ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตอนที่ ๑ ตอนท่ี ๒ ตอนท่ี ๓ ตอนท่ี ๔ ๑_หลักสูตรวชิ าภาษาไทย ๒_แผนการจัดการเรียนรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_ใบงาน_เฉลย ๕_ข้อสอบประจาหนว่ ย_เฉลย ๖_ขอ้ สอบ_เฉลย ๗_การวดั และประเมินผล ๘_เสรมิ สาระ ๙_ส่อื เสริมการเรยี นรู้ บริษทั อกั ษรเจริญทศั น์ อจท. จำกดั : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๑ตอนท่ี การอา่ น ๑หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี การอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแก้ว และบทรอ้ ยกรอง จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ • อ่ำนออกเสียงบทรอ้ ยแก้วและบทรอ้ ยกรองได้อยำ่ งถูกต้อง ไพเรำะ และเหมำะสมกบั เรื่องท่ีอ่ำน
การอา่ นบทร้อยแกว้ บทประพันธ์ทเ่ี รยี บเรยี งดว้ ยภำษำที่ใช้เขียนหรือพูดกันท่ัวไป ภำษำที่ใช้สำหรับร้อยแก้วไม่มีกำรบังคับ สมั ผัส หรือกำหนดจำนวนคำแต่อย่ำงใด เป็นภำษำท่ใี ชส้ ื่อสำรเพอ่ื ใหเ้ กดิ ควำมเข้ำใจเปน็ สำคญั บันเทงิ คดี สารคดี เป็นลักษณะงำนเขยี นทีม่ เี น้ือหำมงุ่ เสนอเรอื่ งทแี่ ต่ง เป็นลักษณะงำนเขยี นทม่ี ีเนอื้ หำมุ่งเสนอ ข้อเทจ็ จริงท่ี ขึ้นจำกจินตนำกำร เพอื่ ควำมเพลดิ เพลินเป็นหลัก เป็นควำมรู้ ข้อคิดเปน็ หลัก • นทิ ำน • ควำมเรยี ง • กฎหมำย • เรือ่ งสัน้ • บทควำม • จดหมำยเหตุ • นวนยิ ำย • พระรำชหตั ถเลขำ • นยิ ำยองิ พงศำวดำร • สำรคดี • นิทำนชำดก • รำยงำน • จำรึก • พงศำวดำร • คมั ภรี ศ์ ำสนำ
หลักการอา่ นออกเสยี งร้อยแกว้ • ศึกษำเรือ่ งที่จะอ่ำนให้เขำ้ ใจ • อำ่ นให้ถกู ตอ้ งตำมอกั ขรวิธีในภำษำ • ต้องมีสมำธิและม่นั ใจ • อ่ำนออกเสยี งให้เป็นเสียงพูด ไมด่ ัดเสียงหรือใชเ้ สยี งแหลมเกนิ ไป • อำ่ นออกเสียงให้ดงั พอประมำณ ไมต่ ะโกนหรือแผ่วเกนิ ไป • กำหนดควำมเรว็ ใหเ้ หมำะสมกับผู้ฟังและเรื่องที่อำ่ น • อ่ำนให้ถูกจังหวะวรรคตอน • อำ่ นเน้นคำทส่ี ำคญั และคำทต่ี อ้ งกำร เพอื่ ให้เกิดจนิ ตภำพที่ตอ้ งกำร • เมอ่ื อำ่ นข้อควำมทม่ี เี ครื่องหมำยวรรคตอนกำกบั ควรอำ่ นใหถ้ ูกตอ้ ง ตำมหลกั ภำษำสว่ นคำทใี่ ช้อักษรยอ่ ตอ้ งอำ่ นใหเ้ ตม็ คำ • เม่อื อำ่ นจบย่อหน้ำหน่งึ ควรผ่อนลมหำยใจและเม่ือขนึ้ ยอ่ หน้ำใหม่ ควรเน้นเสยี งทอดเสยี งให้ชำ้ ลงกว่ำปกติเล็กนอ้ ย
การอา่ นในใจ เป็นกำรทำควำมเขำ้ ใจสัญลกั ษณ์ที่มีผู้บนั ทึกไวเ้ ปน็ ลำยลักษณอ์ กั ษร รปู ภำพ และเคร่อื งหมำยต่ำงๆ แลว้ ผ้อู ่ำนจะต้องทำควำมเขำ้ ใจ โดยแปลสญั ลักษณท์ ี่บันทกึ ไวน้ น้ั ให้ตรงตำมควำมตอ้ งกำรของผบู้ นั ทกึ กำรอำ่ นในใจจึงใชเ้ พยี งสำยตำกวำดไปตำม ตวั อักษรหรอื สญั ลกั ษณต์ ำ่ งๆ แลว้ ใชค้ วำมคิด แปลควำม ตคี วำม รับสำรตำ่ งๆ ที่อำ่ นน้นั
การอ่านบทร้อยกรอง คนไทยเปน็ ผมู้ ีอำรมณ์สนุ ทรีย์ จงึ ไดค้ ดิ ประดษิ ฐ์ลลี ำท่วงนำนองกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรอง ใหห้ ลำกหลำย เชน่ กำรขับ กำรร้อง กำรกลอ่ ม กำรเห่ กำรแหล่ กำรพำกย์ กำรอำ่ นแบบทำนองเสนำะ • ภำษำไทยเปน็ ภำษำดนตรีมเี อกลกั ษณเ์ ฉพำะตัว คอื มีเสียงวรรณยุกต์ ๕ ระดบั เสียง • เมอื่ นำถ้อยคำมำเรียงร้อยเข้ำดว้ ยกันแล้ว จะก่อใหเ้ กดิ บทรอ้ ยกรองหลำยลักษณะ เชน่ • กำพย์ • กลอน • โคลง • รำ่ ย • ฉนั ท์
ลกั ษณะของบทร้อยกรองประเภทตา่ งๆ โคลง ฉันท์ เปน็ คำประพนั ธด์ ้งั เดิมของไทย ร่าย เปน็ คำประพนั ธ์ ได้รับอทิ ธพิ ลมำจำกล้ำนนำ ที่มกี ำรบงั คับเสยี งหนักเสยี งเบำ มีฉนั ท์ลกั ษณท์ ไ่ี ม่ซบั ซอ้ น เป็นคำประพนั ธ์ทเี่ ก่ำแก่ทส่ี ุด ใน ๑ บท จะกีว่ รรคกไ็ ด้ (ครุ ลห)ุ กาพย์ ร่ำยสภุ ำพจะมวี รรคละ ๕ คำ กลอน เป็นคำประพนั ธ์ประเภทหนงึ่ ของไทย สว่ นรำ่ ยยำวจะไม่จำกดั จำนวนคำ ทนี่ ิยมแต่งมี ๓ ประเภท เปน็ คำประพนั ธท์ นี่ ิยมแพร่หลำย มำกท่สี ุด กลอน ๑ บท มี ๔ วรรค • กำพย์ยำนี ๑๑ • กำพยฉ์ บงั ๑๖ • วรรคสดบั • วรรครบั • กำพย์สุรำงคนำงค์ ๒๘ • วรรครอง • วรรคส่ง
การอา่ นบทร้อยกรอง ๒อ่านได้ ลกั ษณะ อา่ นออกเสยี งธรรมดา : อา่ นทานองเสนาะ : อ่ำนออกเสยี งเชน่ เดียวกับกำรอำ่ นรอ้ ยแกว้ อ่ำนเป็นทำนอง เพือ่ ควำมไพเรำะ • เปน็ กำรอำ่ นออกเสียงพูดธรรมดำแตต่ ้องเว้นจังหวะ • เปน็ กำรอำ่ นที่มสี ำเนียงสูง ต่ำ หนัก เบำ ยำว สน้ั วรรคตอนให้ถกู ตอ้ งตำมลกั ษณะบังคับของคำ ทอดเสียง เอื้อนเสยี ง เนน้ จงั หวะ เน้นสมั ผัสใน ประพนั ธแ์ ต่ละชนิด ชดั เจนไพเรำะ และทำให้เกิดอำรมณ์คล้อยตำม • มกี ำรเน้นคำรบั สมั ผัสเพื่อเพ่ิมควำมไพเรำะ ใส่ • ต้องมสี ำเนยี ง น้ำเสยี งท่เี หมำะสมกับลักษณะ อำรมณ์ใหเ้ หมำะสมสอดคลอ้ งกับเน้ือหำที่อ่ำนได้ เน้ือควำม ที่อำ่ น ซึง่ เป็นสิง่ ท่ตี ้องฝึกฝนโดยเฉพำะ
คณุ สมบัตขิ องผอู้ า่ น มีควำมรเู้ รอ่ื งฉนั ทล์ กั ษณ์ มที ักษะและสมำธิ มคี วำมชำ่ งสงั เกต เพอื่ ใหส้ ำมำรถอำ่ น ในกำรอำ่ น ไมอ่ ่ำนผิด รอบคอบ ไดอ้ ย่ำงถูกต้อง อำ่ นตกหลน่ หรือต่อเติม และมปี ฏิภำณไหวพริบดี ฝกึ ฝนกำรอ่ำน อยำ่ งสมำ่ เสมอ มีควำมรักและสนใจ กำรอ่ำนอย่ำงแท้จรงิ มีควำมเชื่อมน่ั ในตนเอง กล้ำแสดงออก มสี ขุ ภำพดี มีนำ้ เสยี งแจ่มใส อวัยวะในกำรออกเสียง ไม่ผิดปกติ
หลกั เกณฑใ์ นการอา่ น ศกึ ษาคาประพันธ์ประเภทต่างๆ อา่ นบทร้อยกรอง ให้เข้าใจถอ่ งแท้ เป็นสาเนียงการอ่านรอ้ ยแกว้ ธรรมดา จดจำรูปแบบและข้อบังคับให้แม่นยำ ให้ไดจ้ งั หวะหรือชว่ งเสยี งตำมรูปแบบรอ้ ยกรองชนิดนน้ั ๆ ฝึกอา่ นทอดเสียงโดยอา่ นผอ่ นเสยี ง อ่านแบบใส่ทานองเสนาะ ควรฝกึ แบ่งชว่ งเสยี ง และผ่อนจงั หวะให้ช้าลง ของคาในแต่ละวรรคให้ถกู ต้อง เป็นข้ันตอนที่ตอ่ เน่ืองจำกกำรอำ่ นคำแตล่ ะคำให้ชดั เจน โดยคำนงึ ถงึ ควำมหมำยเปน็ สำคัญ
หลักเกณฑใ์ นการอา่ น เพม่ิ ศลิ ปะในการอ่านท่ีจะทำใหก้ ำรอ่ำนทำนองเสนำะเกดิ ควำมไพเรำะยงิ่ ขน้ึ โดยมวี ธิ ีกำร ดงั นี้ การกระแทกเสียง การครวญเสยี ง การครั่นเสียง การหลบเสยี ง การเออื้ นเสยี ง การทอดเสียง กำรลงเสียง กำรแทรก กำรทำเสยี ง กำรเปล่ียน กำรลำกเสียง กำรอ่ำน ในแต่ละคำ เสยี งเออ้ื นหรือ ใหส้ ะดดุ เสียง ช้ำๆ เพ่อื ให้ โดยผอ่ นเสยี ง ใหห้ นกั เปน็ สำเนียงครวญ สะเทอื น เขำ้ จังหวะและ ผ่อนจังหวะ พเิ ศษ มักใช้ เพื่อควำม หรอื หักเสียง ไวห้ ำงเสียง ในตอนบรรยำย รำพัน ไพเรำะซง่ึ หลบจำกสูง เพ่ือควำม ให้ชำ้ ลง ควำมโกรธ ใช้ไนกรณี เหมำะสมกับ ลงไปตำ่ หรอื ควำมเข้มแข็ง ท่ตี ้องกำร บทร้อยกรอง จำกเสียงต่ำข้ึน ไพเรำะ ขอร้อง วิงวอน บำงตอน หรือ หรอื สำหรับ ไปสงู ตอนที่ตอ้ งกำร อำรมณ์โศก ควำมศกั ดิ์สิทธ์ิ ฝกึ ใส่อารมณใ์ หเ้ หมาะสมสอดคล้องกับเนอ้ื ความท่ีอ่าน ทาไดโ้ ดยการออกเสยี ง โดยเปลย่ี นแปลงเสยี งไปตำมอำรมณ์ควำมรูส้ กึ ของบทรอ้ ยกรองแตล่ ะวรรคแต่ละตอน
วธิ กี ารอา่ น กำรอำ่ นทำนองเสนำะจะไพเรำะหรอื ไม่ ขน้ึ อยู่กับนำ้ เสยี งและ ควำมสำมำรถของผู้อำ่ น โดยมีเครื่องหมำยวรรคตอนในกำรอำ่ น ดังน้ี เครื่องหมาย ความหมาย / กำรหยดุ เวน้ ชว่ งจังหวะสัน้ ๆ // /กำรหยดุ เวน้ ช่วงจงั หวะทีย่ ำวกวำ่ เครอื่ งหมำย
ขอ้ ควรคานงึ ในการอา่ นกลอน • อำ่ นให้ถกู ทำนองของกลอนประเภทนน้ั ๆ • อำ่ นออกเสยี งคำให้ถูกต้องตำมอกั ขรวธิ ี • อำ่ นคำให้เออ้ื สมั ผัสในเพือ่ เพมิ่ ควำมไพเรำะ ข้ำอุตส่ำหม์ ำเคำรพอภวิ นั ท์ อบ-พิ-วัน เพ่อื ให้สัมผสั กับ คดิ ถึงบำทบพิตรอดศิ ร อะ-ดดิ -สอน เคารพ ทดิ - ดำ บพติ ร บุญบนั ดำลดลจิตพระธิดา จติ
ขอ้ ควรคานึงในการอา่ นกลอน (ตอ่ ) • ใส่อำรมณใ์ หเ้ หมำะสมกบั เนือ้ ควำม - เน้อื ควำมบรรยำยธรรมชำติ ควรอ่ำนดว้ ยเสยี งเนิบ นมุ่ กังวำน แจ่มใส ชัดเจน ควำมดงั เสยี งใช้ประมำณ ๓ ใน ๔ ของเสียงตน - เนอื้ ควำมบรรยำยควำมตน่ื ตัน ควรอ่ำนช้ำบ้ำง เรว็ บ้ำง ดงั บ้ำง คอ่ ยบำ้ ง เพ่ือให้เรำ้ ใจตำมควำมหมำยของเนอ้ื ควำม • อำ่ นใหถ้ ูกชว่ งเสยี งหรือจงั หวะของกลอน
ขอ้ ควรคานงึ ในการอ่านกาพย์ • อำ่ นใหถ้ ูกตอ้ งตำมอักขรวธิ ี ออกเสยี งสระเสียงสั้นและสระเสยี งยำวให้ถูกต้อง ศกึ ษำกำรอำ่ นเอ้อื สมั ผัสและรับสมั ผัส อำ่ นใหถ้ กู ตอ้ งตำมรปู เขยี น เมือ่ ไร อำ่ นเป็น เมื่อไร เมื่อไหร่ • อ่ำนให้ถูกตอ้ งตำมฉนั ท์ลักษณ์ • ใชน้ ้ำเสยี งในกำรอำ่ นใหส้ อดคล้องกับเนอื้ ควำม เพือ่ ให้ผ้อู ำ่ นเกดิ ควำมรูส้ กึ คล้อยตำมและเกดิ จินตภำพ
ขอ้ ควรคานงึ ในการอ่านกาพย์ (ต่อ) • ใช้เสยี งในกำรอ่ำนอย่ำงมศี ลิ ปะ การเอื้อนเสียง การทอดเสียง การรวบคา การเชือ่ มเสยี ง ท้งั เสียงคำเปน็ เป็นกำร เป็นกำรอ่ำน บทอ่ำนท่ีมีคำ และคำตำย เอือ้ นเสียงใหย้ ำว รวบพยำงค์ ยัติภงั ค์ ควรลำกเสียง เพื่อใหล้ ง ให้เข้ำจังหวะ กว่ำปกติ จังหวะได้พอดี ควรฝึกกำรอำ่ น และไว้หำงเสียง เพ่อื ให้ทรำบว่ำ ออกเสยี ง เพื่อควำมไพเรำะ ตอ่ เนอ่ื งกนั บททอี่ ำ่ น กำลงั จะจบ เพ่อื ผู้ฟงั จะได้ ทรำบว่ำคำที่อ่ำน คือคำวำ่ อะไร
ขอ้ ควรคานงึ ในการอา่ นโคลงสส่ี ุภาพ • ใชน้ ้ำเสียงในกำรอ่ำนให้เหมำะสมสอดคล้องกบั เนอ้ื ควำม • สังเกตคายตั ภิ ังค์ ท้งั ท่ปี รำกฏและไมป่ รำกฏเครอ่ื งหมำย โดยต้องอำ่ นใหผ้ ฟู้ งั ทรำบวำ่ เป็นคำใด ลำพูดูหิ่งหอ้ ย พรอยพรำย ๒บาทที่ ๓ เหมอื นเม็ดเพชรรตั นร์ ำย รอบก้อย วบั วับจบั เนตรสาย- สวำทสบ- เนตรเอย มคี ายตั ภิ ังค์ คา วบั เชน่ เห็นหิง่ หอ้ ย หบั หมำ้ นนำนเห็น สายสวาท สบเนตร (โคลงนิรำศสพุ รรณ : สนุ ทรภู่) ดังน้นั เมอ่ื อ่ำนคำว่ำ “สาย” และคำวำ่ “สบ” จงึ ต้องทอดเสียงใหน้ อ้ ยท่ีสดุ เพอื่ ให้ผฟู้ ังทรำบวำ่ เป็นคำอะไร
ขอ้ ควรคานงึ ในการอ่านฉันท์ • ศกึ ษำลักษณะของฉนั ทล์ ักษณใ์ ห้เข้ำใจ ตอ้ งรคู้ ำครุ คำลหุ และคณะของฉนั ทแ์ ตล่ ะประเภท • แบ่งจงั หวะในกำรอ่ำนฉันท์ สูงลิว่ ละลำนนั- ยนพน้ ประมำณหมำย ใหถ้ ูกต้อง โดยเฉพำะคำที่ มี สูง-ลว่ิ /ละ-ลำน-นัย// ยะ-นะ-พ้น/ประ-มำน-หมำย// เครอื่ งหมำยยตั ภิ งั ค์คั่น • อ่ำนเน้นเสียงคำทร่ี บั สมั ผัส ข้ำแต่พระจอมจฬุ มกุฎ บริสทุ ธกิ ำจำย ใหช้ ัดเจน โดยสัมผัสนอก ข้ำ-แต่/พระ-จอม/จ-ุ ละ-มะ-กดุ // บอ-ริ-สดุ /ทิ-กำ-จำย// ต้องทอดเสียงใหม้ ีจงั หวะ ยำวกวำ่ ปกติ • ไม่อ่ำนเอื้อนเสียงที่คำลหุ เพรำะมเี สียงเบำและส้ัน • ต้องเอ้ือนทำนองใหถ้ ูกต้องตำมประเภทของฉันท์ • เมอ่ื อ่ำนตอนจบต้องเออ้ื นเสียงและทอดจังหวะให้ชำ้ ลง
ขอ้ ควรคานึงในการอา่ นร่าย • กำรอำ่ นร่ำยทกุ ชนิดจะมีทำนองเหมอื นกนั ทำนองสงู อ่ำนด้วยเสียงระดบั เดยี วกัน กำร ลงจังหวะอยู่ท่ที ำ้ ยวรรคทกุ วรรค • ร่ำยส่วนใหญ่จะมีวรรคละ ๕ คำ โดยกำรอ่ำนใหจ้ บวรรคภำยใน ๑ ชว่ งลมหำยใจ การใสอ่ ารมณใ์ นการอ่านรา่ ย เนอ้ื ความ เน้อื ความ เนือ้ ความ เนือ้ ความ เนอื้ ความ แสดง แสดง บรรยาย ตัดพ้อต่อวา่ สง่ั สอน การรบการต่อสู้ อารมณเ์ ศร้า อารมณโ์ กรธ น้ำเสียงปำนกลำง ไม่เบำไมด่ ังเกนิ ไป นำ้ เสยี งควรเบำลง นำ้ เสยี งควร นำ้ เสียงดงั น้ำ้ เสียงตำ่ ส่นั เครอื หนักแน่น หนักแนน่ เน้นบ้ำง เนน้ เสียง เนน้ เสยี งดงั หว้ น กระชับ สะบัดเสยี งบ้ำง ทีค่ ำสอน จังหวะกำรอ่ำน กวำ่ เดิม กระชับ แต่ไมห่ ว้ น ช้ำลงกว่ำปกติ สั้น หว้ น
การอา่ นและพจิ ารณาบทร้อยกรอง กำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองมีแนวทำงในกำรอ่ำนและพจิ ำรณำตำมองค์ประกอบ : เน้ือหาสาระ รปู แบบ : ลักษณะกำรประพันธห์ รือฉนั ท์ลกั ษณ์ ลกั ษณะการประพันธ์ ศลิ ปะการประพนั ธ์ กำรสรรคำ ถ้อยคำท่ีใชใ้ นบทรอ้ ยกรองมักเปน็ คำท่ีมีลักษณะพิเศษ กำรใช้ภำพพจน์ : กำรใชค้ ำสร้ำงภำพ ควำมไพเรำะ รสของบทรอ้ ยกรองอย่ทู ่เี สียง • อุปมำ ควำมหมำยลึกซง้ึ กินใจ • อุปลกั ษณ์ • บุคคลวัต • สัทพจน์
๒หน่วยการเรยี นรู้ท่ี การอา่ นสื่อสงิ่ พมิ พ์ และส่ืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ๑. ตอบคำถำมจำกกำรอำ่ นงำนเขียนประเภทตำ่ งๆ ภำยในเวลำทก่ี ำหนดได้ ๒. อ่ำนเรื่องตำ่ งๆ แล้วเขียนกรอบแนวคดิ ผังควำมคิด บันทกึ ยอ่ ควำม และรำยงำนได้ ๓. สังเครำะหค์ วำมรู้จำกกำรอ่ำนสื่อสงิ่ พิมพ์ ส่อื อิเลก็ ทรอนิกส์และแหล่งเรียนรู้ตำ่ งๆ ได้ ๔. มมี ำรยำทในกำรอ่ำนได้ ๕. วิเครำะห์และประเมนิ กำรใชภ้ ำษำจำกส่อื ส่งิ พมิ พ์และสื่ออิเล็กทรอนิกสไ์ ด้
การอ่านสอื่ ส่งิ พิมพ์ ส่อื หมำยถงึ ทำกำรติดตอ่ ใหถ้ ึงกัน สงิ่ พมิ พ์ หมำยถงึ สมุด แผ่นกระดำษ หรือวตั ถุ ชักนำให้รู้จักกนั ผ้หู รือสงิ่ ทที่ ำกำร ใดๆ ท่ีพิมพ์ขึน้ รวมตลอดท้ังบทเพลง แผนท่ี ตดิ ตอ่ ให้ถงึ กนั หรือชกั นำให้รู้จกั แผนผงั แผนภำพ ภำพวำด ภำพระบำยสี ใบ กัน” ประกำศ แผน่ เสยี ง หรอื สง่ิ อนื่ ใดอันมลี กั ษณะ เช่นเดียวกัน “สอื่ สง่ิ พิมพ”์ มีควำมหมำยว่ำ ส่ิงทพ่ี ิมพ์ขึน้ ไมว่ ำ่ จะเปน็ แผ่นกระดำษหรอื วตั ถใุ ดๆ ด้วยวิธกี ำรต่ำงๆ อนั เกิดเปน็ ชิน้ งำนที่มีลักษณะเหมือนตน้ ฉบับขน้ึ หลำยสำเนำปริมำณมำก เพ่อื เป็นส่งิ ทีท่ ำกำรติดต่อ หรือชกั นำใหบ้ คุ คลอ่นื ได้เหน็ หรือทรำบขอ้ ควำมต่ำงๆ
ประเภทของส่ือสิง่ พมิ พ์ เพ่อื เผยแพรข่ า่ วสาร ประเภทหนงั สือ • หนังสือพิมพ์ • วำรสำร นิตยสำร • หนังสอื สำรคดี ตำรำ แบบเรยี น • จลุ สำร • หนังสอื บนั เทงิ คดี • ส่งิ พมิ พ์โฆษณำ เพอื่ การบรรจภุ ณั ฑ์ - โบรชัวร์ - ใบปลวิ • สงิ่ พมิ พห์ ลกั ได้แก่ สงิ่ พิมพท์ ่ใี ช้ปดิ รอบขวด หรือ - แผน่ พับ กระปอ๋ งผลิตภณั ฑก์ ำรค้ำ - ใบปดิ • ส่ิงพิมพ์รอง ไดแ้ ก่ สง่ิ พมิ พท์ เี่ ปน็ กล่องบรรจุ หรอื ลัง
การอา่ นสื่อส่งิ พิมพป์ ระเภทเรื่องสนั้ เรื่องสั้นจะต้องมขี นำดส้นั โครงเรือ่ งง่ำย ใชต้ ัวละครนอ้ ย กำรกระทำ และพฤติกรรมของตวั ละครต้องมุ่งไปสจู่ ดุ สำคัญของเรือ่ ง องค์ประกอบของเรอ่ื งสนั้ ชนิดของเร่ืองสนั้ แนวทางในการอ่านเร่อื งสั้น • แนวคดิ หรือแก่นของเรือ่ ง • ชนดิ ผกู เรอื่ ง • พจิ ำรณำชอ่ื เรอื่ ง และเนอ้ื เรอ่ื ง • โครงเรื่อง • ชนดิ เพง่ แสดงลกั ษณะของตวั ละคร • พิจำรณำรปู แบบกำรเขียนวำ่ ใชแ้ นวกำร • เนอื้ เรอื่ ง • ชนดิ ถือฉำกเปน็ สว่ นสำคญั • ตัวละคร บทสนทนำ • ชนดิ แสดงแนวควำมคิดเห็น เขียนแบบใด • ฉำก • วเิ ครำะหว์ จิ ำรณ์ลักษณะเดน่ ของเร่อื งส้ัน พิจำรณำแก่นเรื่องว่ำคอื อะไร • สรุปควำมคิดเห็นของผู้เขยี นจำกกำรอำ่ น เรอื่ งทเ่ี ป็นผลงำนของเขำหลำยๆ เร่อื ง
การอา่ นสื่อส่งิ พิมพ์ประเภทนวนิยาย ฉำกและบรรยำกำศ บทสนทนำ โครงเรอ่ื ง แก่นเรอื่ งหรือ ความคิดหลัก ตัวละคร องค์ประกอบ ของนวนิยาย ทรรศนะของผู้แต่ง ท่วงทำนองแตง่ หรือ กลวิธี
แนวทางในการอ่านนวนิยาย ตวั ละคร อธิบำยไดว้ ำ่ ตวั ละครตวั ใดเปน็ เนอ้ื เร่ือง โครงเรือ่ ง และแกน่ เรอ่ื ง ฉากและบรรยากาศ พิจำรณำควำมสมจริง ตัวเอก มลี กั ษณะนิสัยอยำ่ งไร ควรจะเลำ่ เร่ืองย่อได้ บอกได้ว่ำใช้ และควำมถกู ตอ้ งตรงกับช่วงเวลำ หรอื เพรำะเหตใุ ดจงึ เป็นเช่นนั้น หรอื อะไรคือ กลวิธอี ะไรบ้ำงในกำรดำเนินเร่ือง สำเหตุของพฤตกิ รรม และรู้ว่ำแก่นหรือแนวคดิ หลกั ของ สภำพกำรณใ์ นเรอื่ งนั้น ฉำกและบรรยำกำศ เรอ่ื งคอื อะไร โครงเรื่องตอ่ เนื่อง มีอทิ ธพิ ลต่อตวั ละครหรอื ไม่ บทสนทนา สานวนภาษา และกลวธิ ใี น การแต่ง ควรใชภ้ ำษำให้เหมำะกบั ตัว สัมพันธก์ นั หรอื ไม่ ทรรศนะของผแู้ ต่ง มองหำทรรศนะของผู้ ละคร เช่น วยั กำรอบรม และยุคสมยั แตง่ ต้องมองจำกสว่ นต่ำงๆ ของนวนยิ ำย เช่น จำกคำพูดของตัวละคร จำกวธิ กี ำรทผ่ี ู้ แต่งบรรยำยเหตุกำรณต์ ่ำงๆ จำกทรรศนะ ของตัวเอก เปน็ ตน้
การอา่ นส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ สือ่ ทน่ี ำเสนอขอ้ มลู ข่ำวสำรโดย นำเสนอจะอยใู่ นรูปของขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ และใช้อปุ กรณใ์ นการอ่าน เชน่ เคร่อื ง ใชเ้ ทคโนโลยีสำรสนเทศ คอมพิวเตอรต์ ้ังโตะ๊ คอมพิวเตอร์แบบ หรอื ท่เี รียกวำ่ พกพำ โทรศัพทเ์ คลอ่ื นท่ี เปน็ ตน้ “สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์”
ประเภทของส่อื อิเล็กทรอนกิ ส์ ประเภทออนไลน์ ประเภทออฟไลน์ สือ่ ท่ถี กู เกบ็ อย่ใู นเคร่ืองคอมพวิ เตอร์อื่น ผอู้ ่ำนจะเข้ำถงึ ส่ือได้โดยผ่ำนบรกิ ำร ข้อมลู ทถ่ี ูกเก็บอยใู่ นอปุ กรณบ์ ันทึกขอ้ มลู - ซีดรี อม (CD-ROM) ต่ำงๆ ของเครอื ข่ำยกำรสือ่ สำรขอ้ มลู ทใี่ หบ้ ริกำรผำ่ น - ฮำร์ดดิสก์ อินเทอร์เน็ต - แผ่นดสิ ก์ - ดวี ีดี (DVD) ส่ืออเิ ล็กทรอนกิ สป์ ระเภทนีผ้ อู้ ำ่ น สำมำรถเขำ้ ถงึ ไดโ้ ดยตรงจำกเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ หรือเคร่ืองเล่นตำ่ งๆ เช่น ภำพยนตร์ ดนตรี สำรำนุกรม หรือวำรสำรวิชำกำรในรปู ของซดี รี อม
แนวทางในการอ่านส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ พิจารณาความน่าเชือ่ ถอื ของขอ้ มลู ท่ีนาเสนอ พจิ ารณาความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ที่นาเสนอ พิจารณาความทนั สมยั
๓หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี การอ่านแปลความ ตีความ และขยายความ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๑. ตีควำม แปลควำม และขยำยควำมเรอ่ื งท่ีอ่ำนได้ ๒. วเิ ครำะหแ์ ละวจิ ำรณเ์ รือ่ งที่อำ่ นในทุกๆ ดำ้ นอยำ่ งมีเหตผุ ลได้ ๓. ตอบคำถำมจำกกำรอ่ำนงำนเขียนประเภทต่ำงๆ ภำยในเวลำท่ีกำหนดได้ ๔. อำ่ นเรอ่ื งต่ำงๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคิด ผังควำมคดิ บนั ทึก ย่อควำม และรำยงำนได้ ๕. สงั เครำะหค์ วำมรูจ้ ำกกำรอำ่ นสอ่ื สงิ่ พมิ พ์ สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และแหลง่ เรยี นรู้ต่ำงๆ ได้
การอา่ นแปลความ คือ กำรแปลตำมอักษรหรอื คำ ถำ้ อำ่ นหรอื ฟงั แล้ว โดยถือควำมหมำยเป็นสำคญั แปลควำมผดิ ไปจำกเน้อื ควำม โดยยังรักษำเนือ้ หำและ เดิม กจ็ ะทำให้กำรตีควำม ควำมสำคญั ของเร่ืองเดมิ ไวไ้ ด้ ขยำยควำม หรอื อ่นื ๆ ผิดไป อยำ่ งครบถ้วน ดว้ ย
รปู แบบของการแปลความหาย ๑. แปลคาศพั ท์เฉพาะใหเ้ ป็นภาษาธรรมดา บปุ ผา = ดอกไม้ โจทย์ = ผู้ฟอ้ ง ตนุ๋ = หลอกหลวง, วธิ ปี รุงอาหารอยา่ งหน่งึ
การแปลความหมายมหี ลายรปู แบบ ๒. แปลสานวน สุภาษติ คาพังเพย รอ้ ยกรอง คาภาษาบาลี สนั สกฤตทีไ่ ทยนามาใชใ้ หเ้ ปน็ ภาษาสามญั หรอื ในทาง กลับกัน ธมโม หเว รกขติ ธมมจาริ = ธรรมย่อมรักษาผปู้ ระพฤติธรรม พศิ พักตรผ์ ่องเพยี งบหุ ลนั ฉาย = ใบหน้าผุดผ่องราวกบั แสงจนั ทร์ ความรทู้ ว่ มหวั เอาตวั ไมร่ อด = มวี ชิ าความรู้มากแต่ไมส่ ามารถ พาตนเองให้รอดพน้ จากความ หายนะและภยั พิบตั ไิ ด้
การแปลความหมายมหี ลายรูปแบบ ๓. แปลเครื่องหมายตา่ งๆ = เพศชาย = เพศหญิง > = มากกว่า
การอา่ นตีความ กำรหำควำมหมำยทีซ่ ่อนอยู่ใน บำงคร้ังผู้เขียนอำจใชส้ ัญลักษณ์ หำก ตัวบท หรือกำรแปลควำมหมำย ผู้รับสำรสำมำรถตีควำมโดยหำ โดยนัย หรือกำรอธิบำยควำม หมำยที่ ซบั ซ้อนให้กระจ่ำงข้นึ ควำมหมำยทีซ่ ่อนอยูไ่ ด้ ก็จะได้ควำม เขำ้ ใจในระดับทล่ี ึกซ้งึ ข้นึ โดยท่ัวไป ภำษำที่มสี องระดับ คอื คำ ที่มีควำมหมำยโดยตรงและ ควำมหมำยโดยนยั
หลกั เกณฑใ์ นการอา่ นตคี วาม ๑. อา่ นเรอื่ งที่จะตคี วามโดยละเอยี ดเพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจความหมาย และประเดน็ สาคญั ๒. พิจารณาวา่ คาทปี่ รากฏในเรอื่ งมีความหมายอกี ระดับซ่อนอยู่หรอื ไม่ ๓. พิจาณาว่าคาที่ปรากฏในเร่อื งมีนา้ เสยี งท่เี จอื ความรู้สึกใดๆ ซอ่ นอยหู่ รือไม่
การอ่านขยายความ คอื กำรอำ่ นเพ่ือนำขอ้ มลู มำอธิบำย สำมำรถใช้วธิ กี ำรยกตัวอยำ่ ง เพิม่ เตมิ ใหม้ คี วำมละเอยี ดมำกขึน้ ประกอบ หรือกำรอำ้ งองิ เปรยี บเทยี บ เพือ่ ใหไ้ ดเ้ นื้อควำมที่ จำกเนอื้ ควำมเดิม กว้ำงขวำงออกไปจนเปน็ ท่เี ข้ำใจ ยิง่ ขน้ึ
การอ่านเพอ่ื ขยายความ ๓. แปลเครือ่ งหมายตา่ งๆ ตวั อยา่ ง การอา่ นเพอื่ ขยายความ การหนัก ดขู ้าดูเมือ่ ใช้ เมือ่ ไร้ จวนชพี ดูมิตรพงศารัก วา่ รา้ ยฤาดี ดเู มียเมือ่ ไข้จกั อาจจักรู้จติ ไว้ โคลงโลกนิติ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยำเดชำดศิ ร) จะดจู ติ ใจข้ำทำส มิตร และภรรยำวำ่ ดีหรือไม่ ใหด้ ูจำกกำรกระทำของเขำ กำรดูจติ ใจผู้ใดวำ่ รำ้ ยหรอื ไม่ ต้องสงั เกตจำกกำรกระทำของคนผูน้ ั้น เช่น จะดวู ำ่ ขำ้ ทำสมคี วำมอดทนขยนั ขันแขง็ หรือไม่ ใหส้ ังเกตเมื่อใช้งำน หนกั เพรำะถ้ำต้ังใจทำงำนหมำยควำมว่ำข้ำทำสนั้นไม่เกียจครำ้ น
๔หน่วยการเรยี นรู้ที่ การอา่ นเพ่ือแสดงความคิดเห็น จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. วิเครำะห์ วิจำรณ์ แสดงควำมคิดเหน็ โต้แยง้ เก่ียวกับเร่ืองทอ่ี ำ่ นและเสนอควำมคดิ ใหม่อยำ่ งมีเหตุผลได้ ๒. ตอบคำถำมจำกกำรอ่ำนงำนเขียนประเภทตำ่ งๆ ในเวลำทกี่ ำหนดได้ ๓. อ่ำนเร่อื งต่ำงๆ แลว้ เขียนกรอบแนวคดิ ผังควำมคดิ บันทกึ ยอ่ ควำม และรำยงำนได้ ๔. มมี ำรยำทในกำรอ่ำนได้
การอ่านเพื่อแสดงความคดิ เห็น หมำยถงึ กำรอำ่ นท่ีผู้อ่ำนพิจำรณำเรื่อง เช่น ช่ือเรื่อง แนวคิด เน้ือหำสำระ ท่ีอ่ำนด้วยเหตุผล หรือหลักวิชำท่ี กลวิธีในกำรนำเสนอ ภำษำท่ีผู้เขียน เกี่ยวขอ้ งกับกำรวิเครำะห์ วิจำรณ์ เลอื กใช้ เป็นตน้ โดยอำจแสดงออกด้วย วธิ ีกำรเขียน หรือกำรพูด แล้วแสดงควำมคิดเห็นของตนท่ีมีต่อ องค์ประกอบสว่ นต่ำงๆ ของเร่ือง
องคป์ ระกอบของการแสดงความคดิ เห็น ๑) ที่มา ๒) ขอ้ สนบั สนุน ๓) ขอ้ สรปุ ส่วนที่เป็นเรื่องรำวต่ำงๆ หรือต้น คือ ข้อเท็จจริง หลักกำร รวมทั้ง คือ สงิ่ ที่ตอ้ งกำรสอ่ื ใหผ้ รู้ บั สำร เร่ืองท่ีผู้อ่ำนต้องกำรจะแสดงควำม ข้อมลู อนั เป็นควำมคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับ หรือนำไปปฏิบัติ โดย คิดเห็นกำรอ่ำนเพื่อแสดงควำม มำประกอบเพ่ือให้มคี วำมน่ำเช่อื ถอื ข้อสรุปอำจเปน็ ขอ้ เสนอแนะ คิดเห็น ผู้อ่ำนอำจเป็นผู้เลือกเรื่อง เพรำะกำรแสดงควำมคิดเห็นด้วย ขอ้ สนั นิษฐำน หรือกำรประเมนิ ค่ำ เอง หรือถูกกำหนดกไ็ ด้ อำ ร ม ณ์ ค ว ำ มรู้ สึ กไ ม่ใช่แ น ว สำรทไ่ี ดร้ บั ท ำ ง ก ำ ร แ ส ด ง ค ว ำ ม คิ ด เ ห็ น ที่ เหมำะสม
แนวทางการอ่านเพือ่ แสดงความคดิ เห็น ๖. ผอู้ ่ำนต้องพจิ ำรณำควำม ๗. ผูอ้ ่ำนตอ้ งวเิ ครำะห์กลวิธี น่ำเชอ่ื ถือของเรอื่ งท่ีอำ่ น นำเสนอของผู้เขยี น ๑. ผูอ้ ่ำนตอ้ งจบั ใจควำมสำคัญ จำกเรอ่ื งท่ีอ่ำน ๔. ผูอ้ ำ่ นต้องวิเครำะห์ควำม ๕. ผู้อ่ำนต้องตคี วำมสำร ๒. ผอู้ ำ่ นตอ้ งพิจำรณำ คิดเหน็ ของผู้เขียน รำยละเอยี ดอื่นๆ นอกเหนอื จำกเนื้อหำ ๓. ผอู้ ่ำนตอ้ งวเิ ครำะห์ ขอ้ เท็จจริงท่ปี รำกฏในเร่อื ง ๙. ผ้อู ำ่ นตอ้ งตดั สนิ ใจ ๘. ผอู้ ำ่ นตอ้ งวิเครำะห์กำรใช้ ประเมนิ คำ่ หรือแสดงควำม ภำษำ คิดเห็นได้วำ่ เร่อื งท่ีอ่ำน
ขอ้ ควรคานึงในการแสดงความคิดเหน็ ประโยชน์ ควำมคดิ เห็นทดี่ ตี อ้ งมปี ระโยชน์และมีคุณค่ำตอ่ ผูอ้ ำ่ น ควำมสมเหตสุ มผล ควำมคิดเห็นทดี่ ีตอ้ งมีควำมสมเหตสุ มผล ผูเ้ ขียนต้องพจิ ำรณำสำรเพ่อื นำเสนอไดเ้ หมำะกบั กำลเทศะ ควำมเหมำะสมกับผูร้ บั สำรและกำลเทศะ ชัดเจนตรงตำมควำมต้องกำร เหมำะสม ไมก่ ระทบกระเทยี บ กำรใชภ้ ำษำ
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: