Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงาน เตาเผาข้าวหลามประหยัดพลังงาน กศน.ตำบลบัวทอง

โครงงาน เตาเผาข้าวหลามประหยัดพลังงาน กศน.ตำบลบัวทอง

Published by กศน.ตำบลบัวทอง, 2021-03-11 16:50:10

Description: โครงงาน เตาเผาข้าวหลามประหยัดพลังงาน กศน.ตำบลบัวทอง

Search

Read the Text Version

โครงงานเรือ่ ง “เตาเผาขา้ วหลามประหยดั พลงั งานและอนุรกั ษส์ ิง่ แวดล้อม” ผูจ้ ดั ทำโครงงาน นางนารนิ ทร์ ไชยวงษา ระดับ ประถมศกึ ษา นายสรุ จกั ร สรุ ยิ า ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ นายประกิต เจรญิ รัมย์ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย รายงานฉบบั นเ้ี ป็นส่วนหน่ึงของโครงงาน เรอื่ ง“เตาเผาข้าวหลามประหยัดพลังงานและ อนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม” ของนกั ศกึ ษา กศน.ตำบลบวั ทอง ในการประกวดโครงงานในโครงการ เสริมสร้างทักษะการทำโครงงานเพอ่ื การศึกษา กศน.อำเภอเมอื งบุรีรมั ย์ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอเมอื งบุรรี มั ย์ สำนักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวัดบุรีรัมย์ สำนักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยกระทรวงศึกษาธิการ

โครงงาน เรอ่ื ง “เตาเผาขา้ วหลามประหยัดพลังงานและอนุรกั ษ์สิง่ แวดล้อม” ผู้จดั ทำโครงงาน ระดับ ประถมศกึ ษา นางนารนิ ทร์ ไชยวงษา ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย นายสรุ จักร สุรยิ า ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย นายประกติ เจรญิ รมั ย์ ครทู ่ปี รกึ ษา นายวเิ ชยี ร วรรณโกษติ ย์ ครู กศน.ตำบลบวั ทอง ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอเมอื งบรุ รี มั ย์ สำนกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจงั หวดั บุรรี มั ย์ สำนกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยกระทรวงศกึ ษาธกิ าร

บทคัดยอ่ โครงงานเรอ่ื ง “เตาเผาข้าวหลามประหยดั พลงั งานและอนุรกั ษ์สงิ่ แวดล้อม” ชอ่ื ผ้จู ดั ทำ 1.นางนารินทร์ ไชยวงษา ระดบั ประถมศึกษา 2.นายสุรจักร สรุ ยิ า ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น 3.นายประกิต เจริญรัมย์ ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย ช่ือครทู ีป่ รกึ ษา 1.นายวเิ ชยี ร วรรณโกษิตย์ ครู กศน.ตำบลบวั ทอง สถานศกึ ษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองบรุ ีรัมย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จงั หวดั บรุ รี ัมย์ รหัสไปรษณยี ์ 31000 โทรศพั ท์/โทรสาร 044 611 959 โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง เตาเผาข้าวหลามประหยดั พลังงานและอนรุ ักษ์สง่ิ แวดล้อม จดั ทำขึ้น เพื่อ ชว่ ยลดปรมิ าณควันและก๊าซพิษในอากาศที่เกิดจากการเผาข้าวหลาม ลดปรมิ าณการใช้เชอื้ เพลิงในการเผาขา้ ว หลามและสามารถใชง้ านได้อย่างตอ่ เนื่องโดยลดการเกิดมลพิษต่อสภาพแวดลอ้ ม อีกทัง้ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ รักษาและอนรุ ักษส์ งิ่ แวดล้อม จากการท่ีผ้จู ดั ทำได้ดำเนินการสรา้ งเตาเผาข้าวหลามประหยัดพลงั งานและอนรุ ักษส์ ิง่ แวดล้อม ตาม รปู แบบทว่ี างไว้ และทำการทดลองเผาข้าวหลาม หลังจากการทดลองเผาข้าวหลาม พบว่า เตาเผาข้าวหลาม ประหยัดพลงั งานและอนุรกั ษ์ส่งิ แวดล้อม สามารถใชง้ านได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ คอื ข้าวหลามสุกในระยะเวลา ใกลเ้ คยี งกบั การเผาข้าวหลามแบบปกติ แต่การใช้เช้ือเพลงิ ประหยัดมากกวา่ สามารถลดปรมิ าณควันพษิ ทลี่ อยขน้ึ สอู่ ากาศ ลดปรมิ าณการใชพ้ ลงั งานจากถา่ นฟืนและอนรุ ักษส์ ่งิ แวดลอ้ ม เนื่องจากสามารถเผาขา้ วหลามไดอ้ ย่าง ตอ่ เนอ่ื งมปี ระสทิ ธภิ าพ

กิตติกรรมประกาศ ในการจัดทำโครงงานเรื่อง “เตาเผาข้าวหลามประหยัดพลังงานและอนรุ ักษ์สิ่งแวดลอ้ ม” นี้ ไดร้ บั ความรว่ มมือเปน็ อย่างดี จากคณะครู นักศึกษา ภมู ิปัญญาท้องถิน่ ในพ้นื ท่ีตำบลบัวทอง ท่ีช่วยอำนวยความ สะดวกในเร่ืองภูมิปัญญาเก่ียวกบั การเผาข้าวหลาม ในพืน้ ที่ตำบลบัวทอง ขอขอบพระคุณ คุณครูวเิ ชียร วรรณ โกษิตย์ ครู กศน.ตำบลบวั ทอง ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอเมอื งบรุ รี ัมย์ ท่ไี ด้ กรณุ าชว่ ยเหลอื ให้คำแนะนำ ปรกึ ษา สง่ เสริม สนับสนุน ในการจัดทำโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ น้ี จน ทำโครงงาน เร่ือง “เตาเผาข้าวหลามประหยัดพลงั งานและอนรุ กั ษ์สิ่งแวดล้อม” สำเร็จลงไดด้ ว้ ยดี คณะผู้จดั ทำ โครงการ จึงขอขอบคุณเป็นอย่างสงู มา ณ โอกาสน้ี คณะผ้จู ดั ทำ

คำนำ รายงานโครงการ เร่ือง “เตาเผาขา้ วหลามประหยดั พลังงานและอนรุ ักษส์ ง่ิ แวดล้อม” ฉบับน้ี จัดทำขึน้ เพื่อใช้เปน็ เอกสารประกอบการจัดทำโครงงานระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั อำเภอเมอื งบรุ รี มั ย์ ซึ่งเป็นกจิ กรรมการเรยี นรู้ตามหลกั สตู ร ทเี่ ปิดโอกาสให้มกี ารฝกึ ปฏิบัติ โดยใชท้ ักษะการเรียนรู้ และสอดคล้องกบั นโยบายการจัดการศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจบุ ัน คณะผู้จดั ทำหวงั ว่าเอกสารฉบบั นีค้ งจะเป็นประโยชนต์ ่อท่านผูส้ นใจและเป็นแนวทางใน การศกึ ษาเรื่อง “เตาเผาขา้ วหลามประหยัดพลังงานและอนุรกั ษ์สงิ่ แวดล้อม” ในอันดบั ต่อไปบา้ งไม่มากก็น้อย คณะผจู้ ดั ทำ

สารบัญ บทคดั ย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข คำนำ ค สารบญั ง บทที่ 1 บทนำ 1 ทมี่ าและความสำคัญของโครงงาน 1 จดุ มุ่งหมายของการศึกษาคน้ คว้า 2 ขอบเขตของการศึกษาคน้ ควา้ 2 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ 3 บทท่ี 2 เอกสารที่เก่ยี วข้องกับการศึกษาคน้ ควา้ 20 บทที่ 3 วัสดุ อปุ กรณ์ และวธิ ีการศกึ ษา 20 วธิ ดี ำเนินการศกึ ษา 22 บทที่ 4 ผลการศึกษา 23 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 24 บรรณานุกรม 25 ภาคผนวก

บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคญั ของโครงงาน ปัจจุบันโลกของเรานบั วา่ เปลี่ยนแปลงไปเป็นอยา่ งมาก ซึ่งบางสว่ นทีเ่ ปล่ยี นแปลงไปนนั้ ไมไ่ ดส้ ง่ ผลดตี อ่ โลกของเรานัก ไมว่ ่าจะเปน็ ในดา้ นสภาพอากาศ สง่ิ แวดล้อมหรือธรรมชาติ ท่ีนบั วนั จะเลวร้ายลงไปทกุ ที อนั เหน็ ได้จากความเปล่ยี นแปลงท่ีเปน็ ผลกระทบตอ่ ความเป็นอยู่ของเรา เช่น การเกิดภาวะโลกร้อนในปจั จุบัน พลงั งานที่นับวนั จะหมดลง ทางผจู้ ัดทำจงึ เกิดแนวคิดสรา้ งสรรค์โครงงานนขี้ ึ้น เพื่อรว่ มเป็นส่วนหนึ่งในการรักษา สภาพแวดล้อม ภายใตข้ อบเขตการอนุรักษ์พลังงาน จนเกิดเปน็ โครงงาน “เตาเผาข้าวหลามประหยัดพลังงาน และอนุรักษ์สง่ิ แวดล้อม” ทง้ั น้ีเพอื่ ชว่ ยลดปรมิ าณควันและกา๊ ซพิษในอากาศท่ีเกดิ จากการเผาไหมข้ องเช้อื เพลงิ ใน การเผาขา้ วหลามซึ่งมมี ลพิษท่ีออกมาเปน็ จำนวนมาก สามารถใชง้ านได้อยา่ งต่อเนื่องโดยไม่เกิดมลพิษตอ่ สภาพแวดลอ้ มและประหยดั เชอ้ื เพลงิ ในการเผาขา้ วหลาม จดุ มุ่งหมายของการศกึ ษาค้นคว้า 1.เพื่อช่วยลดมลพิษท่เี กิดจากการเผาไหม้ในระหวา่ งกระบวนการเผาข้าวหลาม ซงึ่ ทำให้เกดิ ควนั และก๊าซ พิษลอยสู่ชั้นบรรยากาศอากาศ 2.เพ่อื ชว่ ยลดปรมิ าณการตดั ต้นไมท้ ่ีนำมาทำเป็นเชื้อเพลงิ ในการเผาข้าวหลาม 3.เพอ่ื ใชแ้ ทนการเผาขา้ วหลามในรูปแบบเดิม ซ่ึงสามารถใช้เผาข้าวหลามได้ตลอดทุกฤดูการ 4.เพอ่ื ช่วยอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อม สมมุติฐาน สามารถลดปรมิ าณควนั และก๊าซพษิ ต่างๆ ที่ลอยสชู่ นั้ บรรยากาศ และไดร้ บั ประโยชน์จากการทำโครงงาน สามารถประยุกตใ์ นการเผาขา้ วหลามท่สี ามารถทำได้งา่ ยมากขน้ึ กว่าเดิม ตัวแปรที่เก่ยี วข้อง ตัวแปรตน้ : กระบอกขา้ วหลาม ตวั แปรตาม : ขา้ วหลามสุกในระยะเวลาที่กำหนด ตวั แปรควบคุม : ปรมิ าณถา่ นเชื้อเพลิงในการเผาขา้ วหลาม

ขอบเขตการศกึ ษาคน้ คว้า ศกึ ษาจากประวตั ิความเปน็ มาของการเผาขา้ วหลามและกระบวนการในการเผาขา้ วหลาม ระยะเวลาการศกึ ษา ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 ผลทคี่ าดว่าจะไดร้ ับ 1.สามารถช่วยลดมลพษิ และก๊าซพษิ ลอยสู่ช้ันบรรยากาศ 2.ลดปริมาณการตัดต้นไมท้ ่ีนำมาทำเป็นเชื้อเพลงิ ในการเผาข้าวหลาม 3.สามารถเผาขา้ วหลามได้สะดวกขึ้น 4.อนรุ กั ษส์ ่ิงแวดลอ้ มและธรรมชาติ บทท่ี 2 เอกสารทเี่ กยี่ วข้อง

ความรเู้ ก่ยี วกับโครงงาน โครงงานหมายถึง กจิ กรรมทเ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้ศกึ ษา ค้นควา้ และลงมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเองตาม ความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรอื กระบวนการอ่ืนใดไปใช้ใน การศกึ ษาหาคำตอบในเรื่องน้ันๆ โดยมคี รผู สู้ อนคอยกระตุ้นแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผ้เู รยี นอย่างใกลช้ ิด ตัง้ แต่ การเลอื กหวั ข้อที่จะศึกษา ค้นคว้า ดำเนินการ วางแผน กำหนดขั้นตอนการดำเนินงาน โดยท่ัวๆ ไป การทำ โครงงานสามารถทำได้ทุกระดับการศกึ ษา ซึง่ อาจทำเปน็ รายบคุ คลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ท้ังนี้ขน้ึ อยกู่ ับลักษณะของ โครงงาน อาจเปน็ โครงงานเลก็ ๆ ที่ไมย่ ุ่งยากซับซ้อนหรอื เป็นโครงงานใหญ่ที่มีความยากและซับซอ้ นข้นึ ก็ได้ จากคำกล่าวข้างต้นสรปุ ได้ว่า โครงงานคอื การทำช้ินใดชน้ิ หนึง่ ท่ีผูศ้ ึกษาสนใจและมคี วามรู้ในเรื่องน้ันโดยมีการให้คำแนะนำจากผ้ทู ่ีมี ความรู้ ข้ันตอนแรกของการทำงาน จะต้องมีการวางแผนกันภายในกลุม่ และปรึกษาหารือกนั เพื่อเลือกชิน้ งานที่ สนใจโดยต้องมีการกำหนดขัน้ ตอนการดำเนินงาน ปฏบิ ัตงิ านตามแผนท่ีวางไว้ จนได้ข้อสรปุ ปรากฏการณ์โลกร้อน ปรากฏการณโ์ ลกรอ้ น (องั กฤษ: Global warming) หมายถึงการเพ่ิมขนึ้ ของอุณหภมู ิเฉล่ยี ของอากาศ ใกล้พื้นผวิ โลกและนำ้ ในมหาสมุทรตงั้ แตช่ ว่ งคร่งึ หลงั ของคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 และมกี ารคาดการณว์ ่าอุณหภูมิเฉลี่ย จะเพ่ิมข้ึนอยา่ งต่อเน่อื ง ในช่วง 100 ปีท่ผี า่ นมา นบั ถึง พ.ศ. 2548 อากาศใกล้ผิวดินท่ัวโลกโดยเฉล่ียมคี ่าสงู ขึ้น 0.74 ± 0.18 องศาเซลเซียส ซง่ึ คณะกรรมการระหว่างรฐั บาลวา่ ดว้ ยการเปล่ียนแปลงสภาพภมู ิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ของสหประชาชาติได้สรุปไวว้ า่ “จากการสงั เกตการณก์ ารเพิ่มอุณหภูมิโดย เฉลยี่ ของโลกทเ่ี กิดขึน้ ตัง้ แต่กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 (ประมาณตงั้ แต่ พ.ศ. 2490) ค่อนขา้ งแนช่ ัดว่าเกดิ จากการ เพม่ิ ความเขม้ ของแก๊สเรือนกระจกที่เกดิ ขนึ้ โดยกจิ กรรมของมนษุ ย์ท่เี ปน็ ผลในรูปของปรากฏการณ์เรือนกระจก” ปรากฏการณ์ธรรมชาตบิ างอย่าง เช่น ความผันแปรของการแผ่รังสีจากดวงอาทติ ย์และการระเบิดของภเู ขาไฟ อาจ สง่ ผลเพียงเล็กนอ้ ยตอ่ การเพ่ิมอณุ หภูมิในช่วงกอ่ นยุคอตุ สาหกรรมจนถงึ พ.ศ. 2490 และมีผลเพยี งเล็กน้อยต่อการ

ลดอณุ หภูมิหลังจากปี 2490 เปน็ ตน้ มา ข้อสรุปพน้ื ฐานดังกลา่ วนไี้ ดร้ บั การรับรองโดยสมาคมและ สถาบนั การศึกษาทางวิทยาศาสตรไ์ มน่ อ้ ยกวา่ 30 แหง่ รวมท้งั ราชสมาคมทางวทิ ยาศาสตร์ระดับชาติท่สี ำคัญ ประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ แมน้ กั วทิ ยาศาสตรบ์ างคนจะมีความเหน็ โตแ้ ยง้ กบั ขอ้ สรุปของ IPCC อยู่บา้ ง แต่เสยี ง ส่วนใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ท่ีทำงานด้านการเปลยี่ นแปลงของภูมิอากาศของโลกโดยตรงเหน็ ดว้ ยกับข้อสรปุ น้ี แบบจำลองการคาดคะเนภมู ิอากาศที่สรปุ โดย IPCC บ่งชีว้ า่ อณุ หภูมิโลกโดยเฉล่ียที่ผิวโลกจะเพ่ิมข้นึ 1.1 ถึง 6.4 องศาเซลเซียส ในชว่ งคริสต์ศตวรรษที่ 21 (พ.ศ. 2544–2643) คา่ ตัวเลขดังกลา่ วไดม้ าจากการจำลอง สถานการณ์แบบต่างๆ ของการแผ่ขยายแกส๊ เรือนกระจกในอนาคต รวมถึงการจำลองค่าความไวภูมอิ ากาศอีก หลากหลายรูปแบบ แม้การศึกษาเกอื บทงั้ หมดจะม่งุ ไปทีช่ ่วงเวลาถงึ เพยี งปี พ.ศ. 2643 แตค่ วามร้อนจะยงั คง เพิ่มข้นึ และระดบั นำ้ ทะเลกจ็ ะสงู ขน้ึ ต่อเน่ืองไปอกี หลายสหัสวรรษ แมว้ ่าระดับของแกส๊ เรือนกระจกจะเข้าสภู่ าวะ เสถียรแล้วก็ตาม การที่อุณหภมู ิและระดบั น้ำทะเลเข้าสู่สภาวะดุลยภาพได้ช้าเปน็ เหตุมาจากความจุความร้อนของ นำ้ ในมหาสมทุ รซ่ึงมคี ่าสูงมาก การท่อี ุณหภูมขิ องโลกเพ่ิมสงู ขึ้นทำใหร้ ะดับนำ้ ทะเลสงู ขึ้น และคาดวา่ ทำใหเ้ กิดภาวะลมฟา้ อากาศสดุ โต่ง (extreme weather) ทรี่ ุนแรงมากข้ึน ปริมาณและรปู แบบการเกดิ หยาดน้ำฟ้าจะเปลยี่ นแปลงไป ผลกระทบอนื่ ๆ ของปรากฏการณโ์ ลกร้อนได้แก่ การเปลีย่ นแปลงของผลิตผลทางเกษตร การเคล่ือนถอยของธารน้ำแข็ง การสญู พนั ธ์ุพืช-สตั ว์ต่างๆ รวมทัง้ การกลายพนั ธุแ์ ละแพร่ขยายโรคตา่ งๆ เพม่ิ มากขน้ึ แตย่ งั คงมีความไมแ่ น่นอนทางวทิ ยาศาสตรอ์ ยู่บ้าง ได้แกป่ รมิ าณของความร้อนที่คาดว่าจะเพ่ิมในอนาคต ผลของความร้อนทเ่ี พ่มิ ขึน้ และผลกระทบอ่ืนๆ ท่จี ะเกิดกบั แตล่ ะภมู ภิ าคบนโลกว่าจะแตกตา่ งกนั อย่างไร รฐั บาล ของประเทศตา่ งๆ แทบทุกประเทศไดล้ งนามและให้สตั ยาบันในพิธสี ารเกยี วโต ซ่ึงมุง่ ประเดน็ ไปท่ีการลดการปล่อย แก๊สเรอื นกระจก แต่ยังคงมกี ารโตเ้ ถียงกันทางการเมืองและการโต้วาทีสาธารณะไปท่วั ทั้งโลกเกยี่ วกับมาตรการวา่ ควรเปน็ อย่างไร จึงจะลดหรือย้อนกลับความร้อนทเ่ี พิ่มข้ึนของโลกในอนาคต หรือจะปรับตวั กันอย่างไรตอ่ ผลกระทบของปรากฏการณโ์ ลกร้อนท่ีคาดว่าจะต้องเกิดขน้ึ คำจำกดั ความ คำวา่ “ปรากฏการณโ์ ลกร้อน” เป็นคำจำเพาะคำหน่ึงของอุบัติการณก์ ารเปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศของโลก โดยที่ \"การเปลยี่ นแปลงภูมิอากาศ\" มีความหมายถึงการเปล่ียนแปลงอุณหภูมใิ นทุกช่วงเวลาของโลก รวมทงั้ เหตกุ ารณป์ รากฏการณโ์ ลกเย็นดว้ ย โดยท่วั ไป คำวา่ \"ปรากฏการณโ์ ลกร้อน\" จะใช้ในการอา้ งถึงสภาวะทีอ่ ุณหภูมิ ของโลกร้อนข้ึนในชว่ งไมก่ ่ีทศวรรษที่ผ่านมา และมีความเก่ียวข้องกระทบต่อมนุษย์ ในอนุสญั ญาสหประชาชาติว่า ด้วยการเปล่ยี นแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ใชค้ ำว่า “การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ” (Climate Change) สำหรบั การเปลี่ยนแปลงท่เี กิดจากกจิ กรรม ของมนุษย์ และใชค้ ำว่า \"การผนั แปรของภมู ิอากาศ\" (Climate Variability) สำหรับการเปลยี่ นแปลงทีเ่ กดิ จากเหตุ

อ่นื [8] สว่ นคำวา่ “ปรากฏการณโ์ ลกร้อนจากกิจกรรมมนษุ ย์” (anthropogenic global warming) มีทใี่ ชใ้ นบาง คราวเพ่ือเนน้ ถึงการเปลีย่ นแปลงทเี่ กดิ จากเหตุอันเนื่องมาจากมนุษย์ สาเหตุ องคป์ ระกอบของแรงปลอ่ ยรังสี (radiative forcing) ณ ขณะปัจจบุ นั ท่ีประเมินค่าโดยรายงานการ ประเมนิ ค่าฉบับที่ 4 ของ IPCC คารบ์ อนไดออกไซด์ในช่วงเมื่อ 400,000 ปีก่อน เพมิ่ ขึ้นอย่างรวดเรว็ นบั ตัง้ แตย่ ุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม เปน็ ต้นมาไดเ้ ปลีย่ นวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตยท์ เี่ รียกวา่ “วฏั จกั รมลิ านโควทิ ช์” น้ัน เชือ่ กันว่าเปน็ ตวั กำหนด วงรอบ 100,000 ปีของวฏั จักรยุคนำ้ แขง็ การเพิ่มข้ึนของคารบ์ อนไดออกไซด์ในบรรยากาศเมื่อเรว็ ๆ นี้ การวดั คาร์บอนไดออกไซด์รายเดือนแสดงให้ เหน็ ความผนั ผวนเลก็ น้อยตามฤดูกาลระหว่างปที ี่มแี นวโน้มสูงข้นึ จำนวนการเพม่ิ ขึ้นสูงสุดของแต่ละปีเกิดขนึ้ ในช่วงปลายฤดใู บไม้ผลขิ องซีกโลกเหนือและลดลงในช่วงการเพาะปลกู ซ่งึ พืชทเ่ี พาะปลูกดึงคารบ์ อนไดออกไซด์ บางส่วนออกจากบรรยากาศ สภาพภูมอิ ากาศของโลกมีการเปลย่ี นแปลงไปตามแรงกระทำจากภายนอก ซง่ึ รวมถึงการผนั แปรของวง โคจรรอบดวงอาทติ ย์ (แรงกระทำจากวงโคจร) การระเบดิ ของภูเขาไฟ และการสะสมของแก๊สเรือนกระจกใน บรรยากาศ รายละเอยี ดเกีย่ วกับสาเหตุของความร้อนท่ีเพม่ิ ข้ึนของโลกยังคงเปน็ ประเด็นการวจิ ยั ที่มีความ เคลอ่ื นไหวอยเู่ สมอ อย่างไรก็ดี มีความเห็นรว่ มทางวิทยาศาสตร์ (scientific consensus) บง่ ชวี้ า่ ระดับการเพ่ิม ของแกส๊ เรือนกระจกที่เกิดจากกจิ กรรมของมนุษยเ์ ป็นส่วนท่มี อี ิทธพิ ลสำคญั ท่ีสดุ นบั แต่เริ่มต้นยคุ อุตสาหกรรมเป็น ต้นมา สาเหตุขอ้ นม้ี ีความชัดเจนมากในชว่ ง 50 ปีท่ีผา่ นมาเน่ืองจากมขี ้อมูลมากพอสำหรับการพเิ คราะห์ นอกจากน้ยี ังมีสมมุตฐิ านอืน่ ในมมุ มองที่ไมต่ รงกันกบั ความเห็นร่วมทางวทิ ยาศาสตร์ขา้ งต้น ซงึ่ นำไปใชเ้ พอื่ อธิบาย เหตกุ ารณ์ท่ีอุณหภมู ิมคี า่ สงู ข้ึน สมมตุ ฐิ านหน่ึงในน้นั เสนอว่า ความร้อนทีเ่ พิม่ ขึ้นอาจเปน็ ผลจากการผนั แปรภายใน ของดวงอาทิตย์ ผลกระทบจากแรงดังกล่าวมไิ ดเ้ กิดขึ้นในฉบั พลนั ทนั ใด เนอื่ งจาก “แรงเฉอ่ื ยของความร้อน” (thermal inertia) ของมหาสมุทรและการตอบสนองอันเช่ืองช้าตอ่ ผลกระทบทางอ้อมทำใหส้ ภาวะภูมิอากาศของโลก ณ ปจั จุบนั ยังไม่อยใู่ นสภาวะสมดลุ จากแรงที่กระทำ การศึกษาเพื่อหา “ข้อผูกมัดของภูมิอากาศ” (Climate commitment) บ่งชี้วา่ แม้แกส๊ เรอื นกระจกจะอยู่ในสภาวะเสถยี รในปี พ.ศ. 2543 กย็ ังคงมีความร้อนเพ่มิ ขน้ึ อีก ประมาณ 0.5 องศาเซลเซียสอย่ดู ี

แก๊สเรอื นกระจกในบรรยากาศ ปรากฏการณเ์ รือนกระจก คน้ พบโดยโจเซฟ ฟเู รียร์ เมื่อ พ.ศ. 2367 และได้รับการตรวจสอบเชิงปริมาณ โดยสวานเต อารร์ ีเนยี ส ในปี พ.ศ. 2439 กระบวนการเกิดขึ้นโดยการดูดซับและการปลดปล่อยรังสอี ินฟราเรดโดย แก๊สเรอื นกระจกเปน็ ตัวทำให้บรรยากาศและผิวโลกร้อนขนึ้ การเกิดผลกระทบของปรากฏการณเ์ รือนกระจกดงั กล่าวไมเ่ ปน็ ท่ีถกเถียงกันแต่อย่างใด เพราะโดย ธรรมชาตแิ กส๊ เรือนกระจกทเี่ กิดขึ้นนน้ั จะมคี ่าเฉล่ยี ของอุณหภมู อิ ยู่ท่ี 33 องศาเซลเซยี ส อยู่แล้ว ซึง่ ถา้ ไม่มี มนุษยก์ ็ จะอยู่อาศัยไม่ได้ ประเดน็ ปัญหาจึงอยูท่ ีว่ ่าความแรงของปรากฏการณ์เรือนกระจกจะเปลย่ี นไปอยา่ งไร เมื่อ กจิ กรรมของมนุษย์ไปเพิ่มความเข้มของแก๊สเรอื นกระจกในบรรยากาศ แก๊สเรอื นกระจกหลกั บนโลกคอื ไอระเหยของน้ำ ซ่งึ เป็นต้นเหตุทำให้เกดิ ปรากฏการณ์โลกรอ้ นมากถึง ประมาณ 30-60% (ไมร่ วมก้อนเมฆ) คาร์บอนไดออกไซดเ์ ปน็ ตวั การอกี ประมาณ 9–26% แก๊สมีเทน (CH4) เปน็ ตวั การ 4–9% และโอโซนอกี 3–7% ซง่ึ หากนับโมเลกุลต่อโมเลกุล แกส๊ มเี ทนมีผลต่อปรากฏการณ์เรือนกระจก มากกวา่ คารบ์ อนไดออกไซด์ แต่ความเข้มขน้ น้อยกว่ามาก ดังน้ันแรงการแผค่ วามร้อนจึงมีสัดสว่ นประมาณหนึ่งใน สขี่ องคารบ์ อนไดออกไซด์ และยังมแี ก๊สอน่ื อีกทเี่ กิดตามธรรมชาติแตม่ ปี รมิ าณน้อยมาก หนึง่ ในน้ันคอื ไนตรสั ออกไซด์ (N2O) ซึ่งเพิ่มข้ึนจากการทำกจิ กรรมของมนุษย์ เช่นเกษตรกรรม ความเข้มในบรรยากาศของ CO2 และ CH4 เพิ่มขึน้ 31% และ 149 % ตามลำดับนับจากการเริม่ ต้นของยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงประมาณ พ.ศ. 2290 (ประมาณปลายรชั สมัยพระบรมโกศฯ) เป็นต้นมา ระดบั อณุ หภมู ิเหล่าน้สี งู กวา่ อณุ หภูมขิ องโลกที่ขึน้ ๆ ลงๆ ในชว่ ง 650,000 ปที ผ่ี า่ นมา ซึ่งเปน็ ชว่ งที่มีข้อมูลที่เชื่อถือไดท้ ไ่ี ด้มาจากแกนนำ้ แขง็ ทเี่ จาะมาได้ และจากหลักฐาน ทางธรณีวทิ ยาดา้ นอื่นก็ทำใหเ้ ช่ือว่าค่าของ CO2 ท่ีสูงในระดับใกล้เคียงกันดงั กล่าวเป็นมาประมาณ 20 ลา้ นปีแล้ว การเผาผลาญเชอ้ื เพลิงซากดึกดำบรรพ์หรือเช้ือเพลงิ ฟอสซิล (Fossil fuel) มสี ่วนเพิ่ม CO2 ในบรรยากาศประมาณ 3 ใน 4 ของปริมาณ CO2 ทัง้ หมดจากกิจกรรมมนุษย์ในรอบ 20 ปีท่ีผ่านมา ส่วนทเ่ี หลือเกดิ จากการเปล่ยี นแปลง การใชท้ ีด่ นิ โดยเฉพาะการทำลายปา่ เปน็ ส่วนใหญ่ ความเขม้ ของปริมาณ CO2 ท่ีเจือปนในบรรยากาศปัจจบุ ันมปี ระมาณ 383 สว่ นในลา้ นส่วนโดยปริมาตร (ppm) ประมาณวา่ ปริมาณ CO2 ในอนาคตจะสงู ขึน้ อกี จากการเผาผลาญเช้อื เพลิงฟอสซลิ และการเปล่ียนแปลง การใช้ทด่ี ิน อัตราการเพ่ิมข้นึ อยกู่ บั ความไมแ่ นน่ อนทางเศรษฐกจิ สังคม เทคโนโลยี และการพัฒนาของตัว ธรรมชาติเอง แต่อาจขนึ้ อยกู่ ับการใช้เชอื้ เพลงิ ฟอสซิลเป็นหลัก รายงานพิเศษวา่ ดว้ ยการจำลองการปลดปล่อย คารบ์ อนไดออกไซด์ (Special Report on Emissions Scenarios) ของ IPCC ได้จำลองวา่ ปรมิ าณ CO2 ใน อนาคตจะมีคา่ อยรู่ ะหวา่ ง 541 ถึง 970 ส่วนในลา้ นส่วน ในราวปี พ.ศ. 2643 ด้วยปรมิ าณสำรองของเชื้อเพลงิ ฟอสซลิ จะยังคงมเี พยี งพอในการสร้างสภาวะนนั้ และยงั สามารถเพ่ิมปริมาณขึน้ ได้อีกเม่ือเลยปี 2643 ไปแล้ว ถา้ เรายงั คงใช้ถา่ นหิน นำ้ มนั ดนิ น้ำมันดนิ ในทราย หรือมีเทนก้อน (methane clathratesmethane clathrates

เปน็ แกส๊ มีเทนท่ีฝังตวั ในผลกึ นำ้ แขง็ ในสดั ส่วนโมเลกุลมเี ทน:โมเลกุลนำ้ = 1 : 5.75 เกิดใตท้ ้องมหาสมุทรทล่ี กึ มาก) ตอ่ ไป การป้อนกลบั ผลกระทบจากตัวกระทำที่สร้างแรงในบรรยากาศมีความซับซอ้ นตามกระบวนการปอ้ นกลับหลายแบบ หนงึ่ ในผลการป้อนกลบั ท่เี ดน่ ชัดหลายแบบดงั กลา่ วสัมพนั ธ์กบั การระเหยของน้ำ กรณคี วามร้อนทเี่ พ่ิมข้นึ เน่อื งจาก การเพ่ิมข้นึ ของแกส๊ เรอื นกระจกท่มี ีอายยุ นื ยาว เชน่ CO2 ทำให้นำ้ ระเหยปะปนในบรรยากาศมากขน้ึ และเม่ือไอ นำ้ เองก็เปน็ แก๊สเรือนกระจกชนิดหน่ึงด้วย จึงทำใหบ้ รรยากาศมีความร้อนเพิ่มข้ึนไปอีกซ่งึ เปน็ การป้อนกลบั ไปทำ ให้นำ้ ระเหยเพมิ่ ขึ้นอกี เป็นรอบๆ เรอื่ ยไปดังนจี้ นกระทั่งระดบั ไอนำ้ บรรลคุ วามเข้มถึงจุดสมดลุ ข้ันใหมซ่ ึ่งมผี ลต่อ ปรากฏการณเ์ รือนกระจกมากกว่าลำพงั CO2 เพยี งอยา่ งเดยี ว แมก้ ระบวนการป้อนกลับนีจ้ ะเกี่ยวข้องกับการเพิ่ม ปริมาณความชื้นสัมบูรณ์ในบรรยากาศ แต่ความชน้ื สัมพัทธ์จะยงั คงอยใู่ นระดบั เกือบคงที่และอาจลดลงเล็กน้อย เมอื่ อากาศอุน่ ขน้ึ ผลการปอ้ นกลบั น้จี ะเปลย่ี นกลบั คืนได้แต่เพียงชา้ ๆ เน่ืองจาก CO2 มีอายุขัยในบรรยากาศ (atmospheric lifetime) ยาวนานมาก การป้อนกลับเนื่องจากเมฆกำลงั อยู่ในระยะดำเนนิ การวจิ ัย มองจากทางด้านล่างจะเหน็ เมฆกระจายรังสี อนิ ฟราเรดลงสู่พืน้ ลา่ ง ซึ่งมผี ลเป็นการเพม่ิ อุณหภูมิผวิ ล่าง ในขณะเดยี วกัน หากมองทางดา้ นบน เมฆจะสะท้อน แสงอาทติ ย์และกระจายรงั สีอินฟราเรดสหู่ ้วงอวกาศจึงมผี ลเป็นการลดอุณหภูมิ ผลลัพธข์ องผลต่างของ ปรากฏการณน์ ีจ้ ะมากนอ้ ยต่างกนั อยา่ งไรขึ้นอยู่กับรายละเอียด เช่น ประเภทและความสูงของเมฆ รายละเอยี ด เหล่านมี้ ีความยากมากในการสรา้ งแบบจำลองภมู ิอากาศเนื่องจากกอ้ นเมฆมขี นาดเล็ก กระจดั กระจายและมี ชอ่ งวา่ งระหวา่ งก้อนมาก อย่างไรกด็ ี การป้อนกลบั ของเมฆมผี ลนอ้ ยกวา่ การป้อนกลบั ของไอนำ้ ในบรรยากาศ และ มผี ลชัดเจนในแบบจำลองทุกแบบที่นำมาใชใ้ นรายงานผลการประเมิน IPCC ครั้งท่ี 4 (IPCC Fourth Assessment Report (32) ความผนั แปรของดวงอาทิตย์ ในรอบ 30 ปีที่ผา่ นมา กระบวนการป้อนกลับทีส่ ำคัญอกี แบบหนึ่งคือการป้อนกลับของอตั ราสว่ นรังสสี ะท้อนจากน้ำแข็งเมื่อเปิด ใหเ้ หน็ ทงั้ ผวิ ดินและผิวนำ้ มีอัตราส่วนการสะท้อนรังสีน้อยกว่านำ้ แข็งจึงดดู ซบั รงั สีดวงอาทติ ยไ์ ว้ได้มากกว่า จึงทำ ใหอ้ ุณหภูมิสงู ขน้ึ ป้อนกลับให้น้ำแขง็ ละลายมากขึ้นและวงจรนีเ้ กิดต่อเน่ืองไปอีกเร่ือยๆ การป้อนกลบั ที่ชัดเจนอีกชนิดหน่งึ ได้แก่การปลดปล่อย CO2 และ CH4 จากการละลายของช้ันดนิ เยอื ก แขง็ คงตัว (permafrost) เชน่ พรุพที เยือกแขง็ (frozen peat bogs) ในไซบเี รยี ท่เี ปน็ กลไกทีเ่ พ่มิ การอนุ่ ขึ้นของ บรรยากาศ การปลดปล่อยอย่างมหาศาลของแก๊สมีเทนจาก “มีเทนก้อน” สามารถทำใหอ้ ตั ราการอุ่นเปน็ ไปได้ รวดเร็วข้นึ ซึง่ เปน็ ไปตาม “สมมตุ ฐิ านปนื คลาทเรท” (clathrate gun hypothesis)

ขีดความสามารถในการเกบ็ กักคารบ์ อนลดต่ำลงเมื่ออุณหภูมสิ งู ข้นึ ทง้ั นีเ้ นื่องมาจากการลดลงของธาตุ อาหารในชนั้ เมโสเพลาจิก (mesopelagic zone) ประมาณความลกึ ท่ี 100 ถึง 200 เมตร ทที่ ำให้การเจริญเติบโต ของไดอะตอมลดลงเน่ืองจากการเข้าแทนทข่ี องไฟโตแพลงตอนท่เี ลก็ กว่าและเกบ็ กักคาร์บอนในเชิงชวี วิทยาไดน้ ้อย กวา่ ความผันแปรของดวงอาทติ ย์ มีรายงานวิจยั หลายช้ินแนะว่าอาจมกี ารให้ความสำคญั กับดวงอาทติ ย์ที่มีผลต่อปรากฏการณ์โลกรอ้ นต่ำไป นักวจิ ยั 2 คนจากมหาวทิ ยาลัยดุก๊ คือ บรซู เวสต์ และ นิโคลา สกาเฟทตา ได้ประมาณวา่ ดวงอาทติ ย์อาจสง่ ผลต่อ การเพ่ิมอุณหภูมเิ ฉลย่ี ของผวิ โลกมากถึง 45–50% ในชว่ งระหว่าง พ.ศ. 2443–2543 และประมาณ 25–35% ระหว่าง พ.ศ. 2523–2543 รายงานวิจัยของปีเตอร์ สกอต และนักวิจัยอืน่ แนะวา่ แบบจำลองภมู ิอากาศประมาณ การเกนิ จริงเก่ียวกับผลสัมพัทธ์ของแกส๊ เรอื นกระจกเมอ่ื เปรียบเทยี บกับแรงจากดวงอาทิตย์ และยังแนะเพิ่มวา่ ผลกระทบความเยน็ ของฝ่นุ ละอองภูเขาไฟและซลั เฟตในบรรยากาศไดร้ ับการประเมินต่ำไปเช่นกัน ถึงกระนั้น กลุม่ นกั วิจัยดงั กล่าวก็ยงั สรุปวา่ แม้จะรวมเอาปจั จัยความไวต่อภมู อิ ากาศของดวงอาทิตย์มารวมดว้ ยก็ตาม ความ ร้อนท่เี พมิ่ ขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 (ต้ังแต่ พ.ศ. 2490) ยงั นับว่าเป็นผลจากการเพ่ิมปริมาณของแกส๊ เรอื นกระจกเสยี มากกว่า สมมตุ ฐิ านที่แตกต่างไปอีกประการหนงึ่ กลา่ วว่า การผันแปรของอัตราการปลอ่ ยความรอ้ นออกของดวง อาทิตย์ (solar output) สูโ่ ลก ซง่ึ เกิดการขยายตัวเพม่ิ ข้นึ ในการเติมสารเคมีในกลมุ่ เมฆจาก รงั สคี อสมิกในดารา จักร (galactic cosmic rays) อาจเป็นตวั การทำให้เกดิ ความรอ้ นทเี่ พ่มิ ขน้ึ ในช่วงเวลาท่ีเพ่ิงผ่านพน้ ไปสมมุติฐานน้ี เสนอวา่ แรงกระทำจากสนามแมเ่ หลก็ ของดวงอาทติ ยเ์ ป็นปัจจัยสำคัญอยา่ งย่ิงยวดในการหนั เหรังสีคอสมิกที่สง่ ผล ต่อการก่อตวั ของนวิ เคลียสในเมฆ และทำใหม้ ผี ลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศดว้ ย ผลกระทบประการหนึง่ ทค่ี าดว่าจะเกิดขึน้ เนื่องจากการเพ่มิ แรงกระทำจากดวงอาทิตย์ คือการท่ี บรรยากาศชน้ั สตราโตสเฟยี ร์อุ่นขึ้น ในขณะที่ตามทฤษฏขี องแก๊สเรอื นกระจกแล้วช้นั บรรยากาศนี้ควรจะเยน็ ลง ผลสงั เกตการณ์ที่เกบ็ ขอ้ มลู มาต้งั แต่ประมาณปี พ.ศ. 2505 พบว่ามีการเย็นตวั ลงของชั้นสตราโตสเฟยี รช์ ่วงลา่ ง การลดลงของปริมาณโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟยี ร์มอี ิทธิพลต่อการเย็นลงของบรรยากาศมานานแลว้ แต่ การลดท่ีเกดิ ขึน้ มากโดยชดั เจนปรากฏใหเ้ หน็ ตัง้ แต่ประมาณ พ.ศ. 2515 เป็นตน้ มาความผนั แปรของดวงอาทิตย์ ร่วมกับการระเบดิ ของภูเขาไฟ อาจมีผลใหเ้ กดิ การเพ่มิ อุณหภูมมิ าต้งั แต่ยุคก่อนอุตสาหกรรมตอ่ เน่ืองมาถงึ ประมาณ พ.ศ. 2490 แต่ให้ผลทางการลดอุณหภูมิตง้ั แตน่ ้ันเป็นตน้ มา ในปี พ.ศ. 2549 ปเี ตอร์ ฟกู ัล และนักวิจัย อ่ืนๆ จากสหรัฐฯ เยอรมนั และสวิตเซอรแ์ ลนด์พบว่า ดวงอาทิตยไ์ ม่ไดส้ ่องสว่างมากขน้ึ อยา่ งมีนยั สำคญั ในรอบหนง่ึ พันปีทผ่ี า่ นมา วัฏจกั รของดวงอาทติ ย์ท่ีสอ่ งสว่างมากขนึ้ ทำใหโ้ ลกอ่นุ ข้ึนเพียง 0.07% ใน 30 ปีทผ่ี ่านมา ผลกระทบนี้จึงมีส่วนทำให้เกิดปรากฏการณโ์ ลกร้อนน้อยมากๆ รายงานวิจัยของ ไมค์ ลอควูด และเคลาส์ ฟลอห์ ลิช พบว่าไม่มคี วามสมั พนั ธ์ระหว่างปรากฏการณ์โลกร้อนกับการแผร่ ังสขี องดวงอาทิตย์มาตัง้ แต่ พ.ศ. 2528 ไมว่ ่า

จากความผนั แปรจากดวงอาทิตย์หรอื จากรงั สีคอสมิก เฮนริก สเวนมาร์ก และไอกลิ ฟริอิส-ครสิ เตนเซน ผสู้ นับสนุนสมมุตฐิ าน “การถูกเตมิ สารเคมลี งในกลุ่มเมฆจากรงั สคี อสมกิ ในดาราจักร” ไม่เหน็ ดว้ ยกับข้อเสนอ ของลอควูด และ ฟลอห์ลชิ การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ิ คา่ เฉลย่ี อุณหภูมิผวิ โลกในช่วง 2,000 ปี ตามการสรา้ งขึน้ ใหมแ่ บบตา่ งๆ แตล่ ะแบบทำใหเ้ รียบข้นึ ตาม มาตราส่วนทศวรรษ ตวั ทไี่ ม่เรียบของค่ารายปสี ำหรบั ปี พ.ศ. 2547 ใช้วธิ ีพล็อตทีต่ ่างกัน ปัจจุบัน อณุ หภูมิของโลกท้ังบนแผน่ ดินและในมหาสมุทรได้เพิ่มขึ้น 0.75 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทยี บกบั ในชว่ งปี พ.ศ. 2403 – 2443 ตาม “การบันทึกอุณหภมู ดิ ว้ ยเคร่อื งมือ” (instrumental temperature record) การวัดอุณหภมู ิที่เพิ่มขึน้ น้ีไมม่ ีผลมากนกั ต่อ “ปรากฏการณ์เกาะความร้อน” นับแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นตน้ มา อุณหภูมผิ ิวดินไดเ้ พ่ิมเร็วข้ึนประมาณ 2 เทา่ เม่ือเทยี บกบั การเพิม่ อุณหภมู ขิ องผวิ ทะเล (0.25 องศาเซลเซียส ตอ่ ทศวรรษ กับ 0.13 องศาเซลเซยี ส ต่อทศวรรษ) อุณหภมู ิของชน้ั บรรยากาศโทรโปสเฟยี ร์ตอนล่างได้เพิ่มข้นึ ระหวา่ ง 0.12 และ 0.22 องศาเซลเซียส ตอ่ ทศวรรษมาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เชน่ กนั จากการวัดอุณหภมู ิโดยดาวเทียม เช่ือกันว่าอุณหภมู ขิ องโลกค่อนขา้ งเสถยี รมากกวา่ มาต้ังแต่ 1 – 2,000 ปีก่อนถงึ ปี พ.ศ. 2422 โดยอาจมีการขน้ึ ๆ ลงๆ ตามภมู ภิ าคบ้าง เช่นในช่วง การรอ้ นของยคุ กลาง (Medieval Warm Period) และ ในยคุ นำ้ แข็งนอ้ ย (Little Ice Age) อุณหภมู ิของน้ำในมหาสมทุ รเพิม่ ในอัตราทชี่ ้ากวา่ บนแผ่นดินเน่อื งจากความจุความร้อนของน้ำท่ีมากกว่า และจากการสูญเสยี ความร้อนทผ่ี วิ น้ำจากการระเหยทีเ่ ร็วกว่าบนผิวแผ่นดิน เนอ่ื งจากซีกโลกเหนอื มมี วลแผน่ ดนิ มากกวา่ ซีกโลกใต้ ซีกโลกเหนือจึงร้อนเรว็ กวา่ และยังมีพน้ื ทีท่ ี่กวา้ งขวางท่ปี กคลมุ โดยหิมะตามฤดูกาลทมี่ ีอตั รา การสะท้อนรงั สที ่ีป้อนกลบั ได้มากกว่า แมแ้ กส๊ เรือนกระจกจะถกู ปลดปล่อยในซีกโลกเหนือมากกวา่ ซกี โลกใต้ แต่ก็ ไมม่ ีผลต่อความไม่ได้ดุลของการร้อนขน้ึ เน่ืองจากแก๊สกระจายรวมกนั ไดร้ วดเร็วในบรรยากาศระหว่างสองซีกโลก โดยอาศัยการประมาณจากข้อมลู ของ “สถาบนั กอดดารด์ เพอ่ื การศึกษาห้วงอวกาศ\" (Goddard Institute for Space Studies) ของนาซา โดยการใชเ้ ครอ่ื งมือวัดแบบตา่ งๆ ทีเ่ ชอ่ื ถือได้และมใี ช้กันมาตัง้ แต่ พ.ศ. 2400 พบว่าปี พ.ศ. 2548 เป็นปีทร่ี ้อนท่ีสุด รอ้ นกว่าสถิติร้อนสดุ ทบี่ นั ทึกไดเ้ ม่ือ พ.ศ. 2541 เล็กนอ้ ย แต่การประมาณที่ ทำโดยองค์การอุตุนิยมโลก (World Meteorological Organization) และหน่วยวจิ ัยภูมอิ ากาศสรุปวา่ พ.ศ. 2548 รอ้ นรองลงมาจาก พ.ศ. 2541 การปลดปล่อยมลพษิ จากการกระทำของของมนุษยท์ ่ีเด่นชัดอีกอย่างหนึ่งได้แก่ “ละอองลอย\" ซัลเฟต ซึ่ง สามารถเพ่ิมผลการลดอุณหภมู โิ ดยการสะท้อนแสงอาทิตย์กลับออกไปจากโลก สงั เกตได้จากการบนั ทึกอณุ หภมู ิที่

เย็นลงในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 (ประมาณตงั้ แต่ พ.ศ. 2490) แม้การเยน็ ลงน้ีอาจเปน็ ส่วนหนึง่ ของการผัน แปรของธรรมชาติ เจมส์ เฮนสันและคณะไดเ้ สนอวา่ ผลของการเผาไหม้เชื้อเพลงิ ซากดึกดำบรรพ์คือ CO2 และ ละอองลอยจะหกั ล้างกนั เป็นสว่ นใหญ่ ทำใหก้ ารร้อนขึ้นในช่วงหลายทศวรรษทผี่ ่านมาเกิดจากแก๊สเรือนกระจกท่ี ไมใ่ ช่ CO2 นักภูมิอากาศบรรพกาลวิทยา (Paleoclimatologist) วลิ เลยี ม รัดดิแมนได้โตแ้ ย้งวา่ อิทธพิ ลของมนษุ ย์ที่มี ตอ่ ภูมิอากาศโลกเร่ิมมาต้ังแต่ประมาณ 8,000 ปีก่อน เร่มิ ด้วยการเปิดปา่ เพ่ือทำกินทางเกษตร และเมื่อ 5,000 ปีท่ี แลว้ ด้วยการทำการชลประทานเพือ่ ปลูกขา้ วในเอเซยี การแปลความหมายของรูดิแมนจากบนั ทกึ ทาง ประวตั ศิ าสตร์ขัดแย้งกบั ข้อมูลแกส๊ มีเทน ตัวแปรภมู อิ ากาศก่อนยุคมนุษย์ เส้นโค้งของอุณหภมู ิทส่ี ร้างขึ้นใหม่ ณ ท่ีสองจุดในแอนตาร์กติกและบนั ทึกการผนั แปรของโลกในก้อน ภูเขานำ้ แขง็ วันที่ของเวลาปจั จุบนั ปรากฏท่ดี ้านลา่ งซ้ายของกราฟ โลกไดป้ ระสบกับการร้อนและเย็นมาแล้วหลายคร้งั ในอดีต แท่งแกนน้ำแข็งแอนตาร์กติกเมอื่ เร็วๆน้ขี อง EPICA ครอบคลุมช่วงเวลาไว้ 800,000 ปี รวมวัฏจักรยคุ น้ำแข็งได้ 8 ครงั้ ซึ่งนบั เวลาโดยการใชต้ วั แปรวงโคจรของ โลกและชว่ งอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็งมาเปรียบเทียบกับอุณหภูมิในปัจจุบัน การเพิ่มอย่างรวดเรว็ ของแก๊สเรอื นกระจกเพ่ิมการร้อนขน้ึ ในยุคจูแรสซิกตอนตน้ (ประมาณ 180 ล้านปี กอ่ น) โดยมีอณุ หภูมิเฉลี่ยสงู ข้ึน 5 องศาเซลเซียส งานวิจัยโดยมหาวทิ ยาลัยเปดิ บ่งชว้ี า่ การร้อนขึน้ เกิดทำให้อตั รา การกร่อนของหนิ เพ่ิมมากถึง 400% การกรอ่ นของหินในลกั ษณะน้ีทำใหเ้ กิดการกักคาร์บอนไวใ้ นแคลไซต์และโดโล ไมต์ไวไ้ ดม้ าก ระดบั ของ CO2 ได้ตกลงสรู่ ะดับปกติมาได้อีกประมาณ 150,000 ปี การปลดปล่อยมีเทนโดยกระทนั หนั จากสารประกอบคลาเทรท (clathrate gun hypothesis) ได้ กลายเปน็ สมมตุ ฐิ านว่าเป็นทั้งต้นเหตแุ ละผลของการเพิ่มอุณหภมู ิโลกในระยะเวลาที่นานมากมาแล้ว รวมทง้ั “เหตกุ ารณ์สญู พันธ์ุเพอร์เมียน-ไทรแอสซิก” (Permian-Triassic extinction event –ประมาณ 251 ลา้ นปี มาแล้ว) รวมทั้งการร้อนมากสุดพาลีโอซนี -อโี อซีน (Paleocene-Eocene Thermal Maximum –ประมาณ 55 ล้านปมี าแล้ว) แบบจำลองภูมอิ ากาศ การคำนวณปรากฏการณ์โลกร้อนท่ีทำขึน้ ก่อน พ.ศ. 2544 จากแบบจำลองตา่ งๆ ทีห่ ลากหลายแบบ ภายใต้เหตุการณจ์ ำลองการปลดปลอ่ ย A2 ของ SRES ด้วยสมมุติฐานว่าไม่มีมาตรการลดการปลดปล่อยเลย การกระจายการร้อนของผวิ โลกทางภมู ศิ าสตร์ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 21 (พ.ศ. 2544 – 2553) คำนวณ โดยแบบจำลองภูมอิ ากาศ (HadCM3) โดยต้ังสมมุตฐิ านสถานการณ์จำลองว่าไม่ทำอะไร ปลอ่ ยให้การเตบิ โตทาง

เศรษฐกิจและการปลดปล่อยแก๊สเรอื นกระจกเป็นไปตามปกติ ในภาพน้ี จะเหน็ การเพิ่มอุณหภูมจิ ะอยทู่ ี่ 3.0 องศา เซลเซยี ส บันทึกกระจายเบาบางเหล่านี้แสดงใหเ้ หน็ การถดถอยภเู ขาน้ำแข็ง ท่ีกำลังเปน็ มาต้งั แต่ประมาณ พ.ศ. 2450 ประมาณปี พ.ศ. 2495 – 2502 การวดั ท่ีได้เรม่ิ ข้ึนในชว่ งชว่ ยใหส้ ามารถเฝ้ามองความสมดลุ ก้อนภเู ขา นำ้ แขง็ ได้ รายงานถึง WGMS และ NSIDC นกั วิทยาศาสตร์ไดศ้ ึกษาปรากฏการณโ์ ลกรอ้ นด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์สำหรับภูมิอากาศ แบบจำลอง นใี้ ช้หลกั การพน้ื ฐานของพลศาสตร์ของไหล การถ่ายโอนการแผร่ ังสี (radiative transfer) และกระบวนการอื่นๆ โดยต้องทำให้งา่ ยขนึ้ เนื่องจากขีดจำกัดของกำลังของคอมพิวเตอร์และความซับซ้อนของระบบภูมอิ ากาศ แบบจำลองน้ีพยากรณไ์ ด้วา่ ผลของการเพ่ิมแก๊สเรือนกระจกเพ่มิ ความร้อนแก่ภมู ิอากาศจริงแต่อยา่ งไรกด็ ี เมอ่ื ใช้ สมมตุ ิฐานเดยี วกันน้ีกับอตั ราแกส๊ เรือนกระจกในอนาคต ก็ยงั ปรากฏใหเ้ หน็ ถงึ อตั ราความไวของภูมอิ ากาศ (climate sensitivity) ทีม่ ีชว่ งกวา้ งมากอยู่ เม่อื รวมความไม่แนน่ อนของการเข้มขน้ ของแก๊สเรือนกระจกในอนาคตเข้ากับแบบจำลองภูมอิ ากาศแลว้ IPCC คาดวา่ เมื่อสิ้นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 21 (พ.ศ. 2643) อณุ หภมู ิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มระหวา่ ง 1.1 องศาเซลเซียส ถึง 6.4 องศาเซลเซียส เทียบได้กับการเพิ่มระหว่าง พ.ศ. 2523 – 2442 ได้มีการใช้แบบจำลองมาช่วยในการสบื ค้นหา “สาเหตขุ องการเปลี่ยนแปลงภมู อิ ากาศเมื่อเรว็ ๆ นี้” โดยการเปรียบเทียบผลการคาดคะเนท่ีได้จากแบบจำลองกับ ผลการสังเกตการเปลี่ยนแปลงทีเ่ ป็นไปตามธรรมชาติและท่ีเปล่ยี นเนอ่ื งมาจากกิจกรรมมนุษย์ แบบจำลองภูมิอากาศในปจั จุบันใหผ้ ลคอ่ นข้างดีจากการเปรยี บเทียบกับการสงั เกตการณ์การเปลย่ี นแปลง อณุ หภูมขิ องโลกในช่วงศตวรรษท่ผี า่ นมา แต่ก็ไมส่ ามารถจำลองรูปแบบตา่ งๆ ของภมู ิอากาศไดห้ มด แบบจำลอง เหล่าน้ไี ม่สามารถอธบิ ายความผนั แปรของภูมิอากาศที่เกดิ ขึน้ ระหว่างประมาณ พ.ศ. 2453 – 2488 ได้กระจ่าง ทงั้ ด้านการเปลีย่ นแปลงตามธรรมชาติและจากฝีมอื มนษุ ย์ อย่างไรกด็ ี แบบจำลองก็ได้แนะใหเ้ ห็นได้ว่า การรอ้ นขึน้ ต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2518 เปน็ ต้นมาเกิดจากการแผข่ ยายของแก๊สเรือนกระจกทมี่ าจากกจิ กรรมมนษุ ย์ แบบจำลองภมู ิอากาศโลกเพื่อใชค้ าดคะเนภูมิอากาศในอนาคตสว่ นใหญ่ จะบังคับให้ใส่เหตกุ ารณ์จำลอง แก๊สเรอื นกระจกเขา้ ไปด้วย เนื่องจากอ้างองิ ตามรายงานพเิ ศษวา่ ดว้ ยเหตกุ ารณ์จำลองการปลดปลอ่ ย (SRES: Special Report on Emissions Scenarios) ของ IPCC แบบจำลองบางสว่ นอาจทำโดยรวมเอาการจำลองวัฏ จักรของคาร์บอนเข้ามาดว้ ย ซง่ึ โดยท่ัวไปจะได้ผลตอบกลบั ทีด่ ี แมก้ ารตอบสนองจะไม่คอ่ ยแนน่ อนนัก (ภายใต้ สถานการณจ์ ำลอง A2 SRES จะให้ผลการตอบสนองของ CO2 แปรคา่ เพิ่มข้นึ ระหวา่ ง 20 ถงึ 200 ppm) การศกึ ษาแบบสงั เกตการณบ์ างชน้ิ กแ็ สดงการป้อนกลับออกมาค่อนขา้ งดี

เมฆในแบบจำลอง นับเป็นตน้ เหตุหลักของความไมแ่ น่นอนที่ใชใ้ นปจั จุบนั แมจ้ ะมคี วามก้าวหน้าในการ แกป้ ญั หาน้ีมากอยู่แล้วกต็ าม ขณะน้ียังคงมีการอภปิ รายถกเถยี งกันอยู่ว่าแบบจำลองภมู ิอากาศไดล้ ะเลยผล ปอ้ นกลับทางอ้อมทสี่ ำคัญและผลปอ้ นกลับของตัวแปรสุริยะไปหรือไม่ ผลกระทบทีเ่ กดิ ข้นึ และคาดว่าจะเกิด แม้การเชอ่ื มโยงสภาวะภมู อิ ากาศแบบจำเพาะบางอยา่ งเข้ากับปรากฏการณ์โลกรอ้ นจะทำไดย้ าก แต่ อณุ หภูมโิ ดยรวมของโลกทเ่ี พ่ิมขึ้นอาจเปน็ เหตุให้เกิดผลกระทบในวงกวา้ ง ซงึ่ รวมถงึ การถดถอยของธารนำ้ แข็ง (glacial retreat) การลดขนาดของอาร์กติก (Arctic shrinkage) และระดับนำ้ ทะเลของโลกสูงขึ้น การ เปลยี่ นแปลงของหยาดนำ้ ฟ้าท้งั ปริมาณและรูปแบบอาจทำใหเ้ กดิ นำ้ ทว่ มและความแหง้ แล้ง นอกจากน้ียังเกิดการ เปลี่ยนแปลงทัง้ ความถ่แี ละความรุนแรงของลมฟ้าอากาศสุดโตง่ (extreme weather) ทเี่ กดิ บ่อยคร้ังขึ้น ผลแบบ อ่ืนๆ กย็ ังมอี ีกเชน่ การเปลีย่ นแปลงปริมาณผลิตผลทางเกษตร การเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำ การลดปรมิ าณน้ำลำ ธารในฤดรู ้อน การสญู พนั ธุ์ของสิง่ มชี ีวติ บางชนิดและการเพิ่มของพาหะนำโรค ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมธรรมชาติและต่อการดำเนินชีวติ ของมนุษย์ แมจ้ ะเพยี งเล็กนอ้ ย ก็นบั ว่าเปน็ ผล สว่ นหนึ่งจากปรากฏการณโ์ ลกรอ้ น รายงานฉบับหน่งึ ของ IPCC เมือ่ ปี พ.ศ. 2544 แจง้ ว่าการถดถอยของธาร น้ำแข็ง การพงั ทลายของชั้นนำ้ แข็งดังเชน่ ท่ีช้ันน้ำแขง็ ลารเ์ สน การเพ่ิมระดบั นำ้ ทะเล การเปลีย่ นรูปแบบพื้นทีฝ่ น ตก และการเกดิ ลมฟา้ อากาศสุดโต่งท่รี ุนแรงข้นึ และถข่ี ึ้น เหล่าน้ีนบั เป็นผลสืบเนื่องจากปรากฏการณ์โลกร้อน ทงั้ ส้นิ แมจ้ ะมีการคาดการณ์ถงึ การเปลี่ยนแปลงตา่ งๆ ทั้งด้านรูปแบบทเี่ กิด ความแรงและความถ่ีท่เี กดิ แต่การ ระบุถงึ สภาวะที่อาจเกิดขึน้ จากปรากฏการณโ์ ลกร้อนอย่างเฉพาะเจาะจงกย็ ังเปน็ ไปได้ยาก ผลทค่ี าดคะเนอกี ประการหน่ึงได้แก่การขาดแคลนน้ำในบางภูมิภาค และการเพิม่ ปรมิ าณหยาดนำ้ ฟา้ ในอกี แหง่ หนงึ่ หรือการ เปลย่ี นแปลงปริมาณหมิ ะบนภเู ขา รวมถึงสขุ ภาพทีเ่ สื่อมลงเนอ่ื งจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขน้ึ การเสยี ชวี ติ เพิ่มขึ้น การแก่งแยง่ ทีอ่ ยู่อาศยั และความเสียหายทางเศรษฐกิจอนั เนื่องมาจากลมฟา้ อากาศ สดุ โต่งที่เกดิ จากปรากฏการณ์โลกร้อน อาจย่งิ แย่หนักขน้ึ จากการเพ่ิมความหนาแนน่ ของประชากรในภมู ิภาคท่ี ได้รับผลกระทบ แม้ในเขตอบอุ่นผลการคาดคะเนบง่ วา่ จะไดร้ บั ประโยชน์จากปรากฏการณโ์ ลกรอ้ นบา้ ง เช่นมีการ เสยี ชีวติ จากความหนาวเยน็ ลดน้อยลง บทสรปุ ของผลกระทบทเ่ี ปน็ ไปได้และความเขา้ ใจลา่ สุดปรากฏในรายงาน ผลการประเมนิ ฉบบั ที่ 3 ของ IPPC โดยกลมุ่ ทำงานคณะท่ี 2 (IPCC Third Assessment Report) , สรุปรายงาน การประเมนิ ผลกระทบฉบับท่ี 4 (IPCC Fourth Assessment Report) ท่ใี หม่กว่าของ IPCC รายงานว่ามีหลักฐาน ทสี่ งั เกตเห็นไดข้ องพายุหมุนเขตรอ้ นทรี่ ุนแรงมากขึน้ ในเขตมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือตัง้ แต่ประมาณ พ.ศ. 2513 ซ่ึงสมั พันธ์กับการเพิ่มอุณหภูมิของผวิ น้ำทะเล ทวา่ การตรวจจบั เพ่อื ดูแนวโน้มในระยะยาวมีความยงุ่ ยาก ซับซอ้ นมากเนื่องจากคณุ ภาพของขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการเก็บตามปกตขิ องการสังเกตการณโ์ ดยดาวเทียม บทสรปุ ระบุ ว่ายงั ไมม่ แี นวโน้มท่ีเหน็ ไดโ้ ดยชัดเจนในการประมาณจำนวนพายหุ มุนเขตรอ้ นโดยรวมของทัง้ โลก

ผลกระทบท่ีคาดวา่ จะเกิดขึ้นอกี ไดแ้ ก่การเพ่ิมระดับนำ้ ทะเลจาก 110 มลิ ลเิ มตรไปเปน็ 770 มลิ ลเิ มตร ระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2533 ถึง พ.ศ. 2643 , ผลกระทบต่อเกษตรกรรมที่เพ่มิ มากขึ้น, การหมุนเวยี นกระแสน้ำอนุ่ ท่ี ช้าลงหรอื อาจหยดุ ลง, การลดลงของชนั้ โอโซน, การเกิดพายุเฮอรร์ ิเคนและเหตุการณล์ มฟา้ อากาศสุดโต่งทีร่ นุ แรง มากขน้ึ , ค่าความเปน็ กรด-ดา่ งของน้ำทะเลลดลง และการแพร่ระบาดของโรคตา่ งๆ เช่น มาลาเรียและไข้เลือดออก การศกึ ษาช้นิ หน่งึ ทำนายว่าจะมสี ตั วแ์ ละพืชจากตวั อย่าง 1,103 ชนิดสญู พันธ์ุไประหว่าง 18% ถงึ 35% ภายใน พ.ศ. 2593 ตามผลการคาดคะเนภูมิอากาศ อย่างไรกต็ าม ผลการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมเกีย่ วกับการสูญพนั ธุ์อนั เนอ่ื งมาจากการเปล่ยี นแปลงภมู ิอากาศในช่วงท่ผี า่ นมายังมีนอ้ ยมากและหนึ่งในงานวิจยั เหล่าน้ีระบวุ ่า อตั ราการ สญู พันธุ์ท่ีคาดการณ์กนั ไวน้ ย้ี ังมีความไม่แน่นอนสงู เศรษฐกจิ นกั เศรษฐศาสตรบ์ างคนพยายามที่จะประมาณคา่ ความเสียหายรวมอันเกดิ จากการเปล่ยี นแปลงของ ภูมิอากาศท่ัวโลก การประมาณคา่ ดงั กล่าวยงั ไมส่ ามารถไปถงึ ข้อสรปุ ทีช่ ัดเจนได้ ในการสำรวจการประมาณค่า 100 ครง้ั มลู ค่าความเสียหายเริม่ ตัง้ แต่ 10 เหรยี ญสหรัฐฯ ตอ่ คารบ์ อนหนึ่งตัน (tC) (หรือ 3 เหรยี ญสหรัฐฯ ต่อ คารบ์ อนไดออกไซดห์ น่ึงตนั ) ไปจนถงึ 350 เหรียญฯ ตอ่ คาร์บอนหน่งึ ตนั (หรือ 95 เหรียญฯ ตอ่ คาร์บอนไดออกไซดห์ นึ่งตนั ) โดยมีคา่ กลางอยทู่ ่ี 43 เหรยี ญฯ ตอ่ คารบ์ อนหนง่ึ ตนั (12 เหรียญฯ ตอ่ คาร์บอนไดออกไซด์หนึ่งตนั ) รายงานทต่ี ีพิมพ์แพรห่ ลายมากชิ้นหนง่ึ เก่ียวกับความเปน็ ไปได้ของผลกระทบทาง เศรษฐกิจคือ “สเตริ ์นรวี ิว” ไดแ้ นะว่าภาวะลมฟ้าอากาศสดุ โตง่ อาจลดผลติ ภณั ฑ์มวลรวมในประเทศของโลกลงได้ ถงึ 1% และในกรณีสถานการณ์จำลองท่ีแย่ทสี่ ดุ คือค่าการบริโภครายบุคคลของโลก (global per capita consumption) อาจลดลงถึง 20% วธิ วี ิจยั ของรายงาน ข้อแนะนำและขอ้ สรปุ ถกู วิพากษว์ จิ ารณโ์ ดยนัก เศรษฐศาสตร์ทา่ นอ่ืนหลายคน ซึง่ สว่ นใหญก่ ล่าวถงึ สมมตุ ฐิ านการสอบทานของการใหค้ า่ สว่ นลดและการเลือก เหตุการณ์จำลอง ในขณะที่คนอื่นๆ สนับสนุนความพยายามในการแจกแจงความเสีย่ งทางเศรษฐกจิ แมจ้ ะไม่ได้ตัว เลขที่ถกู ตอ้ งออกมากต็ าม ในขอ้ สรปุ ค่าความเสยี หายทางเศรษฐกิจท่ีเกีย่ วข้องกับการเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศ โครงการส่ิงแวดล้อม สหประชาชาติ (United Nations Environment Programme) ให้ความสำคัญกบั ความเสย่ี งของผู้ประกนั ผปู้ ระกนั ใหม่และธนาคารเกยี่ วกบั ความเสยี หายจากสถานการณล์ มฟา้ อากาศท่ีเพิ่มมากข้ึน ในภาคเศรษฐกิจอื่นก็มี ทที ่าที่จะประสบความยากลำบากเก่ียวกับการเปลย่ี นแปลงของภูมิอากาศ รวมทั้งการเกษตรกรรมและการขนสง่ ซง่ึ ตกอยใู่ นภาวะการเสย่ี งเปน็ อยา่ งมากทางเศรษฐกจิ ความมน่ั คง เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ศนู ยเ์ พอื่ ยุทธศาสตร์และนานาชาติศกึ ษา (Center for Strategic and International Studies) และ ศูนยเ์ พ่ือความม่นั คงใหม่ของอเมริกา (Center for a New American Security) ไดต้ ีพิมพ์รายงานเนน้ ผลกระทบของการเปลีย่ นแปลงภมู ิอากาศที่มตี ่อความม่ันคงของชาติ ผลกระทบต่อความ

มน่ั คงดังกลา่ วรวมถึงการเพิม่ การแข่งขันทางทรัพยากรระหวา่ งประเทศ การอพยพของผู้คนจำนวนมหาศาลจาก พ้นื ทีท่ ี่ไดร้ บั ผลกระทบหนักสุด ความท้าทายต่อการรวมตวั กนั ของประเทศสำคัญท่เี นื่องมาจากระดบั น้ำทะเลท่ี สูงขึ้น และจากผลกระทบต่อเนอ่ื งของปจั จยั ตา่ งๆ ดงั กลา่ ว ความเส่ียงต่อการใช้อาวุธในการสรู้ บกันรวมท้งั ความ เสย่ี งจากความขดั แยง้ ทางอาวุธนิวเคลยี ร์ การปรับตัวและการบรรเทา การทน่ี กั วทิ ยาศาสตร์ดา้ นภูมิอากาศเห็นพ้องต้องกนั ว่าอณุ หภมู ิของโลกจะร้อนข้ึนอย่างตอ่ เนอ่ื ง มผี ลทำ ให้ชาตติ ่างๆ บริษัทและบุคคลตา่ งๆ จำนวนมากเรม่ิ ลงมอื ปฏิบัตเิ พอ่ื หยุดการร้อนขึ้นของโลกหรือหาวิธแี กไ้ ขอยา่ ง จรงิ จงั นักสิ่งแวดล้อมหลายกลมุ่ สนับสนนุ ใหม้ ปี ฏิบตั ิการต่อส้กู บั ปรากฏการณโ์ ลกร้อน มหี ลายกลมุ่ ทที่ ำโดย ผู้บริโภค รวมท้ังชมุ ชนและองคก์ ารในภูมิภาคต่างๆ มีการแนะนำว่าใหม้ ีการกำหนดโควต้าการผลิตเชือ้ เพลิง ฟอสซลิ โดยอา้ งวา่ การผลติ มีความสัมพนั ธโ์ ดยตรงกับการปลดปล่อย CO2 ในภาคธุรกจิ ก็มีแผนปฏิบตั ิการเพอ่ื ตอบสนองภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศดว้ ยเช่นกัน ซ่ึงรวมถึงความ พยายามเพ่มิ ประสิทธิภาพดา้ นพลงั งานและการมุ่งใช้พลงั งานทางเลอื ก นวตั กรรมสำคัญช้นิ หน่งึ ไดแ้ ก่การพัฒนา ระบบการซ้ือแลกการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก (Emissions trading) โดยบริษัทกับรัฐบาลรว่ มกนั ทำความตกลง เพอื่ ลดหรือเลิกการปล่อยแกส๊ เรอื นกระจกให้อย่ใู นจำนวนท่ีกำหนดหรอื มิฉะน้นั ก็ใช้วิธี “ซื้อเครดิต” จากบริษทั อื่น ทปี่ ลดปล่อยแกส๊ เรอื นกระจกตำ่ กว่าปรมิ าณกำหนด ข้อตกลงแรกๆ ของโลกวา่ ด้วยการตอ่ สู้เพอ่ื ลดแกส๊ เรอื นกระจกคือ “พิธีสารเกียวโต” ซึ่งเป็นการแก้ไข “กรอบงานการประชุมใหญ่ของสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการเปล่ยี นแปลงภมู อิ ากาศ” (UNFCCC) ซึง่ เจรจาต่อรอง และตกลงกนั เมื่อ พ.ศ. 2540 ปัจจบุ ันพิธสี ารดังกล่าวครอบคลุมประเทศต่างๆ ท่วั โลกมากกวา่ 160 ประเทศและ รวมปริมาณการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกมากกวา่ 65% ของทั้งโลก มีเพียงสหรัฐอเมริกาและคาซคั สถานสอง ประเทศท่ียังไมใ่ ห้สตั ยาบัน สหรัฐอเมรกิ าเป็นประเทศทป่ี ล่อยแก๊สเรือนกระจกมากทีส่ ดุ ในโลก สนธสิ ญั ญานี้จะ หมดอายุในปี พ.ศ. 2555 และได้มกี ารเจรจาระหว่างชาตทิ ี่เร่ิมเม่ือเดอื นพฤษภาคม พ.ศ. 2550 เพื่อร่างสนธสิ ญั ญา ในอนาคตเพื่อใชแ้ ทนฉบับปจั จุบัน ประธานาธิบดี จอรจ์ ดับเบิลยู. บชุ อา้ งว่าพธิ สี ารเกียวโตไม่ยุตธิ รรมและวธิ ีที่ใชน้ ั้นไม่ได้ผลในการตอ่ สกู้ ับ การเปล่ยี นแปลงของภูมิอากาศโลก ประเทศสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรนุ แรงเพราะยงั มกี าร ยกเวน้ ให้ประเทศอ่นื ๆ ในโลกมากกว่า 80% ของประเทศท่ีลงนามรวมทงั้ หมด ประเทศท่ีเปน็ ศนู ย์รวมประชากรท่ี ใหญท่ ่ีสดุ ในโลกคือ จีน และ อินเดีย แต่กระนัน้ ก็ยงั มีรัฐและรัฐบาลทอ้ งถ่ินจำนวนมากในสหรัฐฯ ท่ีริเริ่มโครงการ รณรงค์วางแนวปฏิบัตขิ องตนเองให้เป็นไปตามพิธีสารเกยี วโต ตัวอยา่ งเช่น “การรเิ ร่ิมแก๊สเรอื นกระจกภมู ภิ าค” ซง่ึ เปน็ โปรแกรมการหยดุ และซอื้ เครดิตการปล่อยแก๊สเรือนกระจกระดบั รัฐซ่ึงประกอบด้วยรัฐตา่ งๆ ในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ของสหรัฐฯ จดั ตั้งเมื่อวันท่ี 20 ธันวาคม พ.ศ. 2548

แมจ้ ีนและอนิ เดียจะได้รับการยกเว้นในฐานะของประเทศกำลังพัฒนา แต่ท้ังสองประเทศกไ็ ด้ใหส้ ัตยาบัน ในพิธสี ารเกียวโตแลว้ ขณะน้ี จนี อาจปลอ่ ยแกส๊ เรอื นกระจกรวมตอ่ ปใี นปริมาณแซงสหรัฐฯ ไปแลว้ ตามผล การศกึ ษาเมื่อเรว็ ๆ น้ี นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าได้เรียกร้องให้ลดการปลดปลอ่ ยเป็นสองเท่าเพ่ือตอ่ สู้กับปัญหา มลพษิ และปรากฏการณโ์ ลกร้อน คณะทำงานกลุ่มที่ 3 ของ IPCC รับผิดชอบตอ่ การทำรายงานเก่ียวกับการบรรเทาปรากฏการณ์โลกรอ้ น และวเิ คราะห์ค่าใชจ้ า่ ยและผลดขี องแนวทางต่างๆ เม่ือ พ.ศ. 2550 ในรายงานผลการประเมินของ IPCC ไดส้ รุปวา่ ไม่มเี ทคโนโลยใี ดเพยี งหน่ึงเดียวทสี่ ามารถรับผิดชอบแผนบรรเทาการร้อนขน้ึ ของบรรยากาศในอนาคตได้ทั้งหมด พวกเขาพบวา่ มแี นวปฏิบัติทีส่ ำคญั และเทคโนโลยหี ลายอยา่ งในหลายๆ อตุ สาหกรรม เชน่ การสง่ จา่ ยพลังงาน การ ขนส่ง การอตุ สาหกรรม และการเกษตรกรรม ท่ีควรนำมาใชเ้ พ่ือลดการปลดปล่อยแกส๊ เรือนกระจก ในรายงาน ประเมินว่า “การเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์” (Carbon dioxide equivalent: CDE) ในภาวะเสถียรระหวา่ ง 445 และ 710 ส่วนในล้านสว่ นในปี พ.ศ.2573 จะทำให้คา่ ผลิตภัณฑม์ วลรวม (GDP) ของโลกแปรอยูร่ ะหวา่ งการ เพม่ิ ขนึ้ 0.6% และลดลง 3% การอภปิ รายทางสังคมและการเมอื ง ชว่ งหลายปที ี่ผา่ นมา การรบั รู้และทัศนคติของสาธารณชนในความห่วงใยตอ่ สาเหตุและความสำคัญของ ปรากฏการณ์โลกร้อนได้เปลยี่ นแปลงไปมาก การค้นพบทางวิทยาศาสตรด์ ้านตา่ งๆ เกีย่ วกบั ปรากฏการณ์โลกรอ้ น ทีเ่ พิม่ มากข้ึนทำให้สาธารณชนเริ่มตระหนักและมีการอภิปรายทางการเมืองและเศรษฐกิจอยา่ งกวา้ งขวาง ประเทศ ในภูมภิ าคต่างๆ ทย่ี ากจน โดยเฉพาะแถบแอฟริกาดูเหมือนจะมีความเสยี่ งมากในการได้รบั ผลกระทบจาก ปรากฏการณโ์ ลกร้อน ทงั้ ทีต่ นเองปล่อยแกส๊ เรือนกระจกออกมานอ้ ยมากเมือ่ เทยี บกับประเทศทีพ่ ัฒนาแล้ว ใน ขณะเดยี วกนั ประเทศกำลงั พัฒนาท่ไี ดร้ บั การยกเว้นการปฏิบัตติ ามพธิ สี ารเกยี วโตก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากจาก ประเทศสหรัฐและออสเตรเลีย และทำให้สหรฐั ฯ นำมาอ้างเป็นส่วนหนงึ่ ของเหตผุ ลทีย่ ังไม่ยอมให้สตั ยาบนั ในพธิ ี สารดังกลา่ ว ในโลกตะวันตก แนวคิดที่ว่ามนษุ ย์มสี ว่ นสำคญั ที่ทำใหภ้ มู ิอากาศเปลีย่ นแปลงไดร้ ับการยอมรับอยา่ ง กว้างขวางในยโุ รปมากกว่าในสหรัฐฯ ประเด็นปญั หาการเปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศไดจ้ ุดประกายให้เกิดการอภปิ รายเพ่ือชัง่ น้ำหนักผลดีจากการ จำกดั การปลดปล่อยแกส๊ เรือนกระจกทางอตุ สาหกรรมและแกส๊ เรือนกระจกกบั ค่าใช้จา่ ยของการจำกัดดงั กล่าวท่ี จะเกิดขนึ้ ไดม้ ีการถกเถียงกนั ในหลายประเทศเก่ียวกับประโยชนท์ ีจ่ ะไดร้ ับกับค่าใชจ้ า่ ยท่ีจะเกดิ ขึ้นจากการรับเอา พลงั งานทางเลือกชนิดตา่ งๆ ทีน่ ำมาใช้เพอ่ื ลดการปลดปล่อยคาร์บอน องค์การและบริษทั เช่น \"สถาบันวิสาหกจิ การแขง่ ขัน\" (Competitive Enterprise Institute) และเอกซ์ซอนโมบลิ (ExxonMobil) ได้เนน้ สถานการณ์ จำลองการเปล่ยี นแปลงของภมู ิอากาศเชิงอนุรักษ์นยิ ม ในขณะเดยี วกันกเ็ น้นใหเ้ ห็นแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกจิ ของการควบคุมทเ่ี ข้มงวดเกินไป ในทำนองเดยี วกันก็มกี ารเจรจาทางสง่ิ แวดล้อมหลายฝา่ ย และผู้มีบทบาทเด่นใน สาธารณะหลายคนพากันรณรงคใ์ ห้เหน็ ถึงแนวโนม้ ความเสยี่ งจากการเปลยี่ นแปลงของภมู ิอากาศและเสนอให้มี

มาตรการควบคมุ ที่เขม้ งวดข้นึ ให้เกดิ การปฏบิ ัติอยา่ งจริงจัง บรษิ ทั เชื้อเพลิงฟอสซลิ บางแหง่ ไดเ้ ข้ารว่ มโดยการลด ขนาดกำลังเคร่อื งจักรของตนลงในรอบหลายปีทีผ่ ่านมา หรือเรียกร้องให้มนี โยบายลดปรากฏการณโ์ ลกร้อน อีกประเด็นหนึง่ ท่ีอภปิ รายกันก็คอื กลมุ่ ประเทศเศรษฐกจิ พัฒนาใหม่ (newly developed economies) เชน่ อนิ เดียและจนี ควรบงั คับระดบั การปลดปล่อยแกส๊ เรือนกระจกสักเท่าใด คาดกันว่าการปลอ่ ย คารบ์ อนไดออกไซด์รวมของประเทศจนี จะสูงกวา่ อตั ราการปลอ่ ยของสหรฐั ฯ ภายในไม่ก่ีปขี า้ งหนา้ นี้ และบางที เหตุการณ์นน้ั อาจเกิดขน้ึ ไปแลว้ ดว้ ยตามรายงานเมอ่ื พ.ศ. 2549 แต่จนี ยืนยันว่าตนมีข้อสญั ญาในการลดการ ปลดปลอ่ ยนอ้ ยกวา่ ที่ประมาณกนั เพราะเมื่อคิดอัตราการปล่อยต่อรายหัวแล้วประเทศของตนยังมอี ัตรานอ้ ยกว่า สหรัฐฯ ถึงหน่งึ ตอ่ ห้า อนิ เดยี ซึง่ ไดร้ ับการยกเว้นจากขอ้ จำกัดรวมทงั้ แหลง่ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่อ่ืนๆ หลายแหง่ กไ็ ด้ยืนยนั อ้างสิทธิ์ในทำนองเดยี วกนั อยา่ งไรก็ดี สหรัฐฯ ได้ยนื ยันต่อส้วู ่าถ้าตนจะต้องแบกรับภาระคา่ ใชจ้ ่ายใน การลดการปลดปล่อยแกส๊ เรือนกระจก จนี ก็ควรต้องรับภาระนด้ี ว้ ย ประเดน็ ปญั หาภมู ิอากาศทีเ่ ก่ยี วข้อง มีประเด็นปญั หาอน่ื ๆ อีกมากทยี่ กขน้ึ มาว่าเกีย่ วข้องกับปรากฏการณโ์ ลกรอ้ น หนึ่งในน้นั คอื การเป็นกรด ของมหาสมทุ ร (ocean acidification) การเพิ่ม CO2 ในบรรยากาศเปน็ การเพ่ิม CO2 ทลี่ ะลายในน้ำทะเล CO2 ท่ี ละลายในนำ้ ทะเลทำปฏกิ ริ ยิ ากบั น้ำกลายเปน็ กรดคาร์บอนิก ซง่ึ ทำให้มหาสมทุ รมคี วามเป็นกรดมากขน้ึ ผล การศกึ ษาประเมินวา่ ค่า pH ทีผ่ วิ ทะเลเม่ือคร้ังเริ่มยุคอุตสาหกรรมมีค่า 8.25 และได้ลดลงมาเป็น 8.14 ในปี พ.ศ. 2547 คาดว่าค่า pH จะลดลงอกี อย่างน้อย 0.14 ถึง 0.5 หนว่ ย ภายในปี พ.ศ. 2643 เนอ่ื งจากมหาสมุทรดดู ซบั CO2 มากข้ึน ทวา่ สงิ่ มีชีวติ จลุ ชพี และระบบนิเวศจะดำรงอยู่ได้ในช่วง pH แคบๆ ปรากฏการณ์น้จี งึ อาจทำให้เกิด ปญั หาการสูญพันธุ์ อันเป็นผลโดยตรงจากการเพ่มิ ปรมิ าณ CO2 ในบรรยากาศ ผลกระทบทตี่ ามมากค็ ือหว่ งโซ่ อาหารจะมีการเปลย่ี นแปลง ซง่ึ อาจส่งผลโดยตรงตอ่ สังคมมนุษย์ที่ต้องพง่ึ พาระบบนเิ วศทางทะเลอย่มู าก “โลกหรลี่ ง” (Global dimming) หรือการค่อยๆ ลดลงของความรบั อาบรงั สี (irradiance) ท่ผี วิ ของโลก อาจมีส่วนในการบรรเทาปรากฏการณโ์ ลกรอ้ นในช่วงหลงั ของครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 (ประมาณ พ.ศ. 2490 เปน็ ต้น มา) จากปี พ.ศ. 2503 – 2533 ละอองลอยทีเ่ ป็นกจิ กรรมของมนุษย์มีส่วนทำให้เกดิ ผลกระทบน้ี นกั วทิ ยาศาสตร์ ได้แถลงดว้ ยความมั่นใจ 66-90% ว่าละอองลอยโดยมนุษย์ร่วมกบั ผลของภูเขาไฟมีสว่ นทำให้ปรากฏการณ์โลกรอ้ น ลดลงบางสว่ น และวา่ แก๊สเรือนกระจกน่าจะทำใหโ้ ลกร้อนมากกวา่ ท่ีสังเกตไดถ้ ้าไม่มีปัจจัย โลกหรล่ี ง มาช่วย การลดถอยของโอโซน (Ozone depletion) การท่ีปรมิ าณรวมของโอโซนในบรรยากาศชน้ั สตราโตสเฟียร์ ลดลงอย่างสม่ำเสมอถูกระบวุ ่าเปน็ สาเหตุของปรากฏการณ์โลกร้อนอยูบ่ ่อยครัง้ ถึงแมว้ ่าจะมีความเช่ือมโยงกันอยู่ จริง แตค่ วามเกี่ยวข้องระหว่างปรากฏการณ์ทั้งสองน้กี ย็ ังไม่หนักแนน่ พอ กา๊ ซพิษจากการเผาไหม้

สารพิษต่างๆท่อี ยูใ่ นควนั ไฟทอ่ี าจเกดิ ขึ้นในขณะท่ีเกดิ เพลงิ ไหม้ ทส่ี ำคญั เชน่ 1.คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CARBON MONOXIDE) เป็นแกส๊ พิษที่มีอันตรายอย่างสูงต่อคนและเกิดขึน้ ได้ มากเสมอในการเผาไหม้ในบริเวณจำกัด อันตรายต่อคน คือ ถ้าผสมอยใู่ นอากาศคดิ เป็นเปอร์เซน็ ต์โดยปรมิ าตร ถา้ เกนิ 0.05%มีอนั ตราย ถ้ามีอยู่ 0.16% ทำให้หมดสติ ใน 2 ชว่ั โมง ถา้ มีอยู่ 1.26% จะหมดสตภิ ายใน 1 ถึง 3 นาที ของการหายใจและอาจถงึ ชีวิตได้นอกจากความเป็นพิษแล้ว แก๊สคารบ์ อนมอนอกไซด์ ยังเปน็ แก๊สเช้ือเพลิงอีกด้วย เมอ่ื มีความเข้มขน้ ในอากาศสูง ๆ สามารถลกุ ไหม้และเกดิ การระเบิดไดอ้ ยา่ งรุนแรง เพลิงไหมใ้ นบรเิ วณที่โล่งแจ้ง จะมีอันตรายจากแก๊สคารบ์ อนมอนอกไซด์น้อยลงไป 2.แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CARBON DIOXIDE) เกิดจากการเผาไหมอ้ ย่างสมบรู ณ์แบบไมเ่ ป็นเช้อื เพลงิ และไมก่ ่ออนั ตรายแกร่ า่ งกายโดยตรง แตจ่ ะไม่ทำใหร้ ่างกายขาดออกซเิ จน ถา้ แก๊สนมี้ คี วามเขม้ ข้นในอากาศเกิน กว่า 5.0% โดยปรมิ าตร จะมีอันตรายและทำใหผ้ ้สู ูดดมหมดสตไิ ด้ 3.แกส๊ ไฮโดรเจนไซยาไนต์ (HYDROGEN CYANIDE) เปน็ แก๊สพิษท่มี ีความรุนแรงมากกว่าแกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซดม์ าก สว่ นผสมในอากาศ 100 ppm. มผี ลใหผ้ ู้สดู ดมหมดสติและเสียชีวติ ไดในเวลา 30-60 นาที แกส๊ นเี้ กิดจากการเผาไหม้สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ท่มี ีองค์ประกอบของคลอรีน เช่น พวกพลาสตกิ ยาง เสน้ ใย ขนสตั ว์ หนงั สตั ว์ ไม้ หรอื ผ้า ไหม เปน็ แกส๊ ทีเ่ บากว่าอากาศ จงึ มีอนั ตรายมากในการเผาไหม้ในอาคารหรือ บริเวณจำกัดต่าง ๆ 4.แก๊สฟอสจีน (PHOSGENE) เกดิ จากการเผาไหมส้ ารประกอบไฮโดรคาร์บอน ท่ีมีสว่ นประกอบของ คลอรีน เช่นคารบ์ อนเตตระคลอไรด์ ฟรีออน (น้ำยาทำความเย็น) หรือเอธลิ ีนไดคลอไรด์ เป็นแก๊สทเี่ ป็นพษิ สงู มาก ได้รับเพยี ง 25 ppm.ในอากาศในเวลา 30-60 นาที กอ็ าจเสยี ชีวติ ได้ 5.แกส๊ ไฮโดรเจนคลอไรด์ (HYDROGEN CHLORIDE) เป็นแก๊สพิษทเี่ กดิ จากการเผาไหมส้ ารท่ีมี องค์ประกอบของคลอรีน มสี ภาพเปน็ กรดและทำอนั ตรายได้เช่นกัน แมจ้ ะไม่รุนแรงเทา่ กับแก๊สฟอสจนี หรอื แก๊ส ไฮโดรเจนไซยาไนด์ก็ตาม 6.แกส๊ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (HYDROGEN SULFIDE) เกดิ จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของวัสดุพวก ยาง พรม ไม้ ขนสัตว์ หรือวสั ดอุ ืน่ ใดท่สี มีกำมะถนั ผสมอยู่ เป็นแก๊สท่ีมีอันตรายมากเพียง 400-700 ppm. ในอากาศได้รับ นาน 30-60นาที ทำให้เสยี ชีวิต นอกจากน้นั ยังเปน็ แกส๊ เช้ือเพลิงซึ่งลกุ ติดไฟได้อีกด้วย แตไ่ ม่ถึงข้ันเกิดระเบิด มี กลนิ่ คล้ายไขเ่ นา่ มักจะเรียกว่า “แกส๊ ไขเ่ น่า” มีฤทธ์ทิ ำลายเนอื้ เย่อื ต่าง ๆ ได้มาก

7.แก๊สซลั เฟอร์ไดออกไซด์ (SULFUR DIOXIDE) เกิดจากการเผาไหมส้ มบรู ณ์ของกำมะถันในอากาศ เปน็ แก๊สพิษความเขม้ ขน้ เพยี ง 150 ppm. ในอากาศใช้สงั หารคนไดใ้ นเวลา 30-60 นาที เม่ือผสมกับนำ้ หรอื ความชน้ื ท่ี ผิวหนงั จะเกดิ กรดกำมะถนั ซงึ่ มฤี ทธิ์กดั อยา่ งรุนแรงผู้ไดร้ ับแกส๊ นี้จงึ มีอาการสำลักและหายใจไม่ออกอย่างฉบั พลนั 8.แก๊สแอมโมเนีย (AMMONIA) เกดิ จากการเผาไหม้ไม้ ขนสตั ว์ ผ้าไหม น้ำยาทำความเย็น หรอื สารอ่นื ทีม่ ี สารประกอบของไนโตรเจน และไฮโดรเจน มกี ล่ินฉนุ รุนแรง ทำให้เกิดความรำคาญ และทำลายเนอื้ เยื่อ แต่ไมม่ ี ตัวเลขส่วนผสมท่ีทำให้เสยี ชีวิต 9.ออกไซด์ของแก๊สไนโตรเจน (OXIDE OF NITROGEN) ไดแ้ ก่ แก๊สไนตริกออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ และ ไนโตรเจนเตตระออกไซด์ เกดิ จากกากรเผาไหม้พวกไม้ ข้เี ลื่อย พลาสตกิ ยางที่มีไนโตรเจนผสมสีและแลคเกอรบ์ าง ชนิด ปริมาณ100 ppm. ในอากาศทำให้เสียชีวิตไดใ้ น 30 นาที 10.แก๊สอะโครลนี (ACROLEIN) เปน็ แก๊สเกิดจากการเผาไหมส้ ารทีเ่ ป็นไขมันท่ีอุณหภูมิ 600๐ F และ อาจเกิดจากเผาไหมส้ ี และไม้บางชนิด เป็นแก๊สที่มีอันตรายสงู ประมาณ 150-240 ppm. ในอากาศ ทำให้ผู้สูด หายใจเสียชวี ติ ไดภ้ ายใน 30 นาที เม่ือไดร้ บั จะทำใหค้ นเจ็บสูญเสียอวัยวะสมั ผัส เชน่ ตา และหายใจไม่ออก ซงึ่ ทำให้ไม่สามารถจะหลบหนี ออกจากบริเวณอันตรายไดท้ ัน 11.ไอโลหะ (METAL FUMES) คือ ไอของโลหะหนกั ตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ข้ึนเมือ่ โลหะนั้นไดร้ บั ความรอ้ นสงู เช่น ไอปรอท ไอตะกัว่ ไอสงั กะสี ไอดบี กุ ส่วนใหญ่เพลงิ ไหมโ้ รงผลติ หรือโรงเก็บอุปกรณท์ างอิเลคทรอนกิ ส์ จะเกิดไอโลหะได้มาก และไอเหล่าน้ีมีอนั ตราย 12.เขม่าและควันไฟ (SOOT AND SMOKE) เขม่า คือ ก้อนหรอื เศษของวัสดทุ ี่ยังเผาไหม้ไม่หมด จะมี ลักษณะเปน็ ผงหรือละออง ส่วน ควนั ไฟ เป็นสารผสมระหว่างเขม่า ข้ีเถา้ บทที่ 3 วธิ กี ารดำเนินการ

วสั ดแุ ละอุปกรณ์ อุปกรณ์ 1.ถงั 200 ลิตร พรอ้ มฝาปิด 1 ใบ เสน้ 2.เหลก็ เสน้ ขนาด 3 หนุ 1 เตา ตวั 4.เตาถ่าน 1 5.บานพบั ขนาดเลก็ 2 6.อุปกรณ์อ่นื ๆ (เชน่ น็อตสำหรบั ยึด สีทา ตลบั เมตร )

วิธกี ารดำเนินการ 1.เปิด/เจาะ ถังขนาด 200 ลติ ร ท้ังสองด้านให้ทะลุโล่ง 2.ใส่ฝาปดิ ด้านบนพร้อมดา้ มจบั สำหรบั เปิดปิด 3.เจาะบานหน้าตา่ ง ขนาด 12*24 เซนติเมตร ด้านลา่ ง เพอื่ ใชเ้ ปิดดเู ตาถา่ น 4.เจาะรู สำหรบั ระบายอากาศด้านขา้ ง 1 ด้าน 5.ทำดา้ มจับ สำหรับยกถงั 200 ลติ ร 6.ดัดเหลก็ เส้นขนาด 3 หุน จำนวน 3 วง ใหเ้ ป็นวงกลมขนาดเลก็ กวา่ ถัง ใชส้ ำหรบั ติดในถัง เพ่ือเปน็ ฐานวาง กระบอกขา้ วหลาม ตดิ ด้านในข้างถงั







หลกั การทำงานของเตาเผาข้าวหลามประหยดั พลังงานและอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อม “เตาเผาขา้ วหลามประหยัดพลังงานและอนุรกั ษส์ งิ่ แวดลอ้ ม” เป็นเตาท่ีทำข้ึนเพือ่ เผาข้าวหลามแบบ ประหยัดพลังงานและปล่อยควันและก๊าซพษิ ออกมาน้อยมาก โดยการเปล่ียนการใช้เชื้อเพลิงในรปู แบบเดมิ คือ ฟืน ไมแ้ ห้ง มาเป็นถ่านท่สี ามารถลดปริมาณการใช้ฟืนลงได้ และกระบวนการในการเผาไหม้ยังเกิดควนั น้อยมาก รวมถึงใช้หลกั การอบความร้อนในถัง ชว่ ยเพิ่มในกระบวนการเผาข้าวหลาม ทำใหล้ ดระยะเวลาในการเผาข้าวหลาม ลงได้ ทำให้ข้าวหลามสุกโดยไมต่ ้องกลับด้านเพราะความร้อนที่อยู่ในถัง วธิ ีการใชง้ าน 1.เตรยี มขา้ วหลามที่จะเผาตามรปู แบบการเผาปกติ 2.กอ่ ไฟในเตาโดยใชถ้ ่านเป็นเชอื้ เพลิงในการเผาไหม้ 3.นำกระบอกข้าวหลามที่พรอ้ มแล้ววางในชอ่ งเหลก็ ดา้ นในถงั ให้เตม็ 4.ยกเตาใส่ในถังตรงกลางถังพอดี 5.ปิดฝาถังให้สนิท รอจนกว่าขา้ วหลามสุก (โดยการทดลองการจับเวลา สงั เกตุจนกวา่ ถ่านในเตาจะหมด ข้าวหลามก็จะสุกพอด)ี

บทที่ 4 ผลการดำเนนิ การ ผลการดำเนนิ การ เตาเผาข้าวหลามประหยดั พลังงานและอนรุ ักษ์ส่งิ แวดลอ้ ม สามารถใชง้ านได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ คือ ลดปริมาณควันพิษที่ลอยข้ึนสู่อากาศไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยการเปลย่ี นการใช้เชอ้ื เพลงิ ในรูปแบบเดิมคือ ฟนื ไมแ้ หง้ มาเปน็ ถา่ นทส่ี ามารถลดปริมาณการใชฟ้ นื ลงได้ และกระบวนการในการเผาไหม้ยงั เกิดควันนอ้ ยมาก รวมถงึ ใช้ หลกั การอบความร้อนในถงั ช่วยเพ่ิมในกระบวนการเผาข้าวหลาม ทำให้ลดระยะเวลาในการเผาขา้ วหลามลงได้ ทำให้ข้าวหลามสกุ โดยไม่ต้องกลับด้านเพราะความร้อนท่ีอยูใ่ นถงั

บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรปุ ผล จากการทผี่ ู้จัดทำไดด้ ำเนินการสรา้ งเตาเผาข้าวหลามประหยดั พลงั งานและอนุรักษ์สิง่ แวดล้อม ตาม รปู แบบท่วี างไว้ โดยใช้วัสดุทีส่ ามารถหาได้ท่วั ไป หรือวสั ดุที่ใช้แลว้ มาดดั แปลงเขา้ กบั ตัวถัง และทดลองทำการ เผาข้าวหลาม หลงั จากการทดลองเผาข้าวหลาม พบวา่ เตาเผาข้าวหลามประหยดั พลังงานและอนรุ ักษ์ส่งิ แวดล้อม สามารถใช้งานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ คอื ข้าวหลามสกุ ในระยะเวลาอันสน้ั ลดปรมิ าณควนั พิษที่ลอยขน้ึ สู่อากาศ ลดปริมาณการใชฟ้ นื จากต้นไม้ ลดการทำลายธรรมชาติและอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อม ประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากโครงงาน - ลดปริมาณควันพิษทลี่ อยข้ึนสู่อากาศ - ลดปรมิ าณการใชฟ้ นื จากต้นไม้ - ลดการทำลายธรรมชาติและอนรุ ักษส์ งิ่ แวดล้อม - ใชต้ น้ ทนุ หรอื คา่ วัสดอุ ปุ กรณ์ในการจดั ทำนอ้ ย - นำวัสดทุ ี่ใชแ้ ล้วมาดดั แปลงเข้ากบั ช้ินงานตามแบบท่วี างไวไ้ ด้ ขอ้ เสนอแนะ เลอื กไมไ้ ผ่ท่จี ะนำมาเผาข้าวหลาม ไมค่ วรมีขนาดที่หนาเกนิ ไปเพราะอาจทำให้สุกชา้ และขนาดของไม้ไผ่ ควรมคี วามหนาและขนาดทใี่ กลเ้ คยี งกนั ซึ่งจะทำให้สุกพร้อมกัน มขี อ้ จำกัดของความยาวขนาดไม้ไผ่ ซง่ึ ต้องมีความยาวขนาดที่เทา่ กัน

บรรณานุกรม กรมพฒั นาพลังงานทดแทนและอนุรกั ษพ์ ลังงาน กระทรวงพลังงาน, คุ่มือการผลติ และ การใช้งานเตาเผา ผลติ ถ่านแบบถัง 200 ลิตร, 2554. ภมู ปิ ญั ญาชาวบ้านการเผาข้าวหลาม.

ภาคผนวก