Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 2/2564

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 2/2564

Published by นายชัยธวัช สมนึก, 2022-07-23 14:14:01

Description: ผลการใช้บทเรียนสำเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นำตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อำเภอแสวงหา ภาคเรียนที่ 2/2564 กศน.อำเภอแสวงหา สำนักงาน กศน.จังหวัดอ่างทอง

Keywords: วิจัยชั้นเรียน,วิจัย,บทเรียนสำเร็จรูปออนไลน์

Search

Read the Text Version

ผลการใชบ้ ทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนร้ดู ว้ ยการชนี้ าตนเอง รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา ชยั ธวชั สมนกึ รายงานวจิ ัยฉบบั น้ปี ระกอบการเรยี นรายวิชา คศ1101104 การจดั การเรียนรู้ หลักสตู รครศุ าสตรมหาบัณฑิต คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เทพสตรี ภาคการศกึ ษาท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564

ผลการใช้บทเรียนสาเร็จรปู ออนไลนต์ ามแนวคดิ การเรียนรดู้ ้วยการช้นี าตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา ชัยธวัช สมนึก ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอแสวงหา สานกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวัดอ่างทอง สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั ภาคการศกึ ษาที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

~ก~ บทคดั ย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตาม แนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน. อาเภอแสวงหา 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ก่อนและหลังการใช้ บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง สาหรับนักศึกษาระดับ ประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่มีต่อบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการ เรยี นรดู้ ้วยการช้ีนาตนเอง แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น และแบบสอบถามความคิดเห็น ทา การวเิ คราะห์ข้อมูลด้วยสถติ ิพนื้ ฐาน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นา ตนเอง รายวชิ าวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น มปี ระสิทธภิ าพเฉล่ยี รวมเท่ากับ 81.3/80.8 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษา มีคะแนนก่อนเรียนเฉล่ีย 27.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 54.8 มีคะแนนหลังเรียนเฉล่ีย 40.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.8 เม่ือวิเคราะห์ เปรียบเทียบความแตกต่างด้วยร้อยละความก้าวหน้าพบว่า นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่า คะแนนเฉลย่ี กอ่ นเรยี น คดิ เปน็ ร้อยละ 26 3. ความเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ท่ีมีต่อบทเรียน สาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างย่ิง ( X = 4.85) เม่ือพิจารณารายข้อพบว่านักศึกษาชอบเรียนด้วยบทเรียน ออนไลน์ มีค่าเฉล่ียสงู สุด ( X = 5.00) รองลงมานกั ศกึ ษาไดเ้ สาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ( X =4.93) ส่วนนกั ศึกษาไดร้ บั ความรู้เหมอื นเรียนกบั ครตู วั จรงิ ( X = 4.67) มีคา่ เฉล่ียตา่ สดุ

~ข~ กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้สาเร็จลุล่วงได้ด้วยความอนุเคราะห์และความเอาใจใส่อย่างดีย่ิงจาก อาจารย์ ดร.ณฐกร ดวงพระเกษ อาจารย์ประจาวิชา ในการให้คาปรึกษาที่เป็นประโยชน์ แนะนา แนวทางในการทาวิจัย ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะทางวิชาการอันทรงคุณค่า เพื่อให้งานวิจัยฉบับนี้มี ความสมบรู ณ์ ผวู้ ิจยั ขอขอบพระคณุ นางสาวณตั ิฐญิ า พรหมทอง นายสมบัติ เกตุถาวร และนางนพวรรณ ศรี เคลอื บ ท่กี รณุ ารบั เป็นผ้เู ชีย่ วชาญ ตรวจและใหข้ ้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขเคร่ืองมือวิจัยท่ีใช้ใน การเก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยความเอาใจใส่เปน็ อย่างดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ นางจิรัชยา เฟ่ือฟูรัตน์ ผู้อานวยการ กศน.อาเภอสามโก้ รักษาการใน ตาแหน่ง ผู้อานวยการ กศน.อาเภอแสวงหา ที่ให้ความอนุเคราะห์สถานท่ีเก็บรวบรวมข้อมูล ขอขอบคุณนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวม ข้อมลู ในการวจิ ยั จนทาให้งานวจิ ยั มคี วามสมบรู ณ์ย่งิ ขน้ึ คุณค่าและประโยชน์ใด ๆ อันจะเกิดจากงานวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเคร่ืองบูชาพระคุณ ของบิดา มารดา ครู อาจารย์ทกุ ทา่ น ทีป่ ระสิทธป์ิ ระสาทวิชาแกผ่ วู้ ิจยั ชยั ธวัช สมนกึ

~ค~ สารบญั บทคัดยอ่ ................................................................................................................................................. ก กิตตกิ รรมประกาศ.................................................................................................................................. ข สารบญั .....................................................................................................................................................ค สารบัญภาพ..............................................................................................................................................ง สารบัญตาราง...........................................................................................................................................จ บทที่ 1 บทนา ....................................................................................................................................... 1 ภูมหิ ลงั ............................................................................................................................................... 1 วตั ถุประสงคข์ องการพฒั นานวัตกรรม................................................................................................ 3 สมมติฐานกาวจิ ัย................................................................................................................................ 3 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ..................................................................................................................... 3 ขอบเขตการวิจยั ................................................................................................................................. 4 ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั ................................................................................................................. 5 นิยามศัพท์.......................................................................................................................................... 5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ ง................................................................................................ 6 แนวคิดทฤษฎีการช้ีนาตนเอง ............................................................................................................. 6 แนวคิดเกี่ยวกบั การสรา้ งบทเรยี นออนไลน์....................................................................................... 10 เทคโนโลยสี อ่ื สงั คม (Social Media)................................................................................................ 12 การเรยี นการสอนผา่ นออนไลน์ ........................................................................................................ 13 ประโยชนก์ ารเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ ................................................................................................. 17 งานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง........................................................................................................................... 20 บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการวจิ ยั ................................................................................................................... 24 กลุม่ เป้าหมาย................................................................................................................................... 24 เคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย................................................................................................................... 24

~ค~ 1. บทเรยี นสาเร็จรูปออนไลนต์ ามแนวคิดการเรยี นรู้ดว้ ยการช้ีนาตนเอง ..................................... 24 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น................................................................................... 25 3. แบบสอบถามความคดิ เห็น ...................................................................................................... 26 การเก็บรวบรวมข้อมลู ...................................................................................................................... 26 การวเิ คราะหข์ อ้ มูล........................................................................................................................... 27 สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู ......................................................................................................... 27 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ............................................................................................................ 30 บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ........................................................................................ 33 วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ........................................................................................................................ 33 ขอบเขตการวิจัย............................................................................................................................... 33 การเก็บรวบรวมข้อมลู ...................................................................................................................... 34 สรปุ ผลการวจิ ยั ................................................................................................................................. 34 อภปิ รายผล....................................................................................................................................... 35 ข้อเสนอแนะ..................................................................................................................................... 37 บรรณานกุ รม........................................................................................................................................ 38

~ง~ สารบญั ภาพ ภาพ 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย..................................................................................................................4 ภาพ 2 The Personal Responsibility Orientation : (PRO) Model................................................8

~จ~ สารบัญตาราง ตาราง 1 แสดงค่าร้อยละของคะแนนจากการตอบคาถามท้ายหน่วย และคะแนนจากการ ทดสอบหลงั เรยี น........................................................................................................................... 30 ตาราง 2 แสดงคะแนนเฉล่ีย ร้อยละ และร้อยละความก้าวหน้าจากกลุ่มเป้าหมายในการ ทดสอบประสทิ ธภิ าพ..................................................................................................................... 31 ตาราง 3 แสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และแปลความหมายของนักศึกษาระดับ ประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่มตี ่อบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วย การช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์............................................................................................. 31

~1~ บทที่ 1 บทนา ภูมิหลัง ปัญหาด้านการศึกษาสาหรับบุคคลที่ใช้เวลากับการประกอบอาชีพ ทาการงาน หรือมีภารกิจ ต่าง ๆ ส่งผลให้การเรียนรู้แบบปกติไม่สามารถทาได้ มีนักวิชาการศึกษาเสนอแนวคิดสาหรับการจัด การศึกษาผใู้ หญ่ที่แตกต่างจากเด็ก มกี ารศึกษาค้นคว้ามานานตง้ั แตศ่ ตวรรษที่ 20 โดย มัลคอล์ม โนลล์ นักวิชาการด้านการศึกษาผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นทฤษฎีเบ้ืองต้นสาหรับการจัดการศึกษาผู้ใหญ่ ผลจากทฤษฎี เบ้ืองต้นก่อให้เกิดแนวคิดด้านการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง โดยแนวคิดท้ังสองสนับสนุนการเรียนรู้ให้ เกดิ ขน้ึ ในตวั ผูเ้ รยี นวัยผ้ใู หญ่ รวมท้งั แนวคดิ ท้ังสองยังมีส่วนสาคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตใน เวลาต่อมา การเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเองได้เน้นท่ีความเป็นอิสระส่วนบุคคล และความรับผิดชอบ ตนเองในการเรียนรู้ ซงึ่ เป็นพื้นฐานของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา นักการศึกษาต่างยอมรับว่าผู้เรียน ท่ีมีความใฝ่รู้และพยายามท่ีจะเรียนรู้ในส่ิงท่ีตนสนใจ เป็นลักษณะของผู้เรียนท่ีมีการขี้นาตนเองในการ เรียนรู้ ซึ่งจะสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าผู้เรียนที่เรียนโดยการชี้นาจากผู้อื่น นักการศึกษาจึงให้ความสาคัญ กับการเรียนแบบนาตนเอง (ปิยะ ศกั ด์ิเจริญ, 2558) โนลส์ (Knowles) ได้กล่าวถึง ความสาคัญและประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเองไว้ ว่า บุคคลท่ีเรียนรู้ด้วยการริเริ่มของตนเองจะเรียนได้มากกว่า ดีกว่า มีความตั้งใจมีจุดมุ่งหมายและมี แรงจูงใจสูงกว่า สามารถนาประโยชน์จากการเรียนรู้ไปใช้ได้ดีกว่าและยาวนานกว่าคนท่ีเรียนรู้โดยเป็น แต่เพียงผู้รับหรือรอการถ่ายทอดจากผู้สอนเท่าน้ัน นอกจากน้ี การเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเองยัง สอดคล้องกับพฒั นาการทางจิตวิทยาและกระบวนการทางธรรมชาติที่วา่ เมื่อบคุ คลเติบโตขึ้นบุคคลจะมี ความต้องการทางจิตวิทยาที่เป็นตัวของตัวเองสูงขึ้น เริ่มพัฒนาความสามารถในการรับผิดชอบตนเอง มากข้นึ เรื่อย ๆ ทาให้บุคคลมีทศิ ทางของการบรรลวุ ฒุ ภิ าวะจากลกั ษณะหนงึ่ ไปสอู่ ีกลักษณะหนึ่ง ซ่ึงเป็น การพฒั นาไปสูก่ ารชี้นาตนเอง (Self-Directing) เพ่ิมมากข้นึ รวมไปถึงการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเองทา ให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นลักษณะที่สอดคล้องกับพัฒนาการใหม่ ๆ ทางการศึกษา เช่น หลักสูตรห้องเรียนแบบเปิด ศูนย์บริการวิชาการ การศึกษาอย่างอิสระ มหาวิทยาลัยเปิด ล้วนเน้นให้ ผู้เรียนรับผิดชอบการเรียนรู้เองส่ิงสาคัญประการสุดท้ายของการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง คือ การทา ใหม้ นษุ ย์อยู่รอดในทุกสภาพแวดลอ้ ม เพราะสงั คมในยุคปจั จุบนั มีความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เกิดข้ึนเสมอ ทาให้มีความจาเป็นที่จะต้องศึกษาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเองจึงเป็น กระบวนการเรียนรู้ทีต่ ่อเนือ่ งตลอดชวี ติ การศึกษาตลอดชีวิตถูกนามาเป็นแนวคิดหลักของการศึกษาของโลกในปัจจุบัน ถ้าสังคมใด ประเทศใดจัดการศึกษาให้เป็นกระบวนการต่อเน่ืองตลอดชีวิตได้ ก็นับว่าเป็นการพัฒนาท้ังบุคคลและ

~2~ ประเทศชาติ โดยรวม การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต หมายถึง การมีทักษะการเรียนรู้พร้อม พัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต รู้วิธีหาความรู้และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ได้อย่างถูกต้อง รวมทง้ั สามารถถา่ ยทอดความรู้ไปยงั ผ้อู ื่นได้ ด้วยยุคสมัยในปัจจุบันที่สังคมโลกมีการเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเร็ว บุคคลต้องใช้เวลากับการประกอบอาชีพ ทาการงาน และมีภาระต่าง ๆ มากมายในการดาเนิน ชวี ิตทาใหม้ ีเวลาวา่ งน้อยลง โอกาสท่บี คุ คลจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเตมิ โดยการศึกษาหาความรู้จากแหล่ง การเรยี นรู้จึงอาจไม่สะดวก เพราะมีข้อจากัดในดา้ นเวลาและสถานท่ี การจดั เรียนการเรยี นรทู้ างออนไลนใ์ นยุคดิจิทัล เปน็ นวัตกรรมทางการศึกษาที่เปล่ียนแปลงวิธี เรยี นทเ่ี ปน็ อยู่เดิมเปน็ การเรียนที่ใช้เทคโนโลยี ที่ก้าวหน้าสาหรับการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ซ่ึงการสอนแบบ ออนไลน์ มอี งคป์ ระกอบ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เน้ือหา สื่อการเรียนและแหล่งเรียนรู้กระบวนการจัดการ เรียนรู้ ระบบการติดต่อส่ือสาร ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและการประเมินผล โดย รูปแบบการเรียนการสอนมีหลากหลายวิธีท่ีจะทาให้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้ การ พิจารณาองค์ประกอบและรูปแบบ ท่ีสอดคล้องเหมาะสมกับลักษณะวิชา และบริบทของผู้เรียนจะ นาไปสกู่ ารจดั การเรียนรู้ทางออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงพ้ืนท่ีการเรียนรู้เป็นเร่ือง ทเ่ี ห็นไดช้ ัดเจนท่ีสดุ ดว้ ยเทคโนโลยใี นปจั จบุ นั และนวตั กรรมที่สร้างสรรค์คอนเทนต์ (Content) อานวย ความสะดวกการสอนได้แคป่ ลายน้วิ ทาให้เราสามารถเรยี นรู้ทุกเน้อื หาได้จากทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เพ่ือ ไปสู่เป้าหมายเดียวกันในการเรียนรู้วิถีใหม่ (New Normal) บทเรียนออนไลน์จึงเป็นแหล่งเรียนรู้มา ตอบสนองความต้องการน้ีควบคู่กับไปกับเทคโนโลยี ผู้ที่นาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตมา พัฒนาสร้างสรรค์สื่อในการเรียนการสอน ต้องมีการดาเนินการอย่างจริงจัง และพัฒนาอย่างต่อเน่ือง มี ความปรารถนาท่ีจะให้อย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และนา ความรู้มาใช้ในการ ดารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกได้ในที่สุด (อาภาพร กลน่ิ เทศ, 2564) ผู้ศึกษาจึงเลือกพัฒนาบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีไม่สามารถเรียนรู้ในรูปแบบพบกลุ่ม ณ สถานที่เรียนได้ โดยอาศัย ระบบการตดิ ตอ่ ส่อื สาร และระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการจัดการเรยี นการสอนแบบ ออนไลนอ์ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ ครูมีหนา้ ท่ีคอยส่งเสริม สนับสนุนใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้ในกระบวนการ เปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ รวมไปถงึ ทักษะ พฤติกรรม ค่านิยม และทัศนคติ ผ่านบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ท่ี สามารถเรียนรู้ได้ทุกท่ี ทุกเวลา ตอบสนองผเู้ รียนวยั ทางานที่มเี วลาว่างน้อย

~3~ วตั ถปุ ระสงค์ของการพฒั นานวัตกรรม 1. เพ่ือศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนา ตนเอง รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั ศึกษาระดบั ประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา 2. เพ่ือเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ก่อนและหลังการใช้บทเรียน สาเรจ็ รูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน. อาเภอแสวงหา 3. เพือ่ ศึกษาความคิดเหน็ ของนกั ศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่มตี ่อบทเรียน สาเร็จรปู ออนไลนต์ ามแนวคิดการเรยี นร้ดู ว้ ยการชี้นาตนเอง รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ สมมตฐิ านกาวจิ ัย 1. บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนกั ศกึ ษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. นกั ศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหาท่เี รียนจากบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตาม แนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน. อาเภอแสวงหา มผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสูงขึน้ 3. นักศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหาทเี่ รียนจากบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตาม แนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน. อาเภอแสวงหา มีความคดิ เห็นในระดับเหน็ ด้วยอย่างยง่ิ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั จากอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบพบกลุ่มท่ีผู้เรียนไม่สามารถมาเรียน ในรูปแบบพบกลุ่มได้ การพัฒนาบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา จะช่วยแก้ปัญหา ความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่จากัดเวลาเรียน ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ด้วยตนเองได้ทันที (พระเจริญพงษ์ วิชัย, พระมหาสาททร บุญชูยะ, พระมหาถนอม พิมพ์สุวรรณ์, สายน้าผึ้ง รัตนงาม, และคีตา องอาจ, 2564) ทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น อีกท้ังยังเป็น แรงจูงใจทจ่ี ะช่วยให้นกั ศึกษาเกดิ การเรียนรู้ อยากที่จะเรียนรู้และใฝ่เรียนรู้ ด้วยเหตุน้ีผู้วิจัยจึงมีแนวคิด ทจี่ ะนาบทเรียนสาเรจ็ รปู ออนไลนม์ าใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ก้าวทันเทคโนโลยีและเรียนวิชาวิทยาศาสตร์อย่างมีความสุข ได้รับความรู้ และมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสงู ขน้ึ

~4~ ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม บทเรยี นสาเรจ็ รูปออนไลน์ตามแนวคิด 1. ประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นออนไลน์ การเรียนรดู้ ้วยการชน้ี าตนเอง สาหรบั สาเรจ็ รูป นกั ศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษา กศน. 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 3. ความคิดเห็น อาเภอแสวงหา ภาพ 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ขอบเขตการวิจยั 1. ขอบเขตดา้ นกลุ่มเป้าหมาย นักศึกษาระดับประถมศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน 6 คน 2. ขอบเขตดา้ นเนอื้ หา เนื้อหาทใี่ ชใ้ นการวิจยั ประกอบดว้ ย บทที่ 1 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี บทท่ี 2 สิง่ มชี วี ติ และสิง่ แวดล้อม บทที่ 3 สารเพือ่ ชวี ิต บทที่ 4 แรงและพลังงานเพอื่ ชีวติ บทที่ 5 ดาราศาสตร์เพ่อื ชีวติ 3. ขอบเขตดา้ นพื้นที่ และระยะเวลา พื้นท่กี ารพฒั นาบทเรียนออนไลน์สาเร็จรูปผ่าน Google Site โดยเผยแพร่ให้นักศึกษาผ่าน ช่องทางติดต่อส่ือสาร Line กลุ่มประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา และ Facebook page : กศน. อาเภอแสวงหา จงั หวดั อ่างทอง ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 4. ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรตน้ บทเรียนสาเรจ็ รปู ออนไลนต์ ามแนวคิดการเรียนรูด้ ว้ ยการช้ีนาตนเอง ตัวแปรตาม ประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นออนไลน์สาเร็จรปู ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ความคดิ เหน็

~5~ ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รับ 1. นกั ศกึ ษาระดบั ประถมศึกษาท่ีไม่สามารถมาเรียนรู้แบบพบกลุ่ม สามารถเกิดการเรียนรู้ผ่าน บทเรยี นสาเรจ็ รปู ออนไลนต์ ามแนวคดิ การเรยี นรู้ดว้ ยการชีน้ าตนเอง 2. นักศึกษาระดับประถมศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ ได้พัฒนาความรู้ และทักษะการการ เรียนรวู้ ถิ ใี หม่ (New Normal) จนมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นสูงข้ึน 2. สถานศกึ ษามีนวตั กรรมใหม่ ๆ ในการตอ่ ยอดเพือ่ พัฒนาการเรยี นรู้ของนกั ศึกษาเพ่ิมขึ้น 3. สถานศกึ ษาเปน็ ที่ร้จู ักของบุคคลภายนอก หน่วยงานต่าง ๆ และชมุ ชนเพม่ิ ข้ึน นิยามศพั ท์ บทเรยี นสาเรจ็ รูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรยี นรูด้ ้วยการชนี้ าตนเอง หมายถึง บทเรียนที่ผู้วิจัย จัดทาขึ้น เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ในรายวิชา วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา โดยลาดับเน้ือหาตามตัวช้ีวัด เป็นบทเรียนที่สร้างข้ึนด้วยโปรแกรม Google Site, Google form, Youtube ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสาเร็จท่ีได้รับจากกิจกรรมการเรียน การสอนผ่านบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง เป็นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับ ประถมศกึ ษา ความคิดเห็น หมายถึง การแสดงออกด้าน ความรู้สึกต่อส่ิงหนึ่งสิ่งใดเป็นความรู้สึกเช่ือถือ ท่ีไม่อยู่บนความแน่นอนหรือความจริง แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจบุคคล จะแสดงออกโดยมีข้ออ้าง หรือการแสดงเหตุผลสนับสนุน หรือปกป้องความคิดนั้น ความคิดเห็นบางอย่างเป็น ผลของการแปล ความหมายของขอ้ เทจ็ จรงิ ซึ่งข้นึ อย่กู บั คุณสมบัตปิ ระจาตวั ของแตล่ ะบคุ คล

~6~ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กยี่ วข้อง ในการวิจัยเร่ือง ผลการใช้บทเรียนออนไลน์สาเร็จรูป สารับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ผู้วิจัยได้ทบทวนวรรณกรรม เอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ดังต่อไปน้ี 1. แนวคดิ เก่ียวกบั การสร้างบทเรียนออนไลน์ 2. เทคโนโลยสี ่อื สังคม 3. การเรยี นการสอนผ่านออนไลน์ 4. ประโยชนก์ ารเรียนการสอนผ่านเว็บ แนวคิดทฤษฎีการช้ีนาตนเอง Knowles (1975) ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบช้นี าตนเองว่า เปน็ กระบวนการท่ีบุคคลคิด ริเริ่มเอง ในการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ กาหนดจุดมุ่งหมาย เลือกวิธีการเรียนจนถึงการ ประเมินความก้าวหนา้ ในการเรยี นรู้ ท้งั นี้โดยได้รบั หรอื ไมไ่ ด้รบั การชว่ ยเหลอื จากผูอ้ ่นื ก็ตาม Knowles (1975) ให้ข้อคิดเก่ยี วกับการเรยี นรู้โดยการชีน้ าตนเอง สามารถสรุปไดด้ งั น้ี 1. ผทู้ เ่ี รม่ิ เรยี นรดู้ ้วยตนเอง จะเรียนรู้ได้มากกว่าและดีกว่าผู้ท่ีรอรับจากผู้อ่ืน ผู้เรียนท่ี เรียนรู้โดยชี้นาตนเองจะเรียนอย่างตั้งใจ อย่างมีจุดมุ่งหมายและอย่างมีแรงจูงใจสูง นอกจากนั้นยังใช้ ประโยชน์จากการเรยี นรไู้ ด้ดกี วา่ และยาวนานกว่าผูท้ ีร่ อรับความรู้ 2. การเรียนรู้โดยช้ีนาตนเอง สอดคล้องกับการจิตวิทยาพัฒนาการ กล่าวคือ เด็กตาม ธรรมชาติต้องพึ่งพิงผู้อ่ืนและต้องการผู้ปกครองปกป้องเล้ียงดูและตัดสินใจแทน เม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ พัฒนาขึ้นให้มคี วามอสิ ระ พึง่ พงิ จากภายนอกลดลง และเปน็ ตัวเองจนมีคุณลักษณะการช้ีนาตนเอง 3. นวัตกรรมใหม่ รูปแบบของกิจกรรมการศึกษาใหม่ เช่น ห้องเรียนแบบเปิดศูนย์ การเรียนรู้ independent study เป็นต้น เป็นรูปแบบของกิจกรรมการศึกษาท่ีเพ่ิมบทบาทของ ผ้เู รียน ให้ผูเ้ รยี นรบั ผิดชอบกระบวนการเรียนร้ขู องตนเองเพ่ิมมากขน้ึ ในลกั ษณะเรยี นรโู้ ดยชนี้ าตนเอง เพ่มิ มากข้ึน 4. การเรียนรู้โดยชี้นาตนเองเป็นลักษณะการเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ตาม สภาพความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนตลอดเวลาและทวีความรวดเร็วมากข้ึน ตามความก้าวหน้าของ เทคโนโลยี การเรยี นรโู้ ดยการช้ีนาตนเองเป็นกระบวนการต่อเนือ่ งตลอดชวี ิตของมนุษยโ์ ลก

~7~ Brockett & Hiemstra (1991) สรุปประเด็นท่ีอาจยังมีผู้เข้าใจผิดพลาด เกี่ยวกับแนวคิดการ เรยี นรโู้ ดยชน้ี าตนเอง ดงั น้ี 1. การช้ีนาตนเองเป็นคุณลักษณะท่ีมีอยู่ในทุกคน เพียงแต่จะมีมากหรือน้อย เท่านนั้ ข้ึนอยู่กบั สถานการณก์ ารเรียนรู้ 2. เรียนรู้เป็นหลักใหญ่และเป็นผู้ที่ตัดสินใจวางแผนและเลือกประสบการณ์การ เรียนรู้ การดาเนินการตามแผนการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ ท้ังหมดนี้อาจเกิดขึ้นตาม ลาพงั หรือเกิดในกลมุ่ ผู้เรยี นกลมุ่ เล็กหรือกล่มุ ใหญ่ที่ผเู้ รยี นจะรว่ มรบั ผดิ ชอบในการเรียนรูข้ องเขา 3. คาวา่ การชีน้ าตนเองในการเรียนรู้ หรอื การเรียนรโู้ ดยการช้นี าตนเอง จะเนน้ ความ รับผิดชอบของผู้เรียนและเชื่อในศักยภาพท่ีไม่สิ้นสุดของมนุษย์ (never-ending potential of human) 4. การช้ีนาตนเองในการเรียนรู้ ก่อให้เกิดผลด้านบวกของการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น ผเู้ รยี นจดจาได้มากขน้ึ เกิดความสนใจในการเรยี นรูอ้ ยา่ งตอ่ เนื่องและสนใจในเนอื้ หามากขึ้น มีทัศนคติท่ี เป็นบวกตอ่ ผูส้ อนมากข้นึ มนั่ ใจในความสามารถเรียนรู้ไดข้ องตนเองมากข้นึ 5. กิจกรรมการเรียนรู้โดยการช้ีนาตนเองมีหลากหลายรู้แบบ เช่น การอ่าน การ เขียน การเสาะหาความรู้โดยการสัมภาษณ์ การศึกษาเป็นกลุ่ม ทัศนศึกษา การแลกเปล่ียนความ คิดเห็นกับผู้เช่ียวชาญหรือผู้สอน การหาความรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งการเรียนจาก ส่ือ เช่น ชุดการเรียน โปรแกรมการเรียน โปรแกรมการเรียนของคอมพิวเตอร์ รวมทั้งส่ือช่วยการ เรียนรูใ้ นรูปอนื่ ๆ เปน็ ต้น 6. ในการเรียนรู้โดยการชี้นาตนเองที่ประสบผลสาเร็จ ผู้อานวยความสะดวกจะต้อง มีบทบาทในการร่วมปรึกษา แลกเปล่ียนความคิด เป็นแหล่งความรู้ตามท่ีผู้เรียนต้องการ มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้เรียน มีส่วนร่วมในการถ่ายโอนบทบาทการเรียนการสอนและสนับสนุนให้ ผู้เรยี นคิดอย่างแตกฉาน (critical thinking) 7. บทบาทการเรียนการสอนและสนับสนุนให้ผู้เรียนคิดอย่างแตกฉาน (critical thinking) การเรียนร้โู ดยการชีน้ าตนเองสามารถเกดิ ขน้ึ ได้ในประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่จากัดพียง กล่มุ ใด เช้ือชาตใิ ดเท่านั้น 8. หากผู้สอนให้ความไว้วางใจแก่ผู้เรียน ผู้เรียนส่วนใหญ่จะเรียนรู้อย่างเต็มที่และ ทุ่มเทในการเรยี นรุ้เพือ่ คุณภาพ 9. การเรียนรู้โดยการชี้นาตนเอง ไม่สามารถแก้ปัญหาในการเรียนรู้ได้ทุกปัญหา ใน บางกรณีอาจมขี ้อจากัดบ้าง เชน่ ในบางสงั คมและวฒั นธรรม

~8~ องค์ประกอบของการเรียนรโู้ ดยชน้ี าตนเอง Ralph G. Brockett and Roger Hiemstra ได้เสนอองค์ประกอบเพื่อความเข้าในในกรอบ แนวคิดของการชี้นาตนเองในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Self-Direction in Adult Learning) โดยเรียนว่า The PRO Model : The Personal Responsibility Orientation โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ ภาพ 2 The Personal Responsibility Orientation : (PRO) Model 1. ความรับผิดชอบในตัวบุคคล (personal responsibility) หมายถึง การกระตุ้น เพ่อื ให้เกิดความตระหนักในความจะเป็นท่ีจะต้องมีการเรียนรู้ และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ ในตนเองในการที่จะตัดสินใจเรียนรู้ การวางแผนการเรียนรู้ การดาเนินงานและการประเมินตนเองใน การเรยี นรู้ 2. ผู้เรียนที่มีลักษณะชี้นาตนเอง (learner self-direction) หมายถึง คุณลักษณะ เฉพาะตัว หรือบุคลิกภาพของผู้เรียนที่เอ้ือและสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้โดยการชี้นาตนเอง ซึ่งเป็น ลกั ษณะเฉพาะท่ีเกิดจากภายในตัวของผู้เรียนเอง 3. ผู้เรียนที่มีลักษณะชี้นาตนเอง (learner self-direction) หมายถึง คุณลักษณะ เฉพาะตัว หรือบุคลิกภาพของผู้เรียนที่เอ้ือและสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้โดยการช้ีนาตนเอง ซ่ึงเป็น ลกั ษณะเฉพาะที่เกิดจากภายในตัวของผู้เรยี นเอง 4. การเรียนรู้โดยการช้ีนาตนเอง (self-directed learning) หมายถึง กิจกรรมที่ เกิดขึ้นในการเรียนรู้โดยการช้ีนาตนเอง ซึ่งอาจเกิดจากการจัดการของผู้สอน หรือการวางแผนการ เรียนรู้ของผูเ้ รยี นเอง แต่ความสาคัญของผู้สอนน้นั จะเปน็ เพยี งผู้คอยช่วยเหลือ เสนอแนะ แนะนาหรือ อานวยความสะดวกในการเรียนรู้เท่านั้น ส่วนการดาเนินกิจกรรมการเรียนท้ังหมดน้ันจะเป็นการ ดาเนนิ การโดยผู้เรียนทง้ั ส้นิ 5. ปัจจัยแวดล้อมทางสังคม ( The Social Context )หมายถึง การคานึงถึง สภาพแวดล้อมทางสังคมของผู้เรียนซ่ึงผู้เรียนยังคงสภาพความเป็นอยู่จริงในสังคม เช่น สภาพ ครอบครัว การทางาน ส่ิงแวดลอ้ ม ฯลฯ

~9~ กระบวนการเรียนรโู้ ดยการชนี้ าตนเอง Knowles (1975) ได้อธิบายถึงกระบวนการของการช้ีนาตนเอง (self – direction) ว่า ประกอบด้วย 1. เกดิ จากความริเร่ิมในตวั ของบุคคลโดยจะมีความช่วยเหลอื จากคนอ่ืนหรอื ไม่ก็ตาม 2. วเิ คราะหค์ วามต้องการในการเรยี นรู้ 3. คิดวิธีการในการเรยี นรเู้ พือ่ ไปยังจดุ มงุ่ หมาย 4. เลอื กแหลง่ ทรัพยากรเพอื่ การเรียนรู้ 5. เลือกและดาเนินการตามวธิ ีการและยุทธศาสตรใ์ นการเรียนรู้ 6. ทาการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ รปู แบบการเรียนรโู้ ดยการชี้นาตนเอง กริฟฟิน (Griffin, 1983: 153) ได้แบ่งรูปแบบการเรียนรู้โดยการช้ีนาตนเองออกเป็น 5 รูปแบบดงั น้ี 1. รปู แบบการเรียนร้โู ดยใช้สัญญาการเรียนรู้ (learning contract) เป็นเคร่ืองในการ เรียนด้วยตนเองตามแนวความคิดการเรียนเป็นกลุ่มของโนลส์ (the Knowles group learning stream) 2. รูปแบบการใช้โครงการเรียนรู้ (learning project) เป็นตัวบ่งชี้การมีส่วนในการ เรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเองตามแนวคิดโครงการเรียนแบบผู้ใหญ่ของทัฟ (the Tough adult learning project stream) 3.รูปแบบการใช้บทเรียนสาเร็จรูป (individualized program instruction) ตาม แนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner) แต่เป็นการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการนาของครู (teacher-directed learning) 4. รูปแบบที่ไม่ใช่การจัดการเรียนการสอนทั่วไป (non-traditional institutional) ได้แก่กลุ่มผู้เรียนท่ีเรียนโดยสมัครใจ หวังท่ีจะได้ความรู้ เช่น การศึกษาท่ีจัดขั้นสาหรับบุคคลภายนอก ให้ไดร้ ัยประกาศนยี บัตร การศึกษาที่เปน็ หน่วยประสบการณ์ชวี ติ เปน็ ตน้ 5. รูปแบบการเรยี นรูป้ ระสบการณช์ วี ติ (experiential learning) เบาวด์ (Boud, 1982: 12) ได้สรปุ รปู แบบการเรียนรโู้ ดยการช้ีนาตนเองไว้ว่ามี 5 รปู แบบดงั น้ี 1. การเรียนรู้แบบใช้สัญญาการเรียนรู้ (learning contracts) การเรียนแบบน้ีผู้เรียน วางแผนโดยเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งวิธีการวัดประเมินผลซึ่งจะมีการตรวจสอบความ ถูกต้องของผลงานกับเปา้ หมายทกี่ าหนดไว้ในสญั ญาจากผู้ร่วมงาน

~ 10 ~ 2.การเรียนแบบการทางานตัวต่อตัว (one-to-one learning) การเรียนแบบน้ีผู้เรียน ทางานเป็นคูช่ ่วยอานวยความสะดวกซึง่ กนั และกันในการทางาน 3.การเรียนแบบวางแผนการทางานโดยผู้เรียน (student planned courses) การ เรยี นแบบนนี้ ักเรยี นทางานเปน็ กลมุ่ ในการริเร่ิมโครงการและนาส่กู ารปฏิบัติ 4.การเรยี นแบบมีระบบสนับสนุนจากเพ่ือน (peer support systems) การเรียนแบบ นผ้ี เู้ รยี นทเ่ี รมิ่ ใหมไ่ ด้รบั ความช่วยเหลือจากผเู้ รยี นทีม่ ปี ระสบการณ์มากกว่า 5.การเรียนแบบร่วมมือกันประเมิน (collaborative assessment) การเรียนแบบนี้ ผ้เู รียนร่วมมอื กันกาหนดเกณฑ์ในการประเมนิ และตดั สินผู้เรยี นดว้ ยกัน โกรว์ (Grow, 1991: 144-145) เสนอรูปแบบการเรียนรู้โดยการช้ีนาตนเองตามขั้นตอน (staged self-directed learning model: SSDL) ไว้โดยมีขัน้ ตอน 4 ขัน้ ได้แก่ 1. ครนู าโดยการชักจงู อธิบาย หรอื ใหล้ องฝึกหัด 2. ครูจูงใจให้ผู้เรียนสนใจโดยการบรรยาย การอภิปรายโดยครูเป็นผู้นา ให้ ต้ังเปา้ หมายและกาหนดกลยุทธวธิ ีการเรยี น 3. นักเรียนเรียนโดยครูเป็นผู้อานวยความสะดวกในการเรียน อภิปรายกลุ่ม หรือจัด สมั มนา 4. นักเรยี นชี้นาตนเองโดยครูเปน็ ทป่ี รึกษา ทาไดโ้ ดยการลองฝึกด้วยตนเอง เช่น การ ฝึกงาน การคน้ คว้า การทางานรายบุคคล หรืองานกลุ่ม แนวคิดเกี่ยวกับการสรา้ งบทเรียนออนไลน์ ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มเี ทคโนโลยีตา่ งๆ เกดิ ขึ้นมากมาย เพื่อช่วยอานวยความสะดวก รวมท้ังให้ ความบนั เทงิ หรือแม้กระทงั่ การเช่ือมต่อกนั เปน็ เครือข่าย โดยทท่ี ุกคนทวั่ โลกสามารถเปน็ เพอ่ื กนั พบปะ พูดคุยกันได้ตลอดเวลา เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ต กับอุปกรณ์สาหรับเช่ือมต่อ เช่น คอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือ ทาให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ไม่จาเป็นท่ีจะต้องเดินทางไป พบปะกันโดยตรง ถา้ พดู ถงึ คาวา่ Social Media หรือ Social Network ในปจั จบุ นั หลายคนอาจจะสงสัยว่าสิง่ เหล่านี้คืออะไร แต่ถ้าพูดถึง Hi5 , Facebook, Twitter , Blog , Youtube ฯลฯ เชื่อว่าหลายคนคงจะ ปฏิเสธไม่ได้ท่ีจะไม่รู้จัก ย่ิงโดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือเยาวชนท่ีอยู่ในระหว่างการศึกษาเล่าเรียน คงจะ คุ้นเคยกนั เปน็ อย่างดี ซึ่งสิง่ เหล่านี้ (Facebook, Twitter , Blog , Youtube ฯลฯ) ทีถ่ กู เรยี กว่า Social Media หรือ Social Network ดังน้ันถ้าจะให้ความหมายของคาว่า Social Media หรือ Social Network นน้ั จะไดว้ า่

~ 11 ~ Social Media หมายถึง สังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้เป็นผู้สื่อสาร หรือเขียนเรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวีดีโอ ท่ีผู้ใช้เขียนขึ้นเอง ทาขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่ออ่ืน ๆ แล้วนามาแบ่งปัน ให้กับผู้อื่นท่ีอยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการบนโลกออนไลน์ ปัจจบุ นั การส่ือสารแบบนีจ้ ะทาผ่านทาง Internet และโทรศัพทม์ อื ถือเทา่ นั้น กอบวิทย์ พิริยะวัฒน์ (2553) ได้กล่าวว่า ปัจจุบัน Social Media ได้กลายเป็นเครื่องมือท่ี สาคัญในการสรา้ งให้เกิดเป็นเครือข่ายเช่ือมโยงกันในโลกออนไลน์ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถใช้เป็น ชอ่ งทางในการเขา้ ถงึ กลุ่มเปา้ หมายไดง้ า่ ยและสะดวกรวดเร็ว ซง่ึ จะทาใหเ้ กดิ ประโยชน์อย่างมาก โดยไม่ เสียคา่ ใชจ้ ่ายในการซอื้ ลิขสิทธแ์ิ ตอ่ ย่างใด ดังนน้ั การนาเทคโนโลยี Social Media มาใช้เป็นเคร่ืองมือ ในการจัดการเรียนการสอนจะเป็นการผลักดันบุคลากรครูให้ก้าวทันเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันและ สามารถเข้าถึงเยาวชนยุคใหม่ได้อย่างทันท่วงที ซ่ึงจะทาให้เกิดระบบ Community แห่งการเรียนรู้บน เครอื ขา่ ยอนิ เตอร์เน็ต ทม่ี ีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้สอนกับผู้สอน ผู้สอนกับนักเรียน และนักเรียนกับ นักเรียน ที่มีการแบ่งปันความรู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน รวมท้ังส่งเสริมให้มีการศึกษาตาม อัธยาศัย ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2545 ท่ีจดั การศกึ ษาต้องยดึ หลกั ว่านกั เรยี นทุกคนมคี วามสามารถเรียนร้แู ละพฒั นาตนเองได้ และถือว่า นกั เรียนมีความสาคญั ทส่ี ุด โดยกระบวนการจดั การเรยี นการสอนต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ( สานักงานการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน, 2545 ) และสอดคล้องกับหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน2551 ที่มุ่งพัฒนาการเรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ โยให้ เกิดสมรรถนะสาคัญข้อท่ี 5 คือ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซ่ึงเป็นความสามารถในการเลือกใช้ เทคโนโลยีต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการ เรียนรู้ การสื่อสาร การทางานและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) โดยการนักเรียนจะสามารถก้าวสั่งคมการเรียนรู้ได้น้ัน จาเป็นอย่างย่ิงท่ี จะตอ้ งทีพ้ืนฐานท่ีเหมาะสม และผ้ทู เี่ ก่ยี วข้องทั้งหลายจะตอ้ งชว่ ยกนั สรา่ งพ้ืนฐาน ตลอดจนปัจจยั ตา่ ง ๆ ให้พร้อมท่ีจะสร้างสังคมแหล่งความรู้ข้ึนได้ พื้นฐานและปัจจัยสาคัญอย่างหน่ึงท่ีจะช่วยก้าวไปสู่สังคม แห่งการเรียนรู้ได้ คือ ครู อาจารย์ และสงั คมการศกึ ษา สถาบนั การศึกษาจะตอ้ งปรบั ปรุงการเรยี นรู้ของ ครู อาจารย์ และส่งเสริมการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และสร้างนิสัยในด้านการใฝ่รู้ และรักความรู้ให้เกดิ ข้ึนกบั เยาวชน (ครรชิต มาลยั วงศ์ และคณะ, 2544) จะเห็นได้ว่าการใช้บทเรียนออนไลน์ ในการจัดการเรียนการสอนทจะช่วยให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และปลูกฝังใหน้ ักเรียนร้จู กั การใช้เทคโนโลยใี หเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อการเรียนรู้ อีกทั้งยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในเชิงสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดการทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ และ สังเคราะห์ของนักเรยี นใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพอีกดว้ ย และยอ่ มส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นแน่นอน

~ 12 ~ เทคโนโลยสี อ่ื สงั คม (Social Media) Wordpress หมายถึง โปรแกรมสาเร็จรูปตัวหนึ่ง ท่ีเอาไว้สาหรับสร้างบล็อก หรือ เว็บไซต์ สามารถใชง้ านไดฟ้ รี ถูกจัดอยู่ในประเภท CMS (Contents Management System) เฟชบุ๊ก (Facebook) เป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมสาหรับติดต่อแลกข้อมูลข่าวสาร เปิดใช้งาน เมอ่ื 4 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2547 โดย มารก์ ซกั เคอรเ์ บริ ก์ นกั ศึกษาจากมหาวิทยาลยั ฮารเ์ วิรด์ ในชว่ งแรก นั้นเฟชบุ๊กเป็นให้ใช้งานเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ซ่ึงต่อมาได้ขยายตัวออกไปสาหรับ มหาวทิ ยาลัยทว่ั สหรัฐอเมริกา และต้ังแต่ 11 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้ขยายมาสาหรับผู้ใช้ทั่วไปทุกคน เหมอื นในปจั จบุ ัน ( www, 2010 ) หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเฟชบุ๊กนามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างไร ซ่ึงจะขอ อธิบายว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Social Media นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้ Facebook เปน็ เครอ่ื งมอื หลักในการจัดการเรียนการสอน แต่จากสภาพสังคมในปัจจุบันที่เยาวชนหรือ นักเรยี นสว่ นใหญ่ สามารถเขา้ ถึงอนิ เตอรเ์ นต็ ได้น้ัน ทาให้หลายคนมีการใช้เฟชบุ๊กอยู่เป็นประจาอยู่แล้ว ซึ่งจากปัญหาที่พบก็คือนักเรียนให้ความสนใจกับเฟชบุ๊กมากเกินไป เช่น ใช้ในการพูดคุยกับเพ่ือน เล่ม เกม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงรูป และวีดีโอของตนเอง เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่าน้ีเป็น กจิ กรรมทีไ่ ม่กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนห์ ากใช้เวลามากเกนิ ไป หรืออาจเรยี กไดว้ ่านักเรยี นมีความหมกมนุ่ กบั ส่ิง เหล่านี้มากเกินไป ความสนใจท่ีจะศึกษา ทบทวนบทเรียน จึงมีน้อยลงตามไปด้วย ดังนั้น ถ้าครูผู้สอน สามารถใช้เคร่ืองมือเหล่าน้ี เพ่ือชักจูงให้นักเรียนใช้เฟชบุ๊กในเชิงที่สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ในด้านการสร้างความรู้ พัฒนาสติปญั ญา ก็จะเป็นส่ิงทเ่ี กดิ ประโยชน์อย่างยิง่ การใช้ Facebook ในการจดั การเรยี นการสอนนั้น ไมไ่ ด้ใช้โดยตรง แตจ่ ะใช้ในลกั ษณะของการ ติดตามดแู ลช่วยเหลือนักเรียน การส่งงาน การบ้าน หรือการตอบปัญหาข้อสงสัยต่างๆ ให้นักเรียน อีก ทั้งครูยังสามารถติดตามดูแลนักเรียนได้ เม่ือนักเรียนขาดเรียน หรือไม่ส่งงานตามกาหนดเวลา ซ่ึงเป็น การกระตนุ้ นักเรยี นใหเ้ กิดการเรยี นรแู้ ละป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดข้ึนไดอ้ ีกวิธกี ารหนึง่ Slideshare และ Youtube เป็นส่ือ Social Media อีกประเภทหน่ึงท่ีสามารถนาไปใช้ ประกอบการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนได้ โดยการใช้งานร่วมกัน Blog นั่นก็คือ การนาเอกสาร ต่างๆ ได้แก่ ใบงาน ใบความรู้ สไลด์ท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอน ฯลฯ จาก Slideshareมาแสดง เป็นบทเรียนไว้ใน Blog หรือการนาวีดีโอท่ีน่าสนใจต่างๆ จาก Youtube มาแสดงไว้ใน Blog เพื่อให้ นักเรียนได้เข้ามาศึกษา แสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์ จนเกิดเป็นข้อสรุปที่เป็นองค์ความรู้ ความเข้าใจ ท่ีสร้างขึ้นด้วยตนเอง จะเห็นว่าการนาเทคโนโลยี Social Media มาใช้เป็นเคร่ืองมือใน การจัดการเรียนการสอนจะเป็นการผลักดันบุคลากรครูให้ก้าวทันเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันและสามารถ เขา้ ถงึ เยาวชนยคุ ใหมไ่ ด้อย่างทันท่วงที ซ่ึงจะทาให้เกิดระบบ Community แห่งการเรียนรู้บนเครือข่าย อินเตอร์เน็ต ที่มีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้สอนกับผู้สอน ผู้สอนกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน

~ 13 ~ การแบง่ ปันความรู้ แลกเปล่ียนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน รวมท้ังส่งเสริมให้มีการศึกษาตามอัธยาศัย ส่งเสริม ให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็น ความสามารถในการเลือกใช้เทคโนโลยีต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนา ตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทางานและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม การเรยี นการสอนผา่ นออนไลน์ การใชเ้ ว็บเพ่อื การเรียนการสอนเปน็ การนาเอาคุณสมบัติของอินเทอร์เน็ต มาออกแบบเพ่ือใช้ ในการศึกษา การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction) มีชื่อเรียกหลายลักษณะ เช่นการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ(Web-Based Instruction) เว็บการเรียน(Web-Based Learning) เว็บฝึกอบรม (Web-Based Training) อินเทอร์เน็ตฝึกอบรม (Internet-Based Training) อินเทอร์เน็ตช่วยสอน(Internet-Based Instruction) เวิลด์ไวด์เว็บฝึกอบรม (WWW-Based Training) และเวิลดไ์ วด์เวบ็ ชว่ ยสอน (WWW-Based Instruction) (สรรรัชต์ หอ่ ไพศาล. 2545) ทงั้ น้ีมผี ู้นยิ ามและ ใหค้ วามหมายของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ เอาไวห้ ลายนยิ าม ไดแ้ ก่ คาน (Khan, 1997) ได้ให้คาจากัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)ไว้ว่าเป็นการเรียนการสอนที่อาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่ช่วย ในการสอน โดยการใช้ ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต มาสร้างให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยส่งเสรมิ และสนับสนุนการเรียน รอู้ ย่างมากมายและสนบั สนนุ การเรียนรใู้ นทกุ ทาง ดริสคอล (Driscoll, 1997) ไดใ้ หค้ วามหมายของการเรยี นการสอนผา่ นเว็บว่า เปน็ การใช้ทกั ษะ หรอื ความรู้ตา่ งๆ ถา่ ยโยงไปสู่ทใี่ ดท่หี น่ึงโดยการใชเ้ วลิ ดไ์ วด์เวบ็ เป็นช่องทางในการเผยแพร่ ส่ิงเหล่านัน้ คาร์ลสันและคณะ (Carlson et al., 1910) กล่าวว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นภาพที่ ชัดเจนของการผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) ซ่ึงก่อให้เกิดโอกาสท่ีชัดเจนในการนาการศึกษาไปสู่ท่ีด้อยโอกาส เป็นการ จดั หาเครื่องมอื ใหมๆ่ สาหรับส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มเคร่ืองมือ อานวยความสะดวกที่ช่วยขจัดปัญหา เรือ่ งสถานทแ่ี ละเวลา สาหรับประโยชน์ทางการศึกษาแก่นักเรียนภายในประเทศไทย การเรียนการสอนผ่านเว็บถือ เปน็ รปู แบบใหม่ของการเรียนการสอนทเ่ี รม่ิ นาเขา้ มา ใช้ ทงั้ นี้นกั การศกึ ษาหลายท่านให้ความหมายของ การเรียนการสอนผ่านเวบ็ ไว้ดังนี้ กิดานันท์ มลิทอง (2543) ให้ความหมายว่า การเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการใช้เว็บในการ เรียนการสอนโดยอาจใช้เว็บเพ่ือนา เสนอบทเรียนในลักษณะสื่อหลายมิติของวิชาทั้งหมดตามหลักสูตร หรือใช้เพียงการเสนอข้อมูลบางอย่างเพื่อประกอบการสอนก็ได้ รวมท้ังใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะ

~ 14 ~ ต่างๆของการส่ือสารท่ีมีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต เช่น การเขียนโต้ตอบกันทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และการพดู คยุ สดดว้ ยข้อความและ เสียงมาใช้ประกอบดว้ ยเพื่อให้เกดิ ประสทิ ธิภาพสูงสุด ถนอมพร เลาจรัสแสง (2544) ให้ความหมายว่า การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) เป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการ สอนเพื่อเพ่ิม ประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเร่ืองข้อจากัดทางด้าน สถานที่และเวลา โดยการสอนบน เว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ ไวด์ เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและ สนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่งการเรียนการสอนท่ีจัดขึ้นผ่านเว็บนี้อาจเป็นบางส่วนหรือท้ังหมด ของ กระบวนการเรียนการสอนก็ได้ ใจทิพย์ ณ สงขลา (2542) ได้ให้ความหมายการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าหมายถึง การผนวก คุณสมบัติไฮเปอรม์ ีเดยี เขา้ กบั คณุ สมบัตขิ องเครือข่ายเวลิ ดไ์ วดเ์ วบ็ เพ่อื สร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนใน มิติที่ไม่มีขอบเขตจากัดด้วยระยะทางและ เวลาท่ีแตกต่างกันของนักเรียน (Learning without Boundary) วิชุดา รัตนเพียร (2542) กลา่ วว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการนาเสนอโปรแกรมบทเรียน บนเว็บเพจโดยนาเสนอผ่านบริการเวิลด์ไวด์เว็บในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซ่ึงผู้ออกแบบและสร้าง โปรแกรมการสอนผ่านเวบ็ จะต้องคานงึ ถงึ ความสามารถ และบรกิ ารที่หลากหลายของอินเทอร์เน็ต และ นาคณุ สมบตั ติ า่ งๆเหลา่ น้ันมาใช้เพ่ือประโยชน์ในการเรียนการสอนให้มากท่สี ุด จากนิยามและความคิดเห็นของนักวิชาการและนักการศึกษา ทั้งในต่างประเทศและภายใน ประเทศไทยดังทีก่ ล่าวมาแลว้ นั้นสามารถสรุปไดว้ า่ การเรียนการสอนผา่ นเว็บเป็นการจัดสภาพการเรยี น การสอนที่ได้รบั การออกแบบ อย่างมรี ะบบ โดยอาศัยคุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ไวด์เว็บ มาเป็น ส่อื กลางในการถา่ ยทอดเพอื่ ส่งเสริมสนับสนนุ การเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพ โดยอาจจัด เป็นการ เรียนการสอนท้ังกระบวนการ หรือนามาใช้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการท้ังหมดและช่วยขจัด ปญั หาอุปสรรค ของการเรยี นการสอนทางดา้ นสถานทแ่ี ละเวลาอกี ด้วย การออกแบบการเรยี นการสอนผา่ นเว็บ ในการออกแบบและพัฒนาเว็บการเรียนการสอนผ่านให้มีประสิทธิภาพน้ันมีนักการ ศึกษา หลายท่านให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนการที่จะใช้เป็นแนวทางในการออก แบบการเรียนการสอน ดงั น้ี ดิลลอน (Dillon,1991) ได้ให้แนวคิดเก่ียวกับข้ันตอนในการสร้างบทเรียนท่ีมีลักษณะเป็นสื่อ หลายมติ ิ (Hypermedia) ซง่ึ หลักการน้ีสามารถนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการออกแบบและพัฒนาเว็บเพ่ือการ เรียน การสอน แนวคดิ ดงั กลา่ วมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาเกย่ี วกับนักเรยี นและเนอ้ื หาท่ีจะนามาพัฒนาเพ่ือกาหนดวัตถุประสงค์และหาแนวทาง ในการจดั กจิ กรรมการเรยี น

~ 15 ~ 2. วางแผนเกี่ยวกับการจัดรูปแบบโครงสร้างของเน้ือหา ศึกษาคุณลักษณะของเน้ือหาที่จะนา มาใช้เป็นบทเรยี นวา่ ควรจะนาเสนอในลักษณะใด 3. ออกแบบโครงสร้างเพ่ือการเข้าถึงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ออกแบบควรศึกษาทา ความเข้าใจกับโครงสร้างของบทเรียนแบบต่างๆ โดยพิจารณาจากลักษณะนักเรียนและเน้ือหาว่า โครงสรา้ งลกั ษณะใดจะเออ้ื อานวยต่อการเข้าถึงขอ้ มูลของนกั เรียนไดด้ ที ส่ี ุด 4. ทดสอบรูปแบบเพื่อหาข้อผิดพลาด จากนั้นทาการปรับปรุงแก้ไขและทดสอบซ้าอีกครั้งจน แนใ่ จวา่ เปน็ บทเรยี นทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพกอ่ นที่จะนาไปใช้งาน อาแวนิติส (Arvanitis, 1997) ได้ให้ข้อเสนอแนะว่าในการสร้างเว็บไซต์น้ัน ควรจะดาเนินการ ตามข้ันตอนต่อไปนี้ 1. กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ โดยพิจารณาวา่ เป้าหมายของการสร้างเว็บไซตน์ ้เี พ่ืออะไร 2. ศึกษาคุณลักษณะของผู้ที่จะเข้ามาใช้ ว่ากลุ่มเป้าหมายใดที่ผู้สร้างต้องการส่ือสาร ข้อมูล อะไรท่พี วกเขาต้องการ โดยขั้นตอนนคี้ วรจะปฏิบตั คิ วบคไู่ ปกบั ข้นั ตอนทห่ี นง่ึ 3. วางลกั ษณะโครงสร้างของเว็บ 4. กาหนดรายละเอียดให้กับโครงสร้าง ซ่ึงพิจารณาจากวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้โดยต้ังเกณฑ์ใน การใช้ เชน่ ผ้ใู ช้ควรจะทาอะไรบ้าง จานวนหน้าควรมเี ท่าใด มกี ารเชอื่ มโยงมากนอ้ ยเพยี งไร 5. หลังจากนั้นจึงทาการสร้างเว็บแล้วนาไปทดลอง เพ่ือหาข้อผิดพลาดและทาการปรับปรุง แกไ้ ข แลว้ จงึ ค่อยนาเข้าส่เู ครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตเปน็ ขน้ั ตอนสดุ ท้าย ควินแลน (Quinlan, 1997) เสนอวิธีดาเนินการ 5 ข้ันตอนเพื่อการออกแบบและพัฒนาการ เรยี นการสอนผา่ นเวบ็ ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ คือ 1. ทาการวิเคราะหค์ วามต้องการของนกั เรยี น รวมทง้ั จดุ แขง็ และจดุ อ่อน ของนกั เรยี น 2. การกาหนดเปา้ หมาย วตั ถปุ ระสงค์ และกิจกรรม… 3. ควรเลือกเน้ือหาท่ีจะใช้นาเสนอพร้อมกับหางานวิจัยอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้องและช่วยสนับสนุน เนื้อหา… 4. การวางโครงสร้างและจดั เรียงลาดบั ข้อมูลรวมท้ังกาหนดสารบัญ เครื่องมือ การเข้าสู่เนื้อหา (Navigational Aids) โครงรา่ งหนา้ จอและกราฟิกประกอบ 5. ดาเนินการสร้างเว็บไซตโ์ ดยอาศัยแผนโครงเรื่อง… คาน (Khan, 1997) ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า การออกแบบเวบ็ ท่ีดีมีความสาคัญต่อการเรียนการสอน เป็น อย่างมากดงั น้นั จงึ ควรทาความเข้าใจถงึ คณุ ลกั ษณะ 2 ประการของโปรแกรมการเรียนการสอน ผ่านเวบ็ 1. คุณลักษณะหลัก (Key Features) เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของโปรแกรมการเรียนการสอน ผ่านเว็บทุกโปรแกรม ตัวอย่างเช่น การสนับสนุนให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน ผู้สอน หรือ นกั เรยี น คนอื่นๆ การนาเสนอบทเรยี นในลกั ษณะของส่ือหลายมิติ (Multimedia) การนาเสนอบทเรียน

~ 16 ~ ระบบเปิด (Open System) กล่าวคือ อนุญาตให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงเข้าสู่เว็บเพจอ่ืน ๆ ที่ เก่ียวข้องได้ นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูลบนเครือข่ายได้ (Online Search) นักเรียนควรท่ีจะสามารถ เข้าสู่โปรแกรมการสอนผ่านเว็บจากที่ใดก็ได้ทั่วโลก รวมท้ังนักเรียนควรที่จะสามารถควบคุมการเรียน ของตนเองได้ 2. คุณลักษณะเพ่ิมเติม (Additional Features) เป็นคุณลักษณะประกอบเพ่ิมเติม ซึ่งข้ึนอยู่ กับคณุ ภาพและความยากง่ายของการออกแบบ เพ่ือนามาใช้งานและการนามาประกอบกับคุณลักษณะ หลักของโปรแกรมการเรียนการสอน ผ่านเวบ็ ตัวอยา่ งเช่น ความง่ายในการใช้งานของโปรแกรมมีระบบ ป้องกันการลักลอบข้อมูล รวมทั้งระบบให้ความช่วยเหลือบนเครือข่ายมีความสะดวกในการแก้ไข ปรับปรงุ โปรแกรม เป็นต้น…………………………………………………………………………………………………………. ฮอลล์ (Hall, 19100) ได้กล่าวถึงการใช้เว็บในด้านการเรียนการสอนว่า การศึกษาทดลองหา วิธีการสร้างเว็บอย่างมีประสิทธิภาพยังอยู่ในระดับท่ีน้อย แต่จากการรวบรวมจากประสบการณ์และ การนาเสนอของบรรดานักออกแบบเว็บเพื่อการเรียนการสอน สรุปได้ว่าเว็บเพื่อการเรียนการสอนที่ดี จะตอ้ งมีลักษณะดังน้ี………………………………………………………………………………………………………………. 1. ตอ้ งสะดวกและไมย่ ุ่งยากตอ่ การสืบค้นของนักเรียน..............ใ........ใ............................ 2. ตอ้ งมีความสอดคลอ้ งตรงกันในแต่ละเวบ็ รวมถงึ การเชอื่ มโยงระหวา่ งเว็บตา่ ง ๆ 3. เวลาในการแสดงผลแต่ละหน้าจอจะต้องน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้ภาพกราฟิกขนาดใหญ่ ทจ่ี ะทาใหเ้ สียเวลาในการโหลด………………………………………………………………………………………………. 4. มสี ว่ นท่ีทาหนา้ ท่ีในการจัดระบบในการเข้าสู่เวบ็ นกั ออกแบบควรกาหนดให้นักเรียนได้เข้าสู่ หนา้ จอแรกทม่ี คี าอธบิ าย มกี ารแสดงโครงสร้างภายในเว็บ เพ่ือทราบถึงขอบเขตทีน่ กั เรยี นจะสืบคน้ ……. 5. ควรมีความยืดหยุ่นในการสืบค้น แม้จะมีการแนะนาว่านักเรียนควรจะเรียนอย่างไร ตามลาดับ ข้ันตอนก่อนหลังแตก่ ค็ วรเพ่ิมความยืดหยุ่นให้นักเรียนสามารถกาหนดเส้นทางการ เรียนรู้ได้ เอง………… 6. ต้องมีความยาวในหน้าจอให้น้อย แม้นักออกแบบส่วนใหญ่จะบอกว่าสามารถใช้ ไฮเปอร์เท็กซ์ช่วยในการเลื่อนไปมาในพ้ืนท่ีส่วนต่างๆ ในหน้าจอ แต่ในความเป็นจริงแล้วหน้าจอท่ีส้ัน เป็นสิ่งทดี่ ีทส่ี ุด 7. ไมค่ วรมจี ดุ จบหรอื กาหนดจดุ สิ้นสุดท่ีนักเรียนไปไหนตอ่ ไม่ได้ ควรมีการสร้างในแบบวนเวียน ให้นักเรียนสามารถหาเส้นทางไปกลับระหว่าง หน้าต่างๆได้ง่าย นอกจากน้ียังควรให้นักเรียนสามารถ กลับ ไปเรียนในจุดเร่ิมต้นได้ดว้ ยโดยการคลิกเพียงครัง้ เดยี ว…………………………………………………………….. สาหรับนักวิชาการศึกษาในประเทศไทยได้กล่าวถึง การออกแบบการเรียนการสอนผ่านเว็บไว้ หลายทา่ นดังน้ี………………………………………………………………………………………………………….ใ...................

~ 17 ~ ปทีป เมธาคุณวุฒิ (2540) กล่าวว่าการออกแบบโครงสร้างของการเรียนการสอนผ่านเว็บควร จะประกอบดว้ ย………………………………………………………………………………………………………….................. 1. ข้อมูลเกี่ยวกับรายวิชา ภาพรวมรายวิชา (Course Overview) แสดงวัตถุประสงค์ของ รายวิชา สงั เขปรายวิชาคาอธิบาย เกี่ยวกับหัวข้อการเรียน หรอื หน่วยการเรยี น…………………………………. 2. การเตรียมตวั ของนกั เรียนหรอื การปรับพ้นื ฐานนักเรยี น เพื่อที่จะเตรียมตวั เรยี น................. 3. เน้อื หาบทเรียน พรอ้ มท้ังการเชือ่ มโยงไปยงั สือ่ สนับสนุนตา่ งๆในเน้ือหาบทเรยี นนน้ั ๆ 4. กจิ กรรมทม่ี อบหมายใหท้ าพร้อมท้งั การประเมินผล การกาหนดเวลาเรยี นการส่งงาน 5. แบบฝึกหัดที่นกั เรียนต้องการฝกึ ฝนตนเอง………………………………….……………………… 6. การเชือ่ มโยงไปแหล่งทรพั ยากรทีส่ นับสนุนการศึกษาค้นควา้ ……………………………………….. 7. ตวั อยา่ งแบบทดสอบ ตวั อย่างรายงาน…………………………………………………………………… 8. ข้อมูลทั่วไป (Vital Information) แสดงข้อความที่จะติดต่อผู้สอนหรือผู้ที่เก่ียวข้องการ ลงทะเบียนค่าใช้จ่าย การได้รับหน่วยกิตและการเช่ือมโยงไปยังสถานศึกษาหรือหน่วยงานและมีการ เช่ือม โยงไปสู่รายละเอียดของหนา้ ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง……………………………………………………………………………….. 9. ส่วนแสดงประวตั ิของผสู้ อนและผทู้ เี่ ก่ยี วข้อง……………………………………………………”””” 10. สว่ นของการประกาศขา่ ว (Bulletin Board) ………………………………………………………….. 11. หอ้ งสนทนา (Chat Room) ท่เี ป็นการสนทนาในกลุ่มนกั เรยี นและผูส้ อน………………. จากที่กล่าวมาการเรียนการสอนผ่านเว็บ เป็นการจัดการอย่างจงใจและนาเสนอข้อมูลท่ีมี เป้าหมายเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ โดยเฉพาะ ดังนั้นการออกแบบเว็บช่วยสอนจึงต้องพิจารณาให้เป็นไป ตามวัตถุประสงค์และการ จัดระเบียบของเน้ือหาในบทเรียนท่ีสร้างขึ้น เพื่อช่วยให้การเรียนรู้ของ นกั เรียนเปน็ ไปอย่างมรี ะบบ ประโยชนก์ ารเรยี นการสอนผ่านเว็บ ประโยชน์ของการเรียนการสอนผ่านเว็บมมี ากมายหลายประการ ทั้งนข้ี ึ้นอยูก่ บั วัตถปุ ระสงค์ของ การนาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นมิติใหม่ของเครื่องมือและกระบวนการในการเรียนการ สอน โดยมีผู้กลา่ วถึงประโยชน์ของการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ ไว้ดังน้ี ถนอมพร เลาหจรสั แสง (2544) ไดก้ ล่าวถึงการสอนบนเวบ็ มีข้อดอี ยหู่ ลายประการ กล่าวคอื 1. การสอนบนเว็บเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนที่อยู่ห่างไกล หรือไม่มีเวลาในการมาเข้าช้ัน เรียนได้เรียนในเวลาและสถานท่ี ๆ ต้องการ ซ่ึงอาจเป็นที่บ้าน ท่ีทางาน หรือสถานศึกษาใกล้เคียงท่ี นักเรียนสามารถเข้าไปใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตได้ การท่ีนักเรียนไม่จาเป็นต้องเดินทางมายัง สถานศึกษาที่กาหนดไว้จึงสามารถช่วย แก้ปัญหาในด้านของข้อจากัดเกี่ยวกับเวลา และสถานท่ีศึกษา ของนกั เรียน เปน็ อย่างดี

~ 18 ~ 2. การสอนบนเว็บยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันทางการศึกษา นักเรียนท่ีศึกษา อย่ใู นสถาบนั การศึกษาในภมู ิภาคหรือในประเทศหนง่ึ สามารถที่ จะศึกษา ถกเถยี ง อภิปราย กับอาจารย์ ครูผ้สู อนซงึ่ สอนอยู่ทส่ี ถาบนั การศกึ ษาในนครหลวงหรือในตา่ งประเทศกต็ าม 3. การสอนบนเวบ็ น้ี ยงั ช่วยส่งเสริมแนวคิดในเร่ืองของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากเว็บเป็น แหล่งความรู้ที่เปิดกว้างให้ผู้ที่ต้องการศึกษาในเรื่องใด เรื่องหน่ึง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้ได้ อยา่ งตอ่ เน่ืองและตลอดเวลาการสอนบนเว็บ สามารถตอบสนองตอ่ นักเรียนท่ีมีความใฝ่รู้รวมทั้งมีทักษะ ในการตรวจสอบการ เรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (Meta-cognitive Skills) ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ 4. การสอนบนเว็บ ช่วยทลายกาแพงของห้องเรียนและเปล่ียนจากห้องเรียน 4 เหลี่ยมไปสู่โลก กว้างแห่งการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆได้อย่างสะดวกและมี ประสิทธิภาพสนับสนุนส่ิงแวดล้อมทางการเรียนท่ีเช่ือมโยงส่ิงที่เรียนกับ ปัญหาที่พบในความเป็นจริง โดยเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตามบริบทในโลกแห่งความเป็น จริง(Contextualization) และการเรียนรู้จาก ปญั หา (Problem-based Learning) ตามแนวคดิ แบบ Constructivism 5. การสอนบนเว็บเป็นวิธีการเรียนการสอนที่มีศักยภาพ เนื่องจากที่เว็บได้กลายเป็นแหล่ง ค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการรูปแบบใหม่ครอบ คลุมสารสนเทศทั่วโลกโดยไม่จากัดภาษา การสอนบนเว็บ ชว่ ยแก้ปัญหาของขอ้ จากดั ของแหลง่ คน้ คว้าแบบเดิมจากห้องสมุดอัน ได้แก่ ปัญหาทรัพยากรการศึกษา ท่ีมีอยู่จากัดและเวลาท่ีใช้ในการค้นหาข้อมูล เนื่องจากเว็บมีข้อมูลท่ีหลากหลายและเป็นจานวนมาก รวมท้ังการท่ีเว็บใช้การเช่ือมโยงในลักษณะของไฮเปอร์มิเดีย (ส่ือหลายมิติ) ซึ่งทาให้การค้นหาทาได้ สะดวกและง่ายดายกวา่ การค้นหาขอ้ มูลแบบเดมิ 6. การสอนบนเวบ็ จะชว่ ยสนับสนุนการเรยี นรู้ทกี่ ระตือรอื ร้น ทั้งนเี้ นื่องจากคุณลักษณะของเว็บ ท่เี อ้ืออานวยให้เกิดการศึกษา ในลกั ษณะที่นกั เรยี นถกู กระตุ้นให้แสดงความคดิ เหน็ ได้อยตู่ ลอดเวลา โดย ไม่จาเปน็ ต้องเปดิ เผยตวั ตนท่ีแท้จรงิ ตัวอย่างเชน่ การใหน้ กั เรยี นร่วมมือกนั ในการทากจิ กรรมตา่ ง ๆ บน เครือข่ายการให้นักเรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงไว้บนเว็บบอร์ ดหรือการให้นักเรียนมี โอกาสเข้ามาพบปะกับนกั เรยี นคนอืน่ ๆ อาจารย์ หรอื ผูเ้ ชี่ยวชาญในเวลาเดยี วกันท่ีห้องสนทนา เปน็ ต้น 7. การสอนบนเว็บเอ้ือให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งการเปิดปฏิสัมพันธ์น้ีอาจทาได้ 2 รูปแบบ คือ ปฏสิ ัมพันธ์กับนกั เรียนด้วยกันและ/หรือผู้สอน ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนในเน้ือหาหรือส่ือการสอนบนเว็บ ซึ่งลักษณะแรกน้ีจะอยู่ในรูปของการเข้าไปพูดคุย พบปะ แลกเปล่ียน ความคิดเห็นกัน ส่วนในลักษณะ หลังนั้นจะอยู่ในรูปแบบของการเรียนการสอน แบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบท่ีผู้สอนได้จัดหาไว้ให้แก่ นกั เรยี น 8.การสอนบนเว็บยังเป็นการเปิดโอกาสสาหรับนักเรียนในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ท้ัง ในและนอกสถาบันจากในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก โดยนักเรียนสามารถติดต่อสอบถามปัญหา

~ 19 ~ ขอขอ้ มูลตา่ งๆ ทีต่ ้องการศึกษาจากผ้เู ชย่ี วชาญจรงิ โดยตรงซงึ่ ไม่สามารถทาได้ในการเรียนการ สอนแบบ ดงั้ เดิม นอกจากน้ียงั ประหยัดทั้งเวลาและคา่ ใช้จ่ายเมือ่ เปรียบเทียบกับการตดิ ต่อสื่อสารในลักษณะเดิม 9. การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานของตน สู่สายตาผู้อ่ืนอย่าง ง่ายดาย ทงั้ นี้ไม่ไดจ้ ากดั เฉพาะเพ่ือนๆ ในชั้นเรยี นหากแตเ่ ป็นบุคคลท่วั ไปทั่วโลกได้ ดังนั้นจึงถือเป็นการ สร้างแรงจูงใจภายนอกในการเรียนอย่างหน่ึงสาหรับผู้ เรียน นักเรียนจะพยายามผลิตผลงานท่ีดีเพื่อ ไม่ให้เสียชื่อเสียงตนเองนอกจากน้ีผู้ เรียนยังมีโอกาสได้เห็นผลงานของผู้อื่นเพื่อนามาพัฒนางานของ ตนเองใหด้ ียงิ่ ขน้ึ 10. การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตร ให้ทันสมัยได้อย่าง สะดวกสบายเนื่องจากข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ดังน้ันผู้สอนสามารถอัพเดต เนื้อหาหลักสูตรที่ทันสมัยแก่นักเรียนได้ตลอดเวลา นอกจากนี้การให้นักเรียนได้สื่อสารและแสดงความ คิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับ เนื้อหา ทาให้เน้ือหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าการเรียนการสอนแบบเดิม และเปลี่ยน แปลงไปตามความต้องการของนักเรียนเป็นสาคัญ การสอนบนเว็บสามารถนาเสนอเน้ือหา ในรูปของมัลติมีเดีย ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศน์ ภาพ 3 มิติ โดยผู้สอนและ นักเรียนสามารถเลอื กรูปแบบของการนาเสนอเพอื่ ให้เกิดประสิทธภิ าพ สงู สดุ ทางการเรียน จะเห็นได้ว่าการสอนบนเว็บมีประโยชน์ต่างๆมากมาย เช่น เปิดโอกาสให้นักเรียนท่ีอยู่ห่างไกล หรือไม่มีเวลาในการมาเข้าช้ันเรียนได้เรียนในเวลาและสถานที่ ที่ต้องการ ซ่ึงอาจเป็นท่ีบ้าน ท่ีทางาน หรอื สถานศึกษาใกลเ้ คียงทีน่ ักเรยี นสามารถเข้าไปใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตได้ ส่งเสริมให้เกิดความเท่า เทยี มกนั ทางการศกึ ษา ส่งเสรมิ แนวคิดในเร่ืองของการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ เน่อื งจากเว็บเปน็ แหลง่ ความรู้ที่ เปดิ กว้างใหผ้ ู้ที่ตอ้ งการศึกษาในเรอ่ื งใด เรื่องหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง เปิด โอกาสให้นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ สนับสนุน ส่ิงแวดล้อมทางการเรียนท่ีเช่ือมโยงสิ่งที่เรียนกับปัญหาท่ีพบในความเป็นจริง นักเรียนสามารถกล้าถาม กล้าตอบ กล้าแสดงความคดิ เห็นเพราะไม่ต้องเปิดเผยตวั ตนทีแ่ ท้จริง ก่อให้เห็นการพัฒนาทักษะการคิด ต่างๆอย่างหลากหลาย เปน็ ตน้ การประเมินผลการเรียนการสอนผ่านเว็บ การประเมินผลการเรียนท่ีมีการเรียนการสอนผ่าน เว็บนั้น มีลักษณะท่ีแตกต่างอยู่บ้าง แต่ก็อยู่บนพ้ืนฐานความต้องการให้มีการเรียนการสอนผ่านเว็บท่ีมี คุณภาพและ ประสิทธิภาพตอ่ การเรียนการสอน สาหรับการประเมินในแง่ของการจัดการเรียนการสอน ผ่านเว็บ ซึ่งจัดว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนทางไกล วิธีในการประเมินผลสามารถทาได้ทั้งผู้สอน ประเมินนักเรียนหรือให้นักเรียน ประเมินผลผู้สอน ซึ่งองค์ประกอบท่ีใช้เป็นมาตรฐานจะเป็นคุณภาพ ของการเรียนการสอน วิธีประเมินผลที่ใช้กันอยู่ในการประเมินผลมีหลายวิธีการ แต่ถ้าจะประเมินผลมี การเรียนการสอนผ่านเว็บก็ต้องพิจารณาวิธีการที่เหมาะสม และทันกับเทคโนโลยีที่เปล่ียนแปลงอย่าง รวดเร็ว

~ 20 ~ …… โดยเฉพาะกับเว็บซ่ึงเป็นการศึกษาทางไกลวิธีหน่ึง การประเมินผลแบบทั่วไป ท่ีเป็นการ ประเมินระหว่างเรียน(Formative Evaluation) กับการประเมินรวมหลังเรียน (Summative Evaluation) เป็นวธิ ีการประเมินผลสาหรับการเรียนการสอน โดยการประเมินระหว่างเรียนสามารถทา ได้ตลอดเวลา ระหว่างมีการเรียนการสอน เพื่อดูผลสะท้อนของนักเรียนและดูผลท่ีคาดหวังไว้ อันจะ นาไปปรับปรุงการสอนอย่างต่อเนื่องขณะท่ีการประเมินหลังเรียนมักจะใช้ การตัดสินในตอนท้ายของ การเรยี นโดยการใชแ้ บบทดสอบเพ่ือวัดผลตามจุดประสงคข์ อง รายวิชา (ปรัชญนันท์ นิลสุข, 2546) พอตเตอร์ (Potter, 1910) ได้เสนอวิธีการประเมนิ การเรียนการสอนผ่านเว็บ ซ่ึงเป็นวธิ กี ารที่ใช้ ประเมินสาหรับการเรียนการสอนทางไกลผ่านเว็บของมหาวิ ทยาลัยจอร์จ เมสัน โดยแบ่งการประเมิน ออกเป็น 4 แบบ คอื 1. การประเมินด้วยเกรดในรายวิชา (Course Grades) เป็นการประเมินท่ีผู้สอนให้คะแนนกับ นักเรียน ซึ่งวิธีการน้ีกาหนดองค์ประกอบของวิชาชัดเจน เช่น คะแนน 100 % แบ่งเป็นการสอบ 30% จากการมสี ่วนร่วม 10% จากโครงงานกลุ่ม 30% และงานท่มี อบหมายในแตล่ ะสปั ดาห์อกี 30% เปน็ ตน้ 2. การประเมินรายคู่ (Peer Evaluation) เป็นการประเมินกนั เองระหว่างคู่ของนักเรียนท่ีเลือก จับคู่กันในการเรียนทาง ไกลด้วยกันไม่เคยพบกันหรือทางานด้วยกัน โดยให้ทาโครงงานร่วมกันให้ ติดต่อกันผ่านเว็บและสร้างโครงงานเป็นเว็บท่ีเป็น แฟ้มสะสมงาน โดยแสดงเว็บให้นักเรียนคนอื่นๆ ได้ เหน็ และจะประเมินผลรายคู่จากโครงงาน 3. การประเมินต่อเน่ือง (Continuous Evaluation) เป็นการประเมินท่ีนักเรียนต้องส่งงาน ทุกๆสัปดาห์ให้กับผู้สอนโดยผู้สอนจะให้ ข้อเสนอแนะและตอบกลับในทันที ถ้ามีส่ิงท่ีผิดพลาดกับ นกั เรยี นกจ็ ะแก้ไขและประเมินตลอดเวลาในชว่ งระยะเวลาของวชิ า 4. การประเมินท้ายภาคเรียน (Final Course Evaluation) เป็นการประเมินผลปกติของการ สอนที่นักเรียนนาส่งสอน โดยการทาแบบสอบถามส่งผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องมืออื่นใด บนเวบ็ ตามแตจ่ ะกาหนด เป็นการประเมินตามแบบการสอนปกติท่ีจะต้องตรวจสอบความก้าวหน้า และ ผลสัมฤทธก์ิ ารเรียนของนักเรยี น เห็นว่าการประเมินผลการเรียนการสอนผ่านเว็บ สามารถประเมินได้ตามหลักการวัดผล ประเมนิ ผล โดยผู้สอนจะตอ้ งเป็นผูอ้ อกแบบประเมนิ ให้เหมาะสมกับกิจกรรมและสภาพความพร้อมของ ผู้เรียน และนอกจากน้ียังสามารถประเมินได้อย่างหลากหลาย ผู้สอนสามารถประเมินผู้เรียน ผู้เรียน ประเมนิ กนั เอง และผ้เู รยี นประเมนิ ผสู้ อน งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง เสกสรร สวยสีสด (2545) ได้ทาการศึกษาการพัฒนารูปแบบระบบการเรียนการสอนโดยใช้ อินเทอร์เน็ตสาหรับสถาบันราชภัฎผลวิจัยพบว่าการหาประสิทธิภาพเว็บเพจบทเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต

~ 21 ~ รายวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการท่ีพัฒนาข้ึนมีประสิทธิภาพท่ีมีค่าเท่ากับ 84.44/82 ซ่ึงสูงกว่า เกณฑ์มาตรฐานท่ีกาหนดไว้ผลของการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน พบวา่ การเรยี นหลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรยี นอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 ออมสิน ชา้ งทอง (2546) ไดท้ าวจิ ัยเร่ืองการพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รายวิชา การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเร่ือง “ชีวิตกับนันทนาการ” สาหรับนิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยนเรศวร การวจิ ยั คร้ังนีม้ จี ุดม่งุ หมาย 1) เพ่ือพฒั นาสือ่ มัลติมเี ดยี บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รายวชิ า การเสรมิ สร้าง คุณภาพชีวิตเรื่อง “ชีวิตกับนันทนาการ” สาหรับนิสิตปริญญาตรีมหาวิทยาลัยนเรศวร 2) เพ่ือ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตท่ีเรียนบทเรียนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตกับนิสิตที่เรียน ตามปกติ ซ่ึงผู้วิจัยได้ดาเนินการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวิชาการเสริมสร้าง คุณภาพชีวิต เรื่อง “ชีวิตกับนันทนาการ” สาหรับนิสิตปริญญาตรีมหาวิทยาลัยนเรศวร 3) เพ่ือศึกษา ความคดิ เหน็ ของผูเ้ รยี นทมี่ ีตอ่ การเรียนด้วยสอ่ื มัลตมิ ีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยมีขั้นตอนการวิจัย ดังนี้ 1) ข้ันตอนการสารวจปัญหา หาความจาเป็นในการใช้ส่ือมัลติมีเดียของบทเรียนบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต และความจาเป็นในการใช้ส่ือมัลติมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน 2) การสร้าง และหาประสิทธิภาพของส่ือมัลติมีเดีย 3) การทดลองใช้ส่ือมัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพ่ือ เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการเรียน ผลการวิจัยปรากฏดังน้ี 1) ผลการศึกษาเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตที่เรียนตามปกติกับผู้เรียนท่ีเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต โดยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีกว่านิสิตที่เรียนในห้องเรียนตามปกติ อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิตทิ รี่ ะดับ .05 2) นิสิตมคี วามคดิ เหน็ ตอ่ สอื่ มัลติมเี ดียบนเครอื ข่ายอนิ เตอรเ์ น็ต รายวิชาการเสริมสร้าง คุณภาพชีวิตเรื่อง “ชีวิตกับนันทนาการ” อยู่ระดับมาก ดังน้ันการเรียนโดยสื่อมัลติมีเดียบนเครือข่าย อนิ เทอรเ์ นต็ สามารถคน้ คว้าเพ่มิ เตมิ ได้มากขึน้ สื่อมัลติมเี ดยี สามารถใหค้ วามร้แู ละความเพลดิ เพลิน การ เรียนโดยส่ือมัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ความกว้างขวางกว่าการเรียนปกติ มีกระดานข่าวท่ี สามารถฝากข้อความถามเพื่อนในช้ันและผู้สอนได้สะดวก สามารถเรียนได้กลุ่มใหญ่ ผู้เรียนสามารถรับ สื่อได้อย่างชัดเจนกว่าในการเรียนปกติ การเรียนโดยสื่อมัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนได้ด้วยตนเอง การเรียนโดยส่ือ มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผู้เรียนไม่เครียดจนเกินไป ผู้เรียนมีความต้ังใจในการเรียนมากข้ึน ผูเ้ รียนกล้าแสดงออกมากข้นึ วราภรณ์ ผ่องสุวรรณ (2547) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บเรื่อง เทคโนโลยี สารสนเทศและการบริหาร กรณีศึกษานักศึกษารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ การวิจัยคร้ังน้ี คือ 1) เพ่ือพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บเรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการบริหาร สาหรับ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การบริหารของนกั ศกึ ษา ระหวา่ งกลุ่มท่เี รียนบทเรียนผ่านเว็บและกลุ่มท่ี

~ 22 ~ เรียนตามปกติ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักศึ กษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สาขาบรหิ ารรัฐกิจ ทล่ี งทะเบยี นเรียนวิชาวทิ ยาการบริหารในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2546 จานวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน โดยแยกเป็น กลุ่มทดลองกาหนดให้เรียนบทเรียนผ่านเว็บ และกลุ่มควบคุมให้เรียนตามปกติ ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนผ่านเว็บเร่ือง เทคโนโลยีสารสนเทศและการบริหาร มีประสิทธิภาพ 83.50/81.06 และ นกั ศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ท่ีเรยี นบทเรยี นผ่านเว็บมผี ลสัมฤทธท์ิ าง การเรยี นสงู กวา่ นกั ศึกษาทีเ่ รียนตามปกติ อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01 ปรัชญนันท์ นิลสุข ( 2550 ) ทาการพัฒนามัลติเว็บบล็อกเพ่ือการจัดการเรียนรู้สาหรับ สถาบันอดุ มศกึ ษา เปน็ การวจิ ยั และพฒั นามัลติเวบ็ บลอ็ กเพื่อการจัดการเรียนรู้ โดยศกึ ษาพฤติกรรมการ จดั การเรียนรู้ เจตคตแิ ละความพงึ พอใจต่อมัลตเิ วบ็ บล็อกในการจัดการเรยี นรู้ กลุม่ ตวั อย่างเป็นอาจารย์ และเจ้าหน้าท่ีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จานวน 35 คน ผลการวิจัย พบว่า 1) การวิเคราะห์ ออกแบบและพัฒนามัลติเว็บบล็อกในการจัดการเรียนรู้สาหรับ สถาบันอุดมศึกษา พบว่า มัลติเว็บบล็อก ประกอบไปด้วยระบบใหม่ ได้แก่ ส่วนของผู้ดูแลระบบ ส่วน การจดั การลิงค์ สว่ นการจดั สมาชิก สว่ นการจดั การเว็บบล็อก และส่วนของบล็อกเกอร์ 2) ผลการศึกษา พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยมัลติเว็บบล็อกของอาจารย์และเจ้าหน้าที่ พบว่า ส่วนใหญ่มี ประสบการณ์การทางานต่ากว่า 5 ปี มีประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ต้ังต่ี 5-10 ปี ประสบการณ์ ในการใช้อนิ เตอร์เน็ตต้ังแต่ 5-10 ปี มีประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ต้ังแต่ 5-10 ปี ประสบการณ์ ในการใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ต้งั แต่ 5-10 ปี มปี ระสบการณ์ในการใช้เว็บบล็อกระดับปานกลาง เป็นส่วนมาก มี ความถ่ีในการใช้บล็อกทุกวัน ระยะเวลาในการใช้บล็อกแต่ละครั้ง 1-2 ช่ัวโมง ช่วงเวลาท่ีเขียนบล็อก ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเวลา 17.01-23.00 จานวนข้อมูลที่ส่งขึ้นบนเว็บบล็อก น้อยกว่า 3 ข้อมูลและ สถานท่ีใช้เว็บบล็อก ส่วนใหญ่ร้านอินเทอร์เน็ต คิดเป็นร้อยละ 50 3) ผลการศึกษาเจตคติและความพึง พอใจในการจัดการความรู้ด้วยมัลติเว็บบล็อกของอาจารย์และเจ้าหน้าท่ี พบว่า เจตคติและความพึง พอใจต่อการจัดการเรียนรดู้ ้วยมลั ติเว็บบลอ็ กอยใู่ นระดบั มาก ธนาธร ทะนานทอง (2551) ได้พัฒนาระบบการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี เว็บบล็อกซ่ึงเป็นเว็บ 2.0 ในยุคของการติดต่อสื่อสารข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตท่ีมีการแลกเปล่ียนข้อมูล ต่างๆ มากข้ึน เช่น เสียง รูปภาพ และวีดีโอ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีเว็บบล็อกนี้เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ อยใู่ นยุคเวบ็ 2.0 มลี ักษณะเป็นเว็บ 2.0 เป็นเวบ็ ไซตส์ ่วนตวั ท่ีมรี ปู แบบง่ายตอ่ การใช้งานและการจัดการ เน้ือหาภายใน ดังน้ันจะพบว่า มีผู้ใช้เว็บบล็อกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น จากการที่เว็บ บล็อกเป็นนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย จึงก่อให้เกิดสังคมออนไลน์และองค์ความรู้ใหม่เกิดข้ึน การใช้เว็บ บล็อกเป็นเวทีในการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นต่อบทบาทของเจ้าของเว็บบล็อก และการใช้ เว็บบล็อกในระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยสังคมออนไลน์และองค์ความรู้ต่างๆ เหล่าน้ี

~ 23 ~ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศไทยในการก้าวไปสู่ยุคของเว็บ 2.0 อย่างแท้จริง ในงานวิจัยน้ี ทาการศกึ ษาและพฒั นาเวบ็ บล็อกสาหรบั ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการ จดั การเรียนการสอน ท่มี ขี ้นั ตอนในการจดั การขอ้ มลู ไดง้ า่ นและสะดวกต่อการใช้งาน อีกทั้งยังเพิ่มความ รวดเร็วในการค้นหาและการนาข้อมูลในระบบไปใช้ เน่ืองจากเว็บบล็อกนั้นใช้เทคโนโลยี RSS ที่มี รปู แบบการเกบ็ ข้อมลู เปน็ ไฟล์ XML โดยระบบดงั กล่าวจะเป็นสังคมออนไลน์ทางด้านการศึกษารูปแบบ ใหม่ ที่เปิดโอกาสใหท้ กุ คนมีสว่ นรว่ มและเป็นส่วนหนง่ึ ของสังคมการศึกษาออนไลน์ ขวัญชีวา ว่องนิติธรรม ( 2551 ) ทาการวิจัยเร่ืองการใช้แนวการสอนเขียนแบบเน้น กระบวนการและเวบ็ บลอ็ กเพม่ิ พนู ความสามารถในการเขียนภาษาองั กฤษและแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธิ์ในการ เขยี นของนกั เรียนระดับก้าวหน้า โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียน ภาษาอังกฤษและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ในการเขียนของนักเรียนระดับก้าวหน้าก่อนและหลังการใช้แนว การสอนเขียนแบบเน้นกระบวนการและเว็บบล็อก กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนหางดงรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ที่เรียนวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จานวน 30 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บ ข้อมูลได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษและแบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ใน การเขียนภาษาอังกฤษ ซึ่งทาการทดสอบและวัดก่อนและหลังการเรียนโดยใช้แนวการสอนเขียนแบบ เน้นกระบวนการและเว็บบล็อก แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์โดยการหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน และคา่ ร้อยละ โดยผลการวิจัยสรปุ ไดด้ งั นี้ 1) นักเรียนทีเ่ รียนโดยการใชแ้ นวการสอนแบบเน้น กระบวนการและเว็บบล็อกมีความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการ ทดลอง 2) นักเรียนมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้นหลังจากได้เรียนโดยการใช้แนวการสอน เขียนแบบเน้นกระบวนการและเว็บบลอ็ ก สภุ พงษ์ วงศส์ มติ กุล (2553) ไดท้ าการวิจัยเรอ่ื งการพฒั นาบทเรยี นออนไลน์ (Online) โดยใช้ เทคโนโลยีส่ือสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องการเพาะ เห็ดหอม สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ผลการวิจัย พบว่า บทเรียนออนไลน์ (Online) โดยใช้เทคโนโลยีส่ือสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เร่ืองการเพาะเห็ดหอมที่พัฒนาขนึ้ มปี ระสทิ ธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ตามที่ กาหนด 85/85 นักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ (Online) โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องการเพาะเห็ดหอม มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความคิดเห็นของนักเรียนที่เรียนด้วย บทเรียนออนไลน์ (Online) โดยใช้เทคโนโลยีส่ือสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงาน อาชีพและเทคโนโลยี เร่ืองการเพาะเหด็ หอม มีความคดิ เห็นเฉลี่ยรวมอย่ใู นระดับเห็นด้วยอย่างย่งิ

~ 24 ~ บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ัย ในการศึกษาค้นควา้ ครัง้ นี้ ผู้วิจัยไดด้ าเนินการตามขนั้ ตอน ดงั นี้ 1. กลุม่ เป้าหมาย 2. เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 5. สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล กลุ่มเป้าหมาย นักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2564 จานวน 6 คน เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 แบบ คือ เคร่ืองมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ และเคร่ืองมือท่ีใช้ ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการจดั การเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย บทเรยี นสาเร็จรปู ออนไลนต์ ามแนวคิดการเรียนรดู้ ้วยการชีน้ าตนเอง 2. เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 2.1 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 2.2 แบบสอบถามความคดิ เห็น สาหรับเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพ่ือมาใช้ในการวิจัยในครั้งน้ี มีรายละเอียดในการสร้างและ พัฒนาดงั ต่อไปนี้ 1. บทเรียนสาเรจ็ รปู ออนไลนต์ ามแนวคดิ การเรยี นรดู้ ว้ ยการชีน้ าตนเอง ผู้วิจัยได้ดาเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1.1 กาหนดจดุ ประสงคใ์ นการสร้างเครือ่ งมือที่ใชใ้ นการวิจัย 1.2 ศึกษาเอกสาร ทฤษฏี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับบทเรียนออนไลน์ การเรียนการ สอนผ่านออนไลน์ แนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง จากแหล่งเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ต เพือ่ เปน็ แนวทางในการสร้างบทเรยี นสาเรจ็ รปู ออนไลนต์ ามแนวคดิ การเรยี นรู้ดว้ ยการชน้ี าตนเอง

~ 25 ~ 1.3 วางแผนการสร้างบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นา ตนเอง โดยมกี ารกาหนดหน่วยการเรยี นรู้ เน้อื หาสาระ ตัวช้วี ัด และการวดั และประเมนิ ผล 1.4 สร้างบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง ผ่าน แอปพลเิ คชนั Google Site, Google form, Youtube 1.5 นาบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเองท่ีสร้าง ข้ึนให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาตรวจสอบความสอดคล้อง (IOC) กับมาตรฐานและตัวช้ีวัด และความ เหมาะสมของเน้ือหาสาระ 1.6 ปรับปรุงแก้ไขบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนา ตนเองคาแนะนาของผู้เชีย่ วชาญ 1.7 เผยแพร่บทเรยี นสาเรจ็ รปู ออนไลน์ตามแนวคดิ การเรยี นร้ดู ว้ ยการช้ีนาตนเอง เพอื่ นาไปใช้กับกลมุ่ เปา้ หมายตอ่ ไป 2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ผู้วิจยั ไดด้ าเนนิ การตามขัน้ ตอน ดงั นี้ 2.1 กาหนดจดุ ประสงค์ในการสร้างเครือ่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัย 2.2 ศึกษาเอกสาร ทฤษฏี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง จากแหล่งเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ต เพ่ือเปน็ แนวทางในการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นรายวชิ าวิทยาศาสตร์ 2.3 วางแผนการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ 2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะ ปรนยั เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 60 ขอ้ ครอบคลุมตามตวั ชวี้ ดั 2.5 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ที่สร้างข้ึนให้ ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) และความเหมาะสมของข้อมูลที่ใช้ใน การทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจของนักศกึ ษา 2.6 ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ตาม คาแนะนาของผเู้ ช่ียวชาญ 2.7 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ มาจัดทาเป็น แบบทดสอบออนไลน์ จานวน 50 ขอ้ โดยใชแ้ อปพลิเคชนั Google form 2.8 เผยแพร่แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ลงใน เว็บไซต์บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง และนาไปใช้กับ กลมุ่ เป้าหมายต่อไป

~ 26 ~ 3. แบบสอบถามความคิดเห็น ผูว้ ิจัยได้ดาเนนิ การตามขั้นตอน ดงั น้ี 3.1 กาหนดจุดประสงคใ์ นการสร้างเครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั 3.2 ศึกษาเอกสาร ทฤษฏี และงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้องกับ เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการสร้าง แบบสอบถามความคดิ เหน็ สาหรับนกั ศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา หลังจากเข้าเรียนรู้ ด้วยบทเรียนออนไลน์สาเร็จรปู 3.3 วางแผนและสร้างแบบสอบถามความคิดเห็น จานวน 1 ฉบับ โดยมีลักษณะเป็น ชดุ คาถามปลายเปดิ 3.4 นาแบบสอบถามความคิดเหน็ ท่ีสรา้ งข้ึนไปให้ผู้เช่ยี วชาญพจิ ารณาตรวจสอบความ เท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (IOC) และความเหมาะสมของข้อมูลที่ใช้ในแบบสอบถามความคิดเห็นนักศึกษา ระดับประถมศึกษา หลังจากเข้าเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์สาเร็จรูปตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการ ชนี้ าตนเอง 3.5 ปรับปรุงแกไ้ ขแบบสอบถามความคดิ เห็นตามคาแนะนาของผเู้ ช่ียวชาญ 3.6 จัดพิมพ์แบบสอบถามความคิดเห็น โดยใช้แอปพลิเคชัน Google form และ เผยแพรล่ งเว็บไซต์บทเรยี นสาเรจ็ รปู ออนไลนต์ ามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง เพื่อนาไปใช้กับ กลุ่มเปา้ หมายตอ่ ไป การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยทาการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 ผ่านเว็บไซต์บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชา วิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา โดยดาเนินการเก็บรวบรวม ข้อมูล ดังน้ี 1. ผู้วิจัยวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรูปแบบพบกลุ่มของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน. อาเภอแสวงหา ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 และใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงมาเป็น กลมุ่ เปา้ หมายในการวจิ ัย 2. ปฐมนิเทศ ช้ีแจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้กลุ่มเป้าหมายรับทราบและอธิบายถึงบทบาท หนา้ ท่ีของผูว้ จิ ยั ครู และผเู้ รียน 3. ผู้วิจัยดาเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วย การชี้นาตนเอง โดยกาหนดระยะเวลาให้นักศึกษาเข้าศึกษา เป็นเวลา 5 สัปดาห์ และเข้าเก็บข้อมูลผล การเขา้ ใช้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรียน และผลการตอบแบบสอบถามความคดิ เหน็

~ 27 ~ 4. ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้จากผลการเข้าใช้บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วย การชี้นาตนเอง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และผลการตอบแบบสอบถามความ คิดเห็น มาวเิ คราะหด์ ว้ ยวธิ กี ารทางสถติ ิพ้ืนฐาน และเรยี บเรยี งนาเสนอในรูปของความเรียง การวิเคราะห์ข้อมลู การวิจยั ในครั้งน้ี ผ้วู ิจยั วเิ คราะห์ข้อมลู ดงั น้ี 1. วเิ คราะหป์ ระสิทธิภาพบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใชส้ ตู ร E1/E2 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ก่อนเรียน- หลังเรียน ด้วยบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชา วิทยาศาสตร์ โดยใช้คา่ เฉล่ยี รอ้ ยละ และร้อยละความก้าวหน้า 3. วเิ คราะห์ความคิดเห็นของนักศกึ ษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา โดยใช้ค่าเฉล่ีย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และแปรผลการประเมนิ คา่ ของลเิ คิรต์ สถิตทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. สถติ ิพ้นื ฐาน 1.1 คา่ เฉลี่ย ∑ ̅ เมอ่ื ̅ แทน คะแนนเฉลย่ี ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด แทน จานวนนกั เรียนทง้ั หมดในกลุ่มเป้าหมาย 1.2 รอ้ ยละ เมอ่ื แทน คะแนนค่าร้อยละ แทน ความถท่ี ่ีต้องการเปลี่ยนแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ แทน จานวนความถ่ีทงั้ หมด

~ 28 ~ 1.3 ร้อยละความกา้ วหน้า คะแนนเตม็ รอ้ ยละความกา้ วหน้า เม่ือ แทน คะแนนกอ่ นเรียน แทน คะแนนหลังเรยี น 1.4 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ∑ (∑ ) √ () เมอ่ื .D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน x แทน คะแนนแตล่ ะตวั ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด แทน จานวนนกั เรียนทงั้ หมดในกลุ่มตวั อยา่ ง - แทน จานวนตวั แปรอิสระ 2. สถิตเิ พอ่ื ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ 2.1 คา่ ความเที่ยงตรง ∑ เม่ือ แทน ดชั นีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับลักษณะ พฤติกรรม ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชีย่ วชาญ แทน จานวนผเู้ ชย่ี วชาญ

~ 29 ~ 2.2 ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 จากสตู ร E1/E2 X สูตร E1  N 100 A เมื่อ E1 คือ คา่ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ X คือ คะแนนรวมของการตอบคาถามทา้ ยหน่วย 8 หน่วย A คอื คะแนนเตม็ ของคาถามท้ายหน่วย 8 หนว่ ย N คือ จานวนนักศึกษา F สตู ร E2  N 100 B เมอื่ E2 คอื คา่ ประสทิ ธภิ าพของผลลัพธ์ F คือ คะแนนรวมของการทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น B คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น N คอื จานวนนกั ศึกษา 2.3 การประเมนิ ค่าของลิเคริ ต์ (Likert’s ati g Scale) มี 5 ระดับ ดังน้ี 5 หมายถึง เห็นด้วยอยา่ งย่ิง 4 หมายถงึ เหน็ ด้วย 3 หมายถงึ ไม่แนใ่ จ 2 หมายถึง ไมเ่ ห็นดว้ ย 1 หมายถงึ ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งย่งิ การนาคะแนนมาหาคา่ เฉลี่ย (Mean) แล้วแปรผล ดังน้ี คา่ เฉลีย่ (Mean) 4.50 – 5.00 หมายถงึ เห็นด้วยอยา่ งยิ่ง คา่ เฉล่ีย (Mean) 3.50 – 4.49 หมายถงึ เห็นด้วย ค่าเฉล่ีย (Mean) 2.50 – 3.49 หมายถงึ ไม่แน่ใจ ค่าเฉลี่ย (Mean) 1.50 – 2.49 หมายถึง ไมเ่ หน็ ด้วย คา่ เฉลย่ี (Mean) 1.00 – 1.49 หมายถงึ ไมเ่ ห็นด้วยอย่างยงิ่

~ 30 ~ บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ในการวจิ ยั เรือ่ ง บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชา วิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ผู้วิจัยมีความประสงค์ เพื่อพัฒนาบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษาท่ีไม่สามารถมาเรียนแบบ พบกลุ่มได้ รวมทั้งเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังการใช้บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ ตามแนวคดิ การเรียนรู้ดว้ ยการชีน้ าตนเอง รายวชิ าวิทยาศาสตร์ และศกึ ษาความคิดเห็นของนักศึกษาท่ี มีต่อบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ ได้ ผลการวิจัยดังน้ี 1. ผลการทดสอบประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วย การช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั ศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา ตาราง 1 แสดงค่าร้อยละของคะแนนจากการตอบคาถามท้ายหน่วย และคะแนนจากการทดสอบหลัง เรียน (n = 5) คะแนนจากการตอบคาถามทา้ ยหนว่ ย คะแนนจากการทดสอบหลงั เรยี น E1/E2 (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) 81.3 80.8 81.3/80.8 จากตาราง 1 พบว่า การทดสอบประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์โดยใช้บทเรียนสาเร็จรูป ออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับ ประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา มปี ระสทิ ธิภาพ 81.3/80.8 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ก่อน เรียน-หลังเรียนด้วยบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชา วิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดัง ตาราง 2

~ 31 ~ ตาราง 2 แสดงคะแนนเฉล่ีย ร้อยละ และร้อยละความก้าวหน้าจากกลุ่มเป้าหมายในการทดสอบ ประสทิ ธภิ าพ (n = 5) คนท่ี คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ รอ้ ยละ แปรผล กอ่ นเรียน ก่อนเรยี น หลงั เรยี น หลังเรียน ความกา้ วหน้า สงู ข้ึน 1 25 50 43 86 36 สงู ขนึ้ 54 37 74 20 สงู ข้นึ 2 27 68 48 96 28 สูงขึ้น 62 42 84 22 สูงขน้ึ 3 34 40 32 64 24 สงู ขน้ึ 54.8 40.4 80.8 26 4 31 5 20 ̅ 27.4 จากตาราง 2 คะแนนเฉล่ียก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการ เรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอ แสวงหา จากการทดสอบประสิทธิภาพ พบว่า นักศึกษามีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย 27.4 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 54.8 มีคะแนนหลังเรียนเฉล่ีย 40.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.8 เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบ ความแตกต่างด้วยร้อยละความก้าวหน้าพบว่า นักศึกษามีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉล่ีย ก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 26 3. ผลความคิดเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหาท่ีมีต่อบทเรียน สาเรจ็ รปู ออนไลน์ตามแนวคดิ การเรยี นรดู้ ้วยการชน้ี าตนเอง รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ดงั ตาราง 3 ตาราง 3 แสดงคา่ เฉลีย่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแปลความหมายของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่มีต่อบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ (n=5) ท่ี ความคิดเหน็ ̅ SD. แปลความหมาย 5.00 0.00 เห็นดว้ ยอยา่ งย่ิง 1 นกั ศึกษาชอบเรยี นดว้ ยบทเรียนออนไลน์ 4.93 0.25 เหน็ ด้วยอยา่ งยง่ิ 2 นกั ศกึ ษาไดเ้ สาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 4.83 0.38 เหน็ ดว้ ยอย่างยง่ิ 3 นกั ศกึ ษามคี วามสขุ ในการเรียน 4.80 0.41 เห็นด้วยอยา่ งยง่ิ 4 นักศึกษามีโอกาสไดต้ ัดสินใจด้วยตนเอง 4.87 0.35 เหน็ ดว้ ยอยา่ งย่งิ 5 นกั ศึกษามีอสิ ระในการเรียนมากขนึ้ 4.67 0.66 เหน็ ด้วยอยา่ งยง่ิ 6 นักศกึ ษาไดร้ บั ความรู้เหมอื นเรียนกบั ครตู วั จริง 4.83 0.38 เห็นด้วยอย่างยงิ่ 7 เน้ือหาในบทเรยี นออนไลน์เป็นลาดบั ขั้นตอนเขา้ ใจง่าย 4.82 0.40 เห็นดว้ ยอย่างย่ิง 8 ภาพ เสยี ง ภาษาในบทเรียนออนไลน์ชดั เจนเข้าใจง่าย

~ 32 ~ ท่ี ความคิดเหน็ ̅ SD. แปลความหมาย 9 การออกแบบจอภาพชัดเจน ดงู า่ ย สบายตา 4.78 0.45 เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง 10 กจิ กรรมในบทเรยี นออนไลน์เขา้ ใจงา่ ย สามารถปฏบิ ตั ิตามได้ 4.84 0.39 เหน็ ดว้ ยอยา่ งยงิ่ 4.85 0.10 เหน็ ด้วยอย่างยงิ่ เฉลี่ยรวม จากตาราง 3 พบว่า ความเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ท่ีมีต่อ บทเรียนสาเรจ็ รปู ออนไลนต์ ามแนวคิดการเรียนรูด้ ว้ ยการช้นี าตนเอง รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง ( X = 4.85) เม่ือพิจารณารายข้อพบว่านักศึกษาชอบเรียนด้วยบทเรียน ออนไลน์ มีค่าเฉล่ียสูงสุด ( X = 5.00) รองลงมานักศึกษาได้เสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ( X =4.93) นักศึกษามีอิสระในการเรียนมากขึ้น ( X = 4.87) กิจกรรมในบทเรียนออนไลน์เข้าใจง่าย สามารถปฏิบัติตามได้ ( X = 4.84) นักศึกษามีความสุขในการเรียน เน้ือหาในบทเรียนออนไลน์เป็น ลาดับข้ันตอนเข้าใจง่าย ( X = 4.83) ภาพ เสียง ภาษาในบทเรียนออนไลน์ชัดเจนเข้าใจง่าย ( X = 4.82) การออกแบบจอภาพชัดเจน ดูง่าย สบายตา ( X = 4.78) ตามลาดับ และนักศึกษาได้รับ ความรเู้ หมือนเรียนกบั ครูตัวจริง ( X = 4.67) มีค่าเฉลย่ี ต่าสดุ

~ 33 ~ บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ การวิจัย เรื่อง ผลการใช้บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนกั ศึกษาระดับประถมศกึ ษา กศน.อาเภอแสวงหา มีสรุป อภิปรายผล และ ขอ้ เสนอแนะ ดงั นี้ วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั 1. เพ่ือศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นา ตนเอง รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา 2. เพือ่ เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์ ก่อนและหลังการใช้บทเรียน สาเร็จรปู ออนไลนต์ ามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน. อาเภอแสวงหา 3. เพ่ือศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่มีต่อ บทเรียนสาเรจ็ รปู ออนไลน์ตามแนวคดิ การเรยี นรดู้ ้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ขอบเขตการวิจยั 1. ขอบเขตด้านกลมุ่ เป้าหมาย นักศึกษาระดับประถมศึกษาท่ีลงทะเบียนเรียน ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน 6 คน 2. ขอบเขตด้านเน้ือหา เนื้อหาท่ีใช้ในการวิจยั ประกอบด้วย บทที่ 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี บทท่ี 2 ส่ิงมีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม บทท่ี 3 สารเพื่อชีวิต บทท่ี 4 แรงและพลังงานเพ่อื ชีวิต บทที่ 5 ดาราศาสตรเ์ พอ่ื ชวี ิต 3. ขอบเขตดา้ นพน้ื ที่ และระยะเวลา พนื้ ทก่ี ารพฒั นาบทเรยี นออนไลน์สาเร็จรูปผา่ น Google Site โดยเผยแพร่ให้นักศึกษาผ่าน ช่องทางติดต่อส่ือสาร Line กลุ่มประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา และ Facebook page : กศน. อาเภอแสวงหา จังหวดั อ่างทอง ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

~ 34 ~ 4. ขอบเขตดา้ นตัวแปร ตวั แปรตน้ บทเรียนสาเร็จรปู ออนไลน์ตามแนวคดิ การเรียนรู้ด้วยการชน้ี าตนเอง ตวั แปรตาม ประสิทธิภาพของบทเรยี นออนไลนส์ าเร็จรูป ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ความคดิ เหน็ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยทาการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 ผ่านเว็บไซต์บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชา วิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา โดยดาเนินการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล ดงั น้ี 1. ผู้วิจัยวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรูปแบบพบกลุ่มของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 และใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงมาเป็น กลุม่ เป้าหมายในการวิจัย 2. ปฐมนิเทศ ช้ีแจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้กลุ่มเป้าหมายรับทราบและอธิบายถึงบทบาท หน้าท่ขี องผู้วิจยั ครู และผู้เรยี น 3. ผู้วิจัยดาเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วย การช้ีนาตนเอง โดยกาหนดระยะเวลาให้นักศึกษาเข้าศึกษา เป็นเวลา 5 สัปดาห์ และเข้าเก็บข้อมูลผล การเข้าใช้ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน และผลการตอบแบบสอบถามความคดิ เหน็ 4. ผู้วิจัยนาข้อมูลท่ีได้จากผลการเข้าใช้บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วย การชี้นาตนเอง ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และผลการตอบแบบสอบถามความ คดิ เห็น มาวิเคราะหด์ ้วยวิธกี ารทางสถิติพน้ื ฐาน และเรยี บเรียงนาเสนอในรปู ของความเรยี ง สรปุ ผลการวจิ ัย 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มปี ระสทิ ธภิ าพสูงกวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด 80/80 ทต่ี ัง้ ไว้ คอื มีประสทิ ธิภาพเฉลยี่ รวมเทา่ กบั 81.3/80.8 2. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนกั ศึกษา มีคะแนนกอ่ นเรยี นเฉลี่ย 27.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 54.8 มีคะแนนหลังเรียนเฉล่ีย 40.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.8 เม่ือวิเคราะห์เปรียบเทียบความ แตกตา่ งดว้ ยร้อยละความก้าวหน้าพบว่า นกั ศกึ ษามีคะแนนเฉลยี่ หลงั เรียนสูงกวา่ คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเปน็ ร้อยละ 26

~ 35 ~ 3. ความเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่มีต่อบทเรียนสาเร็จรูป ออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็น ดว้ ยอย่างยิ่ง ( X = 4.85) เมือ่ พิจารณารายขอ้ พบว่านักศกึ ษาชอบเรียนดว้ ยบทเรียนออนไลน์ มีค่าเฉลี่ย สูงสุด ( X = 5.00) รองลงมานักศึกษาได้เสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ( X =4.93) และนักศึกษา ไดร้ บั ความรู้เหมอื นเรียนกบั ครตู วั จรงิ ( X = 4.67) มคี า่ เฉล่ยี ตา่ สุด อภปิ รายผล ในการวจิ ยั เรือ่ ง ผลการใช้บทเรยี นสาเรจ็ รูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพ่ือศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา 2) เพ่ือเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ก่อนและหลังการใช้บทเรยี นสาเรจ็ รูปออนไลน์ตามแนวคิด การเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา และ 3) เพ่ือ ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ท่ีมีต่อบทเรียนสาเร็จรูป ออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษา ไดแ้ ก่ บทเรยี นสาเร็จรปู ออนไลน์ตามแนวคดิ การเรียนรู้ด้วยการช้นี าตนเอง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็น จากการวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้สร้างบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการ ช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ได้บรรลุ ตามวัตถุประสงคแ์ ละเปน็ ไปตามสมมตฐิ านที่ตง้ั ไว้ ซง่ึ สรุปผลการศกึ ษาได้ ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น มี ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนด 80/80 ที่ตั้งไว้ คือ มีประสิทธิภาพเฉลี่ยรวมเท่ากับ 81.3/80.8 บทเรียนออนไลน์ท่ีสร้างขึ้นช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นอย่างดี เน่ืองจากนักศึกษาไม่เคย เรียนจากบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ จึงทาให้มีความกระตือรือร้นในการเรียน และยังได้ฝึกปฏิบัติโดยทาแบบฝึกหัดในบทเรียน และได้ผล ป้อนกลับในทันที ทาให้นักศึกษาเรียนด้วยความสนุก อยากเรียนซ้าอีก ท้ังน้ีเพราะนักศึกษาลงมือทา กิจกรรมด้วยตนเอง บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชา วิทยาศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาน้ัน ได้รวบรวมส่ือการเรียนการสอนไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งบทเรียน สาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ มีการวัดผล

~ 36 ~ ประเมินผลเป็นระยะ ได้แก่ ประเมินผลก่อนเรียนเพ่ือทราบพ้ืนฐานของนักศึกษา ประเมินผลระหว่าง เรียน และประเมินผลหลังเรียนเพ่ือทราบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของตนเอง ทาให้นักศึกษาสามารถ พฒั นาตนเองได้อย่ตู ลอดเวลา และช่วยให้ครูผสู้ อนไดท้ ราบประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ว่าเป็นอย่างไร มีจุดบกพร่องตรงไหน เพื่อนาไปให้ดีข้ึน ดังคากล่าวของ สุภพงษ์ วงศ์สมิตกุล (2553) ได้ทาการวิจัยเรื่องการพัฒนาบทเรียน ออนไลน์ (online) โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานพ้ืนฐาน อาชีพและเทคโนโลยี เร่ืองการเพาะเห็ดหอม สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ผลการวิจัยพบว่าบทเรียนออนไลน์(online) โดยใช้เทคโนโลยีส่ือสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานพ้ืนฐานอาชีพและเทคโนโลยี เร่ืองการเพาะเห็ดหอมที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกาหนด 85/85 นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ (online) โดย ใช้เทคโนโลยีส่ือสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานพื้นฐานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง การเพาะเห็ดหอม มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 และความ คิดเห็นของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ (online) โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานพื้นฐานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องการเพาะเห็ดหอม มีความคิดเห็นเฉลี่ย รวมอยู่ในระดับเหน็ ดว้ ยอย่างยิ่ง 2. ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักศกึ ษา มคี ะแนนกอ่ นเรียนเฉลยี่ 27.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 54.8 มีคะแนนหลังเรียนเฉลี่ย 40.4 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.8 เม่ือวิเคราะห์เปรียบเทียบความ แตกตา่ งด้วยรอ้ ยละความก้าวหน้าพบวา่ นักศึกษามีคะแนนเฉลย่ี หลงั เรยี นสงู กวา่ คะแนนเฉลย่ี กอ่ นเรียน คิดเป็นร้อยละ 26 แสดงว่านักศึกษามีความก้าวหน้าทางการเรียน และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เพ่ิมข้ึน แสดงให้เห็นว่า บทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชา วิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนนั้นสามารถ พัฒนาความรคู้ วามสามารถของนักศกึ ษาได้ดี เพราะวา่ บทเรยี นสาเรจ็ รูปออนไลนต์ ามแนวคดิ การเรียนรู้ ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ไดร้ ับการตรวจสอบจาก ผูเ้ ชย่ี วชาญ และผา่ นการทดลองใช้มาแล้ว 3. ความเห็นของนักศึกษาระดับประถมศึกษา กศน.อาเภอแสวงหา ที่มีต่อบทเรียนสาเร็จรูป ออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็น ด้วยอยา่ งย่งิ ( X = 4.85) เมอ่ื พจิ ารณารายขอ้ พบว่านักศึกษาชอบเรยี นด้วยบทเรียนออนไลน์ มีค่าเฉลี่ย สูงสุด ( X = 5.00) รองลงมานักศึกษาได้เสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ( X =4.93) และนักศึกษา

~ 37 ~ ได้รับความรู้เหมือนเรียนกับครูตัวจริง ( X = 4.67) มีค่าเฉล่ียต่าสุด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปรัชญนันท์ นิลสุข (2550) ได้ศึกษาการพัฒนามัลติเว็บบล็อกเพ่ือการจัดการเรียนรู้สาหรับ สถาบันอุดมศึกษาเป็นการวิจัยและพัฒนามัลติเว็บบล็อกในการจัดการเรียนรู้ โดยศึกษาพฤติกรรมการ จัดการเรียนรู้ เจตคติและความพึงพอใจในการจัดการความรู้ด้วยมัลติเว็บบล็อกของอาจารย์และ เจ้าหน้าท่ี พบวา่ เจตคตแิ ละความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยมัลติเว็บบล็อกอยู่ในระดับมาก และ งานวิจัยของสุภพงษ์ วงศ์สมิตกุล (2553) ได้ศึกษาการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ (Online) โดยใช้ เทคโนโลยีสื่อสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องการเพาะ เห็ดหอม สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ (Online) โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสังคม (Social Media) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เร่ืองการเพาะเห็ดหอม มีความ คิดเหน็ เฉลี่ยรวมอยใู่ นระดับเหน็ ดว้ ยอย่างย่งิ ข้อเสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะทว่ั ไป 1. ควรนาบทเรียนสาเรจ็ รูปออนไลนต์ ามแนวคิดการเรียนร้ดู ว้ ยการชี้นาตนเอง ขึ้นเวบ็ ไซต์ของ สถานศึกษา เพอื่ ประชาสมั พนั ธ์ใหบ้ ุคคลที่สนใจเข้ามาเรยี นรู้ 2. ควรจัดทาบทเรียนสาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง ให้ครบทุก รายวิชาท่ีนักศึกษาลงทะเบียนเรียน รวมทั้งระดับอ่ืน ๆ ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ในทกุ รายวชิ า ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ยั ครั้งต่อไป ควรเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างวิธีการสอนรูปแบบพบกลุ่มกับบทเรียน สาเร็จรูปออนไลน์ตามแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเอง รายวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับ ประถมศกึ ษา

~ 38 ~ บรรณานุกรม กตกิ า สายเสนีย์. (2552). คมู่ ือการใชง้ าน tweeter. สืบคน้ มนี าคม 17, 2565, จาก http://www.keng.com. กมลพรรณ เครือวลั ย์. (2544). การพัฒนาและหาประสทิ ธภิ าพบทเรยี นคอมพวิ เตอร์บนเครอื ขา่ ย อนิ เตอรเ์ นต็ ในการสอนวชิ าการสื่อสารข้อมลู . วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาครศุ าสตร์ อุตสาหกรรม มหาบัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยเี ทคนคิ ศกึ ษา ภาควชิ าครุศาสตร์ เทคโนโลยบี ัณฑติ วทิ ยาลัย สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. กอบวทิ ย์ พิรยิ ะวฒั น์. (2553). Social media. สบื คน้ มีนาคม 17, 2565, จาก http://www.teacherkobwit2010. wordpress.com. กิดานันท์ มลิทอง (2543). เทคโนโลยีการศกึ ษาและนวัตกรรม. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: อรณุ การพมิ พ.์ เจรญิ พงษ์ วชิ ัย, พระมหาสาทร บญุ ชูยะ, พระมหาถนอม พิมพส์ วุ รรณ,์ สายน้าผึง้ รตั นงาม, & คตี า องอาจ. (2564). การพฒั นาห้องเรียนออนไลน์ เพื่อกระตนุ้ การเรยี นรวู้ ิชาธรรมวิภาคสาหรบั นกั เรยี นธรรมศกึ ษาชัน้ ตร.ี วารสาร มจร พทุ ธปญั ญาปริทรรศน์, 6(3), 177-191. ใจทิพย์ ณ สงขลา. (2542). การสอนผา่ นเครือข่ายเวลิ ด์ไวดเ์ วบ็ . วารสารครุศาสตร,์ 27(3), 18-28. ถนอมพร เลาหจรสั แสง (2544). การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) นวัตกรรมเพ่อื คุณภาพ การเรียนการสอน .วารสารศึกษาศาสตร์สาร, 28(1), 87-94. ธงชัย ทองอยู่. (2543). การพฒั นาบทเรียนออนไลน์ วชิ าหลักการเบือ้ งตน้ ของระบบรับส่งใยแก้วนา แสง. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาครศุ าสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑติ สาขาวชิ าไฟฟ้าภาควชิ าครุ ศาสตร์ไฟฟา้ บณั ฑติ วทิ ยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. ธนาธร ทะนานทอง (2551). การพัฒนาระบบการจดั การเรยี นการสอนโดยใชเ้ ทคโนโลยเี ว็บบลอ็ ก. นครราชสีมา: มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. บญุ มี พนั ธุไ์ ทย. (2542). การวจิ ยั ในช้ันเรียน. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั รามคาแหง. บุญเรือง เนยี มหอม. (2540). การพัฒนาระบบการเรยี นการสอนทางอนิ เตอร์เน็ตใระดบั อุดมศกึ ษา. วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาโท. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ปรชั ญนนั ท์ นลิ สุข (2543) . นยิ ามเว็บชว่ ยสอน Definition of Web-Based Instruction. วารสาร พัฒนาเทคนคิ ศกึ ษาสถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนือ, 12 (34), 53-56

~ 39 ~ ปยิ ะ ศักดิ์เจรญิ . (2558). ทฤษฎกี ารเรียนรู้ผู้ใหญแ่ ละแนวคิดการเรียนรดู้ ว้ ยการช้ีนาตนเอง: กระบวนการเรียนรู้เพ่ือการส่งเสรมิ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ Adult Learning Theory and Self- Directed Learning Concept: Learning Process for Promoting Lifelong Learning. J Royal Thai Army Nurses [Internet]. 16(1), 8-13. พูลศรี เวศยอ์ ฬุ าร. (2543). ผลการเรยี นผ่านเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ตของนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 สบื ค้น มีนาคม 17, 2565, จาก http://www.thaicai.com/articles/wbi 3.html. ลว้ น สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยทางการศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร. สุริวิยาส์น. วราภรณ์ ผ่องสวุ รรณ. (2547). การพฒั นาบทเรียนผ่านเวบ็ เร่ือง เทคโนโลยสี ารสนเทศและการ บรหิ ารกรณศี กึ ษานกั ศกึ ษารัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. วทิ ยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตร มหาบณั ฑิตสาขาวิชาเทคโนโลยีการศกึ ษา ภาควชิ าเทคโนโลยีการศึกษาบณั ฑติ . มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. วชิ ุดา รตั นเพียร. (2542). การเรยี นการสอนผ่านเว็บ:ทางเลอื กใหมข่ องเทคโนโลยีการศกึ ษาไทย. วารสารครุศาสตร์, 27(3), 29-35. ศักรินทร์ ชนประชา. (2562). การศกึ ษาตลอดชวี ติ . AL-NUR JOURNAL OF GRADUATE SCHOOL, FATONI UNIVERSITY, 14(26), 159-175. สุภพงษ์ วงศส์ มติ กุล. (2553). รายงานวจิ ัยเร่อื งการพัฒนาบทเรียนออนไลน(์ online)โดยใช้เทคโนโลยี สื่อสังคม(Social Media)กลมุ่ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี เรื่องการเพาะเหด็ หอมสาหรับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรียนปากช่อง จังหวดั นครราชสีมา. เสกสรร สวยสสี ด. (2545). การใช้ประโยชนจ์ ากอินเตอรข์ องนกั ศกึ ษา อาจารยแ์ ละผูบ้ ริหาร สถาบนั ราชภัฏอุดรธานี. วิทยานพิ นธ์ปริญญาโท. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ออมสิน ชา้ งทอง. (2546). การพัฒนาบทเรียนบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เนต็ รายวชิ าเสริมสรา้ งคณุ ภาพ ชวี ิตเรอ่ื ง ชีวติ กบั นนั ทนาการสาหรับนสิ ติ ปริญญาตรมี หาวิทยาลัยนเรศวร. วทิ ยานิพนธ์ ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีและสอ่ื สารการศึกษาบัณฑติ วทิ ยาลยั . มหาวิทยาลยั นเรศวร. อาภาพร กลิน่ เทศ. (2565). มู้กส์ บทเรียนออนไลน:์ การใหท้ ่ีไมม่ สี ้ินสุด. Journal of MCU Social Science Review, 438-452. Arvanitis, Theodoros N. (1997). Web site structure: SIMQ tutorial (Issue 2). [On-Line]. Available : http://www.cogs.susx.ac.uk/users/theoa/simq/tutorial_issue2. Doherty, A.(1910). The Internet: Destined to Become a Passive Surfing Technology?. Educational Technology, 38 (5) (Sept-Oct 19100): 61-63.

~ 40 ~ Driscoll, M. (1997). Defining Internet-Based and Web-BasedTraining. Performance Improvement. 36(4), 5-9. Hall, B. (1997). FAQ for web-based training.Multimedia and Training Newsletter. [On- Line]. Available : http://www.brandon-hall.com/faq.html. Khan (Ed.), Web-based instruction (pp. 241-242). Englewood Cliffs, NJ: Educational Technologies Publications. Knowles MS, Holton III EF, Swanson RA. (2005). The adult learner: The definitive classic in adult education and human resourcedevelopment. 6th ed. London: Burlington. Potter , D.J. (1910). Evaluation Methods Used in Web-based Instruction and Online Course, Taming the Electronic Frontier. [On-Line]. Available: http://mason.gmu.edu/dpotter1/djp 611.html.

~ 41 ~