Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พันธะเคมี070763

พันธะเคมี070763

Published by supinsumitdee, 2020-07-07 05:40:52

Description: พันธะเคมี070763

Search

Read the Text Version

พนั ธะเคมี โดย ครูสุพิน สมุ ิตดี โรงเรยี นพนมดงรักวิทยา

2 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น – หลงั เรยี น ประจาหนว่ ยการเรียนรู้เรอ่ื ง พนั ธะเคมี คาช้ีแจง ให้นกั เรียนเลือกคำตอบท่ีถกู ต้องทีส่ ดุ เพียงคำตอบเดียว 1. สำรในข้อใดจดั อยู่ในประเภทเดยี วกัน 1) NaCl , HCl 2) CaO , AlCl3 3) CH3OH , NaOH 4) MgSO4 , BeCl2 2. ขอ้ ใดเป็นสำรประกอบไอออนิกทงั้ หมด 1) CCl4 , BeCl2 2) CaS , NaCl 3) LiF , HCN 4) NH4Cl , KCN , PCl3 3. ถำ้ A , B , C และ D มเี ลขอะตอมเท่ำกับ 34 , 35 , 38 และ 53 ตำมลำดบั เมือ่ รวมกันเป็น สำรประกอบข้อใดถูกต้อง 1) ระหว่ำงธำตุ B กับธำตุ C เกดิ สำรประกอบไอออนิก มีสตู รเป็น CB2 2) ระหวำ่ งธำตุ B กบั ธำตุ D เกดิ สำรประกอบไอออนิก มสี ูตรเปน็ BD 3) ระหวำ่ งธำตุ A กบั ธำตุ D เกิดสำรประกอบไอออนิก มสี ูตรเปน็ AD2 4) ระหว่ำงธำตุ A กับธำตุ C เกิดสำรประกอบไอออนกิ มสี ูตรเปน็ AC 4. ธำตุท่ีสรำ้ งพนั ธะโคเวเลนซ์กับคลอรีนได้ดีท่ีสุด คือธำตใุ ด 1) โซเดียม 2) คลอรนี 3) โพแทสเซียม 4) แมกนเี ซยี ม 5. ถำ้ ธำตุ X มเี ลขอะตอม 14 และธำตุ Y มเี ลขอะตอม 8 เมือ่ เกิดสำรประกอบจะได้สูตรข้อใด 1) XY 2) X2Y 3) XY2 4) X2Y3 6. A เปน็ ธำตุท่มี ีกำรจัดอิเล็กตรอนเปน็ 2 , 8 , 6 เมอื่ รวมกบั ธำตุ B ไดส้ ำรประกอบทีม่ สี ูตร AB2 ธำตุ B ควรมีเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนเทำ่ ใด 1) 1 2) 2 3) 3 4) 4 7. ถ้ำ X และ Y มกี ำรจดั อิเล็กตรอนเป็น 2 , 8 , 8 ,1 และ 2 , 8 , 6 สำรประกอบระหว่ำง X และ Y ควรมีลกั ษณะเปน็ อย่ำงไร 1) XY2 2) X – Y – X 3) X2+(Y-)2 4) (X+)2Y2-

3 8. เกลอื NaCl ที่อณุ หภมู ปิ กติ มีสมบตั ิอย่ำงใด 2) จุดหลอมเหลวสงู 1) นำไฟฟำ้ ได้ดี 4) ถกู ทุกข้อ 3) มีควำมดันไอสูง 9. ข้อใดเป็นสมบัตเิ ฉพำะตวั ของของแขง็ ชนิดไอออนิก 1) เปน็ ผลกึ 2) ละลำยในนำ้ ได้ 3) มจี ดุ หลอมเหลวสูง 4) นำไฟฟ้ำเมื่อหลอมเหลว 10. ถ้ำ X และ Y แทนธำตุ ซ่งึ มีเลขอะตอม 9 และ 20 ตำมลำดบั สำรประกอบระหว่ำงธำตุท้งั 2 จะมี พนั ธะ ชนดิ ใด และมสี ตู รเป็นอยำ่ งไร 1) โคเวเลนซ์ Y2X 2) ไอออนิก Y2X 3) ไอออนิก YX2 4) โคเวเลนซ์ YX2 พันธะเคมี พันธะไอออนกิ หมำยถึง พนั ธะทำงเคมที ่เี กิดขนึ้ อันเน่ืองจำกแรงยดึ เหนี่ยวหรอื แรงดึงดดู ทางไฟฟา้ ระหว่าง ไอออนบวกและไอออนลบ ทำให้เกดิ สำรประกอบท่ีมโี ครงผลกึ ขนำดใหญ่ข้นึ สารประกอบไอออนิก โลหะ + อโลหะ สำรประกอบไอออนกิ (ไอออนบวก) (ไอออนลบ) - มสี ูตรอย่ำงงำ่ ย IE1 ตำ่ IE1 สงู - เป็นของแข็งไม่นำไฟฟ้ำจนกว่ำจะหลอมเหลว En ตำ่ En สูง หรือเป็นสำรละลำย จึงนำไฟฟำ้ พจิ ารณาการเกดิ พนั ธะไอออนกิ ดงั น้ี 1. อะตอมของโลหะจะเสียอเิ ลก็ ตรอนกลำยเป็นไอออนบวก ส่วนอะตอมของอโลหะจะรับ อิเลก็ ตรอนกลำยเป็นไอออนลบ 2. จำนวนของประจขุ องไอออน จะเปน็ เท่ำใดนนั้ พจิ ำรณำจำกเวเลนตอ์ ิเลก็ ตรอนของธำตนุ ั้น เพ่อื จะทำให้โครงสรำ้ งอะตอมเปน็ แปด (ออกเตต) Na + Cl Na+ + Cl- Na Cl Na+ Cl- 2,8,1 2,8,7 2,8 2,8,8

จงเขยี นสำรประกอบไอออนกิ ตอ่ ไปน้ี 4 สูตรโมเลกลุ กำรเรียกช่อื ข้อ ธำตุ กำรจดั เรียง กำรเกิดพันธะ อิเล็กตรอน 7 Li 3 1 18 F 9 23 Na 11 2 1375Cl 39 K 19 3 186O 3875Rb 4 I127 53 7 Li 3 5 11H 9 Be 4 6 186O 1224Mg 7 1362S

ขอ้ ธำตุ กำรจดั เรยี ง กำรเกดิ พันธะ 5 อิเล็กตรอน สตู รโมเลกุล กำรเรยี กชอ่ื 2400Ca 8 1375Cl 23 Na 11 9 1362S 15367Ba 10 18 F 9 1. พันธะไอออนกิ จะเกิดกบั อะตอมของธำตุประเภทใด 1) ธำตโุ ลหะกบั โลหะ 2) ธำตุโลหะกบั อโลหะ 3) ธำตุอโลหะกับอโลหะ 4) เกดิ ไดจ้ ำกธำตทุ ุก ๆ ชนดิ 2. ข้อควำมใดตอ่ ไปนหี้ มำยถึงกำรเกิดพนั ธะไอออนกิ 1) เกิดจำกนวิ เคลียสของอะตอมหนึง่ ดึงดดู อเิ ล็กตรอนของอีกอะตอมหนึ่ง 2) เกดิ จำกกำรใช้อเิ ล็กตรอนรว่ มกนั ของโลหะกับอโลหะ 3) เกดิ จำกกำรท่ีอโลหะจ่ำยอเิ ล็กตรอนให้กับโลหะแลว้ ยดึ กนั ด้วยแรงต่ำงประจุ 4) เกดิ จำกกำรทีโ่ ลหะจ่ำยอเิ ลก็ ตรอนให้กบั อโลหะแลว้ ยึดกันดว้ ยแรงตำ่ งประจุ 3. ธำตุท่เี กดิ พนั ธะไอออนกิ กับออกซเิ จนได้ดีที่สดุ คือ 1) กำมะถัน 2) คลอรีน 3) เหลก็ 4) เทลลเู ลียม 4. สำรประกอบข้อใดยึดเหนี่ยวดว้ ยพนั ธะไอออนิกทกุ ตวั 1) BeCl2, NaCl, KNO3 2) NH4Cl, MgSO4, Na2O 3) SO2, Cl2, HCl 4) SiO2, SiC, B2O3 5. สำรในขอ้ ใดเป็นสำรประเภทเดียวกัน 1) KCl, HCl 2) Na2O, Cl2S 3) NH4Cl, Li2SO4 4) CH4, MgCl2 6. สำรในข้อใดเป็นสำรประกอบไอออนกิ ทกุ สำร 1) SrCl2, MgCl2, CaCl2 2) BeH2, BF3, PCl3

6 3) BeCl2, AlCl3, NCl3 4) LiCl, CaO, SO2 7. ชดุ สำรในขอ้ ใดมีสำรไอออนกิ สำรเดยี วเท่ำนั้น 1) CCl4 BeCl2 PF3 Li2O 2) CS2 NaCl CoCl2 PCl3 3) C2H10 LiF HCN BaO 4) NH4Cl C2H4 KCN PCl3 8. ธำตุคู่ใดทสี่ รำ้ งพันธะไอออนกิ ได้ 1) Al, S 2) Rb, Cl 3) Li, Ba 4) Ne, Ar 9. ไอออนของแคลซียมไอโอไดด์ (CaI2) สำมำรถเขยี นได้ในลักษณะใด 1) Ca- I2+ 2) Ca2- I+ 3) Ca+ I2- 4) Ca2+ I- ธาตุหรือกล่มุ ธาตุทเ่ี กดิ สารประกอบไอออนิก 1. โลหะกับอโลหะ เชน่ NaCl, KBr, CaCl2 2. โลหะกับกลุ่มไอออนลบ เช่น Na2SO4 , KNO3 , MgCO3 , NaNO3 , K3PO4 , (Ca3(PO4)2 , MgSO4 , KHCO3 , KH2PO4 3. กลุม่ ไอออนบวกกับอโลหะ เชน่ NH4Cl, NH4Br, (NH4)2O, (NH4)2S, NH4I 4. กลมุ่ ไอออนบวกกับกลมุ่ ไอออนลบ เชน่ NH4NO3, (NH4)2SO4, (NH4)3PO4, (NH4)2CO3, NH4H2PO4, NH4HSO4 ข้อ 2-4 เปน็ สำรประกอบไอออนกิ แต่ประกอบด้วยพนั ธะไอออนิกและพนั ธะโคเวเลนต์ อนุมูลของกรดท่คี วรทราบ ClO4- เปอร์คลอเรตไอออน ClO3- คลอเรตไอออน PO43- ฟอสเฟตไอออน ClO2- คลอไรตไ์ อออน SO42- ซลั เฟตไอออน ClO- ไฮโปคลอไรตไ์ อออน SO32- ซลั ไฟตไ์ อออน SCN- ไธโอไซยาเนตไอออน S2- ซลั ไฟดไ์ อออน OH- ไฮดรอกไซดไ์ อออน CO32- คาร์บอเนตไอออน CN- ไซยาไนดไ์ อออน NO3- ไนเตรตไอออน NO2- ไนไตรตไ์ อออน

7 การเขยี นสูตรสารประกอบไอออนิก 1. ใหเ้ ขยี นไอออนบวกไวข้ ้ำงหน้ำแลว้ ตำมด้วยไอออนลบ 2. ถ้ำไอออนบวกเปน็ กลมุ่ ไอออน เชน่ NH4+ หรือไอออนลบเปน็ หมไู่ อออน เชน่ PO43- และมีจำนวนโมลไอออนมำกกว่ำ 1 โมลไอออน ใหเ้ ขียนไวใ้ นวงเลบ็ เช่น (NH4)3PO4 3. เขียนเลขแสดงจำนวนโมลของไอออนซ่งึ เป็นอตั รำสว่ นอย่ำงตำ่ ไวข้ ำ้ งลำ่ งเยื้องขวำมือเล็กน้อย เลข 1 ไม่ต้องเขยี นแสดงไว้ ตวั อยา่ ง K++ SO42- K2SO4 การอา่ นช่ือสารประกอบไอออนิก 1. อำ่ นชอ่ื ไอออนบวกกอ่ น (NH4+ หรือโลหะ) 2. อ่ำนช่อื ไอออนลบตำมหลัง 3. ไม่ต้องอำ่ นเลขแสดงจำนวนอะตอม 4. ช่อื อโลหะให้ลงท้ำยดว้ ยไอด์ (ide) เชน่ ออกไซด์ ซัลไฟด์ ส่วนอนุมลู ของกรดอำ่ นตำมช่อื อนมุ ลู เช่น ซัลเฟต ฟอสเฟต คำรบ์ อเนต 1. จงเขียนสูตรสำรประกอบไอออนิกทเี่ กิดจำกกำรรวมตัวระหว่ำงไอออนบวกกบั ไอออนลบทก่ี ำหนดให้ ตอ่ ไปน้ี ไอออนลบ F- S2- NO3- SO42- PO42- ไอออนบวก Na+ Ba2+ Al3+ Ag+ Cu+ Cu2+ Cr3+ NH4+ 2. สูตรทีถ่ ูกต้องของสำรประกอบไอออนิกทีเ่ กดิ จำก NH4 + กับ SO4 2- คอื ข้อใด 1) NH4SO4 2) (NH4)SO4 3) (NH4)2SO4 4) ( NH4)(SO4)2

8 3. สำรประกอบไอออนิก Co(NO3)2 มชี ื่อทำงเคมีตรงกับข้อใด 1) โคบอลต์ไนเตรต 2) โคบอลต์(II)ไนเตรต 3) โคบอลต์ไนเตรต(II) 4) โคบอลต์(III)ไนเตรต 4. ขอ้ ใดหมำยถงึ “ทนิ (IV)ฟอสเฟต” 1) SnPO4 2) Sn(PO4)4 3) Sn3(PO4)4 4) Sn4(PO4)3 5. ธำตุไนโตรเจนกับธำตแุ คลเซียม ขอ้ ใดแสดงสตู รได้ถกู ต้อง 1) CaN 2) N2Ca3 3) Ca5N2 4) ไม่มีขอ้ ใดถกู 6. สำรประกอบท่มี สี ตู ร Al2(SO3)3 อ่ำนวำ่ อะไร 2) อะลูมเิ นียม(III)ซลั ไฟต์ 1) อะลูมิเนยี มซลั ไฟต์ 4) อะลูมเิ นียม(II)ซลั ไฟต์ 3) อะลูมิเนยี มไตรซลั ไฟต์ 7. ขอ้ ใดเขยี นสตู รสำรประกอบ “ไนไตรต์” ถูกต้อง 1) NaNO3 2) Ca(CO3)2 3) Mg(NO2)2 4) CaNO2 4) OF2 8. ธำตุฟลูออรีนกับธำตอุ อกซิเจน ข้อใดแสดงสูตรได้ถูกต้อง 4) ถกู ท้ังข้อ ก 1) F2O 2) O2F 3) OF 9. สำรประกอบระหว่ำงตะก่ัวกบั ออกซเิ จนข้อใดเขียนสูตรไดถ้ ูกตอ้ ง 1) PbO 2) PbO2 3) Pb2O และ ข 10. จงเขยี นสูตรหรอื อ่ำนชื่อสำรประกอบไอออนกิ ต่อไปนี้ 10.1 โลหะ กบั อโลหะ NaCl ชอื่ ......................................................................................................................... .......... CaF2 ชอ่ื ................................................................................................................................... Na2O ชื่อ......................................................................................................................... .......... KI ช่อื ......................................................................................................................... .......... FeBr3 ชื่อ................................................................................................................................... PbS ชื่อ......................................................................................................................... .......... แมกนีเซยี มคลอไรด์ เขียนสูตร.............................................................................................. ลเิ ทยี มคลอไรด์ เขยี นสตู ร.............................................................................................. แคลเซียมออกไซด์ เขียนสูตร..............................................................................................

9 โพแทสเซียมซัลไฟด์ เขียนสูตร.............................................................................................. โซเดียมฟลูออไรด์ เขียนสตู ร.............................................................................................. โซเดยี มซัลไฟด์ เขียนสตู ร.............................................................................................. อะลูมเิ นียมออกไซด์ เขียนสตู ร.............................................................................................. แมกนเี ซยี มออกไซด์ เขียนสูตร.............................................................................................. 10.2 กลมุ่ ไอออนบวก กับ อโลหะ NH4Cl ชอ่ื ................................................................................................................................... (NH4)2S ชือ่ ......................................................................................................................... .......... แอมโมเนยี มออกไซด์ เขยี นสตู ร.............................................................................................. แอมโมเนยี มไอโอไดด์ เขยี นสตู ร.............................................................................................. 10.3 กลุม่ ไอออนบวก กับ กลมุ่ ไอออนลบ (อนมุ ลู กรด) (NH4)2SO4 ชื่อ.............................................................................................................................. (NH4)3PO4 ช่อื .............................................................................................................................. (NH4)3CO3 ช่อื ......................................................................................................................... ..... NH4HCO3 ชื่อ.............................................................................................................................. แอมโมเนียมไดไฮโดรเจนฟอสเฟต เขียนสตู ร............................................................................. แอมโมเนียมไฮโดรเจนคำรบ์ อเนต เขยี นสูตร............................................................................... แอมโมเนียมไนเตรต เขยี นสูตร............................................................................... แอมโมเนียมไฮโดรเจนซัลเฟต เขยี นสตู ร............................................................................... 10.4 โลหะ กับ กล่มุ ไอออนลบ (อนุมูลกรด) NaNO3 ช่ือ......................................................................................................................... ..... K3PO4 ชอ่ื .............................................................................................................................. Ca3(PO4)2 ชอ่ื ......................................................................................................................... ..... Mg(HSO4)2ชอื่ .............................................................................................................................. KH2PO4 ชอ่ื ......................................................................................................................... ..... โซเดียมซลั เฟต เขยี นสูตร............................................................................................. แมกนเี ซยี มซลั เฟต เขยี นสูตร............................................................................................. โพแทสเซยี มคำร์บอเนต เขยี นสูตร............................................................................................. โพแทสเซยี มไฮโดรเจนคำรบ์ อเนต เขยี นสตู ร........................................................................

10 11. ข้อใดแสดงกำรเกดิ สำรประกอบแคลเซยี มฟลูออไรด์ได้ถกู ต้อง 1) CaF 2) Ca2F 3) CaF2 4) Ca2F2 12. ธำตุ Y ทำปฏิกิรยิ ำกบั ธำตคุ ลอรนี ไดส้ ำรทม่ี ลี กั ษณะเป็นของแขง็ สขี ำว มีสตู รเคมเี ป็น YCl กำร จดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนของธำตุ Y น่ำจะเป็นไปตำมข้อใด 1) 2, 8, 3 2) 2, 8, 1 3) 2, 8, 2 4) 2, 8, 7 13. ข้อใดถูกต้องเก่ยี วกบั สำรประกอบท่ีเกดิ จำกธำตุ X ซ่ึงมเี ลขอะตอม 17 กบั ธำตุ Y ซ่ึงมีเลขอะตอม20 1) สำรประกอบมีสูตร Y2X และมีพันธะไอออนิก 2) สำรประกอบมสี ูตร Y2X และมีพนั ธะโคเวเลนต์ 3) สำรประกอบมสี ูตร YX2 และมีพนั ธะไอออนิก 4) สำรประกอบมีสตู ร YX2 และมีพนั ธะโคเวเลนต์ 14. พิจำรณำสูตรและกำรเรียกช่อื สำรต่อไปน้ี 1. CuS อำ่ นว่ำ copper (II) sulfite 2. BaCl2 อำ่ นวำ่ barium (II) chloride 4. NaOH อ่ำนว่ำ sodium hydroxide 3. (NH4)3PO4 อ่ำนว่ำ ammonium phosphate 3) ข้อ 4 และ 5 4) ขอ้ 2 และ 3 5. K2O อำ่ นว่ำ dipotassium oxide ขอ้ ใดถกู ต้อง 1) ข้อ 3 และ 4 2) ขอ้ 1 และ 2 15. แคลซยี มไอโอไดด์ (CaI2) สร้ำงพันธะแบบใด 1) โลหะ 2) อโลหะ 3) ไอออนกิ 4) โคเวเลนซ์ สมบัตขิ องสารประกอบไอออนกิ 1. สภำพของแข็งหรอื ผลกึ ไม่นำไฟฟำ้ 2. นำไฟฟ้ำได้ดีในสภำพหลอมเหลวหรือเปน็ สำรละลำย 3. bp, mp สูงมำก 4. แข็งแตเ่ ปรำะ En ตา่ งกนั มาก มีสมบัตคิ วามเปน็ ไอออนิกมาก En ตา่ งกันนอ้ ย มสี มบตั ิความเป็นโคเวเลนต์มาก เชน่ Li - F 1 4 En=3

11 H-F En=1.9 2.1 4 แสดงว่า LiF เป็นไอออนิกมากกว่า HF 1. ขอ้ ใดไมใ่ ชส่ มบตั ิของสำรประกอบไอออนิก ก. นำ ไฟฟำ้ ได้ดี ข. จุดหลอมตัวสงู ค. ควำมดันไอตำ่ ง. มสี ูตรโมเลกลุ 1) ก. เทำ่ น้นั 2) ก. และ ข. 3) ก., ข. และ ค. 4) ก. และ ง. 2. สำรประกอบไอออนิกชนิดหน่งึ จะมีควำมเปน็ ไอออนิกมำกหรอื น้อยพจิ ำรณำไดจ้ ำกข้อใด 1) ขนำดอะตอมคู่สรำ้ งพนั ธะ 2) จำนวนประจุของไอออนท่ีเกิด 3) ผลต่ำงของค่ำอเิ ล็กโทรเนกำติวิตี 4) ทกุ ข้อรวมกนั 3. ลำดับควำมเป็นไอออนิกของสำรประกอบ NaCl NaF H2S HF คอื ขอ้ ใด กำหนดให้ค่ำ EN ของ Na = 0.9 , Cl = 3.0 , H = 2.1 , S = 2.6 , F = 4.0 1) NaCl > NaF > HF > H2S 2) NaF > NaCl >HF > H2S 3) H2S > HF > NaF > NaCl 4) HF > NaF > H2S > NaCl 4. ขอ้ ใดต่อไปนี้กลำ่ วไม่ถกู ต้อง 1) สำรประกอบไอออนกิ มจี ุดหลอมเหลวสงู เพรำะมแี รงยึดเหนย่ี วระหวำ่ งไอออนมคี ่ำสูง 2) สำรประกอบไอออนกิ ไม่มีสตู รโมเลกุล เพรำะโครงสร้ำงไม่สำมำรถแยกเป็นโมเลกุลได้ 3) สำรละลำยของสำรประกอบไอออนิกนำไฟฟำ้ ได้ เพรำะแตกตวั เปน็ ไอออน 4) สำรประกอบไอออนกิ นำไฟฟ้ำทกุ สถำนะ เพรำะมีไอออนบวกสลบั กับไอออนลบยดึ เหน่ียวกนั อย่ำงต่อเนอื่ ง 5. ขอ้ ใดต่อไปนเี้ ปน็ กำรอธิบำยสมบัติของสำรประกอบไอออนิกไดด้ ีท่ีสดุ 1) เปน็ ผลึกของแข็ง ณ อุณหภูมหิ ้อง 2) ส่วนมำกไม่ละลำยน้ำ 3) ไม่นำไฟฟำ้ เมื่อเปน็ ของแข็ง 4) นำไฟฟำ้ ไดเ้ มื่อหลอมเหลว

12 พลงั งานกบั การเกดิ สารประกอบ แมก็ ซ์ บอร์น และฟริตซ์ ฮำเบอร์ ต้งั สมมตฐิ ำนวำ่ กำรเกิดสำรประกอบไอออนิกชนิดหนึ่ง มี หลำยขัน้ ตอนดงั น้ี 1. การระเหดิ ของโลหะ โลหะสถำนะของแข็งระเหิดกลำยเป็นอะตอมในสถำนะแกส๊ ใช้ พลงั งำนออกมำ เรยี กขัน้ ตอนนวี้ ่ำ พลงั งานการระเหิด (Esub) M(s) M(g) 2. การสลายพันธะของแกส๊ โมเลกุลของแกส๊ แตกเป็นอะตอมในสถำนะแก๊ส เรียก พลงั งาน การสลายพันธะ (Ebond) 1/2X2(s) X(g) 3. การแตกตัวเปน็ ไอออน อะตอมในสถำนะแกส๊ เสียอิเล็กตรอนออกไปกลำยเป็น M+ เรยี ก พลังงานไอออไนเซชัน (IE1) M(g) M+(g) 4. การเกิดไอออน อะตอมในสถำนะแก๊สรบั อเิ ลก็ ตรอนที่หลดุ ออกจำกอะตอมกลำยเป็น X- เรยี ก สัมพรรคภาพอเิ ล็กตรอน (EA) X(g) X-(g) 5. การเกิดสารประกอบ ไอออนบวกกับไอออนลบในสถำนะแกส๊ รวมกนั เป็นผลกึ และคำย พลังงำนออกมำ เรียก พลังงานโครงผลกึ หรือพลังงานแลตทิซ (EL) M+(g) + X-(g) MX(s) วฏั จักรบอร์น-ฮาเบอร์ Esub IE1 M+(g) M(s) M(g) EA X-(g) Mx(s) Ef 1/2X2(s) Ebond X(g) EL MX(s) พลงั งำนดำ้ นซ้ำย = พลงั งำนดำ้ นขวำ Ef = Esub+ IE1+ Ebond+ EA+ EL ตัวอย่ำง CaO (s) Ef =? Ca(s) Ca (g) Ca +(g) EL= -754.8 KJ/mol Esub=+108.7 KJ/mol IE1=+493.8 KJ/mol CaO(s) O(g)EA= -379.5 KJ/mOol2-(g) 1/2O2(s)Ebond=+241.8 KJ/mol วิธีทำ จำกสตู ร Ef = Esub+ IE1+ Ebond+ EA+ EL แทนคำ่ Ef = +108.7+493.8+241.8+(-379.5)+( -754.8)

Ef = - 290 KJ/mol 13 แสดงว่ำกำรเกิดผลึก CaO จะต้องคำยพลังงำน 290 KJ/mol (-787 KJ/mol) 1. จงใชว้ ัฏจักรบอรน์ -ฮำเบอร์ในกำรคำนวณปริมำณพลงั งำนตอ่ ไปนี้ (= +224 KJ/mol) Na(s)+1/2Cl2(g) NaCl(s) ; E1 = -411 KJ/mol Cl(g) Na(s) Na(g) ; E2 = +107 KJ/mol Cl-(g) 1/2Cl2(g) Cl(g) ; E3 = +122 KJ/mol Na(g) Na+(g)+e- ; E4 = +496 KJ/mol Cl(g) +e- Cl-(g) ; E5 = -349 KJ/mol Na+(g)+Cl-(g) NaCl(s) ; E6 = ? วิธที ำ 2. Mn(g) Mn2+(g)+2e- ; E1 = +2,230 KJ/mol Mn(s) Mn(g) ; E2 = ? S(s) S(g) ; E3 = +264 KJ/mol S(g)+ 2e- S2-(g) ; E4 = +246 KJ/mol Mn2+(g)+ S2-(g) MnS(s) ; E5 = -3,176 KJ/mol Mn(s) +S(s) MnS(s) ; E5 = +212 KJ/mol วิธที ำ 3. ในกำรเกิดสำรประกอบไอออนิก มขี น้ั ตอนดังนี้ (1) Na(s) Na(g) (2) 1/2Cl2 (g) (3) Na(g) Na+(g) + e- (3) Cl(g) + e- ขน้ั ตอนใดดดู และคำยพลงั งำน 1) (1) , (2) ดดู พลังงำน (3) , (4) คำยพลังงำน 2) (1) , (2) , (3) คำยพลังงำน (4) ดูดพลงั งำน 3) (1) , (2) , (4) ดูดพลงั งำน (3) คำยพลงั งำน 4) (1) , (2) , (3) ดดู พลงั งำน (4) คำยพลงั งำน

14 การละลายนา้ ของสาร การละลายนา้ ของสาร กำรละลำยของสำรไอออนิก กำรละลำยของสำรโคเวเลนต์ 1. ผลึกแตกเป็ นไอออนในภาวะก๊าซ โมเลกลุ มีข้วั โมเลกลุ ไม่มีข้วั - ดูดพลงั งาน = พลงั งานโครงร่างผลึก (แลตทิซ) ; EL ละลายน้าได้ ละลายน้าไม่ได้ 2. ไอออน (ก๊าซ) รวมกบั น้า โมเลกลุ น้าลอ้ มรอบ ละลายในพวก - คายพลงั งาน = พลงั งานไฮเดรชนั ; EH โมเลกลุ มีข้วั ไมม่ ีข้วั ดว้ ยกนั 1. หาค่าพลงั งานของการละลายได้ Q = EL+ EH Q = mc∆t 2. สามารถเขียนสมการไอออนิกได้ ไอออนิกท่ีละลายน้าได้ ไอออนิกไมล่ ะลายน้า 1. เกลือของหมู่ 1 ทุกชนิด 1. H1>>>> H2 2. โลหะหมู่ 2 กบั ไอออน -2, -3 ยกเวน้ MgSO4 2. เกลือของ NH4+ทุกชนิด 3. เกลือเฮไลด์ (หมู่ 7) ซลั ไฟดข์ อง Ag, Pb, Hg 3. หมู่ 2 กบั -1 (ยกเวน้ PbCl2 ละลายนอ้ ย, HgCl2 ละลายดี, 4. เกลือไนเตรต (NO-3) Hg2Cl2 ไมล่ ะลาย) 5. เกลือของอะซิเตด (CH3COO-) 4. เกลือของโลหะทรานซิชนั กบั ไอออน -2, -3 6. เกลือคลอเรต (ClO-3)และเปอร์ (ยกเวน้ CuSO4 , CdSO4 และ ZnSO4) คลอเรต (ClO-4) 5. OH-ของโลหะทรานซิชนั 7. เกลือ Al2(SO4)3

15 1. ข้อใดคอื ควำมหมำยทถี่ ูกตอ้ งของพลังงำนแลตทชิ 1) พลงั งำนท้งั หมดที่อะตอมรวมตวั กันเป็นโคร่งผลึก 2) พลังงำนที่กำ๊ ซดูดเข้ำไปเพ่ือรวมตัวกันเปน็ ผลกึ ของแข็ง 3) พลงั งำนที่ให้ออกมำเมื่อไอออนทีเ่ ป็นกำ๊ ซรวมตัวกันกลำยเป็นผลึกของแขง็ 4) พลงั งำนรวมทุกขั้นตอนท่ีอะตอมต้องใชใ้ นกำรสลำยพนั ธะในไอออนิกชนดิ นน้ั ๆ 2. พลงั งำนแลตลิซ คือพลงั งำนของกำรเปล่ยี นในขอ้ ใด 1) K+(aq) + Cl-(aq) KCl(s) 2) 2Na(s) + F2 (g) 2NaF(s) 3) Ca2+(g) + 2NO3- Ca(NO3)2 (s) 4) AgNO3 (s) Ag+(g) + NO3-(g) 3. ผสมสำรคใู่ ดต่อไปนี้ไม่เกดิ ตะกอน 2) Ba(NO3)2 กบั K2SO4 1) AgNO3 กับ NaCl 4) KNO3 กับ NaCl 3) AgNO3 กับ KI 4. เมอ่ื ละลำย KCl ในน้ำเกิดปฏิกิริยำเปน็ ขนั้ ๆ และมกี ำรเปล่ยี นแปลงพลงั งำนดังน้ี 1. KCl(s) K+(g) + Cl-(g) ; ∆H1 = 701.2 kJ/mol 2. K+(g) + Cl-(g) K+(aq) + Cl-(aq) ; ∆H2 = -684.1 kJ/mol ปฏกิ ิริยำนี้เปน็ แบบใด 1) คำยพลงั งำนเท่ำกบั 1,385.3 kJ/mol 2) คำยพลังงำนเท่ำกบั 17.1 kJ/mol 3) ดดู พลังงำนเทำ่ กับ 17.1 kJ/mol 4) ดูดพลังงำนเท่ำกับ 1,385.3 kJ/mol 5. เกลอื ชนิดใดไมล่ ะลำยน้ำ LiOH, CaS, BaCl2 , MgCO3 , K3PO4 , Mg3(AsO4)2, (NH4)2SO4 , SrSO4 , CH3COONa, Cs3PO4 , PbSO4 , AgNO3 , Ag2CO3 , Rb3PO4 , HgSO4 , BaBr2 , KNO3, CaCl2 , NaOH, AlCl3 , CaCO3 , Ca3(PO4)2 , Al2O3 , BaSO4 , AgCl …………………………………….......................................................................................…………… …………………………………….......................................................................................…………… …………………………………….......................................................................................…………… …………………………………….......................................................................................……………

16 6. นำ LiF จำนวน 1.893 g ละลำยนำ้ 250 cm3 พบว่ำอุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนจำก 23.69oC เป็น 19.59oC หำค่ำปรมิ ำณควำมร้อนของสำร (4,305 J) วิธที ำ 7. สำรประกอบชนดิ หนงึ่ 5 g ละลำยน้ำ 100 g ที่ 25oC ไดส้ ำรละลำยท่ีอณุ หภูมิ 45oC พบว่ำมี พลังงำนไฮเดรชัน 10 KJ จงหำพลงั งำนที่ใชใ้ นกำรแยกสำรประกอบไอออนิกน้ีออกเป็นไอออนใน สภำวะแก๊ส (ตอบหน่วย KJ) (8.4KJ,แลตทชิ 1.6KJ) วธิ ที ำ สมการไอออนกิ กำรเขียนสมกำรไอออนิกสทุ ธิโดยทัว่ ไปประกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอน 1. สมกำรเชงิ โมเลกลุ เขยี นปฏกิ ริ ิยำท่เี กดิ ขึ้นพร้อมท้งั ระบุสถำนะและดลุ สมกำร เชน่ 3CaCl2(aq)+2Na3PO4(aq) Ca3(PO4)2(s)+6NaCl(aq) 2. สมกำรไอออนิกรวม เขียนกำรแตกตัวของเกลือทลี่ ะลำยนำ้ เชน่ 3Ca+(aq)+6Cl-(aq)+6Na+(aq)+2 PO43- (aq) Ca3(PO4)2(s)+ 6Na+(aq)+ 6Cl-(aq) 3. สมกำรไอออนิกสทุ ธิ เขียนไอออนบวก,ลบ ทีเ่ กดิ เกลือไม่ละลำยน้ำ เช่น 3Ca+(aq)+2 PO43- (aq) Ca3(PO4)2(s) ตวั อยำ่ ง จงเขียนสมกำรไอออนกิ แสดงปฏิกริ ิยำทเ่ี กดิ ขึ้นจำกกำรผสมสำรละลำย AgNO3+KBr วธิ ที ำ 1. สมกำรเชงิ โมเลกลุ AgNO3(aq)+KBr(aq) AgBr(s)+ KNO3(aq) 2. สมกำรไอออนิกรวม Ag+(aq)+ NO-3(aq)+ K+(aq)+ Br-(aq) AgBr(s)+ K+(aq)+ NO-3(aq) 3. สมกำรไอออนิกสทุ ธิ Ag+(aq)+Br-(aq) AgBr(s) 1. จงเขยี นสมกำรไอออนิกแสดงปฏิกิริยำทเี่ กดิ ข้ึนจำกกำรผสมสำรละลำยแตล่ ะคู่ตอ่ ไปนี้ 1.1 Ca(OH)2(aq)+Na2CO3(aq) ……………………………………....................................................................................... ……………

17 1.2 FeCl3(aq)+B(OH)2(aq) …………………………………….......................................................................................…………… 1.3 CuSO4(aq)+ (NH4)2S(aq) …………………………………….......................................................................................…………… 1.4 HgNO3(aq)+ HCl(aq) …………………………………….......................................................................................…………… 1.5 H2SO4(aq)+ BaCl2(aq) …………………………………….......................................................................................…………… 2. เมื่อผสมสำรละลำย Pb(NO3)2 กบั สำรละลำย K2SO4 เข้ำด้วยกนั ขอ้ ใดเขยี นสมกำรไอออนิกแสดง กำรเปลีย่ นแปลงได้ถูกต้อง 1) K+(aq) + NO-(aq) KNO3 (s) 2) Pb2+(aq) + SO42-(aq) PbSO4(s) 3) Pb2+(aq) + 2NO3-(aq) Pb(NO3)2(s) 4) Pb(NO3)2(aq) + K2SO4(aq) PbSO4(s) + 2KNO3(aq) 3. กำรผสมสำรละลำยในข้อใดมปี ฏกิ ิริยำเกดิ ข้ึน และสำมำรถเขยี นสมกำรไอออนิกสทุ ธิได้ท้งั คู่ สำรละลำยผสม I สำรละลำยผสม II 1) NaCl กบั AgNO3 KI กับ Na2CO3 2) Ca(OH)2 กับ Pb(NO3)2 Li2SO4 กับ MgCl2 3) BaCl2 กบั Na2SO4 NH4CN กับ Na4HPO4 4) AgNO3 กับ KBr Mg กบั HCl การนาสารประกอบไอออนิกมาใชป้ ระโยชน์ การนาไปใชป้ ระโยชน์ สารประกอบไอออนิก ช่ือสารประกอบ ใชใ้ นอตุ สำหกรรมทำสบู่ ผงชูรส กลนั่ น้ำมนั NaOH โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดำไฟ) ใชป้ รุงรสอำหำร ถนอมอำหำร เป็น สำรตั้งต้นในกำรผลิต NaOH NaCl โซเดียมคลอไรด์ Na2CO3 และ HCl ในตำ่ งประเทศใช้ ในกำรละลำยนำ้ แขง็ ที่เกิดจำกหิมะ Na2CO3 โซเดียมคำรบ์ อเนต ใชใ้ นอตุ สำหกรรมทำแกว้ ผงซักฟอก ปโิ ตรเคมี ใชแ้ ก้น้ำกระดำ้ ง

18 สารประกอบไอออนกิ ชอ่ื สารประกอบ การนาไปใช้ประโยชน์ ทำให้ขนมฟู เนื่องจำกเมื่อสำรชนดิ น้ี NaHCO3 โซเดียมไฮโดรเจนคำรบ์ อเนต (ผงฟ)ู ถกู ควำมร้อนจะให้แกส๊ คำรบ์ อนไดออกไซด์ NaF โซเดียมฟลอู อไรด์ ช่วยป้องกนั ฟนั ผุ KCl โพแทสเซียมคลอไรด์ ใช้ทำปุย๋ เคมี MgO แมกนเี ซียมออกไซด์ ใช้ทำยำลดกรด CaCl2 แคลเซยี มคลอไรด์ ใช้เป็นสำรดดู ควำมช้นื CaCO3 แคลเซยี มคำรบ์ อเนต หรือปนู มำร์ล ใชล้ ดกรดในดนิ CaSO4 แคลเซยี มซัลเฟต หรือยปิ ซัม ใช้เป็นสว่ นผสมของปูนซีเมนต์ และปูน ปลำสเตอร์ BaSO4 แบเรียมซัลเฟต ใส่ในน้ำจะมีลักษณะคลำ้ ยน้ำแปง้ ให้ คนไขด้ ื่มเมื่อจะทำกำรเอกซเรย์เพ่อื ตรวจโรคเกยี่ วกบั ทำงเดนิ อำหำร สารประกอบโคเวเลนต์ พนั ธะโคเวเลนต์ คือ พนั ธะที่เกิดจำกอะตอมของธำตมุ ำรวมกนั โดยกำรใชเ้ วเลนซ์อิเลก็ ตรอน ร่วมกัน เพ่ือให้เป็นไปตำมกฎออกเตต และสำรประกอบที่เกดิ จำกกำรยดึ เหน่ียวดว้ ยพันธะโคเวเลนต์ เรียกวำ่ สำรประกอบโคเวเลนต์เชน่ HCl, CO2, H2O etc. อโลหะ+อโลหะ โมเลกลุ โคเวเลนต์ มีโลหะ 2 ตัว คอื Be และ B ซง่ึ มีพันธะโคเวเลนตท์ ี่อำจเป็น มีคำ่ IE1 และ En คอ่ นขำ้ งสงู - พันธะเด่ียว จึงชอบใช้อิเล็กตรอนร่วมกันกับอโลหะ - พันธะคู่ - พนั ธะสำม 1. ธำตใุ นขอ้ ใด เกิดพันธะโคเวเลนตก์ บั ธำตุคลอรีนไดด้ ที ีส่ ุด 4) Cs 1) Na 2) Ra 3) C 2. สำรในข้อใดเป็นสำรประกอบโคเวเลนต์ทกุ สำร 1) BeCl2, MgCl2, CaCl2 2) BeH2, BF3, PCl3 3) BeCl2, AlCl3, NCl3 4) LiCl, CaO, Al2S3

19 3. ขอ้ ใดต่อไปน้ีเกดิ พันธะโคเวเลนต์กับออกซิเจนได้ดที ส่ี ดุ 1) โซเดยี ม 2) เบอริลเลียม 3) อะลมู เิ นียม 4) ออกซิเจน 4. สำรประกอบต่อไปนี้ข้อใดมีพนั ธะโคเวเลนต์อย่ำงเดยี วทุกสำร 1) HCl, C2H4, NH3 2) HCl, CaH2, NH3 3) NaH, C2H4, NH3 4) CaCl2, CaH2, NaH 5. (มช 31) สำรประกอบในขอใดตอไปนี้ เปนสำรประกอบโคเวเลนตท้ังหมด 1) CO2, CS2, Rb2O 2) AsCl3, BeH2, N2O5 3) Ca2(PO4)3, (NH4)2SO4, CaS 4) Al2O3, N2O3, CIF 6. (En 41/2) ธำตคุ ใู ดทีจ่ ะรวมกันไดสำรประกอบทมี่ ีควำมเปนโคเวเลนตมำกทส่ี ุด 1) 17X กบั 35Y 2) 9P กบั 11Q 3) 17X กบั 20Z 4) 15A กับ 17X 7. เพรำะเหตใุ ด อโลหะจงึ ยดึ เหนยี่ วกนั ด้วยพนั ธะโคเวเลนต์ 1) อโลหะมีค่ำ EN สูงเสยี อิเล็กตรอนยำก 2) อโลหะมีค่ำ EN สูงเสียอิเลก็ ตรอนง่ำย 3) อโลหะมีคำ่ EN ตำ่ เสียอิเล็กตรอนยำก 4) อโลหะมีค่ำ EN ตำ่ เสียอเิ ล็กตรอนงำ่ ย 8. สำรใดไมใ่ ชส่ ำรประกอบโคเวเลนซ์ 3) SiCl4 4) BaCl2 1) Cl2 2) O2 2) SiCl4, BF3, SiCl4 9. กลุ่มใดเปน็ สำรประกอบโคเวเลนซ์ทกุ ตวั 4) O2, SO2, (NH4)2, Li2O 1) Cl2, NCl3, Na2O 3) BaCl2, PH3, CO3 การเขียนสูตรโครงสรา้ งโคเวเลนต์ มี 2 แบบ คอื สตู รโครงสรำ้ งแบบจุด และ สตู รโครงสรำ้ งแบบเสน้ 1. วำงธำตุทีม่ คี ่ำ EN ต่ำทส่ี ุดเปน็ อะตอมกลำง (ยกเว้น H)/วำงธำตุที่มคี ำ่ EN สูงกวำ่ เป็นอะตอม ล้อมรอบ 2. สรำ้ งพนั ธะและวำงอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ วให้อะตอมล้อมรอบเสถยี รที่สุด คอื มีอเิ ล็กตรอนครบ 8 3. ถ้ำมอี เิ ล็กตรอนในระบบเหลือ ให้บรรจไุ วท้ ีอ่ ะตอมกลำงทง้ั หมด 4. จัดโครงสรำ้ งให้เสถยี รขึน้ โดย :

20 ถ้ำอะตอมกลำงมอี ิเล็กตรอนไมค่ รบ 8 จะไมเ่ สถียร - โคออร์ดิเนตอิเล็กตรอนคู่โดดเดย่ี วจำกอะตอมล้อมรอบไปสร้ำงพนั ธะให้อะตอมกลำงมี อิเล็กตรอนครบ ถ้ำอะตอมกลำงในระดบั พลงั งำน L มีอิเล็กตรอนเกิน 8 - ดงึ อิเล็กตรอนครู่ ว่ มพนั ธะออกไปไวท้ ่ีอะตอมล้อมรอบ จนกว่ำอะตอมกลำงจะมีอิเล็กตรอนตำม กฎ 8 ประจุลบควรอยู่กบั ธำตทุ มี่ ีค่ำ EN สงู และประจุบวกควรอยู่กบั ธำตุทม่ี ีค่ำ EN ตำ่ ควรมีกำร กระจำยประจุให้มำกทส่ี ดุ เท่ำทจี่ ะเป็นไปได้ ตวั อยา่ งท่ี 1 SO2 (Valence Electron : 6 + 2(6) = 18) 1. วำงธำตุที่มคี ่ำ EN ตำ่ ท่สี ดุ เปน็ อะตอมกลำง / วำงธำตทุ ีม่ คี ่ำ EN สูงกวำ่ เป็นอะตอมล้อมรอบ OS O 2. สร้ำงพนั ธะและวำงอเิ ล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวให้อะตอมล้อมรอบเสถียรทีส่ ุด คอื มีอเิ ล็กตรอนครบ 8 oo oo OS O oo oo 3. ถ้ำมีอิเล็กตรอนในระบบเหลอื ให้บรรจไุ วท้ ี่อะตอมกลำงทั้งหมด oo oo oo OS O oo oo ตัวอย่างท่ี 2 CO (Valence Electron : 4 + 6 = 10) 1. วำงธำตทุ มี่ ีคำ่ EN ตำ่ ที่สดุ เปน็ อะตอมกลำง / วำงธำตทุ ี่มคี ำ่ EN สงู กวำ่ เป็นอะตอมล้อมรอบ CO 2. สร้ำงพันธะและวำงอิเลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ยี วให้อะตอมล้oอoมรอบเสถียรท่ีสดุ คอื มีอเิ ลก็ ตรอนครบ 8 CO ถถำำ้้ มอะีอตเิ ลอก็ มตกรลอำนงใมนีอริเะลบ็กบตรเหอลนอืไมใ่คหร้บบรร8จจไุ วะ้ทไมี่อ่เะสooCตถอียมรกลoำooOoงooท้ังหมด 3. 4. - โคออรด์ เิ นตอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ยี วจำกอะตอมลอ้ มรอบไปสรำ้ งพนั ธะให้อะตอมกลำงมี อิเลก็ ตรอนครบ o C oo ooC Ooo เช่น o O oo พนั ธะเดีย่ ว (Single covalent bond )เกิดจำกกำรใชอ้ เิ ลก็ ตรอนร่วมกัน 1 e- เช่น F2 Cl2 CH4 เปน็ ตน้

21 พันธะคู่ ( Doublecovalent bond ) เกดิ จำกกำรใชอ้ เิ ล็กตรอนรว่ มกนั ของธำตุทั้งสองเป็นคู่ หรอื 2 อิเลก็ ตรอน เช่น O2 CO2 C2H4 เป็นตน้ พนั ธะสาม (Triple covalent bond) เกดิ จำกกำรใช้อิเลก็ ตรอนรว่ มกนั 3 อเิ ลก็ ตรอน ของธำตทุ ั้งสอง เช่น N2 C2H2 เป็นตน้ พนั ธะโคออรด์ ิเนตโคเวเลนต์ เกดิ จำกกำรใช้อเิ ล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะระหวำ่ งอะตอมคู่สรำ้ งพนั ธะ เกิดจำกอะตอมหนงึ่ ให้อีก อะตอมใช้ร่วม เกดิ พนั ธะเดี่ยวเท่ำน้ัน เช่น °° °°O°° + °°°°°S° + °O° °° S °° OO

22 การเขยี นสูตรโครงสรา้ งโมเลกลุ โควาเลนต์ : Rojrit’s Method จานวนพันธะโคเวเลนต์ จำนวนพนั ธะโคเวเลนตท์ ่ีมีอยู่ในโมเลกลุ จะทรำบได้แน่นอนเมื่อเขยี นสูตรโครงสร้ำงถกู ต้อง แลว้ นบั จำนวนพันธะท่ีเกดิ ขึ้นระหว่ำงอะตอมของอโลหะกับอโลหะ แตเ่ สียเวลำ เช่น NH3 , H2SO4 , Na2SO4 , CO2 สูตรเสน้ H –N- H O=C=O H (พันธะเดี่ยว, พนั ธะคู่, พนั ธะสำม หรือพันธะโคออดเิ นต ถอื เปน็ 1 พันธะ) หำจำกสูตร จำนวนพนั ธะโคเวเลนต์ = อะตอมอโลหะ – 1 ตัวอยา่ ง จงหำจำนวนพนั ธะโคเวเลนตข์ องสำรประกอบต่อไปนี้ NH3 , NH4 + , HNO3 , H2SO4 , Na2SO4 จำนวนพันธะโคเวเลนต์ = (4 - 1), (5 - 1) , (5 - 1) , (7 - 1) , (5 - 1) = 3, 4, 4, 6, 4 1. จงเขยี นสูตรแบบจุดและสูตรแบบเสนของสำรประกอบตอไปนี้ SO2 HNO3 เรโซแนนซ (Resonance ) คือ ปรำกฏกำรณที่ไมสำมำรถเขยี นสูตรโครงสรำงเพียงสูตรหนึง่ สูตรใด แทนสมบตั ิของโมเลกลุ สำรบำงชนิด ตัวอยำงเชน SO2 เขยี นสูตรได 2 อยำงคือ S และ S OO OO และตำมหลกั แลว พนั ธะเด่ียวควรมคี วำมยำวพนั ธะยำวกวำพันธะคู แตจำกกำรทดลอง พบวำ พนั ธะโคเวเลนตทัง้ สองดำนของ SO2 มคี วำมยำวเทำกนั ทงั้ นเี้ ปนเพรำะมี e 1 คู จะวิ่งสลบั ไปมำทง้ั 2 ขำง ดงั น้นั สูตรของ SO2 จงึ อำจเขยี นแสดงอีกแบบคือ S OO 1. จงเขียนสูตรแบบเรโซแนนซไฮบริดจของสำรประกอบตอไปนี้ SO2 CH6

23 การอ่านชอื่ 1. ใหอำนชื่อธำตุที่อยูขำงหนำกอนแลวตำมดวยชือ่ ของอีกธำตุหนึง่ โดยเปลย่ี นเสียงพยำงคทำยเป นไอด (ide) 2. อำ่ นเลขแสดงจำนวนอะตอมของธำตดุ ้วยภำษำกรีก ไดแก 1= mono 2= di 3=tri 4=tetra 5=penta 6=hexa 7=hepta 8=octa 9=nona 10=deca 3. ตัวหนำ้ เป็น 1 อะตอม หรือเป็น H ไม่อ่ำนเลข ตัวอยำงกำรอำนช่อื สำรประกอบโคเวเลนท CO2 อ่ำนวำ่ คำรบ์ อนไดออกไซด์ N2O อำ่ นวำ่ ไดไนโตรเจนมอนออกไซด์ P4O10 อ่ำนวำ่ เตตระฟอสฟอรสั เดคะออกไซด NO2 อำ่ นว่ำ ไนโตรเจนไดออกไซด์ Cl2O อ่ำนวำ่ ไดคลอรนี โมโนออกไซด์ CCl4 อำ่ นว่ำ คำร์บอนเตตระคลอไรด์ ข้อ ธำตุ กำรจดั เรยี ง กำรเกิดพันธะ สูตรโมเลกลุ กำรเรียกชอื่ อิเลก็ ตรอน 10 B 5 1 18 F 9 162C 2 1375Cl

ข้อ ธำตุ กำรจัดเรียง กำรเกดิ พันธะ 24 อิเล็กตรอน สูตรโมเลกุล กำรเรียกช่อื 174N 3 186O 11H 4 I127 53 1350P 5 1375Cl 186O 6 186O 11H 7 1362S

ขอ้ ธำตุ กำรจัดเรียง กำรเกดิ พนั ธะ 25 อิเลก็ ตรอน สูตรโมเลกลุ กำรเรยี กช่อื 1375Cl 8 1375Cl 1362S 9 1362S 18 F 9 10 18 F 9 1. (En 31) สตู รของสำรทเี่ กิดจำกกำรรวมของธำตุ X ทม่ี ีเลขอะตอม 14 กบั ธำตุ Y ที่มเี ลข อะตอม 8 ไดแกขอใด 1) XY 2) X2Y 3) XY2 4) X2Y3 วธิ ีทำ 2. (มช 33) ธำตุ A อยูในคำบ 3 ของตำรำงธำตมุ เี วเล็นซอเิ ลก็ ตรอนเทำกบั 5 และมนี ิวตรอน เทำกบั 16 ดงั นัน้ ธำตุ A เมื่อรวมกบั F อำจจะไดสำรทมี่ ีสูตร 1) AF 2) AF2 3) AF3 4) AF4 วิธที ำ

26 3. (En 42/2) ขอมลู ในตำรำงตอไปนี้ขอใดผดิ โมเลกลุ จำนวนอิเลก็ ตรอน จำนวนอเิ ลก็ ตรอนคโู ดด คูรวมพนั ธะ เดีย่ วรอบอะตอมกลำง 1) H2S 2 คู 2 คู 2) SiF4 4 คู – 3) SF6 6 คู – 4) BrF3 3 คู 1 คู วธิ ที ำ 4. (En 31) ขอมลู ในตำรำง ขอใดผดิ โมเลกุล อะตอมกลำง จำนวนอิเล็ก จำนวนอิเลก็ ตรอนคูโดดเด่ยี ว ตรอนครู วมพันธะ รอบอะตอมกลำง 1) CH4 C 4 คู 0 2) H2O O 2 คู 2 คู 3) NH3 N 3 คู 1 คู 4) H2S H 2 คู 2 คู วิธที ำ 5. (En 37) ขอใดทอ่ี ะตอมกลำงมจี ำนวนอเิ ล็กตรอนคูโดดเดยี่ วเทำกัน 1) PCl3 , BF3 2) H2O , ClF3 3) H2S , NH3 4) SO2 , XeF2 วธิ ที ำ 6. (o-net 50) ธำตุ A, B และ C มีเลขอะตอม 19, 34 และ 53 ตำมลำดับสูตรของสำรประกอบในข้อใด ถกู ท้ังหมด 1) A2B AC BC2 2) A2B AC2 B2C 3) AB AC B2C 4) AB A4C BC2 วธิ ีทำ

27 ความแข็งแรงของพนั ธะ เปน็ พลังงำนท่ีใชใ้ นกำรแยกอะตอมทส่ี รำ้ งพันธะโคเวเลนต์ออกเป็นอะตอมอสิ ระในสภำวะกำ๊ ซ พจิ ำรณำจำกพลังงำนพันธะพบว่ำ พันธะสำมแข็งแรงกว่ำพันธะคู่ และพันธะคู่แข็งแรงกว่ำพนั ธะเดีย่ ว พนั ธะสำม > พนั ธะคู่ >พันธะเดี่ยว (อะตอมคู่เดยี วกัน) N ≡ N > N= N > N- N N2 เกดิ ปฏกิ ริ ิยำยำก เพรำะวำ่ เป็นพันธะสำม N ≡ N ความยาวพันธะ ควำมยำวพนั ธะ (Bond lenght) หมำยถึง ระยะทำงระหว่ำงนิวเคลียสของอะตอมทเ่ี ป็นคู่รว่ ม พนั ธะ พันธะเดีย่ ว > พันธะคู่ > พันธะสำม (เป็นอะตอมคเู่ ดยี วกัน) เช่น สรปุ อะตอมคูเ่ ดยี วกัน พลงั งำนพันธะ : พันธะสำม > พันธะสอง > พนั ธะเดย่ี ว ควำมแข็งแรง : พันธะสำม > พันธะสอง > พนั ธะเดย่ี ว ควำมยำวพนั ธะ : พนั ธะเดย่ี ว > พันธะสอง > พนั ธะสำม

28 1. (o-net 49) พิจำรณำธำตุสมมติต่อไปน้ี 9A 11B 12C 15D 17E ธำตคุ ใู่ ดทำปฏิกิริยำกนั ไดส้ ำรประกอบไอออนิก และคู่ใดได้สำรประกอบโคเวเลนต์ สำรประกอบไอออนิก สำรประกอบโคเวเลนต์ 1) A กับ B A กับ C 2) A กบั D B กบั D 3) B กับ E B กบั D 4) A กบั C A กั บ E วธิ ที ำ 2. สำร X , Y , Z มพี ลงั งำนพันธะเป็น 120 , 200 , 90 kJ/mol ตำมลำดับ จงเรยี งควำมยำวพนั ธะจำก นอ้ ยไปมำก 1) X , Y , Z 2) Z , Y , X 3) Y , X , Z 4) Z , X , Y 3. (มช 37) ควำมยำวพนั ธะระหวำง C 2 ตวั ท่ตี ดิ กนั ในสำรประกอบตอไปนี้ เรยี งตำมลำดับจำก มำกไปหำนอย ขอใดถูกตอง 1) C3H8 > C3H4 > C2H6 > C2H4 > C2H2 2) C2H2 > C2H4 > C6H6 > C3H4 > C3H8 3) C3H8 = C2H6 > C2H4 = C3H4 > C2H2 4) C2H2 > C2H4 = C3H4 > C2H6 = C3H8 4. (มช 41) เปรยี บเทยี บควำมยำวของพันธะ C- C และ พนั ธะ C- N ในสำรประกอบแตละประเภท พรอมกบั พิจำรณำพลังงำนใหสอดคลองกันดวย ขอที่เรียงลำดับไดถูกตองคือ ควำมยำวพันธะ พลังงำนพนั ธะ 1) C2H6 > C2H4 > C2H2 C2H6 > C2H4 > C2H2 2) C2H6 < C2H4 < C2H2 C2H6 < C2H4 < C2H2 3) CH3NH2 < CH2NH < HCN CH3NH2 < CH2NH < HCN 4) CH3NH2 > CH2NH > HCN CH3NH2 < CH2NH < HCN 5. ควำมยำวพนั ธะระหวำ่ งอะตอมของ C กับ O ในตวั เลือกใดยำวกวำ่ กนั (I) HNCO (II) CO2(III) CH3OH (IV) COF2 1) I และ III 2) II และ III 3) III และ IV 4) I และ IV วิธที ำ

29 6. (A-net50)โมเลกลุ คใู่ ดเป็นโมเลกุลโคเวเลนตท์ ี่มรี ูปร่ำงโมเลกุลลกั ษณะเดยี วกนั แต่สภำพขัว้ ของ โมเลกลุ ตำ่ งกัน 1) CO2 และ SO2 2) AsI3 และ BCl3 3) XeF4 และ CHCl3 4) CCl4 และ POCl3 วธิ ีทำ หลกั การใช้พลังงานพันธะคานวณพลงั งานของปฏิกริ ิยา 1. คำนวณพลังงำนท้ังหมดท่ีใชใ้ นกำรสลำยพนั ธะของสำรต้งั ตน้ ให้ออกเปน็ อะตอมและเป็นกำ๊ ซ ซง่ึ ดดู พลังงำน กำหนดให้มีเครอ่ื งหมำย (+) 2. คำนวณพลงั งำนทัง้ หมดท่ีได้จำกกำรสร้ำงพนั ธะเพื่อใหเ้ กิดสำรใหม่ ซง่ึ คำยพลงั งำน กำหนดให้ มเี คร่อื งหมำย เป็น (-) แล้วเอำพลงั งำนจำกข้อ 1 และ 2 มำรวมกนั ตำมเคร่ืองหมำย ถำ้ ออกมำเปน็ ลบ หมำยถงึ ปฏิกิรยิ ำจะคำยพลังงำน แต่ถ้ำออกมำเปน็ บวก หมำยถงึ ปฏกิ ริ ยิ ำดดู พลังงำน *พลังงำนสลำยพันธะ > พลงั งำนกำรสร้ำงพันธะ = ปฏิกริ ยิ ำดูดควำมรอ้ น *พลังงำนสลำยพนั ธะ < พลงั งำนกำรสร้ำงพันธะ = ปฏิกริ ยิ ำคำยควำมร้อน ตวั อย่างท่ี 1 ปฏกิ ิรยิ ำต่อไปนี้ดดู หรือคำยพลงั งำนหรือบอกไม่ได้ 1. CH4(g) → C(g) + 4 H(g) ดดู (เพรำะสลำยพันธะอย่ำงเดยี ว) 2. Na+(g) + Cl-(g) → NaCl(s) คำย (เพรำะสรำ้ งพนั ธะอย่ำงเดียว) 3. 2Na(s) + Cl2(g) → 2NaCl(s) บอกไมไ่ ด้ (Q สร้ำงและสลำยพนั ธะ) 4. CH4(g) + O2(g) → CO2(g) + 2H2O(g) คำย (Q เป็นกำรสันดำป) ตัวอยา่ งท่ี 2 จงคำนวณพลังงำนของปฏิกริ ิยำของ A2(g) + B2(g) → 2AB(g) กำหนดพลังงำนพนั ธะของ A - A = 436 kJ, B-B = 242 kJ, A-B = 431 kJ วธิ ีทำ A2(g) + B2(g) → 2AB(g) (436 + 242) - 2(431) kJ = -184 kJ (คำย) ∴ ปฏกิ ิรยิ ำคำยควำมร้อน 184 kJ ตำมสมกำร 1. จำกสมกำร C2H4(g) + 3O2(g) → 2CO2(g) + 2H2O(g) กำหนดใหพ้ ลงั งำนพันธะดงั น้ี C-C = 614 kJ/mol , C H = 413 kJ/mol O=O = 498 kJ/mol , H O = 463 kJ/mol C= O = 745 kJ/mol ปฏิกิริยำนด้ี ูดหรอื คำยควำมร้อนเท่ำใด วิธที ำ

30 2. (En 42/2) กำหนดคำพลังงำนสลำยพันธะในหนวยกโิ ลจลู ตอไปน้ี C-H = 427 C-Cl = 339 H-Cl = 431 Cl-Cl = 243 ปฏกิ ริ ยิ ำตอไปน้เี ปนปฏกิ ริ ยิ ำดดู หรือคำยควำมรอน และปริมำณควำมรอนของปฏกิ ริ ิยำมคี ำ กีก่ ิโลจูล CH4 + Cl2 CH3Cl + HCl (คำยควำมรอน 100 kJ) วิธีทำ 3. (En 42/1) กำหนดใหพันธะ ( หนวย กิโลจูล / โมล ) C-H = 413 Cl-Cl = 242 C-Cl = 339 H-Cl = 431 พิจำรณำปฏกิ ิริยำ CH4(g) + Cl2(g) CCl4(g) + HCl(g) (สมกำรยงั ไมไดดุล) ปฏกิ ริ ยิ ำน้ีดดู หรือคำยควำมรอน และควำมรอนของปฏิกิริยำมคี ำก่ีกโิ ลจูลตอโมลของ CH4 (460 kJ/mol) วิธีทำ 4. ในสมกำร AX4(g) + 2B2 AX2B2 + 2XB ถำ้ พลงั งำนในกำรสลำยพันธะของ A-X = 413 KJ A-B = 339 KJ B2 = 242 KJ X-B = 431 KJ ในปฏกิ ริ ิยำข้ำงบนจะมีพลังงำนควำมร้อนของปฏิกริ ิยำก่ี KJ 1) -41 2) -115 3) -230 4) -304 วิธีทำ 5. (O-net50) กำหนดพลังงำนพันธะเฉลีย่ (ในหนว่ ย KJ/mol) เปน็ ดังนี้ C-C = 348 C=C = 614 C-H = 413 H-Cl = 431 C-Cl = 327 พจิ ำรณำปฏกิ ริ ยิ ำต่อไปนี้ CH3CH=CH2 + HCl CH3CHCH3 Cl ปฏิกริ ิยำน้คี ำยพลังงำนหรือดูดพลงั งำนกี่กิโลจูล 1) ดูดพลงั งำน 284 2) คำยพลังงำน 284 3) ดูดพลงั งำน 43 4) คำยพลงั งำน 43 วิธีทำ

31 สมบัติทั่วไปของสารประกอบโคเวเลนต์ 1. เกดิ จำกกำรรวมตัวของอะตอมอโลหะ (ธำตุที่มี EN สงู ) กบั อโลหะมำรวมกันโดยกำรใช้ Valence e- ร่วมกัน ถำ้ รว่ มกัน 1 คู่ เกดิ พนั ธะเด่ียว (-) ถำ้ รว่ มกนั 2 คู่ เกิดพันธะคู่ (=) รวมกัน 3 คู่ เกิดพนั ธะสำม (≡) และโคออรด์ เิ นต 2. มสี ถำนะเปน็ ท้ังกำ๊ ซ ของเหลว และของแข็ง แตถ่ ้ำเปน็ ของเหลว ของแข็งจะมจี ุดเดอื ดและจดุ หลอมเหลวตำ่ เพรำะแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลมีค่ำน้อย 3. มีควำมดนั ไอสูง ระเหยงำ่ ย 4. ไมน่ ำ ไฟฟ้ำ ไม่วำ่ จะเปน็ ของแข็ง ของเหลว และก๊ำซก็ตำม 5. มสี ตู รโมเลกลุ มที ศิ ทำงพันธะและรูปร่ำงแนน่ อน 6. เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ำชำ้ เนื่องจำกพลังงำนพันธะมีค่ำมำก คอื มีแรงยดึ เหนยี่ วภำยในโมเลกุลหรือ ระหวำ่ งอะตอมมำก 1. โมเลกุลโคเวเลนตม์ สี มบัตติ ่อไปน้ี ขอ้ ใดไม่ถกู ต้อง 1) จดุ เดือด, จดุ หลอมเหลวตำ่ 2) แรงยดึ เหนีย่ วโมเลกุลน้อย 3) มีโมเลกลุ และทศิ ทำงพันธะแน่นอน 4) ไมน่ ำ ไฟฟ้ำและเกดิ ปฏกิ ิริยำง่ำย 2. คาชี้แจง ขดี เครอ่ื งหมำย หรอื  หนำ้ ข้อควำม ……….. 1. สำเหตุที่ทำใหจ้ ุดเดือดและจดุ หลอมเหลวของสำรประกอบโคเวเลนซ์ตำ่ เพรำะ แรงยึดเหน่ยี วระหวำ่ งโมเลกุลตำ่ ………... 2. สำรประกอบโคเวเลนซน์ ำไฟฟ้ำในสถำนะแกส๊ เทำ่ นัน้ ………... 3. สำรประกอบโคเวเลนซม์ ีทศิ ทำงของพนั ธะไม่แน่นอน แตม่ ีรูปรำ่ งโมเลกลุ แน่นอน ………... 4. สำรประกอบโคเวเลนซ์มีควำมดันไอสงู กวำ่ สำรประกอบไอออนิก ………... 5. กำรเกิดปฏิกริ ยิ ำของสำรประกอบโคเวเลนซจ์ ะเกิดขนึ้ อยำ่ งช้ำๆ ……....... 6. สำรประกอบโคเวเลนซส์ ่วนใหญ่ละลำยนำ้ ไดน้ ้อย การพจิ ารณารปู ร่างโมเลกุลโควาเลนต์ โมเลกุลโควำเลนต์ในสำมมิตสิ ำมำรถบ่งบอกถึงโครงสรำ้ งของโมเลกุลน้นั ๆ ได้ โดยท่ีกล่มุ ตำ่ งๆ มี ดังน้ี - อเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดย่ี ว - อิเลก็ ตรอนครู่ วมพันธะได้แก่ พันธะเด่ียว พันธะคู่ และพันธะสำม ทฤษฎีกำรผลักกันของคู่อิเล็กตรอนวงนอก (Valence Shell Electron Pair Repulsion : VSEPR) ดังภำพ

32 ภำพแสดงรปู รำ่ งโครงสร้ำงโมเลกลุ โควำเลนต์แบบต่ำงๆ ตำมทฤษฎี VSEPR หมายเหตุ A คือ จำนวนอะตอมกลำง (สแี ดง) X คือ จำนวน อเิ ล็กตรอนค่รู วมพนั ธะ (สนี ้ำเงิน) E คือ จำนวนอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดี่ยว (สีเขยี ว)

1. สำรตอไปน้ี โมเลกุลจะมีรปู รำงเปนแบบใด 33 รปู รำ่ งโมเลกลุ สตู รโมเลกลุ รูปรำ่ งโมเลกลุ สตู รโมเลกลุ SiF62– BeCl2 BF3 BI3 CH4 CCl4 PCl5 SbCl5 SF6 CO2 CCl2 SnCl2 NH3 PH3

สูตรโมเลกลุ รปู ร่ำงโมเลกุล สูตรโมเลกลุ 34 H2S SeCl2 รูปรำ่ งโมเลกลุ TeCl4 SeF4 ClF3 BrF3 ICl2– XeF2 BrF5 IF5 XeF4 BrF4– 2. (มช 33) X– ออิ อนมีจำนวนโปรตอน= 17 ดงั นน้ั รปู รำงของ XF3 และ IX2- จะเปนดังนี้ 1) สำมเหลยี่ มพรี ำมิด เสนตรง 2) สำมเหลีย่ มแบบรำบ มุมงอ 3) รปู ตวั T เสนตรง 4) รปู ตัว T มมุ งอ

35 3. (มช 39) กำรจดั ตัวของทุกอะตอมในโมเลกุลใดท่ีไมอยูใน ระนำบ (plane) เดยี วกัน 1) AsH3 2) ClF3 3) ICl4- 4) XeF4 4. (En 39) ขอใดประกอบดวยโมเลกุลทม่ี ีรปู รำงเปนมุมงอ 1) CO2 , SiO2 และ BeF2 2) CS2 , C2H2 และ H2S 3) Cl2O , CO2 และ SiO2 4) SO2 , Cl2O และ H2S 5. (มช 40) สำรในขอใดมีรูปรำงโมเลกุลแตกตำงกนั 1) PCl3, NI3 , BF3 2) SO2 , H2S , Cl2O 3) BeF2 , C2H2 , CS2 4) GeH4 , SiF4 , CHCl3 6. (PAT 2/52)โมเลกุลในข้อใดมีโครงสรำ้ งเหมือนกันท้ังหมด 1) CO2 SO2 CS2 2) NH3 PH3 SO3 3) CO2 N2 O2 4) CCl4 SO 2 4 XeF4 สภาพมขี วั้ ของโมเลกุล ในพนั ธะโคเวเลนต์ อเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะจะเคลื่อนทอี่ ยู่ระหว่ำงอะตอมท้งั สองที่สรำ้ งพนั ธะกัน ถำ้ พบว่ำอเิ ลก็ ตรอนคู่รว่ มพันธะเคลื่อนท่ีอยู่ตรงกลำงระหว่ำงอะตอมพอดี แสดงวำ่ อะตอมคู่นนั้ มี ควำมสำมำรถในกำรดงึ ดูดอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพันธะเทำ่ กัน แตถ่ ำ้ พบว่ำอิเล็กตรอนคูร่ ่วมพันธะเคลื่อนท่ีอยู่ ใกล้อะตอมใดอะตอมหนง่ึ มำกกว่ำอีกอะตอมหน่ึง แสดงว่ำอะตอมคูน่ น้ั มคี วำมสำมำรถในกำรดึงดูด อเิ ล็กตรอนครู่ ว่ มพนั ธะไมเ่ ทำ่ กนั ดังภำพ อเิ ล็กตรอนถกู ดงึ ดดู เทำ่ ๆกัน อเิ ลก็ ตรอนถกู ดงึ ดูดไมเ่ ท่ำกัน

36 อเิ ล็กตรอนถำ่ ยเทจำกอะตอมหนงึ่ ไปส่อู ีกอะตอมหนึ่ง ค่ำทบี่ อกให้ทรำบถึงควำมสำมำรถในกำรดงึ ดดู อิเลก็ ตรอนของธำตทุ ี่สรำ้ งพันธะกันเป็น สำรประกอบเรยี กวำ่ อิเลก็ โทรเนกำติวติ ี ( Electronegativity ) ค่ำอเิ ลก็ โทรเนกำติวติ นี ำไปใช้อธิบำยสมบตั บิ ำงประกำรของสำรได้ เชน่ ข้ัวของพนั ธะโคเวเลนต์ 1. พนั ธะที่เกิดจำกอะตอมของธำตุชนิดเดียวกันเป็นพันธะไมม่ ีขวั 2. พนั ธะท่เี กดิ จำกอะตอมต่ำงชนดิ กนั เปน็ พันธะมขี ว้ั ข้วั ของโมเลกุล 1.โมเลกลุ ใดทมี่ ีแต่พนั ธะทไี่ ม่มขี ้วั ทงั้ สิ้น จดั เปน็ โมเลกุลทไี่ มม่ ีขว้ั เช่น H2 , O2 , N2 , F2 , Br2 , I2 , P4 2.โมเลกุลใดทมี่ ีพนั ธะมีขั้ว โมเลกุลนั้นอำจมีขั้วหรือไม่มีขวั้ ก็ได้ ขึ้นกบั กำรเขียนเวกเตอร์ แล้วดู กำรหกั ลำ้ งกนั ของทิศทำงของข้ัวของพันธะรอบอะตอมกลำง ถ้ำหกั ล้ำงกนั หมดโมเลกุลน้นั จะไม่มขี วั้ แต่ ถ้ำหักล้ำงกันไม่หมดโมเลกลุ น้ันจะมขี ั้ว โดยทิศทำงของขั้วลบของโมเลกุลช้ีไปทำงทิศทำงของผลลัพธ์

37 สภำพข้วั ของโมเลกลุ นำ้ และก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ 1. (PAT 2/52)โมเลกุลในข้อใดเปน็ โมเลกลุ มีขั้วท้งั หมด หรอื ไม่มขี ้ัวทง้ั หมด 1) HI CS2 O2 2) N2 PCl5 CCl4 3) N2 NH3 SO3 4) O2 SO2 CO2 วิธีทำ

38 2. กำหนดคำ่ EN ของธำตุดังนี้ A = 3.0 , B = 2.8 X= 2.7 , Y = 3.7 จงเรียงลำดบั ควำมแรงขั้วจำกมำก ไปนอ้ ย 1) A-B , B-X , X-Y 2) A-Y , B-X , A-X 3) Y-B , A-Y , A-X 4) A-X , B-Y , A-Y วิธที ำ 3. (En 40) สำรประกอบในขอใดท่ีมโี มเลกุลมีขัว้ ทั้งหมด 1) CH4 , NH3 2) CCl4 , H2S 3) NH3 , BF3 4) CH3Cl , PH3 วธิ ที ำ 4. (En 31) ขอใดเปนโมเลกุลไมมีข้วั 2) CO2 , SF6 และ BCl3 1) CO2 , CCl4 และ CH3Cl 4) HCN , NCl3 และ CO2 3) BCl3 , NCl3 และ CCl4 วธิ ที ำ 5. (En 36) ธำตุ A , B , C , D , E , F และ G มีเลขอะตอมเทำกับ 1 , 6 , 7 , 8 , 9 , 15 และ 17 ตำมลำดับ สำรประกอบในขอใดมีข้ัวทุกสำร 1) A2D , GE5 , BD2 2) GE2 , FG5 , CE3 3) GE5 , CE3 , A2D 4) CE3 , A2D , BA4 วธิ ีทำ 6. (มช 42) โมเลกลุ ของสำรตอไปน้ี H2 , O2 , Cl2 , CO2 , H2S , PCl5 , HBr, SiH4 และ SF6 สำรใน ขอใดมพี ันธะแบบมีขวั้ แตโมเลกุลไมมีขว้ั 1) CO2 , SiH4 , PCl5 , SF6 2) H2S , HBr , CO2 , SF6 3) H2 , O2 , HBr , PCl5 4) H2 , O2 , Cl2 , SiH4 วธิ ีทำ 7. (En 36) โมเลกุลในขอใดมรี ูปรำงเหมือนกันและเปนโมเลกุลมีขั้วท้งั สองโมเลกุล 1) BeCl2 , Cl2O 2) PBr3 , NI3 3) SiF4 , GeH4 4) OF2 , CO2 วธิ ีทำ

39 8.ข้อใดมีสภำพขว้ั เหมือนกันทง้ั หมด 2) CCl4 CO2 BF3 1) CHCl3 H2O CS2 4) NH3 HCl CO 3) PCl5 SO2 BeCl2 กฎออกเตต (Octet's Rule) จำกกำรศึกษำสมบตั ิของธำตุเฉ่ือย (He, Ne, Ar, Kr, Xe และ Rn) พบวำ่ 1 โมเลกลุ มี 1 อะตอม ไม่อยู่ในสภำพของสำรประกอบ มีควำมเสถียรมำก เมอื่ ศึกษำโครงสรำ้ งอะตอมของธำตเุ ฉ่ือยพบวำ่ อิเลก็ ตรอนวงนอกสดุ (Valence e-) มีคำ่ เทำ่ กับ 8 ทกุ ตัว ยกเวน้ He = 2 ดงั นน้ั อะตอมใดที่มี Valence e- ไม่ครบ 8 จะรวมตัวกันเป็นโมเลกุลเพือ่ ทำ ให้ Valence e- ครบ 8 เป็นไปตำมกฎออกเตต กำรจัดอเิ ล็กตรอนของอะตอมที่มำรวมเปน็ โมเลกลุ เพอ่ื ให้เปน็ ไปตำมกฎ ออกเตตมี 2 วธิ ี คือ 1. โดยกำรรับและให้อิเล็กตรอน แล้วทำ ใหอ้ ะตอมทง้ั สองมี Valence e- ครบ 8 ได้แก่ สำรประกอบไอออนิกและเกิดพันธะไอออนิก 2. โดยกำรใช้ V. e- รว่ มกัน (Share) แล้วทำ ให้อะตอมคู่ที่ใช้ V. e- ร่วมกันครบ 8 ได้แก่ สำรประกอบโคเวเลนต์ และเกิดพนั ธะโคเวเลนต์ ขอยกเวนของกฏออกเตต 1) ธำตุที่มเี วเลนสอเิ ลคตรอนนอยกวำ 4 คือ Be และ B เมอ่ื เกดิ พนั ธะอำจจะมีเวเลนต อิเลคตรอนไมครบ 8 กไ็ ด เชน BeCl2, BeF2, BF3, BCl3 Valence e- ของ Be และ B < 8 2) ธำตุทม่ี เี วเลนซอิเลคตรอนมำกกวำ 4 และ อยูในคำบที่ 3 ขน้ึ ไปในตำรำงธำตุ เมอื่ เกิดพันธะ อำจมเี วเลนซอิเลคตรอนมำกกวำ 8 เชน่ PCl5, SF6 Valence e- ของ P, S > 8 1. จงวำดรปู แสดงกำรเกดิ พันธะโคเวเลนตของสำรประกอบตอไปนี้ BeCl2 BF3 PCl5 SF6 2. (มช 37) สำรประกอบในขอใดท่ีมีกำรจดั เรียงตวั ของอิเลคตรอนเปนไปตำมกฏออกเตตทัง้ หมด 1) H2S, PBr3, CH2O, OF2, C3H6O 2) H2O , O2, BeH2, CH3OH , NH3 3) H2, CO2, C2H2, BF3, CS2 4) CCl4, C3H4, N2, Br2, PCl5

40 3. (En 32) a , b , c , d , e เปนธำตทุ ่ีมีกำรจัดอิเลคตรอนดงั นี้ e=2, 3 a = 2,8,4 b= 2,8,5 c=2,8,6 d=2,8,7 ในขอใดตอไปน้ที ่ีทุกสำรมกี ำรรวมตวั เปนไปตำมกฎออกเตต 1) Hd , NF3, bF5 2) cF6, HF , cO2 3) ad4, cO3, dF 4) NH4+ , eF3, bd3 4. (En 33) พิจำรณำสำรตอไปน้ี H2S NH3 BF3 PBr5 HF (I) (II) (III) (IV) (V) ขอสรปุ เกย่ี วกบั สำรเหลำนีข้ อใดถูก 1) สำร (I) (III) และ (IV) เทำน้นั เปนสำรประกอบโคเวเลนต 2) สำร (II) (III) (IV) และ (V) เทำนนั้ เปนสำรประกอบโคเวเลนต 3) สำร (I) และ (II) เทำนน้ั ทอ่ี ะตอมตำง ๆ มีเวเลนซอเิ ลคตรอนเปนไปตำมกฎออกเตต 4) สำร (III) และ (IV) เทำนั้นทอี่ ะตอมตำง ๆ มีเวเลนซอิเลคตรอนไมเปนไปตำมกฎออกเตต 5. กฎออกเตตเก่ียวข้องกบั เรื่องใด 2) สมบตั ขิ องธำตุ 1) สถำนะของสำร 4) จดุ หลอมเหลวและจุดเดือดของสำร 3) กำรสร้ำงพันธะเคมี 6. กฎออกเตตเกีย่ วข้องกบั เร่ืองใด 2) สมบัตขิ องธำตุ 1) สถำนะของสำร 4) จุดหลอมเหลวและจุดเดอื ดของสำร 3) กำรสรำ้ งพันธะเคมี สมบตั สิ ำรประกอบโคเวเลนต์ พนั ธะมีข้ัว โมเลกุลมีขั้ว มมุ ระหวา่ งพันธะ แรงยดึ เหน่ียว Octet สาร รปู รา่ งโมเลกลุ   180 London ขำด BeCl2 เสน้ ตรง   120 London ขำด BF3 สำมเหลี่ยมแบนรำบ   120 London ขำด AlCl3 สำมเหลี่ยมแบนรำบ   109.5 London ครบ CCl4 ทรงเหลยี่ มส่หี นำ้   109.5 London ครบ CH4 ทรงเหล่ยี มสีห่ นำ้   <109.5 ครบ NH3 พีรำมดิ ฐำนสำมเหลยี่ ม พันธะไฮโดรเจน

41 สาร รปู ร่างโมเลกุล พันธะมีขั้ว โมเลกุลมีข้ัว มมุ ระหวา่ งพันธะ แรงยึดเหน่ยี ว Octet   <109.5 ขว้ั -ขว้ั ครบ PCl3 พรี ำมดิ ฐำนสำมเหลย่ี ม   90, 120 London เกนิ PCl5 พีรำมิดคฐู่ ำนสำมเหล่ยี ม   90 London เกิน SF6 ทรงเหลยี่ มแปดหนำ้   <90, <120 ขว้ั -ข้วั เกิน SF4 ม้ำกระดก   180 London เกนิ XeF2 เส้นตรง   90 London เกนิ XeF4 สเี่ หลีย่ มแบนรำบ   <90, <120 ข้วั -ขัว้ เกิน XeOF2 T-shape   <90 ขั้ว-ขั้ว เกิน XeOF4 พรี ำมิดฐำนส่ีเหลย่ี ม   <90 ขั้ว-ขวั้ เกิน BrF5 พีรำมิดฐำนสี่เหล่ยี ม   <109.5 ขว้ั -ขว้ั ครบ H2S มมุ งอ   <109.5 ครบ H2O มุมงอ   <109.5 พันธะไฮโดรเจน ครบ OF2 มมุ งอ   109.5 ขวั้ -ขว้ั ครบ NH4+ ทรงเหลย่ี มส่หี นำ้   90 ประจุ เกิน BrF4- สีเ่ หลยี่ มแบนรำบ ประจุ 1. (En 37) กำหนดใหโมเลกุลตอไปน้ี (I) CS2 (II) BF3 (III) Cl2O (IV) CCl4 มมุ ระหวำงพันธะในโมเลกุล I IV เรยี งตำมลำดับดังขอใด 1) I > II > IV > III 2) III > I > IV > II 3.) II > I > III > IV 4) I > III > II > IV วธิ ที ำ 2. ถำ้ สำรประกอบโควำเลนตท์ ่ีมสี ูตร AB5 และมีรูปร่ำงโมเลกุลเปน็ พีรำมิดคู่ฐำนสำมเหลย่ี ม ข้อใด ตอ่ ไปนี้ถกู 1) โมเลกลุ เปน็ ไปตำมกฎออกเตต 5) แรงยึดเหนย่ี วระหว่ำงโมเลกุลเปน็ แรงลอนดอน 6) A เปน็ ธำตทุ อ่ี ยหู่ มู่เดียวกันกบั ธำตุทีม่ เี ลขอะตอมเทำ่ กบ 34 7) B เปน็ ธำตุทีม่ อี ยู่หมู่เดยี วกับธำตุทรี่ ับหรอื ให้อิเล็กตรอนยำกทีส่ ดุ ในตำรำงธำตุ 3. โมเลกลุ ค่ใู ดเปน็ โมเลกุลโคเวเลนต์ที่มรี ูปรำ่ งโมเลกุลลักษณะเดยี วกัน แตส่ ภำพขวั้ ของโมเลกุลต่ำงกัน 1) CO2 และ SO2 2) AsI3 และ BCl3 3) XeF4 และ CHCl3 4) CCl4 และ POCl3 วิธีทำ

42 4. (A-net 50) ถ้ำสำรประกอบโคเวเลนต์มสี ตู ร AB5 และมีรปู ร่ำงโมเลกุลเปน็ พรี ะมดิ คู่ฐำนสำมเหลย่ี ม ข้อใดต่อไปน้ีถูก 1) โมเลกุลเป็นไปตำมกฎออกเตด 2) แรงยดึ เหนย่ี วระหว่ำงโมลุลเปน็ แรงลอนดอน 3) A เปน็ ธำตุท่ีอย่หู ม่เู ดียวกับธำตทุ ีม่ ีเลขอะตอมเท่ำกบั 34 4) B เป็นธำตุที่อยูห่ มูเ่ ดยี วกับธำตทุ ่รี บั หรอื ให้อเิ ลก็ ตรอนท่ียำกทส่ี ดุ ในตำรำงธำตุ โครงสร้างโมเลกุลโคเวเลนตข์ นาดยกั ษ์ 1. แกรไฟต์ - ไสด้ ินสอ มที ำจำกผงแกรไฟต์ผสมดินเหนียว มคี วำมเข้มของสดี ำตำ่ งกนั แสดงด้วยอกั ษร เช่น HB,2B, ซง่ึ 2B จะดำกว่ำ HB - ผงแกรไฟต์สำมำรถใชเ้ ปน็ สำรหล่อลนื่ โลหะท่เี ป็นสว่ นประกอบของเครื่องจักรกล และใชผ้ สม กับนำ้ มนั เพอ่ื ปรับปรุงสมบัติกำรหลอ่ ลืน่ - ทำใหแ้ กรไฟตเ์ ปลยี่ นรูปเป็นเพชรได้ ถำ้ แกรไฟต์ถูกอดั ด้วยควำมดนั สูงประมำณ 60,000 เทำ่ ของบรรยำกำศ และให้ควำมร้อนท่ีอุณหภมู สิ งู ประมำณ 1,400 องศำเซลเซียส โครงสรำ้ งของแกรไฟต์ 2. คารบ์ อนในรูปของเพชร เปน็ สำรทแี่ ข็งที่มอี ะตอมของธำตคุ ำร์บอนเปน็ องค์ประกอบเพียงชนดิ เดียว สรำ้ งพันธะท่ีแข็งแรงอะตอมละ 4 พนั ธะกับอะตอมขำ้ งเคยี ง - ใช้ทำเครือ่ งประดบั - ทำเคร่ืองมือที่ใช้ตัดหรอื เจำะ นำมำทำหัวเจำะแหล่งนำ้ มัน ฝังในเลื่อยตดั โลหะ - นำควำมร้อนได้ดี ใช้ระบำยควำมร้อนในวงจรอิเล็กทรอนิกส์

43 โครงสร้ำงของเพชร 3. บกั ก้ี-บอล (bucky-balls) ใน ค.ศ. 1985 มกี ำรค้นพบโครงผลกึ ของธำตุคำรบ์ อนที่ ประกอบด้วยคำร์บอนจำนวน 60 อะตอม ยึดเหนี่ยวกนั โดยอะตอมของคำรบ์ อนมว้ นงอเกิดเป็นโมเลกุลรปู ลกู บอล หรอื ที่รู้จักกันทั่วไปว่ำ ฟลเู ลอรนี (C60) มีสรรพคุณทำงเภสชั กรรม ปัจจุบันใชเ้ ป็นยำรักษำ โรคมะเรง็ ยำปฏชิ ีวนะ ยำยบั ย้ังกำรตำยของเซลล์ สำรตอ่ ตำ้ นอนุมลู อสิ ระ และรกั ษำโรคเอดส์ โครงสรำ้ งของฟลเู ลอรนี หรือบักก้ี-บอล พนั ธะโลหะ พันธะโลหะ (Metallic Bond ) คอื แรงดงึ ดูดระหวำ่ งไออนบวกซึ่งเรยี งชดิ กันกบั อิเล็กตรอนที่ อย่โู ดยรอบหรือเป็น แรงยดึ เหนีย่ วทีเ่ กิดจำกอะตอมในก้อนโลหะใช้เวเลนสอ์ ิเล็กตรอนท้ังหมดรว่ มกนั อเิ ล็กตรอนอิสระเกิดขึน้ ได้ เพรำะโลหะมวี ำเลนส์อิเล็กตรอนนอ้ ยและมีพลังงำนไอออไนเซชันตำ่ จงึ ทำให้ เกดิ กล่มุ ของอเิ ลก็ ตรอนและไอออนบวกได้ง่ำย พลงั งำนไอออไนเซชันของโลหะมีค่ำน้อยมำก แสดงว่ำอิเล็กตรอนในระดับนอกสุดของโลหะถูก ยดึ เหน่ยี วไว้ไมแ่ น่นหนำ อะตอมเหล่ำนจ้ี งึ เสียอิเล็กตรอนกลำยเปน็ ไอออนบวกได้งำ่ ย เมื่ออะตอมของ โลหะมำรวมกันเป็นกลุ่ม ทกุ อะตอมจะนำเวเลนซ์อิเล็กตรอนมำใชร้ ่วมกัน โดยอะตอมของโลหะจะอยู่ใน สภำพของไอออนบวก ส่วนเวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้งหมดจะอยเู่ ปน็ อิสระ ไม่ได้เป็นของอะตอมใดอะตอม หน่ึงโดยเฉพำะ แต่สำมำรถเคล่ือนที่ไปได้ท่วั ทงั้ ก้อนโลหะ และเนื่องจำกอิเล็กตรอนเคลื่อนที่เร็ว

44 มำก จึงมสี ภำพคลำ้ ยกับมีกลมุ่ หมอกอิเล็กตรอนปกคลุมก้อนโลหะนี้นอยู่ เรียกว่ำ ทะเลอเิ ลก็ ตรอน โดยมีไอออนบวกฝงั อยู่ในกลุม่ หมอกอิเลก็ ตรอนซึง่ เปน็ ลบ จงึ เกดิ แรงดึงดดู ทแ่ี นน่ หนำทั่วไปทกุ ตำแหน่ง ภำยในกอ้ นโลหะนั้น ดงั ภำพ สมบตั ขิ องโลหะ - เปน็ ตวั นาไฟฟา้ ได้ดี ทองคำ เงนิ นำไฟฟ้ำไดด้ ีทส่ี ดุ ทองแดงนำไฟฟ้ำได้ดีรองจำกเงิน แต่ ดว้ ยเหตผุ ลทำงด้ำนรำคำ - โลหะนาความร้อนไดด้ ี เพรำะมีอิเล็กตรอนทีเ่ คลอ่ื นท่ไี ด้ โดยอเิ ล็กตรอนซึ่งอยตู่ รงตำแหน่ง ที่มอี ุณหภมู ิสูง จะมีพลงั งำนจลนส์ ูง และอิเล็กตรอนท่ีมพี ลงั งำนจลน์สงู จะเคล่ือนท่ีไปยังส่วนอน่ื ของโลหะ จึงสำมำรถถ่ำยเทควำมร้อนให้แก่สว่ นอื่น ๆ ของแท่งโลหะทม่ี อี ุณหภูมิต่ำกว่ำได้ - โลหะตีแผเ่ ปน็ แผน่ หรอื ดึงออกเปน็ เส้นได้ เพรำะไอออนบวกแตล่ ะไอออนอย่ใู นสภำพ เหมอื นกนั ๆ กัน และได้รับแรงดงึ ดูดจำกประจลุ บเทำ่ กันท้ังแทง่ โลหะ ไอออนบวกจงึ เลือ่ นไถลผำ่ นกนั ได้ โดยไมห่ ลุดจำกกัน เพรำะมีกลุม่ ของอเิ ล็กตรอนทำหน้ำที่คอยยึดไอออนบวกเหล่ำนไ้ี ว้ - โลหะมผี ิวเปน็ มันวาว เพรำะกล่มุ ของอิเล็กตรอนที่เคล่ือนท่ีไดโ้ ดยอิสระจะรบั และกระจำย แสงออกมำ จึงทำใหโ้ ลหะสำมำรถสะทอ้ นแสงซ่งึ เป็นคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟำ้ ได้ - โลหะมจี ดุ หลอมเหลวสูง เพรำะพนั ธะในโลหะ เปน็ พันธะทเ่ี กดิ จำกแรงยดึ เหนยี่ วระหว่ำงวำ เลนซ์อิเลก็ ตรอนอิสระทงั้ หมดในกอ้ นโลหะกับไอออนบวกจึงเป็นพนั ธะที่แขง็ แรงมำก 1. แคลซยี มไอโอไดด์ (CaI2) สร้ำงพันธะแบบใด 1) โลหะ 2) อโลหะ 3) ไอออนิก 4) โคเวเลนซ์ 2. คาช้ีแจง ขดี เครือ่ งหมำย ลงในชอ่ งวำ่ งใหถ้ ูกต้อง สาร ผลการพจิ ารณา มีพันธะไอออนกิ ไมม่ ีพันธะไอออนิก มีพนั ธะโลหะ NaCl HCl Li K2S

45 สาร ผลการพิจารณา มีพันธะไอออนิก ไม่มีพันธะไอออนกิ มีพนั ธะโลหะ N2O5 Ca(OH)2 CCl4 KF Cu HNO3 แรงยดึ เหน่ียว แรงยดึ เหนย่ี วระหว่างอนุภาคของสาร ระหว่างอะตอม ระหว่างโมเลกลุ (โคเวเลนต์) พนั ธะไอออนกิ พนั ธะโคเวเลนต์ พนั ธะโลหะ แรงดงึ ดูดระหว่างข้วั แรงดึงดูดระหวา่ ง แรงดึงดูดระหวา่ ง แรงดึงดูดระหวา่ ง แรงดึงดูดจากอานาจ ไอออนบวกกบั อิเล็กตรอนท่ีแชร์ ไอออนบวกกบั ไฟฟ้าบวกกบั ลบ กนั กบั นิวเคลียส ทะเลอิเลก็ ตรอน ไอออนลบ I-Cl….I-Cl แรงดึงดูดระหวา่ งข้วั แรงลอนดอน พนั ธะไฮโดรเจน แรงดึงดูดระหวา่ ง แรงดึงดูดระหวา่ ง H โมเลกลุ ไมม่ ีข้วั กบั F,O,N F-F……F-F H-O……….H-O แรงลอนดอน HH พนั ธะ H

46 ### พนั ธะไฮโดรเจน พบใน แอลกอฮอล์ R-OH กรดอนิ ทรยี ์ R-COOH เอมีน R-NH2 H2O, NH3, HF กรดอะมิโน โปรตนี แรงแวนเดอร์วาลส์ = แรงลอนดอน+แรงดึงดูดระหวำ่ งข้วั แรง Van der Waals ขน้ึ กับองค์ประกอบสำคัญ 2 อย่ำง คือ 1. มวลโมเลกลุ ถ้ำมวลโมเลกุลมำกจะมีค่ำมำก ถ้ำมวลโมเลกลุ นอ้ ยจะมีค่ำน้อย หมู่ 8 He < Ne < Ar < Kr < Xe หมู่ 7 F2 < Cl2 < Br2 < I2 2. ระยะทางระหวา่ งโมเลกุล ถำ้ ใกล้มีคำ่ มำก ถำ้ ไกลมีค่ำน้อย ดงั น้นั แรงแวนเดอร์วำลสใ์ น ของแข็ง >ของเหลว > ก๊ำซ ในกรณีของก๊ำซมีแรงนอ้ ยมำก ยง่ิ ถ้ำควำมดันต่ำๆ และอณุ หภมู ิสงู ๆ ถอื วำ่ ไม่ มแี รง 1. สำรในข้อใดเป็นสำรโลหะ 1) FeCl3 2) Fe 3) ฟอสฟอรัส 4) ทงั้ 1)และ 2) 2. ข้อใดเปน็ แรงยึดเหนีย่ วระหว่ำงอนุภำคพวกเดียวกัน 1. พันธะโคเวเลนต์ 2. พนั ธะไฮโดรเจน 3. แรงลอนดอน 4) 1, 2 และ 3 1) 1 และ 2 2) 2 และ 3 3) 1 และ 3

47 3. สำรประกอบในข้อใดต่อไปน้ียดึ เหนีย่ วกันด้วยพนั ธะไอออนิก 1) CH3Br, Na2Cr2O7, NaCl 2) SCO3, K2CO3, NaCl 3) Mg(NO3)2, SrBr2,NaCl 4) BCl3, MgS, CCl4 4. พันธะทเ่ี กดิ จำกเวเลนซอ์ ิเล็กตรอนหลดุ ออกจำกอะตอมคอื พนั ธะใด 1) โลหะ 2) อโลหะ 3) ไอออนกิ 4) โคเวเลนซ์ ชนิด สำรโคเวเลนต สำร สำรโครงผลกึ โลหะ ไอออนิก รำงตำขำย สมบัติ ไมมีขั้ว มขี ้ัว ของแข็ง ของแขง็ ของแข็ง ยกเวนปรอท 1. สถำนะ มีทงั้ กำซ ของ มีทัง้ กำซ เปรำะ เปรำะ เหนยี ว ที่ภำวะปกติ เหลว และ ของเหลว สงู สูง สูง ของแข็ง และของแข็ง ไมนำไฟฟำ มที ั้งนำไฟฟำไดดคี ือ แตหลอม แกรไฟต นำไฟฟำได นำไฟฟำไดยกเว 2. ควำม เปรำะ เปรำะ เหลวนำไฟ บำง เชน ซลิ คิ อน น สถำนะกำซ ฟำได และไมนำไฟฟำ เชน (ไอ) เหนยี ว (ของแขง็ ) (ของแข็ง) เพชร ไมละลำยนำ้ ไมละลำยน้ำแต 3. จุดหลอมเหลว ตำ่ ตำ่ โลหะบำงชนดิ ทำ ปฏิกิรยิ ำกบั น้ำ และจุดเดือด เชน โลหะหมู IA สำรละลำยที่ 4. กำรนำไฟฟำ ไมนำไฟฟำ ไมนำไฟฟำ ไดนำไฟฟำได 5. กำรละลำยน้ำ ไมละลำยน้ำ ละลำยน้ำได มีทงั้ ละลำย และกำรนำไฟฟำ แตสำรละลำยสวน นำ้ ไดและไม ของสำรละลำย ใหญไมนำไฟฟำ ละลำยน้ำ สำรละลำย นำ้ ไฟฟำได

48 การนาไปใช้ประโยชน์ 1. คาชีแ้ จง นำอกั ษรดำ้ นขวำไปเติมหน้ำขอ้ ควำมดำ้ นซ้ำย .....ค....... 1. อะลมู เิ นียม ก. ใชผ้ สมกบั ตะกวั่ เพ่ือทาตะกวั่ บดั กรี ฉาบแผน่ เหล็กเพ่ือทา .....ข....... 2. โครเมยี ม กระป๋ องบรรจุอาหาร ผสมกบั ทองแดงและพลวงไดโ้ ลหะผสม .....ง....... 3. เหล็ก พิวเตอร์ .....จ....... 4. ทองแดง ข. ใชเ้ คลือบผวิ โลหะต่างๆ ใชท้ าโลหะผสมกบั เหล็กที่เรียกวา่ .....ช....... 5. สังกะสี สแตนเลส .....ฉ....... 6. แคลเซยี ม ค. ใชท้ าสายไฟฟ้าท่ีใชศ้ กั ยไ์ ฟฟ้าสูง .....ก....... 7. ดบี กุ ง. ใชท้ าแผน่ เหล็กเคลือบสงั กะสี ใชม้ ุงหลงั คา จ. ผสมกบั สงั กะสีไดท้ องเหลือง ผสมกบั ดีบุกไดท้ องบรอนซ์ ฉ. ใชผ้ ลิตแผน่ ยปิ ซมั บอร์ด ช. สารประกอบออกไซดใ์ ชเ้ ป็นสารเร่งปฏิกิริยาในการผลิตยาง รถยนต์ สารประกอบคลอไรดใ์ ชร้ ักษาเน้ือไมใ้ หค้ งทน

49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook