วงออรเ์ คสตร้าคอื อะไร? ออรเ์ คสตรา้ (orchestra) หรือในภาษาไทยเรยี กว่า วงดรุ ยิ างคส์ ากล มีมาชา้ นาน หากแตม่ ีการ เปล่ียนแปลงรูปแบบไปตามยคุ สมยั มีวิวฒั นาการเร่มิ ขนึ้ ราว ค.ศ.1600 มีลกั ษณะท่ีสาคญั คอื เป็นกลมุ่ ของนกั ดนตรีสาหรบั ดนตรีตะวนั ตก ออรเ์ คสตรา้ มีความหมายถึง วงซิมโฟนี ออรเ์ คสตรา้ ไดแ้ ก่ วงดนตรีท่ี ประกอบดว้ ยเคร่อื งดนตรีประเภทเคร่อื งสาย รวมกบั เคร่ืองลมไม้ เคร่อื งทองเหลือง และเคร่อื งกระทบโดย บรรเลงภายใตก้ ารควบคมุ ของผอู้ านวยเพลง เรียกวา่ วาทยกร (Conductor) เป็นผทู้ ่ีทาหนา้ ท่ีควบคมุ วง ดนตรี ตอ้ งท่ีดา้ นหนา้ วงดนตรี เพ่ือกากบั จงั หวะ กากบั ลีลา และกากบั ความดงั เบาของบทเพลงท่ีบรรเลงอยู่ เป็นผเู้ ช่ือมโยงอารมณ์ และความรูส้ กึ ของผปู้ ระพนั ธเ์ พลงไปสผู่ ฟู้ ังเพลง ยคุ เร่มิ ตน้ ท่ีมีความชดั เจนเก่ียวกบั วงออรเ์ คสตรา้ คือในระยะศตวรรษท่ี 16 เรยี กวา่ ยคุ บาโรค (Baroque) ค.ศ. 1600-1750 เป็นยคุ แรกของวงออรเ์ คสตรา้ มีโอเปราเกิดขนึ้ ทาใหม้ ีความจาเป็นตอ้ งการใหม้ ีการบรรเลง กลมกลืนกบั นกั รอ้ งจงึ เร่มิ มีการกาหนดเคร่อื งดนตรลี งในบทเพลงโดยเป็นลกั ษณะของวงเคร่อื งสายออรเ์ คสตรา้ (String Orchestra) มีผเู้ ลน่ จานวน 10-25 คน
ตอ่ มาในยคุ คลาสสิก (The Classic Era) ค.ศ. 1750-1820 แบง่ เป็น คือ วงออรเ์ คสตรา้ ท่ีประกอบดว้ ย เคร่อื งสายเพียงอยา่ งเดียวและวงออรเ์ คสตรา้ มีเคร่ืองดนตรหี ลายประเภท ยคุ โรแมนติค (The Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900 พฒั นาใหม้ ีมาตรฐาน โดยมีการเพ่มิ จานวนเคร่อื ง ดนตรีใหม้ ากขนึ้ ผบู้ รรเลงประมาณ 80 คน วงออรเ์ คสตรา้ ในปัจจบุ นั แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ คือ วงแชมเบอรอ์ อรเ์ คสตรา้ หมายถึง วงดนตรที ่ีประสมวง ดว้ ยเคร่อื งดนตรปี ระเภทเคร่ืองสายในตระกลู ไวโอลนิ เท่านนั้ มีผบู้ รรเลงจานวน 16 – 20 คนสว่ น วงซมิ โฟนี ออรเ์ คสตรา้ หรือวงดรุ ยิ างคส์ ากล ประกอบดว้ ยเคร่ืองดนตรีครบทกุ ประเภท คือ เคร่ืองสาย เคร่อื งลมไม้ เคร่อื งลมทองเหลือง เคร่อื งลิม้ นวิ้ และเคร่ืองตกี ระทบ เป็นลกั ษณะการประสมวงท่ีสมบรู ณท์ ่ีสดุ วงขนาดเล็ก (Small Orchestra) มีผบู้ รรเลงประมาณ 40 – 60 คน วงขนาดกลาง (Medium Orchestra) มี ผบู้ รรเลงประมาณ 60 – 80 คน และ วงขนาดใหญ่ (Full Orchestra) มีผบู้ รรเลงประมาณ 80 คนขนึ้ ไป บทเพลงท่ีใชใ้ นวงออรเ์ คสตรา้ แบง่ เป็น บทเพลงประเภท 1) ซิมโฟนี (Symphony) เป็นบทเพลงท่ีมีความ ไพเราะ สงา่ งามและแสดงออกถงึ อารมณ์ ผปู้ ระพนั ธท์ ่ีสาคญั เชน่ ชเู บริ ต์ ชมู านน์ 2) คอนแชรโ์ ต (Concerto) เป็นบทเพลงสาหรบั เคร่ืองดนตรีเด่ยี วเพ่ือแสดงฝีมือของผบู้ รรเลงรว่ มบรรเลงกบั วง ออรเ์ คสตรา้ 3) บทเพลงสาหรบั อปุ รากร หรือโอเปรา (Opera) แบง่ ได้ โอเปรา ซีเรีย (Opera Seria) เร่ืองราว เก่ียวกบั ชนชนั้ สงู เนือ้ หาเก่ียวกบั โศกนาฏกรรม ความรกั และโอเปรา ชวนหวั (Comic Opera, Opera buffa) และ 4) ดนตรีบลั เล่ตจ์ ดั เป็นดนตรีท่ีบรรเลงดว้ ยวงออรเ์ คสตรา้ ท่ีมีความไพเราะสามารถฟัง ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งมีการแสดงประกอบแตป่ ระการใด
เครอ่ื งดนตรใี นวงออรเ์ คสตร้า เคร่อื งดนตรีท่ีใชใ้ นวงดนตรี มีดงั นี้ – กลมุ่ เคร่อื งสาย (Strings) ไดแ้ ก่ ไวโอลิน วโิ อลา เชลโล่ ดบั เบลิ เบส และฮารป์ – กลมุ่ เคร่อื งเป่าลมไม้ (Woodwind) ไดแ้ ก่ ปิคโกโล ฟลทู โอโบ คลารเิ น็ต บาสซนู เบสคลารเิ น็ต และคอนทราบาสซนู – กลมุ่ เคร่อื งลมเป่าทองเหลือง (Brass) ไดแ้ ก่ เฟรน์ ฮอรน์ ทรอมโบน ทรมั เป็ต และ ทบู า – กลมุ่ เคร่อื งตแี ละเคร่ืองประกอบจงั หวะ (Percussion) ไดแ้ ก่ กลองใหญ่ ฉาบ ไทรแองเกิล กลองทิมปานี ไซโลโฟน มารบิ บา้
กลุ่มเครื่องสาย ( string instrument) เป็นการจดั ประเภทของเคร่อื งดนตรสี ากล โดยเคร่อื งดนตรี สากลประเภทเคร่อื งสายนี้ หมายถงึ เคร่ืองดนตรที ่ีทาใหเ้ กิดเสียงโดยการส่นั สะเทือนของสายลวด เชือก เอ็น หรอื ไนลอน และมีตวั กาธรเสียง ทาหนา้ ท่ีขยายเสียงใหด้ งั มากขนึ้ คณุ ภาพของเสียงขนึ้ อยกู่ บั รูปรา่ ง และวตั ถทุ ่ี ใชท้ า การส่นั สะเทือนของสายอาจทาไดโ้ ดยการสี หรือดีดโดยอาจกระทาโดยตรง หรือเพ่มิ กลไกใหย้ ุ่งยากขนึ้ เคร่อื งสายท่ีพบเหน็ ในปัจจบุ นั นิยมใชว้ ธิ ีทาใหเ้ กิดเสียงได้ 2 วธิ ี คือ วิธีสี และวิธีดีด 1.ไวโอลิน ( Violin) เคร่อื งดนตรีท่ีใชเ้ ลน่ ทว่ งทานอง ประกอบดว้ ยสาย 4 สาย เป็นเคร่อื งดนตรีท่ีทาใหเ้ กิดเสียงระดบั เสียงสงู ใน กลมุ่ เคร่อื งดนตรคี ลาสสิกประเภทเคร่อื งสายซ่งึ เป็นหวั ใจหลกั ของวงออรเ์ คสตรา้ 2.วิโอลา (Viola) มีรูปรา่ งเหมือนไวโอลินทกุ ประการ แตม่ ีขนาดใหญ่กวา่ ไวโอลิน ตงั้ เสียงต่ากวา่ ไวโอลิน มีเสียงทมุ้ และนมุ่ นวล กวา่ ไวโอลิน
3.เชลโล่ ( Cello) มีรูปรา่ งเหมือนไวโอลินและวิโอลา แตม่ ีขนาดใหญ่กวา่ มาก ขณะเลน่ ตอ้ งน่งั เกา้ อี้ เอาเคร่อื งไวร้ ะหวา่ งขาทงั้ สองขา้ ง เสียงต่ากวา่ วโิ อลา เสียงของเชลโล่นมุ่ นวล แสดงอารมณเ์ ศรา้ สรอ้ ย 4.ดบั เบลิ เบส ( Double Bass) เป็นเคร่ืองท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสดุ ในตระกลู ซอวิโอล หรือ วิโอลา่ ดา แกมบา้ ผบู้ รรเลงตอ้ งยืนเลน่ เสียงของดบั เบลิ เบส ต่าสดุ ในบรรดาเคร่อื งสาย แสดงถงึ ความมีอานาจ ความกลวั ความลกึ ลบั 5.ฮารป์ (Harp)
ฮารป์ คอื เคร่อื งดนตรปี ระเภทเคร่อื งสายซ่งึ แตกตา่ งจากเคร่อื งสายประเภทอ่ืนๆ คือ การขงึ ของสายจะไมผ่ า่ น กลอ่ งเสียง (Sounding Board)เหมือนเคร่อื งดนตรีชนิดอ่ืนๆ เชน่ กีตาร,์ ไวโอลิน หรอื เปียโน โครง สาหรบั ขงึ สายมีลกั ษณะเป็นรูปสามเหล่ียมโคง้ งอเลก็ นอ้ ยเพ่ือใหเ้ กิดความสวยงาม ปกตจิ ะเลน่ ดว้ ยการดีดท่ี สาย คณุ ภาพเสียงของ ฮารป์ มีความแจม่ ใสกวา่ เสียงของเปียโน ใชแ้ สดงความสดช่ืนแจม่ ใส กลุ่มเครอ่ื งเป่ าลมไม้ (Woodwind Instruments)เป็นการจดั ประเภทเคร่ืองดนตรีสากล โดยเคร่อื ง ดนตรีประเภทเคร่ืองเป่าลมไมน้ ี้ แมต้ วั ของเคร่ืองดนตรี อาจทาจากวสั ดตุ า่ ง ๆ มากมาย แตส่ ่วนสาคญั ท่ีทาให้ เกิดเสียง คอื ลนิ้ (Reed) ซ่งึ ทามาจากไม้ จงึ ไดช้ ่ือว่า เคร่ืองเป่าลมไมน้ ่นั เอง เคร่อื งเป่ าลมไมแ้ บง่ ไดอ้ ยา่ งกวา้ ง ๆ เป็น 2 ประเภทคอื 1. ประเภทเป่าลมเขา้ ไปในรูเป่า (Blowing into a tube) หรือ เคร่ืองเป่าลมไมป้ ระเภทขลยุ่ ลาตวั มีลกั ษณะเป็นทอ่ แบง่ ตามลกั ษณะของการเป่าได้ 2 ประเภทคือ ประเภทเป่าตรงปลาย เชน่ ขลยุ่ รีคอรเ์ ดอร์ และประเภทเป่าลมเขา้ ทางดา้ นขา้ ง เชน่ ฟลทู และปิคโคโล 2. ประเภทเป่าลมใหผ้ า่ นลิน้ ของเคร่ืองดนตรี (Blowing through a reed) หรอื เคร่ืองเป่า ลมไมป้ ระเภทป่ี สว่ นประกอบท่ีสาคญั คือมีลิน้ (Reed) เป็นตวั ส่นั สะเทือน สว่ นท่ีเป็นลิน้ จะอยตู่ รง ปลายดา้ นหนง่ึ ของป่ี เม่ือเป่ าลมผา่ นลนิ้ ใหเ้ กิดการส่นั สะเทือน ลมจะเขา้ ไปในทอ่ ซง่ึ ทาหนา้ ท่ีเป็นตวั ขยายเสียงหรือตวั กาทอน แลว้ ออกไปยงั ปากลาโพง เคร่ืองดนตรีพวกป่ียงั จาแนกออกไดต้ ามลกั ษณะ ของลนิ้ ท่ีใช้ เป็นประเภทลนิ้ คู่ (Double reed) และลนิ้ เด่ยี ว (Single reed)
1.ฟลทู (Flute) เป็นเคร่ืองดนตรที ่ีเกา่ แก่ท่ีสดุ ชนดิ หนง่ึ ท่ีมีพฒั นาการมาจากมนษุ ยก์ ่อนประวตั ศิ าสตรท์ ่ีคดิ ใชก้ ระดกู สตั วห์ รือ เขาของสตั วท์ ่ีเป็นทอ่ กลวงหรอื ไมก่ ็ใชป้ ลอ้ งไมไ้ ผม่ าเจาะรูแลว้ เป่า ใหเ้ กิดเสียงตา่ ง ๆ วตั ถนุ นั้ จงึ เป็นตน้ กาเนิด ของเคร่ืองดนตรีประเภทขลยุ่ ฟลทู เป็นขลยุ่ เป่าดา้ นขา้ ง ปัจจบุ นั เคร่ืองคนตรใี นตระกลู คอนเสิรต์ ฟลทู (Western concert flute) 2.ปิคโคโล ( Piccolo) เป็นขลยุ่ ขนาดเล็กมีลกั ษณะเชน่ เดียวกบั ฟลทู แตเ่ ล็กกว่าทามาจากไม้ หรืออีบอรไ์ นท์ แตป่ ัจจบุ นั ทาดว้ ยโลหะ ยาวประมาณ 12 นิว้ เสียงเล็กแหลมชดั เจน แมว้ า่ จะเป่าเพียง เคร่อื งเดียว ปิคโคโล เลน่ ไดด้ ีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการทาเสียงรวั (Trill) และการบรรเลงเด่ียว (Solo)
3.โอโบ (Oboe) เป็นป่ีลนิ้ คทู่ ่ีเก่าแกท่ ่ีสดุ ชาวอียปิ ตโ์ บราณ ไดเ้ คยใชป้ ่ีท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั ป่ีโอโบ เม่ือประมาณ 3,500 ปี กอ่ นครสิ ตกาลมาแลว้ ชาวกรกี และชาวโรมนั โบราณมีป่ีลิน้ คชู่ นิดหนง่ึ เรียกวา่ “ออโรส” (Aulos) โอโบลาตวั ยาวประมาณ 25.5 นิว้ เป็นรูปทรงกรวยทาดว้ ยไมห้ รืออีบอไนท์ สว่ นลิน้ คนู่ นั้ ทาจากไมท้ ่ีลาตน้ มีขอ้ และปลอ้ ง ขนึ้ ในแถบเมดเิ ตอรเ์ รเนียน ลิน้ ของป่ีโอโบไดร้ บั การผลติ อยา่ งประณีตมาแลว้ จากโรงงาน ผเู้ ลน่ สว่ นมากนิยม นามา ตกแตง่ เพ่มิ เตมิ ใหเ้ หมาะสมกบั รมิ ฝีปากของตนเอง หนา้ ท่ีท่ีสาคญั ของโอโบอีกอยา่ งหนง่ึ คือ เป็นเคร่ืองเทียบเสียงของวง ออรเ์ คสตรา้ (A tuning fork for the orchestra) กอ่ นการบรรเลงเคร่ืองดนตรีตา่ ง ๆ จะตอ้ งเทียบเสียง “ลา” (A) 4.บาสซูน (bassoon) เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทเป่าลมผา่ นลนิ้ เชน่ เดยี วกบั โอโบ เป็นป่ีขนาดใหญ่ใชล้ นิ้ คู่ (double reed) รูปรา่ ง ของบาสซูน คอ่ นขา้ งจะประหลาดกวา่ ป่ีชนิดอ่ืน ๆ เน่ืองจากความใหญ่โตของทอ่ ลม ซ่งึ มีความยาวถึง 109 นวิ้ แตเ่ พ่ือไมใ่ หย้ าวเกะกะ จงึ ใชว้ ิธีทบท่อล่มิ ใหเ้ หลือความยาวประมาณ 4 ฟตุ เศษ บาสซูนมีนา้ หนกั มากจงึ ตอ้ งมี สายคลอ้ งคอชว่ ยพยงุ นา้ หนกั (sling) เพ่ือใหม้ ือทงั้ สองของผเู้ ลน่ ขยบั ไปกดแปน้ ตา่ ง ๆ ไดส้ ะดวก บาสซนู
ไดร้ บั ฉายาวา่ เป็น \"ตวั ตลกของวงดรุ ยิ างค\"์ (The Clown of the Orchestra) ทงั้ นีเ้ พราะเวลา บรรเลงเสียงสนั้ ๆ หว้ น ๆ (staccato)คลา้ ยลกั ษณะการเดนิ ของตวั ตลกในคณะละครสตั ว์ เสียงของบาสซนู ต่านมุ่ ลกึ ถือเป็นแนวเบสของกลมุ่ เคร่อื งลมไม้ นอกนนั้ ยงั สามารถเลน่ ทานองเดียวไดอ้ ยา่ งงดงามอีกดว้ ย 5.คลารเิ นต (Clarinet) เป็นเคร่อื งดนตรีท่ีรูจ้ กั กนั แพรห่ ลายกวา่ เคร่ืองอ่ืน ๆ ในบรรดาเคร่อื งลมไมด้ ว้ ยกนั คลารเิ นตเป็นเคร่ืองดนตรที ่ี ใชไ้ ดใ้ นวงดนตรเี กือบทกุ ประเภท และเป็นเคร่ืองดนตรีท่ีสาคญั ในวงออรเ์ คสตรา้ วงโยธวาทิต และวงแจ๊สป่ี คลารเิ นตทาดว้ ยไมห้ รืออีบอไนทเ์ ชน่ เดยี วกบั ป่ีโอโบ มีรูปรา่ งคลา้ ยโอโบมาก ความแตกตา่ งอยทู่ ่ีมีลิน้ เดยี ว คลารเิ นตยาวกวา่ โอโบเล็กนอ้ ย รูปทรงของทอ่ ลมเป็นทรงกระบอก ปากลาโพงบานเป็น ทรงระฆงั ความยาว ทงั้ สนิ้ ประมาณ 26 นวิ้ กลุ่มเครื่องเป่ าลมทองเหลือง (Brass Instruments) เคร่ืองดนตรีในกลมุ่ เคร่อื งลมทองเหลืองนี้ เรียกรวม ๆ วา่ กลมุ่ แตร สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของเคร่ือง ดนตรกี ลมุ่ นี้ คอื ทอ่ ลมทาดว้ ยโลหะขนาดตา่ ง ๆ กนั การเกิดเสียงเกิดจากการเป่ าลมใหเ้ กิดการส่นั สะเทือนท่ีรมิ ฝีปากของผเู้ ลน่ ผา่ นเขา้ ไปในท่ีเป่า (Mouth Piece) การเป่ าเคร่ืองลมทองเหลือง จงึ ขนึ้ อยกู่ บั รมิ ฝีปาก เป็นสาคญั เคร่ืองดนตรใี นกล่มุ เคร่อื งลมทองเหลืองท่ีใชอ้ ยใู่ นปัจจบุ นั มีดงั นี้
1. เฟรนชฮ์ อรน์ (France horn) ปัจจบุ นั เรียกวา่ \"ฮอรน์ \" ตน้ กาเนดิ ของฮอรน์ คือเขา สตั ว์ ฮอรน์ ท่ีเก่าแกท่ ่ีสดุ คือ โชฟาร์ (Shofar)ของชาวฮบิ รู ทาดว้ ยเขาแกะ เฟรนชฮ์ อรน์ เป็นแตรท่ีมีชว่ งเสียงกวา้ งถงึ 3 ออคเทฟครง่ึ มีทอ่ ยาวประมาณ 12-15 ฟตุ แต่ นามาขดเป็นวงโคง้ ไปมา เพ่ือใหส้ ะดวกแกผ่ เู้ ป่าจนเหลือความยาวจากปากเป่าถงึ ปากลาโพงเพียง 20 นวิ้ เสียงของเฟรนซ์ ฮอรน์ สดใส สงา่ จดั วา่ เป็นพระเอก ในบรรดาเคร่อื งลมทองเหลือง นกั แตง่ เพลงหลายคนใช้ เสียงของเฟรนซฮ์ อรน์ บรรยายความงามของธรรมชาติ เช่น หบุ เขาท่ีมีเสียงสะทอ้ นกอ้ งกลบั ไปกลบั มา เป็นตน้ เน่ืองจากท่อลมมีขนาดยาวมากการบงั คบั รมิ ฝีปากในการเป่าจงึ เป็นเร่ืองยาก 2.ทรอมโบน (Trombone) เป็นแตรซง่ึ ใชม้ าตงั้ แตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15 ในพิธีศาสนา และพธิ ียรุ ยาตรรว่ มกบั แตรโบราณ ทรอมโบน ประกอบดว้ ย ท่อลมสวมซอ้ นเล่ือนเขา้ - ออกได้ (telescopic slide) ขนาดยาวโคง้ ไดส้ องทบสองในสาม ของทอ่ ลมนีเ้ ป็นทอ่ ทรงกระบอก เชน่ เดยี วกบั ทรมั เป็ต สว่ นท่ีเหลือคอ่ ย ๆ บานออกเป็นปากลาโพง สว่ นท่ีเป็น ทอ่ ลมทรงกระบอกจะเป็นทอ่ สองชนั้ สวมกนั ไวใ้ นลกั ษณะรูปตวั U เล่ือนเขา้ ออกเพ่ือปรบั ระดบั เสียง เม่ือเล่ือน
ออกจะยาวประมาณ 9 ฟตุ แตเ่ ม่ือเล่ือนเขา้ จะเหลือเพียง 3 ฟตุ เศษ ทรอมโบนมีเสียงทมุ้ หา้ ว ไมส่ ดใส เหมือนทรมั เป็ต ปัจจบุ นั นิยมใชแ้ พรห่ ลายในวงดนตรชี นิดตา่ ง ๆ เชน่ เดยี วกนั ทรมั เป็ตประกอบดว้ ย เทเนอร์ ทรอมโบน (Tenor Trombone)และ เบสทรอมโบน (Bass Trombone) 3.ทรมั เป็ต (Trumpet) ในสมยั โบราณชาวยโุ รปถือว่าแตรทรมั เป็ตเป็นของคนชนั้ สผู้ ู้ ท่ีจะมีสิทธิเป็นเจา้ ของแตรชนดิ นีไ้ ดต้ อ้ งเป็นพระ เจา้ แผน่ ดนิ หรือเจา้ นายชนั้ สงู หรือไมก่ ็นกั รบชนั้ แมท่ พั สามญั ชนไมม่ ีสิทธิท่ีจะเป็นเจา้ ของแตรชนิดนี้ ทรมั เป็ต เป็นแตรท่ีมีทอ่ ลมรูปทรงกระบอกขนาดของท่อลมมีเสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางประมาณ 3 นวิ้ โคง้ งอทบกนั เป็นสามทบ ตดิ ลกู สบู เพ่ือใชบ้ งั คบั เสียง 3 อนั ( 3 valve) อย่ตู รงกลางลาตวั ผเู้ ป่าจะใชน้ วิ้ บงั คบั ลกู สบู ทงั้ สามโดยการก ดลงหรอื ผอ่ นใหข้ นึ้ แนวตงั้ กาพวด (Mouthpiece) ของทรมั เป็ตเป็น \"กาพวดรูปถว้ ยหรือระฆงั \" ซง่ึ ทาให้ แตรทรมั เป็ตสามารถเลน่ เสียงสงู ไดส้ ดใสแผดกลา้ ใหค้ วามรูส้ กึ ต่นื เตน้ ไดด้ ี แตถ่ า้ เลน่ เสียงต่า จะใหค้ วาม นมุ่ นวล ลกั ษณะคลา้ ยเสียงกระซบิ กระซาบไดด้ ีเชน่ เดียวกนั บางครงั้ ผเู้ ป่าตอ้ งการลดเสียงของแตรใหเ้ บาลงทา ใหเ้ กิดเสียงท่ีแปลกหกู ็สามารถใช้ \"มวิ ท\"์ (Mute) สวมเขา้ ไปในปากลาโพงของแตร ในปัจจบุ นั ทรมั เป็ตเป็น แตรท่ีแพรห่ ลายและใชใ้ นวงดนตรีเกือบทกุ ประเภท
4.ทบู า (Tuba) เป็นเคร่ืองดนตรีตระกลู แซ็กฮอรน์ ซ่ึงอดอลฟ์ แซ็ก ไดป้ ระดษิ ฐข์ นึ้ เม่ือ ปี 1845 แตรตระกลู แซกฮอรน์ มีหลาย ขนาดเรียกช่ือตา่ ง ๆ กนั ตามขนาด เช่น บารโิ ทน ยโู ฟเนียม การผลิตใหม้ ีหลายขนาดก็เพ่ือจะใหม้ ีแตรหลาย ๆ ระดบั เสียงเพ่ือใชใ้ นวงแตรวง และวงโยธวาทิต สว่ นท่ีใชใ้ นวงออรเ์ คสตรา้ ซง่ึ มีมาแตเ่ ดมิ และนยิ มใชม้ ากท่ีสดุ คอื ทบู า ทบู ามีทอ่ ลมขนาดใหญ่ และมีความยาวตงั้ แต่ 9 ,12,14,16 และ 18 ฟตุ แลว้ แตข่ นาด มี ชว่ งเสียงกวา้ ง 3 ออคเทฟ เศษ ๆ ทอ่ ลมเป็นทรงกรวย เช่นเดียวกบั ฮอรน์ สว่ นกลางลาตวั ตดิ ลกู สบู บงั คบั เสียง 3 อนั หรือ 4 อนั เสียงของทบู าต่า ลกึ นมุ่ นวล ไมแ่ ตกพรา่ เสียงต่ามากท่ีเรยี กวา่ \"พีเดิล โทน\" (pedal tones) นนั้ มีคณุ สมบตั เิ ฉพาะตวั ปกตแิ ตรทบู าทาหนา้ ท่ีเป็นแนวเบส ใหแ้ กก่ ลมุ่ เคร่ืองลมทองเหลือ กลุ่มเครือ่ งตีและเคร่อื งประกอบจังหวะ (Percussion Instrument) เคร่ืองดนตรปี ระเภทเคร่อื งตีกระทบไดแ้ ก่ เคร่ืองดนตรที ่ีเกิดเสียงดงั ขนึ้ จากการตีกระทบ การส่นั , การ เขยา่ , การเคาะ, การตี อาจจะใชไ้ มต้ ี หรอื อาจจะใชส้ ่งิ หน่งึ กระทบเขา้ กบั อีกส่งิ หนง่ึ เพ่ือทาใหเ้ กิดเสียง เคร่อื งตี กระทบประกอบขนึ้ ดว้ ยวสั ดขุ องแขง็ หลายชนิด เชน่ โลหะ , ไม้ หรือ แผน่ หนงั ขงึ ตงึ เครอื่ งดนตรีในกลุ่มเคร่อื งตกี ระทบแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ 1. เครอ่ื งดนตรีมีระดบั เสียงแน่นอน เครอื่ งดนตรีในกลุ่มนีม้ รี ะดบั เสยี งสูงตา่ เหมือนกบั เคร่ืองดน ประเภทอ่ืนเกิดเสียงโดยการตีกระทบ ไดแ้ ก่
1.มารมิ บา(Marimba) คือเคร่อื งตีกระทบท่ีมีระดบั เสียงแนน่ อนเป็นระนาดของดนตรี ตะวนั ตก ลกั ษณะท่วั ๆ ไปเหมือนกบั ไซโลโฟน หรือไวปราโฟน เป็นระนาดไมข้ นาดใหญ่ลกู ระนาดทาดว้ ยไมท้ ่ีมีช่ือวา่ \"โรสวดู้ \" ใตล้ กู ระนาดมีทอ่ โลหะตดิ อยู่ เพ่ือเป็นตวั ขยายเสียง 2.ไซโลโฟน (Xylophone) คือเคร่ืองตกี ระทบท่ีมีระดบั เสียงแนน่ อน เป็นระนาดไม้ ขนาดเลก็ ของดนตรีตะวนั ตก ลกั ษณะท่วั ไปคลา้ ยกบั มารมิ บา หรือไวบราโฟน ลกู ระนาดทาดว้ ยไมเ้ นือ้ แขง็ จดั เรียงลาดบั เสียงตามบนั ไดเสียงโครมาตกิ (Chromatic) เชน่ เดยี วกบั เปียโนหรือ ออรแ์ กน ใตล้ กู ระนาดมีท่อโลหะตดิ อยเู่ พ่ือเป็นตวั ขยายเสียง ประกอบดว้ ย 2 ขนาด 2. เคร่อื งดนตรีมีระดับเสียงไม่แน่นอน เคร่ืองดนตรีในกลุ่มนีไ้ ม่มีระดับเสียงแน่นอน หนา้ ท่ี สาคญั ก็ คอื ใชเ้ ป็นเคร่อื งดนตรีประกอบจงั หวะ เกิดเสียงโดยการตี ส่นั เขยา่ เคาะ หรือขดู ประกอบดว้ ย
1.ฉาบ (Cymbals) ฉาบ คอื เคร่อื งตกี ระทบ มีหลายลกั ษณะบางชนิดใชต้ เี ป็นคใู่ ห้ เกิดเสียงผตู้ ีตอ้ งสอดมือเขา้ ไปท่ีหรู อ้ ยฉาบซ่งึ ทา ดว้ ยสายหนงั แบฝ่ามือประกบแนบกบั ฝาฉาบตรงสว่ นนนู กลางฉาบ แลว้ ตีกระทบฝาฉาบดว้ ยมือทงั้ สองขา้ ง ฉาบบางชนิดใชเ้ พียงขา้ งเดียว ตีดว้ ยไมต้ ี ฉาบประเภทนีต้ อ้ งตดิ ตงั้ บนขาตงั้ เชน่ ฉาบสาหรบั กลองชดุ ฉาบมี หลายขนาด เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางมากก็จะทาใหเ้ กิดเสียงดงั และความกอ้ งกงั วานมากขนึ้ ดว้ ย 2.ไทรแองเกิล หรือ ก่ิง (Triangle) คือเคร่ืองตกี ระทบ ทาดว้ ยแทง่ โลหะ ดดั ใหเ้ ป็น รูปสามเหล่ียม แทง่ โลหะมีขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 1 ซ.ม. เพ่ือใหเ้ สียง ดงั กงั วาน ตอ้ งแขวนก่ิงไวก้ บั เชือก แลว้ ตีกระทบดว้ ยแทง่ โลหะ ก่ิงมีเสียงแจม่ ใสมีชีวติ ชีวา
3.กลองใหญ่ (Bass drum) คือเคร่ืองตกี ระทบ มี 2 หนา้ ขงึ ดว้ ยหนงั กลอง กลองใหญ่ท่ีใชใ้ นวงออรเ์ คสตรา้ จะมีขนาดใหญ่กวา่ 32 นวิ้ ถา้ ใชใ้ นวงโยธวาทิตจะมีขนาดตงั้ แต่ 24-32 นวิ้ ตดี ว้ ยไมต้ ี ปลายไมข้ า้ งหน่งึ ทาเป็นปมไวส้ าหรบั ใชต้ กี ระทบ กบั หนงั กลอง ปมนนั้ อาจจะหมุ้ ดว้ ยสกั หลาด ไมก้ ็อก ผา้ นวม หรือฟองนา้ เสียงกลองใหญ่ตเี นน้ ยา้ จงั หวะ เพ่ือใหเ้ กิดความหนกั แน่น หรืออาจจะใชร้ วั เพ่ือใหเ้ กิดความต่นื เตน้ รวั เพ่ือสรา้ งจดุ สนใจในบทเพลงเพ่มิ ขนึ้ ก็ได้ 4.กลองทิมปานี (Timpani) กลองทมิ ปานีเป็นกลองท่ีมีลกั ษณะเหมือนกะทะหรือกาตม้ นา้ จงึ มีช่ือหน่งึ วา่ Kettle drum ตวั กลองทา ดว้ ยโลหะทองแดง ตงั้ อยบู่ นขาหย่งั กลองทมิ ปานีมีระดบั เสียงแนน่ อน เทียบเทา่ กบั เสียงเบส มีเทา้ เหยียบเพ่ือ เปล่ียนระดบั เสียงตามท่ีตอ้ งการในการบรรเลงตอ้ งใชอ้ ย่างนอ้ ย 2 ใบ จงึ มีรูปพหพู จนอ์ ยเู่ สมอคือ \"Timpani\" ถา้ เป็นเอกพจนห์ รือกลองลกู เดียวเรยี กวา่ \"Timpano\" เสียงของกลองทมิ ปานีแสดงอานาจ ความย่งิ ใหญ่ ต่นื เตน้ เรา้ ใจ กลองทมิ ปานีเป็นกลองท่ีมีระดบั เสียงท่ีนิยมมี 4 ขนาด คอื 20 นวิ้ , 23 นวิ้ , 26 นวิ้ และ29นวิ้ กลองแตล่ ะใบจะมีชว่ งหา่ งของเสียงอยรู่ าวคู่ 5 เพอรเ์ ฟค (Perfect) และถา้ ตอ้ งการจะใหม้ ี เสียงท่ีดีควรจดั ใหเ้ สียงอยชู่ ่วงกลาง เสียงของกลองแตล่ ะใบมีชว่ งกวา้ งของเสียงดงั นีค้ ือ
แบบทดสอบ 1.เครือ่ งดนตรีในวงออรเ์ คสตร้าประกอบด้วยเคร่อื งดนตรกี ่ีกลุ่ม 2.กลุ่มเครอ่ื งดนตรีใดเป็ นหวั ใจหลักของวงออรเ์ คสตร้า 3.เคร่อื งดนตรดี ับเบลิ้ เบสอยู่ในตระกูลเครอ่ื งดนตรใี ด 4.เครื่องดนตรีชนิดใดที่ใช้สาหรับเทยี บเสียงให้กับเครื่องดนตรีในวงออรเ์ คสตร้า 5.ในกลุ่มของเครื่องดนตรกี ระทบ สามารถแบ่งออกได้กป่ี ระเภทและแต่ละประเภทแตกตา่ งกัน อยา่ งไร
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: