[อนิ ทวงส,์ ๑๒.] สุเทษณ์. ทห่ี ลอ่ นมิยนิ ยอม มะนะรกั สมคั สมาน, มีคู่สะมรมาน อภิรมยฤ์ เปนไรน? [วสันตะดลิ ก, ๑๔.] มัทนา. หม่อมรันบมบี รุ ุษะผู้ ประดิพัทธะใดใด, [วสันตะดิลก, ๑๔.] เปนโสดบมมี ะนะสะใฝ่ อภิรมฤสมรส. มทั นา. หม่อมรันสดบั มะธรุ ะถ้อย ก็สำนึกเสนาะคำ, [อินทวงส์, ๑๒.] แต่ต้องทำนูลวะจะนะซา้ ดจุ ะไดท้ ำนูลมา. สุเทษณ์. เช่นนัน้ ก็เชญิ ฟงั ดนกุ ล่าวสิเนหะพจน,์ [อินทวงส,์ ๑๒.] เจา้ งามประเสริฐหมด กม็ ิควรฤดีจะดำ. สเุ ทษณ.์ นเี่ จา้ มิยอมรับ รสะรกั รนน้ั ฤจ๋า? ตัวรนั จะเลวสา หะสะด้วยประการไรน?
[วสันตะดลิ ก, ๑๔.] มัทนา. อา้ องค์พระผูส้ ุระวิศิษฎ์, พระจะผดิ สะฐานใด? หมอ่ มรนั สิทรามเพราะบม่ ิได้ อนวุ ตั นพ์ ระบญั ฑรู . [อนิ ทวงส,์ ๑๒.] สเุ ทษณ์. ยิ่งฟงั พะจศี รี กร็ ะตปี ระมวลประมูล, ยิ่งขัดก็ย่งิ พนู ทขุ ะท่วมระทมหะทยั ! อ้าเจ้าลำเภาพักตร์ สิริลกั ษะณาวไิ ลย, พจ่ี วนจะคลงั่ ไคล้ สติเพือ่ พะวงอนงค์. (วสันตะดลิ ก, ๑๔.) มัทนา. โอโ้ อล๋ ะเหี่ยอรุ ะสดบั วรศพั ทะทา่ นทรง ออ้ ยองิ่ แสดงวรประสง- คะณตัวกระหมอ่ มรัน; อยากใครส่ นองพระวรสนุ - ทรคณุ อเนกนัน้ , จนใจเพราะผิดคตสิ ธุ รรม์ สุจรติ ประติชญฺ า. ขอใหพ้ ระองค์อะมะระเท- วะเสวยประโมทา, หม่อมรนั จะขอประณตะลา สุระราชลลิ าศไป.
สุเทษณ.์ ชา้ ก่อน! หล่อนจะไปไหน? มทั นา. หมอ่ มรันอยไู่ ป ก็เครือ่ งแต่ทรงรำคาญ. สเุ ทษณ์. ใครหนอบอกแก่นงคราญ วา่ พี่รำคาญ? มทั นา. หม่อมรนั สงั เกตเองเห็น. สเุ ทษณ.์ เออ! หลอ่ นนีม้ าลอ้ เลน่ ! อันตัวพเ่ี ปน คนโงฤ่ ๅบ้ารนั ใด? มัทนา. หม่อมรันเคารพเทพไท ทูลอยา่ งจริงใจ กบ็ มทิ รงเชือ่ เลย, กลบั ทรงดำรัสเรลย ชวนชักชมเชย และชดิ สนิธเสนหา. พระองคท์ รงเปนเทวา ธบิ ดปี รา- กฎเกยี รติยศเกรยี งไกร, มสี าวสรุ างค์นางใน มากมวลแล้วไซร้ ในพระพมิ านมณ,ี จะโปรดปรานฃา้ บาทน้ี สักก่ีราตรี? และเมอ่ื พระเบ่อื ฃ้านอ้ ย จะมติ อ้ งน่ังละห้อย นอนโศกเศร้าสรอ้ ย ชะเง้อชะแง้แลหรอื ? หมอ่ มรันน้เี ปนผู้ถอื สจั จาหน่งึ คอื ว่าแมม้ ริ ักจรงิ ใจ, ถงึ แมจ้ ะเปนชายใด ขอสมพาศไซร้ ก็จะมยิ อมพรอ้ มจติ . ดงั นี้ขอเทพเรอื งฤทธิ์ โปรดฃา้ น้อยนิด, ฃา้ บาทขอบังคมลา.
[กมล, ๑๒.] เพราะรนนั้ จะใหน้ าง จุติส่ณู แดนคน, มะทะนาประสงค์ตน จะกำเนิดณรูปใด? สุเทษณ.์ (ตวาด) อเุ หม่ ! ทวิบทจะตูรบ์ าท ฤจะเปนอะไรไซร,้ มะทะนาชะเจา้ เล่ห์ ชชิ ชิ ่างจำนรรจา, วธเุ ลือกจะตามใจ และจะสาปประดจุ สรร; ตะละคำอุวาทา ฤกระบดิ กระบวนความ. จะสถิตรนั้นกวา่ จะสำนกึ ณโทษทัณฑ์, ดนถุ ามก็เจา้ ไซร้ บมิตอบณคำถาม, และผวิ อนดนพู ลนั จะประสาทพระพรให้ วนิดาพยายาม กะละเล่นสำนวนหวล. วนิดาจรลั กลบั ณประเทศสรุ าลัย; ก็และเจ้ามิเตม็ จิต จะสดับดนูชวน, กจ็ ะชอบสะฐานใด วธตุ อบดนมู า ผวิ ะให้อนงค์นวล ชนะหล่อนทนงใจ. บม่ ิยอมจะรว่ มรัก และสมัคสมรไซร้ กด็ ะนจู ะยอมให้ วนดิ านิวาศสฺวรรค,์ ผิวะนางพะเอินชอบ มรอุ น่ื กฃ็ ้าพลนั จะทรุ นทรุ ายศัล- ยะบ่อยากจะยินยล;
[สาลิน,ี ๑๑.] มทั นา. อา้ เทพศกั ดส์ ิทธ์ิซ่ึง พระจะลงพระอาญา ฃ้าเปนแตเ่ พยี งฃา้ บมิม่งุ จะอวดดี. หม่อมรนั นอี่ าภพั และกโ็ ชคบพึงมี, จ่ึงไม่ไดร้ องศรี วรบาทพระจอมแมน. อันทรงเมตตาควร จะประจบและตอบแทน คุณท่านทมี่ ากแสน คณนาประมวญมี. อนั โปรดให้เลอื กตาม ฤดิฃา้ ณบัดน,้ี ขอเปนซง่ึ มาลี รจุ ิเรขวไิ ลยวรรณ, สดุ แท้แตจ่ อมสรวง จะประสิทธ์ิประสาทพนั ธ์ุ ขอเพียงให้มคี นั - ธะระรื่นระรวยหอม. ด้วยกลิน่ ของฃา้ บาทกจ็ ะไดป้ ระณตนอ้ ม ใจนติ ย์บชู าจอม สุระบม่ บำเพญ็ บญุ . ฃา้ ขอแต่เพยี งให้ มรทุ รงพระการุญ,
[รบัง, ๑๖.] สเุ ทษณ.์ ทเ่ี จ้างอนงอ้ ขอน้ัน เราจะยอมสรร- พะสิทธดิ งั ใจจนิ ต.์ ดูราท่านมายาวิน, นางนีถ้ วลิ จะถือรูปเปนมาลี. กบ็ ุปผาอย่างใดมี ท่งี ามท้ังสี อกี ทัง้ มกี ลิ่นสง่ ไกล? แต่ตอ้ งใหม้ ีหนามไว้ ป้องกนั มใิ ห้ เหลา่ เดรจั รานผลาญยับ. มายาวนิ . เทวะ ! อนั ไมง้ ามสรรพ มีลกั ษณต์ อ้ งกบั พระองค์ดำรัสนนั้ มี ในนันทะโนทยานศรี องค์พระศจี ธโปรดเปนยอดมาลา. เห็นมแี ตใ่ นฟากฟ้า ในแดนคนหา ไม้นีม้ ไิ ด้แหง่ ไหน.
[อนิ ทะวิเชยี ร, ๑๑.] ชะกะสีอรุณแสง ดรณุ ีณยามอาย; มายาวิน. ไมเ้ รยี กผะกากุพ- สุวคนธะมากมาย, ปานแกม้ แรล้มแดง มธุรสขจรไกล; ดอกใหญ่และเกสร ดุจะเข็มประดับไว้, อย่ทู นบวางวาย บมิใคร่จะหา่ งเหนิ . อกี ท้ังสะพร่ังหนาม บรโิ ภคอร่อยเพลิน, ผึง้ เขียวสบิ ินไขว่ นรลม้ิ เพราะเลดิ รส; อันกพุ ชฺ ะกาหอม, พิธะโทษะหายหมด, รสหวานสหิ วานเชอญ ทษุ ะเสมหะเสอ่ื มสรรพ์; กินแลว้ ระงับตรี มะคณุ าภริ มย์นันท,์ คือลมและดีลด และระงบั พยาธ.ี อกี ท้ังเจริญกา- เยน็ ในอุราพลนั ,
[รบัง, ๑๖.] สุเทษณ.์ ดลี ะ, จะให้มารศรี เปนดอกไมน้ ี้ โรมยงจะวา่ รนั ใด? มทั นา. ไหนๆ จะเปนดอกไม้, หม่อมรันพอใจ เปนดอกท่ีออกนามมา. ฃา้ ขอกม้ เกศวันทา ทจี่ อมเทวา การุญใหเ้ ลอื กเชน่ น.ี้ สุเทษณ์. ด้วยอำนาจอทิ ธิ์ฤทธี อนั ประมวญมี ณตัวกูผู้แรงหาญ, กูสาปมัทนานงคราญ ให้จุตผิ า่ น ไปจากสรุ าลยั เลดิ , สูแ่ ดนมนุษย์และเกิด เปนมาลีเลดิ อันเรยี กว่ากุพฺชะกะ, ให้เปนเชน่ นัน้ กวา่ จะ รู้สกึ อรุ ะ ระอุเพราะรักรงึ เขญ็ . ทกุ เดอื นเมอ่ื ถึงวนั เพญ็ ใหน้ างนีเ้ ปน มนุษยอ์ ยูก่ ำหนดมี เพยี งหนงึ่ ทิวาราตรี; แตห่ ากนางมี ความรักบรุ ุษเม่อื ใด, เม่ือนน้ั แหละให้ทรามวยั คงรปู อยู่ไซร้ บคืนกลบั เปนบปุ ผา. หากรกั ชายแล้วมัทนา บมีสฃุ า- ภริ มยเ์ พราะเริดร้างรกั , และนางเปนทกุ ขย์ ง่ิ นัก จนเหลอื ที่จัก อดทนอย่อู กี ตอ่ ไป, เมอ่ื นนั้ ผิว่าอรไทย กล่าววอนเราไซร้ เราจึง่ จะงดโทษทัณฑ์. [จิตระปทา, ๘.] นางมะทะนา จตุ อิ ย่านาน จงมะละฐาน สรุ ะแมนสวรรค์, ไปเถอะกำเนดิ ณหมิ าวัน ดงั ดนุล่ัน วจสิ าปไว้ !
คณุ คา่ ของวรรณคดี
วิเคราะหต์ วั ละคร สเุ ทษณ์ เป็นเทพบุตรทีห่ มกม่นุ ใน ตัณหาราคะ เจ้าอารมณ์ เอาแตใ่ จตนเอง และไมค่ ำนงึ ถึงความร้สู กึ ของผู้อ่ืน มัทนา ซอ่ื สัตย์ นิสัยตรงไปตรงมา คิดอยา่ งไรก็พูดอย่างน้นั ไมม่ ีเล่หเ์ หลย่ี ม พดู แตค่ วามจริง แตค่ วามจริงที่นางพดู ทำ ให้นางตอ้ งได้รับความลำบากทุกข์ระทมใจ
วิเคราะห์ตัวละคร พระชยั เสน เปน็ พระราชาท่เี ก่งกาจในการรบ รักมทั นาด้วยใจจรงิ ถึงแมต้ นจะยอม แตง่ งานกับนางจัณฑีตามพอ่ หม้ันหมาย แต่กท็ รงเลอื กนางมทั นาตามใจตนเอง มีนสิ ยั ขีห้ ึงหวง ศภุ างค์ เปน็ ผู้ท่รี กั ความถกู ตอ้ ง ความยตุ ิธรรม ไม่เห็นแกต่ วั จงรกั ภักดขี องพระมหากษตั รยิ ม์ าก จนยอมตายในสนามรบ
คุณค่าดา้ นเน้ือหา ๑. ดา้ นโครงเรอ่ื ง เป็นบทละครพดู คำรนั ท์ทม่ี แี ก่นสำคญั ของเรือ่ งมอี ยู่ 2 ประการ คอื ๑.๑ ทรงปราถนาจะกล่าวถงึ ตำนานดอกกุหลาบ ซ่งึ เปน็ ดอกไมท้ ีส่ วยงาม แต่ไม่เคยมตี ำนานในเทพนิยาย จึงพระราชนิพนธใ์ ห้ดอกกุหลาบมีกำเนิดมาจาก นางฟา้ ทีถ่ กู สาปให้จุติลงมาเกิดเปน็ ดอกไม้ช่อื ว่า “ดอกกพุ ชฺ กะ” คือ “ดอกกหุ ลาบ” ๑.๒ เพอ่ื แสดงความเจ็บปวดอนั เกิดจากความรัก ทรงแสดงให้เหน็ วา่ ความ รกั มี อนภุ าพอยา่ งยิ่ง ผู้ใดมีความรกั กอ็ าจเกดิ ความหลงขึ้นตามมาด้วย ทรงใช้ช่อื เรื่องวา่ “มัทนะพาธา” อันเป็นชอื่ ของตัวละครเอกของเร่อื ง ซ่งึ มคี วามหมายวา่ “ความเจบ็ ปวดหรือความเดือดรอ้ นอนั เกิดจากความรัก”
คุณคา่ ดา้ นเนอื้ หา ๑.๓ ปมของเรอื่ ง มกี ารผกู เร่ืองให้มคี วามขดั แยง้ ซึง่ เป็นปม ปญั หาของเร่ือง คอื ๑.๓.๑ สุเทษณ์เทพบตุ รหลงรักนางมทั นา แตน่ างไมร่ ับรักตอบจึง สาปนางเปน็ ดอกกุพชฺ กะ (กหุ ลาบ) ๑.๓.๒ นางมทั นาพบรักกบั ท้าวชัยเสน แตก่ ็ต้องพบกับอุปสรรค เพราะนางจันฑีมเหสขี องทา้ วชยั เสนวางอบุ ายใหท้ ้าวชัยเสนเขา้ ใจนางมทั นาผดิ สดุ ทา้ ยนางมทั นาไดม้ าขอความชว่ ยเหลอื จากสุเทษณ์เทพบตุ ร และ สุเทษณเ์ ทพบุตรขอความรักนาง อกี คร้ังแตน่ างปฏิเสธเชน่ เคย เร่อื งจึงจบ ลงด้วยความสญู เสยี และความเจบ็ ปวดดว้ ยกนั ทกุ ฝา่ ย
คุณค่าดา้ นเนื้อหา ๒. ใหข้ อ้ คดิ ในการครองตน หญิงใดอยใู่ นฐานะอยา่ งนางมทั นาจะตอ้ งมคี วามระมัดระวังตัว หลกี หนจี าก ผู้ชายมาราคะให้ไกล กวจี ึงกำหนดใหท้ างมัทนาถกู สาปกลายเปน็ ดอกไม้ช่อื ดอกกชุ กะ (กหุ ลาบ) ซึง่ สวยงามมหี นามแหลมคมเป็นเกราะปอ้ งกนั ตนใหพ้ น้ จากมอื ชาย ๓. ให้ข้อคดิ ในเรอ่ื งการมบี รวิ าร การมบี ริวารท่ีขาดคุณธรรมอาจทำใหน้ ายประสบหายนะได้ เชน่ บรวิ ารของ ทา้ วสุเทษณท์ ่เี ปน็ คนธรรพ์ ชอ่ื จติ ระเสนมีหนา้ ที่บำรุงบำเรอให้เจ้านาย ทำทกุ อยา่ ง เพอื่ เอาใจผ้เู ป็นเจ้านาย บริวารลักษณะอย่างนี้มมี ากในสงั คมจริง ซ่ึงมีส่วนใหน้ าย หรอื ประเทศชาติ ประสบความเดอื ดรอ้ นเสียหายได้
คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์ ๑. เรอื่ งมทั นะพาธาเปน็ หนงั สือทแ่ี ตง่ ดี ใช้คำรนั ทเ์ ปน็ บทละครพูด ซึ่งแปลกและแต่งได้ยาก มีการเลอื กใช้คำเหมาะสมกับเน้อื ความและบทบาทของตวั ละคร รวมท้ังการ พรรรณนาใหม้ คี วามสอดคล้องกบั วัฒนธรรมภารตะโบราณและเข้ากบั เนอื้ เร่ืองได้ เปน็ อย่างดี จงึ ไดร้ ับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรวา่ เปน็ ยอดแห่งบทละครพดู คำรันท์ ๒. มกี ารใชภ้ าษาทส่ี ละสลวย ตอนใดทต่ี ้องการดำเนินเร่อื งอยา่ งรวดเร็ว ก็ใชร้ ้อยแกว้ ตอนใดทีต่ อ้ งการจังหวะเสียงและความคลอ้ งจองก็ใชก้ าพย์ หรือ ตอนใดทเ่ี นน้ อารมณม์ ากกม็ ักใช้รันท์
คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป์ ๑.๓ มกี ารใชศ้ ลิ ปะการประพนั ธท์ ไ่ี พเราะ แสดงกวีโวหารและมกี ารเลน่ คำ เล่นอกั ษรอยา่ งแพรวพราว เช่น “สุเทษณ์ : รกั จริงมิจริงฤกไ็ รน อรไทบแ่ จง้ การ?” “มัทนา “สเุ ทษณ์ : รกั จริงมจิ ริงก็สรุ ชาญ ชยะโปรดสถานใด?” “มทั นา : รกั ละเห่ยี อรุ ะระทด เพราะมอิ าจจะคลอเคลยี ” : ความรกั ระทดอรุ ะละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ”
คุณคา่ ดา้ นสังคม ๑. สะท้อนแงค่ ิดให้คนในสังคมไดเ้ ข้าใจพทุ ธวจั นะ “ทใ่ี ดมรี ัก ทน่ี ั่นมีทกุ ข์” ว่า เม่อื มคี วามรัก ต้องรักอยา่ งมสี ติ ใช้วจิ ารณญาณอยา่ งรอบคอบ มใิ ช่รกั อย่างลุ่มหลงจะเกิดความทุกข์ได้ ๒. สะทอ้ นให้เห็นคา่ นยิ มเกีย่ วกับการครองรักระหว่างหญงิ ชาย ตอ้ งเกดิ จากความพงึ พอใจท้ังสองฝา่ ย มิใชเ่ กิดจากการบงั คับขเู่ ขญ็ ใหร้ ับรัก จึงจะเกิด ความสขุ ในชวี ติ ๓. สะท้อนให้เห็นคา่ นิยมของสตรไี ทยในยุคสมัยน้นั วา่ มคี วามซื่อสัตย์ และยึดมัน่ ความรกั เดียวใจเดียว
คณุ คา่ ดา้ นสังคม ๔. แสดงกวีทัศน์ ใหเ้ หน็ วา่ “การมรี ักเป็นทุกขอ์ ยา่ งย่ิง” ตรงตามพทุ ธวจั นะ ทว่ี ่า “ทใี่ ดมรี กั ที่นัน่ มที กุ ข์” เช่น ๔.๑ สุเทษณ์รกั นางมทั นาแต่ไม่สมหวังก็เปน็ ๔.๒ ท้าวสุราษฎร์รักลูกและรักศกั ดิ์ศรี พรอ้ มท่จี ะปกปอ้ งศักดิ์ศรีของลูก ๔.๓ นางมทั นารักบิดา นางยอมท้าวสุเทษณ์เพอ่ื ปกป้องบดิ า รักของนาง มทั นาเป็นความรักทีแ่ ท้จรงิ มนั่ คง กล้าหาญและเสียสละ ๔.๔ ท้าวชยั เสนและนางจันฑี เป็นความรักทม่ี คี วามใคร่และความหลงอยู่ ด้วยจึงมคี วามรูส้ ึกหงึ หวง โกรธแคน้ เม่อื ถูกแยง่ ชงิ คนรกั พรอ้ มทจ่ี ะตอ่ สูท้ ำลาย ทกุ อยา่ งเพื่อให้ได้กลับคนื มา
คุณค่าดา้ นสงั คม ๕. สอดแทรกความคดิ เกีย่ วกบั ความเชอื่ ในสงั คมไทย ๕.๑ ความเชอ่ื เรอ่ื งชาติภพ ๕.๒ ความเชื่อเรือ่ งการทำบุญมาก ๆ จะไดไ้ ปเกดิ ในสวรรค์ และเสวยสขุ ในวิมาน ๖.๓ ความเชือ่ เรอื่ งทำกรรมสิ่งใดย่อมไดร้ บั ผลกรรมน้นั ๖.๔ ความเช่ือเร่ืองเวทมนตรค์ าถา การทำเสน่ห์เล่ห์กล
จบแลว้
Search