Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 2

หน่วยที่ 2

Published by นายบุญนำ โตสูง, 2022-08-30 05:45:31

Description: หน่วยที่ 2

Search

Read the Text Version

2.1 ลกั ษณะธรรมชาตขิ องมนุษย์ 2.2 ความต้องการของมนุษย์ 2.3 ความแตกต่างระหว่างบคุ คล 2.4 พฤตกิ รรมของมนุษย์ 2.5 ธรรมชาติของมนุษย์กบั หลักธรรม 2.6 แนวทางการประยุกต์ “ธรรมชาติของมนุษย์” เพ่อื พฒั นาตนและ ส่งิ แวดล้อมในชุมชน โดยใช้หลกั “ความพอเพยี ง

มนษุ ย์เป็ น อินทรีย์พลวัต (Dynamic Organism) หมายถึง ร่างกายที่มีความเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา เพือ่ ทีจ่ ะดิ้นรนแสวงหาส่ิงต่าง ๆ มาตอบสนองต่อความตอ้ งการหรือความอยากต่าง ๆ ทีไ่ ม่ มีทีส้ินสดุ ตณั หาหรือความอยากนีเ้ อง 2.1.1 องค์ประกอบของมนุษย์ มนุษย์ประกอบได้ด้วยขันธ์ห้า ได้แก่ (สาโรช บวั ศรี, 2526 : 11) 1. รูป (Form) คือ ร่างกายหรือส่วนทีจ่ บั ตอ้ งได้ เห็นได้ หรือจะเรียกว่า เป็นส่วนของเนือ้ หนงั 2. เวทนา (Feeling หรือ Sensation) คือ ความรู้สึกเป็นทกุ ข์ เป็นสขุ รวมเรียกว่าอารมณ์ 3. สัญญา (Perception) คือ ความจา 4. สังขาร (Mental Formations) คือ ความคิด 5. วญิ ญาณ (Consciousness) คือ ความรู้ตวั หรือการรับรู้

2.1.2 ความสุขท่มี นุษย์แสวงหา มนุษย์มีธรรมชาติอีกประการคือ จะแสวงหาความสุขให้กับตนเองและต้องการหลีกเลี่ยง ความทุกข์ ซ่ึงความสุขทมี่ นุษย์แสวงหามีเป็ นลาดับ ดังนี้ 1. ความสุขเกิดจากความต้องการทางร่ างกาย เช่น การกิน การดื่ม การนอน การร่วม ประเวณี 2. ความสุขเกดิ จากการสนองความต้องการทางจติ ใจ เช่น การพกั ผ่อนหย่อนใจ ฟังดนตรี กีฬา ทอ่ งเท่ยี ว เข้าสงั คม 3. ความสุขเกิดจากการสนองความต้องการทางปัญญา เช่น การศึกษาค้นคว้าทาง วิชาการ การค้นพบส่ิงใหม ๆ การคดิ หาเหตผุ ลจนสามารถรู้แจ้งในธรรมชาตขิ องส่งิ ทงั้ หลาย เป็ นต้น 4. ความสุขเกิดจากการหมดความต้องการหรือหมดตัณหา อันได้แก่ วิมุตติ วิสุทธิ นิพพานและวราคะ

2.1.3 ธรรมชาติโดยท่วั ไปของมนุษย์ 1. มีความอิจฉาริษยาและต่อต้านผู้อ่นื ท่ดี กี ว่าตน ดังท่ี หลวงวิจติ รวาทการ กล่าวว่า “อย่าทาตัวดีเด่น…จะเป็ นภยั เพราะไม่มีใคร…อยากเหน็ เราเด่นเกิน” 2. มีสัญชาตญาณแห่งการทาํ ลาย ชอบความหายนะ 3. ต่อสู้หรือต่อต้านความเปล่ยี นแปลง 4. มีความต้องการทางเพศและความตองการด้านร่างกายอ่นื ร่วมด้วย 5. มีความหวาดกลัวอิทธิพลผู้มีอํานาจ ภัยต่างๆ ภัยธรรมชาติ ภตู ผี ปี ศาจ ไศยศาสตร์ และจะกระทาํ ทุกส่งิ ทุกอย่างเพ่อื ให้ตนพ้นภยั

6. กลัวความเจบ็ ปวด ความทุกขทรมาน ความยากลาํ บาก และความตาย 7. มีความโหดร้ายทารุณ ป่ าเถ่ือน ชอบซาํ้ เติม 8. ชอบทาํ อะไรตามสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบยี บบงั คบั 9. ชอบความต่นื เต้น หวาดเสยี ว ผจญภยั ทองเท่ยี ว ประสบการณในชวี ติ แปลกใหม่ 10. มีนิสยั อยากรู้ อยากเหน็ อยากทดลอง

นอกจากนน้ั แล้ว มนษุ ย์ยงั มีลกั ษณะสาคญั ประการหน่ึงคือ “มกั จะเข้าข้างตนเองเสมอ และไม่ ชอบให้ใครตาหนิติเตียนตนเอง” หากมีใครตาหนิมกั จะหาเหตผลแก้ตัวให้พ้นขอครหานน้ั ๆ “หากแต่ ขณะเดียวกันก็มกั จะมองเห็นแต่ความผิด... ความไม่ดีของผู้อื่น” อยู่เสมอเนื่องจาก “แรงขบั ของการ ตอ้ งการมีชีวิตอย่แู ละแรงขบั แห่งความก้าวร้าวทาร้ายทาลายผอู้ ืน่ เพียงเพือ่ ใหบ้ คุ คลอืน่ และตนเองคิดและ รู้สึกว่า“ตนนนั้ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหนือผูอ้ ืน่ ” มนษุ ย์มีธรรมชาติและเป็นเช่นนีม้ านานแล้ว ดงั คากล่าวในโคลงโลกนิติทีก่ ล่าวว่า โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา ปองติฉินนินทา ห่อนเว้น โทษตนหนักเท่าภผู า หนักย่งิ ปองปิ ดคดิ ซ่อนเร้น เรื่องร้ายหายสูญ

สรุปได้ว่า ธรรมชาติของมนษุ ย์มีทงั้ ดีและไม่ดี “มนษุ ย์ทุกคนไม่มีใครดีทง้ั หมด ไม่มีใครที่ดี พร้อม ทกุ อย่างและไม่มีใครเลวหมดไปเสียทกุ อย่างจนหาขอ้ ดีไม่ไดท้ กุ คนลว้ นมีขอ้ ดีขอ้ ดอ้ ย เพียงแต่ด้าน ใดจะมากน้อยกว่า สืบเนือ่ งมาจากการอบรมเลี้ยงดู และปัจจัยสภาพแวดล้อม ดงั คากล่าวของ ท่านพทุ ธทาสภิกขุ เกี่ยวกบั มนษุ ย์ว่า

2.2.1 ความหมายของความต้องการของมนุษย์ ความต้องการ หมายถึง ความอยากได้ ใคร่ได้ หรือประสงค์จะได้ และเมื่อเกิดความรู้สึกดงั กล่าว จะทาใหร้ ่างกายเกิดการความขาดสมดลุ เนือ่ งมาจากมีส่ิงเร้ามากระต้นุ มีแรงขบั ภายในเกิดข้ึน ทาใหร้ ่างกาย ไม่อาจอยู่น่ิง ตอ้ งพยายามด้ินรนและแสวงหาเพื่อตอบสนองความตอ้ งการนนั้ ๆ เมื่อร่างกายได้รับตอบสนอง แล้ว ร่างกายมนุษย์ก็กลับสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งหน่ึง และก็จะเกิดความต้องการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาทดแทน วนเวียนอย่ไู ม่มีทีส่ ้ินสดุ (ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน, 2526 : 323) ความอยากได้

คนทาํ งานเพ่ือสนองความต้องการของตน ทาํ งานเพ่ือเงิน เพราะเป็ นส่ือกลางของ การแลกเปล่ียนส่ิงต่าง ๆ ท่ตี ้องการ แต่ไม่ใช่เพ่ือเงินอย่างเดียวเสมอไป เพราะความต้องการ ของมนุษย์มี 3 ประการ คือ 1. ความต้องการทางด้านร่างกายหรือความต้องการทางสรีระ (Physical or Physiological Needs) หรือความต้องการปฐมภูมิ (Primary Needs) หรือความต้องการทางด้านชีววิทยา (Biological Needs) หรือความต้องการทางกายภาพ ปัจจยั 4 ท่จี าํ เป็ นต่อการดาํ รงชีวติ ของมนุษย์

2. ความต้องการทางด้านจติ ใจ หรือความต้องการในระดับสูง หรือความต้องการทางด้าน จิตวิทยา หรือความต้องการทุติยภูมิ หรือความต้องการท่ีเกิดใหม่ (Psychological Needs or Secondary Needs or Acquired Needs) 3. ความต้องการทางสังคม

2.2.2 ความต้องการตามแนวความคดิ ของมาสโลว์ อบั ราฮมั มาสโลว (Dr. Abraham H. Maslow) นกั จิตวิทยากล่มุ มนษุ ยนิยม ได้อธิบาย เรื่องความต้องการของมนษุ ย์ว่าเป็ นลาดบั ทงั้ หมด 5 ขนั้ (Five General System of Needs) โดย เขียนเป็ นรูปพีระมดิ แหง่ ความต้องการไว้ แสดงความต้องการขนั้ พืน้ ฐานของมนษุ ย์ (Basic Needs) เป็ นทฤษฎีการจงู ใจ ซ่ึงเป็ นคนแรกที่ได้เขียนขนึ ้ เรียกว่า “Maslow's General Theory of Human & Motivation” (เสถียร เหลืองอร่าม, 2519 : 325) มาสโลว์กาหนดหลกั การว่าบุคคลพยายามสนอง ความต้องการของตนเพื่อความอยรู่ อดและความสาเร็จของชีวิต

ลาํ ดบั ขัน้ ความต้องการของมนุษย์

ความต้องการมูลฐาน 5 ขัน้ ของมาสโลว์ 1. ความต้องการพนื้ ฐานทางสรีระ (Basic Physiological Needs or Biological Needs, Physical Needs) คือ ความต้องการบาบดั ความหิวกระหาย ต้องการพกั ผอ่ น ต้องการเรื่องกามารมณ์ ต้องการบาบดั ความเจ็บปวดและความไมส่ มดลุ ทางร่างกายตา่ ง ๆ 2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs and Security) คือ ต้องการความมนั่ คง ต้องการการป้ องกนั อนั ตราย ต้องการระเบียบ ต้องการทานายอนาคต 3. ความต้ องการความรักและความเป็ นเจ้าของ (Love and Belonging Needs or Social Needs) คอื ต้องการเพื่อน ผ้รู ่วมงาน ครอบครัว ต้องการเป็ นทย่ี อมรับของกลมุ่ ต้องการใกล้ชิด กบั เพศตรงข้าม

4. ความต้ องการการยกย่ องสรรเสริ ญ (Esteem Needs, Self–Esteem Needs) คือ ต้องการความนบั ถือ ต้องการความมน่ั คงซึ่งอย่บู นพืน้ ฐานของความเห็นของบุคคลโดยทวั่ ไป ต้องการ ความพอใจ คาชมเชยความนยิ ม ต้องการความมนั่ ใจในตนเอง ต้องการคณุ คา่ ในตนเอง ต้องการยอมรับ 5. ความต้องการความสมหวังในชีวิต (Self–Actualization Needs, Self–Realization, Self– Fulfillment Needs) คือ ต้องการไปให้ถึงความสามารถสงู สดุ ของตนเอง ต้องการท่ีจะพฒั นาศกั ยภาพ ของตน ต้องการทาส่ิงที่เหมาะสมที่สดุ ต้องการความงอกงามและขยายความต้องการให้ถึงท่ีสดุ ค้นพบ ความจริง สร้างสรรค์ความงาม สง่ เสริมความยตุ ิธรรม สร้างระเบียบ

มนษุ ย์ทกุ คนมีความแตกตา่ งกนั แล้วแตเ่ หตแุ ละปัจจยั สภาพแวดล้อม มนษุ ย์มีความแตกตา่ ง กนั ในด้านตา่ ง ๆ กนั ซง่ึ กฤษณา ศกั ดิ์ศรี (2534 : 124–125) กลา่ ววา่ มนษุ ย์แตกตา่ งกนั ในเร่ืองตอ่ ไปนี ้ 1. รูปร่ าง หน้ าตา ท่าทาง (Appearance) ลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ขึน้ อยู่กับ พนั ธุกรรมและสิ่งแวดล้อมท่ีมีความต่างกนั เช่น ความสงู สีผิว ใบหน้า บคุ ลิกภาพ ความพิการ แต่ก็เป็ น มนษุ ย์ท่มี สี ทิ ธิ เสรีภาพ และความเป็ นคนเสมอภาคกนั ความแตกต่างทางกายภาพ

2. อารมณ์ (Emotion) มนษุ ย์มอี ารมณ์ตา่ งกนั บางคนอารมณ์เย็น อารมณร้อน โมโห ฉุนเฉียว โกรธงา่ ย การแสดงออกตา่ งกนั ทาให้บคุ ลกิ แตกตา่ งกนั 3. นิสัย (Habit) มนษุ ย์แตกต่างกนั บางคนนิสยั ดี ขยนั ซ่ือสตั ย์สจุ ริต แต่บางคนนิสยั โหดร้าย คดโกง ไว้ใจไมไ่ ด้ อจิ ฉาริษยา 4. เจตคติ (Attitude) หรือท่าทีความรู้สึกท่ีมีต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึงแล้วแสดงออกแตกต่างกัน ทงั้ รายบคุ คล และกลมุ่ บคุ คล 5. พฤติกรรม (Behavior) ของมนษุ ย์ขนึ ้ อยกู่ บั แรงจงู ใจของแตล่ ะคน 6. ความถนัด (Aptitude) มนษุ ย์เกิดมามีความถนดั ตามธรรมชาติที่ติดตวั มาตา่ งกนั หากได้ ทางานตามท่ถี นดั จะทาได้ดี ทงั้ หมดนจี ้ ะสง่ ผลทางด้านจิตใจด้วย

7. ความสามารถ (Ability) มนุษย์มีความสามารถต่างกัน เน่ืองจากด้านร่างกายแข็งแรง ไมเ่ ทา่ กนั ผ้ทู ีแ่ ขง็ แรงกวา่ ยอ่ มทางานหนกั ได้มากกว่าผ้อู อ่ นแอ 8. สุขภาพ (Health) มนษุ ย์ยอ่ มมีสขุ ภาพทงั้ ร่างกายและจิตใจต่างกนั แข็งแกร่ง อ่อนแอไม่เท่ากนั บางคนรูปร่างผอม มีโรคภยั ประจาตวั 9. รสนิยม (Taste) ไม่ควรดหู มิ่น เหยียดหยาม เยาะเย้ย ถากถาง ตาหนิ รสนิยมของผู้อ่ืน ต้อง เคารพสิทธิ ผ้อู ืน่ เพราะทกุ คนมสี ทิ ธิชอบธรรมทจี่ ะชอบหรือไมช่ อบสิ่งตา่ งๆได้ 10. สงั คม (Social) มนุษย์มีสงั คมและส่ิงแวดล้อมท่ีแตกต่างกนั เป็ นสาเหตุให้เกิดความขดั แย้ง ไม่สามารถเข้ากันหรอสมั พนั ธ์กันได หากขาดความรู้ ความเข้าใจ ไม่ยอมรับกนั จะทาให้เกิดการ ดหู ม่ินเหยียดหยาม ไมเ่ คารพสิทธิ ไมใ่ ห้เกียรตหิ รือเคารพนบั ถือกนั และไมย่ อมรับในความแตกตา่ ง

2.3.1 สาเหตุของความแตกต่างของมนุษย์ 1. เชอ้ื ชาติ ทาใหม้ นษุ ย์มีรูปร่าง ใบหนา้ สีผิว สีผม แตกต่างกนั 2. ศาสนา หล่อหลอมให้มนษุ ย์มีความเชื่อถือ ความคิดให้ยึดม่นั ต่างกนั ขึ้นกับว่าแต่ละศาสนา อบรมสง่ั สอน 3. การกระทา ได้แก่ การประพฤติปฏิ บัติอยู่เป็ น ประจาสม่าเสมอ เช่น ผู้ที่ฝึ กหดั ให้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย หรือท่าทางทีส่ ง่าผ่าเผย ก็จะเป็นผมู้ ีกิริยาสง่าผ่าเผย 4. วัยผู้ใหญ่ย่อมมีประสบการณ์ ความสุขุมเยือกเย็น ผ่านชีวิตมามากกว่า จึงแตกต่างกบั เด็กหรือผู้ทีม่ ีวยั อ่อนกว่า เนือ่ งจากความคิดและวฒุ ิภาวะต่างกนั ความแตกต่างด้านวัย

5. ความแข็งแรง การที่บุคคลมีร่างกาย จิตใจ แข็งแรง หรืออ่อนแอ มีโรคภยั ไข้เจ็บ ทาให้ บคุ คลเกิดความแตกต่างกนั 6. การอบรมสั่งสอน บุคคลที่ได้รับการฝึ กอบรมสงั่ สอน เลี้ยงดูมาต่างกนั ย่อมทาให้เกิด ความแต่กต่างกนั ได้ 7. เพศ หญิงชายย่อมมีความแข็งแรง ความม่ันคง หว่นั ไหว ความรู้สึกผิดชอบยึดมั่นใน ขนบธรรมเนียมและเชื่อทีต่ ่างกนั 8. การศึกษา ความรู้มากหรือนอ้ ยย่อมทาให้มนษุ ย์เปลี่ยนแปลง หรือมีความรู้ ความเข้าใจ รู้สึกนึกคิดต่างกนั 9. ฐานะทางเศรษฐกิจ ความรวยความจนทาให้มนษุ ย์เปลี่ยนแปลงและแตกต่างกนั หลาย อย่าง นิสยั เปลีย่ นไปเมื่อฐานะเปลี่ยนไป 10. ถ่ินกาเนิด เช่น ภาคเหนือ ใต้ อีสาน ลักษณะดินฟ้ าอากาศที่ต่างกนั ย่อมมีส่วนหล่อ หลอมใหม้ นษุ ย์มีบคุ ลิกภาพและนิสยั แตกต่าง

11. ภาษา มนษุ ย์ในโลกนีม้ ีภาษาทีใ่ ช้พดู ติดต่อสือ่ สารแตกต่างกนั หลายร้อยหลายพนั ภาษา อาจ เกิดความรู้สึกขดั แยง้ เหยียดหยามกนั ได้ 12. กฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี มีส่วนทาใหเ้ กิดความแตกต่าง 13. อิทธิพลของกลุ่ม การมีอิทธิพลของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าครอบงา อาจทาใหค้ วามคิด ความเชื่อ การประพฤติปฏิบตั ิเปลีย่ นไป 14. การอาชีพ มี อิ ทธพลต่อลักษณะ บทบาท และพฤตกรรมของมนุษย์ เช่น พนกั งาน ขายตอ้ งพดู เก่ง อธั ยาศยั ดี ความแตกต่างด้านอาชพี

2.3.2 สรุปปัจจยั ท่ที าํ ให้มนุษย์มีความแตกต่างกนั มีดังนี้ 1. กรรมพนั ธ์ (Heredity) คอื ส่ิงที่ได้รับการถ่ายทอดจากบิดา มารดา หรือบรรพบรุ ุษ 2. ส่งิ แวดล้อม (Environment) คอื สิง่ ที่อยรู่ อบตวั และมอี ิทธิพลตอ่ มนษุ ย์ แบ่งได้เป็ น (1) สิ่งแวดล้อมก่อนเกิด ได้แก่ สภาพนบั ตงั้ แต่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดา ปัจจัยที่มี อทิ ธิพลจดั เป็ นส่งิ แวดล้อมกอ่ นเกิด ได้แก่ สขุ ภาพของแม่ อารมณ์ของแม่ อาหาร และอื่นๆ (2) สงิ่ แวดล้อมขณะเกดิ ได้แก่ วิธีการคลอด อบุ ตั ิเหตรุ ะหว่างการคลอด (3) ส่ิงแวดล้อมหลังเกิด ได้แก่ การเลีย้ งดู การสั่งสอน การศึกษาท่ีได้รับ/โรงเรียน สอื่ มวลชน กลมุ่ เพ่ือน

3. กรรม/การกระทาํ (Action) คือ การกระทาของบคุ คล ซงึ่ แบง่ ได้ดงั นี ้ (1) กรรมเก่า หมายถึง ผลของการกระทาของตนเองหรือผู้ให้กาเนิด รวมทงั้ ด้านร่างกาย และจิตใจ เชน่ สิ่งทเี่ กิดขนึ ้ ตามพนั ธุกรรมก็ถือได้วา่ เป็ นเร่ืองของกรรมเกา่ (2) กรรมใหม่ หมายถึง การกระทาของมนษุ ย์ในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะส่งผลท่ีทาให้ มนษุ ย์แตกตา่ งกนั

2.3.3 ประโยชน์ของความแตกต่างระหว่างบคุ คล ในแง่ประโยชน์ของความแตกต่างระหว่างบุคคลนนั้ อาจกล่าวได้ว่า การที่บุคคลมี ลกั ษณะ แตกต่างกนั สามารถนาความแตกตางมาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ในการทางานไดเ้ ป็นอย่างดี ตวั อย่างเช่น ➢ ความสามารถของบคุ คลที่ไม่เหมือนกนั จะทาให้บุคคลสามารถทางานในองค์การในด้ านท่ี แตกตา่ งกนั ได้ หากบคุ คลมีความสามารถเหมือนกนั จะไมเ่ กิดประโยชน์เทา่ ท่คี วร ➢ ผ้ทู ี่เรียนมาตา่ งสาขากนั ยอ่ มทาหน้าทแี่ ตกตา่ งกนั ในองค์การ ซง่ึ เป็ นประโยชน์ทงั้ สองฝ่ าย ➢ ความแตกต่างกันยงั ส่งเสริมให้บุคคลเรียนรู้ความคิดที่กว้างขวางมากขึน้ จากบุคคลอื่นๆ นาไปสกู่ ารตดั สินใจได้อยา่ งฉลาดและถกู ต้องมากขนึ ้

2.4.1 ความหมายของพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรม คือ การกระทาของบุคคลในทุกลักษณะเป็ นการประพฤติปฏิบัติของบุคคล เพื่อปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เป็ นการกระทาที่สังเกตได้โดยอาจใช้ ประสาทสัมผัส ธรรมดาหรือใช้เคร่ืองมือช่วยการสังเกต

2.4.2 ประเภทของพฤติกรรม 1. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) เป็ นพฤติกรรมท่ีสงั เกตได้โดยชดั เจนแยกเป็ น 2 ชนิด คือ (1) พฤติกรรมที่สงั เกตได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือช่วย เช่น การพูด การหัวเราะ การร้ องไห้ การเคล่อื นไหวของร่างกาย ซงึ่ ผ้อู ่นื สงั เกตได้โดยอาศยั ประสาทสมั ผสั (2) พฤติกรรมที่ต้องใช้เครื่องมือหรือการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ เช่น การเปลี่ยนแปลงของ สารเคมีหรือปริมาณนา้ ตาลในกระแสเลอื ด ซง่ึ ไมส่ ามารถสงั เกตได้ด้วยตาเปลา่ หรือประสาทสัมผสั 2. พฤตกิ รรมภายในหรือ “ความในใจ” (Covert Behavior) เป็ นพฤตกิ รรมท่ีตนเองเท่านนั้ ที่รู้ ถ้าไม่บอกใคร ไมแ่ สดงออกก็ไมม่ ีใครรู้ได้ดี เช่น การจา การรับรู้ การเข้าใจ การได้กลิ่น การได้ยิน การฝัน การหวิ การโกรธ ความคดิ การตดั สนิ ใจ เจตคติ จินตนาการ

พฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายในมีความสมั พนั ธ์กนั โดยพฤติกรรมภายในเป็ น ตวั กาหนดพฤติกรรมภายนอก เช่น มนษุ ย์ย่อมพูดหรือแสดงกิริยาโดยสอดคล้องกบั ความรู้สึกความคิด พฤติกรรมภายนอกท่สี งั เกตได้โดยไม่ต้องใช้เคร่ืองมือช่วย

ในหลกั ธรรมคาสอนเร่ือง “ความพอเพียง” ซ่ึงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล รวมถึง ความจาเป็ นท่ีจะต้องมีระบบภูมิคุ้มกนั ในตวั ท่ีดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อนั เกิดจาก การเปล่ียนแปลงทัง้ ภายนอกและภายในทัง้ นีจ้ ะต้ องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความ ระมดั ระวังอย่างย่ิง ในการนาหลกั วิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนินการทุกขนั้ ตอน และขณะเดียวกนั จะต้องเสริมสร้างพืน้ ฐานจิตใจของคนในทกุ ระดบั ให้มีสานกึ ในคณุ ธรรม ความซื่อสตั ย์ สจุ ริต และให้มีความ รอบรู้ทเ่ี หมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญาและความ รอบคอบ เพ่ือให้สมดลุ และพร้อมตอ่ การรองรับการเปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็วและกว้างขวางทัง้ ด้านวตั ถุ สงั คม สงิ่ แวดล้อม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกได้เป็ นอยา่ งดี

2.5.1 ความเหมือนกนั ของระบบในธรรมชาติกบั ระบบในร่างกายของมนุษย์ มนุษย์โดยทั่วไปยังศึกษาและให้ความสาคัญกับเรื่อง “ภาวะความพอเพียง” ในระบบ ของธรรมชาตินอ้ ยเกินไป ในธรรมชาติมีดวงอาทิตย์ โลก ดวงจนั ทร์ มีความร้อน ความมืด–สว่าง แผ่นดิน ฟ้ า ลม เมฆ ฝน หิมะน้าแข็ง ภูเขาป่ าไม้ แม่น้า–ลาคลอง สิ่งเหล่านีค้ ือ “ระบบอวยั วะของธรรมชาติ” ที่ทา หน้าที่รักษาส่ิงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติให้สามารถดารงอยู่ได้อย่างเป็ นปกติสขุ เช่นเดียวกบั “ระบบ อวยั วะในร่างกายมนษุ ย์” ที่ทาหน้าที่รักษาชีวิตของมนษุ ย์ให้สามารถอยู่ได้อย่างเป็ นปกติสุข ซึ่งการ ทาลายระบบอวยั วะของธรรมชาติ ซ่ึงจะส่งผลร้ายต่อการดารงอยู่ของส่ิงมีชีวิตทง้ั หมดเปรียบได้กับ อวยั วะในร่างกายของมนษุ ย์ทีก่ าลงั ถกู ทาลาย

2.5.2 ความสามารถของมนุษย์ ในการทาํ ลายส่งิ ต่างๆ ในธรรมชาติ มนุษย์เป็ นส่ิงมีชีวิตประเภทเดียวท่ีสามารถทาลายส่ิงต่าง ๆ ในธรรมชาติได้ การทาลาย ธรรมชาติท่ีผ่านมายงั ไม่ส่งผลให้เห็นชัดเจนนกั เพราะยงั เหลือส่ิงต่าง ๆ ในธรรมชาติมากพอที่จะรักษา “ภาวะความพอเพียง” หรือความสมดลุ ของธรรมชาติไว้ได้ แตป่ ัจจบุ นั ส่ิงแวดล้อมในธรรมชาติถกู ทาลาย มากเกินไป จนถึงระดบั ท่ีไม่สามารถรักษา “ภาวะความพอเพียง” หรือความสมดลของธรรมชาติได้อีก ตอ่ ไป

ความสามารถของมนุษย์ในการทาํ ลายธรรมชาติ ภยั ธรรมชาติต่าง ๆ จึงเกิดใหเ้ ห็นมากขึ้น เช่น ภยั ทีเ่ กิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลให้สภาพดิน ฟ้ า อากาศ ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป การก่อตวั ของลมและพายทุ ี่บ่อยคร้ังขึ้นและรุนแรงย่ิงข้ึนตามลาดบั รวมถึงภยั แล้ง และภยั น้าท่วมในอนาคตภยั ทีน่ ่ากลวั คือ ภยั อนั เกิดจากธารน้าแข็งของขว้ั โลกกาลงั ละลาย อย่างรวดเร็ว ซ่ึงจะส่งผลให้เกาะและแผ่นดินที่อยู่ต่าตามชายฝั่งทะเลถูกน้าท่วมและหายไปจากแผนที่ ตลอดจนภยั ทีเ่ กิดจากการขาดแคลนน้าจืด เพราะแหล่งตน้ น้าลาธารถกู ทาลาย

2.5.3 ความพอเพยี งในทางจติ ใจของมนุษย์ ความรู้สึก เป็ นนามธรรม เป็ นเรื่องของจิตใจที่ขึ้นอยู่กับ “ความพอเพียง” สงั เกตได้ง่าย ในชีวิตประจาวนั เช่น – ดใี จมากเกนิ ไป อาจทาให้ชอ็ กได้ – เสียใจมากเกินไป อาจตรอมใจและถงึ กับเสียชีวติ ได้ – คิดมากเกินไป อาจทาให้เป็ นโรคจติ และโรคประสาทได้ – โกรธมากเกนิ ไป อาจทาให้เส้นเลอื ดในสมองแตกได้ ดงั นนั้ ในเรื่องของความรู้สึกนึกคิด จาเป็ นต้องเรียนรู้และพยายามรักษาใหอ้ ยู่ในภาวะที่ พอเพียงเช่นกนั เพือ่ ใหส้ ่ิงต่าง ๆ ภายในจิตเป็นไปดว้ ยดี ไม่เกิดปัญหา

“ความพอเพียง” ไม่เฉพาะเป็ นเรื่องของ “ปริมาณ” แต่ยังเป็ นเรื่องของ “คุณภาพ” ด้วย เช่น การจะทาอะไรให้ประสบความสาเร็จ ต้องมีองค์ประกอบซ่ึงเป็ นคุณภาพภายในทีส่ าคัญ 4 อย่างด้วยกัน คือ 1. ความพอใจ (ฉันทะ) 2. ความเพียร (วริ ิยะ) 3. ความมุ่งม่ันแน่วแน่ (จติ ตะ) 4. การไตร่ตรอง (วิมังสา) หากมนุษย์ไม่มี “ความพอเพียง” ในทางจิตใจแล้ว ก็ยากท่ีจะทาให้เกิด “ความ พอเพียง” ในด้านอน่ื ๆ ได้ เพราะมนุษย์ไม่มี “ความพอเพียง” ในทางจิตใจนี้เอง จึงเป็ นต้นเหตุ สาคัญที่ไปทาลาย “ความพอเพียง” ในด้านต่าง ๆ จนทาให้เกิดวิกฤตการณ์ และภัยพิบัติ มากมายอย่างทก่ี าลังประสบกันอยู่

2.5.4 ความพอเพยี งกบั ทางรอดของมนุษย์และสงั คม ความพอเพยี ง คือ ทางรอดของมนษุ ย์และสงั คม กล่าวคือ ระบบของธรรมชาติ คือ ระบบ ความพอเพียง หากจะให้เป็ นไปโดยปกติสุขและยั่งยืนแล้ว ล้วนต้องมีรากฐานอยู่บนเรื่อง “ความพอเพียง” ทง้ั สิ้น ทง้ั นีเ้ พราะระบบของธรรมชาติ คือ ระบบความพอเพียง หากมนษุ ย์ไม่ดาเนินชีวิตให้ถกู ต้องตามหลกั แห่งความพอเพียงแล้ว มนษุ ย์จะประสบปัญหา ความทุกข์ และภัยพิบตั ิต่าง ๆ และจะทวีความรุนแรงขนึ ้ จนถึงท่ีสดุ คือความหายนะ หรือที่เรียกว่า การล้างโลก เพ่ือปรับให้กลบั คนื สู่ “ความพอเพียง” ดงั นนั้ จึงเป็ นเรื่องสาคญั ที่สดุ ท่ีมนษุ ย์จะต้องเรียนรู้และดาเนินกิจกรรมตา่ ง ๆ ให้เป็ นไปอยา่ ง ถกู ต้องตามหลกั ความพอเพียงในเรื่องนนั้ ๆ จะส่งผลให้มนุษย์สามารถดาเนินชีวิตและดารงอย่ไู ด้ เป็ นปกติสขุ และยงั่ ยืน

2.6.1 การประยุกต์ “ความพอเพยี งและธรรมชาตขิ องมนุษย์” กบั ส่งิ แวดล้อมในธรรมชาติ ปัจจุบัน การเผาผลาญเชือ้ เพลิงของมนุษย์เพ่ือใช้เป็ นพลงั งานในด้านต่าง ๆ เพิ่ มขึน้ อย่าง มหาศาล ประกอบกบคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาผลาญเชือ้ เพลิงนนั้ ก่อให้เกิดปฏิกิริยา เรือน กระจกกกั ความร้อนเอาไว้ ทาให้ความร้อนหรืออณุ หภูมิเฉล่ียของโลกสงู ขนึ ้ ดงั นนั้ เพ่ือแก้ปัญหาท่ีเกิดขนึ ้ นี ้ มนษุ ย์จงึ ควรจะตระหนกั และหนั มากาหนดมาตรการตา่ ง ๆ ทีจ่ ะช่วยลดการใช้พลงั งานตา่ ง ๆ โดยรู้จกั ใช้ อยา่ งพอเพียง หวั ใจสาคญั ในการลดการใช้พลงั งาน คือ “รู้จกั กนิ –อยู่แต่พอดี”

“การรู้จักกิน–อยู่แต่พอดี” นนั้ มีรากฐานมาจากความรู้ความเข้าใจถึงเร่ืองของชีวิตและ คณุ ค่าของส่ิงต่าง ๆ ที่มีต่อชีวิตอย่างถกู ต้อง รู้ว่าชีวิตคืออะไร ต้องการ เพ่ืออะไร จะทาให้รู้จกั แสวงหา รู้จกั บริโภค และใช้สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติให้พอดีกบั ความจาเป็ นที่แท้จริง ปัญหาต่าง ๆเกิดจากมนษุ ย์ บริโภคใช้สอยสิ่งตา่ ง ๆ ตามท่ีตนอยากและพอใจ และเป็ นความอยากที่ไมร่ ู้จกั พอ ส่ิงเหล่านีเ้ป็ นต้นเหตุ สาคญั ในการเผาผลาญเชือ้ เพลงท่ีจะนาไปเป็ นพลังงานในการสร้ างส่ิงตอบสนองความอยากควา ม ต้องการจนทาให้เกิดปัญหา “ภาวะโลกร้อน” การใช้พลงั งานเชอื้ เพลิงเพ่อื การคมนาคม

“ก าร กิ น อยู่ ตาม คว าม อย า ก ” ก่ อปั ญ หา นา นัป ก า ร ทั้ง ใน ด้า น กา ร ผ ล า ญ ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไปอยางรวดเร็ว ก่อใหเ้ กิดขยะหรือของเสียตกคา้ งที่เป็ นมลพิษ ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล และยงั เป็ นปัจจยั กระตุ้นให้เกิดการแข่งขนั แย่งชิงกนั ในสงั คมทาให้ เกิดการทจุ ริตในรูปแบบต่าง ๆ จนเกิดความตกต่าและเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจในมนษุ ยชาติมาก ขึ้น จะเห็นว่าความหลงใหลในเรื่อง “การกินอยู่ ตามความอยาก” นีเ้ อง ทีเ่ ป็นปัญหาพื้นฐานของ มนษุ ยชาติในปัจจุบนั

2.6.2 การประยุกต์ “ความพอเพียงและธรรมชาติของมนุษย์” กับการดาํ เนินกิจกรรมของมนุษย์ ในปัจจุบันพบว่าส่ิงต่าง ๆ ท่ีมนุษย์สร้างขึ้นมานั้นได้กลายเป็ นของเสียหรือมลพิษท่ีบั่นทอน และทาลายการดารงอยู่อย่างปกติสุขและยั่งยืน ทั้งต่อสิ่งมีชีวิตทั่วไปรวมถึงระบบความสมดุลของ ธรรมชาติโดยรวมเป็ นอย่างมาก จนกล่าวได้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างที่กาลังเป็ นอยู่ใน ปัจจบุ ัน กาลังนามาซึง่ ความเจริญ สร้างสรรค์หรือความเส่ือมทาลายกันแน่ มลพิษ น้าเสีย อากาศเสีย ดนิ เสีย และขยะในรูปแบบต่าง ๆ หรือชั้นบรรยากาศเสีย เช่น ปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรื่องของ โอโซนทีม่ ีอย่ใู นช้ันบรรยากาศ มลพษิ ทีเ่ กิดข้ึนเหล่าน้ีส่วนใหญ่เกิดข้นึ จากการเผาผลาญเชื้อเพลิงเพ่ือใช้ เป็ นพลังงานในด้านต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ปัญหาท้ังหมดน้ี สามารถช่วยกันได้ในระดับหนึ่ง ด้วยวธิ ี “การกิน–อย่แู ต่พอดี”

ที่สาคญั ควรจัดให้มีระบบควบคมุ ในการคิดค้นและผลิตส่งตา่ งๆ ของมนษุ ย์ให้เข้ มงวดมากขึน้ โดยจะต้องไมท่ าให้เกิด “ของเสีย” หรือ “มลพิษ” ตกค้างในธรรมชาติ การอนญุ าตให้ผลิตส่งตา่ ง ๆ หรือ การตงั้ โรงงานอตุ สาหกรรม จะต้องตงั้ อยบู่ นเง่ือนไขทีว่ า่ ระบบการจดั การทงั้ หมดนัน้ สามารถพิสจู น์ได้ ว่าไม่มีการทาให้เกิด “ของเสีย” หรือ “มลพิษ” เกิดขนึ ้ เป็ นสิ่งตกค้างในธรรมชาติที่จะมีผลทาลายการ ดารงชีวิตที่เป็ นปกติสขุ และยง่ั ยนื ของสง่ิ มีชีวิตและธรรมชาตโิ ดยรวม

2.6.3 วธิ ีการประยุกต์ “ความพอเพยี งและธรรมชาตขิ องมนุษย์” “ความพอเพยี ง” กบั การบริหาร และพฒั นากาย การดูแลและบริหารร่างกายใหเ้ ป็นปกติและแข็งแรง ตอ้ งดาเนินไปตามหลกั “ความพอเพียง” เช่นกนั คือใหด้ แู ลและปฏิบตั ิตนใหพ้ อเพียงใน 5 เรื่อง หรือมีชือ่ เรียกว่าหลกั 5 อ. ดงั นี้ 1. อาหาร รับประทานอาหารให้พอเพียงทงั้ ในด้านปริมาณและคณุ ภาพ ควรระวงั การรับประทาน อาหารที่มีรสเค็ม หวาน มนั มากเกินไป รับประทานอาหารมือ้ เช้าซึง่ เป็ นมือ้ สาคญั ท่ีสดุ ให้พอเพียง ทางการแพทย์ได้แนะนาให้กินผกั และผลไม้ วนั ละประมาณ 5 ทพั พี 2. อากาศ ควรอย่ใู นที่มีอากาศดี เพราะมลพิษในอากาศ เช่น ฝ่ นุ ละอองจากท่อไอเสีย การก่อสร้าง ควันต่าง ๆ มีผลกระทบต่อสุขภาพทาให้เกิดโรคทางระบบหายใจ และอาจเป็ นสาเหตุท่ีทาให้ผู้ป่ วย โรคหวั ใจ โรคเบาหวาน และโรคปอดมีอาการป่ วยเฉียบพลนั (U.S.EPA, 2009 : Online)

3. ออกกาลังกาย ต้องออกกาลงั กายหรือบริหารร่างกายให้พอเพียง ร่างกายจึงจะมีความแข็งแรง หลกั ทางการแพทย์ได้แนะนาให้ออกกาลังกายต่อเนื่องประมาณ 20–30 นาที ทาให้มีการต่ืนตัว กระฉบั กระเฉง มีสมาธิมากขนึ ้ ลด ความเครียด นอกจากนนั้ ยงั ชว่ ยทาให้มีภมู ติ ้านทานโรคท่ีดีขนึ ้ 4. อุจจาระ การขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ควรจะฝึ กฝนให้เป็ นปกติทุกวันและเป็ นเวลา โดยเฉพาะชว่ งทเี่ หมาะสมคือ หลงั อาหารเช้า 5. อารมณ์ การรักษาอารมณ์ให้เป็ นปกติ สงบ หรือมีอารมณ์ดี ไม่แปรปรวนมากเกินไป เพราะ อารมณ์ตา่ ง ๆ ที่เกิดขนึ ้ สามารถส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายทงั้ สิน้ เช่น อารมณ์โกรธ ทาให้หวั ใจเต้นเร็วและแรงขนึ ้ ความดนั ของเลือดสงู ขนึ ้ กล้ามเนือ้ ต่าง ๆ ของร่างกายหดตวั และเกร็ง มากขนึ ้ ความเครียดเป็ นสาเหตสุ าคญั ท่ที าให้เกิดโรคตา่ ง ๆ มากมาย

2.6.4 วธิ ีการประยุกต์ “ความพอเพยี งและธรรมชาติของมนุษย์” กับการบริหาร และพฒั นาจติ “จติ ” ต้องมีพนื้ ฐานหรือมีความต้องการในเร่ือง “ความพอเพยี ง” เช่นกนั เช่น จิตจะต้องมสี ติ สมาธิ และปัญญา พอเพียงในระดบั หนงึ่ จึงทาให้จิตอยใู่ นภาวะปกติและพร้อมทาหน้าทตี่ อ่ ไปได้ ผู้ทไี่ ม่มี “สต”ิ ย่อมทาอะไรขาด ๆ เกิน ๆ ตก ๆ หล่น ๆ ผู้ที่ “เสยี สต”ิ คอื ผู้ทข่ี าดความย้ังคิด ควบคุมตนเองไม่ได้ ผู้ท่ี “สิน้ สติ” คือ ผู้ทอ่ี ย่ใู นภาวะไม่รู้สกึ ตัว ผู้ทไ่ี ม่มี “สมาธิ” ย่อมขาดความต้ังใจและทาอะไรไม่จริงจงั ผู้ทไ่ี ม่มี “ปัญญา” ย่อมทาอะไรผิดพลาดและทาให้เกิดปัญหา ดังน้ันโดยท่ัวไป “จิต” จะต้องมี สติ สมาธิ และปัญญาเป็ นพ้ืนฐานและพอเพียงใน ระดับหน่ึง ซ่งึ โดยทั่วไปสามารถฝึ กฝนได้ด้วยการฝึ กหัดให้รู้สึกตัวอย่เู สมอ

แม้แตใ่ นการฝึกฝนจิตในระดบั ของพระอริยบคุ คล ยงั ต้องมี “ความพอเพียง” ท่ีสอดคล้อง ใน แตล่ ะระดบั จงึ จะสามารถบรรลคุ วามเป็ นพระอริยบคุ คลได้ อยา่ งที่กลา่ วไว้ในพระไตรปิ ฎกว่า ➢ พระโสดาบัน เป็นผทู้ ีม่ ีศีลสมบูรณ์ สมาธิพอประมาณ ปัญญาพอประมาณ ➢ พระสกิทาคามี เป็ นผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ สมาธิพอประมาณ ปัญญาพอประมาณ แต่ราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงกว่า ➢ พระอนาคามี เป็นผทู้ ีม่ ีศีลสมบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์ ปัญญาพอประมาณ ➢ พระอรหันต์ เป็นผูท้ ีม่ ีศีลสมบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์ ปัญญาสมบูรณ์ ➢ความพอประมาณและความสมบรู ณ์ในแต่ละระดบั ของพระอริยบุคคลนี ้คือ ความพอเพียงของ ธรรมะที่จาเป็ นต้องมีนั่นเอง “ความพอเพียง” ในจิตใจของมนุษย์เป็ นส่ิงที่สาคัญที่สุด และเป็ น “ความพอเพียง” ในระดบั ฐานรากทส่ี ามารถสง่ ผลกระทบอยา่ งมหาศาลตอ่ “ความพอเพียง” ในด้าน อ่นื ๆ

“ตัณหา” หรือ “ความโลภ” หมายถึง “ความต้องการ” หรือภาษาธรรมะให้ความหมายว่า “ความทะยานอยาก” เพื่อให้เข้าใจอยา่ งถอ่ งแท้ ต้องเข้าใจความจริงของธรรมชาติชีวิตให้ถกู ต้องก่อน ว่า ชีวิตคืออะไร ต้องการอะไร เพื่ออะไร เพราะธรรมชาติของชีวิตเอง มีความต้องการตามธรรมชาติ เหมอื นกนั “ตณั หา” หรือ “ความโลภ” ของมนษุ ย์ทาให้มนษุ ย์กินและอยอู่ ยา่ งไม่จากดั และไมร่ ู้จกั พอ ทา ให้มนษุ ย์เร่งการผลติ ส่งิ ตา่ ง ๆ (ทีไ่ มจ่ าเป็ นและไมใ่ ช่ความต้องการทีแ่ ท้จริงของชีวิต) อย่างมากมาย ซึง่ ทาให้มีการเผาผลาญและใช้พลงั งานอย่างมหาศาล จนเกิดปัญหา “ภาวะโลกร้อน” จากการเรื่องการ ผลิตเพ่ือ ตอบสนอง “ตณั หา” หรือ “ความโลภ” ทาให้มนษุ ย์ไปทาลายสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติอย่าง มโหฬาร เพื่อนามาใช้เป็ นวตั ถดุ ิบ และยงั ไปทาลายป่ าต้นนา้ ป่ าบนภเู ขา ตลอดจนแม่นา้ ลาคลองซ่ึง เป็ นเสมือนหวั ใจ และเส้นเลือดของธรรมชาติ จนทาให้เกิดการขาดความสมดุลของธรรมชาติอย่าง รุนแรง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook