Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาไทย หลักภาษา ม.5 ตอน 4 หลักการฟังและการดูสื่อ2

ภาษาไทย หลักภาษา ม.5 ตอน 4 หลักการฟังและการดูสื่อ2

Published by pearyzaa, 2020-12-01 03:37:04

Description: ภาษาไทย หลักภาษา ม.5 ตอน 4

Search

Read the Text Version

ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตอนที่ ๑ ตอนท่ี ๒ ตอนท่ี ๓ ตอนท่ี ๔ ๑_หลักสูตรวชิ าภาษาไทย ๒_แผนการจัดการเรียนรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_ใบงาน_เฉลย ๕_ข้อสอบประจาหนว่ ย_เฉลย ๖_ขอ้ สอบ_เฉลย ๗_การวดั และประเมินผล ๘_เสรมิ สาระ ๙_ส่อื เสริมการเรยี นรู้ บริษทั อกั ษรเจริญทศั น์ อจท. จำกดั : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com

๔ตอนที่ หลักภาษาและการใชภ้ าษา ๑หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ธรรมชาติ และพลงั ของภาษา จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ • อธบิ ำยธรรมชำตขิ องภำษำ พลังของภำษำและลกั ษณะของภำษำได้

ธรรมชาตขิ องภาษา ความหมายของภาษา “ภาษาในความหมายกวา้ ง” หมำยถึง ภำษำท่ใี ช้คำพูด (วัจนภำษำ) และภำษำทไ่ี มไ่ ดใ้ ชค้ ำพดู หรอื ภำษำท่ำทำง (อวจั นภำษำ) ท้งั น้ีภำษำ ในควำมหมำยน้ี อำจนับรวมภำษำของสตั ว์ดว้ ย แตเ่ ร่ืองภำษำของสัตว์น้ี ยงั มขี ้อมูลไมม่ ำกนกั จงึ ไมค่ ่อยมใี ครนำมำกลำ่ วรวมกับภำษำของมนุษย์ “ภาษาในความหมายแคบ” หมำยถงึ ภำษำทใ่ี ช้คำพดู จะเป็นคำพูด หรือลำยลักษณ์อกั ษร ซ่ึงเปน็ เครอื่ งหมำยใช้แทนคำพูดกไ็ ด้

ประเภทของภาษาทใี่ ช้ในการส่อื สาร วัจนภาษา อวจั นภาษา - คำท่ีมีควำมหมำยเหมือนกนั มีทีใ่ ชต้ ่ำงกนั - คำทเี่ ป็นภำษำพูด - กำรแสดงออกทำงใบหน้ำ - คำทเ่ี ป็นภำษำปำก - นำ้ เสยี ง - กำรใช้สำนวน - ท่ำทำง - กำรใช้ศัพท์เฉพำะในแวดวงเดียวกนั และ - กำรแต่งกำย กำรใช้คำผวน - กำรเคล่ือนไหว - กำรใช้ภำษำถน่ิ - กำรใช้มอื และแขน - กำรใชค้ ำคะนองและแสลงเฉพำะสมยั - กำรใชน้ ัยน์ตำ - กำรใชภ้ ำษำสญั ลกั ษณ์ตำ่ งๆ

ธรรมชาติของภาษา ภาษาใชเ้ สียง ภาษามกี ารเปล่ยี นแปลง หน่วยในภาษาประกอบ ส่อื ความหมาย กนั เป็นหน่วยทีใ่ หญ่ขึ้น ภาษายอ่ มมี ส่วนประกอบ ภาษาต่างๆ มีลักษณะ ที่เปน็ ระบบ ที่ตา่ งและคล้ายกัน มรี ะเบียบแบบแผน

๒หน่วยการเรยี นรู้ที่ ลักษณะของภาษาไทย จุดประสงค์การเรียนรู้ ๑. อธบิ ำยธรรมชำติของภำษำ พลงั ของภำษำและลักษณะของภำษำได้ ๒. ใชค้ ำและกลุ่มคำสรำ้ งประโยคตรงตำมวัตถุประสงค์ได้

ลกั ษณะสาคัญของภาษาไทย ไมม่ กี ำรเปล่ยี นแปลง ภำษำไทยสะกดตรง รปู ศัพท์ มำตรำ คำภำษำไทย ภำษำไทยมเี สยี ง ภำษำไทยมกี ำรเรียงคำ ภำษำไทย แท้ สว่ นใหญ่ วรรณยุกต์ ในประโยค มีกำรสรำ้ งคำ มีพยำงคเ์ ดยี ว ภำษำไทยมีระดับ ภำษำไทยจะวำงคำ ข้ึนใหม่ ขยำยไว้หลงั คำท่ถี ูก ขยำย ภำษำไทยมี คำลักษณนำม ภำษำไทยมวี รรคตอน ในกำรเขยี นและ จงั หวะในกำรพดู

เสยี งในภาษา เสยี งสระและรปู สระ ภำษำไทยมเี สยี งสระเด่ยี วหรอื สระแท้ ๙ คู่ หรือ ๑๘ หน่วยเสียง สระประสมหรอื สระเลือ่ น ๓ หนว่ ยเสยี ง ดังนี้

เสียงในภาษา เสยี งพยญั ชนะ และรูปพยัญชนะ พยัญชนะไทยมี ๔๔ รปู หรอื ๔๔ ตวั แต่ใชเ้ สยี งซำ้ กัน หลำยตัว จึงเหลือเสียงเมื่อเปน็ พยัญชนะต้นเพียง ๒๑ เสียง และเป็นพยญั ชนะท้ำยเพียง ๘ เสียง ขอ้ ควรสงั เกตรปู และเสียงของอกั ษรไทย ๑. รูปพยญั ชนะมมี ำกกวำ่ เสยี งพยญั ชนะ ๒. รปู พยญั ชนะแตกต่ำงกันแต่มีเสยี งเดยี วกัน เช่น คำ่ ข้ำ ๓. รูปพยัญชนะบำงรปู เลกิ ใช้แล้ว เช่น ฃ ฅ ๔. มกี ำรยมื คำในภำษำอื่นมำใช้ เช่น ภำษำบำลี สันสกฤต เขมร ๕. รูปพยัญชนะบำงรูปไม่ออกเสยี ง

เสยี งในภาษา เสียงวรรณยกุ ต์ และรปู วรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ ๑. ภำษำไทยมวี รรณยกุ ต์ ๕ เสยี ง ๒. กำรที่ภำษำไทยมีเสียงวรรณยกุ ต์ ทำใหส้ ำมำรถสร้ำงเสยี งต่ำงๆ ได้มำกมำย กำรเปลี่ยนเสยี งวรรณยุกตท์ ำใหค้ วำมหมำยเปล่ียนไป รูปวรรณยกุ ต์ ๑. ภำษำไทยมรี ปู วรรณยุกต์ ๔ รูปคอื ่่ ่้ ่ ่ รปู กบั เสียง วรรณยกุ ต์ในภำษำไทยอำจไม่ตรงกนั ๒. คำท่มี ีพยัญชนะต้นสองตัว ไดแ้ ก่ อกั ษรควบ หรืออกั ษรนำ เชน่ ถ้ำมีวรรณยกุ ต์ ตอ้ งเขียนไวบ้ นพยญั ชนะตวั หลงั แต่กำรผัน วรรณยกุ ตถ์ ือพยญั ชนะตวั หน้ำเป็นหลัก

สว่ นประกอบของภาษา องคป์ ระกอบของคา องค์ประกอบของพยางค์ คำ คอื เสียงท่เี ปลง่ ออกมำและมคี วำมหมำย อย่ำงหนงึ่ จะเป็นกพี่ ยำงคก์ ไ็ ด้ พยำงคท์ ่มี ี พยำงค์ หมำยถงึ เสียงทเี่ ปล่งออกมำครงั้ หน่ึงๆ ควำมหมำยอำจประกอบด้วยพยำงค์เดยี วหรือ จะมีควำมหมำยหรอื ไมม่ คี วำมหมำย หลำยพยำงค์กไ็ ด้ กไ็ ด้ พยำงค์มอี งคป์ ระกอบ ๓ สว่ นดังน้ี ๑. พยัญชนะตน้ อำจเปน็ พยญั ชนะต้นเด่ียว หรือพยัญชนะตน้ ควบ ๒. สระ อำจเป็นสระเด่ียวเสยี งสนั้ หรือสระ เด่ยี วเสียงยำว หรือสระเล่ือน ๓. วรรณยุกต์

๓หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ คาราชาศัพท์ จุดประสงค์การเรียนรู้ • ใช้ภำษำเหมำะสมแก่โอกำส กำลเทศะ และบคุ คล รวมทงั้ คำรำชำศัพท์อยำ่ งเหมำะสม

ความหมายของคาราชาศพั ท์ คาราชาศพั ท์ คอื คาสภุ าพที่ใช้ให้เหมาะสมกบั ฐานะของบุคคลตา่ งๆ เป็นลักษณะ พิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะการใชก้ ับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังตอ่ ไปน้ี พระมหากษัตรยิ ์ และพระราชินี พระภกิ ษุสงฆ์ พระบรมวงศานวุ งศ์ สามเณร ขุนนาง ขา้ ราชการ สุภาพชน

๔หน่วยการเรยี นรู้ท่ี การแตง่ คาประพนั ธ์ ประเภทกาพยแ์ ละโคลง จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ • แตง่ บทร้อยกรองได้

ลกั ษณะบังคับ ๙ ประการของบทรอ้ ยกรอง พยางค์ คณะ สัมผัส คอื เสยี งท่เี ปล่งออกมำครัง้ หนึง่ ๆ คอื ขอ้ กำหนดของรอ้ ยกรอง คอื ลักษณะบงั คบั ให้ใชค้ ำ แต่ละชนดิ วำ่ มีจำนวนคำ วรรค ทคี่ ล้องจองกนั มีท้ังสัมผัสนอก จะมคี วำมหมำยหรอื ไมม่ ีกไ็ ด้ บำท และบท เท่ำใด และสมั ผัสใน คาครุ คาลหุ คาเอก คาโท คาเปน็ คาตาย คือ คำท่ีมเี สียงหนักและเสียง คอื คำท่บี ังคบั ใช้รปู วรรณยุกต์ เป็นลกั ษณะบงั คบั ทใ่ี ช้ในกำรแต่ง เบำ บังคับใช้ในบทรอ้ ยกรอง เอกและโท ในตำแหนง่ ที่กำหนด โคลง ร่ำย และกลบท โดยเฉพำะ ในบทรอ้ ยกรองประเภทโคลง ประเภทฉนั ท์ โคลงส่สี ุภำพใชค้ ำตำยแทน และรำ่ ย คำเอกได้ เสยี งวรรณยุกต์ คานา คาสร้อย คอื เสยี งสำมัญ เสยี งเอก เสยี งโท คือ คำข้ึนตน้ สำหรบั รอ้ ยกรอง คือ คำทใี่ ชล้ งท้ำยวรรค ท้ำยบำท บำงประเภท เชน่ กลอนบทละคร เสียงตรี และเสยี งจัตวำ เพ่อื ควำมไพเรำะ หรือเพ่ิม ทก่ี ำหนดใชใ้ นบทกลอน กลอนสักวำ ขอ้ ควำมให้สมบูรณ์

การแต่งคาประพันธป์ ระเภทกาพย์ กาพย์ยานี ๑๑ ลกั ษณะฉันทล์ กั ษณ์ของกำพย์ยำนี ๑๑ ๑) คณะ ๑. กำพยย์ ำนี ๑๑ หนง่ึ บทมี ๔ วรรค หรอื ๒ บำท บำทแรก เรียกว่ำ บำทเอก และบำทที่ ๒ เรยี กวำ่ บำทโท ๒. บำทหน่งึ มี ๒ วรรค วรรคหน้ำมี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ ๒) เสียง คำสุดท้ำยของบท หำ้ มใชค้ ำตำย และคำทมี่ ีรปู วรรณยุกต์ ๓) สมั ผัส กำหนดสัมผสั ในบท ๒ แหง่ และสัมผัสระหว่ำงบท ๑ แหง่ คอื ๑. คำท้ำยของวรรคหนำ้ สมั ผสั กบั คำที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคหลังในบำทเอก ๒. คำทำ้ ยของบำทเอก สมั ผัสกับคำท้ำยของวรรคหนำ้ ในบำทโท ๓. คำท้ำยของบทแรก สมั ผสั กบั คำท้ำยของบำทเอกในบทต่อไป

การแตง่ คาประพันธป์ ระเภทกาพย์ กาพยย์ านี ๑๑ แผนผงั และตวั อย่างกาพยย์ านี ๑๑ พระเสดจ็ โดยแดนชล ทรงเรอื ต้นงามเฉดิ ฉาย กิง่ แกว้ แพรว้ พรรณราย พายออ่ นหยบั จบั งามงอน ลว้ นรูปสัตวแ์ สนยากร นาวาแน่นเป็นขนัด สาครล่ันคร่ันฟอง เรอื รว้ิ ทิวธงสลอน (กำพย์เหเ่ รือ : เจำ้ ฟำ้ ธรรมธิเบศร์)

การแตง่ คาประพนั ธ์ประเภทกาพย์ กาพยฉ์ บงั ๑๖ ลักษณะฉันท์ลกั ษณข์ องกำพย์ฉบัง ๑๖ ๑) คณะ กำพย์ฉบัง ๑๖ หน่งึ บท มี ๓ วรรค วรรคแรก ๖ คำ วรรคท่สี อง ๔ คำ และวรรคท้ำย ๖ คำ ๒) เสียง นิยมใช้เสียงสำมัญและเสียงจตั วำเปน็ คำสง่ สัมผสั และคำท้ำยวรรค ๓) สมั ผัส สัมผัสมรี ะหวำ่ งวรรค ๑ แห่ง และสัมผสั ระหวำ่ งบท ๑ แห่ง สัมผสั ระหว่ำงวรรค คำท้ำยวรรคแรกสมั ผัสกบั คำท้ำยวรรคที่สอง สัมผสั ระหวำ่ งบท คำท้ำยวรรคของบทแรก สัมผัสกบั คำท้ำยวรรคแรกของบทต่อไป ชายใดไมเ่ ทยี่ วเทียวไป ทกุ แควน้ แดนไพร มอิ าจประสบพบสุข ไม่ดน้ ชนชกุ ชายใดอยเู่ หย้าเนาทกุ ข์ (นทิ ำนเวตำล : น.ม.ส.) ก็ชอื่ วา่ ชั่วมัวเมา

การแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทกาพย์ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ลักษณะฉนั ทล์ กั ษณ์ของกำพยส์ รุ ำงคนำงค์ ๒๘ ๑) คณะ กำพย์สรุ ำงคนำงค์ ๒๘ บทหนึง่ มีบำทเดียว แบ่งเป็น ๗ วรรค วรรคละ ๔ คำ รวม ๒๘ คำ จึงเรยี กวำ่ กำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ ๒) สมั ผัส ๑. คำทำ้ ยวรรคหน้ำสมั ผัสกบั คำทำ้ ยวรรคที่สอง ๒. คำทำ้ ยวรรคท่ี ๓ สัมผัสกับคำทำ้ ยวรรคที่ ๕ และวรรคที่ ๖ ๓. คำทำ้ ยวรรคที่ ๔ สัมผสั กับคำทส่ี ำมของวรรคท่ี ๕ ๔. สมั ผสั ระหวำ่ งบท คำท้ำยวรรคที่ ๗ ของบทแรก สมั ผัสกบั คำทำ้ ยวรรคที่ ๓ ของบทตอ่ ไป วนั น้ันจนั ทร มดี ารากร เปน็ บรวิ าร เห็นสนิ้ ดนิ ฟา้ ในปา่ ท่าธาร มาลคี ลีบ่ าน ใบกา้ นอรชร เยน็ ฉา่ น้าฟ้า ชืน่ ชะผกา วายพุ าขจร สารพันจันทนอ์ นิ รื่นกล่นิ เกสร แตนต่อคลอรอ่ น วา้ วอ่ นเวียนระวัน (กำพยพ์ ระไชยสรุ ิยำ : สุนทรภู่)

การแตง่ คาประพันธ์ประเภทโคลง โคลงสส่ี ภุ าพ ๑) คณะ โคลงสีส่ ภุ ำพบทหน่งึ มี ๔ บำท บำทหนง่ึ มี ๒ วรรค วรรคหน้ำ ๕ คำ วรรคหลงั ๒ คำ ยกเวน้ บำทท่ี ๔ วรรคหลงั มี ๔ คำ และบำททีห่ นง่ึ บำททส่ี ำมอำจมคี ำสร้อยหรือไม่มกี ็ได้ ๒) สัมผสั สัมผสั นอกหรอื สัมผสั บังคับ คือ คำท้ำยในบำทแรกสง่ สมั ผสั ไปยงั คำที่ ๕ ของบำทท่ีสองและสำม คำท้ำยของบำททสี่ องสง่ สมั ผสั ไปยังคำที่ ๕ ของบำทท่ีสี่ สัมผสั ในของรอ้ ยกรองประเภทโคลงสี่สุภำพนิยมใช้ สมั ผัสอกั ษรมำกกวำ่ สมั ผสั สระ ๓) คาเอก คาโท มีคำเอก ๗ แห่ง คำโท ๔ แห่ง ตำมแผนผงั ดงั นี้ แผนผงั และตวั อย่างกาพย์ยานี ๑๑ เสยี งฦาเสยี งเล่าอา้ ง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ท่ัวหล้า () สองเขือพี่หลับใหล ลืมต่นื ฤาพ่ี () สองพ่ีคิดเองอ้า อยา่ ได้ถามเผอื

การแต่งคาประพนั ธป์ ระเภทโคลง โคลงสามสภุ าพ ๑) คณะ โคลงสำมสุภำพบทหน่งึ มี ๒ บำท แบ่งเป็น ๔ วรรค วรรคท่ี ๑, ๒, ๓ มีวรรคละ ๕ คำ วรรค สดุ ทำ้ ยมี ๔ คำ อำจมคี ำสรอ้ ยได้ ๒ คำ ๒) คาเอก คาโท มคี ำเอก ๓ แหง่ คือ คำที่ ๔ วรรค ๒ คำที่ ๒ วรรค ๓ และคำท่ี ๑ วรรคท่ี ๔ มคี ำโท ๓ แห่ง คือ คำสุดท้ำยของวรรคท่ี ๒ และ ๓ และคำท่ี ๒ วรรคท่ี ๔ ๓) สมั ผัส คำสุดท้ำยของวรรคที่ ๑ สง่ สัมผัสไปยังคำท่ี ๑ หรือท่ี ๒ หรอื ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ คำสุดทำ้ ย ของวรรคท่ี ๒ ส่งสัมผสั ไปยงั คำสดุ ท้ำยของวรรคท่ี ๓ () ลว่ งลดุ า่ นเจดีย์ สามองคม์ แี หง่ หั้น () แดนต่อแดนกันนั้น เพ่อื รู้ราวทาง แห่งอยธุ เยศหลา้ ขบั พลวางเขา้ แหลง่ มดื คลุ้มมัวมล ยง่ิ นา แลธุลีฟุง้ ฟา้

การแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทโคลง โคลงสองสภุ าพ ๑) คณะ โคลงสองสุภำพบทหนง่ึ มี ๒ บำท แบง่ เปน็ ๓ วรรค วรรคท่ี ๑ และ ๒ มีวรรคละ ๕ คำ วรรคสุดท้ำยมี ๔ คำ อำจมคี ำสร้อยได้ ๒ คำ ๒) คาเอก คาโท มีคำเอก ๓ แห่ง คือ คำท่ี ๔ วรรค ๑ คำท่ี ๒ วรรค ๒ และคำท่ี ๑ วรรคที่ ๓ คำโท ๓ แหง่ คอื คำสดุ ท้ำยของวรรคท่ี ๑ และ ๒ และคำที่ ๒ วรรคท่ี ๓ ๓) สมั ผัส คำสดุ ทำ้ ยของวรรคท่ี ๑ ส่งสมั ผัสไปยงั คำสุดทำ้ ยวรรคที่ ๒ สมั ผัสระหว่ำงบท คำสุดทำ้ ยของบท แรกส่งสัมผสั ไปยงั คำท่ี ๑ ๒ หรือ ๓ ของบทต่อไป () เรยี มจกั รา้ งรสแคลว้ อย่แู ม่อย่าละหอ้ ย กรตระกองกอดแก้ว ตลาดเคล้าคลาสมร จาใจจรจากสรอ้ ย ห่อนช้าคืนสม แม่แล

ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook