หนว่ ยท่ี 1 ความรู้เกย่ี วกบั การบญั ชี
2 หนว่ ยท่ี 1 ความรู้เบ้ืองต้นเกย่ี วกบั การบญั ชี 1.1 ประวัติและวิวัฒนาการของการบัญชี จากการคน้ พบหลกั ฐานการจดบนั ทึกรายการทางบัญชี แสดงให้เห็นวา่ การบัญชเี กิดขึ้นมา ประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว ต้งั แต่สมยั บาบโิ ลเนียนและอียปิ ต์ แตเ่ ป็นการบนั ทึกปรมิ าณแทนที่จะบนั ทึก เป็นจานวนเงิน และในสมัยกรีก มกี ารบันทึกเก่ียวกับทรัพยส์ ินและพชื ผล และทรัพยากรต่าง ๆ โดยมี วตั ถปุ ระสงค์เพ่ือการควบคุม ต่อมาในสมยั โรมันจงึ เร่มิ มีการบันทกึ เก่ียวกับเงินสดรบั และจ่าย ในชว่ งตน้ ศตวรรษท่ี 14 เป็นชว่ งเริม่ ตน้ ของการใช้หลกั การบัญชคี ู่ (Double Entry System) เนือ่ งจากการเปลย่ี นแปลงสภาวะแวดลอ้ มทางด้านสังคม เศรษฐกจิ และการปกครอง การแขง่ ขันทาง การตลาด การคน้ พบเทคโนโลยี การเขยี นตวั เลข และการใชเ้ งินเป็นส่อื กลางในการแลกเปล่ยี น ต่อมาในศตวรรษท่ี 15 ได้ค้นพบหลักฐานการบนั ทกึ บัญชีในกรงุ เจนีวา ประเทศอิตาลี ซ่งึ เปน็ ศูนย์กลางทางการค้าในขณะน้นั ลกู า ปาซิโอลี (Luca Pacioli) ซง่ึ ได้รบั การยกย่องว่าเป็นบิดาทาง การบัญชี ไดเ้ ขยี นหนังสอื เชิงคณิตศาสตร์ ช่ือ The Summa de Arithmetica Geometrica Propertioniet Proportionalita และสว่ นหน่งึ ของหนงั สอื ไดเ้ ขยี นถงึ หลกั การบญั ชคี ู่ไวด้ ้วย ในศตวรรษที่ 20 สภาพสังคมและเศรษฐกิจมคี วามสลบั ซับซ้อนมากข้ึนเนื่องจากผลกระทบ จากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทาให้เกิดความต้องการทางการบญั ชีมากขนึ้ ดงั น้นั จึงเกดิ การพฒั นา ทางการบญั ชีในเรื่องต่าง ๆ เช่น การใช้ทฤษฎีความเปน็ หนว่ ยงาน การบญั ชีตน้ ทนุ การคิดค่าเสอ่ื ม ราคา นอกจากน้ันประเทศตา่ ง ๆ ในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาไดก้ ่อตง้ั สมาคมนักบัญชีข้นึ และ สมาคมนกั บัญชีของแตล่ ะประเทศก็ได้กาหนดมาตรฐานการบญั ชไี ว้เปน็ แนวทางใหน้ ักบัญชถี ือปฏบิ ัติ ส่วนประวตั ิทางการบญั ชใี นประเทศไทย เร่ิมตั้งแต่สมยั การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 รัฐบาลเหน็ ความสาคญั ของการบัญชี ซง่ึ มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมพี ระยาไชยยศ สมบัติ (เสริม กฤษณามระ) และหลวงดารอิ ิสรานุวรรต (ม.ล.ดาริ อิศรางกูร ณ อยุธยา) ซ่งึ สาเรจ็ การศึกษาทางการบัญชีจากประเทศองั กฤษ รับราชการอยู่ในสานกั งานตรวจเงนิ แผน่ ดนิ เป็นนักบัญชี ที่พยายามเผยแพร่ความรทู้ างการบัญชี โดยจดั ให้มีหลักสตู รการสอนวชิ าบัญชใี นระดบั ก่อนอดุ มศึกษา และระดบั อุดมศึกษา โดยมวี ัตถุประสงค์ให้คนไทยมีความรู้ทางการบญั ชมี ากขนึ้ เพื่อทาให้เกิดวิชาชีพ การสอบบญั ชสี าธารณะ สอดคลอ้ งกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยท์ ่รี ะบุไวเ้ ก่ยี วกับการจดั ทา บญั ชีและการสอบบญั ชีของธรุ กิจ และในปี พ.ศ. 2491 นกั บญั ชีไดร้ ่วมกันก่อต้ังสมาคมนักบญั ชีแห่ง ประเทศไทย ซ่งึ ต่อมาไดเ้ ปล่ียนช่ือเป็น “สมาคมนักบญั ชีและผูส้ อบบญั ชรี บั อนุญาตแหง่ ประเทศไทย” ปจั จบุ นั ไดย้ กเลกิ ไปแล้วและจัดตั้งสภาวิชาชพี บญั ชขี ้ึนแทน สภาวชิ าชีพบญั ชี (Federation of Accounting Professions) ถอื เป็นสถาบนั วชิ าชีพแห่ง เดยี วในประเทศไทย มบี ทบาทสาคญั ในการพัฒนาวิชาชีพบญั ชี ได้แก่ การกาหนดมาตรฐานการบญั ชี การสอบบญั ชี บญั ญัติศัพท์ทางบญั ชีและความรู้อืน่ ทเ่ี กยี่ วกับการบัญชี เพื่อใหผ้ ้ปู ระกอบวชิ าชพี ไดใ้ ช้ เปน็ มาตรฐานในการปฏิบตั ิงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเปน็ แหล่งเผยแพรค่ วามรูแ้ ละให้ ความชว่ ยเหลอื รวมท้งั จัดสมั มนาฝกึ อบรมใหแ้ ก่นักบัญชแี ละผสู้ นใจ 1.2 ความหมายของการบัญชแี ละการทาบัญชี
3 การบัญชีโดยความหมายท่ัวไป ผู้ทไี่ ดย้ นิ จะนึกถึงการจดบันทกึ ข้อมลู ทเี่ ปน็ ตวั เลขในสมุด สว่ นผทู้ อี่ ยู่ในวงการธุรกิจ จะนึกถึงการบันทึกตวั เลขท่เี กีย่ วข้องกับการเงนิ ของธุรกิจในสมุดท่มี เี สน้ ตารางเป็นช่อง สว่ นนกั วชิ าการทางการบญั ชีได้ให้ความหมายของการบัญชีไว้แตกตา่ งกนั เช่น พอล เกรดด้ี (Paul Grady) นกั บัญชชี าวสหรัฐอเมริกา ได้ใหค้ วามหมายของการบญั ชีไวว้ า่ การบัญชี (Accounting) เปน็ วิชาการและหนา้ ที่งานเกย่ี วกับการรเิ ริ่มรายการและเหตุการณ์ ทางการเงนิ การตรวจสอบอนุมตั ิ การจดบันทึก การจัดหมวดหมู่ การเรียบเรยี ง การสรปุ ผล การ วิเคราะห์ การตีความ และเสนอข้อมูลเหลา่ นนั้ อย่างมีหลกั เกณฑ์ตามความตอ้ งการของฝ่ายบริหาร และการดาเนนิ งานของกจิ การเพื่อประโยชน์ในการจดั ทารายงานท่ีจะต้องเสนอตามหน้าท่ีความ รับผดิ ชอบที่ได้รับมอบหมาย สมาคมนกั บัญชีและผู้สอบบัญชีรบั อนญุ าตแหง่ ประเทศไทย ซึ่งเรียกชื่อย่อว่า ส.บช. (The Institute of Certified Accountants and Auditor of Thailand : ICAAT) ปจั จุบันได้ยกเลิกไป แล้วและได้จดั ตั้งสภาวชิ าชพี บญั ชีขนึ้ แทน ได้ใหค้ วามหมายของการบัญชีไว้ดังน้ี การบัญชี (Accounting) หมายถึง ศิลปะของการเก็บรวบรวม บันทึก จาแนก และทาสรุป ข้อมูลอันเกย่ี วกับเหตกุ ารณ์ทางเศรษฐกจิ ในรูปตัวเงนิ ผลงานขน้ั สุดท้ายของการบัญชี ก็คือ การให้ ขอ้ มูลทางการเงิน ซึ่งเป็นประโยชนแ์ กบ่ คุ คลหลายฝ่ายและผทู้ ี่สนใจในกจิ กรรมของกจิ การ สมาคมนกั บัญชแี ละผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของประเทศสหรัฐอเมริกา (The American Institute of Certified Public Accountants : AICPA) ได้ให้ความหมายของการบญั ชีไวด้ ังน้ี “การบัญชี เป็นศิลปของการเก็บรวบรวมจดบนั ทึกรายการหรอื เหตุการณ์ ทเี่ กย่ี วกับการเงนิ ไว้ในรูปของเงนิ ตรา จดั หมวดหม่ขู องรายการเหล่าน้ัน สรปุ ผลพรอ้ มทั้งตีความหมายของรายงานทีไ่ ด้ จัดทาไว้” จากความหมายดงั กลา่ ว สรปุ ได้วา่ การบัญชี หมายถึง การจดบนั ทกึ การจัดประเภท การรวบรวมและสรุปผลรายการและเหตกุ ารณท์ างการเงนิ ที่เกย่ี วข้องกบั ธรุ กิจอยา่ งมีหลกั เกณฑ์ เพื่อ จัดทาเปน็ รายงานทางการเงิน โดยแสดงข้อมูลเก่ียวกบั ฐานะทางการเงิน ผลการดาเนินงานและการ เปลีย่ นแปลงฐานะการเงินของกจิ การเสนอตอ่ ผู้ใช้งบการเงินทุกประเภททง้ั บุคคลภายในและภายนอก กจิ การ เพื่อประโยชน์ในการนาข้อมูลไปใช้ในการตดั สินใจทางเศรษฐกิจ เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจความหมายของการบญั ชมี ากข้ึนจึงควรศึกษาความแตกตา่ งระหวา่ งการบญั ชกี บั การทาบญั ชี ดงั น้ี การทาบญั ชี (Bookkeeping) หมายถึง การจดบันทึกทางการบญั ชี การจดั หมวดหมูบ่ ัญชี โดยการแยกประเภทรายการแลว้ สรปุ ผลจัดทาเป็นรายงานทางการเงนิ หน้าท่ขี องการทาบญั ชีจึงเปน็ สว่ นหนึง่ ของการบัญชี ดังภาพประกอบที่ 1.1 การวางระบบบญั ชี การจดบันทกึ
4 ภาพที่ 1.1 การบญั ชี (Accounting) และการทาบญั ชี (Bookkeeping) ที่มา : นาตยา แสงวนั ลอย. 2555. บญั ชเี บือ้ งตน้ 1. พมิ พค์ รง้ั ที่ 1. กรงุ เทพฯ: หน้า 5 จากความหมายของการทาบัญชีและภาพแสดงความหมายและหน้าท่ีงานของการบัญชีและ การทาบัญชี สรุปได้ว่าการทาบัญชีเป็นหนา้ ทง่ี านส่วนหนง่ึ ของการบัญชีมี 4 ขั้นตอน ดังน้ี ขน้ั ตอนท่ี 1 การรวบรวมขอ้ มลู (Collecting) ขั้นตอนที่ 2 การบันทึกรายการ (Recording) ขนั้ ตอนที่ 3 การจาแนก (Classifying) ข้ันตอนท่ี 4 การสรปุ ข้อมลู (Summarizing) การรวบรวมขอ้ มูล (Collecting)
5 ภาพที่ 1.2 ขบวนการทางการบัญชี (The Accounting Process) ท่มี า : วรรณา วงศ์ววิ ัฒน.์ (2554) บญั ชเี บื้องต้น 1. พิมพ์ครง้ั ท่ี 1. กรงุ เทพฯ: หนา้ 5 1. การรวบรวมข้อมูล (Collecting) หมายถึง การรวบรวมขอ้ มลู หรือรายการคา้ ที่ เกดิ ขึน้ ประจาวัน และหลักฐานท่ีเก่ียวกบั การดาเนนิ ธุรกิจ เชน่ การซอ้ื และการขาย การรับเงนิ และการจา่ ยเงนิ เปน็ ตน้ 2. การบันทึกรายการ (Recording) หมายถึง การจดบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นแต่ละ ครั้งให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีทร่ี บั รองทว่ั ไป พร้อมกบั บันทึกข้อมูลให้อยู่ในรูปของหน่วยเงนิ ตรา 3. การจาแนก (Classifying) หมายถงึ การนาข้อมูลท่จี ดบันทึกไวแ้ ล้วมาจาแนก ให้เปน็ หมวดหมขู่ องบัญชปี ระเภทตา่ ง ๆ เชน่ หมวดสินทรัพย์ หมวดหนส้ี ิน หมวดส่วนของเจา้ ของ หมวดรายได้ และหมวดคา่ ใช้จ่าย 4. การสรุปขอ้ มูล (Summarizing) เปน็ การนาขอ้ มลู ทไ่ี ด้จาแนกให้เป็นหมวดหมู่ แลว้ มาสรปุ เปน็ รายงานทางการเงิน (Accounting Report) ซ่งึ แสดงถึงผลการดาเนนิ งานและฐานะ การเงินของธรุ กจิ ตลอดจนการไดม้ าและใช้ไปของเงนิ สดในรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่ง 1.3 จดุ ประสงค์ของการบัญชี ในการดาเนนิ งานทางธรุ กจิ เจ้าของกิจการมงุ่ หวงั ท่จี ะทาให้ธรุ กิจของตนสามารถตอบสนอง ความต้องการของลูกค้า ถา้ หากความมุ่งหวงั ของเจา้ ของกิจการเป็นจรงิ แสดงว่าธุรกจิ หรือเจ้าของ กิจการจะได้รบั ผลตอบแทนในรูปของผลกาไร อยา่ งไรก็ดีการที่ธรุ กจิ จะประสบความสาเรจ็ ได้เจา้ ของ ธุรกจิ ต้องมีความสามารถในการจดั การและการที่เจา้ ของกิจการจะสามารถบรหิ ารจัดการได้ดเี พียงใด ยอ่ มขนึ้ อยู่กบั ข้อมูลของธุรกจิ ทีเ่ จ้าของกิจการไดร้ บั ขอ้ มลู ขา่ วสารท่สี าคัญในการประกอบธรุ กิจ คือ ขอ้ มลู ทางการเงิน ซึง่ มักรวบรวมในรูปของการจดบันทึกทางการบัญชี และการสรปุ ผลในรูปของ รายงานทางการเงิน โดยแสดงข้อมลู เก่ียวกับฐานะการเงนิ ผลการดาเนินงาน และการเปลย่ี นแปลง
6 ฐานะการเงินของกิจการ เสนอตอ่ ผใู้ ช้งบการเงินทกุ ประเภททง้ั ภายในและภายนอกกิจการ เพอื่ ประโยชน์ในการนาข้อมลู เหล่านน้ั ไปใชใ้ นการตัดสนิ ใจเชิงเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าผ้ทู ่ใี ช้ข้อมูลทางการ บญั ชีของกิจการมีด้วยกนั มากมายหลายฝา่ ย ซ่งึ แตล่ ะฝ่ายกต็ ้องการข้อมูลท่ีแตกต่างกันไป โดยเราจะ แบง่ ผู้ใชข้ ้อมลู ทางการบญั ชไี ด้เปน็ 2 ฝ่ายใหญ่ ๆ คือ ฝา่ ยผใู้ ช้ภายในกิจการ (Internal Users) อัน ไดแ้ ก่ เจ้าของและผ้บู ริหารกิจการ กับฝา่ ยผู้ใช้ภายนอกกจิ การ (External Users) อันได้แก่ เจ้าหน้ี ผลู้ งทนุ หน่วยงานรัฐบาล และอ่ืน ๆ ดังนน้ั ข้อมลู ทางการบัญชี จึงสามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 สว่ น เช่นเดยี วกนั คอื ข้อมูลทางการบัญชที ่ีนาเสนอแกผ่ ู้ใช้ภายในกิจการ เรียกวา่ การบญั ชีบริหารหรือ การบญั ชเี พ่ือการจดั การ (Managerial Accounting) กบั ข้อมลู ทางการบญั ชที ี่นาเสนอแก่ผู้ใช้ ภายนอกกจิ การเรา เรียกว่า การบญั ชีการเงนิ (Financial Accounting) เหตกุ ารณ์ การวเิ คราะหแ์ ละจด งบ ผ้ใู ช้งบ กลุ่มภายใน บนั ทกึ โดยนกั บัญชี การเงิน การเงิน กลุ่มภายนอก ภาพท่ี 1.3 แสดงผู้ใชป้ ระโยชนจ์ ากงบการเงิน ทีม่ า : สธุ าทพิ ย์ พาโพธ.ิ์ 2554. บญั ชเี บ้ืองต้น 1. พิมพ์คร้ังที่ 1. กรุงเทพฯ : หน้า 5 ผใู้ ช้ขอ้ มูลทางการบญั ชี (Users of Accounting Information) 1. เจา้ ของกิจการ (The Owner) หากกจิ การเปน็ กจิ การเจา้ ของคนเดียว เจ้าของก็คือ ผู้กอ่ ตง้ั กิจการ แต่ถา้ เป็นกจิ การห้างหนุ้ ส่วนเจา้ ของกิจการก็คือผเู้ ป็นหุ้นส่วนทุกคน และถ้าเปน็ กจิ การบริษัทจากดั เจ้าของกจิ การกค็ ือผูถ้ ือหนุ้ ซงึ่ เจา้ ของกิจการเหลา่ นีจ้ ะนาข้อมลู ทางการบญั ชขี อง กจิ การไปใชใ้ นการวางนโยบายของกิจการ เชน่ จะขยายกิจการ หรือจะเลกิ กิจการซงึ่ การตดั สนิ ใจใน เรื่องเหล่านีต้ ้องอาศยั ข้อมลู ทางการบัญชีของกจิ การวา่ ที่ผา่ นมากิจการมีผลการดาเนนิ งานเป็นอย่างไร และ ณ ปัจจุบนั กิจการมีฐานะทางการเงินเปน็ อย่างไร เป็นตน้ 2. ผบู้ รหิ าร (Manager) ในกจิ การประเภทห้างหนุ้ ส่วนและบรษิ ัทจากดั เจา้ ของกิจการ อาจจะเปน็ คนเดยี วกับผู้บรหิ ารหรือไม่ก็ได้ ซงึ่ ผู้บริหารน้ีจะใช้ข้อมูลทางการบัญชีของกิจการไปใช้ใน การบรหิ ารกิจการให้ประสบผลสาเรจ็ ตามนโยบายท่ไี ดร้ ับจากเจ้าของกิจการ 3. เจ้าหนห้ี รือแหล่งเงนิ กู้ต่าง ๆ (Creditors) เจา้ หนี้จะใชข้ ้อมลู ทางการบัญชขี องกิจการไป ใช้ในการตดั สินใจทจ่ี ะใหเ้ ครดิตกับกจิ การ โดยจะพจิ ารณาจากฐานะทางการเงินของกิจการ ความ สามารถในการชาระคนื เงนิ ต้นและดอกเบีย้ ของกจิ การ เป็นตน้ 4. นักลงทุน (Investors) นกั ลงทนุ จะใช้ข้อมลู ทางการบัญชขี องกิจการไปใชใ้ นการตัดสนิ ใจ ในการทจี่ ะเขา้ มาลงทุนในกิจการ โดยผ้ลู งทนุ จะพจิ ารณาจากผลการดาเนินงานของกจิ การ ฐานะทาง การเงนิ ของกจิ การ ผลตอบแทนท่คี าดวา่ จะไดร้ บั นโยบายการจา่ ยเงนิ ปันผลของกจิ การ เป็นตน้
7 5. ลกู ค้าและซัพพลายเออร์ (Customers and Suppliers) ลูกค้าและซัพพลายเออรจ์ ะใช้ ข้อมูลทางการบัญชขี องกิจการไปใช้ในการตัดสินใจทจ่ี ะคา้ ขายกบั กจิ การ โดยจะพจิ ารณาจากผลการ ดาเนินงานของกิจการ ฐานะทางการเงนิ ของกิจการ สภาพคล่องของกิจการ เปน็ ต้น 6. พนักงานหรอื ลูกจา้ ง (Employees) พนกั งานหรือลูกจ้างจะใชข้ ้อมูลทางการบญั ชีของ กจิ การไปใชใ้ นการตัดสินใจในการทางานกบั กจิ การ โดยจะพิจารณาจากความมั่นคงคือฐานะทาง การเงนิ ของกจิ การ ผลการดาเนินงานของกจิ การ เพ่ือประเมินความสามารถในการจา่ ยคา่ จ้าง คา่ ตอบแทน และโอกาสในการจ้างงาน 7. คู่แขง่ (Competitors) คแู่ ข่งจะใชข้ ้อมลู ทางการบญั ชีของกจิ การไปใชใ้ นการตดั สินใจ บรหิ ารงานของคแู่ ขง่ เพ่ือจะให้สามารถแขง่ ขนั กับกิจการได้ 8. รฐั บาลและหน่วยงานราชการ (Government Agencies) หมายถงึ หน่วยงานราชการท่ี ตอ้ งการขอ้ มลู ทางการบญั ชขี องกิจการไปใช้ในงานตา่ ง ๆ ของทางราชการ เช่น กรมสรรพากร ตอ้ งการนาข้อมูลทางการบญั ชขี องกจิ การไปใช้คานวณการจดั เก็บภาษี หรือนาไปเปน็ ฐานในการ คานวณรายได้ประชาชาติ หรือจัดทาสถติ ิตา่ ง ๆ 9. บคุ คลท่ัวไป เช่น นิสิต นักศกึ ษา อาจารย์ ทตี่ ้องการนาข้อมูลทางการบญั ชีของกิจการ ไปใช้ในการเรียนการสอน สื่อมวลชนตอ้ งการนาไปเสนอข่าว เปน็ ตน้ การบัญชีมีจดุ ประสงค์หลกั ดงั น้ี 1. เพอ่ื ชว่ ยใหท้ ราบฐานะการเงินของกิจการ ณ วนั ใดวันหน่ึงวา่ กจิ การมสี ินทรัพย์ หนสี้ นิ และทนุ ซึ่งเปน็ ส่วนของเจ้าของกจิ การเป็นจานวนเทา่ ใด และชว่ ยใหก้ ิจการสามารถควบคุม รกั ษาสินทรัพย์ของกจิ การได้ 2. เพอื่ ชว่ ยให้ทราบผลการดาเนินงานของกจิ การ ในรอบระยะเวลาใดเวลาหนงึ่ ว่าผลการ ดาเนินงานท่ผี ่านมา กจิ การมีกาไรหรือขาดทุนเปน็ จานวนเงินเท่าใด 3. การทาบัญชเี ปน็ การรวบรวมสถติ อิ ย่างหนงึ่ ท่ชี ่วยในการบรหิ าร และใหข้ ้อมลู อนั เปน็ ประโยชน์ในการวางแผนการดาเนินงาน การตัดสินใจ และควบคุมกจิ การใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ตาม ความมงุ่ หมาย และใชเ้ ปน็ แหลง่ ข้อมลู ทางการเงนิ ของบุคคลท้งั ภายในและภายนอกกิจการ 4. เพ่ือบันทึกรายการค้าท่ีเกิดขนึ้ ตามลาดบั ก่อนหลงั และจาแนกประเภทรายการคา้ ไว้ 5. เพื่อให้ถูกต้องตามพระราชบญั ญัติว่าดว้ ยการทาบญั ชีของกจิ การตา่ ง ๆ 1.4 ประโยชนข์ องข้อมูลการบญั ชี 1. เพอ่ื เปน็ เคร่ืองมือวดั ความสาเร็จในการดาเนินธุรกิจ การทาบญั ชีจะทาให้กิจการทราบ ผลการดาเนินงาน ฐานะทางการเงนิ และความมน่ั คงของธรุ กิจ โดยในการจดั ทาบญั ชีนั้นจะบันทึก บญั ชีรายการต่าง ๆ ทเ่ี กิดขน้ึ ในการดาเนนิ ธุรกจิ 2. เพอื่ ชว่ ยในการวางแผนและตดั สนิ ใจของธรุ กจิ ข้อมลู บัญชีจะเป็นประโยชน์ตอ่ การวาง แผนและการตัดสินใจ โดยประเมนิ จากข้อมลู เหตกุ ารณใ์ นอดีต ปัจจุบนั และอนาคต ซึง่ อาจจะอยูใ่ น รปู ของรายงานวเิ คราะห์ต่าง ๆ อันเปน็ เคร่ืองมือช่วยใหผ้ ู้บริหารงานสามารถดาเนนิ งานอย่างมี ประสทิ ธิภาพมากข้ึน
8 3. เพ่อื ชว่ ยในการวางแผนกาไร และควบคุมค่าใชจ้ ่ายของกิจการ เมื่อข้อมูลทางบญั ชถี กู ตอ้ ง จะทาให้กจิ การทราบจานวนต้นทนุ และค่าใชจ้ า่ ยท่เี กิดขน้ึ และคานวณต้นทุนของสนิ คา้ และบรกิ ารได้ ถกู ต้อง ซึ่งจะชว่ ยในการตดั สินใจกาหนดราคาสินคา้ หรอื บริการของธรุ กจิ ชว่ ยควบคมุ ตน้ ทนุ การ ผลิตและค่าใช้จา่ ยตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามประมาณการทีไ่ ด้กาหนดไว้ และสามารถนาไปวิเคราะห์ ปรับปรุงรายจ่ายทไี่ ม่จาเป็นออก รวมถงึ ชว่ ยในการวางแผนการดาเนินงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม กับทรพั ยากรที่กิจการมอี ยู่ 4. เพ่อื เป็นเคร่ืองมือชว่ ยในการหาแหลง่ เงนิ ทุน ในการจดั ทาบัญชีจะทาใหไ้ ด้รายงานทาง การเงนิ ท่ีใช้เปน็ ส่ือกลางในการติดตอ่ ทางธรุ กจิ ตา่ ง ๆ อันเป็นหลกั ฐานในการสรา้ งความเช่ือม่นั ให้กับ เจา้ หนี้ และสถาบันการเงิน 5. เพื่อให้มีระบบการควบคมุ ภายในทีด่ ี และเปน็ สญั ญาณเตือนภัยของกิจการ การมีระบบ บญั ชที ีด่ ีจะทาใหม้ ีระบบการควบคุมภายในท่ีดีท่ีชว่ ยให้กจิ การปอ้ งกนั การทจุ ริตทอ่ี าจจะเกดิ ขึน้ เนอื่ งจากขอ้ มูลทางการเงิน ตลอดจนรายการต่าง ๆ ที่เกิดขน้ึ จะตอ้ งมหี ลักฐานท่สี ามารถยืนยันถึง ท่มี าท่ีไปได้ สามารถปอ้ งกนั การทุจริตได้ 6. เพอ่ื ประโยชน์ในการวางแผน เพ่ือเสยี ภาษีได้อยา่ งถกู ต้องและประหยดั ข้อมูลบัญชีท่ี ถูกต้องจะทาใหท้ ราบกาไรขาดทุนท่ีแน่นอน สามารถวางแผนภาษีอากรไดอ้ ย่างเหมาะสม ประหยัด และเสียภาษไี ด้อย่างถกู ต้องตามกฎหมาย 1.5 แมบ่ ทการบัญชี (Accounting Framework) แมบ่ ทการบญั ชีคือกรอบแนวคดิ พน้ื ฐานในการจัดทาและนาเสนองบการเงินใหแ้ กผ่ ใู้ ชง้ บ การเงนิ ภายนอกได้อย่างถูกต้องและเช่อื ถือได้ รวมท้ังการใช้เป็นเกณฑ์ในการกาหนดมาตรฐานการ บัญชแี ละการปฏบิ ตั ทิ างบญั ชีให้สอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดยี วกนั จะเห็นไดว้ า่ จากความหมายของแมบ่ ทการบญั ชี แมบ่ ทการบัญชกี ่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ คณะกรรมการมาตรฐานการบญั ชีในการกาหนดมาตรฐานการบญั ชี ผูจ้ ัดทางบการเงิน และผ้ใู ช้งบ การเงิน ดังน้ี 1. ประโยชนต์ อ่ คณะกรรมการมาตรฐานการบญั ชีในการกาหนดมาตรฐานการบญั ชี 1.1 แมบ่ ทการบัญชชี ่วยทาให้มาตรฐานการบัญชมี ีความขดั แย้งกนั น้อยลง ชว่ ยใหก้ าร ปฏบิ ตั ิทางบัญชีเป็นไปในแนวทางเดียวกัน 1.2 แม่บทการบญั ชเี ป็นเกณฑ์ในการปรบั ปรงุ มาตรฐานการบัญชี และพฒั นามาตรฐาน การบญั ชที ่ีใชใ้ นอนาคตใหม้ คี วามสอดคล้อง และเป็นสากล 2. ประโยชนต์ ่อผ้จู ัดทางบการเงิน 2.1 แมบ่ ทการบัญชีชว่ ยใหผ้ ู้จดั ทางบการเงนิ ปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ย่างมมี าตรฐานทาให้งบ การเงินมีความถูกต้องและเช่ือถือได้ 2.2 แม่บทการบญั ชีช่วยใหผ้ ู้จัดทางบการเงินสามารถนาหลกั เกณฑ์ของแมบ่ ทการบัญชี มาใชเ้ ปน็ แนวปฏิบัติในการจัดทาบัญชใี นเรอ่ื งทีย่ งั ไมม่ ีมาตรฐานกาหนด 3. ประโยชนต์ อ่ ผู้ใช้งบการเงิน
9 3.1 แมบ่ ทการบัญชีช่วยใหผ้ ้ใู ชง้ บการเงินมีความเข้าใจเรอ่ื งมาตรฐานการบัญชี ทาให้ เข้าใจในความหมายและของเขตของข้อมูลในงบการเงนิ ตรงกันกบั ผูจ้ ัดทางบการเงิน 3.2 ทาให้ผู้ใชง้ บการเงินสามารถใชข้ ้อมลู ในการตดั สนิ ใจเชงิ เศรษฐกจิ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง วัตถุประสงคข์ องแม่บทการบัญชี 1. เป็นแนวทางสาหรบั คณะกรรมการมาตรฐานการบญั ชีในการพฒั นามาตรฐานการบัญชี ในอนาคต 2. เปน็ แนวทางสาหรบั คณะกรรมการมาตรฐานการบญั ชีในการปรบั ข้อกาหนดมาตรฐาน และการปฏบิ ตั ิทางบัญชีทเ่ี กี่ยวข้องกับการนาเสนองบการเงิน 3. เปน็ แนวทางสาหรบั ผ้จู ัดทางบการเงินในการนามาตรฐานการบญั ชมี าปฏิบัติ และเป็น แนวทางในการปฏิบตั กิ รณีไม่มมี าตรฐานการบัญชรี องรบั 4. เป็นแนวทางสาหรบั ผ้สู อบบญั ชีในการแสดงความเห็นต่องบการเงิน 5. ช่วยใหผ้ ใู้ ชง้ บการเงนิ เข้าใจความหมายของข้อมูลทแี่ สดงในงบการเงิน 6. ช่วยใหผ้ ู้สนใจทราบขอ้ มลู เกยี่ วกบั แนวทางในการกาหนดมาตรฐานการบัญชี แม่บทการบัญชขี องไทยฉบับปจั จบุ ันทีใ่ ช้ได้ถูกกาหนดโดยคณะกรรมการกาหนดมาตรฐาน การบัญชี สภาวิชาชีพการบญั ชี โดยกาหนดจากมาตรฐานการบญั ชีระหวา่ งประเทศเร่ืองแมบ่ ทการ บญั ชี (Framework for the Preparation and Presentation of Financial Statement) มี วัตถปุ ระสงค์ทจี่ ะใชแ้ มบ่ ทการบัญชีเปน็ เกณฑ์ในการปรบั ปรุงมาตรฐานการบัญชที ี่มีอยู่ในปัจจุบนั และพฒั นามาตรฐานการบัญชใี หส้ อดคล้องกับมาตรฐานการบญั ชีระหว่างประเทศ (International Accounting Standard : IAS) ขอบเขตของแม่บทการบญั ชซี ่ึงเป็นกรอบแนวคดิ พน้ื ฐานในการจดั ทางบการเงินจะครอบคลุม เรอ่ื ง วัตถปุ ระสงคข์ องงบการเงิน ขอ้ สมมตใิ นการจัดทาและนาเสนองบการเงิน ข้อจากดั ของข้อมลู ทางการบญั ชี ลกั ษณะเชงิ คณุ ภาพของงบการเงนิ องคป์ ระกอบของงบการเงิน การรบั รู้องคป์ ระกอบ ของงบการเงิน การวดั ค่าองค์ประกอบของงบการเงิน และแนวคดิ เกี่ยวกับทุนและการรักษาระดับทุน ในการจัดทางบการเงิน แมบ่ ทการบญั ชีได้กาหนดหลักเกณฑต์ า่ ง ๆ เก่ยี วกับงบการเงิน ดงั ภาพที่ 1.4
10 แมบ่ ทการบญั ชีสาหรบั การจัดทาและนาเสนองบการเงิน ลักษณะของงบการเงนิ วัตถุประสงค์ ใหข้ ้อมูลท่ีมีประโยชน์ต่อการตดั สนิ ใจเชิงเศรษฐกิจ ข้อสมมติ เกณฑ์คงค้าง การดาเนินงานตอ่ เนอื่ ง ข้อจากัด ทันตอ่ เวลา ความสมดุลระหวา่ งประโยชน์ ความสมดลุ ของ ที่ได้รับกบั ตน้ ทนุ ทเี่ สียไป ลกั ษณะเชงิ คณุ ภาพ ลักษณะเชิงคณุ ภาพ ถกู ตอ้ งและยตุ ธิ รรมหรอื ถูกตอ้ งตามควร ลักษณะหลกั เขา้ ใจได้ เกยี่ วข้องกับการตัดสินใจ เช่อื ถอื ได้ เปรียบเทยี บกันได้ แรก นัยสาคญั ลกั ษณะรอง ตัวแทนอนั เท่ียงธรรม เนอ้ื หาสาคัญกว่ารปู แบบ ความเป็นกลาง ความระมัดระวัง ความครบถว้ น ภาพท่ี 1.4 แม่บทการบัญชีสาหรบั การจัดทาและนาเสนองบการเงนิ ที่มา : อรชร โพธิสุข. (2553) การบัญชขี ั้นต้น. พิมพ์ครง้ั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: หนา้ 2 – 9 จากภาพท่ี 1.4 จะเห็นไดว้ ่าแมบ่ ทการบญั ชีมีเนื้อหาครอบคลมุ เรอ่ื งต่าง ๆ ดงั น้ี 1. วัตถุประสงค์ของงบการเงนิ งบการเงนิ จดั ทาขึ้นเพื่อให้ขอ้ มลู เก่ยี วกับฐานะการเงิน (งบแสดงฐานะการเงิน) ผลการดาเนินงาน (งบกาไรขาดทนุ ) และการเปลีย่ นแปลงฐานะการเงนิ ของ กจิ การ (งบแสดงการเปล่ยี นแปลงในส่วนของเจ้าของและงบกระแสเงินสด) ซึ่งเป็นประโยชนต์ อ่ ผ้ใู ช้ งบการเงินเพอ่ื นาไปใชใ้ นการตดั สินใจเชิงเศรษฐกจิ 2. ข้อสมมติในการจัดทาและนาเสนองบการเงิน งบการเงินจัดทาภายใต้ข้อสมมติ 2 ขอ้ คือ เกณฑ์คงคา้ งและการดาเนินงานอย่างต่อเน่ือง
11 2.1 เกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis) การบนั ทึกบัญชจี ะบันทึกเมอื่ มีรายการและ เหตกุ ารณท์ างบัญชีเกิดข้ึน ไม่วา่ จะมีการรบั หรอื จา่ ยเงนิ แล้วหรือไมก่ ต็ าม เป็นเกณฑว์ ัดผลการ ดาเนินงานโดยใชว้ ธิ บี นั ทกึ รายการรายได้และค่าใช้จ่ายทวี่ ่ารายได้หรอื ค่าใช้จา่ ยเกิดขน้ึ ในงวดบญั ชีใด ให้บนั ทึกในงวดบัญชีนน้ั การวดั ผลการดาเนินงานโดยใช้เกณฑค์ งค้างจะช่วยให้ได้ผลการดาเนินงานที่ ถกู ต้องและตรงความเปน็ จริงเกิดข้ึนจรงิ สว่ นงบการเงนิ ทไี่ ด้จากการบนั ทึกบญั ชีตามเกณฑค์ งคา้ งจะ ให้ขอ้ มูลแก่ผูใ้ ชง้ บการเงินเกยี่ วกบั รายการค้าในอดีตทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั การรับจ่ายเงนิ สดและข้อมูล เกยี่ วกบั ภาระผกู พันที่กิจการตอ้ งจ่ายเปน็ เงนิ สดในอนาคตและข้อมลู เกย่ี วกบั ทรพั ยากรท่ีจะได้รับเป็น เงินสดในอนาคต 2.2 การดาเนนิ งานต่อเนื่อง (Going concern) การบัญชีจะจัดทาข้ึนภายใตข้ ้อสมมติ ทวี่ า่ กจิ การจะดาเนนิ งานอย่างตอ่ เนื่อง และดารงอยูต่ ่อไปในอนาคต โดยไม่มีเจตนาหรือความจาเปน็ ท่ี จะเลิกกจิ การหรือลดขนาดของการดาเนนิ งานอย่างมสี าระสาคัญหากกจิ การมเี จตนาหรือความจาเปน็ ดังกล่าว งบการเงินต้องจดั ทาขนึ้ โดยใช้เกณฑ์อ่ืนและต้องเปิดเผยเกณฑน์ น้ั ในงบการเงิน จากข้อสมมติ ในการดาเนนิ งานต่อเนื่อง ผูใ้ ช้งบการเงนิ ย่อมมีความต้องการทราบผลการดาเนินงาน ฐานะการเงนิ และการเปลยี่ นแปลงฐานะการเงินเพื่อใช้ตดั สินใจทางเศรษฐกิจตลอดเวลาจงึ มีการกาหนดระยะเวลา ในการวดั ผลการดาเนินงานเป็นงวด ๆ เรยี กวา่ “รอบระยะเวลาบญั ชี” ปกตกิ าหนดงวดละ 12 เดอื น 3. ข้อจากัดของข้อมูลทางการบัญชี ข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับการตัดสนิ ใจและความ เชื่อถอื ได้มีข้อจากดั ท่ีสาคัญ 3 อยา่ ง คอื ทนั ต่อเวลา ความสมดลุ ระหวา่ งประโยชนท์ ่ีได้รบั กบั ต้นทุนทเ่ี สียไป และความสมดลุ ของลักษณะเชงิ คุณภาพ 3.1 ความทนั ต่อเวลา (Timeliness) ผู้ใชง้ บการเงินต้องการข้อมูลไปใชใ้ นการตัดสินใจ เชงิ เศรษฐกจิ ดังนน้ั ขอ้ มลู ทใ่ี ช้ในการตดั สินใจตอ้ งเปน็ ข้อมลู ทม่ี ีความเชอ่ื ถือได้และทันต่อเวลา 3.2 ความสมดลุ ระหวา่ งประโยชนท์ ่ีได้รับกบั ตน้ ทุนทีเ่ สียไป (Balance between Benefit and Cost) ในการจัดทางบการเงินกิจการต้องใช้ดุลยพนิ ิจในการพจิ ารณาถึงประโยชน์ท่ี รับจากข้อมูลกับต้นทุนท่เี สยี ไปในการจดั ทา ซ่ึงประโยชนท์ ่จี ะไดร้ ับควรมมี ากกวา่ ตน้ ทุนที่เสียไป 3.3 ความสมดุลของลักษณะเชิงคุณภาพ (Balance between Qualitative Characteristics) ผจู้ ัดทางบการเงินต้องใชด้ ุลยพนิ จิ ในการตดั สนิ ใจเลอื กความสมดุลของลกั ษณะเชิง คณุ ภาพตา่ งๆ เพ่ือให้งบการเงินมปี ระโยชน์ต่อการตดั สินใจของผใู้ ช้งบการเงิน เช่น การประมาณการ รายได้ในงบการเงนิ ก่อนทีจ่ ะเกิดรายได้ท่ีแทจ้ รงิ ซึ่งทาให้ความน่าเชอ่ื ถือได้ของข้อมูลลดนอ้ ยลงแตท่ า ใหง้ บการเงินนั้นมีความเก่ียวขอ้ งกบั การตัดสินใจมากข้ึน เพราะขอ้ มลู ดงั กล่าวมีประโยชนต์ อ่ ผใู้ ช้งบ การเงนิ ในการตดั สนิ ใจเชิงเศรษฐกจิ ได้ 4. ลักษณะเชิงคุณภาพของงบการเงิน งบการเงนิ ท่ีดีจะตอ้ งให้ข้อมูลทีถ่ กู ตอ้ ง มปี ระโยชน์ ตอ่ ผใู้ ช้งบการเงินตามวัตถุประสงคท์ ่ีวางไว้ งบการเงนิ ทีด่ ีตอ้ งมลี ักษณะเชิงคุณภาพหลัก 4 ประการ คอื ความเขา้ ใจได้ ความเกยี่ วข้องกับการตัดสินใจ ความเชื่อถือได้ และการเปรยี บเทยี บกนั ได้ ดงั นี้ 4.1 ความเข้าใจได้ (Understandability) ขอ้ มลู ในงบการเงินต้องสามารถเขา้ ใจได้ ในทนั ทที ี่ผู้ใช้งบการเงินใชข้ ้อมลู ดังกล่าว ภายใต้ข้อสมมติท่ีว่าผใู้ ช้งบการเงนิ มคี วามรตู้ ามควรเกี่ยวกับ ธุรกิจ กิจกรรมเชิงเศรษฐกิจ และการบัญชี รวมท้งั มคี วามตง้ั ใจตามควรที่จะศึกษาขอ้ มูลดงั กลา่ ว
12 4.2 ความเก่ยี วข้องกบั การตดั สนิ ใจ (Relevance) ข้อมลู เกี่ยวข้องกับการตัดสนิ ใจเชิง เศรษฐกิจ และช่วยให้ผใู้ ช้งบการเงินสามารถประเมนิ เหตุการณ์ในอดีต ปจั จบุ ัน และอนาคต รวมทั้ง ชว่ ยยนื ยันชข้ี ้อผดิ พลาดของผลการประเมนิ ที่ผา่ นมาของผใู้ ชง้ บการเงินได้ ความมีนัยสาคัญเป็นขอ้ พิจารณาของความเก่ียวขอ้ งกับการตดั สนิ ใจ เพราะว่าลักษณะและความมนี ยั สาคัญของขอ้ มลู มีผลต่อ ความเกย่ี วข้องกับการตดั สนิ ใจ หากกิจการไม่แสดงข้อมลู ท่ีมีนยั สาคญั หรือแสดงข้อมลู ท่ีมีนัยสาคญั ผิดพลาดย่อมมผี ลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผใู้ ชง้ บการเงินผิดพลาดไปด้วย 4.3 ความเชอ่ื ถือได้ (Reliability) ขอ้ มลู ท่ีเป็นประโยชน์ตอ้ งเช่ือถือได้โดยเปน็ ข้อมูลที่ ปราศจากความผิดพลาดทม่ี ีนัยสาคญั และความลาเอยี ง ซึ่งประกอบดว้ ยลกั ษณะเชิงคณุ ภาพรอง ดังต่อไปน้ี 4.3.1 การเป็นตัวแทนอนั เที่ยงธรรม (Faithful Representation) หมายถงึ ขอ้ มลู ไดแ้ สดงอย่างเที่ยงธรรม ตรงตามความเป็นจริงทีต่ ้องการให้แสดงหรือควรแสดง โดยมิได้มี สาเหตจุ ากความลาเอยี ง 4.3.2 เนอ้ื หาสาคัญกวา่ รูปแบบ (Substance Over Form) หมายถงึ ข้อมูลต้อง บนั ทกึ และแสดงตามเน้ือหาและความเปน็ จริงเชงิ เศรษฐกจิ ไม่ใชต่ ามรูปแบบทางกฎหมายเพยี งอย่าง เดยี ว 4.3.3 ความเป็นกลาง (Neutrality) หมายถงึ ข้อมลู ที่แสดงตอ้ งมีความเปน็ กลาง ปราศจากความลาเอียง โดยไม่มวี ตั ถุประสงคท์ ี่จะช้ีนาผใู้ ช้งบการเงินตัดสินใจตามที่ผู้จดั ทางบการเงนิ วางแผนไว้ 4.3.4 ความระมดั ระวงั (Prudence) หมายถงึ การใช้ดุลยพินจิ ท่ีจาเป็นในการ ประมาณการภายใต้ความไม่แนน่ อน เพื่อมิให้มสี นิ ทรัพย์หรือรายได้แสดงจานวนสูงเกินไป และหนส้ี นิ หรอื ค่าใช้จา่ ยแสดงจานวนต่าเกนิ ไป 4.3.5 ความครบถ้วน (Completeness) หมายถงึ ขอ้ มูลในงบการเงนิ ต้อง ครบถ้วน ภายใตข้ ้อจากดั ของความมนี ัยสาคญั และต้นทนุ ในการจดั ทา 4.4 การเปรยี บเทยี บกันได้ (Comparability) ข้อมูลในงบการเงินของกิจการต้อง สามารถเปรียบเทียบกนั ไดถ้ ึงแม้จะอยู่ในรอบระยะเวลาท่ตี ่างกัน หรอื ตา่ งกิจการกนั เพื่อใหผ้ ้ใู ชง้ บ การเงินสามารถคาดคะเนแนวโนม้ ของฐานะการเงินและผลการดาเนินงานของกิจการและการ เปลยี่ นแปลงฐานะการเงนิ ของกจิ การระหว่างกิจการได้ การเปรยี บเทยี บกนั ไดจ้ ึงเปน็ ลักษณะเชงิ คณุ ภาพที่สาคัญของข้อมูลทีท่ าให้ขอ้ มูลนั้นมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชงิ เศรษฐกิจ 5. องคป์ ระกอบของงบการเงนิ คือ ประเภทของรายการและเหตกุ ารณท์ างบัญชีทแ่ี สดง ไวใ้ นงบการเงนิ ตามลักษณะเชิงเศรษฐกจิ ประกอบด้วย องคป์ ระกอบของงบแสดงฐานะการเงนิ ได้แก่ สนิ ทรัพย์ หนส้ี นิ และส่วนของเจา้ ของ องคป์ ระกอบของงบกาไรขาดทุน ไดแ้ ก่ รายได้ และค่าใช้จา่ ย องคป์ ระกอบของงบแสดงการเปลย่ี นแปลงฐานะการเงนิ แม่บทการบัญชมี ไิ ดร้ ะบไุ ว้เปน็ การ เฉพาะ แต่เปน็ การสะท้อนถึงองค์ประกอบของงบกาไรขาดทนุ และการเปล่ยี นแปลงองค์ประกอบของ แสดงฐานะทางการเงิน
13 องคป์ ระกอบของงบการเงนิ ต่าง ๆ ทแ่ี สดงในงบแสดงฐานะการเงินและงบกาไรขาดทุนควร จัดประเภทยอ่ ยตามลกั ษณะหรือหน้าทที่ างธรุ กจิ ของกจิ การ เพอื่ ประโยชน์ต่อผใู้ ช้งบการเงินในการ ตัดสนิ ใจเชิงเศรษฐกจิ องคป์ ระกอบของงบการเงินแสดงไดด้ ังภาพท่ี 1.5 ข้อมูลเก่ียวกบั งบการเงนิ องค์ประกอบของงบการเงิน ฐานะการเงิน งบแสดงฐานะการเงิน สินทรัพย์ หน้ีสิน ส่วนของเจา้ ของ ผลการดาเนินงาน งบกาไรขาดทุน รายได้ คา่ ใชจ้ ่าย ภาพท่ี 1.5 แสดงองค์ประกอบของงบการเงิน ท่ีมา : ศลิ ปพร ศรีจั่นเพชร. 2555. การบญั ชขี ้ันตน้ . พิมพค์ รงั้ ท่ี 3. นนทบุรี : หนา้ 1-31 คานิยามขององค์ประกอบตา่ ง ๆ ท่ีกาหนดในแมบ่ ทการบญั ชีมดี ังนี้ 1. สินทรพั ย์ (Assets) หมายถึง ทรพั ยากรท่ีอยใู่ นความควบคุมของกิจการ ทรัพยากร ดังกล่าวเป็นผลของเหตุการณ์ในอดตี ซง่ึ กจิ การคาดวา่ จะได้รบั ประโยชน์เชิงเศรษฐกจิ จากทรพั ยากร นั้นในอนาคต 2. หนสี้ ิน (Liabilities) หมายถงึ ภาระผกู พันในปัจจบุ ันของกจิ การซง่ึ ต้องจ่ายคนื ภาระ ผูกพนั ดังกลา่ วเปน็ ผลของเหตุการณ์ในอดีตซึ่งการชาระภาระผูกพันน้ันคาดวา่ จะส่งผลให้กจิ การ สูญเสียทรัพยากรทมี่ ีประโยชน์เชิงเศรษฐกจิ 3. สว่ นของเจ้าของ (Owners’Equity) หมายถงึ ส่วนไดเ้ สียคงเหลือในสนิ ทรัพย์ของกจิ การ หลงั จากหักหน้ีสนิ ท้ังส้ินออกแลว้ 4. รายได้ (Income) หมายถึง การเพ่ิมข้ึนของประโยชนเ์ ชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลาบัญชี ในรูปกระแสเขา้ หรือการเพมิ่ ค่าของสินทรัพย์ หรือการลดลงของหนี้สนิ อันส่งผลใหส้ ่วนของเจ้าของ เพมิ่ ขน้ึ ทง้ั น้ีไม่รวมถึงเงินทุนท่ไี ด้รับจากผูม้ ีสว่ นร่วมในสว่ นของเจา้ ของ
14 5. ค่าใช้จา่ ย (Expenses) หมายถึง การลดลงของประโยชน์เชิงเศรษฐกจิ ในรอบระยะเวลา บัญชีในรปู กระแสออกหรือการลดค่าของสินทรพั ย์ หรอื การเพิม่ ขึ้นของหนีส้ นิ อนั ส่งผลใหส้ ่วนของ เจ้าของลดลง ทง้ั น้ีไม่รวมถึงการแบ่งปันสว่ นทนุ ให้กับผมู้ สี ่วนรว่ มในสว่ นของเจ้าของ 6. การรบั ร้อู งคป์ ระกอบของงบการเงนิ การรับรู้รายการ หมายถึง การรวมรายการเข้าเปน็ ส่วนหนึง่ ของงบแสดงฐานะการเงนิ และงบกาไรขาดทุน หากรายการนน้ั เปน็ ไปตามคานิยามของ องคป์ ระกอบของงบการเงนิ และเขา้ เกณฑ์การรับร้รู ายการทกุ ข้อดังต่อไปนี้ 6.1 มคี วามเป็นไปได้ค่อนขา้ งแนท่ ี่ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตของรายการดังกลา่ ว จะเข้าหรือออกจากกิจการ ซึง่ หลักเกณฑ์น้ยี ดึ หลักความน่าจะเป็นในการพิจารณาการบันทึกรายการ ในงบการเงนิ 6.2 รายการดังกลา่ วมีราคาทนุ หรือมลู ค่าท่ีสามารถวดั ได้อยา่ งน่าเช่ือถือ ซ่ึงหลกั เกณฑ์ นี้ยึดหลักการประมาณ ทีส่ มเหตสุ มผลในการพิจารณาการบันทกึ รายการในงบการเงิน สาหรบั รายการที่ไม่เขา้ เกณฑ์ กจิ การไมค่ วรรับร้รู ายการน้ันแต่ควรเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน หรอื คาอธบิ ายเพ่ิมเติม หากรายการนน้ั มีความเก่ียวข้องกับการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผใู้ ชง้ บ การเงินของกจิ การ 7. การวดั มลู ค่าขององค์ประกอบของงบการเงิน การวัดมลู คา่ คือ การกาหนดจานวนที่ เป็นตวั เงินเพอื่ รบั รู้องค์ประกอบของงบการเงนิ ในงบแสดงฐานะการเงินและงบกาไรขาดทุน เกณฑ์ใน การวดั คา่ ต่าง ๆ ตามแมบ่ ทบัญชมี ีดงั นี้ 7.1 ราคาทนุ เดมิ หมายถงึ การบันทึกสนิ ทรัพยด์ ้วยจานวนเงินสด หรือรายการเทียบ เทา่ เงนิ สดที่จา่ ยไป หรือบันทึกด้วยมลู คา่ ยุติธรรมของสง่ิ ที่นาไปแลกสินทรัพย์มา ณ เวลาทไ่ี ดม้ าซึ่ง สินทรัพยน์ น้ั และการบันทึกหนีส้ นิ ด้วยจานวนเงินทไี่ ด้รับจากการก่อภาระผูกพนั หรอื บนั ทึกดว้ ย จานวนเงนิ สด หรอื รายการเทยี บเท่าเงินสดท่คี าดว่าจะตอ้ งจา่ ยเพื่อชาระหนสี้ ินที่เกดิ จากการ ดาเนินงานตามปกติของกิจการ 7.2 ราคาทนุ ปจั จุบนั หมายถงึ การแสดงสินทรัพยด์ ้วยจานวนเงินสด หรอื รายการ เทยี บเทา่ เงินสดทตี่ ้องจา่ ยในขณะน้นั เพ่ือให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ชนิดเดียวกันหรอื สินทรัพย์ที่เทา่ เทียมกัน และการแสดงหนสี้ นิ ดว้ ยจานวนเงินสดหรือรายการเทยี บเท่าเงนิ สดที่ต้องใช้ชาระภาระผกู พันใน ขณะนน้ั 7.3 มลู ค่าทจี่ ะได้รับ หมายถงึ การแสดงสินทรพั ย์ด้วยจานวนเงนิ สดหรอื รายการ เทยี บเท่าเงินสดทอี่ าจได้มาในขณะนน้ั หากกิจการขายสนิ ทรัพย์โดยมใิ ชก่ ารบงั คบั ขาย และการแสดง หนีส้ ินดว้ ยมูลคา่ ทตี่ ้องจ่ายคนื หรือด้วยจานวนเงนิ สดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดท่ีคาดว่าจะต้องจ่าย เพื่อชาระหน้ที ี่เกิดจากการดาเนินงานตามปกตขิ องกิจการ 7.4 มลู ค่าปจั จบุ ัน หมายถงึ การแสดงสนิ ทรัพยด์ ว้ ยมูลค่าปัจจบุ นั ของกระแสเงนิ สด รับสทุ ธิในอนาคตซงึ่ คาดว่าจะไดร้ ับในการดาเนนิ งานตามปกตขิ องกิจการ และการแสดงหนี้สนิ ดว้ ย มูลคา่ ปจั จบุ นั ของกระแสเงินสดจ่ายสุทธซิ ่ึงคาดวา่ จะต้องจ่ายในการชาระหนสี้ ินภายในการดาเนนิ งาน ตามปกติของกจิ การ
15 เกณฑ์ที่นิยมใชใ้ นการวัดมูลค่า คอื ราคาทุนเดิม 8. แนวคิดเกี่ยวกับทุนและการรักษาระดบั ทนุ แนวคดิ เกี่ยวกับทุนแบ่งเป็น 2 แนวคิด คอื 8.1 กิจการส่วนใหญน่ าแนวคดิ เร่ืองทุนทางการเงนิ มาใชใ้ นการจัดทางบการเงิน ซง่ึ ตาม แนวคิดเร่อื งทุนทางการเงิน (เชน่ เงนิ ทล่ี งทุน หรอื อานาจซ้ือท่ลี งทุน) ทุนมีความหมายเดยี วกบั สินทรัพย์สทุ ธิหรอื สว่ นของเจ้าของ อีกแนวคดิ หนงึ่ ซึง่ ใชใ้ นการจดั ทางบการเงิน คือ ทุนทางกายภาพ เช่น ระดบั ความสามารถในการดาเนนิ งาน ตามแนวคิดเรอื่ งทนุ ทางกายภาพ ทนุ หมายถึง กาลังการ ผลติ ทีก่ ิจการมี และสามารถผลติ ได้จริง เช่น ผลผลิตตอ่ วัน 8.2 กิจการต้องนาแนวคิดเรอ่ื งทุนทีเ่ หมาะสมใช้ในการจดั ทางบการเงนิ โดยคานงึ ถึง ความต้องการของผ้ใู ชง้ บการเงนิ เปน็ หลัก ดังนั้น หากผู้ใช้งบการเงนิ ให้ความสนใจในการรกั ษาระดับ ของทนุ ที่ลงไปในรูปของตัวเงินหรือในรปู ของอานาจซื้อ กิจการตอ้ งนาแนวคิดเร่ืองทุนทางทางการ เงนิ มาใช้ แต่ถ้าผ้ใู ชง้ บการเงินให้ความสนใจกบั ระดับความสามารถในการดาเนินงาน กิจการต้องนา แนวคดิ เรือ่ งทนุ ทางกายภาพมาใช้ การเลอื กใช้แนวคิดใดในการจดั ทางบการเงนิ ชีใ้ หเ้ ห็นความ ต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายที่ใช้ในการวัดกาไรของกิจการ 1.6 จรรยาบรรณของผู้ประกอบวชิ าชพี บัญชี อาชีพทางการบัญชี (Accounting Careers) แนวทางในการประกอบอาชพี ของนักบญั ชี แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1. การบญั ชีสว่ นบคุ คล (Private Accounting) คือ การทาบญั ชขี องนักบญั ชใี นหน่วยงาน ใดหน่วยงานหนงึ่ ท้งั กิจการท่ีหวงั ผลกาไร เช่น กจิ การเจ้าของคนเดยี ว ห้างหุน้ สว่ น บริษทั จากัด บริษทั จากัด (มหาชน) และกจิ การที่ไม่หวังผลกาไร เช่น มลู นิธิ สมาคม โดยเป็นพนักงานประจา และไดร้ บั คา่ ตอบแทนเป็นรายเดือน หนา้ ทข่ี องนักบัญชีส่วนบคุ คล ได้แก่ 1.1 การบัญชที ั่วไป (General Accounting) 1.2 การบญั ชตี ้นทุน (Cost Accounting) 1.3 การบญั ชีภาษอี ากร (Tax Accounting) 2. การบญั ชีสาธารณะ (Public Accounting) คอื การทาบัญชีของนักบัญชีแบบอสิ ระโดย ไมเ่ ปน็ ลกู จา้ งของธุรกิจใด คล้ายกบั การประกอบวิชาชีพของทนายความ วิศวกร หรือแพทย์ โดยรบั ทาบญั ชใี หก้ ับหน่วยงานตา่ ง ๆ หลาย ๆ หน่วยงาน โดยคดิ คา่ บรกิ ารตามขนาดและลักษณะของการ ประกอบธุรกจิ หนา้ ทขี่ องนกั บัญชสี าธารณะ ได้แก่ 2.1 การสอบบัญชี (Auditing) นักบญั ชีทท่ี าหนา้ ทน่ี ี้ต้องเปน็ ผู้สอบบัญชีรบั อนุญาต (Certified Public Accountant หรือ CPA) หรอื ผู้สอบบญั ชภี าษีอากร (Tax Auditor หรือ TA) 2.2 การใหค้ าปรึกษาทางดา้ นภาษี (Tax Services) 2.3 การใหค้ าปรึกษาทางดา้ นการบรหิ าร (Management Advisory Services) 3. การบญั ชรี ฐั บาลหรอื สว่ นราชการ (Government Accounting) คือ การทาบัญชีของ นักบญั ชีในหนว่ ยงานราชการ ซึ่งจะแตกตา่ งจากธรุ กิจที่หวังผลกาไรหรือเอกชนและจะต้องปฏบิ ตั ิ ตามกฎระเบียบของกรมบญั ชีกลาง นักบัญชอี าจเปน็ ลูกช่วั คราว ลกู จ้างประจาหรือเป็นขา้ ราชการ และไดร้ ับค่าตอบแทนเปน็ รายเดอื น
16 ผู้ประกอบอาชีพทางการบญั ชีตอ้ งปฏบิ ตั ิตามจรรยาบรรณของผู้ประกอบวชิ าชีพซึ่งได้กาหนด ไวใ้ นพระราชบญั ญตั ิวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มดี ังน้ี มาตรา 46 ผ้ปู ระกอบวชิ าชีพบัญชหี รอื ผูซ้ ง่ึ ข้นึ ทะเบยี นไวก้ ับสภาวิชาชพี บัญชีมีหน้าที่ต้อง ปฏิบตั ติ ามจรรยาบรรณของผู้ประกอบวชิ าชพี บญั ชี และต้องปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ของตนตามมาตรฐานการ บัญชี มาตรฐานการสอบบญั ชี หรือมาตรฐานอน่ื ใดทเ่ี ก่ียวขอ้ งทก่ี าหนดตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ บุคคลตามวรรคหน่ึงผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณหรือมาตรฐานที่กาหนดตามพระราชบญั ญัติ นี้ใหถ้ ือว่าผู้นั้นประพฤติผดิ จรรยาบรรณ มาตรา 47 ให้สภาวชิ าชีพบญั ชจี ดั ทาจรรยาบรรณของผู้ประกอบวชิ าชพี บัญชีขนึ้ เปน็ ภาษาไทย และอย่างน้อยต้องประกอบดว้ ยข้อกาหนดในเร่ืองดังต่อไปนี้ 1. ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเทีย่ งธรรม และความซือ่ สัตยส์ จุ รติ 2. ความรู้ความสามารถและมาตรฐานในการปฏบิ ัติงาน 3. ความรบั ผิดชอบต่อผูร้ บั บรกิ ารและการรกั ษาความลับ 4. ความรับผิดชอบต่อผถู้ ือหุ้น ผเู้ ปน็ หุ้นส่วน บุคคลหรอื นติ บิ ุคคลที่ผ้ปู ระกอบวิชาชีพบญั ชี ปฏบิ ตั ิหน้าท่ีได้ พระราชบญั ญัตกิ ารบัญชี พ.ศ. 2543 โดยท่ีเป็นการสมควรปรบั ปรุงกฎหมายว่าด้วยการบญั ชี พระราชบญั ญตั นิ ้มี บี ทบัญญัตบิ าง ประการเก่ยี วกบั การจากัดสทิ ธิและเสรภี าพของบคุ คล ซ่งึ มาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทาไดโ้ ดยอาศัยอานาจ ตามบทบญั ญัติแหง่ กฎหมาย ในทีน่ จ้ี ะกลา่ วถึงเฉพาะบางมาตราเท่านนั้ มาตรา 4 ในพระราชบญั ญตั ินี้ “งบการเงนิ ” หมายความว่า รายงานผลการดาเนนิ งาน ฐานะการเงินหรือการเปล่ยี นแปลง ฐานะการเงินของกจิ การ ไมว่ ่าจะรายงานโดยงบแสดงฐานะการเงนิ งบกาไรขาดทนุ งบกาไรสะสม งบกระแสเงินสด งบแสดงการเปล่ียนแปลงสว่ นของผถู้ ือหุ้น งบประกอบหรือหมายเหตุประกอบงบ การเงนิ หรือคาอธบิ ายอน่ื ซ่ึงระบไุ ว้ว่าเป็นสว่ นหน่ึงของงบการเงิน “มาตรฐานการบัญชี” หมายความวา่ หลักการบญั ชแี ละวิธีปฏิบัตทิ างการบญั ชีทีร่ ับรอง ทว่ั ไปหรอื มาตรฐานการบัญชีท่ีกาหนดตามกฎหมายวา่ ด้วยการนัน้ “ผมู้ ีหนา้ ทจี่ ดั ทาบัญชี” หมายความวา่ ผมู้ หี น้าท่จี ัดให้มกี ารทาบัญชีตามพระราชบัญญัตินี้ “ผ้ทู าบญั ชี” หมายความวา่ ผู้รบั ผิดชอบในการทาบัญชีของผ้มู หี นา้ ท่จี ดั ทาบัญชีไม่วา่ จะได้ กระทาในฐานะเปน็ ลูกจา้ งของผูม้ หี น้าทจ่ี ัดทาบัญชหี รอื ไม่ก็ตาม “สารวัตรใหญบ่ ญั ชี” หมายความว่า อธิบดี และให้หมายความถงึ ผซู้ ่ึงอธิบดีมอบหมายด้วย “สารวัตรบญั ชี” หมายความวา่ ผูซ้ ง่ึ อธบิ ดีแตง่ ต้ังให้เป็นสารวัตรบัญชปี ระจาสานกั งาน บัญชปี ระจาท้องที่ “อธบิ ดี” หมายความว่า อธิบดีกรมทะเบียนการค้า “รัฐมนตรี” หมายความวา่ รัฐมนตรผี ้รู กั ษาการตามพระราชบญั ญัตินี้ มาตรา 8 ใหห้ ้างหุ้นส่วนจดทะเบยี น บรษิ ทั จากัด บรษิ ัทมหาชน จากดั ท่จี ดั ต้งั ขึน้ ตาม กฎหมายไทย นติ ิบุคคลท่ีจดั ตง้ั ขน้ึ ตามกฎหมายตา่ งประเทศทีป่ ระกอบธรุ กิจในประเทศไทย กิจการ
17 รว่ มคา้ ตามประมวลรัษฎากร เปน็ ผู้มหี น้าทจ่ี ัดทาบัญชี และตอ้ งจัดทาให้มกี ารทาบัญชีสาหรบั การ ประกอบธุรกจิ ของตนโดยมรี ายละเอยี ด หลักเกณฑ์และวธิ กี ารตามท่ีบญั ญัติไวใ้ นพระราชบัญญัตนิ ้ี มาตรา 10 ผู้มหี น้าทจ่ี ดั ทาบัญชตี อ้ งปดิ บัญชคี ร้ังแรกภายในสบิ สองเดอื นนับแต่วนั เรมิ่ ทา บัญชีทีก่ าหนดตามมาตรา 8 วรรคหกหรือวนั เรมิ่ ทาบัญชตี ามมาตร 9 แล้วแตก่ รณี และปดิ บัญชี ทกุ รอบสิบสองเดือน นับแตว่ ันปิดบัญชีคร้งั ก่อน เวน้ แต่ 1. เม่ือไดร้ บั อนุญาตจากสารวตั รใหญบ่ ญั ชีหรอื สารวตั รบญั ชใี ห้เปล่ียนรอบปบี ัญชีแลว้ อาจ ปิดบญั ชกี ่อนครบรอบสิบสองเดอื นได้ 2. ในกรณมี หี นา้ ทจี่ ดั ทาบญั ชตี ามมาตรา 8 วรรคสอง ให้ปดิ บญั ชีพรอ้ มกบั สานักงานใหญ่ มาตรา 11 ผมู้ ีหน้าที่จัดทาบัญชีซง่ึ เปน็ ห้างหุ้นสว่ นจดทะเบยี นท่ีจดั ตง้ั ข้นึ ตามกฎหมายไทย นิตบิ คุ คลทตี่ ั้งข้นึ ตามกฎหมายต่างประเทศ และกจิ การรว่ มค้าตามประมวลรัษฎากร ต้องจดั ทางบ การเงนิ และยื่นงบการเงินดังกล่าวตอ่ สานกั งานกลางบญั ชี หรือสานักงานบญั ชปี ระจาท้องที่ภายใน ห้าเดือนนับแตว่ นั ปดิ บัญชตี ามมาตรา 10 สาหรับกรณขี องบริษัทจากัดหรือบริษทั มหาชนจากัดที่ จัดต้ังตามกฎหมายไทย ใหย้ ่ืนภายในหน่ึงเดือนนับแต่วนั ที่งบการเงินนั้นไดร้ บั อนุมัติในท่ีประชมุ ใหญ่ ทง้ั น้ี เว้นแตม่ ีเหตุจาเป็นทาใหผ้ ู้มหี นา้ ที่จัดทาบัญชีไม่สามารถจะปฏิบตั ติ ามกาหนดเวลาดงั กลา่ วได้ อธบิ ดอี าจพิจารณาสง่ั ใหข้ ยายหรือเลื่อนกาหนดเวลาออกไปอีกตามความจาเป็นแก่กรณีได้ การยื่นงบการเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่อธบิ ดกี าหนด งบการเงนิ ต้องมรี ายการย่อตามท่ีอธบิ ดปี ระกาศกาหนดโดยความเหน็ ชอบของรัฐมนตรีเว้น แต่กรณีทไ่ี ด้มีกฎหมายเฉพาะกาหนดเพ่ิมเติมจากรายการย่อของงบการเงินท่ีอธิบดกี าหนดไว้แลว้ ให้ ใช้รายการยอ่ ตามที่กาหนดในกฎหมายเฉพาะนนั้ งบการเงินต้องไดร้ บั การตรวจสอบและแสดงความเหน็ โดยผู้สอบบญั ชีรับอนุญาต เวน้ แต่งบ การเงินของผมู้ หี นา้ ทีจ่ ดั ทาบัญชี ซ่ึงเป็นหา้ งหนุ้ สว่ นจดทะเบียนทีจ่ ดั ต้งั ขน้ึ ตามกฎหมายไทยท่ีมีทนุ สินทรพั ย์ หรอื รายได้ รายการใดรายการหนงึ่ หรือทุกรายการ ไม่เกินท่กี าหนดโดยกฎกระทรวง มาตรา 12 ในการจัดทาบัญชีผู้มหี น้าที่จัดทาบญั ชีต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใชป้ ระกอบ การลงบญั ชีให้แกผ่ ู้ทาบัญชใี ห้ถกู ต้องครบถ้วน เพ่อื ให้บัญชีที่จัดทาข้นึ สามารถแสดงผลการดาเนนิ งาน ฐานะการเงนิ หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินทีเ่ ป็นอยู่ตามความเปน็ จรงิ และตามมาตรฐาน การบัญชี มาตรา 13 ผ้มู ีหน้าที่จัดทาบัญชตี อ้ งเกบ็ รักษาบัญชแี ละเอกสารท่ตี อ้ งใชป้ ระกอบการลง บัญชไี ว้ ณ สถานทีท่ าการ หรอื สถานที่ทใี่ ชเ้ ป็นทท่ี าการผลิตหรอื เกบ็ สินค้าเป็นประจาหรอื สถานที่ ทใ่ี ช้เปน็ ทท่ี างานเป็นประจา เว้นแต่ผ้มู ีหน้าทีจ่ ัดทาบัญชีจะได้รับอนุญาตจากสารวัตรใหญ่บญั ชหี รอื สารวัตรบญั ชี ให้เกบ็ รกั ษาบัญชแี ละเอกสารทต่ี ้องใช้ประกอบการลงบญั ชีไว้ ณ สถานท่ีอื่นได้ การขออนญุ าตและการอนุญาตตามวรรคหนง่ึ ให้เปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ และวิธีการท่ีอธบิ ดี กาหนด และระหวา่ งรอการอนญุ าตให้ผมู้ ีหน้าทจี่ ดั ทาบญั ชีเกบ็ รกั ษาบญั ชีและเอกสารที่ต้องใช้ ประกอบการลงบัญชีไว้ในสถานท่ีทย่ี ื่นขอนนั้ ไปพลางกอ่ นได้ ในกรณที ี่จัดทาบัญชดี ว้ ยเคร่ืองคอมพวิ เตอรห์ รือเคร่อื งมืออื่นใด ในสถานที่อ่นื ใด ใน ราชอาณาจักรท่ีมใิ ชส่ ถานท่ตี ามวรรคหนง่ึ แต่มกี ารเชือ่ มโยงเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์หรือเคร่ืองมือนน้ั
18 มายงั สถานทีต่ ามวรรคหนง่ึ กรณีดงั กล่าวน้ีให้ถอื ว่าได้มีการเก็บรกั ษาบญั ชไี ว้ ณ สถานทต่ี ามวรรค หน่งึ แล้ว มาตรา 14 ผมู้ ีหนา้ ท่ีจดั ทาบัญชีต้องเกบ็ รักษาบัญชแี ละเอกสารทตี่ อ้ งใช้ประกอบการ ลงบัญชไี ว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหา้ ปี นับแต่วนั ปิดบญั ชหี รอื จนกวา่ จะมีการสง่ มอบบัญชแี ละเอกสาร ตามมาตรา 17 เพอ่ื ประโยชนใ์ นการตรวจสอบบญั ชีของกจิ การประเภทใดประเภทหนึ่ง ใหอ้ ธิบดโี ดยความ เหน็ ชอบของรัฐมนตรีมีอานาจกาหนดใหผ้ มู้ หี น้าทจี่ ดั ทาบัญชเี กบ็ รักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ ประกอบการลงบัญชไี ว้เกินห้าปี แต่ตอ้ งไม่เกนิ เจ็ดปีได้ มาตรา 17 เมอ่ื ผู้มีหน้าที่จดั ทาบัญชีเลกิ ประกอบธุรกจิ ดว้ ยเหตใุ ด ๆ โดยมไิ ดม้ ีการชาระ บญั ชี ให้ส่งมอบบัญชีและเอกสารทตี่ อ้ งใช้ประกอบการลงบัญชีแก่สารวัตรใหญ่บัญชี หรอื สารวตั ร บัญชีภายในเก้าสิบวนั นบั แตว่ ันเลิกประกอบธุรกจิ และให้สารวตั รใหญ่บัญชหี รือสารวัตรบัญชีเก็บ รักษาบญั ชแี ละเอกสารทตี่ ้องใชป้ ระกอบการลงบญั ชดี ังกล่าวไว้ไมน่ อ้ ยกว่าหา้ ปี มาตรา 19 ผูม้ ีหนา้ ทจ่ี ดั ทาบัญชตี อ้ งจดั ใหม้ ีผู้ทาบญั ชีซง่ึ เป็นผูม้ ีคุณสมบตั ิตามท่ีอธบิ ดี กาหนด ตามมาตรา 7(6) เพ่ือจัดทาบญั ชตี ามพระราชบัญญัติน้ี และมีหน้าท่ีควบคุมดูแลผู้ทาบัญชี ใหจ้ ดั ทาบญั ชตี รงต่อความเป็นจรงิ และถูกต้องตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ ผู้มีหนา้ ท่ีจัดทาบัญชีซง่ึ เป็น บคุ คลธรรมดาจะเป็นผู้ทาบญั ชสี าหรบั กจิ การของตนเองก็ได้ มาตรา 20 ผทู้ าบญั ชตี อ้ งจดั ทาบญั ชเี พื่อใหม้ ีการแสดงผลการดาเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลีย่ นแปลงฐานะการเงินของผู้มีหนา้ ทจี่ ัดทาบญั ชีทเี่ ปน็ อยู่ตามความเป็นจริงและตาม มาตรฐานการบญั ชี โดยมเี อกสารทต่ี อ้ งใช้ประกอบการลงบัญชใี หถ้ กู ต้องครบถว้ น มาตรา 21 ในการลงรายการในบัญชี ผทู้ าบัญชีต้องปฏบิ ัติดังตอ่ ไปน้ี 1. ลงรายการเป็นภาษาไทย หากลงรายการเป็นภาษาตา่ งประเทศใหม้ ภี าษาไทยกากบั หรือ ลงรายการเปน็ รหัสบัญชีใหม้ ีคมู่ ือคาแปลรหัสทเ่ี ปน็ ภาษาไทยไว้ 2. เขยี นดว้ ยหมึก ดีดพิมพ์ ตีพมิ พ์ หรือทาดว้ ยวิธีอนื่ ใดที่ได้ผลในทานองเดยี วกัน มาตรา 45 ให้ผู้ทม่ี หี น้าทจ่ี ดั ทาบญั ชีจดั ให้มีผทู้ าบัญชใี หถ้ ูกต้องตามมาตรา 19 ภายในหนึง่ ปีนบั แตว่ ันท่ีพระราชบญั ญัตนิ ี้มีผลใชบ้ ังคบั พระราชบัญญัติการบญั ชี พ.ศ. 2547 เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบญั ญัติฉบับนี้ คอื เน่ืองจากในปัจจุบันนี้การประกอบ วิชาชพี บัญชไี ดข้ ยายครอบคลุมออกไปหลายดา้ นไม่วา่ การทาบญั ชี การสอบบัญชี การบัญชีบรหิ าร กางวางระบบบญั ชี การบัญชีภาษอี ากร การศกึ ษาและเทคโนโลยีการบัญชี หรือบริการดา้ นอ่ืน ซ่งึ มีความเก่ยี วข้องสัมพนั ธก์ บั กิจกรรมในทางธรุ กิจต่าง ๆ อย่างกวา้ งขวาง สมควรสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้ประกอบ วชิ าชพี บัญชอี ยู่ภายใตก้ ารดูแลของสภาวชิ าชพี เดียวกัน เพื่อเปน็ ศูนย์รวมและสง่ เสริมความเป็นปกึ แผ่น รวมทงั้ ใหค้ วามรแู้ ละพฒั นาสง่ เสริมมาตรฐานการประกอบวชิ าชีพ เพื่อให้ผปู้ ระกอบวิชาชีพมีคุณภาพ และมาตรฐาน และมคี วามก้าวหนา้ ในวชิ าชีพ ตลอดจนเพ่อื ให้มีการควบคุมจรรยาบรรณการประกอบ วชิ าชพี จงึ จาเป็นต้องตราพระราชบัญญัตนิ ี้ ในทนี่ จ้ี ะกล่าวถงึ มาตราบางมาตราเท่านัน้ มาตรา 4 ในพระราชบญั ญัตินี้
19 “วิชาชพี บัญชี” หมายความว่า วิชาชพี ในด้านการทาบัญชี ดา้ นการสอบบญั ชี ด้านการ บญั ชีบรหิ าร ดา้ นการวางระบบบัญชี ดา้ นการบญั ชภี าษีอากร ดา้ นการศึกษาและเทคโนโลยีการ บัญชี และบรกิ ารเกย่ี วกับการบัญชีด้านอื่นตามท่ีกาหนดโดยกฎกระทรวง “ผู้ทาบัญชี” หมายความวา่ ผู้ทาบัญชีตามกฎหมายว่าดว้ ยการบญั ชี มาตรา 6 ให้มีสภาวิชาชีพบัญชี มฐี านะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงคเ์ พื่อสง่ เสริมและ พัฒนาวิชาชีพบญั ชี มาตรา 7 สภาวิชาชีพบัญชมี อี านาจหนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) สง่ เสรมิ การศึกษา การอบรม และการวิจัยเกยี่ วกับวิชาชีพบญั ชี (2) ส่งเสรมิ ความสามัคคีและผดงุ เกียรติของสมาชิก จดั สวัสดกิ ารและการสงเคราะห์ ระหวา่ งสมาชิก (3) กาหนดมาตรฐานการบัญชี มาตรฐานการสอบบัญชี และมาตรฐานอนื่ ท่ีเก่ียวกบั วชิ าชพี บญั ชี (4) กาหนดจรรยาบรรณผู้ประกอบวชิ าชีพบญั ชี (5) รับข้ึนทะเบียนการประกอบวิชาชพี บญั ชี ออกใบอนุญาต พักใช้ หรือเพกิ ถอน ใบอนุญาตผูป้ ระกอบวชิ าชพี บญั ชี (6) รับรองปริญญาหรือประกาศนยี บตั รในวิชาการบัญชีของสถาบนั การศึกษาตา่ ง ๆ เพือ่ ประโยชน์ในการรับสมคั รเป็นสมาชิก (7) รบั รองความรูค้ วามชานาญในการประกอบวชิ าชีพบญั ชี (8) รับรองหลักสูตรการฝกึ อบรมเป็นผ้ชู านาญการและการศกึ ษาต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ ของ ผู้ประกอบวิชาชพี บัญชี (9) ควบคมุ ความประพฤตแิ ละการดาเนินงานของสมาชิกและผ้ขู ้ึนทะเบียนอนั เกี่ยวกบั การ ประกอบวิชาชพี บัญชีให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพบญั ชี (10) ช่วยเหลอื แนะนา เผยแพร่ และใหบ้ ริการวิชาการแกป่ ระชาชนเกี่ยวกับวชิ าชพี บัญชี (11) ออกขอ้ บังคบั สภาวิชาชีพบัญชี (12) เป็นตวั แทนของผู้ประกอบวิชาชพี บัญชี (13) ใหค้ าปรึกษาและเสนอแนะต่อรฐั บาลเก่ียวกับนโยบายและปัญหาของวิชาชพี บญั ชี (14) ดาเนนิ การอน่ื เพ่อื ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอานาจหนา้ ท่ขี องสภาวิชาชพี บญั ชี ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี มาตรา 9 ภายในบังคบั บทบญั ญตั หิ มวด 5 การควบคุมการประกอบวชิ าชพี บัญชดี ้านการ สอบบญั ชแี ละหมวด 6 การควบคมุ การประกอบวชิ าชีพด้านการทาบญั ชี ในกรณีท่ีการประกอบ วชิ าชีพบญั ชีดา้ นใดมีผลกระทบตอ่ ประโยชน์ได้เสยี ของประชาชน หรือเพือ่ ประโยชนท์ ีจ่ ะใหม้ ีการ ค้มุ ครองประชาชนและพฒั นาหรือจัดระเบยี บการประกอบวชิ าชีพบัญชดี ้านใด จะตราพระราช กฤษฎกี ากาหนดให้การประกอบวิชาชพี บญั ชีด้านน้ันต้องได้รับใบอนญุ าต หรือต้องขนึ้ ทะเบียนไวก้ ับ สภาวชิ าชีพบญั ชกี ไ็ ด้ มาตรา 10 เมือ่ มพี ระราชกฤษฎกี าตามมาตรา 9 ใชบ้ ังคบั สาหรับวชิ าชพี ดา้ นใด ห้ามมิให้ ผู้ใดประกอบวิชาชีพบัญชดี า้ นนั้น เวน้ แตไ่ ดร้ บั ใบอนุญาตหรือขน้ึ ทะเบยี นกับสภาวชิ าชพี บญั ชี
20 การขอรับใบอนุญาต การอนุญาต การออกใบอนุญาต และการขน้ึ ทะเบียนผ้ปู ระกอบ วิชาชพี ตามวรรคหน่งึ ให้เปน็ ไปตามแบบ หลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเง่ือนไขท่กี าหนดในข้อบงั คบั สภา วิชาชีพบัญชี ในการขึ้นทะเบียนประกอบวิชาชีพบญั ชี สภาวชิ าชพี บัญชีจะกาหนดใหผ้ ู้ขนึ้ ทะเบียนซึ่งมไิ ด้ เปน็ สมาชกิ ต้องเสียคา่ ธรรมเนียมเป็นรายปีก็ได้ แต่จะกาหนดค่าธรรมเนียมดงั กล่าวให้สงู กวา่ ค่าบารงุ สมาชิกและค่าธรรมเนยี มใบอนญุ าตทเี่ รียกเกบ็ จากสมาชกิ สภาวิชาชพี บญั ชเี ปน็ รายปไี มไ่ ด้ มาตรา 38 ผ้ใู ดจะเป็นผูส้ อบบัญชีรบั อนุญาตต้องได้รบั ใบอนญุ าตจากสภาวิชาชีพบญั ชี การขอรับใบอนุญาต การอนุญาต และการออกใบอนญุ าตเป็นผู้สอบบญั ชรี บั อนุญาตใหเ้ ป็นไปตาม แบบและหลกั เกณฑท์ ่ีกาหนด ในข้อบังคับสภาวชิ าชพี บญั ชี มาตรา 44 หา้ มมิให้ผใู้ ดประกอบวิชาชพี เปน็ ผ้ทู าบัญชี เวน้ แตเ่ ปน็ สมาชิกสภาวิชาชพี บญั ชี หรือข้นึ ทะเบยี นไว้กับสภาวชิ าชีพบัญชี หลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเง่อื นไขในการขึ้นทะเบยี นตามวรรคหน่งึ ใหเ้ ปน็ ไปตามข้อบงั คับ สภาวชิ าชพี บญั ชี มาตรา 45 ผู้ทาบัญชที จี่ ะขึ้นทะเบียนกบั สภาวชิ าชีพบญั ชีตอ้ งมีคุณสมบตั แิ ละไมม่ ีลกั ษณะ ต้องห้าม ดงั ต่อไปนี้ (1) มีภูมิลาเนาหรือถน่ิ ท่ีอยใู่ นราชอาณาจกั ร (2) มีความร้ภู าษาไทยเพียงพอท่จี ะทาบัญชเี ป็นภาษาไทยได้ (3) ไมเ่ คยต้องคาพิพากษาถงึ ทส่ี ุดใหจ้ าคุก เน่ืองจากกระทาความผิดตามฐานความผดิ หรอื กฎหมายที่กาหนดในมาตรา 39(3) เว้นแต่ต้องคาพิพากษาหรือพน้ โทษมาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ สามปี (4) มีคณุ วุฒิการศึกษาตามท่ีกาหนดในข้อบังคับสภาวชิ าชพี บัญชี (5) ไมม่ ลี กั ษณะตอ้ งห้ามอน่ื ตามที่กาหนดในข้อบังคับสภาวิชาชพี บัญชี 1.7 ข้อแนะนาเบอ้ื งตน้ ในการเรียนบญั ชี ข้อแนะนาเบื้องตน้ ในการเรียนบญั ชี มีดงั นี้ 1. เขา้ เรยี นทกุ ครง้ั 2. นาเคร่อื งคิดเลข และจัดเตรียมอปุ กรณก์ ารเรยี น เช่น หนังสือ สมดุ ปากกา ดินสอ ไมบ้ รรทัด ให้พร้อม 3. ต้ังใจเรียนและเมื่อครสู อนเก่ียวกับตัวเลขให้กดเครื่องคิดเลขตามทุกครั้ง หากคาตอบที่ได้ ไม่ตรงกับคาตอบของครูใหถ้ ามทันที 4. กล้าที่จะถาม หากไมเ่ ขา้ ใจเน้อื หาทเ่ี รียน เน่ืองจากการเรียนวิชาบญั ชีเป็นการเรียนทม่ี ี เนือ้ หาตอ่ เนื่อง หากไม่เข้าใจในเร่ืองใดเร่ืองหนึง่ จะมีผลต่อการเรียนร้ใู นหน่วยถัดไป 5. ทาแบบฝกึ หดั และใบงาน ด้วยตนเองทกุ ขอ้ อยา่ งสมา่ เสมอ เพ่ือเปน็ การฝกึ ทักษะการ บนั ทึกบญั ชใี ห้มปี ระสทิ ธภิ าพ ถกู ต้อง และรวดเร็ว 6. เขียนหนงั สอื และตวั เลขให้อ่านงา่ ย ชดั เจน สะอาด และเรียบรอ้ ย 7. มีความละเอยี ด รอบคอบ และแม่นยาในตัวเลข
21 ขอ้ แนะนาในการเขยี นตวั เลข เนื่องจากการบันทึกบัญชี สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ตัวเลขทเ่ี ปน็ เงนิ ตรา ซ่งึ จะต้องนาไปคานวณและ เปน็ หลกั ฐานในการอา้ งองิ และจะมผี ลต่อการจัดทางบแสดงผลดาเนนิ งานและงบแสดงฐานะการเงิน ของกิจการ การเขยี นตวั เลขตามหลักบญั ชี จะต้องปฏิบัติดงั น้ี 1. การเขยี นตัวเลขให้เขยี นด้วยตัวเลขอารบิค และจะต้องเขียนใหช้ ัดเจน อ่านง่าย สะอาด เรยี บร้อย และถูกต้อง 2. เขียนตวั เลขในชอ่ งบาทให้ตรงหลกั เสมอ และชดิ เสน้ ทางด้านขวา และเขยี นจานวน สตางค์ ในชอ่ งสตางค์ ถ้าไมม่ ีเศษสตางค์ให้ใส่เครื่องหมาย “-” จานวนเงนิ จานวนเงิน บาท สต. บาท สต. 1,274 25 3,400 50 ถกู ต้อง ถกู ตอ้ ง 24,000 - 3,400 50 ผดิ 125,000 - 4,600 75 3. ใส่เคร่ืองหมายจลุ ภาค ( , ) เพื่อแบ่งจานวนเงิน ถ้ามี 4 หลักขึ้นไป เช่น 2,300.50 บาท 720,000.78 บาท 1,890,543.25 บาท 4. เขยี นจานวนเงนิ เป็นตวั อกั ษรกากบั ทกุ ครง้ั เพ่ือป้องกนั ความผิดพลาด และการทจุ ริต 5. ถา้ เขียนตัวเลขผิดให้ขีดเส้นฆา่ ตวั เลขท่ผี ิด แลว้ เขียนตัวเลขใหม่ท่ถี ูกต้องไว้ขา้ งบนตวั เลข ทีผ่ ดิ และลงชื่อย่อกากบั ไว้ ไมค่ วรขูดลบตวั เลขท่ผี ดิ หรือเขียนตวั เลขอ่นื ทบั ตัวเลขท่ีผิด เชน่ ตัว เลขทถ่ี กู ตอ้ งคอื 3,800.- แตเ่ ขยี นเปน็ 3,600.- ดังน้นั จงึ แก้ไขใหถ้ ูกต้อง คือ 3,800.- 3,600.-
22 6. การเขียน วัน เดอื น ปี ให้ใช้หลักเกณฑ์ดงั นี้ ถ้าข้อมูลอยใู่ นหน้าเดยี วกนั ใหเ้ ขยี นปี พ.ศ. เพยี งครง้ั เดยี ว การเขยี นเดอื นใหใ้ ช้อักษรย่อ เช่น เดือนพฤษภาคม ใหเ้ ขียนวา่ พ.ค. หรอื เดือนเต็มก็ได้ ถ้าข้อมูลอยู่ในหนา้ เดยี วกนั ใหเ้ ขยี น เดอื นเพียงครง้ั เดยี วเช่นกนั สว่ นวนั ท่ใี หเ้ ขยี น เรียงลาดบั รายการท่ีเกิดขึน้ สรปุ การบัญชี หมายถงึ ศิลปะของการจดบันทึก การจาแนกใหเ้ ป็นหมวดหมู่ และการ สรปุ ผลส่ิงสาคัญในรปู ตวั เงนิ รายการ และเหตุการณต์ ่าง ๆ ซง่ึ เก่ยี วข้องด้านการเงิน รวมทงั้ การ แปลความหมายของผลการปฏิบัตดิ งั กล่าว ในการจดั ทาบัญชีควรคานงึ ถงึ วตั ถุประสงค์และประโยชน์ ของข้อมูลการบญั ชเี ป็นหลกั เน่อื งจากเปน็ สว่ นทีช่ ่วยใหก้ ิจการดาเนินงานไปในทิศทางท่ีถกู ต้อง ตาม พระราชบญั ญัติการบญั ชีและยงั เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้ใช้ข้อมลู ทางบัญชี และสงิ่ ท่ีสาคญั ต่อผศู้ ึกษาวิชา บัญชกี ค็ อื การปฏบิ ตั ิตนใหส้ ม่าเสมอต่อการเรยี น จงึ จะบรรลตุ ามเปา้ หมายในชีวติ ทต่ี ัง้ ใจไว้ แม่บทการบัญชี (Accounting Framework) ไม่ถือเป็นมาตรฐานการบัญชี แต่เปน็ กรอบ หรือแนวคดิ ข้นั พื้นฐานในการจดั ทาและนาเสนองบการเงิน ตลอดจนกาหนดและนามาตรฐานการ บญั ชมี าปฏิบัติ และเป็นแนวทางในการปฏบิ ัตสิ าหรบั เรอื่ งท่ยี ังไม่มีมาตรฐานการบัญชีรองรับเพ่ือให้ ผู้ใช้งบการเงนิ ทุกฝ่ายมคี วามเขา้ ใจและปฏบิ ตั ิในแนวทางเดียวกัน
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: