Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 5

หน่วยที่ 5

Published by นายบุญนำ โตสูง, 2022-08-30 04:05:27

Description: หน่วยที่ 5

Search

Read the Text Version

5.1 ความหมายของบคุ ลกิ ภาพ 5.2 ปัจจยั ท่มี ีผลต่อบุคลกิ ภาพ 5.3 องค์ประกอบของบคุ ลกิ ภาพ 5.4 แนวความคิดเก่ียวกบั บคุ ลกิ ภาพ 5.5 ประเภทของบุคลิกภาพ 5.6 ลกั ษณะของผู้มีบุคลกิ ภาพ 5.7 การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพสู่ ความสาเร็จตามแนวหลักธรรม และหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

บุคลิกภาพ ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า “Personality” มีรากศพั ท์มาจากภาษากรีกว่า “Persona” ซ่ึงมีความหมายว่า “Mask” แปลว่า “หน้ากาก” สาหรับตัวละครใช้สวมหน้าเวลาออกแสดง เพื่อ แสดงบทบาทท่ี ถกู กาหนดให้ เชน่ ผ้สู วมหน้ากากเป็ นพระเอกแสดงให้สมกบั ตวั พระเอก พอสรุปได้ว่า บุคลิกภาพ หมายถึง ลกั ษณะเด่นทาง ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และพฤติกรรม ต่าง ๆ ของแต่ละ บุคคลที่ปรากฏออกมาให้ผู้อ่ืนมองเห็น โดยผู้ที่มองเห็นนนั้ จะ พิจารณาแยกแยะสว่ นตา่ ง ๆ ตามความรู้สกึ ของตน แล้วสรุปเป็ น ภาพรวมบุคคลนนั้ ว่ามีลกั ษณะเฉพาะอยา่ งไร เช่น เป็ นคนสวย มมี นษุ ยสมั พนั ธ์ดี เป็ นคนดี คนเก่ง มารยาทงาม หรือนิสยั ดี บคุ ลิกภาพมีผลต่อความรู้สึกและอารมณ์

5.2.1 พนั ธุกรรม พันธุกรรม (Heredity) ส่ิงที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมส่วนมากนนั้ เป็ นลักษณะทางกาย เช่น ความสงู ต่า ลกั ษณะเส้นผม สีผิว หมโู่ ลหิต โรคบางชนิด และข้อบกพร่องทางร่างกายบางชนิด เช่น ตาบอด สี ศีรษะล้าน นวิ ้ เกิน มือติดกนั ฯลฯ 5.2.2 ส่งิ แวดล้อมหรือประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม (Environment) หรือประสบการณ์ (Experience) เป็ นการเรียนรู้และปรับตัวตอ่ สภาพแวดล้อมและประสบการณ์ต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อพฒั นาการของมนษุ ย์ ทงั้ พฒั นาการทางกาย ทางจิตใจและบุคลิกภาพ โดยเฉพาะประสบการณ์ในครอบครัว โรงเรียน สงั คม และวัฒนธรรม รูปแบบตา่ ง ๆ

5.3.1 ด้านกายภาพ ด้านกายภาพ หมายถึง รูปร่าง ใบหน้า ท่าทาง การแต่งกาย การเดิน เป็ นต้น บุคลิกภาพด้าน กายภาพนเี ้ป็ นสิง่ ทีผ่ ้อู นื่ มองเหน็ ได้ 5.3.2 ด้านวาจา ด้านวาจา หมายถึง การใช้ถ้อยคา นา้ เสียง ซึ่งผู้อื่นจะรับรู้ได้โดยการฟัง ลักษณะต่าง ๆ ของ บคุ ลกิ ภาพด้านนี ้บคุ ลกิ ภาพทางวาจาที่ดยี อ่ มหมายถงึ การพดู จาด้วยนา้ เสียงนมุ่ นวล น่าฟัง เป็ นมิตร และได้สาระ 5.3.3 ด้านสตปิ ัญญา ด้านสติปัญญา หมายถึง ความสามารถทางการคิดด้านปัญหา ไหวพริบ ความสามารถท่ีจะ มี ปฏิสมั พนั ธ์กบั ผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม คิดเป็ น รู้จักคิด คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แสดงออกหรือ สนองตอบผ้อู ่ืนได้อยา่ ง “ทนั กนั ” และ “ทนั กาล”

5.3.4 ด้านอารมณ์ ด้านอารมณ์ หมายถึง การมีอารมณ์ดี คงเส้นคงวา ไม่ว่วู ามเอาแตอ่ ารมณ์ ฉุนเฉียว โกรธง่าย หรือบางคนมีอารมณ์ร่าเริงมากกวา่ อารมณ์อ่นื หรือบางคน เครียด เศร้า ขนุ่ มวั หมน่ หมองอยเู่ สมอ 5.3.5 ด้านความสนใจและเจตคติ ด้านความสนใจและเจตคติ แต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บางคนไม่สนใจการเมือง บางคนมี ความสนใจหลากหลาย ไมส่ นใจเพียงเร่ืองใดเรื่องหนง่ึ แตเ่ พียงอยา่ งเดยี ว 5.3.6 ด้านการปรับตัว ด้านการปรับตวั มีผลต่อลกั ษณะของบคุ ลิกภาพ ถ้าปรับตวั ได้ดี มีพฤติกรรมท่ีเหมาะสม สงั คม ยอมรับ จะอยใู่ นสงั คมได้อยา่ งมคี วามสขุ ตรงกนั ข้ามถ้าปรับตวั ไมด่ ี วางตวั ในสงั คมไมเ่ หมาะสม ยอ่ มมี ผลเสยี ตอ่ บคุ ลกิ ด้านอนื่ ๆ ไปด้วย

นกั ทฤษฎีกล่มุ ต่าง ๆ ไดใ้ หแ้ นวความคิดเกี่ยวกบั บคุ ลิกภาพของบคุ คลไวด้ งั นี้ ❖ ซกิ มันด์ ฟรอยด์ ชาวออสเตรีย (1856–1939) บุคลิกภาพเกิดจากพลัง 3 อย่าง ได้แก่ อิด (Id) ส่วนของสัญชาตญาณที่อยู่ในจิตใต้สํานึก ซูเปอร์อีโก (Superego) ส่วนของวัฒนธรรมทีด่ ีงามและส่วนยับย้ังชั่งใจ และอีโก (Ego) ส่วนของ “ตัวฉัน” ซ่ึงจะประสานอิดกับซู๊ปเปอร์ อีโก้ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้ ารอบตัว พลังทั้งสามน้ีจะ ขัดแย้งกันตลอดเวลา เม่ือใดก็ตามท่ีมนุษย์ได้รับการตอบสนองด้านความหิวอย่างเต็มท่ี อิดจะ กระต้ ุนความปรารถนาทางเพศและความก้ าวร้ าว

❖ อัลเฟรด แอดเลอร์ ชาวออสเตรีย (1870–1937) บุคลิกภาพ คือ การด้ินรนแสวงหาปมเด่น ซึ่งสําคัญย่ิงกว่าการตอบสนองต่อส่ิงเร้ า พ้ืนฐานท่ีอยู่ในจิตใต้สํานึกตามทฤษฎีของฟรอยด์ แอดเลอร์เช่ือว่าบุคคลที่ไม่สามารถเอาชนะ ความรู้สึกต่ําต้อยในวัยเด็ก จะกลายเป็ นคนมีปมด้อย ส่วนผู้ใหญ่ทมี่ ีวุฒิภาวะจะชดเชยปมด้อย ของตนด้วยการทาํ สิง่ ทดี่ ีงามมากกว่า การแสวงหาอาํ นาจส่วนตน การปรับตวั เพ่อื ทากิจกรรมกลุ่มรวมกัน

❖ คาร์ล กุสตาฟ จงุ ชาวสวสิ (1875–1961) บุคลิกภาพไม่ได้ถูกกําหนดมาตั้งแต่วัยเด็กอย่างท่ีฟรอยด์คิด แต่เปล่ียนแปลงได้ตลอดชีวิต จิตใต้สํานึกไม่ได้ถูกครอบงําด้วยแรงปรารถนาทางเพศเท่าน้ัน แต่ยังประกอบด้วยปมต่าง ๆ หรือ กลุ่มของความทรงจาํ และความนึกคดิ ซึ่งเม่ือเตบิ โตเป็ นผู้ใหญ่ เราพยายามจะผสมผสานส่ิงเหล่าน้ี เข้าเป็ นบุคลกิ เฉพาะของตัวเอง จติ ใต้สาํ นึกน้ันไม่ได้หมายถึงความทรงจาํ ของเราอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งท่ีเป็ นลักษณะร่วมของมนุษยชาติซึ่งหมายถึง “จิตใต้สํานึกอันเป็ นจิตวิญญาณใน กระบวนการวิวัฒนาการของมนุษยชาติ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามโครงสร้างทางสมองของแต่ละ บุคคล” บุคลิกภาพของคนเราอาจแบ่ง ได้เป็ น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ บุคลิกภาพแบบเก็บตัว และ แบบชอบสังคม

❖ คาเรน ฮอร์เนย์ ชาวอเมริกนั เชือ้ สายเยอรมัน (1885–1952) บุคลิกภาพพ้ืนฐานหล่ อหลอมมาจากความสัมพันธ์ ระหว่ างบุคคลมากกว่ าแรงขับทาง ชีวภาพตาม แนวคิดของฟรอยด์ ความสับสนทางบุคลิกภาพมีสาเหตุมาจากการท่คี นคนน้ันใช้ ชีวิตโดยมีความวิตกกังวล เป็ นพ้ืนฐาน ซึ่งมีต้นตอมาจาก “ความรู้สึกถูกทอดท้ิงและช่วยตัวเอง ไม่ได้ในโลกทไี่ ร้ความปรานีในช่วง วัยเด็ก” ❖ อีริค เอช. อีริคสัน ชาวอเมริกันเชือ้ สายเยอรมัน (1902–1994) บุคลิกภาพเป็ นผลจากพัฒนาการของชีวิตทั้งหมด 8 ช่วงวัย ตั้งแต่วัยทารกถึงวัยชรา โดย บุคคลจะมีข้อขัดแย้งประจาํ วัย และหาทางแก้ไขไปในแต่ละช่วงวัย วธิ ีแก้ข้อขัดแย้งของแต่ละคน จะกําหนดบุคลิกภาพของคนคนน้ัน ตัวอย่างเช่น ข้อขัดแย้งประจําวันของวัยรุ่นคือ “ฉันคือใคร” (วิกฤตการณ์เอกลักษณ์หรือ การแสวงหาตนเอง ถ้าแก้ข้อขัดแย้งน้ีได้ จะทําให้เขาค้นพบ เอกลักษณ์ของตัวเอง)

❖ บ.ี เอฟ. สกนิ เนอร์ ชาวอเมริกนั (1904–1990) บคุ ลกิ ภาพเป็ นผลของพลังงานภายนอกท่สี ามารถประเมินได้ ดังน้ันวิธีการคิดและกระทาํ จงึ เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อมทีเ่ ราควบคุมในหนังสือช่ือ Walden Two สกินเนอร์ฝันถึงดินแดน ในอุดมคติ ทซ่ี ึ่งบคุ ลิกภาพได้รับการหล่อหลอมมาจากการส่งเสริมพฤติกรรมทีพ่ ึงปรารถนาอย่าง เป็ นระบบ

บคุ ลกิ ภาพของบุคคลโดยทั่วไป แบ่งเป็ น 2 ประเภท ดังนี้ 5.5.1 บุคลกิ ภาพภายนอก บุคลิกภาพภายนอก คือ ส่ิงที่เห็นได้ชดั เจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถท่ีจะปรับปรุง แก้ไขได้งา่ ย ใช้เวลาไมน่ าน แบง่ ได้เป็ น 4 หมวด คอื 1. รูปร่าง ใบหน้า 2. การแต่งกาย 3. กริ ิยาท่าทาง 4. การพูด

5.5.2 บคุ ลกิ ภาพภายใน บคุ ลิกภาพภายใน คือ สิ่งทีอ่ ยู่ภายในจิตใจหรืออปุ นิสยั ทีม่ องไม่เห็น สมั ผสั ไม่ได้ แกไ้ ขไดย้ าก เช่น 1. ความเชื่อมั่นในตนเอง 2. ความซอื่ สัตย์สุจริต 3. ความคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ 4. ความรับผิดชอบ การไม่มีความเช่อื ม่ันในตนเอง

ผู้มีบุคลิกภาพดีเป็ นผู้มีพ้ืนฐานด้านสุขภาพดีและสามารถปรับตัวได้ดี ผู้มีบุคลิกภาพดีจะมี คุณลักษณะและความสามารถทางจติ ใจทส่ี ําคัญ ดังนี้ 1. มีความสามารถในการรับรู้และเข้าใจสภาพเป็ นจริงอย่างถูกต้อง 2. แสดงอารมณ์ในลักษณะและขอบเขตทเี่ หมาะสม 3. มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม 4. มีความสามารถในการทาํ งานทเ่ี ป็ นประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม 5. มีความเข้าใจในความรักและความต้องการทางเพศ และสามารถแสดงออกได้อย่าง เหมาะสม 6. มีความสามารถในการพัฒนาตนเอง

5.7.1 หลักการพฒั นาบุคลกิ ภาพตามแนวพุทธศาสนา 1. สัปปุริสธรรม 7 หมายถึงธรรม 7 ประการทท่ี าํ ให้เรียกบคุ คลได้ว่าเป็ น “คนดี” หรือ บุคคลท่ีจะได้รับการ ยกย่องว่าเป็ นคนดีทแี่ ท้จริงตามหลักพุทธศาสนาแล้ว จะต้องเป็ นผู้ท่ีประกอบด้วยคุณสมบัติ 7 ประการ ดังนี้ (1) ธัมมัญุตา คือ การรู้จักเหตุ คือ รู้หลกั ความจริงหรือเหตปุ ัจจยั ท่ีเป็ นกฎเกณฑ์ หรือเง่ือนไข ของส่งิ ตา่ ง ๆ (2) อัตถัญุตา คอื การรู้จกั ผล คอื รู้ถึงความมงุ่ หมาย หรืออรรถประโยชน์ หรือคณุ คา่ ท่แี ท้จริง

(3) อัตตัญุตา คือ การรู้จักตน คือ รู้ถึงฐานะหรือกาลงั ในด้านตา่ ง ๆ ของตนที่มีอยู่ เช่น วยั เพศ นสิ ยั สถานภาพทางสงั คม กาลงั ทรัพย์ ความรู้ ความสามารถ ความถนดั เป็ นต้น (4) มัตตัญุตา คือ การรู้จักประมาณ คือรู้ถึงความพอเหมาะพอดีในการกระทาสิ่งตา่ ง ๆ ไม่ มากเกินไปหรือไมน่ ้อยเกินไป (5) กาลัญุตา คือ การรู้จกั กาล คือ รู้จกั ใช้เวลาให้ถกู ต้อง ตรงเวลา เป็ นเวลา ทนั เวลาพอเวลา เหมาะเวลา เป็ นต้น (6) ปริสัญุตา คือ การรู้จักชุมชน คือ รู้จักในเรื่องความเชื่อ ขนบประเพณี วัฒนธรรมของ ชมุ ชนหรือรู้เทา่ ทนั ความเป็ นไปของสงั คม (7) ปุคคลัญุตา คือ การรู้จักบุคคล คือ รู้จักความแตกต่างของบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น โดยอธั ยาศยั ความสามารถ ความถนดั เป็ นต้น

พระพุทธองค์ได้ตรัสประยุกต์และย่นย่ออริยมรรคมีองค์ 8 ให้เหลือเพียง 3 หวั ข้อ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ซงึ่ สามารถนามาเปรียบเทียบกนั ได้ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ตามแนวพระ ราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั รัชกาลท่ี 9 พระองค์ทา่ นได้ทรงประยกุ ต์หลกั ธรรมในหมวด “สปั ปรุ ิสธรรม 7” นี ้ให้ยน่ ยอ่ มาเหลอื เป็ น 3 หวั ข้อ ดงั นี ้ (1) ความพอประมาณ คือ การรู้จักตน และรู้จักประมาณ (2) ความมีเหตุผล คือการรู้จักเหตุ และรู้จักผล (3) การมีภมู ิคุ้มกันในตัวทด่ี ี คือ การรู้จักกาล รู้จกั ชุมชน และรู้จกั บุคคล

2. อิทธิบาท 4 (1) ฉันทะ คือ มใี จรัก หมายถงึ พอใจจะทาสิ่งนนั้ และทาด้วยใจรัก (2) วิริยะ คือ พากเพียร หมายถึง ขยันหม่ันเพียรและทาส่ิงนัน้ ด้ วยความพยาย าม ความเข้มแข็ง อดทน ธรุ ะ ไมท่ อดทงิ ้ ไมท่ ้อถอย และก้าวไปข้างหน้าจนกว่าจะสาเร็จ (3) จติ ตะ คอื เอาจิตฝักใฝ่ หมายถงึ ตงั้ จิตรับรู้ในสง่ิ ท่ีทาและทาส่ิงนัน้ ด้วยความคิด ทาแบบ อทุ ศิ กายใจ (4) วิมังสา คือ ใช้ปัญญาสอบสวน หมายถึง หมนั่ ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหา เหตผุ ล ตรวจสอบข้อบกพร่อง หาวิธีแก้ไข ปรับปรุง เพ่ือจดั การและดาเนินงานนนั้ ให้สาเร็จ

3. ภาวนา 4 (1) กายภาวนา เป็ นการพฒั นาให้ร่างกายเจริญแข็งแรงดี มีสขุ ภาพดี และมีการพัฒนา ทักษะ โดยการฝึ กฝนการใช้ร่างกาย รวมทัง้ พัฒนาร่างกายทาง หู ตา จมูก และลิน้ ที่เป็ นประสาทสัมผัส ระหว่างตวั เรากบั ส่ิงแวดล้อมตา่ ง ๆ คือ ปัจจยั 4 และธรรมชาตแิ วดล้อมทวั่ ไป การพฒั นากายควรฝึกฝน ดงั นี ้ (ก) ฝึ กฝนด้านการใช้งาน เป็นการฝึ กทกั ษะโดยการทําให หู ตา จมูก ล้ิน มีความ เฉียบ คม ละเอียดอ่อน ว่องไว แคล่วคล่อง และมีความจดั เจนในการทํางาน (ข) สร้างประสบการณ์ท่ีดี คือ การฝึ กให้ หู ตา จมูก ล้ิน รู้จกั เลือกรับเอาส่ิงที่มีคณุ ค่า และมีประโยชน์เข้ามาใหแ้ ก่ชีวิต และป้ องกนั ไม่ใหร้ ับเอาสิ่งที่ไม่ดีและเป็นโทษเข้ามาในปัจจุบนั ซ่ึง เป็ นยคุ วตั ถุนิยม ถา้ รับเข้ามาอย่างไม่พิจารณาใคร่ครวญก็จะเป็ นโทษ ไม่ทําให้เกิดปัญญา และอาจ ส่งผลเสียต่อการดําเนินชีวิต

(2) ศีลภาวนา คอื การทาให้ตนเองมีระเบียบในการดารงชีวิตและอยรู่ ่วมกบั ผ้อู ่ืนใน สงั คมอย่าง เป็ นสขุ โดยการไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน ช่วยเหลือเกือ้ กูลผู้อื่น และฝึ กควบคมุ ตนในทางกาย วาจา ใจ ให้ ประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์หรือข้อกาหนดของสงั คม เพื่อเป็ นพืน้ ฐานในการพฒั นาจิตใจตอ่ ไป (3) จติ ภาวนา คอื การพฒั นาจิตใจให้เจริญงอกงามทงั้ 3 ด้าน ดงั นี ้ (ก) การพัฒนาคุณภาพชีวติ เป็นการพฒั นาจิตใหม้ ีคณุ ภาพ เริ่มตงั้ แต่มีคณุ ธรรมทีท่ ําให้ จิตใจประณีตงดงาม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรทั ธา มีความกตญั ญูกตเวที เป็นตน้ (ข) การพัฒนาสมรรถภาพจิต เป็ นการพฒั นาให้จิตใจเข้มแข็งเพื่อให้นําไปใช้งานได้ดี สําหรับการทํางานได้เก่งและได้ผลดีนนั้ จิตต้องมีสมาธิ มีสติ เพียรพยายาม เอาใจใส่ อดทน กล้าสู้ รบั ผิดชอบ และมีจิตใจเขม้ แข็ง เป็นตน้

(4) ปัญญาภาวนา คือ การพฒั นาปัญญาให้เจริญงอกงาม เชน่ การรู้จกั วินิจฉยั แยกแยะ สิ่งที่ รับรู้ด้วยเหตุด้วยผล แล้วสามารถนาไปดาเนินการและแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้สาเร็จผลตามท่ีต้องการได้ การเกิดปัญญาคือการรับรู้ตามความเป็ นจริงแล้ววินิจฉยั โดยปราศจากความชอบและไมช่ อบนนั่ เอง กิจกรรมพฒั นาร่างกาย

5.7.2 หลักการพฒั นาบุคลกิ ภาพตามแนวจติ วิทยา 1. ตระหนักถึงความสาคัญของบุคลิกภาพ ผ้ทู ี่มีบุคลิกภาพดีจะมีโอกาสดีในอาชีพทงั้ ปัจจบุ ัน และอนาคต พบแต่ความเจริญก้าวหน้า ผู้มีบุคลิกภาพดีควรปรุงแต่งบุคลิกภาพให้เข้ากับสถานการณ์ที่ แวดล้อมตนได้อยา่ งเหมาะสม 2. สารวจบุคลิกภาพของตนเอง ทาการสารวจลกั ษณะเฉพาะของตวั เอง เพ่ือให้รู้ว่ามีจดุ เด่น จดุ ด้อย ข้อดี ข้อเสยี และข้อบกพร่อง ดงั นี ้ (1) การวิเคราะห์ตนเอง บุคลิกภาพของตนเองหากมองรวม ๆ จะเห็นได้ไม่ชดั นกั เพ่ือให้ ง่ายตอ่ การพฒั นาและพฒั นาอย่างถกู วิธีจึงควรทาการวิเคราะห์ตนเองก่อน โดยการแยกสว่ นประกอบ ออกมา พิจารณาทลี ะอยา่ ง แล้วนาแตล่ ะอยา่ งนนั้ มาเปรียบเทียบและประเมนิ ผล

(2) การรับฟังความคิดเหน็ จากผู้อื่น ผ้อู ื่นสามารถเป็ นกระจกส่องให้เห็นภาพเงาตวั เราเองได้ อยา่ งชดั เจน จึงควรเปิ ดใจกว้างในการรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์จากผ้อู ่ืน แล้วนาข้อคิดเห็นนนั้ มาประเมิน จาก 2 วิธี ดงั นี ้ (ก) ประเมินตามความคิดเหน็ ของผู้ใกล้ชดิ และผู้อ่ืนทหี่ วังดี ได้แก่ พ่อ แม่ พ่ี น้อง สามี ภรรยา ครู อาจารย์ เพ่ือนสนิท เพื่อนร่ วมงาน ผู้บริหาร ควรเปิ ดใจกว้างในการรับฟั งคํา วิพากษ์วิจารณ์ และฉกฉวย วิกฤตให้เป็ นโอกาส เพ่ือเป็ นกุญแจสําคัญในการไขประตูสู่ การพัฒนาบุคลกิ ภาพด้วยตนเอง (ข) ประเมินจากเครื่องมือควบคุมบุคลิกภาพตามแนวทางจิตวิทยาและผู้เช่ียวชาญ นักจติ วิทยาเชอ่ื ว่าบุคลิกภาพอาจแสดงออกมาท้ังทางตรงและทางอ้อม ซ่ึงลักษณะบุคลิกภาพจะ แสดง ออกมาถ้าบคุ คลน้ันรู้สกึ อสิ ระ

3. ลงมือปฏิบัติ ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาบุคลิกภาพอย่างมุ่งม่ัน คือ การสร้ าง ความสาเร็จในการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพต้องอาศยั เงื่อนไขสาคญั 5 ประการ ดงั นี ้ (1) กําหนดเป้ าหมาย คือ การสร้ างเจตนารมณ์จากบุคลิกภาพท่ีเป็ นอยู่ให้มีการ เปล่ียนแปลงที่ดีขึน้ เจริญขึน้ เข้าใจในส่ิงที่ตนต้องการจะทา หรือต้องการให้เกิดขึน้ ด้วยการสร้ างภาพ ตวั เอง ว่าจะเป็ นอยา่ งไรเมอื่ บรรลเุ ป้ าหมายนนั้ ๆ (2) ค้นหาแบบที่ดี คือ การก้าวสู่บันไดแห่งความสาเร็จและเป็ นการเดินทางลัดที่ ประหยดั เวลาที่สดุ คือ การหาบุคคลที่มีบุคลิกภาพดีและเป็ นท่ียอมรับของสงั คมมาเป็ นแบบอย่างในการ พฒั นาบุคลิกภาพ แม้ว่าเป้ าหมายของตนเองจะเป็ นอะไรก็ตามก็สามารถเชื่อมโยงเข้าหาบุคคลผู้เป็ น แบบอยา่ งได้จงึ ทาให้เกิดการสร้างแบบบคุ ลกิ ภาพใหม่ ๆ จากผ้อู ่ืน และควรหมน่ั ปรับปรุงตนเองในขณะที่ ก้าวไปยงั เป้ าหมายนนั้ ๆ

(3) ดําเนินการตามเป้ าหมายอย่างไม่หยุดย้ัง คือ การที่จะทาให้เป้ าหมายเป็ นจริงขึน้ มาได้ จะต้องคดิ และกระทาให้สอดคล้องกบั เป้ าหมายที่กาหนดไว้อยา่ งไมห่ ยดุ ยงั ้ (4) สร้างจิตสํานึกในความรับผิดชอบต่อเป้ าหมายท่ีกําหนด คือ การยา้ เตือนให้เกิดความ เพียรพยายามเพือ่ กระทาให้เกิดผลตามเป้ าหมายทกี่ าหนด ถ้าบคุ คลขาดความรู้สกึ รับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ ของตนก็ยอ่ มจะประสบความล้มเหลวได้ (5) ทบทวนและสร้างเป้ าหมายใหม่ คือ ทาการใคร่ครวญหรือทบทวนวิธีการไปส่เู ป้ าหมายอยู่ เสมอ เพือ่ คงไว้ซง่ึ หลกั การของเป้ าหมายที่กาหนดไว้ เม่ือการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพบรรลเุ ป้ าหมายแล้วก็ควรช่ืนชม และให้กาลงั ใจตนเอง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook