สกิ ขาจาริก อานาจกั รลา้ นนา พระครูสนั ตยากร/ไขจนั ทร์ พธ.บ.ปี ๓ รหัส ๖๔๐๙๕๐๑๐๑๒ นาเสนอ รศ.บรรจง โสดาดี วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสรสนเทศทางการศกึ ษา
1 อาณาจกั รลา้ นนา (คาเมือง: ) คอื ราชอาณาจกั รของชาวไทยวนในอดตี ตง้ั อยูบ่ ริเวณภาคเหนอื ตอนบน ของประเทศไทย ตลอดจนสบิ สองปันนา เชน่ เมืองเชยี งรุ่ง (จงิ่ หง) มณฑลยนู นาน ประเทศจนี ภาค ตะวนั ออกของประเทศพม่า เช่น ฝ่ังตะวนั ออกของแมน่ า้ สาละวนิ ซง่ึ มเี มอื งเชยี งตงุ เป็นเมอื งเอก ฝ่ังตะวนั ตก แม่นา้ สาละวนิ มเี มืองนายเป็นเมอื งเอก และครอบคลมุ 8 จงั หวัดภาคเหนือตอนบนในปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ จงั หวดั เชียงใหม่ ลาพนู ลาปาง เชยี งราย พะเยา แพร่ นา่ น และแม่ฮอ่ งสอน[3] โดยมเี มืองเชยี งใหม่ เป็นราชธานี มี ภาษา ตวั หนงั สอื วฒั นธรรม และประเพณเี ป็นของตนเอง เคยถกู ปกครองในฐานะรฐั บรรณาการหรือรฐั สว่ ย ของอาณาจกั รตองอู อาณาจกั รอยุธยา และ อาณาจกั รลา้ นชา้ ง จนสนิ้ ฐานะอาณาจกั ร กลายเป็นเมืองสว่ น หนึ่งของอาณาจกั รตองอสู มยั ญองยานไปในท่ีสดุ และรวมเขา้ กบั สยามจนเป็นภาคเหนอื ตอนบนของ ประเทศไทยจนถึงปัจจบุ นั ในช่วงครง่ึ หลงั ของครสิ ตท์ ศวรรษ 1800 รฐั สยามหยุดการเป็นเอกราชของลา้ นนาและรวมอาณาจกั รเป็น สว่ นหน่ึงของรฐั ชาติสยาม[4] โดยเร่มิ ตน้ ใน ค.ศ. 1874 เม่ือรฐั สยามปรบั เปลย่ี นอาณาจกั รลา้ นนาไปเป็น มณฑลพายพั ซึง่ อยู่ภายใตก้ ารควบคมุ ของสยามเตม็ ตวั [5] อาณาจกั รลา้ นนาถกู ควบคมุ ตามระบบ เทศาภิบาลของสยามทจ่ี ดั ตงั้ ใน ค.ศ. 1899[6][7] ใน ค.ศ. 1909 อาณาจกั รลา้ นนาไมไ่ ดเ้ ป็นรฐั อิสระอีก ต่อไป เพราะสยามไดแ้ บง่ เขตแดนของตนกบั องั กฤษและฝร่งั เศส[8] ปัจจบุ นั สว่ นหน่งึ ของอาณาจกั ร ลา้ นนากลายเป็น 8 จงั หวดั ในภาคเหนอื ตอนบนของประเทศไทย ชอ่ื ลา้ นนา หมายถึง ดนิ แดนที่มนี านบั ลา้ น หรอื มีทน่ี าเป็นจานวนมาก คกู่ บั ลา้ นชา้ ง คอื ดนิ แดนทมี่ ีชา้ งนบั ลา้ นตวั เม่ือปี พ.ศ. 2530 คาว่า \"ลา้ นนา\" กบั \"ลานนา\" เป็นหวั ขอ้ โตเ้ ถยี งกนั ซ่ึงคณะกรรมการชาระ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ซงึ่ มี ดร. ประเสรฐิ ณ นคร เป็นประธาน ไดใ้ หข้ อ้ ยตุ วิ ่า \" ประวตั ิศาสตรก์ ารก่อตง้ั อาณาจกั ร พระบรมราชานุสาวรยี ส์ ามกษัตริย;์ พญามงั ราย พญาร่วง และ พญางาเมือง ขณะทรงปรกึ ษาหารือการ สรา้ งเมืองเชยี งใหม่ พญามงั ราย กษัตริยแ์ หง่ หิรญั นครเงินยาง องคท์ ่ี 25 ในราชวงศ์ พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย;์ พญามงั ลวจงั กราชป่เู จา้ ลาวจก ไดเ้ ร่ิมตเี มืองเลก็ เมอื งนอ้ ย ตงั้ แตล่ ่มุ นา้ แม่ ราย พญาร่วง และพญางาเมือง ขณะทรง กก นา้ แม่อิง และแม่นา้ ปิงตอนบน รวบรวมเมอื งตา่ งๆใหเ้ ป็น ปรึกษาหารอื การสรา้ งเมอื งเชยี งใหม่ ปึกแผ่น นอกจากเงนิ ยางแลว้ ยงั มเี มอื งพะเยาของพญางาเมอื ง พระสหาย ซึง่ พญามงั รายไมป่ ระสงคจ์ ะไดเ้ มืองพะเยาดว้ ยการ สงคราม แต่ทรงใชว้ ิธีผูกสมั พนั ธไมตรีแทน หลงั จากขยายอานาจ ระยะหน่งึ พระองคท์ รงยา้ ยศนู ยก์ ลางการปกครอง โดยสรา้ งเมอื ง
2 เชียงรายขนึ้ แทนเมืองเงนิ ยาง เนื่องดว้ ยเชยี งรายตง้ั อยรู่ มิ นา้ แมก่ กเหมาะเป็นชยั สมรภมู ิ ตลอดจนทา การเกษตรและการคา้ ขาย หลงั จากไดย้ า้ ยศนู ยก์ ลางการปกครองมาอยู่ทเ่ี มอื งเชียงรายแลว้ พระองคก์ ไ็ ดข้ ยายอาณาจักรแผอ่ ทิ ธพิ ล ลงทางมาทางทศิ ใต้ ขณะนน้ั กไ็ ดม้ ีอาณาจกั รที่เจริญรุ่งเรอื งมาก่อนอยู่แลว้ คือ อาณาจกั รหรภิ ุญชยั มีนคร ลาพนู เป็นเมอื งหลวงตงั้ อยูใ่ นชยั สมรภูมทิ ี่เหมาะสมประกอบดว้ ยมีแม่นา้ สองสายไหลผ่านไดแ้ กแ่ มน่ า้ กวง และแมน่ า้ ปิงซึ่งเป็นลานา้ สายใหญไ่ หลลงสทู่ ะเลเหมาะแก่การคา้ ขายและการปอ้ งกนั พระนคร มีนคร ลาปางเป็นเมอื งหนา้ ด่านคอยปอ้ งกนั ศกึ ศตั รู สองเมืองนเี้ ป็นเมืองใหญม่ ีกษัตรยิ ป์ กครองอย่างเขม้ แข็ง การ ท่ีจะเป็นใหญใ่ นดนิ แดนแถบนไี้ ดจ้ ะตอ้ งตอี าณาจกั รหริภญุ ชยั ใหไ้ ด้ พระองคไ์ ดร้ วบรวมกาลงั ผคู้ นจากทไี่ ด้ จากตเี มอื งเล็กเมอื งนอ้ ยรวมกนั เขา้ เป็นทพั ใหญ่และยกลงใตเ้ พ่อื จะตีอาณาจกั รหริภุญชยั ใหไ้ ด้ โดยเรมิ่ จาก ตเี มืองเขลางคน์ คร นครลาปางเมอื งหนา้ ด่านของอาณาจกั รหรภิ ญุ ชยั กอ่ น เมอ่ื ไดเ้ มืองลาปางแลว้ ก็ยกทพั เขา้ ตนี ครลาพนู (แควน้ หรภิ ุญชยั ) พระองคเ์ ป็นกษัตรยิ ช์ าตนิ กั รบมีความสามารถในการรบไปท่วั ทกุ สารทิศ สามารถทาศกึ เอาชนะเมอื งเล็กเมอื งนอ้ ยแมก้ ระท่งั อาณาจกั รหริภญุ ชยั แลว้ รวบเขา้ กบั อาณาจกั รโยนก เชยี งแสนไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ หลงั จากพญามงั รายรวบรวมอาณาจกั รหริภญุ ชยั เขา้ กบั โยนกเชยี งแสนเสร็จสนิ้ แลว้ ไดข้ นามนาม ราชอาณาจกั รแหง่ ใหมน่ ีว้ ่า \"อาณาจกั รลา้ นนา\" พระองคม์ ดี ารจิ ะสรา้ งราชธานแี ห่งใหมน่ ใี้ หใ้ หญ่โตเพอ่ื ให้ สมกบั เป็นศนู ยก์ ลางการปกครองแหง่ อาณาจกั รลา้ นนาทง้ั หมด พรอ้ มกนั นนั้ ก็ ไดอ้ ญั เชิญพระสหายสนทิ รว่ มนา้ สาบานสองพระองคไ์ ดแ้ ก่ พญางาเมอื งแหง่ เมอื งพะเยา และ พอ่ ขุนรามคาแหงแห่งสโุ ขทยั มาร่วม กนั สถาปนาราชธานีแห่งใหมใ่ นสมรภูมิบรเิ วณทลี่ มุ่ รมิ ฝ่ังมหานทแี ม่ระมงิ ค์ (แม่นา้ ปิง) โดยตง้ั ชอื่ ราชธานี แห่งใหมน่ วี้ ่า \"นพบุรีศรนี ครพิงคเ์ ชยี งใหม\"่ แต่ก่อนท่ีจะตง้ั เมอื ง พระองคท์ รงไดส้ รา้ งราชธานชี ่วั คราวขนึ้ กอ่ นแลว้ ซึง่ กเ็ รยี กวา่ เวยี งกมุ กามแตเ่ น่อื งจากเวียงกมุ กามประสบภยั ธรรมชาตใิ หญห่ ลวงเกิดนา้ ท่วมเมอื ง จนกลายเป็นเมอื งบาดาล ดงั นนั้ พระองคจ์ งึ ไดย้ า้ ยราชธานีมาอยู่ ณ นครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 และได้ เป็นศนู ยก์ ลางการปกครองราชอาณาจกั รลา้ นนานบั แต่นนั้ นครเชยี งใหมม่ อี าณาเขตบรเิ วณอยูร่ ะหว่างเชงิ ดอยออ้ ยชา้ ง (ดอยสเุ ทพ) และ บรเิ วณท่รี าบฝ่ังขวาของแมน่ า้ ปิง (พิงคนท)ี นบั เป็นสมรภูมทิ ดี่ ีและเหมาะแก่ การเพาะปลกู เนือ่ งจากเป็นบรเิ วณทร่ี าบล่มุ มีแมน่ า้ ไหลผ่าน สมัยยคุ รุง่ เรอื ง ความเจรญิ ของลา้ นนานน้ั เริม่ ปรากฏอย่างเดน่ ชดั นบั ตง้ั แต่สมยั พญากอื นาเป็นตน้ มา ดว้ ยการทาให้ เชียงใหมเ่ ป็นศนุ ยก์ ลางศาสนาแทนหริภญุ ชยั พระองคท์ รงรบั พทุ ธ ศาสนานกิ ายลงั กาวงศจ์ ากสโุ ขทยั และ อาราธนาพระสมุ นเถระมาจาพรรษาทีว่ ดั สวนดอก ในระยะนนี้ กิ ายวดั สวนดอกในเชยี งใหม่ ไดร้ ุง่ เรอื งมาก และมชี อื่ เรียกอกี อยา่ งหนึง่ ว่า “นิกายรามญั ” หรอื ตง้ั แต่ราวชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 20 เป็นตน้ มา
3 ในช่วงเวลานหี้ ลกั ฐานสาคญั คอื จารกึ วดั พระยนื น้ันกลา่ วถงึ การอญั เชิญพระธาตโุ ดยพระสมุ นเถระจาก สโุ ขทยั ขนึ้ มา เชยี งใหมใ่ นรชั กาลพระเจา้ กอื นารูปแบบสถาปัตยกรรมไดป้ รากฏเจดียท์ รงกลม ดงั ตวั อยา่ ง สาคญั ท่ี เจดียว์ ดั สวนดอก เชยี งใหม่ เป็นท่พี ระเจา้ กอื นาโปรดใหส้ รา้ งขนึ้ เป็นท่ีประทบั ของพระสมุ นเถระ เป็นตน้ และเจดียท์ ีใ่ ชร้ ูปแบบเจดยี ส์ โุ ขทยั ดงั ตวั อยา่ งสาคญั ทนี่ กั วิชาการเช่ือวา่ น่าจะปรากฏในชว่ งนคี้ อื เจดยี ก์ มู่ า้ ลาพนู เป็นตน้ สถาปัตยกรรมในชว่ งเวลาขา้ งตน้ ถอื ไดว้ า่ มีความสมั พนั ธอ์ ย่างย่ิงกบั การเผย แพรพ่ ทุ ธศาสนาลงั กาวงส์ หรือทเี่ รียกกนั ท่วั ไปวา่ “นิกายรามญั ” (พทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทแบบมอญ) เมอื่ ล่วงถึงรชั กาลพระเจา้ แสนเมืองมา และสามประหยาฝ่งั แกน สถาปัตยกรรมคงถือไดว้ า่ เป็นชว่ งทสี่ ง่ ผา่ น ใหง้ านสถาปัตยกรรมเจริญอยา่ งสงู ใน รชั กาลตอ่ มาคอื รชั กาลพระเจา้ ติโลกราช พระองคไ์ ดแ้ ผ่ขยายพืน้ ที่ ครอบคลมุ พนื้ ทเ่ี มอื งแพรแ่ ละนา่ นได้ ดงั นน้ั ความเป็นปึกแผ่นของอาณาจกั ร รวมทงั้ การสบื ศาสนาลงั กา วงศใ์ หม่ นาไปสคู่ วามมน่ั คงทง้ั ดา้ นอาณาจกั รและศาสนจกั ร จงึ ทาใหต้ งั้ แตร่ ชั กาลนเี้ ป็นตน้ มา สง่ ผลใหถ้ ือ เป็นยุครุ่งเรอ่ื งทางดา้ นสถาปัตยกรรมดว้ ย พระเจา้ ตโิ ลกราชทรงใหม้ กี ารทาสงั คายนาพระไตรปิฏกครง้ั ท่ี 8 ที่ “วดั มหาโพธาราม” หรือวดั เจด็ ยอด สถาปัตยกรรมในวดั เจด็ ยอดจงึ อาจถอื เป็นตวั แทนของงานชา่ งสถาปัตยกรรมในพนื้ ท่ี เชยี งใหมใ่ นสมยั นไี้ ด้ เป็นอย่างดี ดงั ตวั อยา่ งของวิหารมหาโพธทิ์ ีส่ นั นิษฐานว่านา่ จะเป็นการถ่ายแบบจากประเทศ อินเดยี อนมิ สิ เจดยี ์ มณฑปพระแกน่ จทั รแ์ ดง เป็นตน้ สบื เน่ืองถงึ รชั กาลพระเมืองแกว้ ผลดจี ากรชั กาลกอ่ นจึงสง่ ใหก้ บั รชั กาลนเี้ ชน่ กนั ทง้ั ในรชั กาลพระเจา้ ตโิ ลก ราชและรชั กาลพระเมอื งแกว้ สถาปัตยกรรมในช่วงเวลา ขา้ งตน้ ถือไดว้ ่ามีความสมั พนั ธอ์ ยา่ งยิง่ กบั การ เผยแพร่พทุ ธศาสนาลงั กาวงส์ ใหม่หรอื ทเ่ี รียกวา่ ” สีหลภิกขุ านนา\" เป็นคาทถี่ กู ตอ้ ง และเป็นคาทใี่ ชก้ นั ใน วงวชิ าการ[9]ลา้ นนายงั มชี ือ่ ใกลเ้ คยี งและสมั พนั ธก์ บั อาณาจกั รใกลเ้ คยี งอื่นอีกดว้ ย เช่น สบิ สองปันนา เป็น ตน้ ปัญหาท่นี าไปสกู่ ารโตเ้ ถยี งกนั นนั้ สืบเนอื่ งมาจากในอดีตการเขยี นมกั ไม่ค่อยเครง่ ครดั ในเร่อื งวรรณยกุ ต์ แต่ก็เป็นทเ่ี ขา้ ใจกนั ว่า แมจ้ ะเขียนโดยไม่มรี ูปวรรณยกุ ตโ์ ทกากบั แตใ่ หอ้ า่ นเหมือนมีวรรณยุกตโ์ ท[9] สาหรบั คา \"ลานนา\" น่าจะมาจากพระบรมราชวนิ ิจฉยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ท่ีว่า \"ลานนาหมายถงึ ทาเลทานา\" ซ่ึงทาใหค้ าว่าลานนาใชก้ นั มาเป็นเวลาเกอื บหนึ่งศตวรรษ[9] ภายหลงั พ.ศ. 2510 นกั วชิ าการระดบั สงู พบวา่ ลา้ นนาเป็นคาทถี่ กู ตอ้ งแลว้ และชดั เจนยงิ่ ขนึ้ เมอื่ ดร. ฮนั ส์ เพนธ์ คน้ พบคา ว่า \"ลา้ นนา\" ในศิลาจารกึ ท่วี ดั เชียงสา ซ่งึ เขียนขนึ้ ในปี พ.ศ. 2096[10] อย่างไรกด็ ี การตรวจสอบคาว่า ลา้ นนา ไดอ้ าศยั ศพั ทภ์ าษาบาลี โดยพบว่าทา้ ยคมั ภีรใ์ บลานจากเมอื งน่านและที่อ่นื ๆ จานวนไม่นอ้ ยกวา่ 50 แห่ง เขียนว่า ทสลกขฺ เขตฺตนคร () /ทะสะลกั ขะเขตตะนะคอน/ แปลวา่ เมืองสิบแสนนา เป็นคาคกู่ บั เมือง หลวงพระบางทช่ี ่อื อาณาจกั ร ศรีสตนาคนหุต หรือชา้ งรอ้ ยหมื่น
4 คาวา่ ลา้ นนานา่ จะเกดิ ขนึ้ ครงั้ แรกในสมยั พญากือนา เนื่องจากพระนาม \"กอื นา\" หมายถึงจานวนรอ้ ยลา้ น และตอ่ มาคาวา่ ลา้ นนาไดใ้ ชเ้ รียกกษัตรยิ แ์ ละประชาชน โดยแพร่หลายมากในสมยั พระเจา้ ติโลกราช[11] ส่วนการใชค้ าว่า \"ลา้ นนาไทย\" นน้ั เป็นเสมือนการเนน้ ความเป็นไทย ซึ่งใชก้ นั มาในสมยั หลงั ดว้ ยเหตผุ ลทาง การเมอื ง[11] ชือ่ ที่ต่างชาตใิ ชเ้ รียกพม่ามกั เรยี กชื่อตามชาติพนั ธุ์ พม่าจงึ เรยี กลา้ นนาวา่ “ยวน” และเรียกหวั เมืองของชาว ไทใหญว่ า่ “ชาน”[12] หลกั ฐานจนี เรียกลา้ นนาว่า ปาไป่สีฟ่กู ๋วั แปลวา่ \"อาณาจกั รสนมแปดรอ้ ย\" เป็นชื่อท่ีราชวงศห์ ยวนใชเ้ รยี ก อาณาจกั รลา้ นนาทมี่ าของชอื่ มอี ธบิ ายในพงศาวดารราชวงศห์ ยวนฉบบั ใหม่ กล่าวไวว้ ่า \"อนั ปาไปสีฟู่ [สนม แปดรอ้ ย] นนั้ ชื่อภาษาอ๋วี า่ จิ่งไม่[เชยี งใหม่] เลา่ ลอื กนั ว่าผเู้ ป็นประมขุ มีชายาถึงแปดรอ้ ย แต่ละคนเป็นผนู้ า คา่ ยหน่ึง จงึ ไดน้ ามตามนกี้ ารลม่ สลายของอาณาจกั ร วดั เจดยี ห์ ลวง สรา้ งขนึ้ ในช่วงยุคทองของลา้ นนา องคพ์ ระเจดยี พ์ งั ทลายลงมาดว้ ยแรงแผน่ ดนิ ไหวเม่ือปี พ.ศ. 2088 อนั เป็นลางบอกเหตคุ วามแตกแยกในราชสานกั และความออ่ นแอของอาณาจกั ร อาณาจกั รลา้ นนาเรม่ิ เสอ่ื มลงในปลายรชั สมยั \"พญาแกว้ \" เมื่อกองทพั เชยี งใหมไ่ ดพ้ า่ ยแพแ้ กท่ พั เชียงตงุ ใน การทาสงครามขยายอาณาจกั ร ไพร่พลในกาลงั ลม้ ตายลงเป็นจานวนมาก ประกอบกบั ปีนนั้ เกิดอทุ กภัย ใหญห่ ลวงขนึ้ ในเมอื งเชยี งใหม่ ทาใหบ้ า้ นเรอื นราษฎรเสยี หายและผคู้ นเสยี ชีวิตลงเป็นจานวนมาก สภาพ บา้ นเมืองเรมิ่ อ่อนแอเกิดความไม่ม่นั คง หลงั จาก \"พญาแกว้ \" สนิ้ พระชนมก์ เ็ กดิ การจลาจลแย่งชงิ ราชสมบตั ิ ระหวา่ งขนุ นางมอี านาจมากขนึ้ ถึงกบั แตง่ ตง้ั หรือถอดถอนเจา้ ได้ เมอื่ นครเชยี งใหม่ศนู ยก์ ลางอานาจเกิด ส่นั คลอน เมอื งขนึ้ ต่าง ๆ ทอ่ี ยู่ในการปกครองของเชยี งใหมจ่ งึ แยกตวั เป็นอสิ ระ และไม่ส่งเคร่ืองราช บรรณาการอีกต่อไป ในยคุ นลี้ า้ นนาถกู เขา้ แทรกแซงอานาจจากอาณาจกั รล์ า้ นชา้ งและอยุธยาซึ่งลา้ นชา้ ง เป็นฝ่ายชนะในการแทรกแซงลา้ นนา สง่ ผลใหล้ า้ นชา้ งไดเ้ ขา้ มามอี ทิ ธิพลเหนอื หวั เมืองลา้ นนาทกุ หวั เมอื ง ซึง่ เจา้ เมืองแตล่ ะหวั เมืองไดย้ อมอ่อนนอ้ มและอยภู่ ายใตอ้ านาจ ส่งผลใหอ้ าณาจกั รล์ า้ นนากลายเป็นรฐั ใน อารกั ขาของลา้ นชา้ งในทสี่ ดุ ในระยะเวลาสนั้ ๆ ซง่ึ พระเจา้ โพธศิ าลราชไดก้ ลายเป็นจกั รพรรดทิ ่อี ย่เู บือ้ งหลงั ของการรวมลา้ นนาเขา้ ไวก้ บั ลา้ นชา้ งในช่วงสนั้ ๆโดยใหบ้ ตุ รชายไดป้ กครองเมืองเชียงใหม่ส่วนตนครอง เมอื งหลวงพระบางตอ่ ไป ซึง่ เมอื งหลวงพระบางในช่วงนมี้ อี านาจเหนือแควน้ ลา้ นนาทกุ หวั เมอื ง หลงั การเสยี กรุงศรีอยธุ ยาครงั้ ทห่ี นง่ึ พระเจา้ บเุ รงนองแห่งราชวงศต์ องอไู ดท้ าศึกมชี ยั ชนะไปท่วั ทุก ทิศานุทศิ จนไดร้ บั การขนานนามพระเจา้ ผชู้ นะสบิ ทศิ พระเจา้ บเุ รงนองไดท้ าศกึ ยดึ ครองนครเชยี งใหมไ่ ป ประเทศราชไดส้ าเรจ็ รวมทงั้ ไดเ้ ขา้ ไดย้ ดึ เมืองลกู หลวงและเมืองบรเิ วณของเชยี งใหมไ่ ปเป็นประเทศราช ดว้ ย ในชว่ งแรกนน้ั ทางพมา่ ยงั ไมไ่ ดเ้ ขา้ มาปกครองเชียงใหม่โดยตรง เนื่องจากยุ่งกบั การศึกกบั กรงุ ศรี อยธุ ยา แตย่ งั คงใหพ้ ระเมกุฏสิ ทุ ธิวงศ์ ทาการปกครองบา้ นเมืองต่อตามเดิม แต่ทางเชียงใหมจ่ ะตอ้ งส่ง
5 เคร่ืองราชบรรณาการไปใหห้ งสาวดี ตอ่ มาพระเจา้ เมกุฎทิ รงคดิ ทจ่ี ะตง้ั ตนเป็นอสิ ระ ฝ่ายพม่าจึงปลดออก และแต่งตงั้ มหาเทววี สิ ทุ ธิ ผมู้ เี ชอื้ ราชวงศม์ งั ราย ซ่งึ สนั นษิ ฐานว่าอาจเป็นพระมารดาของพระเจา้ เมกฏุ ิ [14][15] ขนึ้ เป็นเจา้ เมอื งเชยี งใหมแ่ ทน จนกระท่งั มหาเทวีวิสทุ ธิสนิ้ พระชนม์ ทางฝ่ายพม่าจึงไดส้ ่งเจา้ นาย ทางฝ่ายพมา่ มาปกครองแทน เพอ่ื คอยดแู ลความเรียบรอ้ ยของเมืองเชียงใหม่ และอกี ประการหนึ่งก็ เพอ่ื ท่ีจะเกณฑพ์ ลชาวเชยี งใหม่ และเตรียมเสบียงอาหารเพ่ือไปทาศกึ สงครามกบั ทางกรุงศรอี ยธุ ยา อาณาจกั รลา้ นนาในฐานะเมืองขนึ้ ของพมา่ มีการกบฏแกง่ แย่งชงิ อานาจกนั อยตู่ ลอดเวลา ไม่ใช่แต่ เชียงใหม่อย่างเดยี ว แต่เมอื งอ่ืน ๆ ในลา้ นนากด็ ว้ ย จนกระท่งั ราชวงศญ์ องยาน สถาปนาอาณาจกั รองั วะอกี ครงั้ จงึ หนั มาปกครองเชยี งใหมโ่ ดยตรง เชียงใหมภ่ ายใตก้ ารปกครองของพมา่ ใชเ้ วลายาวนานถึง 200 กวา่ ปี แตก่ ็มบี างชว่ งท่ีสลบั ไปอยู่ภายใตก้ าร ปกครองของอยธุ ยา เชน่ สมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช และกม็ บี างสมยั ท่ีเป็นอสิ ระแต่ถูกครอบงาและ ถกู ปกครองโดยกษตั รยิ ล์ าวนามว่า องคค์ า จากอาณาจกั รหลวงพระบางรว่ ม 30 กวา่ ปี อาณาเขต หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรก์ ล่าวไวว้ ่า ดินแดนลา้ นนานนั้ หมายถงึ ดนิ แดนบางสว่ นของอาณาเขตบรเิ วณ ลมุ่ นา้ แม่โขง ล่มุ นา้ สาละวิน แม่นา้ เจา้ พระยา ตลอดจนเมอื งทตี่ ง้ั ตามล่มุ นา้ สาขาเชน่ แม่นา้ กก แม่นา้ ปิง แมน่ า้ วงั แม่นา้ ยม แม่นา้ น่าน แมน่ า้ องิ แมน่ า้ รอ่ งชา้ ง แมน่ า้ ปาย แมน่ า้ แตง แม่นา้ งดั ฯลฯโดยมอี าณาเขต ทางทิศใตจ้ ดเมืองตาก (อาเภอบา้ นตากในปัจจุบนั ) และจดเขตดนิ แดนดา้ นเหนอื ของอาณาจกั รสโุ ขทยั ทิศ ตะวนั ตกเลยลึกเขา้ ไปในฝ่ังตะวนั ตกของแมน่ า้ สาละวิน ทิศตะวนั ออกจดฝ่ังตะวนั ตกของแม่นา้ โขง ทศิ เหนือจดเมอื งเชยี งรุง้ (หรือคนจนี เรยี กในปัจจบุ นั วา่ เมอื งจิง่ หง) ซ่ึงบรเิ วณชายขอบของลา้ นนา อาทิ เมือง เชยี งตงุ เชยี งรุง่ เมอื งยอง เมอื งปุ เมืองสาด เมอื งนาย เป็นบรเิ วณทร่ี ฐั ลา้ นนาแผ่อทิ ธพิ ลไปถึงในเมืองนนั้ ๆ ในสมยั โบราณไดก้ ล่าวถงึ เมอื งขนึ้ กบั ดินแดนลา้ นนามี 57 เมือง ดงั ปรากฏในตานาน พนื้ เมืองของเชียงใหม่ ว่า ใน สตั ตปัญญาสลา้ นนา 57 หวั เมือง[3] แต่กไ็ มไ่ ดร้ ะบุวา่ มีเมืองใดบา้ ง ปัจจุบนั มหี ลกั ฐานทพ่ี มา่ นาไป จากเชียงใหมใ่ นสมยั ที่พมา่ ปกครองเมืองเชยี งใหม่ (พ.ศ. 2101-2317) และไดแ้ ปลเป็นภาษาพม่า ต่อมาใ ปี ค.ศ. 2003 ทางมหาวิทยาลยั ย่างกุง้ ไดแ้ ปลเป็นภาษาองั กฤษ ชื่อ Zinme Yazawin หรอื ตานาน พนื้ เมอื งเชียงใหม่ฉบบั ภาษาพมา่ ไดร้ ะบเุ มืองตา่ ง ๆ หรือลา้ นนาไท 57 เมือง โดยแบ่งออกเป็น 3 กลมุ่ เมอื ง คอื กลมุ่ เมอื งขนาดใหญ่ มี 6 เมือง กลมุ่ เมืองขนาดกลางมี 7 เมือง กลมุ่ เมอื งขนาดเลก็ มี 44 เมือง เชน่ เมือง ฝาง เมืองเชยี งของ เมืองพรา้ ว เมืองเชยี งดาว เมืองลี้ เมอื งยวม เมืองสาด เมอื งนาย เมอื งเชียงตงุ เมืองเชียง คา เมืองเชยี งตอง เมืองนา่ น เมืองเทงิ เมืองยอง เมอื งลอง เมืองตนุ่ เมืองแช่ เมืองอิง เมืองไลค่า เมอื งลอก จอ๊ ก เมอื งป่ัน เมืองยองหว้ ย เมอื งหนองบอน เมืองสู่ เมอื งจีด เมืองจาง เมอื งกงิ เมืองจาคา เมืองพยุ เมืองสี ซอ เมอื งแหงหลวง เมอื งหาง เมอื งพง เมอื งดง้ ฯลฯ[16]
6 การปกครอง อาณาจกั รลา้ นนาเป็นรฐั พนื้ เมือง มคี ตเิ กี่ยวกบั รฐั และกษตั รยิ ม์ ีรูปแบบเฉพาะของทอ้ งถน่ิ ทเี่ รียบงา่ ย โดยรบั แนวคิดจารตี ทอ้ งถ่นิ และแนวคดิ ท่ีไดอ้ ทิ ธพิ ลจากพระพทุ ธศาสนา เมืองราชธานีไมม่ ีอานาจในการปกครอง มากนกั เนือ่ งดว้ ยปัญหาการคมนาคมที่ยากลาบากของรฐั ในบรเิ วณที่ราบสงู สง่ ผลใหท้ ่องถน่ิ ปกครอง ตนเองอย่างอิสระ[17] สถาบันกษัตรยิ ์ สงั คมลา้ นนาสมยั โบราณมีศนู ยก์ ลางอยา่ งสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ กษตั รยิ ท์ รงมอี านาจสงู สดุ ในการ ปกครอง สถาบนั กษตั ริยล์ า้ นนามีลกั ษณะท่ีเรียบงา่ ย อาทิ กษัตริยจ์ ะสรา้ งคมุ้ ไมซ้ งึ่ เหมอื นกบั ประชาชน ท่วั ไป ไมไ่ ดม้ ีความโดดเด่น และกษตั รยิ จ์ ะไม่มฐี านะเป็นสมมตุ เิ ทพ จงึ ไมพ่ บพระนามกษตั รยิ ล์ า้ นนา พระองคใ์ ดมชี อื่ ทางฮนิ ดู แตพ่ ระนามกษตั ริยจ์ ะเป็นแบบพนื้ เมอื งตามทอ้ งถิน่ ซ่งึ เป็นเหตผุ ลหนงึ่ ที่ไมม่ ีคา ราชาศพั ทใ์ นอาณาจกั รลา้ นนา กษตั รยิ จ์ ะมภี าษาท่สี ภุ าพกวา่ ประชาชน เน่ืองจากมีการพฒั นามาจากผนู้ า ชุมชมขนาดเลก็ และไมไ่ ดอ้ ทิ ธพิ ลจากขอม ในความเป็นมาของผนู้ าเกิดจากสงั คมตอ้ งการจดั ระเบยี บ ดงั ปรากฏในตานานสิงหนวติกมุ ารสะทอ้ น หลงั เวียงโยนกไดล้ ่มเป็นนา้ แลว้ ชาวบา้ นที่รอดชวี ติ จึงตอ้ งการผนู้ า ซ่ึงได้ \"แกบ่ า้ นบูมผหู้ นึ่งทช่ี อ่ื วา่ ขนุ ลงั นน้ั ใหเ้ ป็นใหญ่แกเ่ ขาทง้ั ปวง.....\"[18] สถาบนั กษตั รยิ ล์ า้ นนาคอ่ ย ๆ พฒั นาลาดบั ยศ ในชว่ งแรกสมยั ราชวงศล์ าว ไดม้ กี ารเรียกตาแหนง่ นวี้ า่ ลาว ซ่งึ มคี วามหมายว่า นาย หรอื ผมู้ ีอานาจ ดงั ปรากฏในพระนามว่า ลาวจง ลางเคยี ง ลาวเมง็ ต่อมา ใชค้ าวา่ ขุน หรือทา้ ว และต่อมาใชค้ าวา่ มงั หมายความวา่ กษัตรยิ ์ เป็นภาษาพม่าโบราณ มอี ทิ ธิพลมาจากพกุ าม โดยกษตั รยิ ล์ า้ นนาพระองคแ์ รกที่ใชต้ าแหน่งนคี้ อื พญามงั ราย แต่พระนามที่แทจ้ ริงคอื คาวา่ ราย เน่ืองจากมงั เป็นสมญานามท่ีสงั คมปัจจบุ นั เรยี ก เพราะพบคานที้ ศี่ ิลาจารกึ วดั พระยืน ซง่ึ ไมใ่ ชห่ ลกั ฐานร่วม สมยั คาวา่ มงั ยงั ปรากฏตามตานามพนื้ เมอื งเชยี งแสน โดยเรยี กพญาไชยสงครามว่า \"มงั คราม\"[19] สว่ น คาว่า พญา หรอื พระญา เป็นคาโบราณ หมายความว่า กษัตริย์ ซง่ึ ควรใชห้ ลงั จากท่ีรบั อิทธพิ ลหริภุญไชย กษัตรยิ ล์ า้ นนาส่วนใหญใ่ ชค้ าวา่ พญา ยกเวน้ พระองคเ์ ดียว คอื พระเจา้ ติโลกราช เน่ืองจากตอ้ งการ ทดั เทียมกบั กษตั รยิ อ์ ยธุ ยาในสว่ นของบารมีศิลปะและวฒั นธรรม ดบู ทความหลกั ที:่ ศิลปะลา้ นนา ศลิ ปะ วดั ตน้ เกวน๋ จงั หวดั เชยี งใหม่ เป็นวดั เก่าแก่ของเชยี งใหม่ ปัจจบุ นั ถือเป็นวดั ทไี่ มม่ ีพระอยูจ่ าพรรษาแลว้ ศิลปะลา้ นนา หรือ ศิลปะเชียงแสน หมายถึง ศิลปะในเขตภาคเหนอื ทางตอนบนหรือดนิ แดนลา้ นนาของ ประเทศไทยในช่วงตน้ พทุ ธศตวรรษที่ 19–24 คาดว่ามีการสบื ทอดตอ่ เน่อื งจากศิลปะทวารวดีและศลิ ปะ
7 ลพบุรีมาตง้ั แต่สมยั หริภญุ ชยั ศนู ยก์ ลางของศลิ ปะลา้ นนาเดมิ อย่ทู ่ีเชียงแสน เรยี กว่าอาณาจกั รโยนก ตอ่ มา เม่ือพญามงั รายไดย้ า้ ยมาสรา้ งเมืองเชียงใหมศ่ นู ยก์ ลางของอาณาจกั รลา้ นนาอยทู่ ่ีเมืองเชยี งใหม่ งาน ศลิ ปะลา้ นนามีความเก่ยี วเน่ืองกบั พระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะนิกายเถรวาท สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมยุคแรกในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 19 ไดร้ บั อิทธพิ ลจากศิลปะหรภิ ุญชยั และศลิ ปะพกุ ามจากพม่า ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 20 ไดร้ บั อทิ ธิพลจากศิลปะสโุ ขทยั ตอ่ มาในศิลปะตน้ ถึงกลางพทุ ธศตวรรษที่ 21 ถือ เป็นยุคทอง มกี ารสรา้ งวดั และเจดยี ม์ ากมาย ยุคถดั มาในชว่ งกลางถงึ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 21 อาณาจกั ร ลา้ นนาตกอยู่ภายใตก้ ารปกครองของพมา่ ถือเป็นยคุ เสื่อม[20] สถาปัตยกรรมในชว่ งยคุ ทองมคี วามสมั พนั ธอ์ ย่างยิง่ กบั การเผย แพร่พทุ ธศาสนาลงั กาวงส์ หรือ นิกาย รามญั ไดแ้ รงบนั ดาลใจทง้ั จากงานสถาปัตยกรรมในยคุ ก่อน อิทธพิ ลจากสถาปัตยกรรมภายนอกดงั เชน่ สโุ ขทยั พม่าสมยั พกุ าม เป็นตน้ เจดยี ท์ สี่ ืบทอดรูปแบบในช่วงกอ่ น ตวั อย่างเชน่ เจดียว์ ดั พญาวดั เมอื งน่าน คงสบื ทอดรูปแบบเจดียท์ รงปราสาทแบบเจดยี ก์ ่กู ดุ และกคู่ า นอกจากนนั้ ยงั พบกล่มุ เจดียท์ รงระฆงั ที่เร่มิ ปรบั รูปแบบจากผงั กลมไปเป็นผงั หลายเหลยี่ ม ดงั ตวั อยา่ งของเจดยี ว์ ดั พระธาตดุ อยสเุ ทพ เป็นตน้ และ เจดยี ท์ รงปราสาทยอดทรงระฆงั เชน่ เจดียบ์ รรจุอฐั ิพระเจา้ ตโิ ลกราช วดั เจด็ ยอด ทส่ี รา้ งในรชั กาลพระเมอื ง แกว้ และมีเจดยี ท์ ไ่ี ดร้ บั อทิ ธิพลสถาปัตยกรรมสโุ ขทยั ดงั ตวั อย่างสาคญั ทเี่ จดียว์ ดั ป่าแดง เชยี งใหมแ่ ละวดั ป่าแดงบุญนาค เมอื งพะเยา ทเี่ ด่นชดั ทางรูปแบบเจดียท์ รงระฆงั แบบสโุ ขทยั รูปแบบของวหิ ารในชว่ งยคุ ทอง ปรากฏหลกั ฐานอาคารหลงั คาคลมุ รูปแบบสาคญั ของวิหารลา้ นนาคือ การ ยกเกจ็ อนั สมั พนั ธก์ บั การซอ้ นชน้ั หลงั คา โครงสรา้ งหลกั ของวหิ ารไดแ้ ก่ วหิ ารแบบเปิดหรอื ทีเ่ รียกวา่ วหิ ารป๋ วย และวิหารแบบปิด โดยวิหารส่วนใหญใ่ หค้ วามสาคญั กบั การใชร้ ะบบมา้ ตา่ งไหมในสว่ นหนา้ บนั นอกจากนน้ั ยงั ปรากฏวิหารปราสาท คอื การก่อรูปปราสาทต่อทา้ ยวหิ าร ใชป้ ราสาทเป็นทป่ี ระดษิ ฐาน พระพทุ ธรูป เชน่ ทว่ี หิ ารลายคา วดั พระสงิ ห์ เชียงใหม่ หลงั ยคุ ทอง หลงั จากรชั กาลพระเมอื งแกว้ แลว้ สถาปัตยกรรมในช่วงเวลานเี้ ป็นการสบื ทอดรูปแบบเดมิ จาก งาน ตวั อย่างสาคญั ท่ี เจดยี ว์ ดั โลกโมฬี รูปแบบเป็นเจดยี ท์ รงปราสาทยอด ยงั ใหค้ วามสาคญั กบั สวนยอดที่ เป็นหลงั คาเอนลาด ชใี้ หเ้ หน็ ว่าน่าจะสบื ทอดจากเจดียท์ รงปราสาทในยุคทอง ลา้ นนาสมยั พม่าปกครอง ราวตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี 22 ถึงตน้ พทุ ธศตวรรษที่ 24 ตวั อยา่ งสาคญั เช่น มณฑป พระเจา้ ลา้ นทอง วดั พระธาตลุ าปางหลวง เมืองลาปาง เป็นรูปแบบงานสถาปัตยกรรมที่พฒั นาขนึ้ จาก รูปแบบโขงปราสาทหรือทชี่ าวลา้ นนา ท่วั ไปเรยี กวา่ โขงพระเจา้ มีรูปแบบสาคญั คอื การใชซ้ มุ้ จระนาท่ีมีหาง นาคเกยี้ วกระหวดั เป็นยอดกลางซมุ้ และการซอ้ นชน้ั หลงั คาท่ลี ดหล่นั กนั 3 ชนั้ นอกจากนี้ โขงปราสาทยงั ปรากฏทีว่ ดั พระสิงห์ เชยี งใหม่ดว้ ย รูปแบบสถาปัตยกรรมโขง
8 รูปแบบเจดยี ์ เจดยี ท์ ส่ี บื ทอดรูปแบบในชว่ งก่อน ตวั อยา่ งสาคญั ที่ เจดยี ว์ ดั พญาวดั เมอื งน่าน คงสืบทอดรูปแบบเจดยี ์ ทรงปราสาทแบบเจดียก์ กู่ ุดและกูค่ า อาจถือเป็นสญั ลกั ษณท์ างอานาจของพระเจา้ ตโิ ลกราชทแี่ ผ่ขยายไปสู่ เขตลา้ นนา ตะวนั ออก เจดยี ท์ ี่พฒั นาขนึ้ มตี วั อย่างสาคญั คือเจดยี ห์ ลวง ที่พระเจา้ ติ โลกราชโปรดให้ ” รวบเป็นกระพ่มุ ยอดเดยี ว ” นกั วชิ าการบาง ทา่ นกลา่ วว่าอาจเป็นการปรบั เปลยี่ นรูปแบบจากเจดยี ์ 5 ยอดเป็นเจดยี ย์ อดเดียวหรอื เจดยี ท์ รงปราสาทยอด แมส้ ว่ น ยอดเจดยี ห์ ลวงจะหกั หายแตเ่ ชื่อวา่ ส่วนยอดเดิมนา่ จะ เกย่ี วเน่ืองกบั ส่วนยอดเจดียว์ ดั เชยี งม่นั ซึ่งจารกึ วดั เชียงมน่ั วดั เจดียห์ ลวง สรา้ งขนึ้ ในช่วงยคุ ทองของลา้ นนา กล่าววา่ เป็นที่แรกท่ีพญามงั รายโปรดใหส้ ถาปนาขนึ้ เป็น องคพ์ ระเจดียพ์ งั ทลายลงมาดว้ ยแรงแผ่นดินไหว แห่งแรกเม่อื ตง้ั เมอื งเชยี งใหมน่ น้ั แตอ่ งคท์ เ่ี หน็ ในปัจจบุ นั เม่อื ปี พ.ศ. 2088 อนั เป็นลางบอกเหตคุ วาม แตกแยกในราชสานักและความอ่อนแอของ นนั้ จารกึ วดั เชียงม่นั กลา่ ววา่ พระเจา้ ติโลกราชโปรดให้ สรอา้างณขานึ้ จใักนปี พ.ศ. 2016 โดยไดส้ รา้ งเป็นทรงกระพมุ่ ยอดเดยี วนอกจากนน้ั ยงั พบกลมุ่ เจดยี ท์ รงระฆงั ทเี่ ริม่ ปรบั รูปแบบจากผงั กลมไปเป็นผงั หลายเหลยี่ ม ดงั ตวั อย่างของเจดยี ว์ ดั พระธาตดุ อยสเุ ทพฯ เป็นตน้ และ เจดยี ท์ รงปราสาทยอดทรงระฆงั ดงั ตวั อยา่ งขงเจดียบ์ รรจอุ ฐั ิพระเจา้ ติโลกราช วดั เจด็ ยอด ท่สี รา้ งในรชั กาล พระเมืองแกว้ เจดยี ท์ ่ีรบั อิทธพิ ลจากรปู แบบภายนอก ในชว่ งเวลานพี้ ระเจา้ ติโลกราชไดย้ ดึ ครองเมืองเชลียงหรอื ศรีสชั ชนา ลยั อนั เป็นฐานอานาจสาคญั ของสโุ ขทยั กอ่ นทพ่ี ระองคจ์ ะทาสงครามยดื เยือ้ กบั อยธุ ยาในรชั กาลพระบรม ไตรโลกนาถ ดงั นนั้ จึงอาจเป็นทมี่ าของอิทธิพลสถาปัตยกรรมสโุ ขทยั ดงั ตวั อยา่ งสาคญั ทเ่ี จดียว์ ดั ป่าแดง เชียงใหมแ่ ละวดั ป่าแดงบนุ นาค เมืองพะเยา ที่เดน่ ชดั ทางรูปแบบเจดียท์ รงระฆงั แบบสโุ ขทยั การผสาน อิทธิพลสถาปัตยกรรมสโุ ขทยั กบั ลา้ นนาเดน่ ชดั อย่างมากในรชั กาลนี้ ดงั ตวั อย่างสาคญั ที่เจดียว์ ดั พระธาตุ ลาปางหลวง เมอื งลาปาง มจี ารกึ ระบสุ รา้ ง พ.ศ. 2039ปรากฏอทิ ธพิ ลสถาปัตยกรรมสโุ ขทยั เดน่ ชดั ทีร่ ูปแบบ ชนั้ ฐานรองรบั องคร์ ะฆงั แบบบวั ถลา รูปแบบของวหิ าร วหิ ารลายคา วดั พระสงิ หว์ รมหาวหิ าร จงั หวดั เชยี งใหม่ ในช่วงยุคทองนปี้ รากฏหลกั ฐานอาคารหลงั คาคลมุ มีตวั อย่างสาคญั ไดแ้ กว่ ิหารพระพทุ ธและวิหารหลวง วดั พระธาตลุ าปางหลวง นกั วิชาการบางท่านเสนอว่ารูปแบบสาคญั ของวหิ ารลา้ นนาคอื การยกเกจ็ อนั สมั พนั ธ์ กบั การซอ้ นชน้ั หลงั คา โครงสรา้ งหลกั ของวิหารไดแ้ ก่ วิหารแบบเปิดหรอื ท่ีเรยี กวา่ ” วิหารป๋ วย ”
9 และวหิ ารแบบปิด โดยวหิ ารส่วนใหญใ่ หค้ วามสาคญกบั การใชร้ ะบบมา้ ต่างไหมในสว่ นหนา้ บนั นอกจากนนั้ ยงั ปรากฏวิหารปราสาท คอื การก่อรูปปราสาทตอ่ ทา้ ยวหิ าร ใชป้ ราสาทเป็นทป่ี ระดิษฐาน พระพทุ ธรูป มีตวั อยา่ งสาคญั ทวี่ ิหารลายคา วดั พระสิงห์ เชยี งใหมท่ ่เี ชอ่ื ว่านา่ จะใชเ้ ป็นท่ีประดษิ ฐานพระ พทุ ธสิหงิ ส์ เป็นตน้ อนั นา่ จะเก่ยี วขอ้ งกบั สถาปัตยกรรมสโุ ขทยั หรือพมา่ สมยั พกุ ามดว้ ย ในชว่ งยุคทองนี้ จึงอาจกล่าวไดว้ ่าสถาปัตยกรรมประเภทตา่ ง ๆ แสดงความหลากหลายทางดา้ นรูปแบบ อนั ลว้ นไดแ้ รงบนั ดาลใจทง้ั จากงานสถาปัตยกรรมในยคุ กอ่ น อทิ ธพิ ลจากสถาปัตยกรรมภายนอกดงั เชน่ สโุ ขทยั พมา่ สมยั พกุ าม เป็นตน้ จนกระท่งั มพี ฒั นาการทล่ี งตวั และรูปแบบสถาปัตยกรรมในชว่ งเวลานจี้ ะ ไดร้ บั การสบื ทอดไปในยคุ ต่อมา แตจ่ ะเร่มิ แสดงถงึ ความเสือ่ มของงานช่างลงมาเป็นลาดบั ในสมยั ต่อมา จิตรกรรมในศิลปะลา้ นนาพบงานเขยี นบนผืนผา้ หรือ พระบฏ เพื่อแขวนไวใ้ นอาคาร พระบฏท่ีเก่าทสี่ ดุ พบ จากกรุวดั เจดยี ส์ งู จงั หวดั เชยี งใหม่ ส่วนจติ รกรรมบนผนงั อาคารเกา่ ทสี่ ดุ คอื ภาพอดีตพทุ ธในกรุเจดยี ว์ ดั อโุ มงค์ จงั หวดั เชยี งใหม่ บา้ งว่าเก่าท่ีสดุ อยทู่ ีว่ ดั พระธาตลุ าปางหลวง ภายในมจี ติ รกรรมฝาผนงั ทเ่ี ขยี นบน ไมจ้ ิตรกรรมฝาผนงั วดั เจดยี ห์ ลวงวรวหิ าร จงั หวดั เชียงใหม่ จติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนา แบง่ ผลงานออกไดเ้ ป็น 3 ระยะ คอื ระยะท่ี 1 ชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 20 – 21 เช่น ทีว่ ดั อโุ มงค์ จงั หวดั เชียงใหม่ เพียงแหง่ เดียว ระยะท่ี 2 ชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 22–24 พบท่ีเขตจงั หวดั ลาปางเทา่ นน้ั ลกั ษณะภาพจติ รกรรมฝาผนงั ของทง้ั 2 ระยะ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะพม่า ระยะท่ี 3 ชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 25 เป็นผลงานในยคุ ปลาย มีความนยิ มรูปแบบภาพเล่าเรื่อง เป็นหลกั เรอ่ื งราวท่ีเขยี นเป็นคตนิ ิยมเฉพาะของ ชาวลา้ นนา โครงสที ใี่ ชส้ ่วนใหญเ่ ป็นสีแดงและสนี า้ เงนิ นิยมเขยี นขนึ้ ภายในวิหารต่างจากจิตรกรรมภาค กลางท่นี ยิ มเขยี นในอโุ บสถ ในชว่ งครง่ึ แรกของพทุ ธศตวรรษท่ี 25 แบง่ ออกไดต้ ามสกลุ และฝีมือชา่ ง ไดแ้ ก่ จติ รกรรมสกลุ ช่างเชยี งใหม่ เป็นงานเขียนตามแบบศลิ ปะกรุงเทพ จติ รกรรมสกุลช่างไทใหญม่ แี บบอยา่ งเป็นของตนเองโดยมกั กาหนด ตาแหนง่ ของภาพใหอ้ ยู่สว่ นบน ของผนงั กรอบของภาพเขียนเป็นแถบลายเชงิ ผา้ คลา้ ยผา้ ปักของพม่า ใน รายละเอยี ดของภาพพบวา่ มกี ารใชร้ ูปแบบของศิลปะพม่าในส่วนของภาพบุคคลชนั้ สงู จติ รกรรมสกลุ ชา่ ง น่านมคี วามคิดอา่ นของตวั เองในระดบั หนงึ่ ดว้ ย งานเขยี นที่ออกมาจึงมีโครงสที ีค่ ่อนขา้ งอ่อนหวานนมุ่ นวล กวา่ จิตรกรรมท่ลี าปาง มคี วามสมั พนั ธก์ บั ศลิ ปะพมา่ เป็นอยา่ งมาก สบื เน่อื งจากผอู้ ปุ ถมั ภท์ เี่ ป็นชาวพมา่ และจิตรกรรมลายคา หรือทเี่ รียกว่าปิดทองลอ่ งชาด ในศลิ ปะลา้ นนาทห่ี ลงเหลืออยูเ่ ก่าท่ีสดุ อาจมีอายกุ าร สรา้ งราวพทุ ธศตวรรษที่ 23 เทา่ นน้ั และพบมากแถบเมืองลาปาง งานลายคาบางแห่งมกี ารใชเ้ ทคนคิ ของ งานเครอื่ งเขนิ เขา้ มาดว้ ย ประตมิ ากรรม
10 ลกั ษณะสาคญั ของพระพทุ ธรปู ศิลปะลา้ นนา ซง่ึ มกั เรียกวา่ พระพทุ ธรูปสงิ หแ์ บบเชยี งแสน แบง่ ออกเป็น พระพทุ ธรูปสิงห์ 1 มลี กั ษณะประทบั น่งั ขดั สมาธเิ พชร เห็นฝ่าพระบาททง้ั สองขา้ ง พระพกั ตรก์ ลม อมยิม้ ขมวดพระเกศาใหญ่ รศั มดี อกบวั ตมู พระวรกายอวบอว้ น ชายสงั ฆาฏสิ นั้ เหนือพระถนั พระพทุ ธรูปสงิ ห์ 2 มี ลกั ษณะประทบั ขดั สมาธริ าบ พระพกั ตรร์ ูปไข่ ขมวดพระเกศาเลก็ รศั มีเป็นเปลว พระวรกายบอบบาง พระ องั สาใหญ่ เอวเล็ก ชายสงั ฆาฏิ เสน้ เลก็ ยาวมาจนถงึ พระนาภีไดร้ บั อิทธิพลสโุ ขทยั พระพทุ ธรูปสงิ ห์ 1 เป็นพระพทุ ธรูปที่เกา่ มากอยู่ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 16 ปัจจุบนั สนั นษิ ฐานว่าน่าจะเรือ่ ง พรอ้ มการสถาปนาอาณาจกั รลา้ นนา ในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 19 การกาหนด พระพทุ ธรูปลา้ นนาทง้ั สิงห์ 1 และสิงห์ 2 ทาค่กู นั จนหมดยคุ ลา้ นนา ส่วนสิงห์ 2 จะเรม่ิ ในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 20 1. นอกจากนนั้ ยงั มพี ระพทุ ธรูปทรงเครอ่ื งเป็นทน่ี ิยมในลา้ นนาเชน่ กนั ไดร้ บั อิทธิพลจากปาละ เป็นคติ การสรา้ งเกย่ี วกบั ปางมหาชมพบู ดี ลกั ษณะเครอื่ งทรงจะมตี ราบเป็นสามเหลยี่ ม แบง่ เป็น 2 กล่มุ คอื กลมุ่ ทท่ี รงเครือ่ งคร่งึ เดยี ว มีการสรา้ งรศั มี มีชายสงั ฆาฏิ เพอ่ื บง่ บอกว่าเป็นพระพทุ ธเจา้ สว่ นอกี กล่มุ หนง่ึ ทรงเครื่องเต็มองค์ แบบเทวดา แตจ่ ะทาปางมารวิชยั กลมุ่ หลงั นเี้ ป็นกลมุ่ ทใ่ี หอ้ ิทธิพล มายงั สโุ ขทยั และอยุธยา ลกั ษณะมงกุฎทเี่ ป็นชนั้ ๆ ปล่อง ๆ เป็นรูปแบบผสมระหว่างลา้ นนากบั สโุ ขทยั ส่วนเทริดมรี ูปแบบเขมรเขา้ มาปน วรรณกรรม วรรณกรรมลา้ นนาสามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท คือ วรรณกรรมลายลกั ษณอ์ กั ษร คือ วรรณกรรมที่ถา่ ยทอด ดว้ ยตวั อกั ษร และวรรณกรรมมขุ ปาฐะ คือ วรรณกรรมท่ถี า่ ยทอดทางวาจา วรรณกรรมมขุ ปาฐะ ไดแ้ ก่ เพลงกล่อมเดก็ เพลงชาวบา้ น โวหารรกั ของ หนุ่มสาว นิทานชาวบา้ น ปรศิ นาคาทาย ภาษิต, สภุ าษิต, คาพร, คากล่าวในโอกาสต่างๆเป็นตน้ วรรณกรรมลายลกั ษณอ์ กั ษร ไดแ้ ก่ วรรณกรรมบาลี วรรณกรรมชาดก ตานาน ประวตั ิ ตารา กฎหมาย คา สอน กวีนิพนธ์ เช่น ครา่ ว โคลง รา่ ย กาพย์ คาร่า เป็นตน้ จากหลกั ฐานท่ีคน้ พบเกือบทงั้ หมด ลว้ น จารบนใบ ลานแทบทงั้ สนิ้ ตวั อกั ษรที่จารเป็นอกั ขระลา้ นนา ดงั นน้ั จึงกลา่ วไดว้ ่า ในลา้ นนานยิ มจารใบลาน เพ่ือบนั ทกึ สง่ิ ต่างๆ เชน่ วรรณกรรม ทางศาสนา หรอื ตาราต่างๆไว้ เพราะมีความทนทานสามารถเก็บไวไ้ ด้ หลายรอ้ ยปี ถือวา่ เป็นองค์ ความรูภ้ ูมิปัญญาของบรรพชนลา้ นนาท่ีมีคณุ ค่า ประเพณี
11 ประเพณยี เ่ี ป็ง ประเพณลี อยกระทงแบบลา้ นนา ประเพณเี ดอื นยี่ คือ ประเพณลี อยกระทงแบบลา้ นนาโดยคาว่า ยี่ แปลวา่ สอง สว่ น เป็ง แปลว่า เพ็ญ หรอื คนื พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง ซ่ึง หมายถงึ ประเพณีในวนั เพญ็ เดอื นสองของชาวลา้ นนา ซง่ึ ตรงกบั เดือนสิบสองของไทย งานประเพณีจะมสี ามวนั วนั ขนึ้ สิบสามค่า หรอื วนั ดา เป็นวนั ซอื้ ของเตรยี มไปทาบญุ ทว่ี ดั วนั ขนึ้ สบิ ส่คี ่า จะไปทาบุญกนั ทว่ี ดั พรอ้ มทากระทงใหญ่ไวท้ ว่ี ดั และนาของกนิ มาใสก่ ระทงเพอ่ื ทาทานใหแ้ ก่ คนยากจน วนั ขนึ้ สบิ หา้ ค่า จะนากระทงใหญท่ วี่ ดั และกระทงเลก็ สว่ นตวั ไปลอยในลานา้ ล ในช่วงวนั ยเี่ ป็งจะมกี ารประดบั ตกแต่งวดั บา้ นเรอื น ทาประตปู ่า ดว้ ยตน้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย ทางมะพรา้ ว ดอกไม้ ตงุ ช่อประทีป และชกั โคมยเี่ ป็งแบบตา่ ง ๆ ขนึ้ เป็นพทุ ธบชู า และมกี ารจดุ ถว้ ยประทีป (การจุดผางปะตี๊บ) เพือ่ บูชาพระรตั นตรยั และมกี ารจุดวา่ วไฟปล่อยขนึ้ สทู่ อ้ งฟา้ เพอ่ื บชู าพระเกตแุ กว้ จุฬามณีบนสรวงสวรรค์ ชนั้ ดาวดงึ วัดร่องขุน่ เป็นวดั พทุ ธ ตงั้ อยู่ในอาเภอเมอื งเชยี งราย จงั หวดั เชยี งราย ออกแบบและก่อสรา้ งโดย เฉลมิ ชยั โฆษิตพพิ ฒั น์ ตง้ั แต่ พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจบุ นั โดยเฉลมิ ชยั คาดว่างานกอ่ สรา้ งวดั ร่องขนุ่ จะไมเ่ สรจ็ ลง ภายในช่วงชีวติ ของตน[1] วดั รอ่ งข่นุ ถอดแบบมาจากวดั มงิ่ เมือง จงั หวดั น่าน[2] เมอ่ื วนั ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.05 น. เกิดแผน่ ดินไหวขนาด 6.3 มศี นู ยก์ ลางอยู่ทอ่ี าเภอแมล่ าว จงั หวดั เชยี งราย และแผน่ ดนิ ไหวตามหลายครง้ั สรา้ งความเสยี หายใหก้ บั วดั ร่องขนุ่ เป็นอยา่ งมาก เชน่ ผนงั โบสถป์ นู กระเทาะออก กระเบือ้ งหลดุ ยอดพระธาตหุ กั ภาพเขียนเสยี หายหมด ทาใหต้ อ้ งปิดวดั เพ่ือ ซอ่ มแซมตง้ั แต่วนั ท่ี 6 พฤษภาคม ปีเดยี วกนั [3][4][5][6] ประวัติ เม่ือประมาณ พ.ศ. 2430 มชี าวบา้ นเขา้ มาจบั จองทด่ี ินทาไรท่ านาบริเวณบา้ นรอ่ งขนุ่ ในปัจจบุ นั เพยี งไมก่ ่ี หลงั คาเรอื น โดยอาศยั ลานา้ สายเลก็ ๆ ทีไ่ หลลงสแู่ มน่ า้ แมล่ าวซึง่ มีลกั ษณะสขี ุ่นเลยี้ งชีพ ชาวบา้ นจึงเรยี ก กนั ติดปากวา่ “บา้ นฮ่องข่นุ ” (รอ่ งข่นุ ) มาโดยตลอด ต่อมา ขุนอุดมกิจเกษมราษฎร์(ตน้ ตระกลู เกษมราษฎร)์ นาครอบครวั ญาตมิ ิตรเขา้ มาอยู่ในหม่บู า้ นจนเพิม่ จานวนมากขนึ้ กวา่ 50 หลงั คาเรอื น ท่านจึงไดด้ ารทิ จี่ ะ สรา้ งสานกั สงฆข์ นึ้ ภายในหมบู่ า้ น เพือ่ จะไดเ้ ป็นทยี่ ดึ เหนย่ี วจิตใจของชมุ ชน วดั ร่องขนุ่ จงึ ถอื กาเนดิ ครง้ั แรก
12 ณ รมิ ฝ่ังนา้ แม่ลาวดา้ นทศิ ตะวนั ตกใกลก้ บั ลานา้ แม่มอญ ซงึ่ อยู่เลยลานา้ รอ่ งขุ่นไปทางทศิ ใตป้ ระมาณ 500 เมตร คณะศรทั ธาจึงไดร้ ่วมใจกนั สรา้ งศาลาและกุฏิเป็นเรือนไมแ้ บบงา่ ยๆ เพ่อื ใชป้ ระกอบศาสนกจิ โดย ชาวบา้ นไดอ้ าราธนานมิ นตพ์ ระทองสขุ บาวนิ จากวดั สนั ทรายนอ้ ย หมู่ 13 มาเป็นเจา้ อาวาส ต่อมาเกดิ นา้ เซาะตลง่ิ พงั จนไมส่ ามารถรกั ษาศาสนสถานไวไ้ ด้ มาจนถงึ สมยั ของคณุ พอ่ หมี แกว้ เลอื่ มใส เป็นผนู้ าชมุ ชน ไดร้ ว่ มกนั กบั ชาวบา้ นยา้ ยวดั มาตงั้ อยใู่ นบรเิ วณหวั นาของท่าน ซง่ึ อย่ฝู ่ังตรงขา้ มของถนน ดา้ นทศิ ตะวนั ตกตดิ กบั ลานา้ รอ่ งขุน่ จากนน้ั ไม่นานพระทองสขุ ไดย้ า้ ยออกจากวดั จงึ เหลอื เพียงสามเณร 3 รูป ในจานวนนมี้ สี ามเณรทา ดีวรตั น์ ไดล้ าสิกขาออกมาเป็นฆราวาส นายทาเป็นผทู้ ช่ี าวบา้ นใหค้ วามเคารพ นบั ถือ จึงไดร้ บั คดั เลือกใหเ้ ป็นผใู้ หญบ่ า้ น และสดุ ทา้ ยไดเ้ ป็นกานนั ประจาตาบลบวั สลี (กานนั คนแรกของ หมบู่ า้ นรอ่ งขนุ่ ) กานนั ทา ดีวรตั น์ เหน็ ว่าหมบู่ า้ นใหญข่ นึ้ ผคู้ นมากหลาย วดั วาคบั แคบ อีกทง้ั เป็นท่ลี ่มุ ใกล้ ลานา้ เมอื่ ถึงฤดนู า้ หลากสรา้ งความเดือดรอ้ นใหก้ บั ชาวบา้ น กานนั และคณะศรทั ธาจึงไดท้ าการยา้ ยวดั มา ตงั้ อยู่บนท่ดี ินในปัจจบุ นั นโี้ ดยนางบวั แกว้ ภรรยากานนั ทา เป็นผยู้ กที่ดนิ ใหส้ รา้ งวดั จานวน 4 ไร่เศษ คณะ ศรทั ธาไดร้ ว่ มกนั สรา้ งศาลาเรือนไม้ 1 หลงั เมอ่ื แลว้ เสรจ็ จงึ รว่ มกนั เดินทางไปอาราธนานิมนต์ พระดวงรส อาภากโร จากวดั มงุ เมอื ง อาเภอเมอื งเชยี งราย มาเป็นเจา้ อาวาส โดยมพี ระครูพทุ ธิสารเวที (แฮด เทววโส) เป็นผแู้ นะนา ในยคุ สมยั พระดวงรส อาภากโร เป็นเจา้ อาวาส วดั เจรญิ รงุ่ เรอื งมาก มพี ระจาพรรษาถงึ 4 รูป สามเณรรว่ ม 10 รูป แม่ชี 2 คน กาลเวลาลว่ งไปหลายพรรษา พระดวงรสไดย้ า้ ยไปอยวู่ ดั อนื่ ทาใหว้ ดั รอ่ งขนุ่ ขาดผนู้ าคณะ สงฆ์ คณะศรทั ธาจงึ ไดร้ ่วมกนั เดินทางไปพบเจา้ คณะอาเภอเมืองเชยี งราย เพอื่ ขอพระภกิ ษุมาเป็นเจา้ อาวาส ท่านเจา้ คณะอาเภอฯ ไดส้ ่งพระอนิ ตา มาอยจู่ าพรรษา แต่อยไู่ ดเ้ พยี งพรรษาเดยี ว พระอนิ ตาก็ยา้ ย ไปอยู่วดั อ่นื คณะศรทั ธาชาวบา้ นจึงไดเ้ ดนิ ทางไปวดั สนั ทรายนอ้ ยอกี ครงั้ เพ่ือขออาราธนานิมนต์ พระไสว ชาคโร มาเป็นเจา้ อาวาส เมือ่ ปี พ.ศ. 2499 พระไสว ชาคโร เป็นพระทคี่ ณะศรทั ธาในหม่บู า้ นและตา่ งแดน เลอ่ื มใสมาก ท่านไดส้ รา้ งอโุ บสถในปี พ.ศ. 2507 ต่อมา พระไสว กานนั เป็ง ไชยลงั กา พรอ้ มคณะศรทั ธา อาราธนาพระพทุ ธรูปหนิ โบราณ จากหมบู่ า้ นหนองสระ อาเภอแม่ใจ มาเป็นพระประธานในอโุ บสถ ปี พ.ศ. 2520 ไดร้ บั วิสงุ คสีมา ปี พ.ศ. 2529 ไดบ้ รู ณะซ่อมแซมกาแพงวดั ปี พ.ศ. 2533 สรา้ งหอฉนั และซมุ้ ประตวู ดั ดา้ นขา้ ง ขณะท่ีวดั ร่องขุ่นเจรญิ รุง่ เรืองดว้ ยคณะศรทั ธาชาวไทยและชาวจนี ที่อาศยั อยูใ่ นหมบู่ า้ น และบา้ งก็แยกยา้ ย กนั ออกไปอย่ตู ่างถน่ิ เมอื่ รา่ รวยแลว้ ก็หวนกลบั มาชว่ ยกนั ทานบุ ารุงรกั ษาวดั ตามอตั ภาพ ทงั้ ยงั มคี ณะ ศรทั ธาต่างถนิ่ ท่เี ลอื่ มใสศรทั ธาในพระไสวเป็นจานวนมาก ไดเ้ ดนิ ทางมารว่ มทาบญุ ในการก่อสรา้ งศาสน สถานจนแลว้ เสร็จทงั้ หมด ดว้ ยความเป็นพระนกั พฒั นา ปี พ.ศ. 2537 พระไสวไดร้ บั แต่งตง้ั สมณศกั ดิเ์ ป็น พระครูชาครยิ านยุ ตุ ในปี พ.ศ. 2538 พระครูชาคริยานยุ ตุ ไดท้ าการกอ่ สรา้ งศาลาอบสมนุ ไพรขนึ้ เพ่อื หวงั ใหก้ ารบาบดั รกั ษาผตู้ ดิ ยาเสพติด ซง่ึ เป็นโครงการใหญข่ องวดั เพ่อื สงั คม แต่ทา่ นไดอ้ าพาธดว้ ยโรคอมั
13 พฤกษ์และอมั พาตเสยี ก่อน จงึ ลม้ เลิกโครงการไป ในปีเดยี วกนั นคี้ ณะศรทั ธาวดั รอ่ งขุ่นมคี วามเหน็ ว่า อโุ บสถทสี่ รา้ งมารว่ ม 38 ปี อย่ใู นสภาพทรุดโทรมมาก ใชท้ าสงั ฆกรรมไม่ได้ กลบั เป็นทอ่ี ยู่ของคา้ งคาวฝูง ใหญ่ จงึ คดิ จะสรา้ งอโุ บสถหลงั ใหม่ขนึ้ ดงั นน้ั เม่อื วนั ท่ี 3 มิถนุ ายน พ.ศ. 2538 จึงไดท้ าพิธีรอื้ ถอนอโุ บสถ และประกอบพธิ ีวางศลิ าฤกษ์ในการกอ่ สรา้ ง เมอื่ วนั ที่ 26 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2538 วนั ที่ 3 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2539 ไดเ้ ร่มิ ลงมอื ก่อสรา้ งอโุ บสถหลงั ปัจจุบนั แต่เสรจ็ เพยี งแคโ่ ครงสรา้ งตวั อโุ บสถ องคก์ ลางเท่านน้ั ปัจจยั ของวดั เรม่ิ ขาดแคลนเพราะภาวะเศรษฐกจิ ฟองสบู่แตก ในปี พ.ศ. 2540 อาจารย์ เฉลมิ ชยั โฆษิตพพิ ฒั น์ จติ รกรผมู้ ชี ื่อเสยี งระดบั ชาติ ซ่งึ เป็นเลอื ดเนอื้ เชอื้ ไขคนบา้ นรอ่ งขุ่นโดยกาเนดิ ได้ ปวารณาตนเขา้ มาสานตอ่ เพ่ือสรา้ งอโุ บสถถวายเป็นพทุ ธบูชาหวงั ใหเ้ ป็น “งานศลิ ป์ เพ่ือ แผน่ ดนิ ” ดว้ ย ปัจจยั ของทา่ นเอง โดยพระครูชาครยิ านยุ ุต และคณะศรทั ธา ชาวบา้ นไม่ตอ้ งลาบากในการหาเงนิ มาสรา้ ง วดั ในภาวะเศรษฐกจิ ของชาติ ท่กี าลงั ตกต่า อาจารยเ์ ฉลมิ ชยั ไดเ้ ขา้ มาทาการแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงเพม่ิ เตมิ แบบแปลนตามปรารถนาของทา่ น จนทาใหว้ ดั ร่องขนุ่ สวยงามประทบั ใจผคู้ นทง้ั ชาวไทยและชาวต่างชาตทิ ี่ ไดม้ าเยยี่ มชม จากวดั ร่องขนุ่ ทีไ่ มม่ ีใครรจู้ กั กลายเป็นวดั ทม่ี ีช่ือเสยี งเป็นท่ีเชดิ หนา้ ชตู าของจงั หวดั และ ประเทศชาติ โครงการก่อสรา้ งวดั เมอื่ เสรจ็ สมบูรณแ์ ลว้ จะประกอบดว้ ยหม่สู ถาปัตยกรรมทง้ั สนิ้ 4 หลงั มี อโุ บสถ ปราสาทบรรจพุ ระธาตุ พิพธิ ภณั ฑศ์ าลาราย เมรุ หมกู่ ุฏิ ศาลาการเปรยี ญ และศาลารบั รองแขกท่ีมา เยี่ยมชมวดั อาจารยเ์ ฉลมิ ชยั ไดท้ าการซอื้ ท่ดี นิ เพ่มิ เพื่อขยายบริเวณวดั ทางดา้ นทิศใต้ จานวน 1 ไร่ 200 ตารางวา และคณุ วนั ชยั วชิ ญชาคร จากกรุงเทพฯ บรจิ าคที่ดินเพ่มิ ต่อจากท่ซี อื้ อกี 5 ไร่ 300 ตารางวา รวมที่ วดั ในปัจจบุ นั เป็น จานวน 10 ไร่ 100 ตารางวา เพื่อจะสรา้ งหม่สู ถาปัตยกรรมทงั้ 4 ใหเ้ สรจ็ สนิ้ ตาม จินตนาการของท่าน สว่ นสงิ่ ก่อสรา้ งทีเ่ คยมีมาไมว่ า่ จะเป็นศาลา กุฏิ หอฉัน ศาลาอบสมนุ ไพร ซมุ้ ประตู และกาแพงวดั ท่สี รา้ งใน สมยั พระครูชาครยิ านยุ ตุ ไดเ้ สื่อมโทรมไปตามกาลเวลาจาเป็นตอ้ งรอื้ ทงิ้ เพื่อสรา้ งบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม ทศั นยี ภาพใหส้ วยงาม โดยเนน้ แสดงความเป็นเอกภาพของหม่สู ถาปัตยกรรมแนวใหม่ และ คงไวซ้ ่ึงเอกลกั ษณใ์ นรูปแบบของอาจารยอ์ นั วจิ ิตรอลงั การ อาจารยเ์ ฉลมิ ชยั ไดต้ งั้ จติ อธิษฐานขอถวายตนรบั ใชพ้ ระพทุ ธศาสนา เพอ่ื สรา้ งวดั ร่องขนุ่ ตงั้ แต่อายุ 42 ปี (พ.ศ. 2540) เป็นตน้ ไป จวบจนกว่าจะสนิ้ ลม ณ วดั แห่งนี้ ท่านสนิ้ แลว้ ซงึ่ ความปรารถนาใดๆ ในวตั ถุทางโลก ทา่ นม่งุ อทุ ศิ ถวายตนใหแ้ กช่ าติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ และมวลมนุษยช์ าติ อนั เป็นทร่ี กั ของท่านดว้ ย ความศรทั ธาเช่อื ม่นั [7] อาจารย์ เฉลิมชยั โฆษิตพิพฒั นไ์ ดร้ บั แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งวดั มาจาก 3 ส่ิงต่อไปนคี้ ือ 1.ชาติ : ดว้ ยความรกั บา้ นเมือง รกั งานศลิ ป์ จงึ หวงั สรา้ งงานศลิ ปะทยี่ ิ่งใหญ่ไวเ้ ป็นสมบตั ขิ องแผน่ ดิน
14 2.ศาสนา : ธรรมะไดเ้ ปล่ียนชวี ติ ของอาจารยเ์ ฉลมิ ชยั จากจติ ทรี่ อ้ นกลายเป็นเย็น จงึ ขออทุ ศิ ตนใหแ้ ก่ พระพทุ ธศาสนา 3.พระมหากษตั รยิ ์ : จากการเขา้ เฝา้ ฯ ถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชหลายครง้ั ทาใหเ้ ฉลมิ ชยั รกั พระองคท์ ่านมาก จากการพบเหน็ พระอจั ฉริยะภาพทางศิลปะและพระเมตตาของพระองค์ ทา่ น จนบงั เกิดความตนื้ ตนั และสานึกในพระมหากรุณาธคิ ณุ จงึ ปรารถนาทจ่ี ะสรา้ งงานพทุ ธศิลป์ ถวายเป็น งานศลิ ปะประจารชั กาลพระองคท์ า่ น ความหมายของอโุ บสถ ส่วนนไี้ ม่มีการอา้ งอิงจากเอกสารอา้ งอิงหรือแหล่งขอ้ มลู โปรดช่วยพฒั นาส่วนนโี้ ดยเพมิ่ แหลง่ ขอ้ มลู น่าเชอื่ ถือ เนอื้ หาทไี่ มม่ กี ารอา้ งองิ อาจถกู คดั คา้ นหรอื นาออก สีขาว : พระบรสิ ทุ ธคิ ณุ ของพระพทุ ธเจา้ สะพาน : การเดนิ ขา้ มจากวฏั สงสารสพู่ ทุ ธภูมิ เขยี้ ว หรือ ปากพญามาร : กเิ ลสในใจ สนั ของสะพาน : มีอสรู รวมกนั 16 ตน ขา้ งละ 8 ตน 2 ขา้ ง รวมกนั แทนอปุ กเิ ลส 16 กง่ึ กลางของสะพาน : เขาพระสเุ มรุ
15 ดอกบวั ทพิ ย์ : มี 4 ดอกใหญต่ รงทางขนึ้ ดา้ นขา้ งอโุ บสถแทนซมุ้ พระอรยิ เจา้ 4 พระองค์ คือ พระโสดาบนั พระสกทิ าคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ บนั ไดทางขนึ้ : มี 3 ขน้ั แทน อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา., วดั หว้ ยปลากั้ง เป็นวดั ราษฎรส์ งั กดั คณะสงฆฝ์ ่ายมหานกิ าย ตงั้ อยู่ในตาบลริมกก อาเภอเมืองเชียงราย จงั หวดั เชยี งราย มเี นอื้ ทีป่ ระมาณ 15 ไร่ ตง้ั อยู่บนเนนิ เขาลกู เลก็ ๆ ในชมุ ชนหว้ ยปลากงั้ วัดห้วยปลากง้ั ก่อตงั้ ขนึ้ โดยพระอาจารย์ พบโชค ตสิ สะวงั โส เจา้ อาวาส สภาพเดิม เป็นเนินเขาทีม่ เี พยี ง ซากของวดั รา้ งและพงหญา้ รกชฏั ต่อมาพระอาจารยพ์ บโชคซ่งึ เป็นพระภิกษุจาพรรษาอยทู่ ่ีวดั รอ่ งธาร เชียงราย จึงมจี ิตศรทั ธาตอ้ งการบูรณะ จงึ ไดย้ า้ ยไปพานกั อยคู่ รงั้ แรกเมื่อวนั ท่ี 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 โดยมชี าวชุมชนหว้ ยปลากง้ั รว่ มบูรณะ เร่ิมจากการตงั้ เป็นสานักสงฆ์ จนไดร้ บั อนญุ าตตง้ั วดั เม่ือวนั ท่ี 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552[1] โดยมีพระอธกิ ารพบโชค ตสิ ฺสวโส เป็นเจา้ อาวาสรูปแรก[2] อาคารเสนาสนะท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ พบโชคธรรมเจดีย์ สรา้ งขนึ้ ตามช่อื ของพระอาจารย์ เป็นเจดยี ท์ รง สามเหลี่ยมตอ่ กนั เป็นชนั้ ๆ จานวน 9 ชนั้ และมีเจดียเ์ ลก็ จานวน 12 องคล์ อ้ มรอบ สรา้ งขนึ้ ตามนมิ ิตของพระ อาจารยพ์ บโชคทฝ่ี ันเหน็ วา่ บนเนนิ เขาแห่งนี้ จนมีวิศวกรคนหนง่ึ จากกรุงเทพแจง้ ความประสงคท์ จ่ี ะสรา้ ง จากนน้ั ไดพ้ บนกั ธุรกจิ ชาวไตห้ วนั ช่อื เฉนิ เซยี น เป่า ไดส้ นบั สนุนงบประมาณในการสรา้ ง เริ่มตอกเสาเข็ม เมอ่ื วนั ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2550 ภายในเจดยี ป์ ระดษิ ฐานนพระแมก่ วนอมิ โพธสิ ตั วป์ างประทานพรและ อภยั ทาน สรา้ งดว้ ยไมจ้ นั ทนห์ อมมาจาก 3 ประเทศคือ จนี เมียนมา และอินเดีย ใชเ้ วลาแกะสลกั นาน 108 วนั องคร์ ูปมีความกวา้ ง 7 เมตร สงู 7 เมตร นอกจากนน้ั ในเจดยี ย์ งั มี พระโพธิสตั วก์ วนอิมทงั้ 12 ปาง หลวง พ่อโสธรสรา้ งดว้ ยไม้ รูปปั้นสมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (โต พรฺ หมฺ รส)ี
16 วดั หว้ ยปลากงั้ ยงั มอี โุ บสถสขี าวและมรี ูปปั้นพระโพธิสตั วก์ วนอมิ ทีม่ ขี นาดสงู ถงึ 69 เมตร หรอื เกอื บเทา่ ตกึ 25 ชน้ั ภายในองคพ์ ระจะมีการตดิ ตง้ั ระบบขนึ้ ลงดว้ ยลิฟตเ์ พือ่ ใหส้ ามารถขนึ้ ไปดทู วิ ทศั นข์ องเมอื งเชียงราย สามเหลยี มทองคาสามเหลี่ยมทองคา เป็ นพนื้ ท่ีพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว และ พม่า จดุ บรรจบระหวา่ งแม่นา้ รวกกบั แมน่ ้าโขง[1] คาวา่ \"สามเหลยี่ มทองคา\" (อังกฤษ: Golden Triangle) คดิ ขนึ้ โดยซีไอเอ[2] โดยทั่วไปหมายถงึ พนื้ ท่ีอาณาเขตประมาณ 950,000 ตาราง กโิ ลเมตร (367,000 ตารางไมล)์ ซอ้ นทับระหว่างสามประเทศ สามเหลย่ี มทองคาควบคูก่ บั ประเทศอัฟกานสิ ถานในจนั ทรเ์ สยี้ วทองคา เป็ นหน่ึงในพืน้ ท่ีทม่ี กี าร ผลติ ฝิ่ นทีใ่ หญท่ ี่สดุ ในโลกนบั ตัง้ แต่ทศวรรษ 1950 นอกจากน้ที น่ี ่ยี ังเป็ นแหลง่ ทม่ี าของเฮโรอีนท่ี ใหญ่ทีส่ ดุ ในโลก จนกระทงั่ ชว่ งตน้ ศตวรรษที่ 21 ซ่งึ อัฟการสิ ถานขึน้ มาครองตาแหน่งน้ีแทน
17 วดั พระธาตุผาเงา ตง้ั อยบู่ นฝ่ังแมน่ า้ โขงทางดา้ นทิศตะวนั ตก ตรงขา้ มกบั ประเทศลาว อยู่ในหม่บู า้ นสบคา ตาบลเวยี ง อาเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชียงราย มพี นื้ ทที่ ง้ั หมด 743 ไร่ พนื้ ทสี่ ว่ นใหญเ่ ป็นเนนิ เขาเลก็ ๆ ทอด ยาวลงมาตง้ั แตบ่ า้ นจาปี ผ่านบา้ นดอยจนั และมาสนิ้ สดุ ทบ่ี า้ นสบคา แต่กอ่ นชาวบา้ นเรยี กดอยลกู นวี้ ่า \"ดอยคา\" แต่ตอ่ มาช่วงหลงั ๆ ชาวบา้ นเรยี กวา่ \"ดอยจนั ตานาน จากพงศาวดารโยนกบอกว่า ขนุ ผาพงิ หรือขนุ พิง (พระองคพ์ ิง) ผคู้ รองนครโยนก องคท์ ่ี 23 ชว่ งปี พ.ศ. 494 - 512 เป็นผสู้ รา้ งเจดยี ไ์ วบ้ นหนิ กอ้ นใหญ่ทเ่ี ชงิ เขาดอยจนั ทร์ ซงึ่ เขา้ ใจวา่ หมายถงึ พระธาตผุ าเงาในวดั นี้ พระ ธาตผุ าเงาไดช้ ารุดทรดุ โทรมลงมาก คาดว่านา่ จะมกี ารบรู ณะมาบา้ ง เพราะพระธาตอุ งคน์ ตี้ งั้ อยูท่ ่ลี าด ต่าสดุ ของภูเขา ซึง่ งา่ ยตอ่ การดแู ลซ่อมแซม สว่ นผสู้ รา้ งพระธาตจุ อมจนั และพระธาตเุ จ็ดยอด อยู่บน \"ดอยคา\" และ \"ดอยจนั \" ตามลาดบั เมอื่ ขนุ ลงั ไดข้ นึ้ ครองเมอื ง \"เวียงเปิกสา\" (เมืองเชยี งแสนปัจจุบนั น)ี้ ช่วงปี พ.ศ. 996-1007 พระองคไ์ ดช้ กั ชวนไพรบ่ า้ น ชาวเมืองทง้ั หลายใหช้ ว่ ยกนั สรา้ งเจดยี ไ์ วบ้ นยอดดอยคา ซึง่ ปัจจุบนั ชาวบา้ นเรียกว่า \"ตอดจนั ทร\"์ เจดียท์ ่วี ่า นหี้ มายถงึ พระธาตจุ อมจนั และพระธาตเุ จ็ดยอด เจดียท์ ง้ั 2 องคน์ ถี้ กู ภยั ธรรมชาติทาลาย เชน่ ถกู แดด - ฝน และลมพดั ทาลายมานบั พนั ปีจนเหลือแตซ่ ากฐานไวป้ ระมาณ 5 เมตร ประกอบกบั ชว่ ยนน้ั ภาวะเศรษฐกจิ อาจจะฝืดเคืองจนทาใหช้ าวบา้ นทอดทงิ้ ศาสนาขาดการดแู ลเอาใจใส่และทฐี่ านองคพ์ ระเจดยี ท์ ง้ั สองก็มี รอยขดุ เจาะ อาจจะเป็นฝีมอื ของพวกนกั สะสมของเก่าเสาะแสวงหาโบราณวตั ถกุ เ็ ป็นได้ [3] การคน้ พบหลวงพ่อผาเงา วนั ที่ 17 มนี าคม 2519 เวลา 14.00 น.[4] เม่ือคณะศรทั ธาไดป้ รบั พนื้ ท่ีเรยี บรอ้ ยแลว้ ทกุ คนต่างตืน่ เตน้ และปิ ตยิ นิ ดี เมอื่ ไดพ้ บพระพทุ ธรูปทม่ี ลี กั ษณะสวยงามมาก ผเู้ ชย่ี วชาญโบราณวตั ถุ วิเคราะหว์ า่ พระพทุ ธรปู องค์ นมี้ ีอายุระหวา่ ง 700-1,300 ปี คณะทง้ั หมดจึงไดพ้ รอ้ มกนั ตงั้ ช่อื พระพทุ ธรูปองคน์ วี้ า่ \"หลวงพ่อผาเงา\" และ เปล่ยี นชื่อวดั ใหมเ่ ป็น \"วดั พระธาตผุ าเงา\" ตง้ั แตบ่ ดั นน้ั เป็นตน้ มา
18 วดั เจดยี ห์ ลวงวรวิหาร เป็ นพระอารามหลวงในจังหวัดเชียงใหม่ มชี ่อื เรยี กหลายชอ่ื ไดแ้ ก่ ราชกฏุ า คาร วดั โชตกิ าราม สรา้ งขึน้ ในรชั สมยั พญาแสนเมอื งมา พระมหากษตั รยิ ร์ ชั กาลท่ี 7 แหง่ ราชวงศม์ ังราย ไมป่ รากฏปี ทสี่ รา้ งแน่ชดั สนั นษิ ฐานวา่ วดั แหง่ นีน้ า่ จะสร้างในปี พ.ศ. 1928 - 1945 และมกี ารบรู ณะมาหลายสมยั สาหรบั พระธาตเุ จดยี ม์ ีขนาดความกว้างดา้ นละ 60 เมตร เป็ นองค์ พระเจดยี ท์ ีม่ ีความสาคญั อีกองคห์ นึง่ ของจังหวดั เชยี งใหม่ ในปัจจุบนั คงเหลือสภาพเพยี งครงึ่ องค์ จากเหตกุ ารณแ์ ผ่นดนิ ไหวใหญใ่ นสมัยมหาเทวีจริ ประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศม์ ังราย[1] มี การสนั นิษฐานวา่ เจดยี อ์ าจมคี วามสงู ถึง 80 เมตร ซ่งึ ทาให้เป็ นเจดยี ท์ ่สี ูงท่สี ดุ ในภาคเหนือใน ชว่ งเวลาดังกลา่ ว วดั เจดียห์ ลวงสร้างอยกู่ ลางใจเมืองเชยี งใหม่ ซ่งึ แตเ่ ดมิ ถอื วา่ เป็ นศนู ยก์ ลางทางการปกครองของ อาณาจักรลา้ นนา ต้งั อยเู่ ลขที่ 103 ถนนพระปกเกลา้ ตาบลพระสิงห์ อาเภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่ มเี นอื้ ทีภ่ ายในวดั ประมาณ 32 ไร่ 1 งาน 27 ตารางว
19 พระธาตเุ จดียห์ ลวงนน้ั ถอื วา่ เป็นพระธาตทุ ี่มคี วามสงู ที่สดุ ในภาคเหนือ หรือลา้ นนา คือ สงู ประมาณ 80 เมตร เมตร ฐานเป็นรูปสเ่ี หลยี่ มจตั รุ สั กวา้ งประมาณดา้ นละ 60 เมตร ถกู สรา้ งขนึ้ ในช่วงตน้ พทุ ธศตวรรษที่ 20 ถอื วา่ เป็นเจดียท์ ม่ี คี วามสาคญั ทส่ี ดุ ของเมืองเชยี งใหม่ วดั เจดยี ห์ ลวง เชียงใหม่ พระธาตเุ จดียห์ ลวงนน้ั ถูกสรา้ งขนึ้ ในในรชั สมยั พญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 1928 - 1945) กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี 7 แห่ง ราชวงศม์ งั ราย ซึ่งเป็นกษตั ริยท์ ่ีปกครองเมืองเชยี งใหม่ในขณะนน้ั สรา้ งขนึ้ เพื่ออทุ ิศสว่ นบุญสว่ นกุศลให้ พญากอื นา พระราชบดิ า ซึ่งมตี านานเลา่ มาวา่ พญากอื นาซ่ึงไดส้ วรรคตไปแลว้ ไดป้ รากฏตวั แกพ่ อ่ คา้ ชาว เชียงใหมท่ ่ีเดินทางไปคา้ ขายทพ่ี ม่า ใหม้ าบอกวา่ แกพ่ ญาแสนเมืองมาผเู้ ป็นโอรสว่า ใหส้ รา้ งเจดยี ไ์ ว้ ทา่ มกลางเวียง ใหส้ งู ใหญ่พอใหค้ นทอ่ี ยู่ไกล 2,000 วา สามารถมองเหน็ ได้ แลว้ อทุ ศิ บญุ กศุ ลเหล่านใี้ หแ้ ก่
20 พญากือนา เพ่ือใหพ้ ญากือนานน้ั สามารถไปเกดิ ในเทวโลกได้ แตพ่ ญาแสนเมอื งมาเสดจ็ สวรรคตเสยี ก่อน พระนางติโลกจฑุ าเทวีผเู้ ป็นมเหสีไดส้ ืบทอด เจตนารมณส์ รา้ งต่อ จนเสรจ็ ในรชั สมยั พญาสามฝ่ังแกน ใช้ เวลาสรา้ ง 5 ปี ต่อมาไดม้ ีการปฏิสงั ขรณใ์ นสมยั พญาตโิ ลกราช (พ.ศ. 1984 - 2030) พระองคโ์ ปรดใหห้ ม่ืน ดา้ มพรา้ คต นายชา่ งใหญ่ทาการปฏสิ งั ขรณ์ โดยมพี ระมหาสวามสี ทั ธมั กิติ เจา้ อาวาสองคท์ ่ี 7 ของวดั โชติ การาม (วดั เจยห์ ลวง) เป็นกาลงั สาคญั ในการควบคมุ ดแู ล และประสานงาน การปฏิรูปและก่อสรา้ งครงั้ นไี้ ด้ สรา้ งขยายเจดยี ใ์ หใ้ หญก่ วา่ เดมิ ใชเ้ วลาในการกอ่ สรา้ ง 3 ปี จงึ แลว้ เสรจ็ ในสมยั มหาเทวีจริ ประภา รชั กาลที่ 15 แหง่ ราชวงศม์ งั ราย เกดิ พายฝุ นตกหนกั แผ่นดนิ ไหว พระมหาเจดยี ์ หลวงไดพ้ งั ทลายลงมาเหลือเพยี งครง่ึ องค์ จากนน้ั กถ็ กู ปล่อยทงิ้ รา้ งไปนานกวา่ 4 ศตวรรษ พระมหาเจดยี ์ หลวงที่เหน็ ปัจจุบนั กรมศลิ ปกรเพิ่งจะบรู ณปฏสิ งั ขรณเ์ สรจ็ ไปเม่ือ พ.ศ. 2535 วดั พระธาตดุ อยสเุ ทพราชวรวิหาร พระอารามหลวง ชั้นโท ชนดิ ราชวรวหิ าร ตง้ั อย่ใู นอทุ ยาน แห่งชาตดิ อยสเุ ทพ-ปยุ วดั มคี วามสงู จากระดบั ทร่ี าบเชยี งใหมร่ าว 689 เมตร และมีความสงู จาก ระดบั นา้ ทะเลปานกลาง 1,046 เมตร เป็ นหน่ึงในวดั ทม่ี คี วามสาคญั มากท่ีสดุ ของจงั หวัดเชียงใหม่ นอกจากนยี้ งั ประกอบดว้ ยจดุ ชมทวิ ทศั นท์ ส่ี ามารถมองเห็นเมอื งเชยี งใหมไ่ ด้ทงั้ หมด
21 วัดพระธาตลุ าปางหลวง ตงั้ อยูใ่ นเขตเทศบาลตาบลลาปางหลวง อาเภอเกาะคา จังหวดั ลาปาง อยูห่ า่ ง จากตวั เมอื งลาปางไปทางทิศตะวนั ตกเฉียงใตป้ ระมาณ 18 กโิ ลเมตร วดั ตง้ั อยบู่ นเนนิ สงู มกี ารจดั วางผงั และส่วนประกอบของวดั สมบูรณแ์ บบท่สี ดุ มสี ่ิงก่อสรา้ ง และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ บรเิ วณพทุ ธาวาส ประกอบดว้ ย องคพ์ ระธาตลุ าปางหลวง เป็นประธาน มีบนั ไดนาคนาขึน้ ไปสซู่ มุ้ ประตโู ขง ถดั ซมุ้ ประตโู ขงขนึ้ ไปเป็น วหิ ารหลวง บรเิ วณทิศเหนือขององคพ์ ระธาตมุ วี หิ ารบรวิ ารตงั้ อยู่คอื วหิ ารนา้ แตม้ และ วิหารตน้ แกว้ ดา้ นตะวนั ตกขององคพ์ ระธาตปุ ระกอบดว้ ย วิหารละโว้ และ หอพระพทุ ธบาท ดา้ นใตม้ ี วิหารพระพทุ ธ และ อโุ บสถ ทงั้ หมดนจี้ ะแวดลอ้ มดว้ ยแนวกาแพงแกว้ ทงั้ ส่ดี า้ น นอกกาแพงแกว้ ดา้ นใตม้ ีประตทู จี่ ะนาไปสเู่ ขต สงั ฆาวาส ซงึ่ ประกอบดว้ ยอาคาร หอพระไตรปิฎก กฏุ ปิ ระดษิ ฐาน พระแกว้ ดอนเตา้ อาคารพพิ ิธภณั ฑแ์ ละ กฏุ สิ งฆ์
22 วดั รา่ เปิง (คาเมือง: ) ตง้ั อยู่ท่ี เลขที่ 1 หมู่ 5 ถนนคนั คลองชลประทาน ตาบลสเุ ทพ อาเภอเมืองเชยี งใหม่ จงั หวดั เชยี งใหม่ นอกเขตเทศบาลนครเชยี งใหม่ อีกทงั้ อย่ใู กลบ้ รเิ วณวดั อโุ มงค์ วดั ป่าแดง และ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ภายในวดั มพี นื้ ทท่ี ง้ั หมด 19 ไร่ 1 งาน 78 ตารางวา วดั ร่าเปิง ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เม่อื ปี พ.ศ. 2478[1] วดั ร่าเปิงยงั ไดร้ บั การแตง่ ตง้ั ใหเ้ ป็น ศนู ยพ์ ฒั นาจติ เฉลิมพระเกยี รตฯิ ประจาจงั หวดั เชยี งใหม่ ปี พ.ศ. 2542 และสานกั ปฏิบตั ิธรรม ประจาจงั หวดั เชียงใหม่ แหง่ ที่ 2 ปี พ.ศ. 2547 จบการนาเสนอ
23 ขอขอบพระคณุ และขอบคณุ คณาจายร์ เจา้ หนา้ ทที่ กุ ท่านสาหรบั การเดนิ ทางสกิ ขา จารกิ ในครงั้ นี้ โอกาศหนา้ เจอกนั ใหม่
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: