1 รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอ่ื ง กรด-เบส โดยใชว้ ิธกี ารเรยี นร้แู บบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขน้ั ของนกั เรยี นช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 นางสาวกานดา วฒุ ิเศลา ตำแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวดั เชยี งใหม่ สำนกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
ก2 ชอ่ื เรอ่ื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน เรื่อง กรด-เบส โดยใช้วิธกี ารเรียนรแู้ บบวฎั จักร การเรยี นรู้ 7 ข้นั ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ชื่อผู้วิจยั นางสาวกานสดา วฒุ เิ ศลา บทคัดย่อ การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวฎั จักร การเรยี นรู้ 7 ขัน้ ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 มีวัตถุประสงคเ์ พอ่ื 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกรด-เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการเรียนรู้ แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 2. เพื่อ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่องกรด-เบส ของ นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 และมสี มมติฐานการวิจยั คอื 1. ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนเรื่องกรด-เบส หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ โรงเรียนราช-ประชานุเคราะห์ 31 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ วิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 อยู่ในระดับมากขึ้นไปกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ที่กำลังศึกษาอยู่ใน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็น กลุ่มทดลองจำนวน 28 คน และโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ตามแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เรื่องกรด-เบส สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าเคมี เรอื่ ง กรด-เบส เปน็ ขอ้ สอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 40 ข้อ และแบบวัดความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนการสอนตามวัฏจักรการ เรยี นรู้ 7 ขัน้ เปรียบเทยี บคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรยี น โดย วธิ กี ารทางสถติ ิ t-test แบบ Dependent การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส โดยใช้วิธีการเรียนรู้ แบบวัฎจักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ผวู้ ิจยั ขอ สรปุ ผลการวิจยั มีรายละเอยี ดดงั นี้ 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกรด-เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการ เรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จากการวิจัยพบว่า การทดสอบคะแนนของผู้เรียน มีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 8.22 คะแนน และมี คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 14.87 คะแนนเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนสอบทั้งสองครั้ง พบว่า คะแนนสอบหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมีนยั สำคญั ที่ระดบั 0.1 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่อง กรด-เบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จากการวิจัยพบว่า ผลการ วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่องกรด- เบส ของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ผลการวิเคราะห์พบว่า มีคะแนน รวมท้งั สน้ิ 3,110 คะแนน คา่ เฉล่ีย มคี า่ เทา่ กับ 4.61 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน มีคา่ เท่ากับ 0.40 C.V. (%) มีค่าเท่ากับ 8.60 ค่าความเชื่อมั่น มีค่าเท่ากับ 0.9480 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอน ตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ข้ันของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อยู่ใน ระดับมากทส่ี ุด
สารบญั 3 บทคดั ย่อ หน้า บทท่ี 1 บทนำ ก - ความเป็นมาและความสำคัญของปญหา - วตั ถปุ ระสงคของการวิจัย 4 - ขอบเขตของการวิจัย 6 - สมมติฐานของการวิจัย 6 - นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 7 - ความสำคัญและประโยชนของการวิจัย 7 8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง - เอกสารที่เกีย่ วข้อง 9 - งานวิจัยที่เก่ียวขอ้ ง 21 บทท่ี 3 วิธีการดำเนินการวิจยั 23 - เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย 26 - การเก็บรวบรวมข้อมูล 26 - การวเิ คราะหข์ ้อมูล 26 - สถติ ิที่ใชในการวจิ ัย 27 บทที่ 4 ผลการวจิ ัย - ผลการวเิ คราะหข์ อมลู 33 34 บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผลและขอเสนอแนะ 34 - สรปุ ผลการวิจยั - อภิปรายผลการวิจัย 35 - ขอเสนอแนะ บรรณานุกรม - ภาคผนวก
4 บทที่ 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2545 หมวด 4 มาตรา 22 ระบุวา่ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ในมาตรา 23 ระบุว่าการจัดการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการ เรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษาดังน้ี ข้อ 2 ความรู้และทักษะด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่อง การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน และมาตรา 24 การจัด กระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ข้อ 2 ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไข ปัญหา ข้อ 5 ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวย ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัย เป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียน การสอนและแหล่ง วทิ ยาการประเภทตา่ ง ๆ (สำนักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศกึ ษา, 2547 : 12-14) การจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วิทยาศาสตร์ที่เนน้ การเชือ่ มโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏบิ ตั ิจรงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ช้ัน โดย ได้กำหนดสาระสำคัญประกอบด้วย 8 สาระ ดังน้ี สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สารและสมบตั ขิ องสาร แรงและการเคล่ือนที่ พลังงานกระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก ดาราศาสตร์และ อวกาศ และธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื้อหาวิชาเคมีอยู่ในสาระที่ 3 สารและสมบัติของ สาร มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึด เหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค มีกระบวนการ สืบเสาะหาความร้แู ละจิตวิทยาศาสตร์ สอ่ื สารส่ิงทเี่ รียนรู้ นำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การ เกิดสารละลาย การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551 : 92-93) และไดก้ ำหนดคณุ ภาพผูเ้ รียนเม่ือจบ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 แล้ว ในเนื้อหาเคมีนักเรียนจะต้องมีคุณภาพดังนี้ เข้าใจชนดิ ของอนุภาคสำคัญท่ีเป็น ส่วนประกอบ ในโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ การเกิดปฏิกิริยาเคมีและเขียนสมการ เคมี ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี เข้าใจชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติ ตา่ งๆ ของสารท่ีมคี วามสัมพนั ธ์กับแรงยึดเหนี่ยว เขา้ ใจการเกดิ ปิโตรเลียม การแยกแก๊สธรรมชาติและการ กลั่นลำดับส่วนน้ำมันดิบ การนาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไปใช้ประโยชน์และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เขา้ ใจชนิด สมบัติ ปฏิกิรยิ าท่สี ำคญั ของพอลิเมอร์และสารชวี โมเลกุล (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551 : 98) วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคญั ยิ่งในสังคมโลกปัจจุบนั และอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกีย่ วข้องกับ ทุกคนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิต
5 ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงานเหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้ วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกบั ความคดิ สร้างสรรค์และศาสตร์อ่ืนๆ วิทยาศาสตรช์ ว่ ยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ท้ังความคดิ เป็นเหตุเปน็ ผล คิดสรา้ งสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสำคัญ ในการคน้ คว้าหาความรู้ มี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์ พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ดังนั้นทุก คนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและ เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมีคุณธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 92) วิชาเคมีเป็นวิชาวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งที่ได้เน้นให้นักเรียนได้ทำการทดลองเป็นสำคัญเพื่อให้ ผู้เรียนได้สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเองเกิดความเข้าใจหลักการทางเคมี รวมทั้งมีทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ที่ผสมผสานการทดลองและการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การสรุปแนวคิดที่สำคัญ พร้อมทั้งจัด กิจกรรมให้เนื้อหาที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของความรู้ได้ อะตอมและตารางธาตุเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของวิชาเคมี ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ทฤษฎีกรด-เบส คู่กรด- เบส การแตกตัวของกรด-เบส และน้ำ สมบัติกรด-เบส ของเกลือ pH ของสารละลายกรด-เบส สารละลายบัฟเฟอร์ การประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับกรด-เบส ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ต้องอาศัยความเข้าใจและ จนิ ตนาการของผูเ้ รียนในเร่ืองที่ไม่สามารถมองเห็นจริงได้ ครผู สู้ อนยงั ไม่สามารถจัดกจิ กรรมการเรียนการ สอนทที่ ำให้นกั เรยี นเชอ่ื มโยงความรู้ทไี่ ด้รับกับทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจบุ ันยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าท่ีควร ดังจะเห็นได้ จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ช่วงชั้นที่ 4 ปีการศึกษา 2561 ของวิชา วิทยาศาสตร์ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดย ภาพรวมยงั ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาติข้นั พื้นฐาน แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ของครูที่ผ่านมายังไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ จึงจำเป็นต้องมีการ พฒั นาวธิ กี ารสอนใหห้ ลากหลาย เพือ่ เพ่ิมประสิทธิภาพในการสอน ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวพบว่า การใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจักรการ เรียนรู้ 7 ขั้น น่าจะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ จนทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ ใน การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์นั้น ผู้สอนควรจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ให้ผู้เรียนสามารถค้นพบ ความร้ไู ด้ด้วยตนเอง ผเู้ รียนต้องใชก้ ระบวนการทางปัญญาสร้างความรูโ้ ดยทำความเข้าใจความหมายของ วิทยาศาสตร์ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทใ่ี ช้เป็นกระบวนการสรา้ งความรู้คน้ หาความรู้ นอกจากนี้จากการศึกษาโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจกั รการเรียนรู้ 7 ขั้น ช่วยให้นักเรียนได้รบั ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้สอนเกิดความมั่นใจพร้อมที่จะสอน และช่วยให้นักเรียนกับผู้สอนมี โอกาสปฏิบัติกิจกรรมร่วมกนั เป็นกิจกรรมการเรยี นการสอนที่ตอบสนองความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ซึ่ง เปิดโอกาสให้นกั เรียนมีอสิ ระในการเรยี นตามความสามารถและความสนใจ โดยมีครคู อยแนะนำช่วยเหลือ (บุญเกื้อ ควรหาเวช, 2543 : 91 – 93) ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้วิธีการทำงานเป็นขั้นตอน ใช้เหตุผล ในการวางแผนอย่างมีระบบได้อย่างเหมาะสม แล้วยังทำให้นักเรียนสามารถทราบผลการปฏิบัติกิจกรรม น้ัน ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ไม่เกิดความเบอื่ หน่ายตอ่ การเรยี น (สวุ ทิ ย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ, 2545 : 51) ทำ ให้เกิดการเรยี นร้ทู ีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ
6 ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการจัดกิจกรรมการเรียนโดยใช้โดยใช้วิธีการเรียนรู้ แบบวัฎจักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั จะเปน็ การเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นไดค้ ิด ได้ลงมือทำดว้ ยตนเอง มกี ารสร้างสรรค์ ในการวางรูปแบบสรุปเนื้อหาสาระการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ผู้วิจัยจึงเชื่อว่า โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบ วัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น จะสามารถสร้างความสนใจและช่วยพัฒนา การจัดการเรียนการสอนให้นักเรยี น เกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยนำมาใช้ในการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาเคมี เพื่อให้มี ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสงู ขึ้นและพฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนให้สูงขึ้น วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกรด -เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้ วธิ กี ารเรียนรแู้ บบวฎั จักรการเรยี นรู้ 7 ข้ัน ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 2. เพอ่ื ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมตี ่อวธิ ีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่อง กรด-เบส ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ขอบเขตการวจิ ยั การวจิ ยั ครงั้ น้ี ผูว้ ิจัยกำหนดขอบเขตวิจัยไว้ ดังนี้ 1. เนอ้ื หาท่ใี ช้ในการวจิ ยั เนื้อหาตามหลักสตู รการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) กลมุ่ สาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชาเคมี 3 รหัส ว 32205 เรื่อง กรด-เบส สาระที่ 3 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคมีกระบวนการสืบ เสาะหาความร้แู ละจิตวทิ ยาศาสตรส์ ื่อสารสิ่งทเ่ี รียนรู้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ โดยนำมาจากหนังสือเรียน สาระการเรยี นรพู้ ื้นฐานและเพมิ่ เติมวชิ าเคมี 4 ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เนื้อหาที่นำมาจัดทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลังเรียน โดยนำเน้ือหาจากเรื่องที่เรียนคอื กรด-เบส มาสร้างเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์จำนวน 40 ข้อ เป็นคำถามแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก ผู้วิจัยไดส้ ร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนโดยวดั พฤตกิ รรมตามหลักของคลอฟเฟอร์ ซึ่งมุ่งเน้น การวัดพฤติกรรม 3 ดา้ น คอื ความรคู้ วามจำ ความเขา้ ใจ การนำความรแู้ ละวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ โดยเน้อื หาแบ่งเปน็ หวั ขอ้ ดังน้ี บทท่ี 2 กรด-เบส 1. ทฤษฎีกรด-เบส 2. คู่กรด-เบส 3. การแตกตวั ของกรด-เบส และน้ำ 4. สมบตั กิ รด-เบส ของเกลือ 5. pH ของสารละลายกรด-เบส 6. สารละลายบัฟเฟอร์ 7. การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้เก่ยี วกบั กรด-เบส
7 2. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 2.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อำเภอแม่แจม่ จงั หวดั เชยี งใหม่ จำนวนนกั เรียน 119 คน 2.2 กล่มุ ตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 อำเภอแม่แจ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ จำนวนจำนวน 1 ห้องเรียน ซ่ึงไดม้ าจากการเลือกแบบเจาะจง 3. ตัวแปรทศ่ี กึ ษา ประกอบดว้ ย 3.1 ตวั แปรต้น คอื วิธกี ารสอนโดยใช้วิธกี ารเรียนรู้แบบวฎั จกั รการเรียนรู้ 7 ขั้น 3.2 ตวั แปรตาม 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าเคมี เรื่องกรด-เบส 2. ความพึงพอใจของนกั เรยี นที่มตี ่อวธิ ีการสอนตามแบบวัฎจกั รการเรียนรู้ 7 ขั้น สมมติฐานการวจิ ยั 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องอะตอมกรด-เบส หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยใช้วิธีการ เรียนรู้แบบวฎั จักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 2. ความพงึ พอใจของนักเรียนที่มีต่อวธิ ีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ข้นั ของนกั เรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 อยใู่ นระดบั มากขึ้นไป นิยามศพั ท์เฉพาะ วัฏจักรการเรยี นรู้ (Learning Cycle) หมายถึง รูปแบบของกระบวนการเรยี นรู้ทนี่ ักวิทยาศาสตร์ ได้คิดค้นขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Inquiry Approach) ท่ี ต้องอาศัยทักษะกระบานการทางวิทยาศาสตร์ ในการค้นพบความรู้หรือประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมี ความหมายด้วยตนเอง โดยมพี ้นื ฐานมาจากแนวทฤษฎีสร้างสรรคค์ วามรู้ (Constructivism) ซ่ึงไม่เน้นการ สอนแบบบรรยาย หรอื บอกเลา่ หรือให้ผู้เรยี นเป็นผู้รับเนื้อหาวชิ าตา่ ง ๆ จากครู หากแตค่ รูจะต้องกระตุ้น ใหน้ กั เรยี นเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเองภายใตส้ ภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสม โดยมคี วามเชอื่ วา่ นักเรียนมีวัฏจักร การเรยี นรอู้ ยู่แล้ว รูปแบบในการจัดการเรียนรู้แบบวฎั จักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั ประกอบด้วย 7 ข้ันตอน ดงั น้ี 1. ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ในขั้นนจี้ ะเปน็ ขน้ั ที่ครูจะตั้งคำถามเพ่ือกระตุ้น ให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพื่อครูจะได้รู้ว่า เด็กแต่ละคนมีพื้นความรู้เดิมเท่าไร จะได้วาง แผนการสอนได้ถูกต้อง และครไู ดร้ วู้ ่านกั เรยี นควรจะเรยี นเนอ้ื หาใดกอ่ นท่ีจะเรียนในเนื้อหานนั้ ๆ 2. ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement Phase) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจจาก ความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องที่ น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กำลังเกดิ ขน้ึ อยู่ในช่วงเวลานั้น หรอื เป็นเรื่องทีเ่ ชือ่ มโยงกบั ความรู้เดิมท่ีเด็ก เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว ครูเป็นคนกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถามกำหนดประเด็นที่ที่จะกระตุ้น โดยการเสนอ ประเด็นขึ้นก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนใจเป็นเรื่องที่จะใช้ ศึกษา 3. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration Phase) ในขั้นนี้จะต่อเนือ่ งจากขั้นเรา้ ความสนใจ ซึ่งเม่ือ นักเรียนทำความเข้าใจในประเด็นหรือคำถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่ องแท้แล้วก็มีการวางแผนกำหนด แนวทางควรสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน กำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวม ข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทำได้หลายวิธี เช่น ทำการทดลอง ทำ
8 กิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) การศึกษาหา ขอ้ มลู จากเอกสารอ้างองิ จากแหล่งขอ้ มลู ต่าง ๆ เพ่อื ให้ได้มาซึง่ ข้อมลู อยา่ งเพียงพอที่จะใชใ้ นขั้นต่อไป 4. ขั้นอธิบาย (Explanation Phase) ในขั้นนี้เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลมาอย่างเพียงพอจากการ สำรวจตรวจสอบแล้ว จึงนำข้อมูล ข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรปู ต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สรา้ งแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรอื รปู วาด สรา้ งตารางฯลฯการค้นพบในด้าน นีอ้ าจเป็นไปไดห้ ลายทาง เช่น สนบั สนนุ สมมุติฐานท่ีต้งั ไว้ โตแ้ ยง้ กบั สมมตุ ฐิ านท่ตี ้ังไว้ หรือไม่เก่ียวข้องกับ ประเด็นทไ่ี ดก้ ำหนดไว้ แตผ้ ลทไ่ี ดจ้ ะอยู่ในรปู ใดก็สามารถสรา้ งความรูแ้ ละชว่ ยใหเ้ กดิ การเรียนรู้ได้ 5. ข้ันขยายความคดิ (Expansion Phase/Elaboration Phase) เป็นการนำความรู้ทีส่ ร้างข้ึนไป เชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ไปใช้อธิบาย สถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่นๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่างๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อกำกัดน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้ เชอื่ มโยงกบั เร่ืองราวตา่ งๆ และทำใหเ้ กิดความรสู้ กึ กว้างขวางขนึ้ 6. ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) ในข้นั นีเ้ ป็นการประเมินการเรียนรูด้ ้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไป ประยกุ ต์ใช้ในดา้ นอืน่ ๆ 7. ขั้นนำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ในขั้นนี้เป็นที่ครูจะต้องมีการจัดเตรียมโอกาสให้ นักเรียนได้นำสิ่งที่ได้เรียนมาไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้ นักเรยี นสามารถนำความรทู้ ีไ่ ดร้ ับไปสรา้ งเปน็ ความรทู้ เ่ี รียกวา่ “การถ่ายโอนการเรียนรู้” ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลของการเรียนที่วัดได้จากคะแนนที่ได้จากการตอบ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ท่ีได้จากการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เรื่อง อะตอมและสมบัติของธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยผู้วิจัยมุ่งเน้นการวัด พฤติกรรม 3 ด้าน คือ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ และการนำความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ โดยใช้เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 40 ข้อ เป็นคำถามแบบปรนัยชนิด 4 ตวั เลอื ก ประโยชน์ของการวิจัย 1. เป็นแนวทางสำหรบั การจดั การเรียนการสอน โดยใช้วธิ กี ารเรียนรู้ตามแบบวัฎจักรการเรยี นรู้ 7 ขั้น วิชาเคมีในระดับช้นั อน่ื ๆ และเรื่องอนื่ ๆต่อไป 2. นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น ทำให้มีความสนใจและ กระตอื รอื รน้ 3. สามารถปรบั การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของนักเรียนแตล่ ะคนได้
9 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง เอกสารทเี่ ก่ียวขอ้ ง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์ เรื่องกรด-เบส ของ นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 โดยใชว้ ธิ กี ารเรียนรูแ้ บบวัฎจกั รการเรียนรู้ 7 ขั้น ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็น แนวทางในการ วจิ ยั โดยมีรายละเอยี ดการนำเสนอ ดงั นี้ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ 1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 1.2 หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียน (กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร)์ 2. เอกสารเกยี่ วกบั การเรียนร้แู บบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขนั้ 2.1 ความหมายของการเรียนรูแ้ บบวฎั จักรการเรียนรู้ 2.2 ประเภทการเรยี นแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 2.5 ข้นั ตอนในการจดั การเรยี นรแู้ บบวัฎจกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั 2.6 บทบาทของครูและนกั เรยี นในการเรียนรู้แบบวฎั จักรการเรียนรู้ 7 ข้นั 3. เอกสารเก่ยี วกับความพึงพอใจ 3.1 ความหมายของความพึงพอใจ 3.2 การวัดความพงึ พอใจในการเรยี น 4. งานวิจัยท่ีเก่ยี วข้อง 4.1 งานวจิ ยั เก่ียวกบั การจัดการเรยี นร้แู บบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้นั 4.2 งานวิจยั เก่ยี วกับเนอื้ หารายวชิ า เคมี เรอ่ื งกรด-เบส หลักสูตรการศึกษาข้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 92-93) ได้กล่าวถึงวิทยาศาสตร์ว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบัน และอนาคต เพราะวทิ ยาศาสตร์เกีย่ วขอ้ งกับทุกคนทงั้ ในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจน เทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการ ทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธคี ิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมของโลก สมัยใหมซ่ ง่ึ เป็นสังคมแห่งการเรยี นรู้ ดังน้นั ทกุ คนจงึ จำเป็นต้องไดร้ บั การพฒั นาให้รู้วทิ ยาศาสตร์ เพ่ือที่จะ มีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมี เหตผุ ล สร้างสรรค์ และมีคณุ ธรรม
10 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยง ความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบ เสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำ กิจกรรมดว้ ยการลงมือปฏบิ ัติจรงิ อย่างหลากหลายเหมาะสมกบั ระดับชัน้ โดยได้กำหนดสาระสำคญั ไวด้ งั น้ี 1. ส่งิ มีชีวติ กบั กระบวนการดำรงชวี ติ ส่ิงมีชีวิต หนว่ ยพืน้ ฐานของส่ิงมชี วี ิต โครงสร้างและหน้าที่ ของระบบต่าง ๆ ของสง่ิ มีชวี ิต และกระบวนการดำรงชีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การถา่ ยทอดทาง พันธุกรรม การทำงานของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และ เทคโนโลยีชีวภาพ 2. ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก ปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของ สิ่งมชี วี ิตในสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ 3. สารและสมบัติของสาร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การเปลี่ยน สถานะ การเกดิ สารละลายและการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมขี องสาร สมการเคมี และการแยกสาร 4. แรงและการเคลื่อนท่ี ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์ การออก แรงกระทำต่อวตั ถุ การเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถุ แรงเสยี ดทาน โมเมนต์การเคลอ่ื นท่ีแบบต่างๆ ในชีวติ ประจำวัน 5. พลังงาน พลังงานกับการดำรงชีวติ การเปลี่ยนรูปพลังงาน สมบัติและปรากฏการณ์ ของแสง เสียง และวงจรไฟฟา้ คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า กัมมนั ตภาพรังสีและปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสาร และพลังงานการอนรุ ักษ์พลังงาน ผลของการใชพ้ ลงั งานตอ่ ชีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม 6. กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการเปลี่ยนแปลง ของเปลอื กโลก ปรากฏการณท์ างธรณี ปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ การเปลีย่ นแปลงของบรรยากาศ 7. ดาราศาสตร์และอวกาศ วิวัฒนาการของระบบสรุ ยิ ะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสมั พันธ์และ ผลต่อ สงิ่ มชี ีวติ บนโลก ความสมั พนั ธ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ความสำคัญของเทคโนโลยอี วกาศ 8. ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหา ความรู้ การแก้ปญั หา และจติ วิทยาศาสตร์ สาระและมาตรฐานการเรียนรกู้ ลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี 1 สง่ิ มชี วี ติ กบั กระบวนการดำรงชีวติ มาตรฐาน ว 1. 1 เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของ ระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ทางานสัมพันธ์กัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำ ความรู้ไปใช้ในการดำรงชวี ิตของตนเองและดูแลสิ่งมชี ีวติ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสาร สิ่งที่เรียนรู้ และนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์
11 สาระท่ี 2 ชวี ิตกบั ส่งิ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารสงิ่ ทเี่ รยี นร้แู ละนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ใน ระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลกนำความรู้ไปใช้ในในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน ท้องถิ่นอยา่ งย่งั ยืน สาระที่ 3 สารและสมบตั ขิ องสาร มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหวา่ งสมบัตขิ องสารกับโครงสร้างและแรง ยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ นำ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิด สารละลาย การเกิดปฏกิ ิรยิ า มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วทิ ยาศาสตร์ สอื่ สารสิง่ ทีเ่ รยี นรู้ และ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ 4 แรงและการเคลือ่ นที่ มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มี กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและมี คณุ ธรรม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่างๆ ของวัตถุในธรรมชาติมีกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สอ่ื สารสง่ิ ที่เรยี นรู้และนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ 5 พลงั งาน มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดำรงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงานผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการ สืบ เสาะหาความรู้ สื่อสารสง่ิ ท่เี รยี นรู้และนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี 6 กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐาน ของโลก มี กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สอื่ สารสิ่งท่เี รียนรแู้ ละนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน ว 7.1 เข้าใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซีและเอกภพ การปฏิสัมพันธ์ภายใน ระบบสุริยะและผลตอ่ ส่งิ มีชีวิตบนโลก มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ การสือ่ สารส่ิง ท่ีเรียนรแู้ ละนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 7.2 เข้าใจความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศที่นามาใช้ในการสำรวจอวกาศและ ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการเกษตรและการสื่อสาร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารส่ิงท่เี รียนรแู้ ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์อยา่ งมคี ุณธรรมตอ่ ชีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม
12 สาระท่ี 8 ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สังคม และส่งิ แวดล้อม มีความเกยี่ วข้องสมั พันธก์ นั (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 2-4) หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 (กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์) หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 พ.ศ. 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ )อกลุม่ สาระการ เรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 สารและสมบัติของสารในชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4-6 มีโครงสรา้ งดังตาราง ตารางที่ 2.1 แสดงโครงสรา้ งรายวชิ าเคมี หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 รายวชิ า รหัส ชั้น เคมี 1 วิชา มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 เคมี 2 ว 32201 มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 เคมี 3 ว 32202 มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 เคมี 4 ว 32203 มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 เคมี 5 ว 32204 มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ว 32205 สำหรับรายวิชาเคมีที่ผู้วิจัยเลือกมาทำการวิจัยนั้น คือ วิชาเคมี 4 คือ เรื่อง กรด-เบส โดย คำอธิบายรายวชิ าเคมี 4 มีดงั นี้ ระบุและอธิบายว่าสารเป็นกรดหรือเบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส เบรินสเตด-ลาวรี และลิวอิส ระบุคู่กรด-เบสของสารตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรี คำนวณและเปรียบเทียบ ความสามารถในการแตกตัวหรือความแรงของกรดและเบส คำนวณค่า pH ความเข้มข้นของไฮโดรเนียม ไอออนหรือไฮดรอกไซด์ไอออนของสารละลายกรดและเบส เขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิริยาสะเทินและ ระบุความเป็นกรด-เบสของสารละลายหลังการสะเทิน เขียนปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของเกลือและระบุความ เป็นกรด-เบสของสารละลายเกลือ ทดลองและอธิบายหลักการไทเทรต และเลือกใช้อินดิเคเตอร์ที่ เหมาะสมสำหรับการไทเทรตกรด-เบส คำนวณปริมาณสารหรือความเข้มข้นของสารละลายกรดหรือเบส จากการไทเทรต อธิบายสมบัติ องค์ประกอบและประโยชน์ของสารละลายบัฟเฟอร์ สืบค้นข้อมูลและ นำเสนอตัวอย่างการใช้ประโยชน์และการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับกรด-เบส คำนวณเลข ออกซิเดชันและระบุปฏิกิริยาที่เป็นปฏิกิริยารีดอกซ์ วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชันและรุบตัว รีดิวซแ์ ละตวั ออกซิไดส์ รวมทง้ั เขียนครง่ึ ปฏิกริ ิยาออกซิเดชันและครึ่งปฏิกิรยิ ารีดักชนั ของปฏิกิริยารีดอกซ์ ทดลองและเปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิไดส์ และเขียนแสดงปฏิกิริยารี ดอกซ์ ดุลสมการรีดอกซ์ด้วยการใช้เลขออกซิเดชันและวิธีครึ่งปฏิกิริยา ระบุองค์ประกอบของเซลล์ เคมไี ฟฟา้ และเขยี นสมการเคมีของปฏิกิริยาที่แอโนดและแคโทด ปฏกิ ริ ิยารวมและแผนภาพเซลล์ คำนวณ ค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์และระบุประเภทของเซลล์เคมีไฟฟ้า ขั้วไฟฟ้าและปฏิกิริยาเคมีที่เกิดข้ึน อธิบายหลักการทำงาน และเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาของเซลล์ปฐมภูมิและเซลล์ทุติยภูมิ ทดลองชุบ โลหะและแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้าและอธิบายหลักการทางเคมีไฟฟ้าที่ใช้ในการชุบโลหะ การแยก สารเคมีดว้ ยกระแสไฟฟ้า การทำโลหะให้บริสทุ ธิ์และการป้องกนั การกดั กร่อนของโลหะ สืบค้นข้อมูลและ นำเสนอตวั อยา่ งความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั เซลลเ์ คมไี ฟฟ้าในชวี ิตประจำวัน
13 โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูลและการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความ เข้าใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ใน ชีวติ ประจำวนั มจี ิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่านิยมท่ีเหมาะสม ความหมายของการเรยี นรแู้ บบวฎั จกั รการเรียนรู้ Lawson (1995:424) กล่าวว่า วัฏจักรการเรียนรู้ (Learning Cycle) เป็นรูปแบบของ กระบวนการเรียนรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ (Inquiry Approach) ที่ต้องอาศัยทักษะกระบานการทางวิทยาศาสตร์ ในการค้นพบความรู้ หรือประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความหมายด้วยตนเอง โดยมีพื้นฐานมาจากแนวทฤษฎีสร้างสรรค์ ความรู้ (Constructivism) ซึง่ ไมเ่ นน้ การสอนแบบบรรยาย หรือบอกเลา่ หรือใหผ้ ู้เรยี นเป็นผรู้ บั เนื้อหาวชิ า ต่างๆจากครู หากแต่ครูจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองภายใต้สภาพแวดล้อมที่ เหมาะสม โดยมคี วามเช่อื วา่ นกั เรยี นมีวัฏจักรการเรียนรูอ้ ยแู่ ล้ว กิตติชัย สุธาสิโนบล (2541:33) ได้ให้ความหมายของวัฏจักรการเรียนรู้ไว้ว่าหมายถึง กระบวนการเรียนรู้แบบหนึ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการและพัฒนาการทางสมองของผู้เรียน โดย คำนึงถึงความรู้สึก การรับรู้ ประสบการณ์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ความคิด และ การกระทำ เพ่ือสร้างงานแห่งการเรียนรู้อยา่ งหลากหลาย Mahasarakham University 11 กรมวิชาการ (2544:80) ได้ให้ความหมายของวัฏจักรการสืบ เสาะหาความรู้ไว้ว่า หมายถึง การนำความรู้ หรือแบบจำลองไปใช้อธิบาย หรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์ หรอื เรือ่ งอ่ืน ๆ จะนำไปสขู่ ้อโต้แย้งหรือข้อจำกัด ซึ่งจะกอ่ ให้เป็นประเด็น หรือคำถามหรือปัญหาท่ีจะต้อง สำรวจตรวจสอบตอ่ ไป ทำใหเ้ กดิ เปน็ กระบวนการที่ต่อเน่ืองกนั ไปเร่ือย ๆ ประเภทการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 1. การสอนแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ (Learning Cycle) 3 ขัน้ โรเบริต์ คาร์พลัส และคณะ ได้นำเสนอยุทธวิธีน้ี เพื่อปรับผลสัมฤทธิ์การเรียนวิทยาศาสตร์และ พัฒนาทักษะกระบวนการเด็กซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา (Science Curriculum Improvement Study : SCIS)ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน (Renner and Marek. 1990 : 241-246) คือ ขั้นสำรวจ (Exploration) ขั้นสร้างมโนทัศน์ (Concept Introduction) และการนำมโนทศั นไ์ ปใช้ (Concept Application) ขั้นตอนเหล่าน้ีได้มีการจดั เรียงลำดบั และมคี วามสอดคลอ้ งกบั ทฤษฏีพฒั นาการทางสติปญั ญาของ เพยี เจต์ 2. การสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ (Learning Cycle) 4 ขั้น ได้มีกลุ่มนักการศึกษาได้นำวิธีนี้ มาใช้และมีการพัฒนาวิธีการและขั้นตอนในการเรียนการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ออกเป็น 4 ขั้นตอน (Barman. 1989 : 28 - 31) ได้แก่ การสำรวจ (Exploration) การอธิบาย (Explanation) การขยาย ความคิด (Expansion) และการประเมินผล (Evaluation) 3. การสอนแบบวฏั จักรการเรียนรู้ (Learning Cycle) 5 ขัน้ ขน้ั ตอนของการเรยี นรแู้ บบวฏั จักรออกเปน็ 5 ขน้ั (Bybee and others. 1989:56-63) ดงั นี้ 1. การนำเข้าสู่บทเรียน (Engagament) ขั้นนี้จะมีลักษณะเป็นการแนะนำบทเรียนกิจกรรมจะ ประกอบด้วยการซักถามปัญหา การทบทวนความรู้เดิม การกำหนดกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในการเรียนการ สอนและเป้าหมายท่ตี อ้ งการ
14 2. การสำรวจ (Exploration) ขั้นนี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้แนวความคิดที่มีอยู่แล้วมาจัด ความสัมพันธ์กับหัวข้อที่กำลังจะเรียนให้เข้าหมวดหมู่ ถ้าเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการทดลอง การสำรวจ การสืบค้นด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเทคนิคและความรู้ทางการปฏิบัติจะดำเนินไปด้วยตัวของนักเรียน เอง โดยครูมีหน้าท่เี ป็นเพียงผแู้ นะนำหรือผเู้ รมิ่ ต้นในกรณีทีน่ กั เรียนไมส่ ามารถหาจุดเรมิ่ ต้นได้ 3. การอธิบาย (Explanation) ในขั้นตอนนี้กิจกรรมหรือกระบวนการเรียนรู้จะมีการความรู้ที่ รวบรวมมาแล้วในขั้นท่ี 2 มาใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาหัวข้อหรือแนวคิดที่กำลังศึกษาอยู่ กิจกรรมอาจ ประกอบไปด้วยการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากการอ่านและนำข้อมูลมาอภปิ ราย 4. การขยายความรู้ (Expansion) ในขน้ั ตอนนีจ้ ะเน้นใหน้ ักเรียนไดน้ ำความรู้หรือข้อมูลจากขั้นที่ 2 และขั้นท่ี 3 มาใช้ กิจกรรมส่วนใหญ่อาจเป็นการอภิปรายในกลุ่มของตนเองเพื่อลงข้อสรุปให้เห็นถึง ความเขา้ ใจ ทักษะกระบวนการและความสมั พันธร์ ะหวา่ งความรตู้ า่ ง ๆ ทเี่ กิดข้ึนจะ 5. การประเมินผล (Evaluation) เป็นขน้ั ตอนสุดทา้ ยจากการเรียนรู้ โดยครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียน ได้ตรวจสอบแนวความคิดหลักที่ตนเองได้เรียนรู้มาแล้ว โดยการประเมินผลด้วยตนเองถึงแนวความคิดท่ี ได้สรุปไว้แล้วในขั้นท่ี 4 ว่า มีความสอดคล้องหรือถูกต้องมากน้อยเพียงใดรวมทั้งมีการยอมรับมากน้อย เพียงใด ข้อสรุปที่ได้จะนำไปใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อไป ทั้งนี้ ภาพรวมทั้งการประเมนิ ผลของครูตอ่ การเรียนรู้ของนกั เรียนดว้ ย รูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบเสาะการเรียนรู้ 5 ขั้น สามารถสรปุ ไดด้ ัง แผนภมู ิ (สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2546 : 220) ภาพท่ี 2.1 แสดงแผนภมู แิ สดงการเรียนรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ 4. การสอนแบบวัฏจกั รการเรียนรู้ (Learning Cycle) 7 ขนั้ ในปี ค.ศ. 2003 Eisenkraft (2003 : 57-59) ไดข้ ยายรูปแบบการสอนแบบวัฏจักรการเรยี นรู้จาก 5 ขั้น เป็น 7 ขั้น ซึ่งเพิ่มขั้นมา 2 ขั้น คือ 1) ขั้นตรวจสอบพื้นความรู้เดิมของเด็ก (Elicitation Phase) ใน ขั้นนี้เป็นขั้นที่มีความจำเป็นสำหรับการสอนที่ดี เป้าหมายที่สำคัญในขั้นนี้คือ การกระตุ้นให้เด็กมีความ สนใจและตืน่ เต้นกบั การเรียน สามารถสรา้ งความรอู้ ย่างมนี ัยสำคญั 2) ขัน้ การนำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) เพื่อให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้จากสิ่งที่ได้เรียนมาให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การปรับขยายรูปแบบการสอนแบบวัฏจกั รการเรียนรู้จาก 5E เป็น 7E แสดงได้ดังภาพ (Eisenkraft. 2003 : 57 - 59)
15 ภาพท่ี 2.2 The Proposed 7E Learning Cycle and Instructional Model สรปุ ได้ว่า การสอนแบบวัฏจกั รการเรียนรู้ 7 ข้ัน มขี น้ั ตอนการสอนตา่ ง ๆ และสาระสำคัญ ในแต่ ละขน้ั ดังนี้ 1. ขั้นตรวจสอบความรเู้ ดมิ (Elicitation) ในข้ันนจ้ี ะเปน็ ข้นั ที่ครจู ะตั้งคำถามเพ่ือกระต้นุ ให้ผู้เรียน ได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพื่อครูจะได้รู้ว่า เด็กแต่ละคนมีพื้นฐานความรู้เดิมเท่าไหร่ จะได้วางแผนการ สอนไดถ้ กู ต้อง และครไู ด้รวู้ า่ นกั เรียนควรจะเรียนเนอ้ื หาใดก่อนทจี่ ะเรยี นในเนื้อหาน้ัน ๆ 2. ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement Phase) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซึ่งอาจ เกิดขึ้นเองจากความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจาก การ อภปิ รายภายในกลุ่ม เร่อื งทนี่ า่ สนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดข้ึนอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่ เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เด็กเรียนรู้มาแล้ว ครูเป็นคนกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถามกำหนดประเด็นที่จะ ศึกษาในกรณีที่ยังไม่มีประเด็นใดน่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่างๆ หรือเป็นผู้กระตุ้นด้วยการเสนอ ประเด็นขึ้นก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนใจเป็นเรื่องที่จะใช้ ศึกษา 3. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration Phase) ในขั้นนี้จะต่อเนื่องจากขั้นเร้าความสนใจ ซึ่งเม่ือ นักเรียนทำความเขา้ ใจในประเดน็ หรือคำถามท่ีสนใจจะศึกษาอยา่ งถ่องแทแ้ ลว้ ก็มีการวางแผนกำหนดแนว ทางการสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน กำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฎการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทำได้หลายวิธี เช่น ทำการทดลอง ทำกิจกรรม ภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจาก เอกสารอา้ งองิ จากแหล่งขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เพอื่ ใหไ้ ด้มาซงึ่ ขอ้ มูลอยา่ งเพยี งพอที่จะใชใ้ นขน้ั ต่อไป 4. ขั้นอธิบาย (Explanation Phase) ในขั้นนี้เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลมาอย่างเพียงพอจากการ สำรวจตรวจสอบแล้ว จึงนำข้อมูลข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูป ตา่ ง ๆ เชน่ บรรยายสรปุ สรา้ งแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรอื รูปวาดสรา้ งตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้น นี้อาจเป็นไปไดห้ ลายทาง เช่น สนับสนุนสมมติฐานทีต่ ัง้ ไว้โตแ้ ยง้ กบั สมมติฐานท่ีต้ังไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกบั ประเดน็ ทไ่ี ด้กำหนดไว้ แตผ่ ลที่ได้จะอย่ใู นรปู ใดก็สามารถสร้างความรู้และชว่ ยให้เกิดการเรียนรู้ได้ 5. ขั้นขยายความรู้ (Expansion Phase / Elaboration Phase) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไป เชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวความคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้ อธิบายสถานการณห์ รือเหตกุ ารณ์อนื่ ๆ ถ้าใช้อธบิ ายเร่ืองต่าง ๆ ไดม้ าก็แสดงว่าข้อจำกัดน้อย ซ่ึงก็จะช่วย ให้เชอ่ื มโยงกับเร่ืองราวต่าง ๆ และทำใหเ้ กดิ ความรูก้ ว้างขวางข้นึ
16 6. ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) ในขั้นนี้เป็นการประเมนิ การเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่า นักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไป ประยกุ ต์ใชใ้ นเรื่องอนื่ ๆ 7. ขั้นนำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ในขั้นนี้เป็นขั้นที่ครูจะต้องมีการจัดเตรียมโอกาสให้ นักเรียนเพื่อให้นักเรียนได้นำสิ่งที่ได้เรียนมาไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ครูจะเป็นผู้ กระต้นุ ใหน้ ักเรยี นสามารถนำความรู้ที่ไดร้ บั ไปสรา้ งเปน็ ความรู้ใหม่ทีเ่ รียกวา่ “การถา่ ยโอนการเรยี นรู้” ขนั้ ตอนในการจัดการเรียนรู้แบบวฎั จกั รการเรยี นรู้ 7 ข้นั การสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เป็นการสอนที่เน้นการถ่ายโอนการเรียนรู้และ ให้ ความสำคัญเกี่ยวกับการตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูละเลยไม่ได้และการตรวจ สอบ ความรู้พื้นฐานเดิมของเด็กจะทำให้ครูค้นพบว่านักเรียนต้องเรียนรู้อะไรก่อนก่อนที่จะเรียนรู้ ในเนื้อหา บทเรียนนั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพขั้นของการเรียนรู้ตาม แนวคิดของ Eisenkraft (2003 : 58) มีเนื้อหาสาระ ดังน้ี 1. ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ในขน้ั น้ีจะเป็นขน้ั ที่ครูจะตั้งคำถามเพื่อกระตุ้น ให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพื่อครูจะได้รู้ว่า เด็กแต่ละคนมีพื้นความรู้เดิมเท่าไร จะได้วาง แผนการสอนไดถ้ กู ต้อง และครูได้รวู้ า่ นกั เรียนควรจะเรียนเน้ือหาใดกอ่ นท่จี ะเรยี นในเน้ือหาน้ัน ๆ 2. ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement Phase) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจจาก ความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องที่ น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณท์ กี่ ำลังเกิดข้นึ อยู่ในช่วงเวลาน้นั หรือเป็นเรอ่ื งทเี่ ชอื่ มโยงกับความร้เู ดิมที่เด็ก เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว ครูเป็นคนกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถามกำหนดประเด็นที่ที่จะกระตุ้นโดยการเสนอ ประเด็นขึ้นก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนใจเป็นเรื่องที่จะใช้ ศกึ ษา 3. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration Phase) ในขั้นนี้จะต่อเนื่องจากข้ันเร้าความสนใจ ซึ่งเมื่อ นักเรียนทำความเข้าใจในประเด็นหรือคำถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนกำหนด แนวทางควรสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน กำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวม ข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทำได้หลายวิธี เช่น ทำการทดลอง ทำ กิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) การศึกษาหา ข้อมูลจากเอกสารอ้างองิ จากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ เพ่ือใหไ้ ดม้ าซงึ่ ขอ้ มลู อยา่ งเพียงพอทจี่ ะใช้ในข้ันต่อไป 4. ขั้นอธิบาย (Explanation Phase) ในขั้นนี้เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลมาอย่างเพียงพอจาก การ สำรวจตรวจสอบแลว้ จงึ นำขอ้ มูล ขอ้ สนเทศที่ได้มาวเิ คราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผล ที่ได้ในรูป ต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สร้างตาราง ฯลฯการค้นพบใน ด้านนี้อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่ เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้กำหนดไว้ แต้ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และ ช่วยให้เกิดการ เรียนรู้ได้ 5. ขัน้ ขยายความคิด (Expansion Phase/Elaboration Phase) เป็นการนำความรู้ท่ีสร้างข้ึนไป เชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ไปใช้อธิบาย สถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่นๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่างๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อกำกัดน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้ เช่ือมโยงกบั เรือ่ งราวตา่ งๆ และทำใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ กวา้ งขวางข้ึน
17 6. ข้ันประเมนิ ผล (Evaluation Phase) ในขั้นนเี้ ปน็ การประเมนิ การเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไป ประยุกตใ์ ช้ในดา้ นอนื่ ๆ 7. ขั้นนำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ในขั้นนี้เป็นที่ครูจะต้องมีการจัดเตรียมโอกาส ให้ นักเรียนได้นำสิ่งที่ได้เรียนมาไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้ นักเรยี นสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปสร้างเปน็ ความรู้ที่เรียกว่า “การถ่ายโอนการเรียนรู้” จากขั้นตอนต่าง ๆ ในรูปแบบการสอนโดยวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบการสอน โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น จะเน้นการถ่ายโอนการเรียนรู้และให้ความสำคัญกับกาตรวจสอบความรู้ เดมิ ของเด็กซง่ึ เปน็ สิง่ ท่คี รูไมค่ วรละเลย หรอื ละทง้ิ เน่อื งจาก การตรวจสอบพ้นื ความรูเ้ ดมิ ของเดก็ จะทำให้ ครูได้ค้นพบว่านักเรียนจะต้องเรียนรู้อะไรก่อนที่จะเรียนในเนื้อหานั้น ๆ นักเรียนจะสร้างความรู้จากพ้ืน ความรู้เดิมที่เด็กมี ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายและไม่คิดแนวความคิดที่ผิดพลาด การ ละเลยหรอื เพิกเฉยในขั้นน้ีจะทำให้ยากแก่การพัฒนาแนวความคิดของเด็กซึ่งจะไม่เปน็ ไปตามจุดมุง่ หมาย ที่ครูวางไว้ นอกจากนี้ยังเน้นให้นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวติ ประจำวันได้ บทบาทของครูและนักเรียนในการเรยี นรู้แบบสืบเสาะ 7 ขัน้ ตารางที่ 2.2 แสดงบทบาทของครแู ละนักเรยี นในการเรียนรแู้ บบสืบเสาะ 7 ขน้ั ขน้ั การเรยี นรู้ บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน 1. ตรวจสอบความรู้ - ตัง้ คำถาม/กำหนดประเด็น - ตอบคำถามตามความเข้าใจ เดิม (elicit) ปญั หา ตนเอง - กระตนุ้ ใหน้ ักเรียนไดแ้ สดง - แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ ความรเู้ ดิม - อภปิ รายร่วมกันระหว่างครูกบั - ตรวจสอบความร้ปู ระสบการณ์ นักเรียน และนกั เรียนกับ เดิมของนักเรยี น นักเรียน - เติมเตม็ ประสบการณ์เดิม - วางแผนการจัดการเรยี นรู้ 2. เร้าความสนใจ - สร้างความสนใจ - ถามคำถามตามประเดน็ (engage) - กระต้นุ ให้ร่วมกนั คดิ - แสดงความสนใจในเหตุการณ์ - ต้ังคำถามกระตุ้นใหค้ ิด - กระหายอยากรู้คำตอบ - สร้างความกระหายใคร่รู้ - แสดงความคิดเหน็ และ - ยกตัวอย่างประเดน็ ทนี่ ่าสนใจ นำเสนอ ความคิด - จัดสถานการณ์ใหน้ ักเรยี นสนใจ - นำเสนอประเดน็ /สถานการณ์ - ดงึ คำตอบทยี่ ังไม่ชดั เจนนัก มา ท่สี นใจ คิดและอภปิ รายรว่ มกัน - อภปิ รายประเดน็ ทต่ี ้องการทราบ
18 ขั้นการเรยี นรู้ บทบาทของครู บทบาทของนักเรยี น 3. สำรวจค้นหา - ส่งเสรมิ ให้นักเรยี นทำงาน - คิดอยา่ งอสิ ระแต่อยู่ใน (explore) รว่ มกนั ในการสำรวจตรวจสอบ ขอบเขตของกิจกรรมสำรวจ - ซกั ถามนักเรียนเพ่ือนำไปสกู่ าร - ตรวจสอบ ทดสอบการ สำรวจค้นหา คาดคะเน สมมติฐาน - สังเกตและรับฟงั ความคิดเห็น - คาดคะเนและตัง้ สมมติฐานใหม่ ของนักเรียน - พยายามหาทางเลือกในการ - ให้ข้อเสนอแนะ คำปรกึ ษาแก่ แก้ปัญหาและอภิปราย นักเรยี น ทางเลือกกับคนอนื่ ๆ - ให้กำลงั ใจและเสนอประเด็นท่ี - บันทกึ การสงั เกตและให้ ชแ้ี นะแนวทางนำไปส่กู าร ขอ้ คดิ เห็น สำรวจตรวจสอบ - ลงข้อสรุปบนพ้ืนฐานของ - สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนได้สำรวจ ข้อมูลทม่ี ีความนา่ เช่ือถือได้ ตรวจสอบ โดยใช้กระบวนการ - ใชท้ กั ษะกระบวนการทาง ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ในการสำรวจ - สง่ เสรมิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ตรวจสอบ ทางวิทยาศาสตร์ - เสริมสร้างเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 4. อธิบาย (explain) - สง่ เสรมิ ให้นกั เรียนได้คิดและ - อธบิ ายการแกป้ ัญหาหรือคำตอบ แสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระ - รบั ฟังคำอธบิ ายของตนอื่น อยา่ งสร้างสรรค์ - สง่ เสรมิ ให้นักเรยี นอธบิ าย - คิดวเิ คราะห์วิจารณ์ในประเด็น ความคดิ รวบยอดตามความ ที่เพ่ือนนำเสนอ เข้าใจของตวั เอง - ถามคำถามอย่างสรา้ งสรรค์ - ให้นกั เรียนแสดงหลกั ฐาน ให้ เกี่ยวกับสง่ิ ทค่ี นอ่นื ได้ เหตุผลอยา่ งเหมาะสม - อธบิ ายรบั ฟงั และพยายามทำ - ใหน้ ักเรยี นอธบิ าย ใหค้ ำจำกัด ความเข้าใจเกย่ี วกับสิง่ ที่ครู ความและบ่งชี้ประเด็นท่สี ำคัญ - อธบิ ายอ้างอิงกิจกรรมที่ได้ จากปรากฏการณ์ได้ ปฏบิ ตั มิ า - ใหน้ ักเรยี นใช้ประสบการณ์ - ใหข้ อ้ มลู ที่ไดจ้ ากการบนั ทึก เดิมของตนเปน็ พืน้ ฐาน 5. ขยายความรู้ - ส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดน้ ำ - นำข้อมูลท่ีได้จากการสำรวจ (elaborate) ความรู้ท่ีเรยี นมาไปปรับ ตรวจสอบไปปรับประยุกต์ ประยุกต์ - ใช้ในสถานการณใ์ หม่ทีค่ ล้าย ใช้ให้เกดิ ประโยชนอ์ ยา่ ง กับสถานการณ์เดิม สรา้ งสรรค์ - ใช้ข้อมูลเดมิ ในการถามตาม - ส่งเสริมให้นกั เรยี นไดน้ ำ ความรู้ที่เรยี นมาไปปรับ
19 6. ประเมินผล ประยกุ ต์ใช้หรือขยายความรู้ใน ความมุ่งหมายของการทดลอง (evaluate) สถานการใหม่ - บนั ทกึ การสังเกตข้ออธิบาย - สง่ เสริมใหน้ ักเรียนไดน้ ำ ตรวจสอบความเข้าใจตนเอง 7. นำความรูไ้ ปใช้ ความรูท้ เ่ี รยี นมาไปปรบั ด้วยการอภิปรายข้อค้น (extend) ประยุกต์ - พบกบั เพ่ือนๆ ใช้ตามบริบท - เปิดโอกาสใหน้ กั เรียนได้ - ตอบคำถามโดยอาศยั ประจักษ์ อธบิ ายความรู้ความเข้าใจ พยานหลกั ฐาน และคำ อยา่ งหลากหลาย - อธิบายท่ียอมรับได้ - ใหน้ ักเรียนอ้างองิ ข้อมูลทม่ี ีอยู่ - แสดงความรูค้ วามเขา้ ใจของ พร้อมท้ังแสดงหลกั ฐาน และ ตนเอง จากกิจกรรม ถามคำถามเก่ยี วกบั สง่ิ ท่ีนกั - สำรวจ ตรวจสอบ - เรียนไดเ้ รยี นรู้ - เสนอแนะข้อคำถามหรือ ประเด็นทีเ่ กี่ยวข้อง เพ่ือส่ง - สังเกตนกั เรยี นในการนำ เสริมใหม้ กี ารนำกระบวนการ ความคดิ รวบยอด ทางวิทยาศาสตร์ไป และทักษะใหมไ่ ปปรบั ใช้ - ใช้ในการสำรวจตรวจสอบ ประเมนิ ต่อไป ความร้แู ละทักษะนกั เรยี น - หาหลักฐานทแ่ี สดงว่านักเรียน - นำความรู้ท่ีได้ไปปรับใช้อย่าง ไดเ้ ปล่ียนความคิดหรือ เหมาะสม พฤติกรรม - ใช้ทกั ษะกระบวนการทาง - ให้นักเรยี นประเมนิ ตนเอง วทิ ยาศาสตรใ์ นการเช่ือมโยง เกย่ี วกับการเรียนรแู้ ละทกั ษะ เน้ือหา กระบวนการกลุ่ม สาระไปสกู่ ารแกป้ ญั หา - ถามคำถามปลายเปดิ ใน - มคี ุณธรรม จริยธรรม ในการ ประเด็นตา่ งๆ หรอื สถานการณ์ นำความรไู้ ปปรับใช้ใน ทก่ี ำหนดได้ ชีวิตประจำวัน - กระตุ้นให้นักเรียนตั้งข้อคำถาม ตามประเดน็ ทีส่ อดคล้องกับ บริบท - กระตนุ้ ใหน้ กั เรียนนำส่งิ ทีไ่ ด้ เรยี นรู้ไปปรบั ใช้ - แนะแนวทางในการนำความรู้ เดิมไปสรา้ งเปน็ องค์ความรู้ใหม่ - ปรับปรุงวธิ ีการจดั การเรียน การสอน
20 ความพึงพอใจ ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่มีผลต่อ ความสำเร็จของงาน ให้งาน เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ซึ่งเป็นผลมาจาก การ ได้รับการตอบสนองตาม ความต้องการของแต่ละบุคคลในแนวทางที่เขาพึงประสงค์ ผู้ศึกษาได้ศึกษา เกี่ยวกับความหมายของความพึงพอใจ โดยมีผู้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้หลายทรรศนะด้วยกัน ดังนี้ 1. กรรณิกา นาคคำ (2547:27) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจ คือ ความรู้สึกที่ดีที่มีต่องานหรือสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไปแล้ว ซึ่งสิ่งนั้นได้ตอบสนอง ความต้องการของ ตนเองแลว้ ในระดับหนึ่ง 2. ระพินทร์ โพธศิ์ รี (2549:38) ไดใ้ ห้ความหมายว่า ความพงึ พอใจคือความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งอาจมากหรือน้อยก็ได้ของแต่ละบุคคลที่มีต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เป็นความรู้สึกที่อาจดำรงอยู่ได้นาน พอสมควร 3. นิกสันต์ คลังแสง (2550:44) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจคือความรู้ ของบุคคลต่อสิ่งตา่ ง ๆ ในทางบวกและเป็นความรู้สึกที่สามารถเปล่ียนแปลง ได้เมื่อเวลาหรอื สถานการณ์ เปลี่ยนไป ดังนั้นความพึงพอใจในการเรียนจึงหมายถึงความรู้สึกที่พอใจ ที่มีต่อการได้ร่วมปฏบิ ัติกจิ กรรม การเรียนการสอนจนบรรลผุ ลหรือเป้าหมายของการเรยี นรู้ 4. เทพพิทักษ์ ดอนเกดิ (2551:41) ใหค้ วามหมายความพึงพอใจไว้ว่า ความพงึ พอใจ คือระดับ ความรูส้ กึ ทางด้านอารมณ์ของบุคคลทม่ี ีต่อส่ิงใดส่ิงหนึ่งวา่ มีความรู้สกึ วา่ รกั ชอบ พงึ พอใจ และมีทัศนคติ ทดี่ ตี ่อสง่ิ ทีไ่ ดร้ บั หรือไดป้ ฏบิ ตั ิตอ่ สงิ่ นน้ั ในทางบวก จากความหมายของความพึงพอใจสรปุ ไดว้ ่า ความพงึ พอใจเป็นความร้สู กึ ในทางบวก ความรู้สึกที่ มีความสุขเมื่อได้รับผลสำเร็จหรือผลตอบแทนจากการปฏิบัติงานตามที่บุคคลนั้นปรารถนา ทำให้บุคคล เกิดความกระตือรือร้น มุ่งมั่นมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ซึ่งเป็นผลดีต่อการปฏิบัติงานและบังเกิด ผลดีอย่างย่ิงตอ่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ใหแ้ ก่นกั เรียน การวัดความพงึ พอใจ ภณิดา ชัยปัญญา ( 2541 : 11 ) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดความพึงพอใจนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถ กระทำได้ในลกั ษณะกำหนดคำตอบให้เลือก หรอื ตอบคำถามอสิ ระ คำถามดังกล่าว อาจถามความพอใจใน ดา้ นต่าง ๆ เพ่อื ให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มกั ใชใ้ นกรณที ี่ต้องการข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมาก ๆ วิธีน้ีนับเปน็ วิธีที่นิยมใช้กันมากทีส่ ุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใช้มาตรวดั ทัศนคติ ซึ่ง ทน่ี ิยมใชใ้ นปจั จบุ ันวิธีหน่ึง คอื มาตราสว่ นแบบลิเคิรท์ ประกอบดว้ ยข้อความที่แสดงถึงทัศนคติของบุคคล ที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีคำตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 คำตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปาน กลาง น้อย นอ้ ยท่สี ุด 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการเตรียม แผนงานลว่ งหน้า เพ่ือให้ได้ขอ้ มูลที่เป็นจริงมากที่สดุ 3. การสังเกต เป็นวิธวี ดั ความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบคุ คลเปา้ หมายไม่ว่าจะ แสงดออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และสังเกตอย่างมีระเบียบ แบบแผน วิธีนี้เปน็ วิธีการศกึ ษาทเ่ี กา่ แก่ และยงั เปน็ ท่ีนิยมใช้อยา่ งแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน
21 จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจ สรุปได้ว่าการวัดความพึงพอใจเป็นการบอกถึง ความชอบของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งสามารถวัดได้หลายวิธี การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม ความคดิ เห็น การใชแ้ บบสำรวจความรสู้ ึก งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง งานวิจยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกับการจัดการเรยี นรแู้ บบวัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สรินทิพย์ วงษ์สำราญ (2557:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เรื่อง สมบัติของธาตุและสารประกอบตามหมู่ตามคาบ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วัฎจักร การเรียนรู้ 7 ข้ัน การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาประสิทธิภาพและดัชนี ประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียน ของนักเรียนที่เรยี นด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นกลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/1 โรงเรียนมธั ยมวาริชภมู ิ อำเภอวาริชภูมิ จงั หวดั สกลนคร สำนักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 23 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2556 จำนวน 34 คน ได้มาโดยการสุม่ แบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ การจัด กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชว้ ฎั จักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น จำนวน 30 ข้อ มคี า่ ความยาก ตง้ั แต่ .33 ถึง .72 มีค่าอำนาจจำแนกตัง้ แต่ .22 ถงึ .89 มีค่าความเชอื่ มัน่ เทา่ กับ .76 และ แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วัฎจักร การเรียนรู้ 7 ขั้น จำนวน 15 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .46 ถึง .78 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .83 สถิติที่ใช้ได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละและ t-test (Dependent Samples) ผลการศึกษา พบว่า (1) ประสิทธิภาพ ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น มีค่าเท่ากับ 80.38/79.71 และดัชนี ประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ .6109 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขั้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 (3) นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจมากต่อการจัดกจิ กรรม การเรยี นรูโ้ ดยใชว้ ัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขน้ นิดารัตน์ แก้วพิกุล (2554:109) ได้วิจัยการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี และ ความสามารถด้านการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ที่ได้รับการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้การเปลี่ยนแปลงแนวความคิด และการจัดการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .01 จีรนนั ท์ จันทยทุ ธ (2554:95) ไดว้ จิ ัยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความพึงพอใจต่อ การเรียน เรื่องพันธะเคมี และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่เรียนแบบวัฏจักรการ เรียนรู้ 7 ขั้น กับแบบปกติผลการศึกษาพบว่า นักเรียนที่เรียนแบบวฎั จกั ร การเรียนรู้ 7 ขั้น มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน ความพึงพอใจต่อการเรียนสูงกว่า นักเรียนที่เรียนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.017) พิชามญช์ พันธุ์ยุลา (2554:100) ได้วิจัยการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และ สมรรถนะทางวทิ ยาศาสตรด์ ้านแรงจูงใจในการเรยี นวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ท่ไี ด้รบั การจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานและการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ขั้น ผล การศึกษาพบว่า นักเรียนที่ไดร้ ับการจัดการเรียนรูแ้ บบวัฎจกั รการเรยี นรู้ 7 ขั้น (7E) มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวชิ าเคมหี ลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .01
22 วารุณี อินทรบำรุง (2554:87) ได้ศึกษาการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สารชีว โมเลกุล กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ผลการศึกษาพบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น มีประสิทธิภาพ 84.48/86.20 ซึง่ สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 มคี า่ ดัชนีประสิทธิผลเทา่ กบั 0.8165 แสดงว่าผเู้ รยี นมคี วามกา้ วหนา้ ทางการเรียนเพิม่ ขึ้น ร้อยละ 81.65 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสำคัญ ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .01 ณัฐมน เดชมา (2555:107-112) ได้วิจัยการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง สารและสมบัติ ของสาร และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้วัฎจักรการ เรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ร่วมกับการใช้แผนผังมโนทัศน์ ผลการศึกษาพบว่า นักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในพฤติกรรมด้านความเข้าใจมากที่สุด รองลงมาคือการนาไปใช้ และ การวิเคราะห์ตามลำดบั
23 บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกรด-เบส โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎ จักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ครั้งนี้เป็นแบบ แผนการวิจัยแบบก่ึงทดลอง (Quasi experimental Design) แบบแผน Nonrandomized Control- Group Pretest – Posttest Design มรี ายละเอียดของวิธีดำเนนิ การวิจัย ดงั นี้ 1. เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวิจัย 2. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3. การวเิ คราะห์ข้อมลู 4. สถติ ิท่ใี ช้ในการวจิ ยั เครอื่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เรื่องกรด-เบส สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 จำนวน 9 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาเคมี เร่อื ง กรด-เบส 3. แบบวัดความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนการสอนตามวัฏจักรการ เรยี นรู้ 7 ข้ัน รายละเอยี ดของเคร่ืองมอื และการพฒั นาเคร่ืองมอื มรี ายละเอยี ดดังน้ี 1. แผนการจัดการเรยี นรตู้ ามแบบวฎั จักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั เรือ่ ง กรด-เบส 1.1 ขน้ั ตอนการสร้างแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ตามแบบวฎั จกั รการเรยี นรู้ 7 ข้ัน ในการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาเคมี เรื่อง กรด-เบส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 30 ช่ัวโมง ผู้วจิ ัยดำเนนิ การสรา้ งตามขั้นตอนดงั น้ี 1. ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง) คู่มือการ จัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เอกสารท่เี กยี่ วขอ้ งกับกลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรห์ นว่ ยท่ี 1 เร่อื ง อะตอมและสมบัตขิ องธาตุ 2. วเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนร้วู ชิ าเคมีชว่ งช้ันท่ี 4 สาระการเรยี นรู้ ตัวช้ีวดั ช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 5 กำหนดสาระการเรียนรู้ ตัวชี้วดั ผลการเรียนรู้จากสาระการเรยี นรู้วิชาเคมี เรื่องอะตอมและตาราง ธาตุ ที่ประกอบดว้ ยเนอ้ื หาย่อยดังน้ี 1. ทฤษฎี กรด-เบส 2. คกู่ รด – เบส 3. การแตกตวั ของกรด เบส และนำ้ 4. สมบัตกิ รด เบสของเกลือ 5. pH ของสารละลายกรดและเบส 6. ปฏกิ ิริยาระหว่างกรดและเบส 7. การไทเทรตกรด-เบส 8. สารละลายบฟั เฟอร์
24 9. การประยกุ ตใ์ ช้ความรูเ้ ก่ยี วกับกรด-เบส 1.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบวัฎจักรการ เรยี นรู้ 7 ขั้น เพือ่ เป็นแนวทางในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 1.3 สร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น จำนวน 35 ชั่วโมง แตล่ ะแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วยรายละเอยี ดดงั น้ี 1) สาระหลัก 2) มาตรฐานการเรียนรู้ 3) สาระการเรยี นรู้ 4) รายละเอยี ดของสาระการเรยี นรู้ 5) ตวั ชว้ี ดั / ผลการเรียนรู้ 6) กระบวนการจัดการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ตอน ดงั น้ี (1) ขนั้ ตรวจสอบความร้เู ดมิ (2) ขัน้ เรา้ ความสนใจ (3) ขน้ั สำรวจและค้นหา (4) ขัน้ อธิบาย (5) ขน้ั ขยายความคดิ (6) ขั้นประเมนิ ผล (7) ขน้ั นำความรู้ไปใช้ 7) สอ่ื การเรียนร้แู ละแหล่งการเรียนรู้ 8) การวดั ผลประเมินผล 1.4 การหาคุณภาพของแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบวัฎจกั รการเรียนรู้ 7 ขนั้ 1) นำแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบวัฎจกั รการเรยี นรู้ 7 ขั้น ท่สี รา้ งข้ึนเสนอต่อครูพี่ เลี้ยง เพื่อพิจารณาความสอดคล้องของจุดประสงค์ เนื้อหา วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ แหลง่ การเรียนรู้ การวัดผลประเมนิ ผล เพือ่ ใหไ้ ด้ข้อมูลท่ีถูกตอ้ งสมบูรณ์ 2) นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น มาปรับปรุงแก้ไขแล้ว เขยี นเปน็ ฉบบั จรงิ แลว้ ไปใชส้ อนจรงิ เพอ่ื เก็บขอ้ มูลต่อไป 2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมี เรือ่ ง กรด-เบส 2.1 ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกรด-เบส สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบทดสอบ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ มี 4 ตัวเลือก มีจำนวน 15 ข้อ ที่มีความ สอดคลอ้ งกับเน้อื หา และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 2.2 การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน ผูว้ ิจัยดำเนินตามข้ันตอนดังน้ี 1. ศึกษาวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากเอกสารเกี่ยวกับการวัด การ ประเมินผล และการสรา้ งขอ้ สอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ 2. ศึกษาเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้จากคู่มือการจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ตามหลักสูตรการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ 2560) ซึ่งจัดทำ โดยสถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ
25 3. สร้างผังการออกข้อสอบ จากการวิเคราะห์เนื้อหา และพฤติกรรม โดยให้ครอบคลุมสาระ การเรียนรแู้ ละมาตรฐานการเรยี นรู้จากคมู่ ือการจดั สาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ตาม หลกั สตู รการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) 4. สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เร่ือง กรด-เบส จำนวน 40 ข้อ 2.3 การพฒั นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผวู้ จิ ยั ได้พัฒนาแบบทดสอบ วัดผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน ดังนี้ 1. นำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนไปหาความตรงเชิงเน้ือหา โดยใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญดา้ น เนอ้ื หาจำนวน 3 คน ประเมนิ ความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับเน้ือหาและพฤติกรรม ในขั้นนี้ผู้วิจัยนำความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ (Item–objective congrucnce : IOC) จึงได้จัดทำตารางวิเคราะห์เนื้อหา ให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ โดยพิจารณาว่าแบบทดสอบแต่ละข้อสามารถวัดความรู้ความสามารถของผู้เรียน ตามเนือ้ หาและพฤติกรรมหรือไม่ โดยใชเ้ กณฑใ์ นการพจิ ารณาดังน้ี ให้คะแนน +1 เมอ่ื แน่ใจว่าข้อสอบวัดได้ตรงตามเน้อื หาและพฤตกิ รรม ใหค้ ะแนน -1 เม่อื แน่ใจวา่ ข้อสอบวัดไม่ตรงตามเนอื้ หาและพฤตกิ รรม ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แนใ่ จวา่ ข้อสอบวดั ได้ตรงตามเนอ้ื หาและพฤติกรรมหรอื ไม่ 2. นำผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน มาหาค่า IOC เป็นรายข้อ และคัดเลือก ขอ้ สอบท่มี คี า่ ดัชนีความสอดคล้องตงั้ แต่ 0.5 ขึน้ ไป และปรับปรุงขอ้ สอบท่ีมีค่าดชั นีความสอดคล้องต่ำกว่า 0.5 ใหม้ คี วามถูกต้อง และนาไปใหผ้ ู้เช่ยี วชาญวิเคราะห์หาค่า IOC อกี คร้งั หน่งึ เพื่อให้ได้ข้อสอบท่ีถูกต้อง สมบูรณ์ 3. แบบทดสอบวัดความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนการสอนตามวัฎจักรการ เรียนรู้ 7 ขั้น 3.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับแบบสอบถามความพึงพอใจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้าง แบบสอบถามความพงึ พอใจ 3.2 กำหนดรายการประเมินให้ครอบคลุม โดยพิจารณาจากประเด็นความน่าสนใจ ความเข้าใจ ในเนื้อหา การนำเสนอ การสืบค้นข้อมูล รูปแบบของบทเรียน ภาพ สี ขนาดตัวอักษร ความเชื่อมโยงและ ประโยชน์จากการศกึ ษา 3.3 สร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจตามรายการประเมิน โดยกำหนดรูปแบบของแบบสอบถาม ความพึงพอใจ โดยใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ที่มีระดับความพึงพอใจให้เลือก 5 ระดับ จำนวน 20 ขอ้ เกณฑ์การให้คะแนนคือ ความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากทีส่ ดุ 5 ความพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก 4 ความพงึ พอใจอยู่ในระดับปานกลาง 3 ความพงึ พอใจอยูใ่ นระดบั น้อย 2 ความพึงพอใจอยใู่ นระดับนอ้ ยท่ีสุด 1 3.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นเสนอครูพี่เลี้ยง เพื่อพิจารณาความเที่ยงตรงของ เน้ือหาภาษาทีใ่ ช้ของแบบสอบถามความพึงพอใจ
26 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ในการวจิ ัยครงั้ นด้ี ำเนนิ การรวบรวมข้อมลู ตามขัน้ ตอนดงั น้ี 1. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง กรด-เบส ฉบบั ก่อนเรียน จำนวน 1 ชว่ั โมง 2. ดำเนินการสอนตามวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น วิชาเคมี เรื่องกรด-เบส สำหรับนักเรียนขั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้วิจัยเป็นครูผู้สอน และจดบันทึกหลังสอนทุกครั้ง ระยะเวลาการสอนจำนวน 30 ช่วั โมง 3. เมื่อดำเนินการสอนเสร็จสิ้นจึงทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบ วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาเคมี เร่ืองกรด-เบส ฉบับหลังเรยี น จำนวน 1 ชว่ั โมงและตอบแบบสอบถาม ความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนการสอนตามวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น สำหรับ นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 4. ตรวจผลการสอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีและแบบสอบถามความพึง พอใจ แล้วนำคะแนนมาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไปวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและ สถิติทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูล 1. การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ผวู้ จิ ยั ไดด้ ำเนนิ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามขั้นตอนดังน้ี 1.1 คะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี โดยเปรียบเทียบการ ทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น ด้วย t-test 1.2 คะแนนจากแบบสอบถามความพึงพอใจในการจดั การเรียนการสอนโดยใชก้ ารเรียน การสอนตามวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น โดยเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยจากการตอบแบบสอบถามในการ จัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนการสอนตามวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น กับเกณฑ์ในการแปล ความหมายของค่าเฉลย่ี ระดบั ความพึงพอใจ ดงั น้ี คะแนนเฉล่ยี 4.51 - 5.00 แปลผลเป็นระดบั ความพงึ พอใจ มากทส่ี ุด คะแนนเฉลีย่ 3.51 - 4.50 แปลผลเป็นระดบั ความพงึ พอใจ มาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 - 3.50 แปลผลเปน็ ระดับความพงึ พอใจ ปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 - 2.50 แปลผลเป็นระดบั ความพึงพอใจ น้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 - 1.50 แปลผลเปน็ ระดบั ความพงึ พอใจ น้อยทีส่ ุด สถติ ทิ ่ใี ช้ในการวิจยั ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลในการวจิ ยั ครง้ั นีผ้ วู้ ิจัยใช้ค่าสถติ ดิ งั น้ี 1. ค่าเฉล่ีย ( X ) 2. ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ( S.D. ) 3. รอ้ ยล่ะ 4. เปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียน โดยใช้วธิ ีการทางสถติ ิ t-test แบบ Dependen
27 บทท่ี 4 ผลการวจิ ัย การวจิ ยั คร้งั น้ี เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เรื่องกรด-เบส ระหว่างกอ่ นกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจกั รการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธกี ารสอนตามแบบวัฎจักรการเรยี นรู้ 7 ข้ัน เร่ือง กรด-เบส ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 ผวู้ จิ ัยได้เสนอผลการ วิเคราะห์ขอ้ มลู การวิจัยโดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องอะตอมและตารางธาตุ โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎ จักรการเรยี นรู้ 7 ขั้นของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 1.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรอื่ งกรด-เบส ระหว่างกอ่ นกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 1.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขนั้ เรอ่ื งกรด-เบส ของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31
28 การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอ่ื ง กรด-เบส โดยใช้วิธกี ารเรยี นรแู้ บบ วฎั จกั รการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น เร่อื งกรด-เบส ระหว่างก่อนกบั หลังเรยี น โดยใช้วธิ ีการเรียนรแู้ บบวฎั จักรการเรียนรู้ 7 ขัน้ ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชา นเุ คราะห์ 31 ใชก้ ารวเิ คราะหด์ ้วยสถติ ิ t-test dependent samples ผลการวเิ คราะหป์ รากฏดังตารางท่ี 4.1 ตารางที่ 4.1 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน และผลตา่ งของคะแนนก่อนเรยี นและหลังเรียน เพ่อื หาคา่ df จากสูตร เรือ่ ง กรด-เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้วิธกี ารเรียนรูแ้ บบวฎั จักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 นักศึกษา คะแนน คะแนน คะแนน ผลตา่ ง คนท่ี กอ่ นเรยี น หลังเรียน D D2 1 6.00 14.00 8.00 64.00 2 8.00 15.00 7.00 49.00 3 13.00 18.00 5.00 25.00 4 5.00 12.00 7.00 49.00 5 10.00 16.00 6.00 36.00 6 15.00 18.00 3.00 9.00 7 11.00 16.00 5.00 25.00 8 2.00 12.00 10.00 100.00 9 4.00 11.00 7.00 49.00 10 9.00 17.00 8.00 64.00 11 9.00 16.00 7.00 49.00 12 6.00 12.00 6.00 36.00 13 13.00 17.00 4.00 16.00 14 8.00 16.00 8.00 64.00 15 7.00 16.00 9.00 81.00 16 6.00 12.00 6.00 36.00
29 นกั ศกึ ษา คะแนน คะแนน คะแนน ผลต่าง คนท่ี ก่อนเรียน หลังเรยี น 7.00 13.00 D D2 17 11.00 16.00 6.00 36.00 18 4.00 11.00 5.00 25.00 19 9.00 17.00 7.00 49.00 20 9.00 16.00 8.00 64.00 21 6.00 12.00 7.00 49.00 22 13.00 17.00 6.00 36.00 23 10.00 16.00 4.00 16.00 24 15.00 18.00 6.00 36.00 25 11.00 16.00 3.00 9.00 26 9.00 17.00 5.00 25.00 27 9.00 16.00 8.00 64.00 28 7.00 49.00 จากจากตารางท่ี 4.1 แสดงว่า ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เรือ่ ง กรด-เบส ระหว่างก่อนกบั หลงั เรยี น โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชา นเุ คราะห์ 31 แตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .01 นั่นคือ หลังการเรียนเร่อื ง กรด-เบส โดยใช้ วธิ ีการเรยี นรแู้ บบวัฎจักรการเรยี นรู้ 7 นกั เรียนมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเรื่อง กรด-เบส สงู กว่ากอ่ นเรยี น ตารางท่ี 4.2 คา่ เฉล่ีย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ค่าสถติ ิทดสอบที และระดบั นัยสำคัญทางสถิติใน การทดสอบเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน Mean S.D. คา่ เฉลี่ยของ S.D. Sig ผลต่าง คา่ เฉล่ยี tt df 1 ผลตา่ ง tailed กอ่ นเรยี น 8.22 3.281 6.64 1.932 23.065** 44 0.000 หลงั เรยี น 14.87 2.292 จากตารางที่ 4.2 พบว่า การทดสอบคะแนนของผู้เรียน มีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 8.22 คะแนน และมคี ะแนนเฉลีย่ หลงั เรยี น เทา่ กับ 14.87 คะแนนเมอื่ เปรียบเทียบระหวา่ งคะแนนสอบทั้งสอง ครง้ั พบว่าคะแนนสอบหลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี นอยา่ งมนี ัยสำคัญที่ระดับ 0.1
30 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่อง กรด- เบส ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 การศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน เร่อื งกรด-เบส ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ผลการวเิ คราะห์ปรากฏ ดังตารางท่ี 4.3 , 4.4 , 4.5 ตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ะดับความพึงพอใจรายข้อของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตาม แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่อง กรด-เบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 ผลการ ้ขอ ี่ท 1 วเิ คราะห์ ้ขอ ี่ท 2 ้ขอ ี่ท 3 ้ขอ ี่ท 4 ้ขอ ่ีท 5 ้ขอ ่ีท 6 ้ขอ ี่ท 7 ้ขอ ี่ท 8 ้ขอ ่ีท 9 ้ขอ ี่ท 10 ้ขอ ี่ท 11 ้ขอ ี่ท 12 ้ขอ ี่ท 13 ้ขอ ี่ท 14 ้ขอ ่ีท 15 จำนวนคน 28 28 28 28 28 28 28 28 28 28 28 28 28 28 28 คะแนนรวม 213 213 195 213 209 209 209 213 213 213 213 191 204 190 212 คะแนนต่ำสุด 3 4 4 4 4 4 4 3 3 4 4 3 4 3 4 คะแนนสงู สดุ 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 คา่ เฉลย่ี 4.73 4.73 4.33 4.73 4.64 4.64 4.64 4.73 4.73 4.73 4.73 4.24 4.53 4.22 4.71 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน 0.62 0.45 0.48 0.45 0.48 0.48 0.48 0.62 0.62 0.45 0.45 0.61 0.50 0.60 0.46 C.V.(%) 13.05 9.45 11.00 9.45 10.42 10.42 10.42 13.05 13.05 9.45 9.45 14.34 11.13 14.18 9.73 มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก แปลผล ทส่ี ุด ท่สี ุด มาก ที่สดุ ท่ีสดุ ท่สี ดุ ทส่ี ดุ ที่สดุ ที่สุด ทสี่ ดุ ทส่ี ุด มาก ท่สี ุด มาก ทสี่ ุด วเิ คราะห์ ข้อที่ 1 คณุ ภาพ ข้อที่ 2 เครื่องมอื ข้อที่ 3 ้ขอ ี่ท 4 ค่าอำนาจ ้ขอ ่ีท 5 จำแนก ข้อ ่ีท 6 ข้อ ่ีท 7 ้ขอที่ 8 ข้อที่ 9 ข้อที่ 10 ข้อท่ี 11 ข้อที่ 12 ข้อ ่ีท 13 ข้อ ีท่ 14 ข้อที่ 15 0.76 0.82 0.61 0.51 0.88 0.88 0.88 0.79 0.79 0.85 0.81 0.79 0.76 0.69 0.05 Sig 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.76 แปลผล yes yes yes yes yes yes yes yes yes yes yes yes yes yes no ค่าความเชอ่ื มนั่ มีค่าเทา่ กับ 0.9480 ** หมายเหตุ : คา่ อำนาจจำแนกแบบ Item Total Correlationและค่าความเชอ่ื ม่นั แบบสมั ประสิทธ์ิแอลฟา
31 ตารางที่ 4.4 ผลการวิเคราะห์ะดับความพึงพอใจรายบุคคลของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตาม แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่อง กรด-เบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 ผลการวิเคราะห์ กลมุ่ จำนวนขอ้ ท่ี คะแนน คา่ เฉลยี่ ส่วนเบยี่ งเบน สมั ประสทิ ธ์ิการ ตวั อย่าง ตอบ มาตรฐาน กระจาย (%) รวม คนท่ี X (C.V.) 11.52 (Sum.) (Mean : ) (S.D.) 9.67 11.26 1 15 66 4.40 0.51 9.67 0.00 2 15 71 4.73 0.46 8.63 5.23 3 15 65 4.33 0.49 0.00 17.79 4 15 71 4.73 0.46 0.00 11.52 5 15 75 5.00 0.00 9.67 11.26 6 15 72 4.80 0.41 9.67 0.00 7 15 74 4.93 0.26 8.63 5.23 8 15 60 4.00 0.00 0.00 0.00 9 15 57 3.80 0.68 8.63 5.23 10 15 75 5.00 0.00 0.00 11 15 66 4.40 0.51 12 15 71 4.73 0.46 13 15 65 4.33 0.49 14 15 71 4.73 0.46 15 15 75 5.00 0.00 16 15 72 4.80 0.41 17 15 74 4.93 0.26 18 15 60 4.00 0.00 19 15 75 5.00 0.00 20 15 72 4.80 0.41 21 15 74 4.93 0.26 22 15 60 4.00 0.00
32 23 15 57 3.80 0.68 17.79 24 15 66 4.40 0.51 11.52 25 15 71 4.73 0.46 9.67 26 15 65 4.33 0.49 11.26 27 15 66 4.40 0.51 11.52 28 15 71 4.73 0.46 9.67 ตารางที่ 4.5 ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจรวมของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตาม แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่อง กรด-เบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 ผลการวเิ คราะห์ ภาพรวม คะแนนรวม 3110 คา่ เฉล่ีย 4.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.40 C.V.(%) 8.60 แปลผล มากท่ีสดุ จากจากตารางท่ี 4.3 , 4.4 , 4.5 แสดงว่า ผลการวิเคราะหร์ ะดับความพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อวิธีการ สอนตามแบบวฎั จักรการเรยี นรู้ 7 ขั้นเรอ่ื งกรด-เบส ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นราชประชา นุเคราะห์ 31 ผลการวิเคราะหพ์ บวา่ มีคะแนนรวมทั้งสิ้น 3,110 คะแนน ค่าเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 4.61 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน มีค่าเท่ากับ 0.40 C.V. (%) มีค่าเท่ากับ 8.60 ค่าความเชื่อมั่น มีค่าเท่ากับ 0.9480 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 อย่ใู นระดับมากท่สี ุด
33 บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายและขอ้ เสนอแนะ การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจักร การเรียนรู้ 7 ขน้ั ของนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 มีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกรด-เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการเรียนรู้ แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 2. เพ่ือ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่องกรด-เบส ของ นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 และมสี มมตฐิ านการวจิ ัยคอื 1. ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนเรื่องกรด-เบส หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ โรงเรียนราช-ประชานุเคราะห์ 31 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ วิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 อยู่ในระดับมากขึ้นไปกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ที่กำลังศึกษาอยู่ใน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็น กลุ่มทดลองจำนวน 28 คน และโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ตามแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เรื่องกรด-เบส สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าเคมี เรื่อง กรด-เบส เปน็ ขอ้ สอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และแบบวัดความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนการสอนตามวัฏจักรการ เรยี นรู้ 7 ขัน้ เปรยี บเทยี บคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นก่อนเรยี นและหลงั เรยี น โดย วิธีการทางสถิติ t-test แบบ Dependent สรุปผลการวจิ ัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวฎั จักร การเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ผู้วิจัยขอสรุป ผลการวิจัย มีรายละเอียดดงั น้ี 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกรด-เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการ เรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จากการวิจัยพบว่า การทดสอบคะแนนของผู้เรียน มีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 8.22 คะแนน และมี คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 14.87 คะแนนเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนสอบทั้งสองครั้ง พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ัยสำคัญท่รี ะดบั 0.1 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่อง กรด-เบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จากการวิจัยพบว่า ผลการ วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนตามแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเรื่องกรด- เบส ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ผลการวเิ คราะห์พบว่า มีคะแนน รวมท้ังสน้ิ 3,110 คะแนน ค่าเฉลยี่ มคี ่าเทา่ กับ 4.61 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน มคี า่ เท่ากับ 0.40 C.V. (%) มีค่าเท่ากับ 8.60 ค่าความเชื่อมั่น มีค่าเท่ากับ 0.9480 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอน ตามแบบวฎั จกั รการเรียนรู้ 7 ขน้ั ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 อยู่ใน ระดบั มากทส่ี ดุ
34 การอภิปรายผล การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบวฎั จักร การเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ผู้วิจัยสามารถ อภิปรายผลได้ดังนี้ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอ่ื งกรด-เบส ระหวา่ งกอ่ นกับหลังเรยี น โดยใช้ วธิ กี ารเรียนรแู้ บบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขัน้ ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 จากการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้วิธีการ เรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 แตกต่างกันอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติท่ีระดบั .01 น่ันคอื หลังการเรียนเรอ่ื ง กรด-เบส โดยใช้วิธีการเรียนรู้ แบบวฎั จกั รการเรยี นรู้ 7 นักเรียนมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนเรือ่ ง ททกรด-เบส สงู กว่าก่อนเรียน ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะเพือ่ นำผลการวจิ ัยไปใช้ 1. การสอนโดยการใช้ชุดการเรียนการสอนตามแบบวฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ใหน้ ักเรียน แสวงหาความรู้ข้อมูลต่าง ๆ ควบคู่กับการฝึกทักษะการคิดและรู้จักการนำความรู้ไปใช้ ซึ่งเหมาะกับการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูผู้สอนสามารถนาผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียน การสอนในห้องเรียนได้ 2. ครูผู้สอนควรนำชุดการเรียนการสอนตามตามแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ไปใช้ใน การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เพราะชุดการเรียนการสอนนี้ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของ นกั เรียนใหม้ ีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรส์ ูงข้นึ 3. การจัดการเรียนการสอนควรเริ่มจากความสนใจของนักเรียน อีกทั้งครูต้องมีความ อดทน ใจเย็นเปิดโอกาสให้นักเรียนและยอมรบั ความคิดเห็นของนกั เรยี น และครผู สู้ อนควรให้ความสำคัญ กับความรู้เดิมของนักเรยี นเพราะความรเู้ ดิมจะเปน็ พืน้ ฐานในการเรยี นรเู้ รื่องใหม่ ๆ ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้งั ต่อไป 1. ควรศึกษาผลการสอนตามแนวการสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป เช่น สารประกอบของคารบ์ อน ปรมิ าณสารสมั พนั ธ์ 2. ควรศึกษาเปรียบเทยี บผลการสอนตามแนวการสร้างความรู้ดว้ ยตนเองร่วมกับวธิ ีการ อนื่ ๆ เช่น การใชก้ ารสอนตามแนวการตามแบบวัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ร่วมกบั คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน 3. ควรมกี ารศกึ ษาปญั หาของครูหรือการจัดการเรยี นการสอนโดยใชว้ ิธีจดั การเรียน แบบ สรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง เพอ่ื ให้ได้แนวปฏิบัติในการนาวธิ ีการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ ด้วยตนเองไป ใช้
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: