บทที่ 1 ความรทู้ ่ัวไปเกยี่ วกบั การสัมมนา ความร้ทู วั่ ไปเก่ียวกับการสัมมนา เป็นพื้นฐานเบอื้ งตน้ ในการเรียนรวู้ ิธีการสัมมนา ซึ่งจะ ก่อให้เกดิ ความเข้าใจ การร่วมคดิ ร่วมวเิ คราะห์ ปรกึ ษาและเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลมุ่ เพ่อื หาทาง ออกของปัญหาร่วมกนั สร้างปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งกันด้วยกนั สือ่ สารซงึ่ เป็นท่มี าของคาว่า สมั มนา ความหมายของการสัมมนา เทคนิคการหล่อหลอมแนวความคดิ ในรูปของการประชุมกลุ่ม รว่ มคดิ หาแนวทางจากการ หารือและแนวคิดตามหลักการมสี ว่ นร่วมในการวเิ คราะห์ปญั หา ซ่ึงไดม้ ีนกั วชิ าการไดใ้ ห้ ความหมาย ดงั ต่อไปนี้ สมคดิ แก้วสนธิ และสนุ นั ท์ ปทั มาคม. (2545 หน้า 45) กลา่ วว่า การสมั มนาเปน็ การจัด ในลักษณะอภปิ รายและแลกเปล่ียนความคิดเหน็ ประสบการณ์ หรือ เป็นการระดมความคิด เรอ่ื งใดเรื่องหนงึ่ เหมาะสาหรับกรณีท่ีผู้เข้าร่วมสัมมนามปี ระสบการณ์ ผู้เข้ารว่ มประชุมทกุ คน มีความเทา่ เทยี มกันในการแสดงความคิดเหน็ ไม่มวี ิทยากร มีแต่ผปู้ ระสานงาน หรอื ผจู้ ัด ดาเนินการคอยอานวยความสะดวก และใหผ้ ู้เข้าร่วมสมั มนาจะเลอื กผ้นู ากลุม่ การสัมมนาจาก ผ้เู ขา้ ร่วมสัมมนาดว้ ยกัน เพ่ือเปน็ ตวั แทนในการรายงานการอภปิ รายและดาเนนิ การสัมมนาไป ตามตาราง ท่ีกาหนดไว้ ราชบณั ฑิตยสถาน ( 2546 หนา้ 1170) การสัมมนาเปน็ การประชมุ รปู แบบหนง่ึ ทมี่ ี วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลีย่ นความรู้ ความคิด และหาขอ้ สรุป หรือข้อเสนอแนะในเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ ผลสรุปที่ได้ถือว่าเปน็ เพียงขอ้ เสนอแนะ สว่ นผทู้ ่ีเกยี่ วขอ้ งจะนาไปปฏิบัตติ ามหรอื ไมก่ ไ็ ด้ ไพพรรณ เกยี รตโิ ชติชยั . ( 2548 หน้า 7) การสมั มนา คือการท่กี ลมุ่ บคุ คลได้รว่ มใจ พยายามเสาะแสวงหาความรเู้ รือ่ งใดเรอ่ื งหนงึ่ แล้วพยายามแลกเปลยี่ นความร้คู วามคดิ ทแ่ี ต่ละคน ศึกษามาเพือ่ หาแนวทาง หาข้อสรปุ ในเร่อื งน้ันๆ ทาใหผ้ เู้ ข้าร่วมสมั มนาสามารถใช้ความรจู้ ากการ สมั มนา ไปปฏบิ ตั หิ น้าท่ขี องตนอย่างมีประสทิ ธิภาพและเกิดประโยชนต์ อ่ สว่ นรวมให้มากทส่ี ดุ นิรนั ดร์ จุลทรพั ย์. ( 2550 หนา้ 270) การสัมมนา เป็นทงั้ รูปแบบของการประชุมรว่ มกัน ของคณะบุคคล เปน็ กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนรปู แบบหน่งึ ในการจดั การศกึ ษา 1
ระดบั สูง เป็นกระบวนการเรยี นรู้หรอื แก้ปญั หาโดยอาศัยกระบวนการกลุ่ม ( Group Process) เป็น สาคัญ ผล ยาวชิ ัย ( 2553 หน้ า 3) การสมั มนา คอื สถานการณ์ การประชมุ กลมุ่ บุคคลทีม่ พี ืน้ คว ามรู้ ความสามารถความสนใจ ประสบการณ์ ในงานสาขาวชิ าชีพเดยี วกนั มีเง่อื นไขจดุ ม่งุ หมา ย หรือวัตถปุ ระสงค์ เดยี วกัน เพอื่ การศึกษาค้ นคว้ าเร่อื งใดเรือ่ งหน่ึงรว่ มกนั สารวจ เรียน รู้ แลกเปล่ยี น ความคดิ เห็นซ่ึงกันและกนั วิเคราะห์ ปัญหาและหาแนวทางแก้ ไขปัญหา ทป่ี ระสบอย่อู ย่างเป็ น ระบบ โดยคานึงถึงบทบาทของการมีส่วนร่วมจากทกุ สว่ นตามหลกั กา รประชาธิปไตยภายใต้ เวลาที่ เหมาะสม ไพโรจน์ เนยี มนาค (2554 หนา้ 2) การสัมมนา “Seminar” หมายถงึ การประชุมเพ่ือ แลกเปลย่ี นความรู้ และความคดิ เหน็ เพอื่ หาขอ้ สรปุ ในเร่ืองใดเร่อื งหนึ่ง ผลของการสัมมนาถือว่า เป็นเพยี งขอ้ เสนอแนะผู้ทเี่ กยี่ วข้องจะนาไปปฏิบัตติ ามหรอื ไม่กไ็ ด้ โดยมีจดุ มุ่งหมายเพื่ออบรม ฝกึ ฝน ช้ีแจง แนะนา ส่ังสอน ปลกู ฝงั ทัศนะคติและให้คาปรกึ ษา ในเรอื่ งท่เี กยี่ วข้องหรือแสวงหา ข้อตกลงดว้ ยวธิ ีการอภิปราย แลกเปลยี่ นความคดิ เห็นอยา่ งเสรี ซกั ถาม ถกเถียง ปรกึ ษาหารือ ภายในหัวขอ้ ทก่ี าหนด ซึ่งผลจากการสัมมนา จะชว่ ยให้ระบบและวธิ ีการทางานมปี ระสิทธิภาพ สูงข้นึ จาก ความหมายข้างตน้ สรุปไดว้ ่า การสมั มนา หมายถงึ การประชมุ เพือ่ แสวงหาความรู้ แลกเปล่ยี นเรยี นรูแ้ ละความคดิ เหน็ โดยมีวัตถุประสงค์หรือการศกึ ษาในเรือ่ งเดียวกนั รวมท้ังรว่ ม วเิ คราะหป์ ญั หา หาแนวทางแก้ไข และหาขอ้ สรปุ ร่วมกัน เพอื่ ให้เป็นประโยชน์ตอ่ ส่วนรวมรว่ มกนั ดงั นั้น การสอนวิชาสมั มนา เปน็ กระบวนการหนึ่งของกจิ กรรมการเรยี นรู้ ศึกษา ค้นคว้า โดยวธิ ีการ ต่างๆ เป็นการฝึกทักษะการคิดอยา่ งเปน็ ระบบ การวิเคราะห์ปัญหา และการเสนอแนวทางแกไ้ ข การแสดงออกโดยการพูด การสนทนา การอภิปรายท่ีเก่ยี วกบั เน้ือหาของเรอื่ งน้ันๆ เพอื่ ใหไ้ ด้ ข้อสรปุ ของแนวทางทีม่ คี วามเปน็ ไปได้ โดยวิธกี ารปรกึ ษาหารอื รว่ มกัน ความสาคัญของการสมั มนา กระบวนการดาเนินงานทดี่ ี ควรจะมกี ารวางแผนกอ่ นการปฏิบตั งิ าน และการตดั สินใจท่ี เหมาะสม โดยการคดิ รว่ มกันเพอื่ หาข้อสรุปทดี่ ีทส่ี ดุ แต่ละเรอ่ื งอาจใช้วิธกี ารประชมุ การสนับสนนุ 2
จากผูม้ สี ว่ นไดส้ ่วนเสียและผทู้ เี่ กี่ยวข้อง จงึ ถอื วา่ การประชุมมคี วามสาคญั มีผู้ให้ความหมายไว้ หลายทัศนะ ดังนี้ เกษกานดา สภุ าพจน์ (2549 :1) กล่าวว่า การประชุมสมั มนาเปน็ เทคนิคของการใหไ้ ด้มา ซึง่ แนวคดิ และประสบการณเ์ พอ่ื เป็นแนวทางของการหาข้อสรปุ และนาไปใช้แกไ้ ขหรอื พฒั นาใหม้ ี ประสิทธภิ าพย่ิงข้ึน ปาน กิมปี และกรรณิการ์ แยม้ เกสร (2545 หน้า 586) กล่าวว่า การประชุมมี ความสาคัญ เป็นการแสวงหาแนวทางในการปฏิบัติงานเสนอแนวคดิ การตดั สินใจและการ แกป้ ัญหา ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ นัน้ จะต้องมีการปรึกษาหารอื เปน็ หมู่คณะเพื่อใหไ้ ด้ ขอ้ สรปุ หรอื แนวทางท่ีเป็นทย่ี อมรับของบคุ คลโดยส่วนรวม หรอื เป็นความเหน็ ชอบของคนส่วนใหญ่ ในกลุม่ จงึ เป็นเคร่อื งมือสาคัญท่ีจะทาให้คนในองค์กรมคี วามเข้าใจตรงกัน และลดความขดั แย้ง สมคดิ บางโม (2551หนา้ 159) กล่าวว่า การทางานเปน็ กล่มุ หรือเปน็ คณะบคุ คล จาเปน็ ตอ้ งมกี ารประชุมปรกึ ษาหารอื กัน มีความเขา้ ใจตรงกนั จงึ จะทาให้งานสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย สมติ ร สชั ฌกุ ร (2552 หน้า 16) กล่าวว่า ความสาคญั ของการประชมุ เป็นกลไกสาคัญ ของทุกองคก์ ร ในระดับทอ้ งถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก เปน็ ศนู ย์รวมของความคดิ การ ตดั สินใจ การกาหนดนโยบาย การลงมติ การรเิ รมิ่ สร้างสรรค์ การวิเคราะห์ การวจิ ัย และการแก้ไข ปญั หาต่างๆ ด้วยเหตุทก่ี ารประชมุ มีความสาคัญ เราจึงตอ้ งใช้การประชุมใหเ้ กิดประโยชน์อยา่ งมี ประสิทธิภาพ โดยไมส่ าคัญผดิ วา่ เมื่อมกี ารประชุมกเ็ ปน็ การเพยี งพอแลว้ จากแนวคิดท่ีกล่าวมาขา้ งต้น สรปุ ใหเ้ หน็ ได้ว่า ความสาคัญของการประชุมสัมมนามดี ังน้ี 1. เป็นการติดตอ่ ส่อื สารที่รวดเร็ว เมือ่ บุคลากรไดม้ าพบปะพูดคุยแบบเผชญิ หนา้ ประชุม โต้ตอบกนั ในทันทที นั ใด ทาความเขา้ ใจกนั ได้ในเวลาอันสั้น ไม่ตอ้ งเสียเวลาในการส่ือสารมาก 2. เป็นการระดมความคดิ เห็นแลกเปล่ียนประสบการณ์ หาขอ้ สรุปหรือแนวทางในการ ตดั สนิ ใจให้บรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีตั้งไว้เป็นอย่างดี 3. เปน็ สอื่ กลางในการพบปะแลกเปล่ยี นขา่ วสาร ความรู้ ฯลฯ ซ่งึ ผ้เู กีย่ วขอ้ งจะมีโอกาส ชี้แจงข้อซักถามขอ้ สงสัยได้ กอ่ ใหเ้ กิดความรู้สกึ ร่วมแรงร่วมใจ มีความร้สู ึกเปน็ ส่วนหนึ่งของ หนว่ ยงานนั้นๆ ทาให้เกดิ การเรียนรู้ถงึ วธิ กี ารปรบั ตนเองใหเ้ ขา้ กับผ้อู ่ืนและทราบข่าวสารเรอื่ งราว ความเคลอ่ื นไหวในกิจการตา่ งๆ ในสังคมทเ่ี กี่ยวข้อง 4. เปน็ เทคนิคของการใหไ้ ดม้ าซึ่งความรู้ แนวคิดและประสบการณเ์ พ่อื เป็นแนวทางของ การหาข้อสรุปและนาไปใชแ้ ก้ไขหรอื พฒั นาให้มปี ระสิทธิภาพยิง่ ขึน้ 3
5. เป็นเคร่ืองมอื สาคัญในการปฏิบัติหนา้ ที่ เอือ้ อานวยในการปฏิบัตงิ านและการ ถ่ายทอดความรหู้ รอื ขา่ วสารต่างๆ เชน่ การประชมุ ชแ้ี จงเกยี่ วกับนโยบายต่างๆ ของหน่วยงาน หรอื การประชมุ ทางวชิ าการ ผล ยาวชิ ัย. (2553 หนา้ 4) กลา่ วว่า การปฏิบตั งิ านในชวี ิตประจาวนั ปัจจบุ ันต้องมกี าร ปรับตวั อยูต่ ลอดเวลา เพื่อให้เกดิ ความสัมพนั ธ์กับการเปล่ยี นแปลง มกี ารแข่งขนั ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศสูง การแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ขา่ วสารเพ่อื ปรบั ปรุงประสิทธภิ าพ การบรหิ ารจัดการองคก์ ร ตลอดเวลา มีความจาเปน็ ตอ่ การประกอบอาชีพของบุคคลทัว่ ไป มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการพัฒนา เศรษฐกิจสงั คม การเมอื ง และเทคโนโลยีของประเทศ การดาเนนิ ชวี ติ การประกอบอาชพี จาเป็นท่ี จะตอ้ งมีการแขง่ ขนั ในทุกๆ ดา้ น โดยมุ่งหวงั ท่จี ะให้อาชีพท่ีตนยดึ ถอื ปฏิบัตมิ คี วามเจรญิ รุ่งเรอื ง เปน็ ที่นยิ มชมชอบของผู้ท่ีมีสว่ นเกีย่ วขอ้ ง สิ่งท่ตี ามมากค็ อื ความสาเรจ็ จากการดาเนนิ งานนัน่ เอง อันหมายถึงการอย่ดู ีกินดีบรรลผุ ลสาเรจ็ ในกิจการทปี่ ฏบิ ตั เิ ป็นอย่างดี สังคมปจั จบุ นั จึงใหค้ วามสาคญั ในข้อมลู ข่าวสาร ( Information Society) เป็นอยา่ งมาก ซงึ่ โลกปัจจุบนั ต้องยดึ ข้อมูลทีเ่ ป็นจรงิ และทนั สมยั อยูเ่ สมอ ทงั้ นีเ้ พราะเทคโนโลยีการตดิ ตอ่ สือ่ สาร มีความทันสมัยกา้ วหน้า สามารถตดิ ตอ่ สอ่ื สารได้อย่างรวดเรว็ มีความคล่องตัวสงู กิจการใดที่มี ขอ้ มูลขา่ วสารท่ีเปน็ ปัจจุบันมากเทา่ ใด กจิ กรรมหรอื กิจการนน้ั ๆ ย่อมมโี อกาสท่ีจะพัฒนาตัวเองให้ เจรญิ กา้ วหนา้ มากยงิ่ ขน้ึ สถานประกอบการหรือองค์กรธุรกิจตา่ งๆ จงึ มีความจาเปน็ ที่จะตอ้ ง ขวนขวายเสาะแสวงหาข้อมลู ขา่ วสารทท่ี ันสมัยเพ่อื สง่ ผลตอ่ การพฒั นาบุคลากรและพฒั นา ทรัพยากรต่างๆ ของหน่วยงานใหม้ ปี ระสิทธิภาพมคี ณุ ภาพในการบริหารจัดการมากทสี่ ุดเทา่ ทจ่ี ะ มากได้ การสัมมนาหรอื การประชุมสมั มนา จงึ เปน็ รูปแบบหนง่ึ หรือเทคนิคของการให้ได้มาซ่ึง ความรู้ แนวคดิ และประสบการณ์โดยอาศัยการประชุมพบปะพูดคุย บรรยาย ซกั ถาม อภิปราย ระดมความคิดเห็นทงั้ ผนู้ าเสนอวทิ ยากรหรอื ผู้เช่ยี วชาญ รวมท้งั ผฟู้ งั ตา่ งมีโอกาสไดแ้ ละเปลย่ี น เรียนรู้ประสบการณซ์ ึ่งกันและกนั เพ่อื เป็นหนทางของการหาข้อสรปุ และนาข้อมูลท่ไี ด้จาก การสมั มนาไปปรับปรงุ แกไ้ ขปัญหา หรอื พัฒนาบุคลากรและทรพั ยากรอืน่ ๆ ให้มปี ระสิทธิภาพ มากยิง่ ขน้ึ ต่อไป นามาซ่ึงความสาเรจ็ มาสเู่ จ้าของกิจการ สถานประกอบการและองค์กรตา่ งๆ สรปุ ไดว้ า่ การสัมมนา มีความสาคญั ตอ่ การพัฒนาองค์กร และการพฒั นาบคุ ลากรเพ่ือ เพม่ิ ประสิทธิภาพการทางาน โดยการจดั กระบวนการสัมมนา เป็นสว่ นสาคญั ทีจ่ ะเสรมิ สร้าง ประสทิ ธิภาพดา้ นการบริหารจดั การใหเ้ กดิ รปู แบบการพัฒนาอยา่ งสร้างสรรค์ ให้เกิดความรู้ 4
แนวคดิ ประสบการณ์โดยการพูดคุย บรรยาย ซักถาม อภปิ ราย ระดมความคดิ เห็นภายในกลุม่ และวิทยากรผู้ทรงคุณวฒุ ทิ ง้ั ประสบการณแ์ ละความรู้ ต่อองคก์ รและบคุ ลากรตอ่ ไป ประโยชน์ของการสัมมนา ผลของการจัดสมั มนา หรือการจัดการเรียนการสอนสมั มนา ก่อให้เกิดความ เจรญิ กา้ วหน้าทางวิชาการ อนั เปน็ ผลมาจากการศึกษา คน้ ควา้ เพ่ือเสนอบทความทางวิชาการ และการประมวลข้อเทจ็ จรงิ ทางวชิ าการใหม่ ๆ เพอ่ื นาเสนอในรปู ของเอกสารประกอบการสมั มนา สามารถนาไปเปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ แก้ปญั หา หรือสร้างสรรค์ การทางาน ดงั ได้มนี ักวชิ าการ กล่าวถึงประโยชน์ของการสมั มนา ดงั ตอ่ ไปน้ี เกษกานดา สภุ าพจน์ (2549 หนา้ 3) ไดก้ ลา่ วถึงประโยชน์ของการสัมมนา ดงั น้ี 1. ผู้จดั สัมมนาหรือผเู้ รยี นสามารถจดั สัมมนาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 2. ผู้เขา้ รว่ มสมั มนา ได้รบั ความรู้ แนวคดิ จากการสมั มนา สามารถนาไปปรับใช้ในการ ทางานและชีวิตส่วนตวั ได้ 3. ผลจากการทผี่ ้เู ข้าร่วมสมั มนาไดร้ บั ความรแู้ ละความสามารถมากข้นึ จากการ สัมมนา ชว่ ยทาใหร้ ะบบและวธิ กี ารทางานมีประสทิ ธภิ าพสูงขึน้ 4. การจดั สมั มนาจะช่วยแบง่ เบาภาระการปฏบิ ตั ิงานของผ้บู งั คับบัญชา เพราะผู้ได้ บังคบั บญั ชาไดร้ ับการสัมมนา ทาให้เขา้ ใจถึงวิธกี ารปฏิบตั ิงานตลอดจนปญั หาตา่ งๆ และวธิ ีการ แก้ไขปรับปรุงและพฒั นางานให้ไดผ้ ลดี 5. เปน็ การพัฒนาผปู้ ฏบิ ัติงานใหพ้ ร้อมอยู่เสมอ ทจ่ี ะกา้ วไปรบั ตาแหน่งท่สี งู กวา่ เดมิ หรอื งานทจี่ าเป็นต้องอาศัยความรทู้ างดา้ นเทคโนโลยใี หม่ ๆ ซึง่ ผ้ปู ฏิบตั ิงานจะไม่รสู้ กึ ลาบากใน การปรับตวั เพราะไดร้ บั ความรูใ้ หม่ๆ ตลอดเวลา 6. เปน็ การสง่ เสริมความก้าวหนา้ ของผปู้ ฏบิ ัตงิ าน เพราะโดยปกติแลว้ การพิจารณา เล่ือนตาแหน่ง ผทู้ ี่ไดร้ บั การสมั มนายอ่ มมีโอกาสไดร้ บั การพจิ ารณากอ่ น 7. เกิดความคดิ รเิ รมิ่ สร้างสรรค์ เปน็ ผลใหเ้ กิดแรงบนั ดาลใจมุง่ กระทากิจกรรมอันดี งามให้สงั คม 8. สามารถสร้างความเขา้ ใจอนั ดีงามตอ่ เพ่อื นร่วมงาน มีมนุษยส์ มั พนั ธ์ เกิดความ รว่ มมอื ร่วมใจในการทางาน สามารทางานเปน็ ทีมไดเ้ ป็นอยา่ งดี 5
9. เกิดความกระตอื รือร้น กลา้ คดิ กลา้ ทา กลา้ ตัดสินใจ มคี วามรับผิดชอบ รู้จกั ยอมรบั ความคิดเห็นของผู้อน่ื รจู้ ักใช้ดลุ ยพินิจวเิ คราะหป์ ัญหา สามารถแก้ปญั หาในการทางาน และเกิดภาวะผนู้ า ผล ยาวิชยั (2553 หน้า 5) ได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องการสัมมนาไว้ดงั น้ี 1. เปน็ การแลกเปลี่ยนขอ้ มูล ข่าวสารระหว่างผู้เขา้ สัมมนา ทาใหม้ คี วามเขา้ ใจข้อเท็จจริง ต่างๆ ดีข้นึ ซง่ึ จะทาใหเ้ กิดความรว่ มมอื เพ่อื ความสาเรจ็ ต่อไป 2. เปน็ การร่วมกนั แกป้ ัญหาโดยผนกึ ความคดิ ความรแู้ ละประสบการณข์ องคนหลายคน เขา้ ดว้ ยกัน ซึ่งย่อมได้ผลดีกว่าคนๆเดยี ว และเป็นการชกั จูงใหห้ ลายคนเขา้ มามีส่วนรว่ มในการ รบั ผดิ ชอบ 3. ก่อให้เกดิ ความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจ มคี วามร้สู กึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของกิจกรรมนน้ั ๆ เพราะ ไดร้ ับทราบเรอ่ื งราว และมสี ว่ นเปน็ ผูก้ าหนดเกี่ยวกับความเคลอื่ นไหวเหลา่ นนั้ อยู่ดว้ ย 4. เป็นการชวยผอ่ นผนั หรอื ทุเลาปัญหาทย่ี ังไม่สามารถแกไ้ ขได้ เพราะผู้เขา้ สัมมนาท่ีมี ปญั หาได้มีโอกาสระบายความอดั อ้ันตันใจบ้างแล้ว 5. เป็นการชว่ ยให้ผ้เู ขา้ สมั มนาได้ฟังความคดิ เหน็ ของผ้อู ่นื ซึ่งจะทาให้มที ัศนะที่ กวา้ งขวางข้ึนและเกิดแนวคิดของตนเอง 6. ช่วยในการประสานงานได้ดี ถ้าผเู้ ขา้ สัมมนาจากสถานทห่ี ลายแหง่ ดว้ ยกนั ความสัมพนั ธท์ ่เี กดิ ขนึ้ ในระหวา่ งประชมุ กลุม่ ย่อยจะชว่ ยใหม้ คี วามเขา้ อกเข้าใจเหน็ อกเหน็ ใจกนั ยิ่งข้นึ ไพโรจน์ เนยี มนา ค (2554 หนา้ 3) ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ การสมั มนาและการฝกึ อบรมเปน็ กิจกรรมทีส่ าคัญย่งิ ในก่ที างานรว่ มกัน ซึง่ ต้องอาศยั ความคดิ รว่ มกันดว้ ย ผลท่ไี ด้จากการสมั มนา และฝกึ อบรมทุกคนจะไดร้ ับเชน่ เดยี วกัน ไมอ่ ยา่ งใดก็อย่างหน่ึง ซึง่ สามารถสรุปประโยชนข์ องการ สมั มนาและฝึกอบรมทั่วไป มีดงั นี้ 1.เปิดโอกาสให้สมาชิกมกี ารรับผิดชอบรว่ มกันในการดาเนนิ งานเพราะถ้าผู้หนึ่งผใู้ ด ตดั สนิ ใจตามลาพงั และเกิดผดิ พลาดขึ้น ผ้นู ัน้ จะต้องรบั ผดิ ชอบทัง้ หมด แตถ่ า้ เปน็ มติของทปี่ ระชุม ทุกคนจะต้องรบั ผดิ ชอบร่วมกนั 2.เป็นเครือ่ งมือสาคญั ในการกระจายขา่ วสารตา่ งๆ ไปได้ทกุ ทศิ ทาง โดยแจง้ ให้ผู้เข้า ประชมุ ทราบแล้วนาไป ถ่ายทอดตอ่ ไป นับว่าเป็นการประชาสัมพนั ธ์ข่าวสารท่ดี ีอีกวิธีหน่ึง 6
3.ชว่ ยให้การตดั สินใจรอบคอบย่ิงขึน้ เพราะการวนิ จิ ฉัยคนเดยี วอาจทาใหเ้ กดิ ความ ผิดพลาดเนื่องจากข้อจากดั ทางความรู้ ความคดิ ประสบการณ์และอืน่ ๆ 4.ผู้เข้าสัมมนาหรอื ฝกึ อบรมไดม้ โี อกาสรบั ฟังความคิดเห็นของผอู้ ืน่ ทาให้ตนเองมีทัศนะ ทกี่ ว้างขวางขน้ึ 5.เปน็ โอกาสดที ่ีผเู้ ข้ารว่ มการสัมมนาและฝกึ อบรมจะได้พบปะสังสรรค์ แลกเปล่ยี น ความคดิ เห็นในเรอ่ื งต่างๆ ทัง้ เรื่องสว่ นตัวและเรือ่ งหน้าทีก่ ารงาน จะก่อให้เกดิ ความรู้สกึ ร่วมแรง รว่ มใจ สรา้ งความรู้สกึ เปน็ ส่วนหนึง่ ของหนว่ ยงานและชว่ ยให้เกดิ การประสานงานทดี่ ีในโอกาส ตอ่ ไป 6.ชว่ ยเพ่มิ ผลผลิตท้งั ปรมิ าณและคณุ ภาพ 7.ช่วยแก้ปญั หาในการปฏบิ ตั งิ าน ลดภาระในการควบคมุ รวมถงึ ชว่ ยลดอุบตั เิ หตุ 8.ชว่ ยสง่ เสรมิ ทัศนคตติ ่อองคก์ าร 9.ช่วยลดการสิน้ เปลอื งตา่ งๆ ลดต้นทนุ 10.ชว่ ยให้พนักงานมขี วญั และกาลงั ใจดีข้นึ 11.ช่วยพฒั นาบุคลากรใหม้ ีคณุ ภาพสูงขึ้น นอกจากประโยชนท์ ีไ่ ดจ้ ากการสมั มนาและการฝึกอบรม ดงั กลา่ วข้างต้น ซึง่ ลว้ นแต่เปน็ กระบวนการพัฒนาทรพั ยากรบุคคลใหม้ คี ุณภาพ อันจะนาไปส่กู ารทางานท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ องคก์ ารเจรญิ กา้ วหน้า สามารถจะแบ่งตามภารกิจของประโยชนแ์ ต่ละด้าน แบ่งไดด้ ังนี้ 1. ประโยชนต์ อ่ ตนเอง ไดแ้ ก่ 1.1 ช่วยเพมิ่ ทักษะ ความรู้ความสามารถ นาไปสู่การเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการ ปฏบิ ตั งิ าน 1.2 ช่วยให้สามารถปรับตวั ใหท้ ันกบั ความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ สงั คม เทคโนโลยี และการเปลีย่ นแปลงอนื่ ๆ 1.3 ช่วยพัฒนาบคุ ลิกภาพของตนเองและปรบั ปรงุ วิธีการปฏิบัตงิ านใหเ้ หมาะสมกับ งานทปี่ ฏิบตั ิ 1.4 ช่วยให้มีความเชอ่ื มั่นในตนเอง พร้อมทีจ่ ะทางาน กลา้ เผชญิ ปญั หา 1.5 ชว่ ยให้เป็นผรู้ ู้จกั ศกึ ษาเรยี นรูต้ ลอดชีวิต เป็นทรัพยากรบุคคลท่ีมีคา่ ขององคก์ ร และประเทศชาติ 7
1.6 ช่วยใหร้ ูจ้ ักบคุ คลหรอื มิตรมากข้นึ อนั จะเป็นประโยชน์ตอ่ การประสานการ ทางานให้พัฒนากา้ วหน้าต่อไปได้ 2. ประโยชนต์ อ่ องค์กร ไดแ้ ก่ 2.1 ชว่ ยเสรมิ สรา้ งทศั นคตทิ ่ีถกู ตอ้ งในการปฏิบตั งิ านของบุคลากรและเป็นทพ่ี ึง ประสงคข์ องหน่วยงาน 2.2 ชว่ ยเสรมิ สร้างขวญั กาลังใจในการทางานแกผ่ ู้ปฏบิ ตั งิ าน 2.3 ชว่ ยแก้ปัญหาการขาดแคลนผปู้ ฏบิ ัติงาน โดยการเพมิ่ คณุ ภาพของผูป้ ฏิบตั งิ านท่ี มีอยจู่ ากดั แทนการเพิ่มงบประมาณ หรอื เพิม่ จานวนผูป้ ฏบิ ตั งิ าน 2.4 ช่วยยกระดับความสามารถของบุคลากรในการปฏบิ ตั ิงานให้เปน็ ไปตามทศิ ทาง เปา้ หมาย และนโยบายขององคก์ าร 2.5 ชว่ ยเสรมิ สร้างความรคู้ วามเข้าใจ เพื่อหลกี เล่ียงปัญหาทีเ่ กิดขน้ึ ได้ 2.6 ชว่ ยประหยดั งบประมาณรายจา่ ย 2.7 ชว่ ยใหบ้ ุคลากรเกิดการเรยี นรู้ และมีประสบการณ์โดยมผี ลกระทบตอ่ งานท่ี ปฏิบัติ 2.8 ทาใหเ้ กดิ ความสามคั คีในหน่วยงาน การสัมมนา และการฝกึ อบรมจะทาให้ บุคลากรมโี อกาสไดแ้ ลกเปลย่ี นประสบการณซ์ ง่ึ กันละกัน ช่วยใหเ้ กิดความเขา้ ใจกนั มากยงิ่ ขน้ึ 2.9 ชว่ ยเพ่มิ ผลผลติ ในการบริหารจดั การ สรุปได้วา่ ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการสัมมนาและการฝึกอบรมน้ัน จะมคี วามครอบคลมุ ท้งั ในส่วนผบู้ รหิ าร เจ้าหนา้ ท่ใี นการดาเนินการจัดการฝกึ อบรม และแมแ้ ต่ผู้เขา้ รับการฝกึ อบรม เพือ่ ใหท้ ราบวา่ ควรจะตอ้ งจัดเตรียมสิง่ ใดกอ่ นเข้าอบรมสัมมนา และรวมถงึ ผลประโยชน์ทที่ กุ ฝา่ ย ควรจะได้รับภายหลังที่ส้นิ สดุ สัมมนาและการฝึกอบรม เป็นตน้ นอกจากประโยชน์ดงั กลา่ ว แลว้ ผล ของการจัดสัมมนา หรือการจัดการเรยี นการสอนสัมมนา ยงั ก่อใหเ้ กิดความเจริญกา้ วหน้าทาง วชิ าการ อนั เปน็ ผลมาจากการศึกษา คน้ ควา้ เพ่อื เสนอบทความทางวชิ าการ และการประมวล ขอ้ เท็จจรงิ ทางวิชาการใหม่ๆ เพ่ือนาเสนอในรปู ของเอกสารประกอบการสัมมนา รวมทงั้ สรปุ ผล รายงานสัมมนาทไี่ ด้หลงั จากการสมั มนาเสรจ็ สิน้ สามารถนาไปเปน็ แนวทางในการปรับปรงุ แกป้ ญั หา หรือสรา้ งสรรค์การทางาน นอกจากน้ียังเป็นหนทางให้บรรลขุ ้อตกลง เกิดการ ประนปี ระนอมกันในระหว่างหนว่ ยงานเดยี วกนั หรอื ตา่ งหน่วยงาน และเกิดการพฒั นาตน พัฒนาคน พฒั นางาน และสังคมโดยสว่ นรวม 8
วตั ถปุ ระสงค์ของการสมั มนา วัตถุประสงค์หรือความม่งุ หมายในการสัมมนา นอกจากจะได้เพม่ิ ทักษะ ความรใู้ ห้แกผ่ ู้ เข้ารับสมั มนาแลว้ ยังมีวตั ถุประสงคท์ ีส่ าคัญหลายประการ ดังนกั วชิ าการได้กลา่ วไว้ ดังนี้ สทุ ธนู ศรีไสย์ (2544 หน้า 5) ได้กล่าวถงึ วัตถุประสงค์ของการสมั มนาไว้ดงั นี้ 1. เพื่อการศึกษาและเรียนรู้ประเด็นตา่ งๆ ของปญั หาเพอ่ื นาไปสู่การแกป้ ญั หา 2. เพือ่ ค้นคว้าหาคาตอบ ข้อเสนอแนะหรือหาขอ้ ยุติท่จี ะใช้แกป้ ญั หารว่ มกนั 3. เพื่อนาผลของการสมั มนาเป็นเครื่องมอื ในการตดั สนิ ใจหรอื กาหนดนโยบาย 4. เพ่อื การพัฒนาและการปฏบิ ตั ิงานให้บรรลุตามเป้าประสงค์ สมจติ ร เกดิ ปรางค์ และ นตุ ประวีณ์ เลศิ กาญจนวัต (2545,หนา้ 73 ) ไดก้ ลา่ วว่า การ สัมมนาโดยท่ัวไปมวี ัตถุประสงคท์ ่ีสาคัญดงั น้ี คอื 1. เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์แก่ผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนา 2. เพอ่ื แลกเปล่ียนความคดิ เห็นซ่งึ กันและกัน ระหวา่ งผู้เขา้ สัมมนาดว้ ยกนั และผู้เขา้ สัมมนากับวิทยากร 3. เพอ่ื ค้นหาวธิ ีการแก้ปญั หาหรือแนวทางปฏิบตั ริ ่วมกนั 4. เพอ่ื ให้ได้แนวทางประกอบการตัดสนิ ใจหรอื กาหนดนโยบายบางประการ 5. เพอ่ื กระตุ้นใหผ้ รู้ ่วมเข้าสมั มนานาหลกั วธิ ีการทไี่ ดเ้ รียนรูไ้ ปใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ การสัมมนาแตล่ ะคร้ัง จะบรรลวุ ัตถปุ ระสงคม์ ากนอ้ ยเพยี งใดนอกเหนอื จากกระบวนการ จัดสัมมนาและวิทยาการแล้วสมาชกิ ผ้เู ขา้ ร่วมสัมมนา มคี วามสาคญั มากเชน่ เดียวกัน เพราะ เป้าหมายท่ีเด่นชัดของการสมั มนาก็คือผ้เู ข้ารว่ มสมั มนาทกุ คนตอ้ งทาหนา้ ท่ีเป็นทัง้ ผู้ให้และ ผู้รบั คือเป็นผ้ฟู งั ความคดิ เหน็ จากผ้เู ขา้ รว่ มสัมมนาด้วยกนั และในขณะเดยี วกันกเ็ ป็นผู้เสนอความ คิดเห็นใหแ้ ก่กลมุ่ ดว้ ย ดังนัน้ หวั ใจของการสมั มนาจึงอยูท่ วี่ ่าสมาชิกทกุ คนได้มีส่วนร่วม ไดแ้ สดง ความคิดเหน็ และได้เสนอแนวคดิ ให้แกก่ ลมุ่ เป็นประการสาคัญ ไพพรรณ เกียรตโิ ชติชัย . (2548, หน้า 56) ไดก้ ลา่ ววา่ การสมั มนา มวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อ ยกระดบั ประสิทธิภาพทีม่ ีลักษณะเดน่ อย่างหน่ึง หรือมากกว่าหน่ึงข้ึนไป เพอ่ื ให้เกดิ ผลสาเร็จ ท้งั ความรู้ใหมแ่ ละข้อมูลทีใ่ ช้ในการปฏบิ ตั ิงาน โดยการสอนทักษะใหมใ่ ห้หรือโดยการสรา้ งใหแ้ ตล่ ะ คนมีเจตคติใหม่ ค่านิยม มีแรงจงู ใจ พร้อมท้ังมีคุณสมบัตขิ องบคุ ลกิ ภาพทด่ี ี การสมั มนาโดยทว่ั ไป 9
มกั จะจดั เป็นหลกั สูตรเฉพาะสาหรบั กล่มุ งาน หรือกลุม่ บรหิ าร มีความม่งุ หมายเพอื่ เป็นการพัฒนา บทบาทพฤติกรรมและใหม้ ีความเขา้ ใจในการปฏบิ ัติงานเพอื่ ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพในการปฏบิ ัตงิ าน ของทกุ คน การใชโ้ อกาสในการสัมมนา เพ่อื ฝกึ อบรมหรือพัฒนาใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพและให้มี ผลสมั ฤทธิใ์ นการทางาน นิรนั ดร์ จลุ ทรพั ย์ (2550 หน้า 270) ไดก้ ลา่ ววา่ การสมั มนาโดยทว่ั ไปมวี ัตถุประสงคท์ ี่ สาคญั ดังน้ี 1. เพ่อื เพม่ิ พนู และเตมิ เตม็ ความรู้ความสามารถ ทกั ษะประสบการณท์ งั้ ดา้ นวชิ าการ หรือด้านวชิ าชพี แกผ่ เู้ ขา้ ร่วมสมั มนาโดยตรง 2. เพอ่ื แลกเปลีย่ นความคดิ เห็นระหวา่ งกนั และกันของผเู้ ข้าร่วมสมั มนากบั วิทยากรหรือ ผูเ้ ชียวชาญในเรอ่ื งหรือสาขาวชิ าเฉพาะทางน้ันๆ 3. เพอื่ คน้ หาคาตอบ วธิ ีการแกป้ ัญหาหรอื แนวทางการแก้ปญั หาในทางปฏบิ ตั ิร่วมกัน 4. เพื่อให้ได้แนวทางสรุป ประกอบการตดั สินใจ หรอื หาแนวทางการแกป้ ญั หา หรอื กาหนด นโยบายของหนว่ ยงาน องคก์ รบางประการ 5. เพ่อื สรา้ งความตระหนักหรอื กระต้นุ ให้ผ้เู ขา้ รว่ มสัมมนา นาหลักการวธิ กี ารเรียนร้หู รอื แนวทางปฏิบตั ไิ ปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อหน้าที่และภาระงานท่ปี ฏบิ ตั หิ รือรับผดิ ชอบต่อไป จากความหมาย ข้างต้น สรปุ ไดว้ ่า วัตถปุ ระสงคข์ องการสัมมนาการ คือ การเพ่ิมพูน ความรู้ ทักษะและประสบการณ์ แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ ระหวา่ งผู้เขา้ รว่ มสมั มนา คน้ หา แนวทางวิธีในการปฏิบตั ริ ว่ มกันเพือ่ แกไ้ ขปัญหา หรือกาหนดนโยบายบางประการ และเพื่อ ฝึกอบรมหรอื พัฒนาให้ผู้เข้าร่วมให้มปี ระสิทธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ านทส่ี ูงข้ึน ท้งั นย้ี อ่ มข้นึ อย่กู บั กระบวนการจดั การสมั มานาท่ดี ีควบคู่กันไปด้วย องคป์ ระกอบของการสัมมนา การสัมมนาเปน็ วิธีการประชมุ และการสอนรปู แบบหนงึ่ ทม่ี กี ลุม่ บุคคลมาร่วมแสดง ความคิดเหน็ โดยใช้หลักการ เหตุผล ประสบการณ์ และความรู้ตา่ งๆ นามาเสนอแนะแลกเปล่ียน เพ่ิมพนู หาประโยชน์รว่ มกนั ในการแกป้ ญั หานั้นๆ ให้สาเรจ็ ลลุ ว่ งด้วยดี หรอื นาแนวทางที่ได้รบั จาก การสมั มนาไปปรบั ปรุงแก้ไข พฒั นาการดาเนินการสัมมนาแตล่ ะครง้ั มีองคป์ ระกอบสาคญั 5 ดา้ น (เกษกานดา สภุ าพพจน์.2549 หน้า 22-41,ผล ยาวิชัย .2553 หน้า 7-12) 10
1. องค์ประกอบดา้ นเนือ้ หา องค์ประกอบด้านเน้อื หาของการสัมมนาได้แก่สาระของ เร่อื งราวทีน่ ามาจดั ลาดับก่อนหลงั อยา่ งเปน็ ระบบประกอบดว้ ยรายละเอียด ดงั น้ี 1.1 ช่อื เรื่อง หรือชอื่ โครงการท่นี ามาจดั สัมมนานับว่าเป็นปจั จัยสาคญั อยา่ งหนง่ึ ท่ผี ู้ จัดสมั มนาควรจะได้พจิ ารณาวา่ จะเลือกเร่อื งอะไร ทจี่ ะนามาจดั สมั มนาจงึ จะไดร้ ับประโยชน์คุม้ ค่า สงิ่ ทคี่ วรคานึงถึงในการพจิ ารณาเกี่ยวกบั ชื่อเร่อื ง ในการจดั สมั มนา ได้แก่ 1.1.1 ควรเป็นเรือ่ งที่ตอ้ งการศึกษาปัญหา หาแนวทางแก้ไขท่ีเก่ียวขอ้ งกบั งาน หรอื เร่อื งที่กาลงั ศึกษาอยู่และเป็นเร่อื งท่ตี นเองถนดั ร้แู จ้ง รลู้ ึกซงึ้ เปน็ อย่างดี 1.1.2 มีความทันสมัยสอดคลอ้ งกับสภาการณ์ปัจจุบัน 1.1.3 สามารถกาหนดปญั หา หาแนวทางการแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ 1.1.4 เป็นเรอื่ งทไ่ี มก่ ว้าง ไมแ่ คบจนเกินไป ควรเป็นเร่อื งทมี่ ขี อบเขตเฉพาะเรือ่ ง สามารถกาหนดปัญหา และแนวทางการดาเนินการจดั สัมมนาได้ชัดเจน 1.2 จดุ มุ่งหมายของการจัดสัมมนา โดยปรกติแล้วการจดั สมั มนาก็เพ่ือเป็นการฝึก ผเู้ ขา้ รว่ มสมั มนา หรือนักศกึ ษาท่นี อกจากเพือ่ ให้ได้เกดิ การเรยี นรู้ แลกเปล่ยี นความคดิ เห็นแล้วยงั ทาให้เกดิ การเพ่มิ พนู ความรูป้ ระสบการณ์ ไดร้ ับแนวความคดิ ใหมๆ่ สามารถนาไปปรับปรงุ แก้ไข และพฒั นาตนเอง หนว่ ยงานที่รับผดิ ชอบเปน็ การสร้างสรรค์ต่อสว่ นรวมและสงั คม อย่างไรกต็ ามในการสัมมนาจาเป็นท่ีจะต้องมี หรือเขยี นจุดมุ่งหมายของการสัมมนา ไว้ให้ชดั เจน เพื่อคณะกรรมการผู้ดาเนนิ การจัดสมั มนา ผเู้ ขา้ ร่วมสมั มนา วทิ ยากร และบุคคลอนื่ ๆ ทเ่ี กยี่ วข้องจะได้เข้าใจ และดาเนินการสมั มนาให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายทีต่ ้ังไว้ การเขียนจุดมุง่ หมายมกั จะกาหนดเพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย หรือไดร้ บั สาระตาม ต้องการอยา่ งใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ 1.2.1 เพอ่ื ศึกษาและสารวจปัญหาเรือ่ งใดเร่อื งหนง่ึ ทอี่ ยใู่ นความสนใจ 1.2.2 เพื่อใหไ้ ด้วิธีการหรอื แนวทางในการแก้ปัญหาเรือ่ งใดเร่ืองหนง่ึ 1.2.3 เพอื่ ศึกษาคน้ ควา้ วจิ ยั ในเรอ่ื งที่มีความจาเป็นเร่งด่วน 1.2.4 เพอื่ เรยี นรู้ และมกี ารแลกเปล่ยี นผลของการศกึ ษาคน้ คว้าวจิ ัยระหวา่ ง ผู้เรียนท่ีเรียนร่วมกัน 1.2.5 เพื่อรว่ มพจิ ารณาหาขอ้ สรุปผลรายงานการศกึ ษาค้นควา้ ในเร่อื งท่สี นใจ 11
1.3 กาหนดการสัมมนา นบั ว่าเปน็ เร่ืองท่จี าเปน็ ประการหนึ่ง ท่ผี จู้ ดั สมั มนาควร จะต้องมีการวางแผนกาหนด และจดั ทาเพราะจะทาใหท้ ราบชว่ งเวลาของการดาเนนิ การแต่ละ รายการของการสัมมนา ซง่ึ กาหนดการสัมมนาควรระบุส่งิ ต่อไปนี้ 1.3.1 ช่อื กลุ่มสาระวชิ า กลมุ่ บุคคลผดู้ าเนินการ หรือผรู้ บั ผดิ ชอบจัดสัมมนา 1.3.2 ชอ่ื เร่อื งสัมมนา 1.3.3 วัน เดือน ปี ท่ีจดั สัมมนา 1.3.4 สถานที่จัดสมั มนา 1.4 ผลที่ไดจ้ ากการสมั มนา เป็นสิ่งท่ีผจู้ ัดสัมมนาไดค้ าดหวงั ว่าการจดั สัมมนาจะ ทาใหผ้ ู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับผลประโยชนท์ งั้ เชงิ ปริมาณและคณุ ภาพ จงึ เป็นเร่ืองที่ผ้จู ดั สมั มนา จะต้องมกี ารกาหนดผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั จากการสัมมนาไว้ดว้ ย ตัวอยา่ งเช่น ผลที่ไดจ้ ากการ สมั มนา ผู้เขา้ รว่ มสัมมนา จานวน 90 คน ได้รับความรูแ้ ละสามารถนาเอาความรทู้ ี่ไดจ้ ากการ สัมมนาไปพฒั นางานที่ตนปฏบิ ัตอิ ยไู่ ด้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 2. องคป์ ระกอบด้านบุคลากร องคป์ ระกอบดา้ นบุคลากร หมายถึง บคุ คลท่เี กยี่ วข้อง ในการจัดสมั มนาแตล่ ะครง้ั จะประกอบไปด้วยบุคลากร ดังนี้ 2.1 บคุ ลากรฝา่ ยจดั สมั มนา หรอื คณะกรรมการจดั สัมมนาให้บรรลวุ ตั ถุประสงค์ ท่ตี ้งั ไว้ คณะกรรมการอาจแบ่งออกเปน็ ฝ่ายต่างๆ ได้แก่ ประธาน รองประธาน เลขานุการ ฝ่าย ทะเบียน ฝา่ ยเอกสาร ฝ่ายเหรญั ญิก ฝ่ายพธิ ีการ ฝา่ ยอาคารสถานที่ วสั ดุอปุ กรณ์ สอ่ื ทศั นปู กรณ์ ฝา่ ยอาหารและเครอื่ งด่ืม ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายปฏิคม และฝา่ ยประเมนิ ผล คณะกรรมการแต่ละฝา่ ยที่กาหนดข้นึ อาจจะมีการผนวกรวมกับบางฝา่ ยงานเขา้ ด้วยกัน ส่วนจานวนบคุ ลากรทจี่ ดั ให้รับผดิ ชอบแตล่ ะฝ่ายอาจมีจานวนท่ีไมเ่ ทา่ กันขนึ้ อยูก่ บั ความ จาเปน็ ความ สามารถของบุคคล เพราะว่าบางงานบางฝ่ายบคุ ลากรมีความสามารถหลายดา้ น ก็ สามารถปฏิบัตงิ านได้หลายอยา่ งในเวลาเดียวกนั แตอ่ ยา่ งไรก็ตามการออกคาสง่ั แต่งต้ัง คณะกรรมการต้องลงนามคาสง่ั แต่งตั้งโดยผู้บังคบั บัญชาสงู สดุ ของหนว่ ยงาน หรอื องค์กรนน้ั ๆ 2.1 วทิ ยากร คือบุคคลทท่ี าหนา้ ทีเ่ ป็นผูบ้ รรยาย ผู้นาอภปิ ราย และเปน็ ผู้ ถา่ ยทอดความรู้ ประสบการณโ์ ดยนาเสนอผา่ นสือ่ ตา่ งๆ นาเสนอให้กับผู้เขา้ รว่ มสัมมนาด้วยความ มงุ่ หวงั ท่จี ะใหผ้ ูเ้ ข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้และประสบการณ์อย่างเตม็ ที่ ดังน้ันวิทยากรจงึ เปน็ บคุ คลทมี่ ีความรู้ มีความสามารถ มปี ระสบการณ์ มคี วามเชย่ี วชาญเฉพาะทางด้านใดดา้ นหน่ึง 12
หรือเปน็ บคุ คลที่มีชือ่ เสยี งเปน็ ท่ีมคี วามรคู้ วามสามารถเกีย่ วขอ้ งกบั หวั ขอ้ เรือ่ งท่ีใช้ในการสมั มนา นั้นๆ 2.2 ผู้เข้าร่วมสมั มนา ได้แก่บุคคลทม่ี คี วามสนใจใฝร่ ใู้ นปญั หา หรอื ประสบปัญหา ตอ้ งการแสวงหาแนวความคดิ ใหมๆ่ หรอื มีความมุ่งหมาย ตอ้ งการแลกเปลยี่ นเรยี นรซู้ ึ่งกันและกัน ผูเ้ ข้ารว่ มสว่ นใหญเ่ ปน็ ผ้ทู ี่มีพนื้ ฐานความรูแ้ ละมปี ัญหาท่ีสนใจจะศกึ ษาคลา้ ยคลึงกัน 3. องคป์ ระกอบดา้ นสถานท่ี สถานท่ี เครอื่ งมือ และอปุ กรณ์ตา่ งๆ ทใ่ี ชส้ ัมมนาควรมี ดงั นี้ 3.1 ห้องประชมุ ใหญ่ หมายถงึ ห้องประชุมขนาดใหญท่ ใ่ี ชใ้ นการสมั มนา กาหนด ทีน่ งั่ สามารถบรรจผุ เู้ ข้าร่วมสมั มนาได้จานวนมาก ควรระบสุ ถานทต่ี ั้ง และการเดนิ ทางเขา้ ถึง สถานทจี่ ัดสมั มนา 3.2 หอ้ งประชุมขนาดกลางหรือขนาดเลก็ อาจต้องมมี ากกว่าหนึง่ หอ้ ง ควรอยู่ ในพ้ืนทใ่ี กล้กนั หรอื บรเิ วณเดียวกันกบั ห้องประชมุ ใหญ่ ท้งั นีเ้ พือ่ ความสะดวกในการร่วมกจิ กรรม หรือประสานงานหากมีปัญหา และเพ่ือความสะดวกในการเดนิ ทางมายังห้องประชุมใหญ่ 3.3 ห้องรับรอง เปน็ ห้องทีใ่ ช้สาหรับรบั รองวิทยากร แขกพเิ ศษ เพ่ือใหพ้ ักผอ่ นหรือ เตรยี มตัวก่อนการสัมมนา แตถ่ า้ สถานท่ีมีพื้นทจ่ี ากัด อาจใช้ส่วนหน้าของห้องประชมุ จดั วางโต๊ะ รับแขก สามารถใชป้ ระโยชน์บนพื้นท่ีดงั กล่าวได้ 3.4 ห้องรับประทานอาหารวา่ งมมุ พักผ่อนนองห้อง หรือหนา้ ห้องประชมุ เป็น พื้นทจี่ ัดไว้สาหรบั ให้ผ้เู ข้ารว่ มสมั มนา ได้มาพักรวมท้ังเปน็ จดุ พักรับประทานอาหารวา่ ง 3.5 อปุ กรณโ์ สตทศั นปู กรณ์ ไดแ้ ก่ ชุดไมโครโฟนชนิดตั้งโตะ๊ ไมโครโฟนชนดิ ตง้ั พน้ื ไมโครโฟนไร้สาย ไมโครโฟนชนิดเลก็ ใชห้ นีบตดิ ปกคอเส้อื เครอื่ งขยายเสียง เคร่อื งฉาย โปรเจก เตอร์โนต้ บ๊คุ และอุปกรณไ์ ฟฟ้าเก่ียวกับเครอ่ื งเสยี ง สี แสง และอ่นื ๆ 3.6 ห้องรบั ประทานอาหาร เปน็ ห้องที่อานวยความสะดวก จดั ไวส้ าหรบั ให้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาไดร้ ว่ มรบั ประทานอาหารอาจเปน็ ทง้ั ห้องรับประทานอาหารเชา้ กลางวนั และหาร เย็นในพ้ืนทเ่ี ดียวกัน 3.7 อุปกรณ์เครอื่ งมอื ประเภทเคร่อื งคอมพิวเตอร์ เครื่องปร้นิ เตอร์ และวสั ดุอนื่ ๆ ทจี่ าเปน็ ในการจดั ทาเอกสารประกอบคาบรรยายเอกสารสรุปการจัดสัมมนา ตลอดจนเอกสารและ แบบฟอร์มอืน่ ๆ ทใ่ี ช้ในการสัมมนา 13
3.8 อุปกรณ์ดา้ นเคร่ืองเขียนเครอ่ื งใช้สานกั งานทม่ี ีความจาเป็นมีไวใ้ ช้ ได้แก่ ดินสอ ปากกา ปากกาสาหรับเขียนกระดานไวทบ์ อร์ด นา้ ยาลบคาผิด กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษใช้พิมพง์ าน เครือ่ งเขยี น ไมบ้ รรทัด คลิปเสยี บ ปา้ ยชอื่ ตดิ หน้าอกผู้เข้าร่วมสมั มนา คณะกรรมการแตล่ ะฝา่ ย ฯลฯ อุปกรณ์เหลา่ น้คี วรตดิ ไว้ใหพ้ รอ้ มที่จะใช้งานได้ทันทีท่ตี ้องการ 4. องคป์ ระกอบดา้ นเวลา การกาหนดเวลาสาหรับการสมั มนา เป็นองค์ประกอบท่ี สาคัญประการหนึ่งผจู้ ัดการสมั มนาควรวางแผนให้ดีว่าควรจะใชว้ ันใดเวลาใด ดาเนินการจดั การ สมั มนาจึงจะเหมาะสมเพื่อใหเ้ กดิ ความสะดวกแก่ทกุ ฝ่าย ไม่วา่ จะเปน็ ผู้จดั สมั มนา จะได้มีเวลา สาหรบั การเตรยี มการ วทิ ยากร และผเู้ ข้ารว่ มสมั มนาสะดวกทจ่ี ะมาสมั มนาจึงควรคานึงถงึ ใน เรื่อง ดังตอ่ ไปนี้ 4.1 ระยะเวลาสาหรบั การเตรยี มการ ผู้จดั สัมมนาควรวางแผนปฏิบัตงิ านให้ ชัดเจนวา่ งานแต่ละอยา่ งแตล่ ะประเภททตี่ อ้ งทาน้นั จะใชเ้ วลานานเทา่ ใดจงึ จะแลว้ เสรจ็ จนถงึ วนั ที่ จะตอ้ งจัดสมั มนาเพราะงานบางอย่างตอ้ งทาลว่ งหน้ากอ่ น เชน่ การประชมุ วางแผนจดั ทา โครงการ การวางแผนศึกษาดงู านนอกสถานทปี่ ระกอบการสมั มนา วางแผนเก่ียวกบั วิทยากร การ จดั สถานที่ งบประมาณ และการวางแผนการประเมนิ ผล เปน็ ต้น ระยะเวลาสาหรับการดาเนนิ การ บางเร่ือง อาจใช้เวลามาก บางเรอ่ื งอาจใชเ้ วลานอ้ ย บางเรอื่ งตอ้ งทาอยา่ งตอ่ เนื่อง ผจู้ ดั ทาสมั มนา จงึ ควรทจี่ ะไดว้ างแผนไว้อย่างรอบคอบ มีการคาดคะเนสถานการณใ์ หด้ จี ะสามารถเตรยี มการให้ ทันตามกาหนดได้ 4.2 การเชญิ วิทยากร เป็นเร่ืองสาคญั อกี เรือ่ งหนงึ่ ท่ผี ูจ้ ดั สัมมนา ควรจะวางแผน ใหด้ ี เพราะวิทยากรบางท่านเปน็ ผู้ที่มีชอ่ื เสยี งมากมกั จะไม่ว่างบางท่านต้องติดต่อล่วงหน้าใน บางครั้ง ถงึ กับต้องเลื่อนวันจัดสมั มนาออกไป เพื่อจะให้ตรงกบั วันทวี่ ิทยากรว่าง เพราะหวังว่าจะ ได้วิทยากรทม่ี คี ุณภาพมาบรรยาย กรณีเชน่ น้ี เกดิ นอ้ ยคร้งั มาก เพราะไมจ่ าเปน็ จรงิ ๆ ก็จะไม่ เปล่ียนวัน เวลา ทก่ี าหนดจดั สัมมนาไว้ หากได้ออกหนังสอื เชญิ ผเู้ ข้าร่วมสัมมนาไดท้ ราบวนั เวลา แลว้ เพราะเปน็ การยุ่งยากสน้ิ เปลอื งคา่ ใชจ้ ่าย รวมท้งั ยงั เสยี เวลาในการแจ้งให้ผู้รว่ มสัมมนาได้ ทราบวนั เวลาใหม่ หากวิทยากรท่ไี ดเ้ ชญิ ไปไมม่ า ควรเปล่ียน วทิ ยากรที่มีคุณสมบตั ิใกล้เคียง แทน 4.3 วัน เวลา ท่ีใช้ในการสัมมนาจะใช้กว่ี ัน ขึ้นอยอู่ ับเรอื่ งที่สัมมนาว่ามีขอบเขต กว้างมานอ้ ยเพียงใดอาจเพยี งวันเดยี ว บางเรอ่ื งใชเ้ วลาสามวัน บางเรอ่ื งใช้เวลาถึงห้าวนั หรอื อาจ มากกวา่ น้ัน ท้ังนขี้ นึ้ อยู่กับความนา่ สนใจ ความจาเปน็ ของเร่อื งที่ต้องการรู้ หรือขน้ึ อยูก่ ับปัญหา 14
งานทปี่ ระสบอยูพ่ อดี บางเร่อื งอาจต้องมกี จิ กรรมเสริม เชน่ การศึกษาดงู านประกอบการสัมมนา ในเร่อื งท่ีเก่ียวข้อง ขอ้ ควรสังเกตในการใช้เวลาเพ่อื จดั สมั มนา หากใชเ้ วลาน้อยเกนิ ไปอาจสง่ ผลทาใหก้ าร อภิปรายการแสดงความคดิ เห็นไม่กว้างขวาง แต่ถา้ หากใช้เวลามากเกินไปอาจสง่ ผลทาให้ บรรยากาศของการสัมมนานา่ เบ่อื ที่เป็นประโยชนน์ ้อย หรอื อาจต้องใชง้ บประมาณเพิม่ ขึ้นโดยใช่ เหตุ ดังน้นั ในการกาหนดวันเวลาท่ใี ช้ในการสัมมนา จึงควรกาหนดใหท้ ันตอ่ การเตรียมการในทุกๆ เร่ือง จดั วนั เวลาใหพ้ อดีกับหวั ขอ้ เรือ่ งทใี่ ชใ้ นการสมั มนา และสามารถปรับยดื หยุ่นได้บ้างตาม ความเหมาะสม 5. องค์ประกอบดา้ นงบประมาณ การดาเนนิ งานจดั สมั มนาย่อยมีคา่ ใช้จ่ายเกี่ยวกับ การดาเนนิ งานค่อนข้างมาก คณะผดู้ าเนินงานจัดทาสมั มนาต้องวางแผนงานด้านคา่ ใช้จา่ ยใหด้ ี ด้วยความรอบคอบ เพอื่ ใหก้ ารประมาณค่าใช้จา่ ยอยูใ่ นภาวะเพยี งพอไมข่ าด หรือตดิ ขดั ใน คา่ ใช้จา่ ยฉกุ เฉนิ ซึง่ อาจเกิดภายหลงั ได้ ขอ้ ควรคานงึ ถึงการจัดทางบประมาณค่าใช้จา่ ยในการ ดาเนนิ งานจัดสัมมนาท่ีเรียกว่าการจัดทางบประมาณ ได้แก่ 5.1 จัดประมาณการคา่ ใช้จ่าย แต่ละฝ่ายทที่ าหน้าทร่ี ับผิดชอบงาน จัดประมาณ การคา่ ใช้จ่ายทต่ี อ้ งใชจ้ า่ ยทัง้ หมดของฝ่ายตนเองออกมาในรูปของบญั ชคี ่าใช้จ่าย นาเสนอฝ่าย เหรญั ญกิ และทีป่ ระชุม เพือ่ พจิ ารณาถึงความเหมาะสมสาหรบั คา่ ใชจ้ า่ ยแต่ละรายการของแต่ละ ฝ่ายกอ่ นโดยให้มีรายละเอียดให้มากท่ีสดุ อยา่ ใหต้ อ้ งตกหลน่ ในรายการใดรายการหนงึ่ ไป 5.2 คา่ ใชจ้ า่ ยตา่ งๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั วสั ดุอุปกรณท์ ่ีจาเปน็ ต้องจดั ซ้ือ ควรมีรายการ ราคาตามท้องตลาด หรอื อาจใชว้ ิธีสืบราคาวสั ดอุ ุปกรณเ์ หลา่ น้ันกอ่ น เพ่ือการประมาณค่าใช้จา่ ย จะไม่เกิดขอ้ ผิดพลาด การวางแผนค่าใชจ้ า่ ยจึงควรคานึงถึงค่าใชจ้ า่ ยทคี่ าดว่าจะเพ่มิ ขึน้ ได้โดย อาจนาไปใส่ในคา่ ใช้จา่ ยอืน่ ๆ 5.3 จดั ทางบประมาณรวม การวางแผนเกีย่ วกับค่าใชจ้ า่ ยของแตล่ ะฝา่ ยเห็นชอบ จากท่ปี ระชุม แล้วจึงจัดทางบประมาณรวมทง้ั โครงการ แล้วเสนอผรู้ บั ผดิ ชอบหรือเสนอฝ่าย บรหิ ารอนมุ ตั ิกรณีทเ่ี ปน็ การสัมมนาเพือ่ พฒั นาองค์กร ขอ้ สังเกตในการวางแผนงบประมาณ คา่ ใชจ้ ่ายของการจัดสมั มนาควรดาเนนิ การ ดงั น้ี 5.3.1 จดั ประชมุ แต่ละฝา่ ยที่รับผิดชอบ มอบหมายงานในหน้าทต่ี า่ งๆ จัดทา แผนงบประมาณคา่ ใชจ้ ่ายของฝา่ ยตนข้นึ มา นาเสนอต่อท่ปี ระชุมเพ่ือพจิ ารณารว่ มกัน 15
5.3.2 เมือ่ งบประมาณแต่ละฝ่ายได้รับการเห็นชอบแล้วต้องนางบคา่ ใชจ้ ่ายของ แต่ละฝา่ ยมาลงในโครงการ โดยแยกค่าใช้จา่ ยทต่ี ้องใชจ้ ่ายทตี่ อ้ งจา่ ยจริงเปน็ เงินเทา่ ใด 5.3.3 อาจแนบรายละเอยี ดคา่ ใชจ้ ่ายของแต่ละฝา่ ยไปพร้อมโครงการเพ่อื ใหฝ้ า่ ย บรหิ าร หรอื ผู้บังคับบัญชาพจิ ารณาอนมุ ัติ ในกรณีทีแ่ ตล่ ะฝา่ ยตอ้ งการเบกิ เงนิ จากเหรญั ญกิ เพอ่ื นาไปใช้จ่ายในฝา่ ยของตน เหรัญญิกตอ้ งจัดทาบญั ชรี ายรับรายจา่ ยรวมทงั้ มเี อกสารการเบิก จ่ายเงนิ และลายเซ็นของผู้รับเงนิ ดว้ ย ท้ังนีเ้ พอ่ื เป็นหลกั ฐานในการปฏบิ ัตหิ น้าทท่ี ่ที ่ีรบั ผิดชอบ สรุปไดว้ า่ องคป์ ระกอบของการสมั มนามี 5 ดา้ น ประกอบด้วย องคป์ ระกอบด้านเนอ้ื หา องคป์ ระกอบด้านบคุ ลากร องค์ประกอบด้านสถานที่ องค์ประกอบดา้ นเวลา องคป์ ระกอบด้าน งบประมาณ ลว้ นเปน็ ส่ิงที่มีความสาคัญเปน็ อยา่ งย่ิง เพราะ ไมว่ ่าจะเป็น องคป์ ระกอบดา้ นเนอ้ื หา องค์ประกอบดา้ นบุคลากร องคป์ ระกอบด้านสถานท่ี เครอ่ื งมือ และอปุ กรณ์ต่างๆ องค์ประกอบ ด้านเวลา องค์ประกอบดา้ นงบประมาณ ใชป้ ระกอบในการจดั สัมมนาเพอ่ื เปน็ กรอบแนวคิดในการ ดาเนินการจดั สมั มนาให้สมบรู ณ์แบบ และตอ่ เน่ืองจนบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ รปู แบบของการจดั สัมมนา ความหมายของรปู แบบ คาวา่ “รูปแบบ” หรือ Model เป็นคาทีใ่ ช้เพอื่ สอื่ ความหมายหลายอยา่ ง ซึง่ โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบจะหมายถึงสงิ่ หรือวิธกี ารดาเนนิ งานทเี่ ปน็ ต้นแบบอย่างใดอยา่ งหนง่ึ เช่น แบบจาลอง ส่ิงก่อสร้าง รปู แบบในการพฒั นาชนบท เปน็ ตน้ พจนานุกรม Contemporary English ของ Longman (1981, p. 668) ใหค้ วามหมายไว้ 5 ความหมาย แตโ่ ดยสรปุ แลว้ จะมี 3 ลักษณะ คือ 1. Model หมายถึง ส่งิ ซ่ึงเปน็ แบบยอ่ ส่วนของของจรงิ ซ่งึ เทา่ กบั แบบจาลอง 2. Model ที่หมายถึง สง่ิ ของหรอื คนท่ีนามาใช้เปน็ แบบอย่างในการดาเนนิ การบางอย่าง เช่น ครตู ้นแบบ 3. Model หมายถงึ รุ่นของผลติ ภณั ฑ์ต่าง ๆ เยาวดี วบิ ลู ย์ศรี ( 2536, หน้า 25) รูปแบบ คอื วธิ ที บี่ คุ คลใดบุคคลหน่ึงได้ถ่ายทอด ความคิด ความเขา้ ใจ ตลอดจนจติ นาการของคนทีม่ ีต่อปรากฏการณ์ หรอื เรอ่ื งราวใดๆ ให้ปรากฏ ในลักษณะของการสื่อสารในลกั ษณะใดลกั ษณะหนงึ่ รูปแบบจึงเปน็ แบบจาลองในลกั ษณะ เลยี นแบบ หรือเปน็ ตวั แบบทีใ่ ชเ้ ปน็ แบบอยา่ งเป็นแผนผงั หรือแบบแผนของการดาเนินการอย่างใด อย่างหน่งึ ต่อเนอ่ื งดว้ ยความสัมพนั ธ์เชิงระบบ 16
สวสั ด์ิ สุคนธรังสี ( 2520, หน้า 206) ใหค้ วามหมายรูปแบบหมายถงึ ตัวแทนทส่ี ร้างขึน้ เพื่ออธบิ ายพฤตกิ รรมของลักษณะบางประการของสง่ิ ท่ีเปน็ จรงิ อยา่ งหนึ่ง หรอื เปน็ เครื่องมือทาง ความคดิ ทีบ่ คุ คลใช้ในการหาความรู้ความเขา้ ใจปรากฏการณ์ \\ สุบรรณ์ พันธ์วศิ วาส และชัยวฒั น์ ปัญจพงษ์ ( 2522, หนา้ 22-23) ใช้คาว่า แบบจาลอง (Model) เท่ากบั การยอ่ หรือเลียนแบบความสมั พันธ์ที่ปรากฏอยูใ่ นโลกแห่งความเป็นจริงของ ปรากฏการณ์ใดปรากฏการณห์ นง่ึ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือช่วยในการจดั ระบบความคิดในเร่อื งนั้น ให้เข้าใจไดง้ ่ายขึ้นและเป็นระเบยี บ อาจกล่าวไดว้ า่ รปู แบบหมายถึงแบบจาลองอย่างงา่ ยหรือย่อสว่ นของปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ท่ผี ูเ้ สนอรปู แบบดงั กลา่ วได้ศึกษาและพฒั นาข้ึนมาเพ่อื แสดงหรืออธบิ ายปรากฏการณใ์ ห้ เข้าใจได้ง่ายขึน้ หรือในบางกรณีอาจจะใชป้ ระโยชนใ์ นการทานายปรากฏการณ์ทีจ่ ะเกดิ ข้ึน ตลอดจนอาจใช้เป็นแนวทางในการดาเนินการอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ต่อไป จากความหมายท้งั หมดสามารถสรปุ ได้ว่า รูปแบบ หมายถึง ส่ิงทส่ี ร้างหรือพฒั นาข้ึนจาก แนวคดิ ทฤษฎที ่ีไดศ้ ึกษามาของผสู้ ร้างเองเพื่อถา่ ยทอดความสัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบ โดยใชส้ ่อื ที่ ทาให้เขา้ ใจไดง้ า่ ยและกระชบั ถกู ต้อง และสามารถตรวจสอบเปรียบเทียบกบั ปรากฏการณจ์ ริงได้ เพ่อื ชว่ ยให้ตนเองและคนอน่ื สามารถเขา้ ใจไดช้ ดั เจนขึน้ รูปแบบของการสัมมนา การสมั มนาแต่ละครัง้ มีกจิ กรรมท่ใี ชใ้ นขณะสัมมนาหลายกิจกรรม เชน่ การอภปิ ราย การประชุมกล่มุ ย่อย และเทคนคิ การประชมุ แบบตา่ งๆ สามารถเลือกใชเ้ ปน็ แนวทางในการสมั มนา ตามความเหมาะสมของรูปแบบและสถานการณน์ ้ันๆ เทคนคิ และวิธกี ารต่างๆ ในการสัมมนามี ดงั นี้ พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2525 หนา้ 979) การอภิปราย ตามความหมายใน พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ไดใ้ ห้ความหมายไวว้ า่ \"การอภปิ ราย หมายถงึ การ พูดจาหรือการปรกึ ษาหารือกนั \" สมพงศ์ เกษมสนิ (2519, หน้า 5) การอภปิ ราย หมายถงึ การทบี่ ุคคลกลุ่มหน่ึงมีเจตนา จะพิจารณาเรือ่ งใดเรอ่ื งหน่ึงปรกึ ษาหารอื กนั ออกความคิดเห็นเพือ่ แก้ปัญหาท่มี อี ยู่ หรอื เพื่อเปน็ การแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น ถา่ ยทอดประสบการณท์ ไ่ี ดร้ บั ใหไ้ ด้ทราบซึ่งในทสี่ ุดก็มีการ ตดั สนิ ตกลงใจรว่ มกนั 17
สุจริต เพยี รชอบ (2516 หนา้ 1) การอภปิ ราย หมายถึง การทีบ่ ุคคลกลุม่ หนึ่ง ประมาณ 5 - 20 คน มีความรู้ความสนใจในเรอ่ื งเดยี วกนั หรือมีปญั หาในทานองเดียวกนั มา แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซึ่งกนั และกัน (ฉะนั้นลกั ษณะการอภิปรายดงั กล่าวพอสรุปไดด้ ังน้ี ลกั ษณะของการอภปิ ราย 1. จานวนผู้อภิปรายประมาณ 5 - 20 คน 2. จะตอ้ งเปน็ การปรึกษาหารือเป็นกล่มุ 3. จุดมงุ่ จะต้องแกป้ ัญหารว่ มกนั หรอื แลกเปลีย่ นความรู้ ความคดิ ทศั นคติ และ ประสบการณ์ร่วมกัน 4. ผมู้ าอภปิ รายจะต้องสนใจในเรือ่ งอยา่ งเดียวกัน จุดม่งุ หมายของการอภิปราย 1. เพือ่ ฝกึ ความคดิ แบบประชาธปิ ไตย 2. เพอ่ื ช่วยให้ผ้รู ว่ มอภิปรายได้ทางานรว่ มกนั รู้จักปรับตวั และรู้จักเป็นผนู้ าและผ้ตู ามทดี่ ี 3. การอภปิ รายมจี ุดมงุ่ หมายเพอื่ หาขอ้ เท็จจรงิ 4. เพ่ือนาความรหู้ รอื ขอ้ คิดเหน็ มาแกป้ ญั หาสังคม 5. เพื่อนาความรู้ ความคิดเห็นทไ่ี ดจ้ ากการอภปิ รายไปใชป้ ฏิบตั ิในชีวติ ประจาวนั ประเภทของการอภิปราย การอภิปรายใช้กันมาอยา่ งกวา้ งขวางในวงสังคม ซง่ึ ส่วนมากแบ่งออกได้ 3 แบบคอื 1. การอภปิ รายกลุ่ม (Group discussion) เป็นการอภปิ รายที่ใช้คนไมจ่ ากัดจานวน ผู้อภิปรายจะเปน็ ทง้ั ผู้พดู และผลดั กันเป็นผฟู้ ัง เพราะการอภิปรายแบบน้ีจะไมม่ ผี ้ฟู งั ผอู้ ภปิ รายจะ มจี านวนไม่เกนิ 20 คน การอภปิ รายแบบนีม้ กั ใชก้ นั มากในวงการศึกษาหรอื หน่วยราชการ โดยท่ัวไป 2. การอภปิ รายในท่ีชุมชน (Public discussion) เป็นการอภปิ รายทป่ี ระกอบดว้ ย บคุ คล 2 ฝา่ ยคือ มีผู้อภปิ รายเป็นผพู้ ดู และ ผูฟ้ งั อกี ฝา่ ยหนึง่ เมอ่ื การอภปิ รายยุตลิ งจะมีการเปิดให้ ซกั ถาม (Forum-period) การอภปิ รายนีม้ ปี ระโยชนม์ ากท่ีสดุ ในการใหค้ วามรู้ ความคดิ ประสบการณข์ ้อเท็จจรงิ และเป็นการแกป้ ัญหาสงั คมโดยส่วนรวมดที ่ีสุด 3. การอภิปรายแบบโต้วาที (Debate) เป็นการอภปิ รายแบบโตแ้ ย้งกนั อยา่ งมีเหตุผล โดยมผี คู้ า้ นฝา่ ยหนงึ่ และผเู้ สนออกี ฝา่ ยหนงึ่ หาเหตผุ ลมาหักลา้ งความคิดซ่งึ กนั และกนั ฝ่ายใด มเี หตผุ ลดีกวา่ อกี ฝา่ ยหนึง่ ฝ่ายมเี หตุผลกวา่ กจ็ ะได้รับชยั ชนะ โดยมปี ระธานเปน็ ผ้ตู ัดสนิ หรอื 18
ดาเนินการโตว้ าทีให้เปน็ ไปอย่างเรยี บรอ้ ย วธิ ีการนี้ใชส้ าหรับหาข้อมูลหรอื นโยบายทต่ี ้องการ เลอื กสงิ่ หนง่ึ สงิ่ ใดไปปฏิบัตแิ ละยงั ตกลงกนั ไมไ่ ด้ ตอ้ งอาศัยวิธีการอภปิ รายนใี้ นการประชมุ ตดั สิน วิธนี ้ีส่วนมากใช้ในการประชมุ พจิ ารณาเรอ่ื งสาคัญหรอื ใช้ในที่ประชุมสภา การอภิปรายในท่ีชุมชน มีลกั ษณะของการจดั หลายแบบดงั น้ี 1. การอภปิ รายแบบพาเนล (Panel discussion) การอภิปรายแบบน้ีจะให้สมาชกิ ประมาณ 3 คน 6 คน หรอื 8 คน ผพู้ ูดจะมคี วามรโู้ ดยท่ัวไป อภิปรายหรอื พูดในปญั หาอย่าง เดยี วกนั โดยผู้พูดเป็นผูท้ ่ีศกึ ษาหาความร้คู น้ คว้าหาหลกั ฐานขอ้ เทจ็ จรงิ มาพดู ตอ่ หนา้ ผ้ฟู ัง เปน็ การ สนทนาอย่างเป็นกนั เอง โดยมีผู้ดาเนินการเป็นผ้เู ชญิ ให้ผอู้ ภิปรายแสดงความรู้ ความคิดและให้ ขอ้ เสนอแนะ สาหรบั ตอนท้ายของการอภปิ รายควรเปดิ โอกาสใหผ้ ้ฟู งั ได้ร่วมอภปิ รายดว้ ย การ อภปิ รายแบบนีเ้ หมาะสาหรับการแยกแยะประเด็นปญั หา และผ้อู ภปิ รายทุกคนจะเป็นผู้ศึกษาหา ความรู้ค้นคว้าข้อเทจ็ จริงในเร่ืองท่จี ะอภปิ รายมาก่อนแล้วนามาพูดให้ผู้ฟงั ฟงั การพูดของผู้ อภปิ รายแตล่ ะคนจะเปน็ การพดู ตามทัศนะของตน การอภิปรายแบบนี้นิยมใชก้ นั มากในองคก์ ารทง้ั ทเ่ี ปน็ ของรฐั และเอกชนตา่ งๆ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในวงการศกึ ษา วิธีการดาเนนิ การอภิปราย มีดงั น้ี 1) พิธีกรดาเนนิ การการตามกาหนดการ โดยเชิญประธานเปดิ การสมั มนา หลงั จาก นั้นพิธีกรแนะนาหัวขอ้ ท่จี ะดาเนินการสัมมนาและผ้รู ่วมดาเนินการอภปิ รายทุกคน 2) เริม่ ดาเนินการอภปิ ราย โดยเปดิ โอกาสใหผ้ อู้ ภปิ รายแสดงความคดิ เห็นของตน อยา่ งอิสระ หลงั จากนัน้ พธิ กี รอาจจดั ช่วงเวลาสาหรบั แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ ระหว่างผ้อู ภปิ ราย ด้วยกนั เอง โดยพิธีกรเป็นผูส้ รุปในแตล่ ะตอน 3) การจดั สถานทีก่ ารสัมมนา ควรจดั เวทยี กพน้ื และมีโต๊ะสาหรบั การวางเอกสารและ วสั ดตุ ่าง ๆ ใหแ้ กผ้ อู้ ภิปรายโดยจดั เปน็ ลักษณะแถวเดยี่ วหรือรูปโค้งเล็กนอ้ ย 2. การอภิปรายแบบซมิ โปเซยี ม (Symposium Discussion) การอภปิ รายนีเ้ ป็น การ อภปิ รายทางวชิ าการ เพ่ือแลกเปลีย่ นความรโู้ ดยผู้อภิปรายแต่ละคนจะเตรียมคน้ หาความรู้ ขอ้ เทจ็ จรงิ เฉพาะตอนหนึ่งตอนใดของเร่ืองมาอภิปรายตามท่ไี ดต้ กลงกนั ไว้ ผู้อภิปรายแบบน้ีจะเป็น ผูเ้ ช่ยี วชาญหรือผชู้ านาญการในดา้ นใดด้านหนึง่ ส่วนผดู้ าเนินการอภปิ รายจะมีหนา้ ทีเ่ ชอ่ื มโยง เรือ่ งต่างๆ ใหต้ ่อเน่อื งประสานกันให้เป็นไปดว้ ยดีตลอดระยะเวลาของการอภิปราย หนว่ ยงานท่ใี ช้ การอภปิ รายแบบนี้กันมาก ไดแ้ ก่ หน่วยงานทางการศึกษา แพทย์ ทหาร และธรุ กิจการจดั สถานท่ี วิธดี าเนินการอภิปรายเหมอื นกนั กับการอภปิ รายแบบพาเนล แตกตา่ งกันเพียงแตว่ ่าการจัด อภิปรายแบบซมิ โปเซียม มีลักษณะเป็นวิชาการทใี่ หค้ วามร้ลู กึ ซงึ้ มากกวา่ การอภปิ รายแบบซมิ โป 19
เซยี มน้ี บางคร้งั มักเรียกวา่ \"ชุมชนปาฐก \" เพราะมลี กั ษณะคล้ายผูอ้ ภปิ รายมาบรรยายโดยมี ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ นักวิชาการ ผูเ้ ชี่ยวชาญแตล่ ะสาขามาอภิปรายให้ความรแู้ ก่ท่ปี ระชุม ผู้อภิปรายจะใช้ เวลาประมาณคนละ 10 - 15 นาที เปน็ อย่างน้อย และเวลาการอภิปรายแบบนไ้ี ม่ควรเกิน 2 - 3 ชั่วโมง วิธีการดาเนนิ การอภปิ ราย มีดังน้ี 1) พธิ กี รเชญิ ประธานเปิดการอภิปราย จากนน้ั แนะนาหัวข้อทบี่ รรยายและแนะนา พิธกี รภูมิหลงั ของวทิ ยากรแต่ละท่าน 2) เรม่ิ การบรรยายโดยพิธกี รหรอื ประธานจะเปน็ ผูเ้ ชือ่ มโยงการบรรยายของวทิ ยากร แตล่ ะท่านและสรุปบางตอนท่ีมีเนื้อหาประทบั ใจเปน็ พิเศษและคอยประสานงานใหก้ ารบรรยาย ดาเนินไปตามหวั ข้อ และวัตถุประสงค์ทวี่ างไว้ หรือพิธีกรอาจจะหาเลขานกุ ารมาเพอ่ื ช่วยในการ เตรียมการและประสานงานดา้ นต่าง ๆ เพอ่ื ทาใหเ้ กดความคล่องตวั 3) การจดั ที่นง่ั สาหรับผ้บู รรยาย ควรจัดให้สงู กว่าผูฟ้ งั เพื่อให้ผฟู้ ังมองเห็นผบู้ รรยาย อยา่ งชัดเจน แบบพาเนล แบบซมิ โปเซยี ม 1. ลกั ษณะการจัดเป็นกนั เอง 1. ลกั ษณะการจดั เปน็ ทางการมากกว่า 2. วตั ถุประสงคใ์ นการอภิปรายจะเปน็ 2. ผ้อู ภิปรายจะเปน็ ผู้เช่ียวชาญและมีความรู้ การอภิปรายความรูท้ ัว่ ๆ ไป เฉพาะดา้ น 3. จานวนคนในการอภปิ ราย 3 - 8 คน 3. จานวนคนประมาณ 2 - 5 คน 4. ผู้ฟงั ไดร้ บั ความรทู้ ่วั ๆ ไป 4. ผฟู้ งั ไดร้ บั ความรอู้ ย่างกว้างขวางละเอยี ด 5. ผ้รู ่วมอภปิ รายมีปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ งกนั เพราะเป็นการรวบรวมผอู้ ภิปรายทเี่ ชี่ยวชาญ และกันได้อยา่ งเสรี หลาย ๆ ด้านมาไว้ดว้ ยกัน 5. ผู้รว่ มอภิปรายมปี ฏิสัมพนั ธ์ระหว่างกนั นอ้ ย มากหรือไม่มีเลยเพราะตา่ งพดู ในเร่อื งท่ีตนถนัด ตารางที่ 1 ความแตกต่างระหว่างการอภิปรายแบบพาเนลและแบบซิมโปเซียม 3. การอภปิ รายแบบปจุ ฉา - วิสชั นา (Colloquy) การอภิปรายแบบน้ใี นประเทศไทยมัก เรยี กว่าการอภปิ รายแบบปุจฉา-วิสชั นา หรือบางครัง้ กเ็ รียกวา่ การอภิปรายแบบโตป้ ญั หาระหวา่ ง 20
กล่มุ วิทยากรกับกลุ่มผูพ้ ดู ผฟู้ งั สามารถซักถามกลมุ่ วทิ ยากรได้อย่างใกลช้ ดิ ซึ่งเปน็ การแก้ไขขอ้ ขอ้ ง ใจระหว่างกลมุ่ คนท้ังสองกล่มุ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี วิธีดาเนนิ การอภปิ ราย มีดังน้ี 1) แบ่งกลุ่มบุคคลออกเปน็ 2 กลุม่ คอื กลุ่มผู้ถามซึ่งเป็นผฟู้ งั และกลุ่มผตู้ อบ ซงึ่ เป็นวิทยากร 2) จดั ให้กลุ่มผ้ถู ามและกลุม่ วิทยากรนง่ั คนละด้านโดยผดู้ าเนินการอภปิ รายคอย ควบคุมการซักถาม ระหวา่ งกลมุ่ บุคคลท้งั สองกล่มุ 3) เม่ือมกี ารโต้ปญั หา ผดู้ าเนินการอภิปรายควรสรุปปญั หาเป็นเร่ืองๆ หรอื เปน็ ประเด็นไป 4) ผ้ดู าเนนิ การอภปิ ราย จะต้องเปน็ ผ้สู รปุ การอภปิ รายหลงั จากเสร็จสิน้ การโตป้ ัญหา แลว้ รวมทง้ั สรปุ ผลการอภิปรายปญั หาต่าง ๆ ทโี่ ตต้ อบกันมาแล้วดว้ ย 5) การอภิปรายแบบน้ีผูด้ าเนินการอภิปรายจะตอ้ งมคี วามสามารถในการควบคมุ รายการอภิปรายได้ดี ตลอดจนควบคมุ เวลาในการพดู อยา่ งเคร่งครัด และการอภิปรายแตล่ ะครั้งไม่ ควรเกิน 2 ชัว่ โมง รูปแบบการจดั สัมมนาโดยใชเ้ ทคนคิ อ่ืนๆ 1. การบรรยาย ( Lecture of Speech) เป็นวธิ ีการทเ่ี กา่ แก่แต่ยังคงเปน็ ที่นิยมใชก้ นั อยมู่ าก เพราะว่าจดั ไดร้ วดเรว็ ใช้ผทู้ รงคุณวุฒิเพยี งรายเดยี วต่อผู้ฟงั จานวนมาก แต่ก็เปน็ เทคนิค ท่นี า่ เบือ่ ทส่ี ดุ สาหรับผูฟ้ ังหรือผู้ท่ีเข้าอบรม เพราะเปน็ การพูดในทิศทางเดียวผ้ฟู ังไมม่ ีโอกาสไดร้ ่วม ในการบรรยาย ซ่งึ จุดออ่ นท่ีจรงิ ไมไ่ ดอ้ ยู่ที่วธิ ีการ แต่จะอยทู่ ต่ี วั ผูบ้ รรยาย ซ่งึ จะต้องรู้จรงิ ในเรือ่ ง น้ันๆ จงึ จะสามารถถ่ายทอดออกมาไดเ้ ร้าใจและสร้างความสนใจแกผ่ ฟู้ ัง 2. การอบรมระยะสั้น ( Short Courses) เปน็ การฝกึ อบรม หรอื การเรียนบางวชิ าอยา่ ง เร่งรดั ภายในระยะเวลาอันสัน้ อาจะเป็นตั้งแต่ 1 วันถงึ 2 สัปดาห์การเรียนเป็นแบบงา่ ยๆ และ เขม้ ขน้ น้อย การเรียนระยะสัน้ มกั จะเปน็ การเรียนรูเ้ พิม่ เตมิ ในวชิ าเฉพาะสาขาของคนบางกลมุ่ ซง่ึ ทางานในสาขานนั้ ๆ เปน็ ประจาตัวอยา่ งของ short courses เชน่ เรื่องการธนาคารของนาย ธนาคาร 3. การปฐมนเิ ทศ ( Orientation Training) เปน็ การให้ความรแู้ กส่ มาชกิ ใหม่ เกยี่ วกบั เรอื่ งราวของหนว่ ยงาน เพอ่ื เป็นแนวทางในการปฏบิ ตั งิ าน อาจจะเป็นนโยบาย วัตถุประสงค์ สภาพแวดล้อม หรือระเบียบขอ้ บังคบั ของหน่วยงาน ลักษณะการจัดกค็ ลา้ ยกบั การสัมมนาอบรม 21
คอื มวี ทิ ยากรบรรยายแนะนาใหค้ วามร้ตู า่ งๆ ตามท่กี าหนดไว้ข้อดขี องการปฐมนเิ ทศคือ ทาให้ สมาชกิ มีความคนุ้ เคยและรู้จกั หน่วยงานดยี ง่ิ ขนึ้ แต่การปฐมนเิ ทศมีเวลาจากดั บางคร้งั สมาชิกก็ ไดร้ ับข้อมูลนอ้ ยเกนิ ไป 4. การสาธติ ( Demonstration) เป็นการแสดงหรอื การนาของจรงิ มาแสดงวิธกี ารให้ได้ เหน็ การปฏบิ ัติจรงิ เหมาะกับงานกล่มุ เล็กๆ นิยมใชก้ ับหัวขอ้ วชิ าที่มีการปฏบิ ตั ิเช่น การอบรม เกยี่ วกบั การใช้เครอื่ งมือหรอื อปุ กรณต์ า่ งๆ 5. สถานการณจ์ าลอง ( Simulation) เป็นการจาลองสถานการณใ์ นชวี ิตจรงิ โดยจดั สถานการณ์ข้ึนแล้วกาหนดบทบาทของสมาชกิ ให้ทาตามบททไี่ ดร้ ับมอบหมาย โดยสมาชกิ ทง้ั กลุ่ม ตอ้ งร่วมกันเลน่ หรอื อาจจะแบ่งเปน็ กลมุ่ เล็กหลายๆ กลมุ่ หลังจากนั้นก็มกี ารอภปิ รายสถานการณ์ และเหตกุ ารณเ์ พอ่ื นาผลไปใช้ประโยชน์ข้อดีของการประชมุ แบบน้ี คอื เป็นการให้สมาชิกได้ แสดงออกและร่วมกจิ กรรมกนั ช่วยให้สมาชกิ ได้รู้จกั คิดอยา่ งมเี หตผุ ลและมจี ดุ ม่งุ หมาย ขอ้ เสยี คือ ต้องมีการเตรียมตัว ทาใหเ้ สยี เวลาและประเมินผลสมาชิกแตล่ ะคนไม่ได้ 6. การแบง่ กลุ่มเล็ก (Knee Group) เปน็ การอภิปรายกลุ่มย่อย ตั้งแต่ 3 - 5 คน ในเรือ่ ง ใดๆ ที่กาหนดให้หรือเรื่องทส่ี นใจรว่ มกัน เพ่ือสรปุ ผล แนวทางการแกป้ ญั หา แสวงหาข้อยตุ ิภายใต้ การนาของประธานกลมุ่ มเี ลขาเปน็ ผู้บนั ทึก และสรปุ ขอ้ เสนอแนะ ลักษณะการสมั มนาทด่ี ี 1. ผเู้ ข้ารว่ มสมั มนาทราบวัตถุประสงคข์ องการสัมมนา 2. จัดใหม้ กี ิจกรรมในการแกป้ ัญหารว่ มกัน 3. จัดให้มกี ิจกรรมในการเรยี นรรู้ ่วมกัน 4. จดั ให้มเี วทแี ลกเปล่ยี นเรียนรู้ ความคดิ เห็น และขอ้ เทจ็ จริงรว่ มกัน 5. ผเู้ ข้าร่วมสมั มนามีทัศนคติทดี่ ตี อ่ ปัญหา ข้อเทจ็ จริง ผเู้ ขา้ รว่ มสัมมนา และตนเอง 6. ผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนาต้องใช้ความคดิ รว่ มกนั ในการแกป้ ัญหา 7. มีผ้นู าท่ีดี 8. ผู้เข้ารว่ มสัมมนาเป็นผูฟ้ งั ทีด่ ี 9. ผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนาเป็นผู้พูดทีด่ ี 10. ผู้เขา้ รว่ มสัมมนาทุกคนเป็นผู้มสี ว่ นไดส้ ว่ นเสียในการดาเนินการประชมุ สมั มนา เพอื่ ให้ งานสมั มนาบรรลุเปา้ หมาย 22
สรปุ การสมั มนา หมายถงึ การท่ีคณะบุคคล ซง่ึ มคี วามสนใจร่วมกนั มารว่ มแสดงความ คิดเห็น แลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์ โดยอาศัยการคน้ ควา้ เปน็ หลกั ฐาน เพ่ือหาข้อสรุปใน เร่อื งใดเร่ืองหนงึ่ อันจะนาผลของการสมั มนาไปใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ในการตดั สินใจ แกไ้ ข ปญั หา ตลอดจนการกาหนดนโยบาย ท้งั นกี้ ารดาเนินการสมั มนามีองคป์ ระกอบในด้าน เนอ้ื หา ดา้ นบคุ ลากร ด้านสถานท่ี เครื่องมือ และอปุ กรณ์ต่างๆ ด้านเวลา และด้าน งบประมาณ รวมท้งั ผูท้ ่เี กี่ยวข้องกบั การสมั มนา ควรจะต้องยดึ ถือและปฏิบตั ิตามหลัก โดยการ บริหารจดั การสัมมนาท่ีมีประสทิ ธิภาพจะช่วยใหร้ ะบบและวิธกี ารทางานมปี ระสทิ ธิภาพสูงข้นึ 23
กจิ กรรมท้ายบท 1. อธิบายความหมาย วตั ถุประสงค์ ความสาคญั 2. อธิบายประโยชน์ ขอ้ ดี ขอ้ จากัด ของการสมั มนา 3. อธบิ ายองค์ ประกอบของการสมั มนา 4. อธบิ ายรูปแบบ และการจัดสมั มนาที่ดี 24
เอกสารอา้ งอิง เกษกานดา สุภาพจน์ .(2549) . การจัดสมั มนา .กรุงเทพมหานคร: ศูนยส์ ง่ เสริมวชิ าการ. นริ ันดร์ จุลทรพั ย์. (2550). จิตวทิ ยาการประชมุ อบรมสมั มนา . พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปาน กิมปี และกรรณิการ์ แยม้ เกสร .(2545). การจัดประชมุ การศึกษานอกระบบและ เทคโนโลยีในการฝึกอบรม . ใน ประมวลสาระชดุ วชิ าหลักการเรยี นรแู้ ละเทคนคิ การ ฝึกอบรม หนว่ ยที่ 13 หน้า 581-610 นนทบรุ ี มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ ผล ยาวิชยั . (2553). สมั มนา (Seminar). พมิ พค์ รั้งท่ี 1. กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พรนิ้ ต้ิง เฮา้ ส์. ไพพรรณ เกียติโชคชยั .(2545). หลักการสมั มนา. พมิ พค์ รั้งที่ 2.กรงุ เทพมหานคร: การศกึ ษา จากดั . ไพพรรณ เกยี รติโชติชยั . (2548). การสมั มนาส่คู วามเปน็ เลศิ . พิมพค์ รงั้ ท่ี 4. กรุงเทพมหานคร : การศกึ ษา. ไพโรจน์ เนียมนาค.(2554). เทคนิคการสัมมนาและการฝกึ อบรม. พิมพค์ รั้งที่ 1.กาแพงเพชร: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั กาแพงเพชร. เยาวดี วบิ ลู ยศ์ รี. (2536).การประเมนิ โครงการ แนวคิด และแนวปฏบิ ัติ. กรงุ เทพมหานคร: ภาควชิ าวจิ ยั การศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ราชบัณฑิตยสถาน. (2525).พจนานุกรมฉบับบัณฑติ ยสถาน พ .ศ. 2525. พิมพค์ ร้งั ที่ 2 : กรุงเทพมหานคร สานักพิมพ์อกั ษรเจริญทศั น์ . ราชบัณฑติ ยสถาน. (2546). พจนาจกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. กรงุ เทพมหานคร :นานมีบุ๊คส์พับลเิ คชัน่ ส์. สทุ ธนู ศรไี สย. (2544).หลกั การจดั สัมมนาการศกึ ษา . พมิ พ์ครั้งที่ 3. กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สุจริต เพียรชอบ. (2516).การอภิปราย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรุสภา. สุบรรณ์ พันธว์ ศิ วาส และชยั วัฒน์ ปัญจพงษ์. (2522).ระเบียบวธิ กี ารวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพมหานคร:โอเดยี นสโตร์. สมคดิ แก้วสนธิ และสนนั ท์ ปัทมาคม. (2545). คู่มอื การจดั ประชุมปฏิบตั กิ ารดา้ นการเรยี น 25
การสอน. กรงุ เทพมหานคร :จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สมคดิ บางโม.(2551). เทคนิคการการฝึกอบรมและการประชมุ . กรุงเทพมหานคร : วิทยพฒั น์. สมจิตรเกิดปรางค์ และ นุตประวีณ์ เลิศกาญจนวัต. (2545). การสมั มนา. กรงุ เทพมหานคร: สง่ เสรมิ วชิ าการ. สมพงศ์ เกษมสนิ . (2519). ศลิ ปะการประชมุ . กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช. สมติ ร สัชฌุกร. (2552). การประชุมทเ่ี กดิ ประสิทธผิ ล. กรงุ เทพมหานคร.สายธาร สวสั ด์ิ สคุ นธรงั สี. (2520).โมเดลการวจิ ัย. กรณตี วั อย่างทางการบรหิ าร. วารสารพฒั นาบริหาร ศาสตร์. Longman, C. (1981).Longman dictionary of contemporary English. Englandหน้า Clay. 26
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: