยอย่างน้อย 2 ส่วนคอื แนวคดิ ทฤษฎีทเ่ี กีย่ วข้องกับหัวข้อวิจัย และผลงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั หัวข้อวจิ ยั กรณีงานวจิ ัยทีเ่ สนอเคา้ โครงวจิ ยั ทตี่ ้องตง้ั สมมติฐานการวิจัยให้เขียนสมมตฐิ านการวิจยั ไว้ในบทท่ี 1 ตอ่ ท้ายกรอบแนวคิดในการวจิ ัย 2. การเขียนแนวคดิ ทฤษฎีทีเ่ กย่ี วข้อง จะต้องประกอบด้วย 2.1 ความหมายของสิง่ ท่ีจะวจิ ัย (หรือเร่อื งท่ีจะวิจัย) 2.2 แนวคิดทฤษฎี เก่ยี วกบั สิ่งท่ีจะวิจยั 2.3 ระเบียบวธิ หี รอื เทคนคิ วิธีการวจิ ัยเฉพาะเร่ือง (ถา้ มี) 3. การเขียนผลงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง จะต้องประกอบด้วยผลงานวิจัยท้ังในประเทศ และต่างประเทศ 4. การนาเสนอที่ดีเป็นการนาเสนอในลักษณะสังเคราะห์เนื้อหาตามประเด็นการ ศึกษาท่ีเป็นวตั ถปุ ระสงคห์ รือสมมตฐิ านการวิจยั ไมใ่ ชก่ ารนาเสนอผลเป็นรายบุคคลตามลาดบั ตวั อักษร หรอื ตามรายปี 5. การเขียนสรปุ ตอนทา้ ยของแตล่ ะประเดน็ ท่ีนาเสนอ ผวู้ ิจัยตอ้ งใชภ้ าษาของผวู้ ิจยั เอง 6. การอ้างอิงแหล่งที่มาของเอกสาร และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้องต้องเขียนให้ถูกต้อ งตามรปู แบบทกี่ าหนด
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: