เช้อื ดื้อยา อินทริ า แถมพยคั ฆ์
เช้อื ด้อื ยา
สารบัญ เกร่ินคำนำ 1 เชื้อดื้อยา 5 จลุ ชีพหรือจุลนิ ทรีย์ 5 แบคทีเรีย 6 การดอ้ื ยาปฏชิ วี นะ 8 กลไกการดื้อยาของแบคทเี รีย 10 สาเหตกุ ารเกิดเชื้อด้ือยา 11 ผลกระทบจากการตดิ เช้อื ด้อื ยา 12 เราจะหลกี เลี่ยงการติดเช้อื ด้ือยาไดอ้ ยา่ งไร[1] 15 อา้ งอิง 17
1 เกร่ินนำ ปัจจบุ ันเชอ้ื ด้ือยา (Antimicrobial Resistance: AMR) หรือเช้อื จุลนิ ทรียท์ ่ีมีการพัฒนาตัวเองจนมี คุณสมบัติต่อต้านยาที่ใช้รกั ษาน้นั กำลงั เปน็ ปญั หาทสิ่ ำคญั ระดับโลก เนื่องจากเชอ้ื แบคทีเรยี กอ่ โรคได้ปรบั ตวั จน ดื้อต่อยาตา้ นจุลชพี เกอื บทกุ ชนดิ หากไมเ่ รง่ แกไ้ ข โลกจะเขา้ สูย่ ุค Post-antibiotic era คือ ยุคท่ีเช้ือโรคดอื้ ยาทุก ชนิด คนจะตายจากโรคติดเชอ้ื แบคทีเรยี อีกคร้งั มกี ารศกึ ษาพบว่า มีผู้ติดเชอื้ ด้ือยาปีละ 88,000 คน นอนรักษาตวั ในโรงพยาบาลนานขน้ึ กว่า 1 ล้านวนั เสียชวี ติ จากเชอื้ ดือ้ ยาปีละ 38,000 คน สูญเสียทางเศรษฐกจิ โดยรวมสูงถึง 4.2 หม่นื ล้านบาท แมจ้ ะมียาปฏชิ วี นะ แต่เนื่องจากเช้อื ดื้อยาจึงรักษาไม่หาย คาดว่าในปี 2593 ทวั่ โลกจะมีผเู้ สียชีวติ จากปญั หาเช้อื ด้อื ยารวม 10 ลา้ นคน ในจำนวนน้ีอย่ใู นทวปี เอเชยี มากทีส่ ุดถงึ 4.7 ล้านคน และยังสง่ ผลกระทบเป็นวงกว้าง ตอ่ การปศุสัตว์ การประมง การเพาะปลูก การคา้ ระหว่างประเทศ อตุ สาหกรรมการทอ่ งเทย่ี วและการทอ่ งเที่ยวเชงิ การแพทยแ์ ละสุขภาพ จาก การแพรก่ ระจายเชื้อดอื้ ยาขา้ มพรมแดนผา่ นการเคลอื่ นย้ายของคน สัตว์ และสนิ ค้าทางการเกษตร1 และถา้ ผปู้ ว่ ย ใช้ยาปฏิชวี นะบ่อย หรือใชต้ ดิ ต่อกันเปน็ เวลานาน ก็ยิ่งเพิม่ โอกาสในการเกิดเชอื้ ดื้อยามากข้นึ ด้วย เชือ้ ด้ือยาไม่ใช่ เกดิ เฉพาะในสถานพยาบาล หรอื ในผทู้ ใ่ี ช้ยาปฏิชีวนะไม่ถูกวิธเี ทา่ น้นั ในความเปน็ จรงิ แลว้ เช้ือดื้อยาสามารถเกิด และแพรก่ ระจายไดท้ ง้ั ในคน สัตว์ และสงิ่ แวดลอ้ ม องคก์ ารอนามัยโลกพบว่า มากกวา่ ร้อยละ 50 ของการใช้ยาในประเทศกำลังพฒั นาเป็นการใชย้ าทไี่ ม่ เหมาะสมและสญู เปล่า เช่น การใชย้ าปฏิชีวนะทง้ั ท่ีไม่จำเป็นต้องใช้ การสง่ั ใชย้ าไม่เปน็ ไปตามแนวทางรักษา ฯลฯ โดยเฉพาะการใชย้ าปฏิชีวนะอยา่ งไม่เหมาะสมกำลังสรา้ งความเสยี หายทง้ั ในระดบั โลกและระดับประเทศอยา่ ง มหาศาล ถ้าคิดเป็นอัตราการตายจากเช้อื ด้อื ยาต่อประชากร 1 แสนคน พบวา่ อเมรกิ าตาย 5.3 ต่อประชากร 1 แสนคน ยโุ รปตาย 5 ตอ่ ประชากร 1 แสนคน แต่ไทยอยทู่ ี่ 28.3 ต่อประชากร 1 แสนคน มากกวา่ อเมรกิ าและ ยุโรปประมาณ 6 เท่า จากการเก็บขอ้ มลู ยงั พบอกี ว่า ประเทศไทยมีอตั ราการเสียชีวติ จากเชื้อดือ้ ยาประมาณปลี ะ 1 ‘เชอื้ ดอื้ ยา’ ระบาดหนกั ท่วั โลก https://www.thaihealth.or.th/Content/34092- %E2%80%98%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%8 9%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E2%80%99%20%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0% B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0 %B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%20.html
2 20,000-38,000 คน และมผี ู้ป่วยท่ตี ้องนอนโรงพยาบาลนานกวา่ ปกตเิ พราะเช้อื ดอ้ื ยา ซ่ึงทำใหเ้ กดิ การสูญเสยี ทาง เศรษฐกิจถงึ ปีละ 46,000 ล้านบาท ท่มี า: https://web.facebook.com/Hfocus.org/posts/3082062051813335/?_rdc=1&_rdr จากการสำรวจของสำนกั งานสถิติแหง่ ชาติ ปี 2562 ในคนไทยอายุมากกวา่ 15 ปี 54 ล้านคน พบวา่ มี ความรู้และเข้าใจเร่อื งเชอ้ื ดือ้ ยา และยาต้านจุลชีพในระดบั ทด่ี ีพอ ประมาณ 13 ล้านคน สงิ่ ท่ีสำคัญคอื การทำให้ ประชาชนอกี กวา่ 41 ลา้ นคนมคี วามรู้และเปล่ยี นพฤติกรรมการใช้ยาตา้ นจุลชีพอย่างเหมาะสมไดอ้ ยา่ งไร2 ประเทศไทยมผี ู้เสียชวี ิตจากเชอ้ื ด้อื ยา 15 นาทตี ่อ 1 คน3 ปจั จบุ นั ปญั หาการดื้อยาของเช้อื จุลชพี ท่ีทำให้เกดิ โรคมีแนวโน้มสงู ขึ้นเรอ่ื ยๆ สาเหตุสำคัญมาจากการ ผู้ปว่ ยมีการใช้ยาปฏิชีวนะทีม่ ากขนึ้ ทง้ั การใชอ้ ย่างไม่จำเป็นและเกนิ ความจำเป็น ซ่ึงสาเหตหุ นง่ึ มาจากการทค่ี น ไทยสามารถหาซื้อยารับประทานเองตามร้านขายยาไดง้ ่าย โดยไมต่ ้องมใี บสงั่ ยาจากแพทย์ รวมถึงการใชย้ าปฎิชีว นะในอตุ สาหกรรมปศสุ ตั ว์ และการเกษตร พบวา่ คนไทยมกี ารใช้ยาปฏิชวี นะมากกวา่ 10,000 ลา้ นบาทตอ่ ปี และ 2(ระวงั เชอื้ ดอื้ ยาhttps://www.thaihealth.or.th/Content/53638- %E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%20!!%20%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7% E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%20.html) 3 หายนะภยั 'เชอื้ ดอื้ ยา' https://www.thaihealth.or.th/Content/34096- %E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%20'%E0% B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0 %B8%A2%E0%B8%B2'.html
3 มกี ารตดิ เชอ้ื ชนดิ ทดี่ อื้ ยาปฏิชีวนะปีละกวา่ 100,000 คน สง่ ผลยาปฏิชีวนะตัวเกา่ ทีเ่ คยใช้ ไมไ่ ดผ้ ลเท่าที่ควร อาจ ต้องใช้เวลารกั ษานานขนึ้ ผ้ปู ว่ ยบางรายตอ้ งเปลี่ยนใช้ยาตัวใหม่ซ่ึงมีราคาแพงมาก เชือ้ ดอื้ ยาบางชนิดไม่มียารกั ษา ทมี่ ปี ระสทิ ธิผลดแี ละปลอดภยั ทำให้มคี า่ ใช้จ่ายในการรักษาเพ่มิ ขนึ้ ใช้เวลารักษานานขนึ้ และโอกาสเสยี ชีวติ สงู ผลเสยี ตอ่ ไปหากเชื้อชนิดนแ้ี พรไ่ ปสู่ผู้ปว่ ยรายอน่ื และเกิดการระบาดในชุมชน จะมผี ลทำให้โรคตดิ ตอ่ ทีเ่ คยควบคุม ไดก้ ลับมาระบาดมากขึ้น นอกจากนี้ เชอ้ื ดอื้ ยายังสามารถถ่ายทอดรหัสพนั ธุกรรมด้ือยาไปส่เู ชือ้ สายพนั ธ์อุ ่ืน ทำให้ ปญั หาการดื้อยาทวีความรนุ แรงยงิ่ ขึน้ จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขเรื่องเชอ้ื แบคทีเรียดอื้ ยาในกระแสเลอื ดของผู้ป่วยในประเทศไทยใน ปี 2563 พบเชือ้ แบคทีเรยี 8 ชนดิ ในกระแสเลือด โดยมรี ายละเอียดเกี่ยวกับการดือ้ ยาดงั นี้ 4 1. Acinetobacter baumannii ด้ือตอ่ ยา Carbapenem หรือ Colistin 2. Pseudomonas aeruginosa ด้อื ตอ่ ยา Antipseudomonal penicillin (Piperacillin + Tazobactam) หรือ Carbapenem หรอื Colistin 3. Klebsiella pneumonia ดือ้ ต่อยา Extended-Spectrum Cephalosporin (Ceftriaxone or Cefotaxime) หรอื Carbapenem (CRE) หรือ Colistin 4. Staphylococcus aureus ทด่ี อื้ ต่อยา Methicillin (MRSA) หรอื Vancomycin (VISA and VRSA) 5. Escherichia coli ดื้อตอ่ ยา Colistin หรอื Carbapenem(CRE) หรือFluoroquinolone (Ciprofloxacin) หรือ Extended-Spectrum Cephalosporin (Ceftriaxone or Cefotaxime) 6. Salmonella spp. ด้ือตอ่ ยา Colistin หรือ Fluoroquinolone (Ciprofloxacin) หรอื Extended- Spectrum Cephalosporin (Ceftriaxone or Cefotaxime) 7. Enterococcus faecium ด้อื ตอ่ ยา Vancomycin (VRE) 8. Streptococcus pneumonia ดอื้ ต่อยา Penicillin (Ampicillin) หรอื Macrolide (Erythromycin) หรอื Extended-Spectrum Cephalosporin (Ceftriaxone or Cefotaxime) 4 อตั ราการตดิ เชอื้ ดอื้ ยาในกระแสเลอื ด(http://healthkpi.moph.go.th/kpi2/kpi-list/view/?id=1510)
4 จะเหน็ ไดว้ า่ ปัญหาโรคติดเชอ้ื ด้ือยา โดยเฉพาะเช้ือตวั เดียวแต่สามารถดือ้ ยาไดห้ ลายขนานมีจำนวนเพ่ิมข้ึน ทุกปี แต่ยาต้านจุลชพี ชนิดใหม่มีจำนวนลดลง คาดการณ์ในปี ค.ศ.2050 เชือ้ โรคดอื้ ยาจะมคี วามรุนแรงทำคน เสียชวี ติ 3 วนิ าท/ี 1 คน ดังน้ันการลดการเกิดเช้อื ดือ้ ยาจงึ มีความสำคัญ
5 เชอ้ื ดือ้ ยา เชอ้ื ดื้อยาคอื อะไร เชื้อดอ้ื ยา คอื เชอื้ โรคท่ีสามารถยับยั้งการทำงานของยาต้านจุลชพี ได้ หรืออาจทำลายยาต้านจลุ ชีพได้ ทำ ให้การรกั ษาผปู้ ่วยที่ติดเชื้อดอ้ื ยาไมไ่ ดผ้ ลดเี หมือนเดมิ จลุ ชีพหรือจุลนิ ทรยี ์ จลุ ชีพหรอื จุลนิ ทรีย์ คือสิง่ มชี วี ติ ขนาดเล็กท่มี องไม่เห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า (ยกเวน้ ไวรัสทีไ่ มใ่ ช่สงิ่ มีชวี ิต) ตอ้ ง ใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์สอ่ งดูจึงจะมองเห็น ไดแ้ ก่ แบคทเี รยี เชอ้ื รา ไวรสั และปรสติ จุลชีพมีท้งั ชนิดท่ีให้ประโยชนแ์ ละ ชนิดทท่ี ำใหเ้ กิดโรค ดังนน้ั คำวา่ “เช้อื โรค” ก็คอื จุลชีพท่ที ำให้เกิดโรคนน่ั เอง จลุ ชพี ทกุ ชนดิ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส เช้ือรา และเชือ้ ปรสิตสามารถดอื้ ยาตา้ นจุลชีพทีใ่ ช้ในการรกั ษาการตดิ เชอ้ื นน้ั ๆได้ เชน่ เชื้อแบคทเี รยี ดอ้ื ต่อยาปฏชิ วี นะ(คนทัว่ ไปมักเรยี ก ยาปฏิชวี นะว่ายาแกอ้ ักเสบซึ่งไม่ ถูกตอ้ งเพราะยาแกอ้ ักเสบไม่มี ฤทธ์ิฆ่าเช้ือ) เชื้อราดอื้ ตอ่ ยาตา้ น เชอ้ื รา เชอ้ื ไวรสั ดื้อต่อยาตา้ นไวรสั เชือ้ มาลาเรยี ดอื้ ต่อยาตา้ น มาลาเรีย เราเรียกความสามารถ ในการดอ้ื ตอ่ ยาของจุลชพี วา่ การ ดอื้ ยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial resistance, AMR) ท่ีมา: http://www.namnaohospital.go.th/?module=info_view&cluster_id=13&id=13
6 แบคทีเรีย แบคทีเรยี เป็นสงิ่ มีชวี ิตเซลลเ์ ดียวขนาดเล็ก ไมม่ ีนิวเคลยี ส มองไมเ่ หน็ ด้วยตาเปล่า มีรปู ร่างแตกต่างกัน ตามชนดิ ของเชือ้ แบง่ แบคทีเรยี เป็น 2 กลุ่ม คือ แบคทเี รยี แกรมบวก และแบคทเี รยี แกรมลบ ตามการติดสียอ้ ม จากการย้อมแบคทเี รียดว้ ยวิธีแกรม (Gram stain) สามารถพบแบคทีเรยี ได้ทัว่ ไป ทั้งในดนิ น้ำ อากาศ ในคน สตั ว์ พืช บนพน้ื ผิวสิ่งของ ท่มี า: http://thainurseclub.blogspot.com/2014/08/bacteria-iii.html แบคทเี รียเพมิ่ จำนวนด้วยวธิ ีการแบง่ ตวั ได้อยา่ งรวดเร็ว บางชนิดเพ่ิมจำนวนเป็นทวีคูณได้ทกุ 15 นาที เชน่ เช้อื เอสเชอรเิ ชีย โคไล (Escherichia coli) หรือเรียกย่อๆ ว่า อี โคไล แต่เช้ือบางชนิดก็ต้องใช้เวลานานในการ เพ่มิ จำนวน เชน่ เชื้อวณั โรค มีการเพิม่ จำนวนทวคี ณู ทุก 15 ชั่วโมง เป็นตน้ แบคทีเรียมีสารพนั ธุกรรม ทสี่ ำคญั คอื โครโมโซม เพียง 1 ชดุ ท่ีควบคุมคุณสมบตั ิต่างๆ เชน่ การเพ่ิม จำนวน การปรับตัวในส่งิ แวดลอ้ มเพ่ือการอยรู่ อด แบคทีเรียอาจมีสารพันธุกรรมอน่ื ๆ เพิ่มเตมิ เช่น พลาสมดิ ทรานส์โปซอน ซึ่งจะทำให้แบคทีเรยี มคี วามสามารถตา่ งๆ รวมทง้ั ความสามารถในการด้อื ยาเพ่ิมขน้ึ เป็นตน้ แบคทเี รียตา่ งกับไวรสั อย่างไร 5 1. ความเป็นส่งิ มีชีวิต แบคทเี รียถูกพจิ ารณาว่าเป็นสง่ิ มีชวี ิตเซลล์เดียว ขณะที่ไวรัสถกู พจิ ารณาวา่ เปน็ สงิ่ ไมม่ ชี ีวิต โดยเป็น เพยี งอนภุ าคอยา่ งหนึง่ เทา่ นนั้ เพราะไมม่ ีทง้ั การหายใจและกระบวนการเมทาบอลซิ ึมเหมือนสิ่งมีชวี ติ อ่นื ๆ 5 ไวรสั กับแบคทเี รียตา่ งกนั อย่างไรhttps://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/79607/-blo- scibio-sci-
7 2. ขนาด แบคทีเรยี มีขนาดประมาณ 1,000 นาโนเมตร สามารถมองเหน็ ได้โดยใชก้ ลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สง สว่ น ไวรัสมีขนาด 20-400 นาโนเมตรเท่านั้น สามารถมองเห็นได้เมื่อใช้กลอ้ งจุลทรรศน์แบบอิเลก็ ตรอน ดงั นนั้ ไวรสั จึง มขี นาดเล็กกว่าแบคทเี รียมาก 3. โครงสร้าง แบคทเี รยี มผี นังเซลล์ท่ีแขง็ มเี ยือ่ หุ้มเซลล์ทนี่ มุ่ หยนุ่ ภายในประกอบด้วยไซโทพลาซึมเช่นเดียวกบั เซลล์ ท่ัวไป ส่วนไวรสั นั้นไม่มีผนงั เซลล์ แต่จะถกู หอ่ หุม้ ด้วยโปรตีนดา้ นนอก เรยี กวา่ แคปสิด (Capsid) และมีสาร พนั ธุกรรมอยา่ ง DNA หรอื RNA อยู่ตรงกลาง ทม่ี า: https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/79607/-blo-scibio-sci- 4. การมชี ีวติ อยู่ แบคทเี รยี มีชวี ิตยาวนานประมาณ 3.5 พนั ล้านปีมาแลว้ (จากหลักฐานฟอสซลิ ท่ีบนั ทกึ ไว้) และสามารถมี ชวี ิตอยไู่ ด้อย่างอิสระโดยไมจ่ ำเป็นต้องอาศยั ในส่ิงมชี ีวติ อ่นื (พืช สัตว์ หรือมนุษย)์ แมใ้ นสภาพแวดล้อมท่ีไม่ เหมาะสม เช่น ร้อนจัด หนาวจัด มคี วามเป็นกรดรนุ แรง หรือในกากกมั มนั ตรงั สี แบคทีเรยี ก็สามารถมชี ีวติ อยู่ได้ แตไ่ วรัสไมส่ ามารถมีชีวิตอย่หู รือเพิ่มจำนวนได้เลยหากไมม่ โี ฮสต์ หรือไวรสั จะมีชวี ิตและเพิม่ จำนวนได้จะตอ้ งอาศัย ในสิง่ มชี ีวติ อน่ื เท่านั้น
8 การดือ้ ยาปฏิชวี นะของแบคทเี รยี แบคทเี รยี แตล่ ะชนิดถูกทำลายดว้ ยยาปฏิชวี นะแตกต่างกัน และกลไกออกฤทธิ์ของยาเพ่อื ทำลาย แบคทเี รียกแ็ ตกตา่ งกัน เชน่ การทำลายผนังเซลล์ การยบั ย้งั การสร้างโปรตนี ที่เปน็ องค์ประกอบสำคญั ของเช้ือ การ ขัดขวางการทำงานของเอน็ ไซม์ การขดั ขวางการทำงานของสารพนั ธุกรรม การขัดขวางการแบ่งตัว เป็นตน้ ดงั นน้ั เพ่ือความอยรู่ อด เชื้อจึงมกี ารปรบั ตัวในการทำลายฤทธ์ิของยาปฏิชีวนะ โดยกรรมวธิ ีตา่ งๆ ซ่งึ เรยี กวา่ การดอ้ื ยา ทม่ี า: https://mgronline.com/goodhealth/detail/9590000116530 แบคทเี รียดื้อยาจะมียีนด้อื ยาอยใู่ นโครโมโซม (chromosome) พลาสมิด (plasmid) และ ทรานโปซอน (transposon) การดื้อยาของเชอื้ แบคทเี รยี อาจเหนย่ี วนำไดด้ ว้ ยยาปฏิชีวนะ ทำให้ไมส่ ามารถวนิ จิ ฉัยเช้ือด้อื ยาได้ กอ่ นที่ผูป้ ่วยไดร้ บั ยาปฏิชีวนะ แต่เมอื่ ไดร้ ับยาปฏิชีวนะไปแลว้ จะเกดิ เชอื้ ดอื้ ยาตามมา ซ่ึงทำใหเ้ กดิ ปญั หาทาง คลินกิ ในการรกั ษาผู้ป่วยท่ตี ิดเชือ้ ด้อื ยาดงั กลา่ ว การดอ้ื ยาต้านจลุ ชีพในเชอ้ื แบคทีเรยี เกิดจากการที่เช้อื แบคทีเรยี มีการปรบั ตวั ดว้ ยวธิ ีการต่างๆ ทำใหเ้ ช้ือ อยรู่ อดไดใ้ นสภาวะทมี่ ียาตา้ นจุลชีพ แบ่งได้เปน็ 2 แบบ ได้แก่ • การดอื้ ยาโดยธรรมชาติ (intrinsic หรือ natural resistance) คอื การดอื้ ยาท่ีมใี นเซลล์ แบคทเี รียอยู่แลว้ • การดอ้ื ยาทไ่ี ดร้ บั มาภายหลัง (acquired resistance) การด้ือยาทไ่ี ด้มาภายหลังนั้น อาจเกดิ จาก การกลายพันธบ์ุ นโครโมโซมทำใหเ้ กิดการด้ือยา ซงึ่ กระบวนการกลายพนั ธนุ์ นั้ อาจใช้เวลานาน ทำ ให้การดื้อยาท่ีเกดิ จากการกลายพันธ์ุบนโครโมโซมพบไมบ่ อ่ ยนัก ส่วนใหญแ่ ลว้ การด้อื ยาทีไ่ ด้รับ
9 มาภายหลงั มกั เกิดจากการท่แี บคทีเรียได้รบั ยนี ด้อื ยามาจากภายนอกเซลล์โดยผ่านทางการ ถา่ ยทอดยนี การด้ือยาโดยการได้รับยีนดื้อยาจากแบคทเี รยี อืน่ ๆ จากสง่ิ แวดล้อม อนั เป็นกลไก การปรบั ตัวเพอ่ื ความอยู่รอดของแบคทเี รยี ในสภาวะแวดล้อมทไ่ี มเ่ หมาะสม การด้ือยาของ แบคทีเรยี ท่ีเกิดจากการกลายพันธ์ุเป็นปญั หาตอ่ การใช้ยาปฏิชวี นะรักษาโรค การดื้อยาโดยการกลายพนั ธุ์ การดอ้ื ยาโดยการกลายพันธุ์ เกดิ ขนึ้ ได้โดยมีการเปล่ยี นแปลงของดเี อน็ เออย่างนอ้ ย 1 ตำแหนง่ บน โครโมโซม ซึ่งมีอัตราการเกดิ ต่ำประมาณ 1 เซลล์ในลา้ นเซลล์ แตเ่ นือ่ งจากแบคทีเรียเพิ่มจำนวนไดอ้ ย่างรวดเร็ว จึงใช้เวลาไม่นานในการกลายพันธดุ์ อื้ ยาและเพิม่ จำนวนเชื้อดอื้ ยา ดังจะเหน็ ได้วา่ เมื่อมียาต้านแบคทีเรียชนดิ ใหม่ๆ การรกั ษาจะได้ผลดีในระยะแรก หากมกี ารใช้ยาอยา่ งพรำ่ เพรอื่ ไม่ถกู ต้อง ไมเ่ หมาะสม ตอ่ มามักจะพบวา่ เชอื้ แบคทีเรียด้อื ยา ไมไ่ ด้ผลในการรักษา ทำใหต้ ้องคิดคน้ ยาใหมต่ อ่ ไป การกลายพนั ธ์ุของแบคทเี รียเพอื่ ดือ้ ยาน้ี เปน็ การปรับตวั เพ่ือการอยู่รอดในสภาวะแวดลอ้ มทีไ่ ม่เหมาะสม โดยที่แบคทีเรียจำนวนมากจะถกู ทำลายไปดว้ ยยาปฏิชีวนะ แต่หากความเข้มขน้ ของยาไมเ่ พยี งพอ การใช้ยาไม่ ต่อเนือ่ ง กจ็ ะมีเช้อื เพยี งจำนวนน้อยท่รี อดชีวติ และปรบั ตวั โดยการกลายพันธุ์ ในระดบั ยีน เพอ่ื ไมใ่ หย้ าท่ีใช้เขา้ ไป ทำลายเชือ้ ได้ นนั่ คือ เป็นการกลายพันธเุ์ พื่อต่อต้านยา การดื้อยาโดยการไดร้ ับยีนด้อื ยา แบคทเี รยี สามารถรบั การถ่ายทอดยนี ด้ือยาจากแบคทเี รยี ต่างสายพันธไ์ุ ด้หลายวิธี ไดแ้ ก่ วิธีคอนจูเกช่ัน (Conjugation) ทรานสฟ์ อรเ์ มชัน่ (Transformation) และทรานส์ดักช่นั (Transduction) ทำให้แบคทีเรียด้ือยา ได้มากกวา่ 1 ชนดิ เชือ้ แบคทเี รียท่ีด้อื ยามกั อยใู่ นส่งิ แวดล้อมท่ีมีการใชย้ าปฏิชวี นะมาก เช่น ในหออภิบาลผปู้ ว่ ยหนัก เชือ้ แบคทีเรยี แกรมลบมกี ลไกท่ีค่อนขา้ งซบั ซ้อนกวา่ แบคทีเรียแกรมบวกเน่อื งจากแบคทีเรยี แกรมลบมีผนังเซลล์ ชัน้ นอกท่ีเรยี กวา่ outer membrane ซึง่ แบคทเี รียแกรมบวกไม่มี เชอ้ื แบคทีเรยี แกรมลบที่ดื้อตอ่ ยาหลายกลมุ่ ก็ จะมีกลไกการดอ้ื ยาหลายอย่างรว่ มกัน
10 ทม่ี า:https://web.facebook.com/MTlikesara/photos/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8% 8F%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B 881%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4% E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9% 89%%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0% B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84% E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84/420453348160855/?_rdc=1&_rdr กลไกการด้ือยาของแบคทเี รีย กลไกที่แบคทเี รียสรา้ งเพื่อหลกี เลย่ี งการถูกทำลายโดยยาปฏชิ วี นะทพ่ี บบอ่ ย ไดแ้ ก่ 1. ขบั ยาปฏชิ วี นะออกจากแบคทีเรยี แบคทีเรยี ทงั้ แกรมบวกและแกรมลบสามารถดอ้ื ยา ด้วยวิธีการขับ ยาปฏชิ ีวนะออกจากเซลล์ 2. สรา้ งเอนไซม์ต่างๆ ทำลายการออกฤทธขิ์ องยา โดยการเปลี่ยนแปลงโครงสรา้ งของยา หรือย่อย ทำลายยา ทำใหย้ าสูญเสยี ประสิทธภิ าพ 3. ไมใ่ หย้ าเขา้ เซลล์ เชน่ ลดการผ่านเข้าของยาทาง outer membrane
11 กลไกดงั กลา่ วถูกควบคมุ ด้วยยีนดื้อยา ดังนน้ั การทแ่ี บคทเี รยี สามารถถ่ายทอดยีน หรือแลกเปล่ียนยีน ระหวา่ งเชอื้ แบคทีเรยี หรือรบั ยนี จากสงิ่ แวดลอ้ มได้ ทำใหแ้ บคทเี รีย 1 เซลล์สามารถรับยนี มากกวา่ 1 ยีนได้ อาจ รับได้มากถึง 4 ยนี ทำใหแ้ บคทเี รยี มีคุณสมบตั ิดื้อยาหลายชนิดพร้อมกัน นำไปสู่ปญั หาการเลอื กใช้ยาปฏิชวี นะ รักษาโรคอยา่ งมาก สาเหตกุ ารเกดิ เชอ้ื ดอ้ื ยา 1. การใช้ยาในคนอย่างไม่สมเหตุสมผลหรือไม่เหมาะสม • ใช้ยามากเกนิ ไป • ใช้ยาปฏิชวี นะไมถ่ ูกตอ้ ง เช่น มีการใช้ยาปฏิชีวนะในผูป้ ่วยทไ่ี มไ่ ด้ติดเช้อื แบคทีเรยี หรือ ระยะเวลาของการใชย้ าส้นั หรอื ยาวเกินไป มี 3 โรคท่ีพบบอ่ ยและหายเองได้ โดยไมต่ อ้ งใช้ยา ปฏิชวี นะ ได้แก่ https://www.youtube.com/watch?v=dLRxQJ36J4E&t=3s - โรคหวัด ไอ ไข้ไมส่ ูง ไม่เจ็บคอ ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ เพราะหวัดเกิดจากเช้อื ไวรสั ไม่ใช่เชอ้ื แบคทีเรยี วธิ รี ักษาท่ดี ีท่ีสุดคือ ตอ้ งทำร่างกายให้แขง็ แรง โดยการดืม่ น้ำอนุ่ และพกั ผอ่ นมากๆ เพ่ือให้ รา่ งกายตอ่ สู้กบั เชื้อไวรสั ได้และหายได้เร็ว - ทอ้ งเสีย ไม่มไี ข้ ไมม่ มี ูกเลอื ด ไมต่ ้องกินยาปฏชิ วี นะ วิธีรักษาท่ีดที ีส่ ดุ คอื ดม่ื น้ำเกลอื แร่เพื่อ ทดแทนนำ้ และเกลือแรท่ ่เี สียไป เลือกทานอาหารออ่ นๆ งดอาหารรสจดั หรอื ยอ่ ยยากและไม่ควรดมื่ นม - แผลสด แผลไมล่ ึก ไมส่ กปรกมาก ไม่ใชแ่ ผลถกู กัด ไม่ตอ้ งใชย้ าปฏิชวี นะ ใชก้ ารรักษาความ สะอาดของแผลก็เพยี งพอ • การซ้อื ยากนิ เองอยา่ งไม่เหมาะสม • แพทย์ไม่ปฏิบตั ิ หรือไมส่ ามารถปฏบิ ัตติ ามคำแนะนำในการรักษาได้
12 2. การปนเป้ือนของยาปฏิชวี นะในน้ำ อาหาร และส่งิ แวดล้อม ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะใน ภาคเกษตรกรรม6 เชน่ • การใช้ยาปฏิชวี นะในการปลกู พืชเพอ่ื รกั ษาโรคพชื เชน่ สม้ เขียวหวาน7 สม้ โอ มะนาว • การใช้ยาปฏิชีวนะผสมลงไปในอาหารสตั ว์ เพื่อเร่งการเจรญิ เตบิ โตหรอื ปอ้ งกนั โรค เช่น ไก่ กุ้ง หมู วัว ท่ีมา: https://www.healthstation.in.th/action/viewarticle/798/ ท่ีมา: https://www.google.com/search?q=%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8 ผลกระทบจากการตดิ เช้ือดื้อยา • เชอ้ื ด้ือยาบางชนดิ ไมม่ ยี ารักษาที่มีประสทิ ธผิ ลดีและปลอดภยั ทำให้ตอ้ งเสียค่าใช้จา่ ยในการ รกั ษามากขึน้ ใช้เวลารกั ษานานขึ้น และมีโอกาสเสียชีวิตสงู • เช้อื ดื้อยาอาจแพรไ่ ปสู่ผปู้ ว่ ยรายอน่ื ทำให้เกิดการระบาดในชมุ ชน มีผลทำให้โรคติดต่อท่ีเคย ควบคมุ ได้กลับมาระบาดมากขน้ึ 6 ห่วงใชย้ าปฏชิ วี นะภาคเกษตร รกั ษาพชื -ผสมอาหารสตั ว์ ทาเชอื้ ดอื้ ยาส่งผลในคน https://www.hfocus.org/content/2014/11/8650 7 อึง้ ! ฉีด 'ยาปฏชิ ีวนะ' เขา้ ตน้ สม้ คนกินเส่ยี งรบั ยามอื 2 https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/818646
13 • เช้ือด้ือยาสามารถถ่ายทอดยนี ด้อื ยาไปสู่เชื้อสายพันธอุ์ น่ื ได้ ทำใหเ้ กิดเช้ือดอ้ื ยาเพิม่ มากขึ้น ปัญหา การดอื้ ยาจึงทวคี วามรนุ แรงยิ่งขึน้ ซเู ปอร์บั๊ก (Superbug ) หมายถึงเชอื้ แบคทีเรยี ที่สามารถยบั ย้งั การทำงานของยาปฏิชีวนะท่ใี ช้ในการ รักษาไดห้ ลายชนดิ ท่มี า: https://www.google.com/search?q=%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8 องค์กรอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายช่อื 12 เชื้อแบคทีเรยี ดอื้ ยา หรอื ‘ซุปเปอรบ์ ัก’ ทเี่ ปน็ อนั ตรายตอ่ โลกมากที่สุดในขณะน้ี รายชือ่ เชือ้ ดือ้ ยาท้ัง 12 ตวั นี้ เป็นภัยคุกคามท่ียิ่งใหญ่ที่สุดตอ่ สขุ ภาพของมนษุ ย์ และสว่ น ใหญเ่ ป็นแบคทีเรยี แกรมลบ ซง่ึ ววิ ัฒนาการเพ่ือต่อสู้กับยาปฏิชีวนะหลายชนิดโดยถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามระดบั ความเรง่ ด่วนของความตอ้ งการยาใหม่ ได้แก่ 1. กลุม่ ความเรง่ ด่วน ‘วิกฤติ’ - เช้อื อะซนิ ีโตแบก็ เตอร์ บอมมานนไิ อ ดื้อยาในกลุ่ม คารบ์ าเพเนม (Acinetobacter baumannii, carbapenem-resistant) - เชอื้ ซโู ดโมแนส แอรูจิโนซา ด้อื ยาในกลุ่ม คารบ์ าเพเนม (Pseudomonas aeruginosa, carbapenem-resistant) - แบคทเี รยี ในวงศ์ เอนเทอโรแบคทเี รียซีอี ดอื้ ยาในกลมุ่ คาร์บาเพเนม และสรา้ งเอนไซมด์ ือ้ ยา ESBL (Enterobacteriaceae, carbapenem-resistant, ESBL-producing)
14 2. กลมุ่ ความเรง่ ด่วน ‘สูง’ - เชอ้ื เอนเทอโรคอคคัส ฟเี ซียม ด้ือยา แวนโคมยั ซิน (Enterococcus faecium, vancomycin- resistant) - เชื้อ สแตฟฟิโลคอกคสั ออเรยี ส ดอื้ ยา เมธซิ ิลิน และ แวนโคมยั ซนิ (Staphylococcus aureus, methicillin-resistant, vancomycin-intermediate resistant) - เชือ้ เฮลโิ คแบคเตอร์ ไพโลรี ดื้อยา คลาริโธรมัยซนิ (Helicobacter pylori, clarithromycin- resistant) - แบคทีเรยี สปีชีส์ แคมไพโลแบคเตอร์ ดือ้ ยากลุ่ม ฟลูออโรควโิ นโลน (Campylobacter spp., fluoroquinolone-resistant) - เชื้อสกุล ซัลโมเนลลา ดอื้ ยากลุม่ ฟลูออโรควิโนโลน (Salmonella , fluoroquinolone-resistant) เ - เช้ือ ไนซซ์ เี รีย โกโนรเ์ รีย ดอ้ื ยากลุม่ เซฟาโลสปอริน และกลุ่ม ฟลูออโรควิโนโลน (Neisseria gonorrhoeae, cephalosporin-resistant, fluoroquinolone-resistant) 3. กล่มุ ความเรง่ ด่วน ‘ปานกลาง’ - เช้อื สเตรปโตคอกคสั นวิ โมเนยี ทีไ่ ม่ตอบสนองต่อยา เพนซิ ิลนิ (Streptococcus pneumoniae, penicillin-non-susceptible) - เชอ้ื ฮีโมฟลิ ัส อินฟลูเอนซาอี ดือ้ ยา แอมพิซิลลนิ (Haemophilus influenzae, ampicillin- resistant) - เชอ้ื สปีชีส์ ชิเจลลา ด้ือยากลมุ่ ฟลอู อโรควิโนโลน (Shigella spp., fluoroquinolone-resistant)
15 เราจะหลกี เลย่ี งการตดิ เช้อื ดอ้ื ยาได้อย่างไร8 การที่เราจะหลีกเลี่ยงการติดเช้อื ดอ้ื ยาได้นนั้ เราจะต้องหยุดการสร้างเชือ้ ด้อื ยา หยุดรบั เชือ้ ดอื้ ยา และ หยดุ การแพรเ่ ช้อื ด้อื ยา วธิ ีหยดุ หรอื ลดการสรา้ งเช้ือดือ้ ยา • ใช้ยาปฏิชวี นะน้อยทีส่ ดุ เทา่ ท่ีจำเปน็ ทง้ั ในคน สัตว์ และพืช • ไม่ซอื้ ยาปฏิชวี นะมาใชเ้ อง • เข้าใจเก่ยี วกับสาเหตุของการเจ็บป่วย • ไม่ร้องขอยาปฏิชวี นะโดยไม่มีเหตผุ ล • ไมแ่ จกยาปฏชิ ีวนะให้ผูอ้ น่ื • ไมใ่ ช้ยาปฏชิ วี นะของคนอ่นื • ไมเ่ กบ็ ยาปฏชิ วี นะที่เหลอื ไว้ใชร้ ักษาการป่วยคร้งั ต่อไป • หากมีการจ่ายยาให้ ควรสอบถามว่าทา่ นติดเชอ้ื แบคทเี รยี หรือไม่ • ใช้ยานนั้ ตามขนาดและระยะเวลาทกี่ ำหนดอย่างเคร่งครัด • รับประทานอาหารทีส่ ุกสะอาดและด่ืมนำ้ สะอาด ไม่ปนเปอื้ นยาปฏชิ วี นะ • รับการฉีดวคั ซีนตามคำแนะนำของแพทย์ • เกษตรกรไมใ่ ช้ยาปฏิชวี นะกบั สัตวแ์ ละพชื โดยไมจ่ ำเปน็ วิธีการหยดุ รับเชอื้ ด้อื ยา และหยุดการแพร่เช้อื ดอ้ื ยา • กนิ อาหาร และด่ืมนำ้ ท่ีไม่ปนเปอื้ นเชือ้ ดื้อยา • กินอาหารท่ปี รงุ สกุ เพราะความร้อนทำลายเชื้อดื้อยาได้ • อจุ จาระและปสั สาวะในสว้ ม 8เชอื้ ดอื้ ยา : หายนะของมนษุ ยท์ ง้ั โลก โดยสถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสขุ https://www.youtube.com/watch?v=kXARPL5eVM
16 • ลา้ งมือให้สะอาดกอ่ นกินอาหาร และหลังสัมผัสสิ่งทอี่ าจปนเปอ้ื น • ใชเ้ คร่ืองปอ้ งกนั ร่างกายตามความเหมาะสม • หลกี เลี่ยงการสมั ผสั คน สตั ว์ และส่งิ แวดล้อมทม่ี เี ชื้อดอ้ื ยา • หลีกเลีย่ งการไปโรงพยาบาล และอยใู่ นโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น โดย สถาบันวจิ ัยระบบสาธารณสขุ (สวรส.) https://www.youtube.com/watch?v=kXARPL5eVME
17 เอกสารอา้ งอิง ครัง้ แรกในโลก WHO ขึ้นบญั ชี 12 'ซุปเปอร์บกั ' เปน็ ภัยต่อมนุษยม์ ากท่ีสดุ https://www.thairath.co.th/content/872528 ไวรสั กับแบคทเี รยี ต่างกันอย่างไรhttps://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/79607/-blo- scibio-sci- การใชย้ าปฏิชีวนะอย่างสมเหตผุ ล https://meded.psu.ac.th/binlaApp/class05/388- 501/Rational_antibiotic_use_1/index3.html เชือ้ ด้อื ยา : หายนะของมนุษยท์ ง้ั โลก โดยสถาบันวจิ ยั ระบบสาธารณสุข https://www.youtube.com/watch?v=kXARPL5eVM หว่ งใชย้ าปฏิชวี นะภาคเกษตร รักษาพืช-ผสมอาหารสัตว์ ทำเชื้อด้อื ยาสง่ ผลในคน https://www.hfocus.org/content/2014/11/8650 อ้งึ ! ฉดี 'ยาปฏิชวี นะ' เข้าต้นสม้ คนกินเสีย่ งรบั ยามือ2 https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/818646
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: