Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 15651651651651

15651651651651

Published by 55120123o, 2021-10-07 08:19:35

Description: 15651651651651

Search

Read the Text Version

1 โครงงาน การทาเทยี นหอมไลย่ งุ โดยสมนุ ไพรพนื้ บา้ น รายวชิ า IS-1 (I30201) โดย นายเจตณฐั ทะสี เลขท1ี่ นายปราชญ์ ธติ มิ ูล เลชท3ี่ นางสาวกนิน อภชิ ยั เดชากร เลขท4ี่ นายณฐั วรรธน์ จนั ทรส์ ุข เลขท3ี่ 0 นายอสิ รายุส ภมิ าลย์ เลขท3ี่ 2 เสนอ คุณครู ดารงค์ คนั ธะเรศย์ โรงเรยี นปวั อ˚าเภอปวั จงั หวดั น่าน สงั กดั เขตพื้นทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาน่าน เขต 37

2 บทคดั ย่อ่ ยงุ เป็ นพาหะนะน˚าโรคหลายชนิดทเี่ ป็ นอันั ตรายตั่อมนัุษย์เช่น โรคไขัเลือดออก ไข มาลาเรีย โรคเทัาชาง เป็ นตัน จงึ มีผัูัคัิดท˚าตัวั ยาเพือ่ ก˚าจดั และปองกันั ยุงขนึ้ มาหลายชนิดเชน่ ครัีม ทากนั ยุง ยาจดุ กนั ยงุ ยาฉีดกนั ยงุ น˚ามนั ไลย่ ุง เป็ นตัน แตั่ยากนั ยัุงเหลา่ น้ีก่อใหเกดิ ปญั หาขน้ึ มากมายเพราะมีสารทเี่ ปั็น อันั ตรายผสม อยู่ ซง่ึ ท˚าใหผใู ชบางคนเกดิ อาการแพ ผจู ดั ท˚าโครงงานไดพบวา่ มีชาวบานในทองถน่ิ ไดน˚าใบ ตะไครหอมท˚าเป็ น แลววางไวใกลัตัวั พบวา่ สามารถไลย่ ุงไดั ผูจัดั ท˚าจึงไดัท˚าเทยี นหอมตะไครไลั่ยุง ขน้ึ เพอื่ ใหสามารถใชงานไดั สะดวกขน้ึ และหยดุ ปญั หาการแพสารเคมี จากสภาพปญั หาของชุมชนในทองถน่ิ และการใชสารเคมจี ะท˚าใหเกดิ อนั ตรายตอ่ รา่ งกายและท˚าให สภาพแวดลอมเป็ นพษิ จงึ ท˚าใหเกดิ แนวคดิ หาวธิ ีใชพืชสมุนไพรกลนิ่ แรง ซง่ึ มอี ยูท่ ่วั ไปในทองถนิ่ ท˚าเป็ นยากนั ยุง แทนสารเคมีสังั เคราะห์ทีข่ ายทััั ่วไป เพืั่อลดมลพัิษของสัิั่งแวดลอม และชั่วยใหัปลอดภัยั จาก สารพัิษเขาสู่ รา่ งกาย และจะไดประหยดั คา่ ใชจา่ ยในการซ้ือยากนั ยุงทีท่ ˚าจากสารเคมีสงั เคราะห์ ดงั นน้ั การทีไ่ ดท˚าผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพรไลย่ ุงน้ีขนึ้ จงึ เป็ นผลดีตอ่ ผใู ช เพราะสามารถผลติ ใชไดเองจากสมุนไพร ตาม บาน เชน่ ตะไครหอม มะกรูดและเปลัือกสมอัีกทง้ั ยงั ท˚าใหประหยดั คา่ ใชจา่ ยและปลอดภัยั จากสารเคมี

3 กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานเรัืั่องเทัียนหอมสมุนไพรไล่ยัุง ทัีั่ส˚าเร็จลัุลว่ งไปไดดวยดัีก็เพราะ ไดรบั การ ชว่ ยเหลือจากอาจารยั์ และคณะ ทัีั่ใหค˚าปรกึ ษาและใหค˚าแนะน˚าตลอดเวลาของการด˚ าเนนิ งานตาม จุดประสงค์ของโครง งานทัีั่ไดก˚าหนดไว คณะผัูัจดั ท˚าขอขอบพระคณุ ทา่ นทัีั่ ใหความช่วยเหลอื ใน เรัืั่องตั่างๆและหวงั เปั็น อยา่ งยง่ิ วา่ โครงงานเรือ่ งเทัียนหอมสมุนไพรไลย่ ัุงเรัืั่องน้ีน่าจะ เกัิดประโยชน์ ตอ่ ผทู มี่ ีความ สนใจศกึ ษา คณะผจู้ ดั ท˚า 1นายเจตณฐั ทะสี เลขท1ี่ 2นายปราชญั์ ธติ มิ ูล เลชทัีั่3 3นางสาวกนิน อภชิ ยั เดชากร เลขท4ี่ 4นายณฐั วรรธน์ จนั ทรส์ ุข เลขท3ี่ 0 5นายอสิ รายสุ ภมิ าลย์ เลขท3ี่ 2

4 เรอ่ื ง หนา้ บทคดั ยอ่ ก กติ ตกิ รรมประกาศ ข บทที่ 1 บทน˚า 1 - ทมี่ าและความส˚าคญั 1 - วตั ถุประสงค์ 1 - ผลทีค่ าดวา่ จะไดรบั 2 บทที่ 2 เอกสารทเี่ กัีั่ยวขัอง (เรื่องทัี ่เกีย่ วขัอง) - ลกั ษณะทางพฤกศาสตร์ 3 - สรรพคุณของสมนุ ไพร 4 - คณุ คา่ ทางโภชนาการของตะไคร บทที่ 3 การด˚าเนินการ 5-6 บทที่ 4 ผลการด˚าเนินงาน 7-10 บทที่ 5 สรุปผลและอภปิ รายผลการด˚าเนินงาน 11-22 เอกสารอัางอัิง 23 ภาคผนวก 24 25

5 บทท่ี 1 บทน˚า ทม่ี าและความส˚าคญั ในปจั จัุบนั ประชาชนสั่วนใหญม่ กั เป็ นโรคไขัเลือดออกไมั่วั่าจะเป็ นเดั็กหรอื ผใู หญั่ โรค ไขัเลอื ดออกเกดิ จากยัุงทเี่ ป็ นพาหะน˚าโรคทเี่ ปั็นอนั ตรายตอ่ มนัุษย์ จงึ ไดมีผัูัคดิ คันสง่ิ ที่ ชว่ ยในการก˚าจดั และปองกนั ยุง เชน่ ครมี ทากนั ยุง ยาฉีดกนั ยงุ ยา จดุ กนั ยุง เป็ นตน จาก การศกึ ษาพบวา่ สงิ่ เหลา่ นี้อาจจะมสี ารเคมเี ป็ นสว่ นผสมอยู่ ซง่ึ อาจท˚ าใหผบู รโิ ภคเกดิ อาการแพไดในเวลาตอ่ มา จงึ ไดน˚าสมนุ ไพรมาเป็ นสว่ นผสมในเทยี นหอม เพอื่ ไลย่ งุ เพราะกลน่ิ สมนุ ไพรทไี่ ดน˚ามนั หอมระเหยทเี่ รยี กรวมๆวา่ Essential oil ซง่ึ ประกอบดวย สารหลายตวั ยุงจงึ ไมช่ อบกลนิ่ สมุนไพรทไี่ ดมาท˚า และก็เป็ นการทดสอบ วา่ สมุนไพร ชนิดไหนจะไลย่ งุ ไดดกี วา่ กนั ดงั นน้ั คณะผจู ดั ท˚าจงึ ไดมองเหน็ ปญั หาเหลา่ น้ี และไดหา วธิ ัีการแกไขจงึ ไดมโี ครงงานเรือ่ งเทยี นหอมสมุนไพรไลย่ ัุง เพัืั่อเป็ น การปองกนั ยุงอนั น˚าไปสโู่ รคภยั ได และยงั เป็ นการแปรรปู จากพืชสมนุ ไพรธรรมดาทมี่ ี สรรพคณุ มากมาย ใหกลายเป็ นผลติ ภณั ฑเ์ ทยี นหอมไลย่ ุง เพอื่ สามารถท˚าเป็ นรายไดเสรมิ ใหแกต่ นเองหรอื ครอบครัวั ไดคณะผัูัจดั ท˚าจงึ สนใจคัิดท˚าโครงงานนี้ขนึ้ มา วตั ถุประสงคข์ องโครงงาน 1. เพือ่ เป็นการศกึ ษาหาสมุนไพรทสี่ ามารถใชปองกนั ยงุ ได 2. เพอื่ เปั็นการน˚าสมุนไพรพัืันบัานมาใชใหเกัิดประโยชน์ 3. เพือ่ ท˚าเทัียนหอมสมุนไพรในการใชปองกนั ยัุง

6 ผลทคี่ าดวา่ จะไดร้ บั 1.เทยี นหอมทที่ ˚าจากสมุนไพรพนบานสามารถไลย่ งุ ได 2.ท˚าใหทราบไดถงึ ความเหมาะสมของการน˚าสมุนไพรมาใชไลย่ ุงได 3.สามารถน˚าวตั ถุดบิ จากทองถน่ิ มาประยุกตใ์ ชใหเกดิ ประโยชน์มากขน้ึ สมมตฐิ าน ขอบเขตของการท˚าโครงงาน ท˚าโครงงานเกีย่ วกบั เทัียนหอมไลย่ งุ โดยท˚าเทัียนหอมจากสมุนไพรพัืันบัานโดย สมุนไพรทัีั่ใชคัือ ตะไคร มะกรูด และโหระพา ตวั แปร ตวั แปรตน : ตวั แปรตาม : ตวั แปรควบคมุ : จ˚านวนดอกไม้ เวลาในการอบดอกไม้ แผนการก˚าหนดเวลาปฏบิ ตั งิ าน 2 สปั ดาห์ ระยะเวลาการด˚าเนนิ โครงงาน ขน้ั ตอนการ 1-14 สงิ หาคม 15-31 สัิงหาคม 1-14 กนั ยายน 15-30 กนั ยายน ด˚าเนนิ งาน

7 ปรกึ ษาหวั ขอโครงงาน กนั ภายในกลุม่ เสนอหวั ขอโครงงาน รวบรวมขอมูล วเิ คราะห์ขอมูล เรมิ่ จดั ท˚าโครงงาน ตรวจสอบและแกไข ปญั หา สรปุ ผลการท˚า โครงงาน

8 บทท่ี 2 เอกสารท่ี เกย่ี วขอ้ ง1. ตะไคร ช่่ื อ่ สม่นุ ไพร ตะไครห้ อม ช่่ื อ่ ว่ทิ ยาศาสตร่ ์ Cymbopogon nardus ( Linn ) Rendle. ช่่ื อ่ วงศ่ ์ POACEAE ( GRAMINAE ) ช่่ื อ่ ฟ่อ้ ง Cymbopogon winterianus Jowitt.

9 ช่่ื อ่ อ่งั กฤษ Citronella grass ช่่ื อ่ ท่อ้ งถนิ่ จะไคมะกรัูด, ตะไครมะกรูด, ตะไครแดง ลกั ษณะทางพฤษศาสตร์ พืชลมลกุ มีอายุหลายปี มีเหงาใตดนิ ล˚าตนตง้ั ตรง ออกเป็นกอ มกี่ ลนิ่ หอม ใบเดยี่ ว เรียงสลบั รปู ยาวแคบ โคนใบแผอ่ อกเป็นกาบ มีลน้ิ ใหญ่ สีน˚าตาลแดง แทงออกจากกลางตน ใบประดบั ลกั ษณะคลายกาบ ดอกชอ่ เชงิ ลด แยกเปั็นหลายแขนง ออกเปั็นคัู ่ ชอ่ ยอ่ ยมัีใบประดบั ทัีั่ โคน 2 ใบใบนอกมีหยักั ดัานนอกแบกขอบแผั่ออกเปั็นปัึกแคบๆและขอบดานบนสาก ใบในรัูป เรัือ ใบแหลมมีเสนตามยาว 1-3 เสน ขอบมีขน แตล่ ะดอกยั่อยมีใบประดับั 2 แผั่น เรียกกาบ บนและกาบลา่ งกาบบนรูปขอบขนาน เนื้อบาง ขอบมีขน กาบรา่ งรปู ยาว แคบ มขี นแข็งและ ปลาย แหลม ผลเป็นผลแหงเมล็ดเดยี ว สรรพคัุณ ทััั งตน ใชเปั็นยารักั ษาโรคหดื แกปวดทัอง ขบั ปัสั สาวะและแกอหวิ าตกโรค หรือท˚าเปั็นยาทา นวดก่็ ได้ และยงั ใชร้ วมกบั สมนุ ไพรชนดิ อนื่ รกั ษาโรคได้ เชน่ บ˚ารงุ ธาตุ เจรญิ อาหาร และขบั เหงอ่ื หวั เป็ น ยารกั ษาเกล่่ื อ้ น แกท้ ่อ้ งอดื ทอ้ งเฟ้ อ แก่ป้ ัสสาวะพกิ าร แก่น้ วิ่ บ˚ารงุ ไฟธาตุ่ แก่อ้ าการขดั เบา กถ่บั า้สใชม่นุ ร้ไวพมรชนดิ อน่ื จะเป็ นยาแก่อ้ าเจยี น แก่ท้ ราง ยานอนหล่บั ลดความด่นั สงู แก่ล้ มอ่มั พาต แก่้ กษ่ยั เสน้ และแก่ล้ มใบ ใบสด ๆ จะช่ว่ ยลดความดนั โลห่ติ สงู แก่ไ้ ข่้ ราก ใชเ้ ป็ นยาแก่ไ้ ข้ เหนอื ปวด ทอ้ งและทอ้ งเสยี ตน้ ใชเ้ ป็ นยาแกข้ บั ลม แกเ้ บอ่ื อาหาร แกผ้ มแตก แกโ้ รคทางเดนิ ปสั สาวะ นวิ่ เป็ น ยาบ˚ารุง ไฟธาตใุ หเ้ จรญิ แตถ่ า้ เอาผสมกบั สมุนไพรชนดิ อน่ื จะแกโ้ รคหนองใน และ นอกจากนยี้ งั ใชด้ บั กล่่ิ น่ คาวดว้ ย การปลูกและขยายพนั ธ์ุ

10 ปลูกไดการปกั ช˚าตนเหงา โดยตดั ใบออกใหเหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคบื น˚ามาปกั ช˚าไวสกั หน่ึงสปั ดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แลวน˚าไปลงแปลงดนิ ทัีั่เตรยี มไวั หรืออาจใชวธิ ีเอา โคนปกั ลงไปทัีั่ดนิ ซง่ึ เตรัียมไวเลย ใหหา่ งประมาณหน่ึงศอก ถาปลกู ในกระถางใชวธิ ัี ปักั โคนลงใน กระถางๆละ 2-3 ตนก็ได แลวหม่นั รดน˚าใหชุม่ เชาเยน็ ตง้ั ไวใหโดนแดดตลอดวนั จะท˚าใหโตได เร็ว ตะไครชอบดนิ รว่ นซยุ เป็นพืชทชี่ อบน˚า ชอบแดด ดแู ลรดน˚าเสมอและโดนแดดไดตลอดวนั เจรญิ ไดในดนิ แทบทกุ ชนิด เวลาจะใชก็ใหตดั ทโี่ คนสดุ สว่ นรากเลย แลวถอนออกมาทง้ั ตนตาม ตองการ ตองคอยตรวจดูเมือ่ ตะไครมีกอเจรัิญเตัิบโตไดเต็มทัีั่แลว ตองถอนทัิังหรัือ แยกออกไป ปลกู ใหมบ่ างหรอื เอาไปใชบาง จะน˚ามาห่นั เป็นฝอยๆ ตากลมไวใหแหงสนิทแลว แพ็คเก็บไว ใชไดนานๆ เพือ่ ใหตนออ่ นโตขน้ึ มาใหม่ ถาไมแ่ ยกออกไปตนจะเล็กและลีบลงเรอื่ ยๆ และบาง ทัีั่ก็แคระแกรั็น ตนและกอก็จะโทรม ตองลางและปลกู ใหมั่ทััั งหมดเปลีย่ นเปั็นการ แตกหน่อท˚า ใหการปลูกและการขยายพนั ธ์ไดงา่ ย ฤทธ่่ิ ท์ างเภสชั วทิ ยา ฤทธใิ์ นการไลย่ งุ และแมลง น˚ามนั ตะไครหอม (citronella oil) ซง่ึ เปั็นน˚ามนั หอมระเหยสกดั จากตันตะไครหอม สามารถ ใชไลแ่ มลงไดั สามารถปัองกันั ยัุงลาย ยุงกนปั่องและยุงร˚าคาญกัดั ไดนาน ประมาณ 2 ช่วั โมง ครีมทมี่ ีสว่ นผสมของน˚ามนั หอมระเหยจากตะไครหอมรอยละ 14 สามารถทาปองกนั ยงุ ได ปัองกันั ยุงร˚าคาญไดในอาสาสมคั ร 13 คน จากทััั งหมด 20 คน และมีประสทิ ธภิ าพใน การ ปองกนั ยงุ กดั ไดนาน 2 ช่วั โมง ซง่ึ ใกลเคยี งกบั ครีมจากสารสงั เคราะห์ ( dimethyl phatate รอยละ20 และ diethyl toluamideรอยละ 5 ) ครีมทมี่ ีน˚ามนั จากใบตะไครหอม ความ เขมขน รอยละ 1.25,2.5 และ 5 มปี่ ระสทิ ธภิ าพในการปองกนั ยุงกนป่องไดนาน 2 ช่วั โมง และมี ความเขมขน รอยละ 10จะปองกนั ไดมากกวา่ 4 ช่วั โมง ต˚ารบั ครีมทัีั่มีสั่วนผสมของน˚ามนั ขา่ รอยละ 5 น˚ามนั ตะไครหอม รอยละ 2.5 และวานลิ ลนิ รอยละ 0.5 มีป่ ระสทิ ธัิภาพในการ ปัองกันั ยุงกดั ไดนานกวา่ 6 ช่วั โมง

11 น˚ามนั หอมระเหยจากตะไครหอม สามารถปัองกันั ยัุงทัีั่เปั็นพาหะของโรค มาลาเรีย ไขัเลัือดออก และเทัาชัางไดนาน 8-10 ช่วั โมง ความเขมขันทัีั่ใหผลปองกันั ยุงลาย ไดรอั ยละ0.031 และ 5.259 ตามล˚าดบั น˚ามนั หอมระเหยทเี่ ขมขนรอยละ 1 สามารถปองกนั ยงุ กดั ได 75.19 สารสกัดั ดวยเอทานอลรัอยละ 90 จากตะไครหอม และสารสกดั ตะไครหอมทัีั่ผสม กบั น˚ามนั มะกอกและน˚ามนั หอมระเหยกลัิั่นชะมดเช็ด เมือ่ น˚ามาทดสอบกับั ยุงลายและยงุ ร˚ าคาญตวั เมีย จะ มีประสทิ ธภิ าพในการไลย่ งุ ไดนานประมาณ 2 ช่วั โมง นอกจากนี้ยงั มผี ลในการ ควบคมุ และ ก˚าจดั ลกู น˚ายงุ ไดดวย น˚ามนั หอมระเหยจากตะไครหอมมีความเขมขนรอยละ 10 มฤี ทธไิ์ ลต่ วั ออ่ นของเหบ็ ได นานถึง 8 ช่วั โมง และสามารถไลต่ วั ออ่ นของเห็บพนั ธ์ุ Ambiyomma cajennense ไดดวย คา่ 0.089 และ 0.343 มลิ ลัิกรัมั /ตารางเซ็นตัิเมตร และทคี่ วามเขัมขน 1.1 มลิ ลัิกรัมั /ตาราง-เซ็นตเิ มตร ไล่ตวั ออ่ นของ เห็บรอยละ 90 นาน 35 ช่วั โมงนอกจากนี้ยงั มีฤทธไิ์ ลแ่ มลงทที่ ˚าลายเมล็ดขาวทเี่ ก็บไว โดยไมม่ ี ผลตอ่ คณุ ภาพของขาว นอกจากตะไครหอมยงั มีฤทธไิ์ ลแ่ มลงวนั ผีเส้ือกลางคนื และพวก แมลง บนิ ตา่ งๆไดดวย ฤทธ่่ิ ฆ์ า่ แมลง น˚ามนั หอมระเหยจากตะไครหอมมีฤทธฆ์ า่ ตวั ออ่ นของยัุงกันปั่องและยุงร˚าคาญไดั โดย ระยะเวลาทัีั่ตวั ออ่ นตายครงึ่ หนึ่งเทั่ากบั 1.2 และ นัอยกวั่า 0.2 นาทัี ตามล˚าดบั และมฤี ทธปิ์ ัองกนั การวางไขด่ วงถ่วั สามารถฆา่ ดวงถ่วั และแมลงวนั ได สารสกดั ตะไครหอมทคี่ วามเขมขน 100 สว่ นในลานสว่ น จะใหผลนอยมากในการควบคมุ แมลงศัตั รัูกะหล˚่ า แตจ่ ะมัีผลท˚าใหไรแดงกหุ ลาบตายรัอยละ 95 ภายใน 20.70ช่วโมง นอกจากนี้ สารสกัดั ดวยเอทานอลรอยละ 10 จากตันตะไครหอมแหง 50 กรัมั /ลติ ร จะมี ผลดใี นการลด

12 ปรมิ าณของหมดั กะโดด ซงึ่ เปั็นแมลงศัตั รัูคะนา แตม่ ีแนวโนมทัีั่จะท˚าใหน˚าหนกั ของ คะนา ลดลง แชมพูทีม่ ีสว่ นผสมของสารสกัดั ตะไครหอม สามารถฆา่ เห็บ หมดั ในสตั ว์เลัีัยงไดั สารสกัดั ตะไครหอมผสมกบั สารสกดั จากเมล็ดสะเดาและขา่ ในสดั สว่ น 10 มลิ ลลิ ติ ร/น˚า 1ลติ ร มีผลลด การเขาท˚าลายของเพล้ียอั่อนและหนอนเจาะฝักั ซง่ึ เปั็นแมลงศัตั รัูถ่วั ฝกั ยาว แต่ ไมส่ ามารถ ควบคมุ การเขาท˚าลายของแมลงวนั เจาะตนถ่วั ได 2. พาราฟีน พาราฟิน หรอื เคโรซนี เป็นผลติ ภณั ฑป์ ิโตรเลยี มซงึ่ กล่นั แยกออกจากน˚ามนั ดบิ จดุ หลอมเหลว ประมาณ 47-64 องศาเซลเซียส จุดเดือดประมาณ 150-275 องศาเซลเซียส ไมล่ ะลายในน˚า สามารถใชประโยชน์ไดมากมาย และ มหี ลายสถานะดวยกนั

13 แกส๊ ใชเป็นเชื้อเพลิง ของเหลวใ ชเป็ นเชื้อเพลงิ ของแข็ง (ในรูปขผี้ งึ้ ) ใช ผลติ เทยี น สรรพคณุ ของสมุนไพรทนี่ ˚ามาศกึ ษา ตะไคร ตะไคร้ ชอื่ สามญั Lemongrass ตะไคร่้ ชอ่ื ว่ทิ ยาศาสตร่์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จดั อยัูั่ ญา (POACEAE หรัือ ในวงศห GRAMINEAE) ตะไครจดั เป็ นพืชลมลกุ ตระกัูลหญา ใบมัีลกั ษณะเรัียวยาว ปลายใบมัีขนหนาม เป็ นสมัุนไพรไทยชนัิดหนึ่งทีน่ ยัิ มน˚ามาประกอบ อาหาร โดย ตะไครแบง่ ออกเป็ น 6 ชนิด ไดัแกั่ ตะไครหอม ตะไครกอ ตะไครตัน ตะไครัน˚า ตะไครหางนาค และตะไครัหางสัิงหั์ ซง่ึ เป็ นสมัุนไพรไทยที่ นิยมปลูกท่วั ไปในบัานเรา โดยมัีถนื่ ก˚าเนิดในประเทศอนิ เดีย อนิ โดนีเซีย พมั่า ศรัีลงั กา และไทย ตะไครัเป็ นทง้ั ยารกั ษาโรคและยังั มัีวติ ามัินและแรธ่ าตทุ ัีั่มประโยชน์ตั่อรั่างกายอกี ดวย เช่น วติ ามนิ เอ ธาตแุ คลเซียม ธาตุฟอสฟอรัสั ธาตัุเหล็ก ฯลฯ สรรพคุณของตะไคร

14 1.มัีสว่ นช่วยในการขับั เหงัืั่อ 2.เป็ นยาบ˚ารัุงธาตุไฟใหัเจรัิญ (ตันตะไครั) 3.มัีสรรพคัุณเป็ นยาบ˚ารัุงธาตัุ ช่วยในการเจรัิญอาหาร 4. ช่วยแกอาการเบอื่ อาหาร (ตน) 5.สารสกดั จากตะไครมสั่วนช่วยในการปองกนั โรคมะเรั็งล˚าไสัใหญ่ 6. แกและบรรเทาอาการหวดั อาการไอ 7. ชว่ ยรกั ษาอาการไข (ใบสด) 8. ใชเป็นยาแกไขเหนือ (ราก) 9. น˚ามันั หอมระเหยของใบตะไครัสามารถบรรเทาอาการปวดไดั 10. ช่วยแกอาการปวดศรี ษะ 11. ช่วยรกั ษาโรคความดันั โลหัิตสงู (ใบสด) 12. ใชเป็ นยาแกัอาเจียนหากน˚าไปใชรั่วมกบั สมัุนไพรชนิดอนื่ ๆ (หัวั ตะไครั) 13. ชว่ ยแกัอาการกษยั เสนและแกัลมใบ (หัวั ตะไครั) 14. รกั ษาโรคหอบหืดดวยการใชตนตะไคร 15. ชว่ ยแกอาการเสยี ดแน่นแสบบรเิ วณหนาอก (ราก) 16. ใชเป็นยาแกอาการปวดทองและอาการทองเสยี (ราก) 17. ช่วยแกและบรรเทาอาการปวดทอง 18. ชว่ ยรกั ษาอาการทองอืดทองเฟอ (หัวั ตะไครั) 19. ช่วยในการขับั นั˚าดมาช่วยในการยั่อยอาหาร 20. น˚ามันั หอมระเหยจากตะไครมัีสว่ นชั่วยลดการบบี ตวั ของล˚าไสัไดั 21. มัีฤทธัิั์ช่วยในการขับั ปัสั สาวะ 22. ช่วยแกัอาการปสั สาวะพิการและรกั ษาโรคน่ิว (หวั ตะไครั) 23. ช่วยแกัอาการขัดั เบา (หวั ตะไครั) 24. ใชเป็นยาแกขบั ลม (ตน) 25. ช่วยรกั ษาอหัิวาตกโรค 26. ชว่ ยแกัลมอมั พาต (หวั ตะไครั) 27. ใชเป็ นยารกั ษาเกล้อื น (หวั ตะไครั) 28. น˚ามันั หอมระเหยจากตะไคร สามารถชว่ ยตอ่ ตานเชัืัอราบนผวหนงั ไดัเป็ นอยั่างดัี 29. ชว่ ยแกโรคหนองใน หากน˚าไปผสมกบั สมุนไพรชนดิ อนื่ ๆ ประโยชน์ของตะไคร 1.น˚ามาใชท˚าเป็ นน˚าตะไครัหอม น˚าตะไครัใบเตย ช่วยดับั รัอนแกกระหายไดเั ป็ นอยั่างดัี 2. ชว่ ยในการบ˚ารุงและรกั ษาสายตา 3.มัีส่วนช่วยในการบ˚ารัุงกระดกู และฟันั ใหัแขั็งแรง 4. มีสว่ นชว่ ยในการบ˚ารงุ สมองและเพม่ิ สมาธิ 5. สามารถน˚ามาใชท˚าเป็นยานวดได 6. ชว่ ยแกปญั หาผมแตกปลาย (ตน)

15 7. มีฤทธเิ์ ป็ นยาช่วยในการนอนหลบั 8. การปลูกตะไครรั่วมกบั ผกั ชนิดอนื่ ๆ จะชั่วยปองกนั แมลงไดัเป็ นอยั่างดัี 9. น˚ามาใชเป็นสว่ นประกอบของสารระงบั กลนิ่ ตา่ ง ๆ 10. ตนตะไครัช่วยดับั กลนิ่ คาวหรัือกลน่ิ คาวของปลาไดัเป็ นอยั่างดัี 11. กลนิ่ หอมของตะไครัสามารถชว่ ยไลย่ ัุงและก˚าจดั ยัุงไดัเป็ นอยั่างดัี 12. เป็ นสว่ นประกอบของผลติ ภณั ฑั์จ˚าพวกยากนั ยุงชนิดตั่าง ๆ เช่น ยากนั ยุงตะไครัหอม 13. สามารถน˚าไปแปรรัูปเป็ นผลติ ภณั ฑั์ไดัหลายชนิด เช่น เครัืั่องปรัุงอบแหง ตะไครัแหงส˚าหรับั ชงดืม่ น˚ามาสกดั เปั็นนั˚ ามันั หอมระเหย เป็ นตน 14. มกั นยิ มน˚ามาใชในการประกอบอาหารหลายชนิด เชน่ ตมย˚า และอาหารไทยอนื่ ๆ เพอื่ เพม่ิ รสชาติ คณุ คา่ ทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรมั )  พลงั งาน 143 กโิ ลแคลอรี่  โปรตนี 1.2 กรมั  ไขมนั 2.1 กรมั  คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรมั  เสนใย 4.2 กรมั  แคลเซียม 35 มลิ ลกิ รมั  ฟอสฟอรสั 30 มลิ ลัิกรมั  เหลั็ก 2.6 มลิ ลัิกรมั  วัิตามนิ เอ 43 ไมโครกรมั  ไทอามนี 0.05 มลิ ลัิกรมั  ไรโบฟลาวัิน 0.02 มลิ ลกัิ รมั  ไนอาซนิ 2.2 มลิ ลกิ รมั  วัิตามนิ ซี 1 มลิ ลกัิ รมั  เถา 1.4 กรมั

16 บทที่ 3 วธิ กี ารด˚าเนนิ งาน วตั ถดุ บิ /อปุ กรณ์ สงิ่ ของตองเตรียม 1. สมุนไพรไล่ยัุง เชน่ ตะไครั มะกรัูด โหระพา 2. เทยี น 3. ไสเทยี น 4. เเม่พิมพ์ 5. อปุ กรณ์ในการตง้ั ไฟ เชน่ เตาเเกส๊ 6. หมอ 7. สผี สมอาหาร สตี า่ งๆ 8. ภาชนะ ขน้ั ตอนการท˚าเทียนหอม 1. ตมน˚าประมาณ 1 แกวน˚า ทง้ิ ไว 10 นาที 2. น˚าสมนุ ไพรไลย่ ัุงทัีั่เตรัียมไว มาซอยเปั็นชน้ิ เลั็กๆ แลวต˚าใหละเอียด

17 3. พอน˚าเดือดพอทัีั่แลว น˚าสมุนไพรทัีั่เราต˚าไว มาใสล่ งในหมอ คนใหเขากนั ประมาณ 3 นาที 4. ครบ 3 นาที รอใหเย็นลงสกั ครู่ น˚าน˚าทตี่ มไปกล่นั เอาเศษสมุนไพรออกเอาแตน่ ˚า เท ลงภาชนะไว 5. น˚าเทยี นไขซอยเป็นชน้ิ เล็กๆ แลวน˚าไปตมในหมอ 6. พอเทียนไขในหมอเหลวไดที่ น˚าน˚าสมุนไพรทัีั่กลััั ่นแลวในภาชนะใสล่ งไป คนให เขากนั 7. น˚าไสเทยี นมากดลงไปเเตไ่ มใ่ หถงึ กนของเเมพ่ มิ พ์ จากนน้ั ใสเ่ ทยี นเหลวอีกจนเกอื บ เต็มเเมพ่ มิ พ์ 8. ปลอ่ ยทงิ้ ไวใหเทยี นแข็งตวั เป็นอนั เสร็จสมบูรณ์ วธิ ที ˚า 1. น˚ากลีบดอกไมสดไปตากจนแหงสนิท (ราว 1 สปั ดาห์) ดอกกุหลาบควรตากในทรี่ ม่ จะไดสี สวย ดอกมะลคิ วรตากแดดใหหมดความช้ืน 2. น˚าดอกไมแหงใสั่หมอเคลือบหรัือโถแกัว 3. จดุ เทยี นอบจนไสเทยี นแดงจดั ดบั เทยี น ควนั เทียนจะลอยฟุงขนึ้ มา วางเทียนบนตะคนั ใส่ ในหมอดอกไมแหง แลวปิดฝาร่˚าไวจนหมดควนั ราว 10 – 15 นาที แลวน˚าเทียนออกมาจุด ใหม่ ซ˚าๆ 5 – 7 ตง้ั (ครง้ั ) จนดอกไมซบั กลนิ่ หอมนวลอยา่ งเต็มที่ 4. น˚าน˚าอบทเี่ ราไดเตรียมไว ฉีดพรมบนดอกไมแหง คลุกเคลาใหเขากนั พกั ไว 5.บรรจุดอกไมแหงใสั่ถุงผาโปรั่ง หรือถุงลูกไม และเย็บตกแตง่ ดัวยรบิ บน้ิ หรือดน้ิ ทอง

18 วธิ ีการทดลอง 1 .น˚าใบตะไครไปตากแดด 2. ห่นั ใบตะไครตากแหงเป็ นชนเล็กๆ

19 3. น˚าไปตะไครตากแหงไปตมในน˚าเดอื ด 4. กรองนั˚าตะไครดวยผัาขาวบาง

20 5. ห่นั พาราฟนเป็ นชน้ิ เล็กๆ 6. น˚าพาราฟัินทหี่ ัั ่นแลวใสั่หมอขนึ้ ตง้ั ความรอนปานกลาง เคัีัยวไปจน ละลายเปั็น ของเหลว

21 7. ใสั่ S.A และ P.E ลงไปอยา่ งละประมาณ 1 ชอนชา เสร็จแลวใสั่สีเทียน ลงไป พอประมาณ แลวตามดวยน˚าตะไครหอม 8. น˚าพาราฟินทลี่ ะลายแลวใสแ่ มพ่ มิ พ์และใสเทยี นลงไป

22 9. แกะเทียนออกจากแมพ่ มิ พและตกแตง่ ใหสวยงา 10. ท˚ากลอ่ งบรรจัุภัณั ฑั์

23 บทท่ี 4 ผลการจดั ท˚าโครงงาน จากการศกึ ษาการท˚าโครงงานเทยี นหอมไลย่ ุงจากสมุนไพรธรรมชาตโิ ดยปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอน การด˚าเนินการคอื ปรกึ ษาหวั ขอโครงงานกนั ภายในกลมุ่ เสนอหวั ขอโครงงาน รวบรวมขอมูล วเิ คราะห์ขอมูล เรมิ่ จดั ท˚าโครงงานตรวจสอบและแกัไขปญั หา สรัุปผลการท˚าโครงงาน และไดั ชนิ้ งาน เป็ นถุงเครือ่ งหอมจากดอกไมธรรมชาตอิ อกมาใชประโยชน์ คณะผจู ดั ท˚าโครงงานเทยี นหอมไลย่ งุ จากสมนุ ไพรธรรมชาตไิ ดท˚าแบบสอบถามความพงึ พอใจของ เครือ่ งหอมจากดอกไมธรรมชาติ จากนกั เรียนโรงเรียนปวั จ˚านวน 20 คน จากการเก็บรวบรวมขอมูลโดยการ ใชแบบสอบถามจ˚านวน 20 ชุด สามารถแสดงผลการวเิ คราะห์ ขอมูลไดดงั ตอ่ ไปนี้ นกั เรียนโรงเรยี นปวั จ˚านวน ( คน ) รอยละ กลมุ่ ที่ 1 5 25.00 กลมุ่ ที่ 2 10 50.00 กลมุ่ ที่ 3 3 15.00 กลมุ่ ที่ 4 2 10.00 รวม 20 100 จากตารางที่ 4.3 พบวากลมุ่ ตวั อยา่ งทตี่ อบแบบสอบถามในการท˚าโครงงานครง้ั น้ี คดิ เป็น กลมุ่ ที่ 1 รอยละ 25 กลมุ่ ที่ 2 รอยละ 50 กลมุ่ ที่ 3 รอยละ 15 และกลุม่ ที่ 4 รอยละ 10

24 บทที่ 5 สรปุ ผลและอภปิ รายผลการด˚าเนนิ การจดั ท˚าโครงงาน สรปุ ผลการทดลอง 1.การท˚าเทียนหอมสมนุ ไพรท˚าไดย้ าก และมีขนั้ ตอนการท˚าทีีง่ า่ ย 2.ใบตะไครีท้ ีีใ่ ชีท้ ˚าเทยนสมนุ ไพรมคณุ สมบตั ใิ หีก้ ลน่ิ และสามารถใชป้ ระโยชน์ไดีจ้ รีงิ 3.มขีีั น้ ตอนการท˚าไมย่ ากและยังเปีนการน˚าพชื สมีนุ ไพรจากทีอ้ งถนิ่ ของเรามาใชีใ้ หีเ้ กีดิ ประโยชนไ์ ด ขอ้ เสนอแนะ 1.สามารถน˚าสมนุ ไพรพน้ื บา้ นชนดิ อน่ื มาเปนสว่ นผสมได 2.การท˚าเทยนหอมเราควรน˚าสมนุ ไพรทอ่ บแหีง้ ใสล่ งไปในเนื้อเทียนหอมดว้ ย อาจจะไดก้ ลน่ิ สมนุ ไพรมาก ขนึ้ 3.ควรน˚าสมนุ ไพรหลายชนีดิ มาท˚าเทยนหอมสมีนุ ไพรเพีื อ่ เปรียบเทยบกลนิ่ ทีีไ่ ดแ้ ละรีบั ความนยิ ม 4.เราสามารถท˚าเทียนหอมสมนุ ไพรเพอ่ื เปีนงานอดีเิ รกและสามารถน˚ามาประกอบอาชพไดด้ ีว้ ย

25 บรรณานกุ รม  http://www.monmai.com/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0% B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A 1/  http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/cymbona.html  https://home.kapook.com/view154197.html  http://www.clinictech.ops.go.th/online/pages/techlist_display.asp?tid=2 862 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook