ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๕
ประวัตผิ แู้ ต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ ัว เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั และสมเด็จพระศรพี ัชรนิ ทราบรมราชินนี าถ พระราชสมภพเมอื่ วันท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ทรงมพี ระนามเดิมวา่ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ พระองคโ์ ปรดงาน ดา้ นวรรณกรรมมาตัง้ แตท่ รงพระเยาว์ และทรงมผี ลงานพระราชนิพนธ์ ทัง้ รอ้ ยแก้วและร้อยกรอง เช่น รามเกยี รติ์ มทั นะพาธา เปน็ ต้น รวมทง้ั ผลงานด้านการพมิ พ์ เชน่ ทรงออกหนังสือพิมพ์ดสุ ติ สมิต และทรงเขียนบทความลงในหนงั สอื พมิ พ์ต่าง ๆ จนไดร้ บั การยกยอ่ ง ว่าทรงเปน็ ‘นกั หนงั สอื พมิ พ’์
ทีม่ าของเรอ่ื งโคลนตดิ ลอ้ โคลนตดิ ล้อ เป็นพระราชนิพนธ์ ใน (รชั กาลท่ี ๖) ซ่ึงตพี มิ พ์ในหนงั สือพิมพ์ไทยระหว่าง วนั ท่ี ๒๘ เมษายน ถงึ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๘ และ ทรงพระราชนพิ นธ์เปน็ ภาษาองั กฤษโดยใช้ชอ่ื ว่า “Clogs on Our Wheels” ลงในหนังสอื พิมพส์ ยามออบเซอร์ เวอร์ (Siam Observer) โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า “อัศวพาห”ุ และใช้นามแฝงนสี้ ำหรับบทความท่ลี งใน หนงั สือพมิ พ์ซึง่ มเี นือ้ หาเกีย่ วกับกจิ การทหาร สงคราม เหตกุ ารณ์บ้านเมืองทง้ั ในและต่างประเทศ รวมทง้ั การปลุก ใจใหค้ นไทยมีความตื่นตวั ในการรักชาติบา้ นเมอื งของตน
บทความเรอื่ งโคลนตดิ ลอ้ บทความเรือ่ งโคลนติดล้อ มที ้ังหมด ๑๒ ตอน แต่ละตอนเป็นการ นำเสนอความคดิ เก่ียวกบั ปัญหาและอุปสรรคท่ีทำให้ประเทศไทยมีความ เจรญิ กา้ วหนา้ ชา้ กวา่ ทีค่ วรจะเปน็ ซง่ึ เปรียบเทียบเปน็ โคลน ๑๒ ก้อน ดังน้ี ๑. การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง ๒. การทำตนใหต้ ่าตอ้ ย ๓. การบชู าหนงั สอื เกินเหตุ ๔. ความนยิ มเป็นเสมยี น ๕. ความเหน็ ผดิ ๖. ถือเกยี รติไมม่ ีมูล ๗. ความจนไม่จรงิ ๘. แตง่ งานช่วั คราว ๙. ความไมร่ ับผิดชอบบิดามารดา ๑๐. การคา้ หญิงสาว ๑๑. ความหยมุ หยมิ ๑๒. หลักฐานไม่มน่ั คง
จุดประสงคใ์ นการแตง่ เพื่อชีใ้ หผ้ อู้ ่านไดเ้ หน็ ถงึ ปญั หาและอุปสรรคตา่ ง ๆ ท่เี ป็น เครื่องกดี ขวางเหนย่ี วรง้ั ความเจริญของชาติ ในตอนความนิยมเปน็ เสมยี น รัชกาลที่ ๖ ทรงแสดงทรรศนะเกี่ยวกบั ปญั หาทีค่ นมี การศึกษาสูงนิยมแตจ่ ะเปน็ เสมียน ไมย่ อมกลบั ภมู ิลำเนาของตนไป ทำงานภาคเกษตรกรรมที่มีประโยชนต์ ่อประเทศชาตมิ ากกวา่
ลักษณะคำประพันธ์ ลกั ษณะคำประพันธข์ องเร่อื งนี้ เป็นบทความรอ้ ยแกว้ (ความเรียงทไ่ี มไ่ ด้บังคบั ฉันทลกั ษณ์หรอื ความคล้องจองแบบรอ้ ยกรอง) ซงึ่ หลกั ในการเขยี นบทความทีเ่ ป็นรอ้ ยแกว้ ประกอบดว้ ย ๓ สว่ น ดงั นี้ ๑. สว่ นเรม่ิ ตน้ ผเู้ ขียนอาจใชถ้ ้อยคำสำนวนทเี่ รา้ ความสนใจ ใหผ้ ู้อ่านอยากอ่านตอ่ ๒. ส่วนเนอื้ เรอ่ื ง ผู้เขยี นอาจบอกขอ้ ความที่เปน็ ข้อเท็จจริง ขอ้ ควรรู้ หรือขอ้ คิดต่างๆ ก็ได้ ๓. ส่วนทา้ ย ผู้เขียนจะสรปุ ใหผ้ อู้ ่านเข้าใจเรอื่ งที่ไดก้ ล่าวมาแลว้ หรืออาจฝากขอ้ คดิ เหน็ ใหแ้ กผ่ ู้อ่าน
เน้อื เร่อื ง
เนื้อหาโคลนตดิ ลอ้ ตอน ความนยิ มเปน็ เสมียน ผลแหง่ การบูชาหนังสือจนเกนิ เหตุ ตามท่ีข้าพเจา้ ได้ กลา่ วมาแลว้ น้ัน มีอยู่อกี อยา่ งหน่ึงซงึ่ ข้าพเจา้ จะขอเรยี กว่า ความนยิ มเป็นเสมยี น เพราะจะหาคำให้สั้นกวา่ นี้ไม่ได้ การต้ังโรงเรยี นข้ึนทวั่ ท้ังพระราชอาณาจกั รให้โอกาส แก่บรรดาชายหญงิ ทุก ๆ ขั้นไดศ้ ึกษาให้ร้อู ่านรู้เขยี นหนังสอื นนั้ กลบั ใหผ้ ลที่ทำใหเ้ ป็นท่ีรำคาญ และอาจจะทำใหร้ ำคาญ ยง่ิ กวา่ ท่ีเป็นอยเู่ ด๋ยี วนก้ี เ็ ปน็ ได้ โดยไม่กลา่ วถงึ ความเสยี หาย อย่างอื่นซ่งึ จะพึงมมี าในไม่ชา้ วนั
เด็กทกุ ๆ คนซึ่งเล่าเรยี นสำเรจ็ ออกมาจากโรงเรยี น ล้วนแต่มีความหวังฝังอยวู่ ่าจะได้มาเป็นเสมยี น หรอื เปน็ เลขานุการ และจะไดเ้ ล่อื นยศเลอ่ื นตำแหน่งข้ึนเรว็ ๆ เปน็ ลำดับไป เดก็ ทอ่ี อกมาจากโรงเรียนเหล่านี้ยอ่ มเห็นว่ากิจการ อยา่ งอื่นไมส่ มเกยี รติยศนอกจากการเป็นเสมียน ขา้ พเจ้า เองไดเ้ คยพบเห็นพวกหนมุ่ ๆ ชนิดน้หี ลายคนเป็นคน ฉลาดและวอ่ งไว และถ้าหากเขาทง้ั หลายน้ันไม่มีความ กระหายจะทำงานอยา่ งทีพ่ วกเขาเรยี กกนั ว่า \"งานออฟฟศิ \" มากดี ขวางอยู่แล้ว เขากอ็ าจจะทำประโยชนไ์ ดม้ าก
การทจี่ ะบอกให้เขาเหล่านกี้ ระทำตัวของเขา ใหเ้ ปน็ ประโยชนโ์ ดยกลับไปบา้ น และชว่ ยบิดามารดาเขา ทำการเพาะปลกู นั้นเป็นการปว่ ยกล่าวเสียเวลา เขาตอบวา่ เขาเป็นผทู้ ่ไี ดร้ บั ความศึกษามาจากโรงเรยี นแล้ว ไมค่ วรจะ เสยี เวลาไปทำงานชนิดซ่งึ คนทไ่ี มร่ ้หู นงั สือก็ทำได้ และ เพราะเขาไม่อยากจะลมื วชิ าทเ่ี ขาไดเ้ รยี นรู้มาจากโรงเรียน น้นั ดว้ ย เพราะเหตุนเ้ี ขาส้สู มคั ร อดอยากอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเพียงเดอื นละ ๑๕ บาทหรือ ๒๐ บาท ยิง่ กวา่ ที่ จะกลบั ไปประกอบการเพื่อเพมิ่ พูนความสมบูรณแ์ ห่ง ประเทศในภมู ลิ ำเนาเดมิ ของเขา
นึกไปก็น่าประหลาดท่สี ุด ทค่ี นจำพวกน้สี ู้อดทนต่อความ ลำบากเพื่อแสวงหาและรกั ษาตำแหนง่ เสมียนของเขา ในเงินเดอื น ๑๕ บาทน้ี พ่อเสมยี นยังอตุ ส่าห์จำหนา่ ยจ่ายทรัพยไ์ ด้ต่างๆ เชน่ นุ่ง ผา้ มว่ งสี ใส่เสอื้ ขาว สวมหมวกสักหลาด และในเวลาท่ีกลับจากออฟฟศิ แล้วกต็ ้องสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะต้องไปดูหนังอีกอาทติ ยล์ ะ ๒ คร้ังเปน็ อยา่ งน้อย ต้องไปกนิ ข้าวตามกุ๊กชอ็ ป แลว้ ยังมหิ นำซ้าจะตอ้ ง เสยี ค่าเชา่ หอ้ งอกี ดว้ ย (หรอื บางทีเขาจะไมเ่ สียก็ไม่ทราบ
คร้ันเมื่อเงนิ เดือนขนึ้ เปน็ เดือนละ 20 บาท เขากค็ ิดอ่าน แต่งงานทเี ดียว (ขา้ พเจ้าต้องขออธบิ ายคำว่าแตง่ งานไวใ้ น วงเลบ็ ในทีน่ ว้ี า่ ทข่ี า้ พเจ้าเรยี กว่าแต่งงานนนั้ ขา้ พเจา้ พดู อยา่ งละม่อม เพราะวา่ การแตง่ งานชนดิ น้ีมกั เปน็ การชั่วคราว โดยมาก ซ่ึงข้าพเจ้าจะได้กล่าวตอ่ ไปในบทหนา้ เพราะว่า เปน็ โคลนกอ้ นหน่งึ ซ่งึ จะได้ยกขึน้ ใหท้ า่ นพจิ ารณาตอ่ ไป)
ขา้ พเจา้ ย่อมเข้าใจอยวู่ า่ ชายหนมุ่ ซง่ึ ได้ฝึกตวั ให้ คุน้ แกค่ วามสนุกสนานในเมือง ย่อมจะรูส้ ึกเบ่อื หนา่ ยถิ่น ฐานบา้ นเดิมของเขาตามบ้านนอก และทจ่ี ะกล่าววา่ ถ้า เขาอยใู่ นเมือง เขาอาจจะทำประโยชนใ์ ห้แกบ่ า้ นเกดิ เมือง นอนของเขาดกี วา่ อยูบ่ ้านนอกนั้น เปน็ ความเหลวไหล โดยแท้ ทา่ นผมู้ คี วามคิดคงจะเข้าใจไดด้ วี า่ อันประเทศ อย่างเมอื งไทยของเรานี้ ชาวนา ชาวสวน อาจจะทำ ประโยชนใ์ หแ้ ก่บ้านเมืองได้มากกว่าเสมียน ซ่ึงเป็นแต่ เครือ่ งมอื เทา่ กับปากกาและพิมพ์ดดี ซ่งึ เขาใช้(หรอื ใช้ผดิ ) ถ้าจะเปรยี บพชื ทเี่ ขาได้ทำใหง้ อกตอ้ งนบั ว่านอ้ ยกวา่ ผลที่ เขาไดก้ ินเข้าไป แตถ่ งึ กระน้นั เขาก็ยังนึกว่าตัวเขาดกี ว่า ชาวนา และข้อทรี่ า้ ยน้ัน พวกเราทงั้ หลายกพ็ ลอยยอม ใหเ้ ขาคดิ เห็นเชน่ นน้ั เสยี ด้วย
เม่ือไรหนอ พวกหน่มุ ๆ ของเราจึงจะเขา้ ใจไดบ้ ้างวา่ การเป็นชาวนา ชาวสวน หรอื คนทำงานการอ่ืน ๆ น้นั กม็ ีเกียรตยิ ศเท่ากบั ทีจ่ ะเปน็ ผู้ทำงาน ด้วยปากกาเหมือนกัน เม่อื ไรจึงจะบังเกดิ ความรสู้ ึกเกยี รตยิ ศแหง่ การงาน อ่ืนๆ นอกจากงานทท่ี ำด้วยปากกาแลพมิ พ์ดดี ? คำตอบแหง่ ปญั หาข้อนี้ กเ็ ปน็ ดังท่ีกลา่ วมาแล้วนั้นเอง กล่าวคอื เปน็ ความผดิ ของเราท้งั หลายด้วยกนั มใิ ช่ความผิดของพวกหนุ่ม ๆ โดยเฉพาะ เท่านั้นหามิได้ ถ้าเรายังคงแสดงความเหน็ โดยประการต่าง ๆ ว่าเสมยี นเป็น บคุ คลชั้นทส่ี ูงกว่าชาวนา ชาวสวน หรือพ่อคา้ อยู่ตราบใด พวกหน่มุ ๆ ของ เราก็คงจะทะเยอทะยานฝกั ใฝ่ทางเปน็ เสมยี นอยตู่ ราบนน้ั
ใชแ่ ตเ่ ท่านัน้ ยงั มีคนอยู่เป็นอนั มากท่ีช่วยเปดิ ทางหาการงาน ให้แก่ผูท้ อ่ี ยากจะเป็นเสมียน สว่ นผู้ทปี่ รารถนาจะชว่ ยใหค้ นไดต้ ั้งตวั เป็นชาวนา ชาวสวน หรอื คนทำงานอื่น ๆ ทเ่ี ป็นประโยชน์ เหมือนกนั นนั้ มีน้อยนกั ข้อทวี่ ่าบรรดากระทรวงทบวงการมเี สมียน มากกวา่ ความจำเปน็ นน้ั ถงึ แมผ้ ูท้ ี่ดแู ตเ่ ผิน ๆ ก็เห็นได้ว่าเป็นความ จรงิ เพราะฉะนน้ั สถานที่เหล่านัน้ จงึ ตอ้ งจัดการถา่ ยเทพวกที่เกนิ ต้องการออกเสียเป็นครงั้ คราว เพือ่ ได้รบั คนใหม่ ๆ ต่อไป
สว่ นพวกทถ่ี กู คดั ออกนั้นเลา่ เป็นอยา่ งไรบา้ ง ข้อน้แี หละเป็น ที่น่าสังเวชยิ่งนกั คนเราที่ปลอ่ ยให้ชวี ิตล่วงไปโดยทำการเปน็ เสมยี นเสียนานแล้ว จะไปทำงานการอะไรอนื่ ก็ไมส่ ามารถจะทำได้ ถ้าเขาเป็นคนที่ทำประโยชนไ์ ด้อยู่ เขากค็ งจะได้เลื่อนขน้ึ ไปใน ตำแหนง่ อน่ื ไมต่ อ้ งถกู คัดออกกเ็ ช่นน้ันเขาจะไปทำอะไรเลา่ เขาจะ ไปเป็นชาวนาไมไ่ ด้ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการ ๑ ก็เพราะ ความหยง่ิ อนั หามลู มิได้ของเขานั้นเอง
เขาเหน็ วา่ ไมส่ มเกียรติยศท่จี ะไปหาการงานทำกับชาวนา ซ่ึงเขา เหน็ ว่าเปน็ คนชั้นต่าและสามัญ ครนั้ เขาจะเปน็ เจา้ ของเองก็ไม่ได้ ดว้ ย เหตวุ ่าเปน็ การเหลือวิสยั ทีเ่ ขาจะเกบ็ หอมรอมริบไว้ได้จากเงนิ เดือนอัน น้อย ซ่งึ เขาตอ้ งจบั จา่ ยซอื้ สง่ิ ของซึ่งเขาถือว่าเป็นของจำเป็นในระหว่างที่ เขาทำการเป็นเสมยี นอยู่ แต่เหตุสำคัญทเี่ ขาจะเป็นชาวนาไมไ่ ดน้ ั้นก็คอื เขาตกลงใจไมไ่ ด้ท่ีจะทิ้งเมอื งไปอยู่ตามบ้านนอกคอกนา เพราะฉะน้นั พวกเสมยี นที่เกนิ อัตราเหล่าน้จี ึงคงอยใู่ นเมอื ง
เทย่ี วพยายามแสวงหาตำแหน่งเสมียนตอ่ ไป และถา้ โชคดีก็คงจะเขา้ ไดช้ ่ัวคราว แตไ่ มช่ ้ากต็ ้องเปิด ออกไปอกี ในระหว่างน้ีอายุของเขากล็ ่วงเขา้ ไปทุกวนั และผู้ทีเ่ ป็นนายหรอื กช็ อบใช้แต่เสมียนทห่ี นมุ่ เพราะฉะน้นั โอกาสท่ีจะหางานทำกม็ ีนอ้ ยเข้าทุกวันจน เป็นท่นี า่ อศั จรรย์วา่ เขาหาเลี้ยงชพี อยไู่ ด้อย่างไร
ถา้ เขาเป็นผูท้ ่ีมนี สิ ยั สจุ ริตเขากเ็ ลี่ยงไปตายอยูใ่ นที่ลบั ๆ แหง่ ๑ ไม่มีใครเหน็ ไม่มีใครรจู้ ัก ไมม่ ใี ครรกั ไม่มใี ครอาลัย เปน็ การลงเอยอย่างมืดแห่งชวี ติ ท่มี ดื ไมม่ ีสาระ แตถ่ า้ ความ ยากจนขน้ แค้นของเขานำเขาไปสูท่ างทุจริต เขาอาจจะได้ ความสนุกสนานอยพู่ ัก ๑ แลว้ เขาก็คงจะต้องยาตราเขา้ สู่ศาล พระราชอาญาและไม่ช้ากค็ งจะไดเ้ ข้าไปอยู่ในคกุ แลว้ ต่อไปก็ เท่ากบั อนั ตรธาน ตกลงเปน็ ลงเอยอยา่ งนา่ สังเวชทง้ั ๒ สถาน
ดังนจ้ี ะไมเ่ ป็นการสมควรแลหรอื ที่เราจะสอนใหพ้ วก หนุ่ม ๆ ของเราปรารถนาหาการงานอน่ื ๆ อนั พงึ หวัง ประโยชน์ไดด้ ีกวา่ การเป็นเสมียน ถ้าเราจะสอนเขาทัง้ หลาย ใหร้ ูส้ กึ เกยี รตยิ ศแหง่ การทีจ่ ะเปน็ ผู้เพาะความสมบรู ณใ์ ห้แก่ ประเทศ เชน่ ชาวนา ชาวสวน พอ่ คา้ และช่างต่าง ๆ จะไม่ ดกี วา่ หรอื ? ทา่ นเชอื่ หรือว่าพวกหน่มุ ๆ ของเราจะทำ ประโยชนใ์ ห้แกบ่ ้านเมืองโดยทางการเปน็ เสมียนมากกวา่ ทางอืน่ ๆ เราจะมีข้าวของเคร่อื งใช้อ่นื ๆ ได้อยา่ งไร ถ้าเรา ไม่อดุ หนุนคนจำพวกทีจ่ ะเพาะสง่ิ ของนัน้ ๆ ข้นึ
ท่านท้งั หลายจะช่วยไดเ้ ป็นอันมากด้วย ความเหน็ ของท่าน เพราะวา่ ถึงแมพ้ วกหนมุ่ ๆ นน้ั จะมี ความคิดเห็นว่าตวั สำคญั ปานใด ก็คงจะตอ้ งฟงั ความเหน็ ของผูอ้ น่ื ถ้าความเหน็ ของสาธารณชนเห็นว่า ชาวนา ชาวสวน พ่อคา้ และช่างต่างๆ มเี กยี รตยิ ศเสมอ เสมียนและไม่ยกเสมยี นขนึ้ ลอยไว้ในทีอ่ ันสูงเกินกว่า ควร ก็จะเปน็ ประโยชนช์ ่วยเหลือไดม้ ากเพราะฉะน้ัน ทา่ นจะไมช่ ว่ ยกันในทางนบ้ี า้ งหรือ
คณุ คา่ ด้านเนอื้ หา รูปแบบ เปน็ งานเขียนประเภทร้อยแกว้ ที่มเี น้ือหาสร้างสรรคแ์ ละ ทรงคณุ คา่ ถือได้ว่าใชร้ ปู แบบงานเขียนได้อย่างเหมาะสมกับเน้ือหา สาระ เปน็ การแสดงแนวความคดิ เรอื่ งค่านยิ มเกี่ยวกบั อาชีพทคี่ น ทวั่ ไปมกั ยกยอ่ ง น่ันคือ ขา้ ราชการ ทำใหม้ องขา้ มประโยชน์หรือ ความสำคัญของอาชีพอ่ืน ๆ เสมอื นเป็นโคลนทต่ี ิดลอ้ หรือเป็น อุปสรรคทำใหป้ ระเทศเจริญไปไดช้ า้
คุณค่าด้านเนอื้ หา ๑.กลวธิ กี ารแตง่ ผู้ประพนั ธม์ ีกลวธิ กี ารเขยี นท่ชี วนอ่าน นา่ ติดตาม มี การลำดบั เน้อื หาเปน็ ขน้ั ตอน อ่านเข้าใจงา่ ย โดยแบ่งย่อหนา้ ยาวสัน้ สลบั กนั ไป แตล่ ะยอ่ หนา้ มีเอกภาพของตน คอื มปี ระเดน็ สำคัญไมส่ บั สน มีสารตั ถภาพ คอื มีเนอื้ หาสาระนา่ สนใจ มีขอ้ คดิ ทดี่ แี ม้ผา่ นกาลเวลานานแล้ว แต่ยงั คงยดึ ถือ ปฏิบัตไิ ดอ้ ยู่ มสี ัมพนั ธภาพคอื มกี ารจดั ลำดับความคดิ ได้อยา่ งมีระเบียบ เชน่ “...ข้าพเจ้าเองไดเ้ คยพบเหน็ พวกหนุ่ม ๆ ชนดิ น้ีหลายคน เป็นคน ฉลาดและว่องไว และถา้ หากเขาท้งั หลายน้นั ไม่มีความกระหายจะทำงานอยา่ งที่ พวกเขาเรยี กกันวา่ “งานออฟฟศิ ” มากดี ขวางอยแู่ ลว้ เขากอ็ าจจะทำประโยชน์ ไดม้ าก...”
คณุ คา่ ดา้ นเนอ้ื หา ๒.โครงเรอื่ ง : ลำดบั เร่ืองตามลกั ษณะของบทความ ซ่ึงมอี งคป์ ระกอบ ๓ สว่ นไดแ้ ก่ ๒.๑ สว่ นนำ กล่าวถงึ ข้อความที่ตอ่ เนอื่ งจากบทที่ ๓ เรื่องการบชู า หนงั สอื จนเกนิ เหตุ ๒.๒ เนือ้ เรอ่ื ง เนอื้ หามคี วามเช่อื มโยงกนั เปน็ ลำดับต้งั แตก่ ารตั้ง ความหวงั ในอนาคตเมอื่ เรยี นจบวา่ จะตอ้ งเปน็ เสมียนหรือข้าราชการ โดยไม่ คำนงึ ถงึ ว่าสังคมไทยเป็นสงั คมเกษตรกรรม ๒.๓ สว่ นสรุป ผ้ปู ระพันธ์ไดก้ ล่าวถงึ แนวทางการแกป้ ัญหาและใช้ กลวิธกี ารปดิ เรื่องโดยใช้คำถามในบรรทดั สุดทา้ ยวา่ “เพราะฉะนัน้ ทา่ นจะไม่ ช่วยกนั ในทางน้บี า้ งหรือ ?” เพื่อกระตุ้นใหผ้ ูอ้ า่ นคดิ และรว่ มกนั แก้ไขปญั หา
คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ ๑. การใช้โวหาร ทำให้ผู้อา่ นเหน็ ภาพ เข้าใจชดั เจนยงิ่ ขนึ้ อย่างชื่อเรอ่ื ง “โคลนติดลอ้ ” เป็นการใช้ ภาพพจนป์ ระเภทอุปลกั ษณ์ ซึง่ เปน็ การเปรยี บเทยี บส่งิ หนึง่ เป็น อีกสง่ิ หน่ึง โดยผู้แตง่ จะนำลกั ษณะเด่นของส่ิงท่ีต้องการเปรยี บเทียบมา กลา่ วทันทโี ดยไมม่ ีคำเชอ่ื มโยง และบางครัง้ อาจใช้คำว่า เปน็ คือ มา เชอื่ มโยงก็ได้ โดยอุปลักษณใ์ นเร่ืองโคลนตดิ ลอ้ มกี ารเปรียบคำวา่ โคลน หมายถึง ปญั หาและอปุ สรรคที่กดี ขวางความเจริญของประเทศชาติ สว่ นคำว่า ลอ้ หมายถงึ ประเทศชาติ
คุณค่าดา้ นวรรณศลิ ป์ ๒. การใชภ้ าษาในการดำเนนิ เรอื่ ง พระองค์ทรงใชว้ ิธีกระตนุ้ ความคิดของผู้อ่านด้วยการใชป้ ระโยคคำถามอยเู่ สมอ แม้บางครั้งคำถามน้ัน อาจจะไมต่ อ้ งการคำตอบหรือเรยี กวา่ คำถามเชงิ วาทศลิ ป์ เช่น “...เราจะมขี ้าวของเคร่อื งใช้อน่ื ๆ ได้อย่างไรถ้าเราไม่อดุ หนนุ คนจำพวก ทีจ่ ะเพาะส่ิงของนนั้ ๆ ข้นึ ?...” นอกจากตัวอยา่ งขา้ งต้น พระองคท์ รงใช้ภาษาโน้มน้าวใจ เพ่อื ให้ผู้อ่าน เกิดความคิดคลอ้ ยตาม เช่น “... ถงึ แม้พวกหนมุ่ ๆ นั้นจะมีความคดิ เห็นวา่ ตวั สำคัญปานใด ก็คง จะต้องฟังความเหน็ ของผ้อู ื่น ถา้ ความเหน็ ของสาธารณชนเหน็ วา่ ชาวนาชาวสวน พอ่ คา้ และชา่ งต่าง ๆ มีเกียรตยิ ศเสมอเสมยี น...”
คุณคา่ ด้านสงั คม โคลนตดิ ลอ้ เปน็ บทความทที่ รงคณุ ค่าเหนือกาลเวลา : แมเ้ วลาจะ ผ่านมานานแลว้ แต่ปัญหาทีร่ ัชกาลที่ ๖ ทรงนำเสนอในบทความนก้ี ็ยังคง เป็นปญั หาท่อี ยูใ่ นสงั คมไทยทกุ วนั น้ี ๑. สะทอ้ นสภาพสงั คมและคา่ นยิ มของคนไทยในสมยั รชั กาลที่ ๖ คา่ นิยมของสงั คมทีย่ กยอ่ งการเป็นขา้ ราชการ ดังท่กี ล่าวในเร่ืองว่า “...เดก็ ทกุ ๆ คนซงึ่ เล่าเรยี นสำเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วนแต่มี ความหวังฝังอยวู่ า่ จะไดม้ าเปน็ เสมยี นหรือเปน็ เลขานกุ าร และจะไดเ้ ลอ่ื นยศ เลื่อนตำแหน่งขน้ึ เรว็ ๆ เปน็ ลำดบั ไป เดก็ ท่ีออกมาจากโรงเรยี นเหลา่ น้ี ยอ่ มเหน็ วา่ กิจการอย่างอนื่ ไมส่ มเกยี รติยศนอกจากการเปน็ เสมียน...”
คุณค่าดา้ นสงั คม ๒.ใหข้ อ้ คดิ เพอ่ื นำไปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ติ เรอื่ งโคลนติดล้อใหข้ อ้ คิดแก่คนในสงั คมไทยว่าไม่ควรดถู กู อาชพี อืน่ ๆ ไมว่ า่ จะเป็นอาชีพเกษตรกรรม พอ่ คา้ ชา่ ง เป็นต้น เพราะไม่ว่าอาชพี ใดตา่ งกม็ ีเกียรติ และยังให้ข้อคดิ วา่ ไม่ควรใช้จา่ ย เกินฐานะทางเศรษฐกิจของตน รวมท้งั เตอื นสตใิ ห้ผู้ทีม่ คี า่ นยิ มผิด ๆ เหน็ แกค่ วามสุข ความสะดวกสบายในเมอื งหลวง ใหร้ ู้จกั ใชค้ วามรู้ ความสามารถของตนสรา้ งประโยชน์ให้แก่สังคมและทอ้ งถิ่นของตน
คำศัพทจ์ ากเรอื่ ง ผ้ามว่ ง หมายถงึ ผา้ นุ่งแบบโจงกระเบนของข้าราชการผู้ชายสมยั ก่อน หมวกสกั หลาด หมายถงึ หมวกทตี่ ดั เยบ็ ดว้ ยผ้าขนสตั ว์ กุ๊กชอ้ ป หมายถึง ภตั ตาคารท่มี พี ่อครัวทำอาหารฝรั่ง ซึ่งคำนมี้ าจากคำ วา่ cookshop เสมยี น หมายถึง เจา้ หน้าท่ีเกยี่ วกบั หนังสอื หรอื ตำแหน่งเจ้าหน้าท่ี ระดบั ล่างทม่ี ีหน้าทเี่ กย่ี วกบั การเขยี นหนงั สือ แต่ในเร่ืองน้ี หมายถงึ การทำงานรบั ราชการ
จบแลว้
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: