Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20 ภัคจีรา พรหมดี

20 ภัคจีรา พรหมดี

Published by Hommer ASsa, 2021-05-01 06:20:47

Description: 20 ภัคจีรา พรหมดี

Search

Read the Text Version

รายงานการศกึ ษา เรอื่ ง ปจั จัยที่มผี ลต่อแรงจงู ใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรือน กรณศี ึกษา : เทศบาลตําบลฟา้ หยาด อาํ เภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร จัดทําโดย ภคั จีรา พรหมดี รหัสประจาํ ตัวนกั ศึกษา 20 เอกสารฉบับนเ้ี ป็นส่วนหนึง่ ในการศกึ ษาอบรม หลักสตู ร นักบรหิ ารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั (นบ.ปภ.) รุ่นที่ 10 ระหวา่ งวันที่ 7 มกราคม – 10 เมษายน 2557 วิทยาลยั ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

ก คาํ นํา เอกสารการศึกษาน้ี จัดทําขึ้นเพ่ือวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัด ยโสธร เพ่ือนําข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแรงจูงใจด้านต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการเข้ามามีส่วนรวมในการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ชุมชนของตนเอง รวมทั้งเพื่อการทํา ประโยชน์ให้กับสังคม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับพิบัติ เพื่อป้องกันและลดความเส่ียงภัยและ ลดความเสียหายจากภัยพิบัติ รวมท้ังการปฏิบัติงานระหว่างเกิดภัย เพ่ือช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ผ่อน คลายความเดือดรอ้ นและเขา้ สู่สภาวะปกตไิ ดอ้ ย่างรวดเร็ว ผู้ศึกษาวิจัยขอขอบพระคุณ คณะกรรมการที่ปรึกษาตลอดจนคณะผู้บริหารวิทยาลัยป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ผู้อํานวยการและคณะเจ้าหน้าที่โครงการนักบริหารงานป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย รุ่นที่ 10 ที่ให้ความรู้ คําแนะนํา และขอขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องทั้งระดับศูนย์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 13 อุบลราชธานี และสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดยโสธร ที่ให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล และช่วยเหลือจนสําเร็จลุล่วงไป ด้วยดี หากมีข้อบกพร่องประการใดปรากฏในรายงานฉบับนี้ ผู้ศึกษายินดีน้อมรับนําไปปรับปรุงแก้ไข ต่อไป ด้วยความเคารพ ภคั จีรา พรหมดี มีนาคม 2557

ข กติ ตกิ รรมประกาศ รายงานการศึกษาวิจัย เร่ือง “ปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัคร ปอ้ งกนั ภยั ฝา่ ยพลเรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร น้ี สําเร็จ ได้ด้วยดี เนื่องจาก ผู้ศึกษาวิจัยได้รับความอนุเคราะห์ จาก ดร.ปิยวัฒน์ ขนิษฐบุตร อาจารย์วรชพร เพชรสุวรรณ ผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 13 อุบลราชธานีและเจ้าหน้าท่ี หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยโสธร และเจ้าหน้าท่ี คณะผู้บริหารและ ผู้อํานวยการโครงการของวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่ง ได้กรุณาตรวจสอบ แก้ไข แนะนํา และให้แนวทางอันถูกต้อง จนทําให้ผู้ศึกษาประสบความสําเร็จในการศึกษา ค้นคว้า และทําให้รายงาน การศึกษาวจิ ยั ฉบับนสี้ ําเร็จได้อยา่ งสมบูรณ์ ผู้ศึกษาวิจัยขอขอบพระคุณ ดร.ปิยวัฒน์ ขนิษฐบุตร อาจารย์วรชพร เพชรสุวรรณ อาจารย์ที่ปรึกษา นายสุรชัย ธัชกวิน ผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 13 อุบลราชธานีและเจ้าหนา้ ท่ี นายธีรยทุ ธ์ จันทร์ดษิ ฐวงศ์ หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดยโสธร นายประนอม เสาแก้ว เจ้าหน้าท่ีของสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ยโสธร คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าท่ีของวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าหน้าท่ีขององค์กร ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ห้องสมุดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ท่ีกรุณา เอื้อเฟ้ือข้อมูล และ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนที่ตอบแบบสอบถามทุกท่าน ตลอดจนนักวิชาการทุกท่านท่ีผู้ศึกษาได้ นาํ ผลงานอา้ งอิง ประกอบการศึกษาในครง้ั น้ี ผศู้ ึกษาใคร่ขอบพระคณุ ไว้ ณ ทน่ี ้ีด้วย ผู้ศึกษาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า รายงานการศึกษาวิจัยฉบับน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ เกี่ยวกับแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน หรืออาจใช้เป็นแนวทางใน การศึกษาค้นคว้าต่อไปได้อย่างดี คุณความดีอันใดท่ี เกิดจากการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาขอมอบแด่ บิดา มารดา คณาจารย์ และผูท้ เี่ กีย่ วข้อง สนับสนุนผศู้ ึกษาด้วยดี ตลอดมา ภัคจรี า พรหมดี มนี าคม 2557

ค บทสรปุ ผู้บริหาร การศึกษาวิจัย เรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพล เรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตาํ บลฟ้าหยาด อาํ เภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร” ในครั้งนี้ เพื่อศึกษาปัจจัย ท่ีมีผลต่อแรงจูงใจของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ในการสมัครเข้ามาเป็นอาสาสมัคร ด้าน สวสั ดกิ ารและสทิ ธิประโยชน์ ดา้ นเกยี รติยศชอื่ เสยี ง ด้านการชว่ ยเหลือสังคม และดา้ นความสนใจส่วนตัว ผลการศกึ ษาพบว่าผู้สมัครเป็นอาสาสมัครปอ้ งกันภัยฝา่ ยพลเรือนสว่ นใหญ่เห็นว่าแรงจูงใจที่ทําให้ สมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในระดับมากที่สุด คือการเสียสละความสุขส่วนตัวเพ่ือ ประโยชน์ของสังคม การสนใจหรือความชอบงานด้านอาสาสมัคร การได้สวมเคร่ืองแบบอาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนการประดับเหรียญตราหรือเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ การทํางานท่ีมีความ รับผิดชอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม การนําความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม การสร้าง ความสามัคคีระหว่างคนในชมุ ชน และการช่วยเหลือบุคคลอ่นื ทอ่ี อ่ นแอกวา่ สาํ หรับผู้สมัครเป็นอาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มีแรงจูงใจในระดับรองลงมาคือมีแรงจูงในใจระดับมาก คือการสร้างความเช่ือม่ัน ให้กับตนเอง แรงจูงใจในระดับปานกลาง คือการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ การได้รับการยอมรับจาก สังคม การพบเจอประสบการณ์แปลกใหม่ ท้าทาย การมีโอกาสรู้จักกับบุคคลอ่ืน การได้รับสวัสดิการและ สิทธิประโยชน์จากการปฏิบัติงาน การยกสถานภาพทางสังคมของตนเอง การได้รับค่าลดหย่อนอัตราค่า โดยสารรถไฟและรถปรับอากาศ การได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน การได้รับสวัสดิการและสิทธิ ประโยชน์จากการเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ผู้สมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มีแรงจูงใจในระดับน้อยคือการได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์กรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการ ปฏบิ ตั งิ าน ผศู้ ึกษาคาดหวังวา่ กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย จะนําผลการศึกษา ไปใช้ประโยชน์ในการ ส่งเสริมการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนเพ่ือเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสังคมและชุมชน ของตนเอง เพอื่ สร้างความยง่ั ยนื ดา้ นการจัดการภัยเพอ่ื ใหป้ ระเทศไทยเป็นเมืองปลอดภัย นา่ อยู่

สารบัญ ง คํานาํ หนา้ กติ ติกรรมประกาศ ก บทสรปุ ผบู้ รหิ าร ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง บทที่ 1 บทนํา ฉ 1.1 ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา 1 1.3 คาํ ถามการวจิ ยั 3 1.4 ขอบเขตของการศึกษา 3 1.5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 3 1.6 ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ ับ 4 4 บทที่ 2 แนวความคดิ ทฤษฎีและวรรณกรรมทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 5 2.1 ข้อมูลทวั่ ไปเทศบาลตาํ บลฟา้ หยาด 5 2.2 แนวความคดิ เกย่ี วกับอาสาสมัคร 6 2.3 ความหมายของแรงจงู ใจ 8 2.4 ทฤษฎีแรงจงู ใจ 8 2.5 ทฤษฎีสองปจั จยั ของเฮอรส์ เบอร์ก 9 2.6 พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 10 2.7 ระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา่ ด้วยกจิ การอาสาสมัครปอ้ งกันภัยฝ่ายพลเรอื น พ.ศ. 2553 11 2.8 งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 12 2.9 กรอบแนวคดิ การศึกษา 14 บทท่ี 3 วธิ ีดําเนินการศกึ ษา 15 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 15 3.2 เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 16 3.3 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 16 3.4 การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 17 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู 18 4.1 คา่ สถติ ิพื้นฐานเกี่ยวกบั กล่มุ ตัวอยา่ ง 18 4.2 คา่ สถิติพื้นฐานเกยี่ วกับแรงจงู ใจในการสมคั รเป็นอาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรือน 21

สารบญั จ บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ ราย หน้า 5.1 สรุปผลการศึกษา 25 5.2 การอภิปรายผล 25 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 26 5.4 ขอ้ เสนอแนะในการทําวจิ ัยคร้งั ตอ่ ไป 26 27 บรรณานุกรม ภาคผนวก ช หนงั สือขอความอนุเคราะห์ แบบสอบถาม ฌ แบบการเสนอโครงร่างการศึกษาวจิ ยั สว่ นบุคคล (Proposal) ญ ประวตั ผิ ูเ้ ขยี น ฐ ณ

สารบญั ตาราง ฉ หนา้ ตารางท่ี 1 แสดงจํานวนและรอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งทีเ่ ปน็ อาสาสมัครป้องกนั ภัย ฝา่ ยพลเรือน สงั กดั เทศบาลตาํ บลฟา้ หยาด อาํ เภอมหาชนะชยั จังหวดั ยโสธร 18 แยกตามเพศ 19 ตารางที่ 2 แสดงจาํ นวนและร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งอาสาสมคั รปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรือน สงั กดั เทศบาลตาํ บลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชยั จงั หวัดยโสธร 19 แยกตามอายุ 20 ตารางท่ี 3 แสดงจํานวนและรอ้ ยละของกลุม่ ตัวอย่างอาสาสมัครป้องกนั ภัยฝ่ายพลเรอื น สงั กดั เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชยั จังหวัดยโสธร 20 แยกตามอาชพี 21 ตารางที่ 4 แสดงจาํ นวนและร้อยละของกลุ่มตวั อย่างอาสาสมัครป้องกันภัยฝา่ ยพลเรือน สงั กัดเทศบาลตาํ บลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชยั จังหวดั ยโสธร 21 แยกตามสถานภาพ 22 23 ตารางท่ี 5 แสดงจํานวนและรอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งอาสาสมคั รปอ้ งกันภัยฝา่ ยพลเรือน 24 สงั กดั เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร 24 แยกตามการศกึ ษา ตารางที่ 6 แสดงจาํ นวนและร้อยละของกลมุ่ ตวั อยา่ งอาสาสมัครปอ้ งกนั ภัย ฝา่ ยพลเรอื น สงั กดั เทศบาลตาํ บลฟา้ หยาด อําเภอมหาชนะชัย จงั หวดั ยโสธร แยกตามรายได้ ตารางที่ 7 คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ของระดับแรงจูงใจของผู้สมคั ร เปน็ อาสาสมัครป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรอื น ดา้ นสวสั ดกิ ารและสิทธปิ ระโยชน์ ตารางที่ 8 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ของระดับแรงจูงใจของผ้สู มัครเป็น อาสาสมัครป้องกันภยั ฝ่ายพลเรือน ด้านเกียรติยศ/ชื่อเสยี ง ตารางที่ 9 ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ของระดบั แรงจงู ใจของผสู้ มคั รเปน็ อาสาสมคั รปอ้ งกนั ภัยฝา่ ยพลเรอื น ด้านการชว่ ยเหลือสงั คม ตารางท่ี 10 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ของระดับแรงจูงใจของผ้สู มคั รเปน็ อาสาสมัครป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรือน ด้านความสนใจสว่ นตวั ตารางท่ี 11 ค่าเฉล่ียและสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของระดับแรงจูงใจ ในภาพรวมทงั้ 4 ด้าน

1 บทท่ี 1 บทนํา 1.1 ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา ปัจจุบันภัยพิบัติท่ีเกิดข้ึนแต่ละครั้งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและความเสียหายมากขึ้นการ ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์มีความเร่งด่วนและมากเกินขีดความสามารถในการจัดการของหน่วยงานรัฐเพียง ด้านเดียว จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนอย่างเร่งด่วนท้ังงบประมาณ สิ่งของ และ กาํ ลังคน รฐั บาลจึงควรส่งเสรมิ การดําเนนิ การของภาคสว่ นตา่ งๆ โดยเฉพาะกลุ่มอาสาสมคั รใหเ้ ปน็ ระบบที่ มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยเหลือประชาชนและฟ้ืนฟูพ้ืนที่ประสบภัยให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และ บูรณาการการจดั การภยั พิบัตใิ หเ้ ป็นสว่ นหนึง่ ของกระบวนการพฒั นา โดยภาครัฐจะต้องสง่ เสริมระบบงาน อาสาสมัครของประเทศอย่างจรงิ จงั เหตกุ ารณ์พิบตั ิภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทยท่ีผ่านมา อาสาสมัครภาค ประชาชนรวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชนต่างๆ มีบทบาทท่ีสําคัญในการกู้ภัย การช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉิน การค้นหาผู้รอดชีวิต และการช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ประสบภัย โดยเป็นกําลังหนุนให้กับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีกําลังเจ้าหน้าท่ีจํากัด อย่างไรก็ตาม ในภาวะฉุกเฉินที่เกิดความวุ่นวาย ขาดการส่ังการอย่างเป็นระบบ การให้ความช่วยเหลอื และประสานงานจึงเป็นไปโดยขาดการบรู ณาการ ซง่ึ รฐั บาลควรวางระบบเพอื่ พฒั นา งานอาสาสมัครให้มีศักยภาพอย่างเต็มที่ และมีมาตรฐานตามหลักสากล นอกจากนั้น ภาครัฐควรจัดการ ภัยพิบัติโดยมุ่งเน้นการรวมพลังของชุมชน แม้ว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะเกินขีดความสามารถในการรับมือ โดยชุมชน แต่จากการศึกษา พบว่า ชุมชนท่ีมีความเข้มแข็ง และผู้ท่ีรอดชีวิตจากภัยพิบัติจํานวนหน่ึง ได้เปลี่ยนสถานภาพจากผู้ประสบภัยมาเป็นผู้ร่วมกอบกู้วิกฤติ และกลายเป็นกําลังสําคัญของการค้นหา และช่วยเหลือผู้รอดชีวิต เนื่องจากเป็นผู้ท่ีรู้จักบุคคลในชุมชน สภาพทางกายภาพ และส่ิงแวดล้อมของ พื้นท่ีดีที่สุด นอกจากน้ัน การสร้างโอกาสในการจัดการเพ่ือช่วยเหลือกันเองในค่ายท่ีพักชั่วคราว และการ ฟ้ืนฟูบูรณะชุมชน จะเป็นจุดเร่ิมต้นสําคัญที่ทําให้เกิดพลังในการพัฒนาชุมชนต่อไปในอนาคต ดังน้ัน จึงควรมีการวางระบบการฝึกอบรม เพ่ือสร้างองค์ความรู้เก่ียวกับการจัดการภัยพิบัติต่างๆ โดยมีชุมชน เป็นฐานการพัฒนาท่ีสําคัญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 (มาตรา 73) กําหนดให้บุคคลมีหน้าท่ีช่วยเหลือ ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติสาธารณะ ท้ังนี้ ตามท่ีกฎหมายบัญญัติ และพระราชบัญญัติป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 (มาตรา 41) บัญญัติให้ผู้อํานวยการจัดให้มีอาสาสมัครในพื้นที่ท่ี รับผิดชอบเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามท่ีผู้อํานวยการมอบหมายและตามระเบียบท่ีกระทรวงมหาดไทยกําหนด โดยการ บริหารและกํากับดูแลอาสาสมัคร การคัดเลือก การฝึกอบรม สิทธิ หน้าที่และวินัยของอาสาสมัคร ให้ เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้มี เคร่ืองแบบ เคร่ืองหมาย และบัตรประจําตัว สําหรับเจ้าพนักงานและอาสาสมัครเพื่อแสดงตัวขณะปฏิบัติ หนา้ ท่ีในการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย โดยให้เป็นไปตามแบบที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ต้องดําเนินการและจัดให้มีข้ึน เพ่ือให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในพ้ืนที่ ตามที่พระราชบัญญัติกําหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 ได้กําหนดอํานาจหน้าที่ไว้ประกอบกับพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550

2 ได้กําหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าท่ีป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตท้องถิ่นของตน โดยมผี ้บู ริหารท้องถิ่นแห่งพ้ืนท่นี ้นั เป็นผ้รู ับผดิ ชอบในฐานะผอู้ าํ นวยการทอ้ งถ่นิ กระทรวงมหาดไทย ซ่ึงมีภารกิจหน้าที่ในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชน ให้เล็งเห็น ความสาํ คัญของการมีสว่ นรว่ มของประชาชนในการเขา้ มาบรหิ ารจัดการสาธารณภัยในเขตพ้ืนท่ีของตนเอง และลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและสร้างความย่ังยืนในการจัดการสาธารณภัย ไดก้ าํ หนดนโยบายการเพม่ิ ศกั ยภาพ อปพร. ดังน้ี 1. ด้านปริมาณ ให้แต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมี อปพร. เพ่ือเตรียมพร้อมรับ สถานการณส์ าธารณภัยไวไ้ ม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 2 ของประชากรในแตล่ ะท้องถิน่ 2. ด้านคุณภาพ ให้แต่ละศูนย์ อปพร. อบต. เทศบาล เมืองพัทยา จัดให้มีการพัฒนา ศักยภาพ อปพร. โดยการฝึกอบรมทบทวน และพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน เช่น ด้าน การดับเพลิง/การกู้ชีพกู้ภัย/การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางนํ้า/การช่วยเหลือ ผปู้ ระสบภัยจากอบุ ตั ิเหตุทางถนน เปน็ ต้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยงานกลางของรัฐในการดําเนินการเก่ียวกับการ ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 โดยมีภารกิจในการวางแผน เฝ้าระวัง ป้องกัน เตือนภัย การปฏิบัติการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย ตลอดจนช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ประสบภัย และฟื้นฟูสภาพพ้ืนท่ีที่ได้รับความเสียหาย เพ่ือให้ ประชาชนมีความปลอดภัยจากสาธารณภัย ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รับผิดชอบงาน กิจการอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกิจการ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่าย พลเรือน พ.ศ. 2553 และพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย พ.ศ. 2550 หมวด 4 มาตรา 41 กําหนดให้ศูนย์ อปพร. กลาง จัดให้มีอาสาสมัครคัดเลือก ฝึกอบรม สิทธิ หนา้ ท่ี และวินัยของอาสาสมัครให้เป็นตามทร่ี ะเบยี บกระทรวงมหาดไทยกาํ หนด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะของศูนย์ อปพร. กลาง และ ศูนย์ อปพร. จังหวัด มี ความรับผิดชอบตามอํานาจหน้าท่ีของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย พ.ศ. 2550 และ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยกิจการอาสาสมัคร พ.ศ. 2553 ข้อ 16 (4) (6) และ(8) จัดให้มี การศึกษา ค้นคว้า วิจัย เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกิจการ อปพร. การติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของ อปพร.ทั่วราชอาณาจักร การประชาสัมพันธ์ผลงาน อปพร. และสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือเครื่องใช้ คมู่ อื ปฏบิ ตั ิงาน เอกสารและขา่ วสารเกย่ี วกับการบรหิ ารกจิ การ อปพร. มีกรอบแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1) การปรับปรุงงานทะเบียนข้อมูล อปพร. ให้เป็นปัจจุบัน โดยสํารวจและแก้ไขข้อมูล อปพร. ใน สังกัดศูนย์ อปพร. ทุกแห่ง ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงและสอดคล้องกับนโยบายเพิ่มจานวน อปพร. ร้อยละ 2 ของประชากร โดยขอรับการสนับสนุนฐานข้อมูลเลขประจาตัวประชาชนในระบบทะเบียน ราษฎรให้เช่อื มโยงกบั งานขอ้ มลู ทะเบียน อปพร. เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ถี กู ต้องและเกิดความรวดเร็ว 2) การปรับปรุงระบบการส่ังใช้ อปพร. ช่วยเหลือประชาชนท่ีประสบภัยพิบัติให้ทันต่อเหตุการณ์ และมีความต่อเนื่องทดแทนกําลังคนท่ีอ่อนล้าเม่ือเกิดภัยพิบัติในระยะเวลายาวนาน โดยให้ศูนย์ อปพร. ทุกแห่งตรวจสอบให้มี อปพร. ในสังกัด ท่ีสามารถสั่งใช้ปฏิบัติหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ศูนย์ละไม่น้อย กว่า 50 คน พรอ้ มทั้งพจิ ารณาส่ังใช้ อปพร. ตามความเหมาะสมและจําเป็นอยา่ งต่อเนอื่ ง 3) เร่งรัดการจัดสวัสดิการ อปพร. ให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว และถูกต้องตามระเบียบแบบแผน ของทางราชการ ได้แก่ การดําเนินงานตามพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัย เนื่องจากการช่วยเหลือ

3 ราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. 2543 การเสนอขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นท่ีสรรเสริญย่ิงดิเรกคุณาภรณ์ การคัดเลือก อปพร. ดีเด่น การคัดเลือก แมด่ ีเด่น การคัดเลือกอาสาสมคั รดเี ดน่ แหง่ ชาติ รวมถึงการประกวดศนู ย์ อปพร. ดเี ดน่ เปน็ ตน้ การศึกษาเรื่องแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน จึงเป็นเรื่องจําเป็น และสําคัญเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสาธารณภัยในเขตพ้ืนที่ของตน เพื่อสร้างความยั่งยืนในการจัดการสาธารณภัย และเพ่ือนําปัญหาอุปสรรคต่างๆไปเป็นแนวทางในการ ปรบั ปรงุ แก้ไข เพือ่ ให้ปฏิบัติงานดา้ นการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั มปี ระสทิ ธิภาพตอ่ ไป 1.2 วตั ถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพ่อื ศกึ ษาปจั จัยท่ีเป็นแรงจงู ใจตอ่ การสมคั รเป็นอาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝา่ ยพลเรอื น 2. เพอ่ื ศึกษาปัญหาอุปสรรคในการสมคั รเปน็ อาสาสมัครปอ้ งกนั ภัยฝา่ ยพลเรอื น 1.3 คําถามการวิจัย (Research Question) 1. สภาพทว่ั ไปที่แตกต่างกันมีผลตอ่ การสมัครเปน็ อาสาสมคั รปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรือนอยา่ งไร 2. แรงจงู ใจที่แตกตา่ งกันมีผลต่อการสมคั รเปน็ อาสาสมัครป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรอื นอย่างไร 1.4 ขอบเขตของการศกึ ษา การศึกษาคร้ังนี้เพ่ือนําผลการศึกษาไปใช้ในการศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็น อาสาสมคั รป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรอื น กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟา้ หยาด อาํ เภอมหาชนะชัย จงั หวดั ยโสธร โดยทําการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในเขตเทศบาลตําบล ฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชยั จงั หวัดยโสธร 1. ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในเขตเทศบาล ตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ปี 2557 จํานวน 120 คน (ข้อมูล : สํานักงานป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยจงั หวัดยโสธร 1.2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในเขต เทศบาลตําบลฟ้าหยาด เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ปี 2557 จํานวน 92 คน 1.3 การศึกษาครั้งน้ีโดยการใช้แบบสอบถามเพ่ือนําผลการศึกษาไปใช้เป็นแนวทางในการ สง่ เสรมิ ให้ประชาชนสมคั รเปน็ อาสาสมคั รปอ้ งกันภยั ฝ่ายพลเรอื น 2. ตวั แปรทศ่ี ึกษา 2.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ สถานภาพทั่วไปของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในเขต เทศบาลตาํ บลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง และปัจจัยด้านแรงจูงใจ 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ ด้านเกียรติยศ/ช่ือเสียง ด้านการช่วยเหลือสังคม และดา้ นความสนใจสว่ นตัว 2.2 ตัวแปรตาม คือ แรงจงู ใจในการสมคั รเป็นอาสาสมัครปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรอื น 3. ระยะเวลาการศึกษา 3 เดือน ( มกราคม – มีนาคม 2557)

4 1.5 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. “อปพร.” หมายความว่า อาสาสมคั รปอ้ งกนั ภยั ฝา่ ยพลเรอื น 2. “ศูนย์ อปพร.” หมายความวา่ ศนู ย์ อปพร. กลาง ศูนย์ อปพร. เขต ศนู ย์ อปพร. จงั หวัด 3. สาธารณภัย หมายถึง อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ํา การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอ่ืน ๆ อันมีผลกระทบ ตอ่ สาธารณชน ไมว่ ่าเกดิ จากธรรมชาติ มีผู้ทําให้เกิดขึ้น อุบัติเหตุ หรือเหตุอ่ืนใด ซึ่งก่อให้เกิด อันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนหรือของ รฐั และให้หมายความรวมถงึ ภยั ทางอากาศ และการกอ่ วนิ าศกรรม 4. ภัยพิบัติ หมายถึง ภัยอันเกิดแก่สาธารณชน ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ หรือ จากการกระทํา ของมนุษย์ โดยก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของประชาชน เกิดความสูญเสียหรือความเสียหายและ ผลกระทบในทางลบต่อทรัพย์สิน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม จนเกินขีดความสามารถชอง ชมุ ชนท่ีจะใชท้ รัพยากรของตนในการรับมอื และจัดการกับภัยพิบตั แิ ละผลกระทบของภยั พบิ ตั ไิ ด้ 1.6 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รบั 1. ทาํ ให้ทราบถงึ ขอ้ มลู สภาพทัว่ ไปของผู้ท่ีตดั สนิ ใจสมคั รเปน็ อาสาสมคั รป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรอื น 2. ทาํ ใหท้ ราบถึงแรงจูงใจและปัญหาอปุ สรรคที่มอี ทิ ธิพลต่อการตัดสินใจสมัครเปน็ อาสาสมคั ร ป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรอื นเพอ่ื นําเสนอตอ่ ผู้บริหารเพ่อื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการดําเนนิ งานด้าน อาสาสมัครปอ้ งกันภัยฝา่ ยพลเรือนต่อไป

5 บทที่ 2 แนวความคดิ ทฤษฏีและวรรณกรรมทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ผู้ศึกษา ได้นําแนวคิด ทฤษฎี และหลักการท่ี เก่ียวข้องกับหัวข้อการศึกษา ใช้อธิบายทําความเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็น อาสาสมัครป้องกนั ภัยฝ่ายพลเรอื น ดังตอ่ ไปนี้ แนวคดิ ทฤษฎี และวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วข้อง 1. ข้อมลู ท่ัวไปเทศบาลตําบลฟา้ หยาด 2. แนวความคิดเก่ียวกับอาสาสมคั ร 3. ความหมายของแรงจูงใจ 4. ทฤษฎีแรงจูงใจ 5. ทฤษฎสี องปจั จยั ของเฮอรส์ เบอร์ก (Herzberg’s Two-Factors Theory) 6. พระราชบญั ญัตปิ อ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั พ.ศ. 2550 7. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา่ ด้วยกิจการอาสาสมคั รป้องกันภยั ฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2553 8. งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้อง 9. กรอบแนวคิดการศกึ ษา 2.1 ข้อมลู ทัว่ ไปเทศบาลตาํ บลฟ้าหยาด เทศบาลตาํ บลฟา้ หยาดเดมิ เปน็ สขุ าภิบาลฟ้าหยาด ไดจ้ ัดตง้ั ขึ้นโดยพระราชบัญญัติเปล่ยี นแปลง ฐานะของสขุ าภิบาลเม่ือวันท่ี 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (เล่มที่ 116 ตอน 9 ก ลงวนั ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542) สภาพท่วั ไปของตาํ บล : เป็นพื้นทร่ี าบลมุ่ โดยเฉพาะบรเิ วณลุ่มนํ้าชี บางแห่งเปน็ ที่ดอนสูง ต่ําตามพ้นื ที่ ลักษณะดนิ ร่วน ปนทราย ความอุดมสมบูรณข์ องดินอย่รู ะดับปานกลาง อาณาเขตตําบล : ทิศเหนอื ติดกับ ต.บากเรอื อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร ทศิ ใต้ ติดกบั ต.คูเมอื ง อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร ทศิ ตะวนั ออก ติดกับ ต.ผอื ฮี อ.มหาชนะชยั จ.ยโสธร ทิศตะวนั ตก ตดิ กับ ต.หวั เมือง อ.มหาชนะชยั จ.ยโสธร ลกั ษณะทต่ี ง้ั และอาณาเขต เทศบาลตําบลฟ้าหยาดเป็นหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถ่ิน ในรูปแบบเทศบาลเพียงแห่ง เดียวในท้องท่ีเขตอําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธรต้ังอยู่บนฝ่ังทิศใต้และทิศตะวันออกของแม่นํ้าชี มีพื้นที่ 2.8 ตารางกิโลเมตรอยหู่ ่างจากตวั จังหวดั 41 กิโลเมตร

6 เขตการปกครองและบรหิ าร มหี มบู่ า้ นในเขตชุมชนเทศบาล จาํ นวน 5 หมู่บ้าน คือ หมทู่ ี่ 1 ชุมชนคุม้ โฮงเหนือวัดฟ้าหยาด หมทู่ ่ี 2 ชุมชนพระเรืองไชย หมูท่ ่ี 3 ชมุ ชนฝงั่ แดงพฒั นา หมู่ที่ 4 ชมุ ชนคุ้มวดั หอกอ่ ง หมู่ท่ี 5 ชมุ ชนคุม้ บา้ นกอ่ ประชากร เทศบาลตําบลฟ้าหยาดมีจํานวนประชากรทั้งหมด 5,232 คน เป็นชาย 2,626 คน เปน็ หญิง 2,606 คน จํานวนครวั เรอื นทัง้ หมด 1,469 ครัวเรือน อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน จํานวน120 คน การศึกษา ในเขตเทศบาลตําบลฟ้าหยาดมสี ถานศึกษาทัง้ หมด 4 แหง่ คอื โรงเรียนมหาชนะชัย โรงเรียนฟ้าหยาด ราษฎรน์ ิยม โรงเรยี นแก้วปญั ญาอปุ ถมั ภ์ ศนู ย์เดก็ กอ่ นเกณฑว์ ัดฟา้ หยาด เศรษฐกจิ ประชากรในเขตเทศบาลสว่ นใหญ่ประกอบอาชพี ค้าขาย เกษตรกรรม และประมง ผลติ ผลคือ ขา้ วหอม มะลิ และปลาเน้อื ออ่ น วัฒนธรรม เทศบาลตําบลฟ้าหยาดมปี ระเพณที อ้ งถิ่นทถี่ อื ปฏิบัติสบื ทอดกันมา คอื ประเพณเี ห่มาลยั ประเพณี บุญบั้งไฟ ประเพณสี งกรานต์ ประเพณแี ข่งเรือ ประเพณลี อยกระทง ขอ้ มูลอาชพี ของตําบล : อาชีพหลกั ทํานา,ทาํ สวน/ทําไร่ อาชีพเสรมิ หตั ถกรรมพื้นบ้าน,การประมง 2.2 แนวความคดิ เกย่ี วกับอาสาสมคั ร อาสาสมัคร (Volunteer) หมายถึง ผู้ที่สมัครใจทํางานเพ่ือประโยชน์แห่งประชาชนและสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงิน หรือส่ิงอ่ืนใด บุคคลท่ีอาสาเข้ามาช่วยเหลือสังคมด้วยความสมัครใจ เสียสละ เพ่ือช่วยเหลือผู้อ่ืน ป้องกัน แก้ไขปัญหาและ พัฒนาสังคม โดยไม่หวังส่ิงตอบแทน คุณสมบัติท่ี สําคัญของอาสาสมัครมี 3 ประการ คือ ทํางานด้วยความสมัครใจไม่ใช่ด้วยการถูกบังคับหรือเป็นเพราะ หน้าที่ เป็นงานเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมหรือสาธารณประโยชน์ และทําโดยไม่หวัง ผลตอบแทนเป็นเงนิ หรอื สิ่งของมมี ูลค่าแทนเงนิ

7 บทบาทของอาสาสมคั ร ภยั พิบตั ทิ เ่ี กดิ ขึน้ หลายกรณแี สดงใหเ้ หน็ อย่างเด่นชัดว่า รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถที่ จะรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติได้เพียงลําพัง ขณะท่ีองค์กรสาธารณประโยชน์และอาสาสมัครเป็นกําลัง สาํ คัญและมีส่วนอย่างมากที่ทาํ ใหก้ ารระดมความช่วยเหลอื มปี ระสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากหน่วยงานของ รัฐซ่ึงมีหน้าท่ีโดยตรง แม้จะมีอํานาจบังคับบัญชาชัดเจน แต่อัตรากําลังและงบประมาณ รวมท้ังข้ันตอน ของระบบราชการ ทําให้เกดิ ความล่าชา้ ในการเขา้ ไปชว่ ยเหลอื ผู้ประสบภัย 1) ปัจจัยส่งเสริมให้เกิดระบบอาสาสมัคร ได้แก่ เหตุการณ์ภัยพิบัติที่รุนแรงและระบบส่ือสาร โทรคมนาคมท่ีทันสมัย ทําให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้สึกร่วมและต้องการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ ผู้ประสบภัย จนก่อให้เกิดความต่ืนตัวในการทํางานอาสาสมัครอย่างมาก เหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 ท่ีเกิดข้ึนในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะอุทกภัยในเขตพื้นท่ีกรุงเทพมหานคร มีผู้ประสบภัยเป็น จํานวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นจํานวนมาก เช่นกัน ทั้งการกรอกกระสอบทรายเพ่ือนําไปก้ันในเขตพื้นท่ีนํ้าท่วม การจัดทําอาหารไปแจกจ่ายให้กับ ผู้ประสบภัย การกู้ชีพ กู้ภัยต่างๆ โดยเป็นการทํางานของภาคประชาชนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม ทั่วประเทศที่เน้นเสรมิ การทาํ งานของภาครฐั ให้สามารถเข้าถึงพ้ืนทไ่ี ด้รวดเรว็ และมีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น 2) ปัญหาและอุปสรรคของงานอาสาสมัคร ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ มักพบว่ามีอาสาสมัครจํานวน มากเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยโดยไม่มีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพรองรับ ขาดระบบประสานงาน และการส่ือสารข้อมูล ไม่มีผู้มอบหมายงานหลัก ทําให้อาสาสมัครไม่ทราบว่าควรจะทําหน้าที่อะไร หรือ ช่วยเหลือใคร ในขณะเดียวกัน อาสาสมัครแต่ละคนอาจไม่ได้รับการฝึกฝนเตรียมตัวมาก่อน ซึ่งแตกต่าง จากอาสาสมัครต่างประเทศท่ีค่อนข้างมีความพร้อมท้ังทักษะท่ีจําเป็นและอุปกรณ์สนับสนุน การขาด ทักษะที่จําเป็นในการช่วยเหลือ การกู้ภัย หรือด้านการแพทย์ฉุกเฉินอาจทําให้ผู้ประสบภัยตกอยู่ใน อันตรายมากขึ้น เชน่ การขนยา้ ยผปู้ ่วยอยา่ งไมถ่ กู วิธี เปน็ ตน้ 3) นโยบายส่งเสริมระบบอาสาสมัครของไทย มติคณะรัฐมนตรี วันท่ี 16 ตุลาคม 2549 เห็นชอบปฏญิ ญาอาสาสมัครไทยและนโยบายการพัฒนางานอาสาสมัคร โดยมีแนวทางขับเคลื่อนนโยบาย และมาตรการต่างๆ ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้วางกลไก กฎระเบียบเพื่อจัดตั้ง อาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซ่ึงมีจํานวน 1.2 ล้านคนท่ัวประเทศ โดยเน้นการสร้าง แรงจูงใจ และวางระบบสั่งการ รวมถึงโครงการ 1 ตําบล 1 ทีมกู้ภัย ซ่ึงดําเนินการจัดต้ังแล้ว 7,000 ตําบล นอกจากน้ัน ยังมีการอบรมอาสาสมัครเฝ้าระวังเรียกว่า มิสเตอร์เตือนภัยปฏิบัติงานในพ้ืนท่ีเส่ียงภัย หม่บู ้านละ 2 คน จํานวนประมาณ 20,000 คนท่วั ประเทศ 4) แนวทางการพัฒนาระบบอาสาสมัครเพ่ือการจัดการภัยพิบัติ รัฐควรให้การสนับสนุนท้ัง อาสาสมัครที่มีการจัดต้ังโดยหน่วยงานของรัฐ และอาสาสมัครภาคประชาชนซึ่งมีการขยายตัวเพ่ิมข้ึน อยา่ งมาก เพ่อื ให้อาสาสมัครสามารถมีอาสาสมัครสามารถมีบทบาทในทุกข้ันตอนของ การจัดการภัยพิบัติ คือการป้องกัน การบรรเทาผลกระทบ การเตรียมพร้อมการจัดการในภาวะฉุกเฉิน การช่วยเหลือบรรเทา ทุกข์ และการฟ้ืนฟูบูรณะรัฐจําเป็นต้องวางระบบเพ่ือส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาระบบอาสาสมัครใน ภาพรวม และยกระดบั มาตรฐานใหเ้ ปน็ ไปตามหลักสากล สรปุ แนวความคดิ ของผู้ศกึ ษา เห็นวา่ ภาครัฐควรมกี ารส่งเสรมิ การมีจติ อาสาของภาคประชาชนให้ มากข้ึนทง้ั ทีเ่ ปน็ รปู แบบ เช่น อาสาสมคั รป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรอื นและทไ่ี ม่เปน็ รูปแบบ เช่น การมีจิตอาสา ในดา้ นตา่ งๆ ทง้ั ในภาวะปกติและภาวะไม่ปกตเิ ช่นการประสบภยั เป็นตน้ เพือ่ ความสงบสขุ และความอยู่ ร่วมกนั อยา่ งมีจิตเผ่อื แผอ่ ันเป็นกศุ ลต่อกนั จะสรา้ งความสุขให้เกิดขนึ้ ในสังคมไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื

8 2.3 ความหมายของแรงจูงใจ Barelson and Steiner (1964 : 340 อ้างถึงโดย เกียรติศักดิ์ : 5) ให้ความหมายว่า การจูงใจ เป็นสภาพภายใน เปน็ ส่ิงกระตุ้นท่กี ่อให้เกดิ พลงั ทจ่ี ะชกั นาํ ใหก้ ารกระทําของมนุษย์ดาํ เนนิ ไปในทางท่ีจะทํา ใหบ้ รรลุถงึ เป้าหมายทีต่ ้องการ ชาญชัย อาจินสมาจาร (2535 : 76 อ้างถึงโดย เกียรติศักดิ์ : 5) ได้ให้ความหมายว่า แรงจูงใจ หมายถงึ อํานาจท้งั หมดทอี่ ยูใ่ นตัวบุคคล ซึง่ เป็นสาเหตทุ ่ที าํ ให้เขาต้องการก่อให้เกิดพฤตกิ รรมบางอย่าง พวงเพชร วัชรอยู่ (2537 : 2 อา้ งถงึ โดย เกยี รติศกั ด์ิ : 6) ไดใ้ ห้ความหมายวา่ แรงจูงใจหมายถงึ สิง่ ใดท่ีทําให้เกดิ พฤตกิ รรม หรือการกระทาํ นน้ั Vroom (1995 อ้างถึงโดย วจีธรรม :16-17) ได้ให้ความหมายของแรงจูงใจว่า หมายถึง กระบวนการในการควบคุมหรือครอบงําทางเลือก โดยบุคคลหรืออินทรีย์ตํ่าสุด (Lower Organisms) โดย ไม่เปดิ โอกาสให้เลือกทางเลอื กอนื่ ๆ ด้วยความสมคั รใจ เช่น เม่ือเราเกิดความรู้สึกหิว เราก็ต้องรับประทาน อาหาร เพอื่ สนองความต้องการของร่างกาย ซงึ่ ไมม่ โี อกาสเลือกทางเลอื กอื่นแต่อยา่ งใด ดวงพร หุตะเสวี (2544 : 15 อ้างถึงโดย พรรณิภา : 10) ได้ให้ความหมายของแรงจูงใจว่า แรงจูงใจเป็นสภาวะที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหน่ึง โดยเกิดจากส่ิงที่อยู่ภายใน เพื่อ บรรลุเป้าหมายทว่ี างไวโ้ ดยผา่ นกระบวนการเรียนรู้ ติน ปรัชญพฤทธ์ิ (2535 : 258 อ้างถึงโดย พรรณิภา : 11) ได้ให้ความหมาย การจูงใจ หมายถึง ระดับความพร้อมของพนักงานที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งระดับความพร้อมเกิดจาก ปจั จัยตา่ งๆ ความสําเร็จ การท่ีผลงานเปน็ ท่ียอมรบั ความรบั ผดิ ชอบ ความเจรญิ เติบโตส่วนบุคคลและงาน ในตวั ของมนั เอง ภายหลังความต้องการขน้ั พื้นฐาน เช่น เงนิ เดือน สภาพความมั่นคงในงาน และสภาพการ ทํางานได้รบั การตอบสนองแล้ว กล่าวโดยสรุป แรงจูงใจหมายถึง ส่ิงกระตุ้นภายในที่ก่อให้เกิดพลังขับเคล่ือนที่จะผลักดันหรือ ชกั นาํ ใหม้ นษุ ย์ดําเนนิ การหรอื มีพฤติกรรมไปในทางท่ีต้องการหรอื เพ่อื ให้บรรลุเปา้ หมายท่วี างไว้ 2.4 ทฤษฎแี รงจูงใจ ทฤษฎีลําดบั ข้นั ความต้องการของมาสโลว์ (วจีธรรม : 2550 หน้า 17-18, พรรณิภา : 14-15) อับราฮัม เอช มาสโลว์ (Abraham H.Maslow) ได้เสนอแนวคิดทฤษฎีว่า มนุษย์ทุกคนมีความต้องการอยู่ ตลอดเวลาอยา่ งไม่มที ี่ส้นิ สุด และเป็นความต้องการท่มี ากข้ึนเปน็ ลําดับขั้น ดังน้ี 1. ความต้องการพ้ืนฐานทางกายภาพและชีวภาพ (Basic Physiological and Biological Needs) เปน็ ความตอ้ งการเบอ้ื งตน้ เพ่อื การอยรู่ อด เชน่ อาหาร ทอ่ี ยูอ่ าศยั เปน็ ต้น 2. ความต้องการในความปลอดภัยและความม่ันคง (Safety, Security Needs) เป็นเร่ือง การป้องกันเพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ท่ีจะเกิดข้ึนกับร่างกาย ความ เจบ็ ปวด และความสูญเสยี ทางเศรษฐกจิ 3. ความต้องการในทางสังคม ความรักใคร่และความเป็นเจ้าของ (Social, Affiliative and Belonging Needs) เม่ือความต้องการทางร่างกายและความปลอดภัยได้รับการ ตอบสนองแล้ว ความต้องการทางสังคมจะเร่ิมเป็นสิ่งจูงใจท่ีสําคัญต่อพฤติกรรมของคน เพราะคนมนี สิ ยั ชอบอยู่ดว้ ยกันเปน็ กลุ่ม

9 4. ความต้องการทจ่ี ะประสบความสาํ เร็จสงู สุดหรือความตอ้ งการประจักษต์ น (Self- Actualization, Self - Fulfillment Needs) เปน็ ความต้องการระดับสูง เป็นความ ตอ้ งการความมน่ั ใจตนเอง ในความรู้ ความสามารถ เปน็ ความตอ้ งการใหผ้ ู้อืน่ ยกยอ่ ง สรรเสรญิ และความต้องการมฐี านะเด่นในสงั คม 5. ความต้องการท่จี ะได้รบั การยกย่องและเปน็ ที่ยอมรับ (Esteem, Recognition Needs) เป็นความต้องการรับสงู สุด เป็นความต้องการความสาํ เรจ็ จากทกุ สิ่งทกุ อยา่ งตามความ นกึ คิดของตนเอง ควรจะผลักดนั ชีวิตของตนเองให้เปน็ ไปในทางท่ดี ีท่ีสุดตามความคาด หวายไว้ และสง่ิ นีย้ ่อมจะขึ้นอยู่กบั ขีดความสามารถของตนเอง 2.5 ทฤษฎีสองปจั จัยของเฮอรส์ เบอรก์ (Herzberg’s Two-Factors Theory) ยงยทุ ธ (2547 : 131-133 อ้างถึงโดย ชูยศ 2553 : 9) กลา่ วถึง ทฤษฎีสองปจั จัยของเฮอร์สเบอรก์ วา่ ความพึงพอใจในงานทีท่ าํ จะเปน็ สงิ่ จงู ใจที่เหมือนผลการปฏบิ ตั งิ านที่ดี โดยมีองค์ประกอบสาํ คัญ 2 ประการ คอื ปจั จยั จงู ใจ (Motivator Factors) เปน็ ปจั จัยทีเ่ กยี่ วข้องกับงานโดยตรง ซงึ่ จะเปน็ ตัวกระต้นุ ให้เกิด ความพอใจและเป็นแรงจงู ใจให้บคุ คลในองคก์ รปฏบิ ตั ิงานได้อยา่ งมีประสิทธิภาพมากยง่ิ ขึน้ ประกอบด้วย 1) ความสาํ เรจ็ ในการทํางาน (Achievement) หมายถงึ การท่บี ุคคลสามารถทางานไดเ้ สร็จส้ินและ ประสบผลสําเร็จอยา่ งดี ความสามารถในการแก้ปัญหาตา่ งๆ การรู้จกั ปอ้ งกนั ปัญหาทจ่ี ะเกิดขนึ้ และเมือ่ สาํ เรจ็ เกดิ ความร้สู กึ พอใจในผลสําเรจ็ ของงานนั้นอย่างยงิ่ 2) การไดร้ บั การยอมรับนบั ถือ (Recognition) หมายถึง การไดร้ ับการยอมรับ นบั ถอื ไมว่ ่าจาก ผบู้ งั คับบัญชา หรอื จากบคุ คลในหนว่ ยงาน รวมทง้ั การยกย่องชมเชยแสดงความ ยินดี การให้กาํ ลังใจหรอื การแสดงออกอื่นใดแสดงใหเ้ ห็นถงึ การยอมรับในความสามารถ 3) ลกั ษณะของงาน (Work Itself) หมายถงึ งานที่ทา้ ทายความสามารถหรือเปน็ งานทีอ่ าศยั ความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ คดิ ค้นส่งิ ใหมๆ่ เป็นงานทมี่ ีลักษณะพิเศษต้องใชค้ วามสามารถเฉพาะตัวในการทาํ งาน 4) ความรับผิดชอบ (Responsibility) หมายถงึ ความพงึ พอใจทเี่ กิดขึน้ จากการได้รบั มอบหมายให้ รับผดิ ชอบและมีอํานาจรับผดิ ชอบไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี ไมค่ วบคุมมากเกนิ ไปจนขาดความเปน็ อิสระในการทาํ งาน 5) ความก้าวหน้า (Advancement) หมายถึง เมื่องานประสบความสาํ เรจ็ ก็ไดร้ บั การตอบสนองในเรอ่ื ง ของการไดร้ ับเลื่อนข้นึ เลือ่ นตําแหน่งใหส้ ูงขึน้ รวมทัง้ มีโอกาสได้ศกึ ษาหาความรู้เพม่ิ เติม หรือไดร้ บั การ ฝกึ อบรม ปจั จยั สขุ อนามยั (Hygiene Factors) เป็นปจั จัยที่มใิ ชส่ ง่ิ จูงใจโดยตรงในการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพในการ ทาํ งาน ตลอดจนไมเ่ ปน็ สิง่ กระตุน้ ใหบ้ ุคคลกระตอื รือรน้ ในการทํางานมาก ยิง่ ขนึ้ แตเ่ ป็นข้อกาํ หนด เบอื้ งตน้ ทจี่ ะป้องกันไม่ใหบ้ ุคคลเกดิ ความไม่พอใจในการทาํ งาน ซงึ่ สาเหตอุ นั เกดิ จากสภาพแวดลอ้ ม โดยไมเ่ ก่ยี วข้องกับสว่ นประกอบของงานประกอบด้วย 1) นโยบายการบรหิ ารขององค์กร (Company Policies and Administration) หมายถงึ การจัดการและ บรหิ ารงานขององค์การ ซ่งึ จะตอ้ งมีนโยบายอย่างชดั เจน มีการแบ่งงาน ไม่ซาํ้ ซ้อน มคี วามเปน็ ธรรม 2) การปกครองบังคับบญั ชา (Supervision) หมายถงึ ความสามารถของผู้บงั คับบญั ชาในการดําเนินงาน หรอื ความยตุ ิธรรมในการบรหิ าร รวมถงึ การมีความรคู้ วามสามารถในการแกป้ ญั หาใหค้ ําแนะนําในการ ทํางานแก่ผู้ใตบ้ งั คับบญั ชาได้

10 3) ความสมั พนั ธข์ องผบู้ ังคับบัญชา เพอ่ื นร่วมงาน และผูใ้ ต้บังคับบญั ชา (Relationship with Supervisors, Peers and Subordinates) หมายถึง การตดิ ต่อ รวมทั้งไมว่ า่ จะเปน็ กริ ยิ าหรอื วาจาที่ แสดงความสัมพนั ธอ์ ันดีตอ่ กัน สามารถทาํ งานร่วมกันและมีความเขา้ ใจซงึ่ กนั และกนั 4) สภาพการทํางาน (Working Condition) หมายถึง สภาพทางกายภาพของงาน เชน่ แสง เสียง อากาศ ช่ัวโมงการทาํ งาน รวมทัง้ ลักษณะสง่ิ แวดลอ้ มอน่ื ๆ เช่น อปุ กรณ์หรอื เครอื่ งมอื ต่างๆ ทใ่ี ชใ้ นการปฏิบตั ิงาน 5) เงนิ เดือน (Salary) หมายถงึ คา่ ตอบแทน สวัสดกิ าร หรือผลประโยชนท์ ี่ได้รบั เหมาะสมกับงานทท่ี าํ 6) ความม่นั คงในงาน (Job Security) หมายถงึ ความรูส้ ึกของบุคคลทม่ี ตี อ่ ความ มัน่ คงในการทํางาน ความมั่นคงขององค์การ หรือความยั่งยนื ของอาชพี 7) ตาํ แหน่งงาน (Status) หมายถึง อาชพี นั้นเป็นทีย่ อมรบั นบั ถอื ของสงั คม มีเกียรตแิ ละศกั ดศ์ิ รี 2.6 พระราชบญั ญตั ิป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 สาระสําคัญ 1) มขี อบเขตการดําเนนิ การปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยครอบคลมุ เร่ืองอุบัติภัยและอัคคีภัยด้วย โดยยกเลกิ พ.ร.บ.ป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรือน พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ป้องกันและระงบั อัคคภี ัย พ.ศ.2542 2) กําหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) ซ่ึงมี นายกรฐั มนตรหี รือรองนายกรฐั มนตรีซ่งึ นายกรฐั มนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ทําหน้าที่กําหนดนโยบาย ในการจัดทําแผน และพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ก่อนเสนอคณะรฐั มนตรี 3) กําหนดใหม้ กี ารจดั ทําแผนการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั 3 ระดบั ดังนี้ (3.1) แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย จัดทําร่วมกับหน่วยงานของรัฐท่ีเก่ียวข้องตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภท และหน่วยงานภาคเอกชนเสนอ กปภ.ช. ให้ความเหน็ ชอบก่อนเสนอคณะรฐั มนตรเี พอ่ื อนมุ ัติ (3.2) แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด จัดทําโดยคณะกรรมการซ่ึงผู้ว่า ราชการจงั หวัดเป็นประธานและเป็นผู้ลงนามประกาศใช้ (3.3) แผนการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย กรงุ เทพมหานครจัดทาํ โดยคณะกรรมการซง่ึ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเปน็ ประธานและลงนามประกาศใช้ 4 ) การบญั ชาการ (4.1) กรณีเกิดสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง กําหนดให้ นายกรัฐมนตรี หรือ รองนายกรฐั มนตรี ซึ่ง นายกรฐั มนตรี มอบหมายเปน็ ผบู้ ัญชาการ (4.2) กรณีสาธารณภัยทั่วไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บัญชาการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นผู้บัญชาการ โดยมี ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรองผู้บัญชาการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ 5) การอํานวยการ กําหนดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยงานกลางของรัฐใน การดาํ เนนิ การเก่ยี วกับการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั ของประเทศ 6) การปฏิบัติ (6.1) อธิบดีกรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั เป็นผ้อู ํานวยการกลาง รับผิดชอบในการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยท่วั ราชอาณาจกั ร

11 (6.2) ผู้วา่ ราชการจังหวัดเป็นผู้อํานวยการจังหวัด โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นรองผ้อู าํ นวยการจงั หวดั (6.3) นายอาํ เภอ เปน็ ผอู้ าํ นวยการอาํ เภอ (6.4) ผู้บริหารท้องถ่ินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แห่งพื้นที่เป็นผู้อํานวยการท้องถิ่น มี หน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตท้องถ่ินของตน และมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อํานวยการจังหวัด และ ผู้อํานวยการอําเภอตามที่ได้รับมอบหมาย โดยมีปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถน่ิ แหง่ พ้ืนท่ีนน้ั เป็นผูช้ ว่ ยผูอ้ ํานวยการท้องถน่ิ (6.5) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้อํานวยการกรุงเทพมหานคร โดยมีปลัด กรุงเทพมหานคร เป็นรองผูอ้ ํานวยการฯ และผอู้ าํ นวยการเขตเป็นผชู้ ่วยฯ (6.6) ให้ผู้อํานวยการมีอํานาจแต่งต้ังเจ้าพนักงานเพ่ือปฏิบัติหน้าท่ีในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภยั ในเขตรบั ผดิ ชอบ (6.7) ใหค้ งอาสาสมคั รป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรือน หรือ อปพร. 7) ความสมั พนั ธก์ ับหนว่ ยงานทเี่ ก่ียวข้อง กาํ หนดให้หนว่ ยงานท่ีเก่ียวข้อง ทั้งหนว่ ยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน เข้ามามี ส่วนร่วม ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกําหนดให้มีอาสาสมัคร และ องคก์ ารสาธารณกุศลเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งนี้ กําหนดให้หน่วยทหารเข้า มามีส่วนร่วมตั้งแต่ข้ันตอนการจัดทําแผน และกรณีเกิดสาธารณภัยข้ึน หากต้องมีหน่วยทหารเข้าร่วม ดําเนินการ กําหนดให้ต้องจัดทําเป็นบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้อํานวยการจังหวัดหรือผู้อํานวยการ กรงุ เทพมหานคร กับผบู้ ญั ชาทหารในเขตพน้ื ท่ีท่เี ก่ยี วขอ้ ง 2.7 ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย ว่าดว้ ยกจิ การอาสาสมคั รป้องกนั ภัยฝ่ายพลเรอื น พ.ศ. 2553 สรุปสาระสาํ คัญ 1) มีขอบเขต กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่าย พลเรือน และยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2522 และระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา่ ดว้ ยหนว่ ยอาสาสมคั รป้องกนั ภัยฝา่ ยพลเรือน พ.ศ. 2547 และท่ีแกไ้ ขเพิม่ เตมิ 2) ปลดั กระทรวงมหาดไทยเป็นผรู้ กั ษาการตามระเบียบน้ี 3) ให้มีคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนกลาง ประกอบด้วย อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นประธานกรรมการ มีหน้าท่ี กําหนดนโยบายและ แนวทางการบริหารกิจการศูนย์ อปพร. เสนอแนวทางและมาตรการเก่ียวกับการดําเนินการ อปพร. และ กาํ กับ ดแู ล และสนบั สนนุ การดาํ เนนิ งานของศนู ย์ อปพร. 4) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์ อปพร. จังหวัด ประกอบด้วยผู้ว่าราชการ จังหวัดเป็นประธานกรรมการ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นรองประธานกรรมการ มีผู้แทนองค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ในเขตจงั หวัด ตามจํานวนทีผ่ ูว้ ่าราชการจงั หวดั เหน็ สมควร ร่วมเป็นกรรมการ หัวหน้า สาํ นกั งานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเป็นกรรมการและเลขานุการ มีหน้าท่ีกําหนดยุทธศาสตร์ และแนวทางการดําเนินงานกิจการ อปพร. ให้การสนับสนุนส่งเสริมและกํากับดูแลการดําเนินงานของ ศนู ย์ อปพร. ภายในเขตจงั หวดั และกาํ หนดหลักเกณฑ์ วธิ กี ารดาํ เนินงานที่เก่ยี วกับกิจการ อปพร. ท่ีไม่ขัด หรอื แย้งกบั ท่ีศูนย์ อปพร.กลางกําหนด

12 5) ให้ผู้อํานวยการท้องถิ่น เป็นผู้อํานวยการศูนย์ อปพร. มีอํานาจหน้าที่สั่งการ ควบคุม และ กํากับดูแล เจ้าหน้าที่ประจําศูนย์ อปพร. และอปพร. ในสังกัด ตลอดจนให้การสนับสนุนการดําเนินกิจการ อปพร.ภายในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสนับสนุนศูนย์ อปพร. ข้างเคียงในการป้องกันและบรรเทา สาธารณภยั 6) ให้ศูนย์ อปพร. เทศบาล อบต. เขตในกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา จัดตั้งฝ่ายต่างๆ ดังนี้ (6.1) ฝ่ายป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั (6.2) ฝา่ ยรักษาความสงบเรียบรอ้ ย (6.3) ฝ่ายสงเคราะห์ผู้ประสบภัย (6.4) ฝา่ ยปฏิบัตกิ ารก้ชู ีพ กภู้ ัย (6.5) ฝ่ายอน่ื ๆ ตามความจาํ เป็น 7) ให้ผู้อํานวยการศูนย์ อปพร. เทศบาล ผู้อํานวยการศูนย์ อปพร. องค์การบริหารส่วนตําบล ผู้อํานวยการศูนย์ อปพร.เขตในกรุงเทพมหานคร และผู้อํานวยการศูนย์ อปพร. เมืองพัทยา เป็นผู้รับ สมคั รและคัดเลอื กบุคคลเข้าเปน็ อปพร. ในสงั กดั ของตน 8) คุณสมบตั ิของ อปพร. และลักษณะตอ้ งห้าม (8.1) มีสญั ชาตไิ ทย (8.2) มีอายไุ มต่ า่ํ กวา่ สิบแปดปบี ริบูรณ์ (8.3) มภี มู ิลําเนาหรอื ถ่ินท่ีอยู่ในเขตศนู ย์ อปพร. นัน้ (8.4) เลื่อมใสการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย อนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข (8.5) ไมเ่ ปน็ คนไรค้ วามสามารถ หรอื คนเสมือนไรค้ วามสามารถ หรือคนวิกลจริต (8.6) ไม่เป็นผูเ้ สื่อมเสียในทางศลี ธรรม หรือในทางทจุ ริต หรือเป็นภยั ต่อสงั คม ผู้สมัครท่ีได้รับคัดเลือกว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามท่ีกําหนด ต้อง เขา้ รับการฝึกอบรมหลกั สตู รการฝึกอบรม อปพร. จงึ จะไดร้ ับการขน้ึ ทะเบยี นเป็น อปพร. 9) อปพร. มีหน้าท่ีปฏิบัติการตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาและเจ้าพนักงานในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย มีสิทธิในการแต่งเครื่องแบบ อปพร. ใช้วิทยุส่ือสารของทางราชการในการปฏิบัติ หน้าท่ีตามที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรและได้รับการคุ้มครองตามระเบียบและกฎหมายในการ ปฏิบตั ิหน้าท่ีปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยและหน้าที่อ่ืนตามท่ีได้รับมอบหมาย ตามกฎหมายว่าด้วยการ ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย 2.8 งานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ ง 4.1 อํานวย (2556) ได้จัดทํารายงานการศึกษาเรื่อง สมรรถนะของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่าย พลเรือน (อปพร.) ด้านกู้ชีพกู้ภัย กรณีศึกษาในเขตพื้นท่ีอําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล เพศ สถานภาพ รายได้เฉล่ียต่อเดือน/อัตราเงินเดือน และการได้รับการฝึกอบรม เพิ่มเติม มีความแตกต่างกันในการปฏิบัติงานกู้ชีพกู้ภัยอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ โดยเพศหญิงมีระดับ สมรรถนะในการปฏิบัติงานกู้ชีพกู้ภัยของ อปพร. สูงกว่าเพศชาย ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมเพ่ิมเติมมีระดับ สมรรถนะในการปฏิบัติงานกู้ชีพกู้ภัยสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรม ปัจจัยด้านสถานการณ์ รายได้เฉล่ีย ต่อเดือน/อตั ราเงนิ เดอื น ทแ่ี ตกต่างกนั มีสมรรถนะในการปฏบิ ัติงานกู้ชีพกู้ภยั ในภาพรวมแตกต่างกัน

13 4.2 ทัศนี (2540 อ้างถึงโดยชูยศ 2553 : 12) ได้ศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการจูงใจในการ ปฏิบัติงานของบุคลากรของสํานักงานตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 3 จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษา ปัจจัยจูงใจ พบว่า มีปัจจัยการจูงใจเกี่ยวกับความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับนับถือ ลักษณะงาน ความรับผิดชอบ และโอกาสมีความก้าวหน้า น้ัน บุคลากรส่วนใหญ่ให้ระดับความคิดเห็นปานกลาง แนวโนม้ มรี ะดับคอ่ นข้างดี ซงึ่ แสดงวา่ การบรหิ ารงานมผี ลต่อการปฏิบัติงานที่ประสบความสําเร็จค่อนข้าง สงู อันเปน็ ผลมาจากการทผ่ี ้บู ังคับบัญชาและผู้ใต้บงั คบั บัญชา มคี วามร่วมมือ ความรักสามัคคี และ ตง้ั ใจที่ จะปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบาย ผลการศกึ ษาปจั จัยบํารุงรกั ษา พบวา่ มีปจั จัยบํารุงรักษาเกี่ยวกับ การ ควบคุมบังคับบัญชา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล นโยบายและการบริหารงาน สภาพการทํางานและ ผลตอบแทนเมื่อพิจารณาแล้วมีบุคลากรส่วนใหญ่ให้ระดับความคิดเห็น ปานกลาง แนวโน้มความพอใจ ค่อนข้างต่ํา โดยเฉพาะปัจจยั ดา้ นสภาพการทํางาน และปจั จัยด้าน ผลตอบแทน 4.3 เจนติมาศ (2552) ได้ศึกษา การมีส่วนร่วมของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรณีศึกษา : อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ผลการศึกษา พบว่า ระดับการรับข้อมูลข่าวสารในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่าย พลเรือนในเขตอําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ปี 2552 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก รายการ เรียงตามลําดับได้ดังนี้ รับข้อมูลข่าวสารในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากเอกสารเผยแพร่/ แผ่นพับ จากหอกระจายข่าวในชุมชน จากสถานีโทรทัศน์ จากสถานีวิทยุกระจายเสียง จากเจ้าหน้าที่ของ รัฐ / เทศบาล / หน่วยงาน จากหนงั สอื พมิ พ์ / วารสารตา่ ง ๆ จากวิทยสุ อ่ื สาร ระดบั การมีส่วนรว่ มในการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในเขตอําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวดั ศรสี ะเกษ ปี 2552 โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก เรียงตามลาํ ดบั ได้ดงั นี้ ร่วมอบรม / ประชุมใน ชุมชน ร่วมรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุ ในช่วงเทศกาล ปีใหม่/สงกรานต์ ร่วมวางแผนในการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย รว่ มเปน็ คณะกรรมการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของชุมชน เมื่อไปติดต่อ งานกับสํานักงานป้องกันและบรรเทาภัยเจ้าหน้าท่ีได้ให้การต้อนรับและสามารถแนะนําให้ความรู้ เพ่ือให้ เข้าใจถงึ ข้ันตอนการปฏิบตั ิงานรว่ มให้ขอ้ มลู ในการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย

2.9 กรอบแนวคิดการศกึ ษา 14 ปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน : กรณีศึกษา เทศบาลตําบล ฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ดงั นี้ ตวั แปรอสิ ระ สภาพทว่ั ไป ตัวแปรตาม - เพศ แรงจงู ใจในการสมัคร - อายุ เปน็ อาสาสมคั รป้องกันภยั - สถานภาพการสมรส - อาชพี ฝา่ ยพลเรอื น - ระดบั การศึกษา - รายได้ ปจั จยั - ด้านสวสั ดกิ ารและสิทธิ ประโยชน์ - ด้านเกียรติยศ/ชือ่ เสยี ง - ดา้ นการช่วยเหลอื สงั คม - ด้านความสนใจสว่ นตวั

บทท่ี 3 15 วธิ ดี าํ เนินการศกึ ษา การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีมีผล ต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อาํ เภอมหาชนะชยั จังหวดั ยโสธร มรี ายละเอียดเกีย่ วกับการดําเนินการศกึ ษา ดงั น้ี 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 2. เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 3. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 4. การวเิ คราะหข์ ้อมลู 3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1. ประชากร ประชากรท่ีศึกษา คืออาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ในเขตพ้ืนที่เทศบาลตําบล ฟา้ หยาด จาํ นวนท้ังส้ิน 120 คน (ข้อมูลจากสํานักงานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั จงั หวดั ยโสธร) 2. กลมุ่ ตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ คือ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ในเขตพื้นท่ี เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จงั หวดั ยโสธร จํานวนทั้งส้ิน 92 คน การกําหนดขนาดตัวอย่าง และการสมุ่ ตวั อยา่ งมีขั้นตอน ดังน้ี 1) การคํานวณหาค่าขนาดตัวอย่าง (Sample Size) โดยให้สูตรของ Taro Yamane ดังนี้ N= N 1 + Ne2 เมอื่ n = ขนาดตัวอย่าง N = จํานวนประชากรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา e = ความผดิ พลาดที่ยอมรับได้ (ในการวจิ ยั ครัง้ นกี้ ําหนดใหม้ ี คา่ เท่ากบั 0.05) แทนคา่ n = 120 1+120 (0.05)2 =92 คน ดงั นั้น กลุ่มตวั อยา่ งท่จี ะทาํ การศึกษาในการวจิ ัยครงั้ น้ี จํานวน 92 คน 2) จํานวนตัวอย่างท่ีต้องไปเก็บจริงจํานวน 92 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) สมุ่ ตวั อยา่ งประชากรจนครบตามที่กาํ หนด

16 3.2 เคร่อื งมือที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยมี วิธีสร้างเครอ่ื งมอื และตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมือ ดังน้ี 1) ทบทวนวรรณกรรมเกยี่ วกับแนวคดิ ทฤษฎี นิยามศัพท์ และงานวิจัยที่เก่ียวข้องตลอดจน พิจารณาแบบสอบถามของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วนํามาสร้างแบบสอบถามให้สอดคล้องและครอบคลุม วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 2) นําแบบสอบถามให้อาจารย์ท่ีปรึกษา ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) เพื่อใหค้ รอบคลมุ ในแตล่ ะด้าน และครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 3) ไดแ้ บบสอบถามฉบบั สมบูรณ์ เคร่ืองมือในการวิจัยคร้ังน้ี คือแบบสอบถามเก่ียวกับปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร แบง่ ออกเปน็ 2 ตอน คอื ตอนท่ี 1 ข้อมูลสภาพท่วั ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพการสมรส อาชีพ ระดบั การศกึ ษา รายได้ เปน็ แบบเลอื กตอบ (Check List) จาํ นวน 6 ข้อ ตอนที่ 2 แบบสอบถามด้านแรงจูงใจ เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ประกอบดว้ ย 4 ดา้ น ดังนี้ 1) ดา้ นสวสั ดกิ ารและสิทธปิ ระโยชน์ 2) ด้านเกียรตยิ ศชอ่ื เสยี ง 3) ดา้ นการชว่ ยเหลือสงั คม 4) ดา้ นความสนใจส่วนตัว 3.3 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผู้ศึกษาดําเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ตามลาํ ดับข้ันตอน ดังน้ี 1) ผู้ศึกษาส่งแบบสอบถามให้กับเทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร เพอื่ ขอความอนุเคราะห์ นาํ ไปทอดแบบสอบถามใหก้ บั กล่มุ ตวั อยา่ ง ดว้ ยวิธีแบบสุ่มตัวอย่างและผู้ศึกษาจะ ขอเก็บคนื ในอกี 10 วัน 2) ผู้ศึกษานําแบบสอบถามที่ตอบคืนมาได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมด 92 ชุด แล้วนําไปวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป การวิจัยดําเนินการ โดยการส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ไปยังเทศบาลตําบลฟ้าหยาด และให้ เทศบาลตําบลฟ้าหยาดทอดแบบสอบถามให้กับอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแล้วส่งให้ผู้วิจัยกลับทาง ไปรษณยี ์เชน่ กนั

17 3.4 การวิเคราะหข์ ้อมลู ผู้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเคร่ืองคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปสถิติ ที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพการสมรส อาชพี ระดับการศึกษา รายได้ เป็นแบบเลอื กตอบ (Check List) จํานวน 6 ขอ้ โดยแจกแจงความถ่ีและคํานวณคา่ ร้อยละ 2) ตอนท่ี 2 แบบสอบถามดา้ นแรงจูงใจ แบง่ ออกเปน็ 4 ด้าน ประกอบด้วย (1) ด้านสวัสดกิ ารและสทิ ธปิ ระโยชน์ (2) ด้านเกียรตยิ ศ/ชอ่ื เสยี ง (3) ด้านการชว่ ยเหลือสังคม (4) ด้านความสนใจสว่ นตวั แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) จํานวน 5 ข้อ โดยการคํานวณหาค่าเฉล่ีย ( x ) และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) แบบสอบถามมีลักษณะเปน็ 5 ระดับ ดังนี้ ความคิดเห็น ระดบั คะแนน มากทสี่ ุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 น้อย 2 นอ้ ยท่ีสุด 1 แล้วนําค่าเฉล่ีย (mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และแปลความหมายของคะแนนเฉล่ีย เทียบตามเกณฑ์ เกณฑใ์ นการแปลผลคะแนน คา่ เฉลีย่ 4.51 - 5.00 หมายถึง มแี รงจูงใจในระดบั มากที่สดุ ค่าเฉลย่ี 3.51 - 4.50 หมายถงึ มีแรงจูงใจในระดับมาก คา่ เฉลี่ย 2.51 - 3.50 หมายถึง มีแรงจงู ใจในระดบั ปานกลาง ค่าเฉล่ยี 1.51 - 2.50 หมายถงึ มีแรงจูงใจในระดบั นอ้ ย คา่ เฉล่ยี 1.00 - 1.50 หมายถึง มแี รงจูงใจในระดับนอ้ ยทีส่ ุด 3) นําผลท่ีได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร รวบรวมประมวลเน้ือหาแล้วจัดเรียงลําดับ แยกเป็นด้าน ๆ และเป็นรายข้อนําเสนอ ค่าเฉล่ียตามผลการวเิ คราะหต์ อ่ ไป

18 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู จากการสํารวจข้อมูลด้วยแบบสอบถามเร่ือง “ปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็น อาสาสมัครปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรือน กรณีศกึ ษา : เทศบาลตาํ บลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร จํานวน 92 ชุด ได้รับคืน 92 ชุด คิดเป็นร้อยละ 100 หลังจากที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ คํานวณตามหลักสถิติได้เรียบร้อยแล้ว จึงนําเสนอด้วยตารางประกอบความเรียงของผลการวิเคราะห์ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยมัชฌิมาเลขคณิต ( x ) ส่วนเบ่ียงมาตรฐาน (S.D.) การนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล นําเสนอเป็นลาํ ดบั ดงั น้ี 1. คา่ สถิตพิ น้ื ฐานเกยี่ วกับกล่มุ ตัวอยา่ ง 2. คา่ สถิติพ้นื ฐานเกี่ยวกับแรงจงู ใจในการสมัครเป็นอาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรอื น 2.1 ดา้ นสวัสดิการและสิทธปิ ระโยชน์ 2.2 ด้านเกยี รตยิ ศ/ช่ือเสยี ง 2.3 ดา้ นการช่วยเหลอื สังคม 2.4 ดา้ นความสนใจสว่ นตวั 4.1 ค่าสถิติพ้ืนฐานเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง ที่เป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สังกัด เทศบาลตําบลฟา้ หยาด อําเภอมหาชนะชัย จงั หวดั ยโสธร ตารางที่ 1 แสดงจาํ นวนและร้อยละของกลุม่ ตวั อย่างทีเ่ ป็นอาสาสมคั รป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สงั กดั เทศบาลตาํ บลฟา้ หยาด อําเภอมหาชนะชัย จงั หวัดยโสธร แยกตามเพศ เพศ กลมุ่ ตวั อย่าง (n=92) จาํ นวน รอ้ ยละ ชาย 46 50.00 หญงิ 46 50.00 รวม 92 100.00 จากตารางที่ 1 เม่ือพิจารณากลุ่มตัวอย่างระหว่างเพศชายและเพศหญิง พบว่า กลุ่มตัวอย่าง เปน็ เพศชายและเพศหญิง คิดเป็นรอ้ ยละ 50 เทา่ กนั

19 ตารางท่ี 2 แสดงจํานวนและรอ้ ยละของกลุม่ ตวั อย่างอาสาสมคั รปอ้ งกนั ภยั ฝา่ ยพลเรือน สงั กัดเทศบาลตาํ บลฟา้ หยาด อําเภอมหาชนะชยั จังหวดั ยโสธร แยกตามอายุ อายุ กลุ่มตัวอย่าง (n=92) 20 – 30 ปี จาํ นวน รอ้ ยละ 31 – 40 ปี 41 – 50 ปี 6 6.52 51 ปขี ึ้นไป 31 33.70 35 38.04 20 21.74 รวม 92 100.00 จากตารางท่ี 2 เม่ือพิจารณากลุ่มตัวอย่างเก่ียวกับอายุ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุ ระหว่าง 41 – 50 ปี คิดเป็นร้อยละ 38.04 รองลงมาคือ อายุระหว่าง 31 – 40 ปี คิดเป็นร้อยละ 33.70 อายุ 51 ปขี ึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 21.74 และ อายุระหว่าง 20 – 30 ปี คิดเป็นรอ้ ยละ 6.52 ตามลําดับ ตารางที่ 3 แสดงจํานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สังกดั เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชยั จงั หวดั ยโสธร แยกตามสถานภาพการสมรส สถานภาพ กลุ่มตัวอย่าง (n=92) จาํ นวน ร้อยละ โสด สมรส 18 19.57 หม้าย/หย่าร้าง 67 72.83 7 7.61 รวม 92 100.00 จากตารางที่ 3 เม่ือพิจารณากลุ่มตัวอย่างเก่ียวกับสถานภาพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 72.83 รองลงมาคือ สถานภาพโสด คิดเป็นร้อยละ 19.57 และ สถานภาพหมา้ ย/หย่าร้าง คิดเป็น ร้อยละ 7.61 ตามลาํ ดับ

20 ตารางที่ 4 แสดงจํานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สงั กดั เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อาํ เภอมหาชนะชัย จงั หวดั ยโสธร แยกตามอาชพี อาชีพ กลุ่มตวั อยา่ ง (n=92) ร้อยละ จาํ นวน 3.26 รับราชการ 30.43 เกษตรกร 3 13.04 ค้าขาย 28 53.26 รับจา้ ง 12 49 100.00 รวม 92 จากตารางที่ 4 เม่ือพิจารณากลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับอาชีพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอาชีพ รับจ้าง คิดเป็นร้อยละ 53.26 รองลงมาคือ เกษตรกร คิดเป็นร้อยละ 30.43 อาชีพค้าขาย คิดเป็น ร้อยละ 13.04 อาชพี รับราชการ คดิ เป็นร้อยละ 3.26 ตามลําดับ ตารางท่ี 5 แสดงจํานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สังกัดเทศบาลตาํ บลฟา้ หยาด อาํ เภอมหาชนะชัย จงั หวัดยโสธร แยกตามระดับการศกึ ษา การศึกษา กลมุ่ ตวั อย่าง (n=92) จาํ นวน รอ้ ยละ ประถมศกึ ษา 35 38.04 มธั ยมศึกษา 44 47.83 ปริญญาตรี 12 13.04 สูงกว่าปริญญาตรี 1 1.09 รวม 92 100.00 จากตารางท่ี 5 เมือ่ พิจารณากลุ่มตัวอย่างเก่ียวกับการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ศึกษา ระดับมัธยมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 47.83 รองลงมาคือการศึกษาระดับประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 38.04 การศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี 13.04 สงู กวา่ ปรญิ ญาตรี คดิ เปน็ ร้อยละ 1.09 ตามลําดบั

21 ตารางท่ี 6 แสดงจํานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สังกดั เทศบาลตําบลฟา้ หยาด อําเภอมหาชนะชัย จงั หวดั ยโสธร แยกตามรายได้ รายได้ กลมุ่ ตวั อยา่ ง (n=92) ตา่ํ กวา่ 5,000 บาท/เดือน จํานวน รอ้ ยละ 5,000 – 10,000 บาท/เดอื น 10,001 – 15,000 บาท/เดือน 39 42.39 15,001 บาท ข้ึนไป/เดือน 48 52.17 3 3.26 2 2.17 รวม 92 100.00 จากตารางท่ี 6 เม่ือพิจารณากลุ่มตัวอย่างเก่ียวกับรายได้ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้ 5,000 – 10,000 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 52.17 รองลงมา มีรายได้ ต่ํากว่า 5,000 บาท คิดเป็น ร้อยละ 42.39 รายได้ 10,001 – 15,000 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 3.26 รายได้ 15,001 บาทขึ้นไป คิดเปน็ รอ้ ยละ 2.17 ตามลาํ ดบั 4.2 คา่ สถิติพืน้ ฐานเกีย่ วกับแรงจงู ใจในการสมคั รเปน็ อาสาสมคั รป้องกนั ภัยฝ่ายพลเรอื น เพื่อให้ทราบว่าปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สาํ หรับผูเ้ ป็นอาสาสมคั รป้องกนั ภัยฝ่ายพลเรือน มีแรงจูงใจ ท้ัง 4 ด้าน มากน้อยเพียงใด จึงทําการแจงนับ ความถ่ี ระดับคะแนนและคิดคํานวณคา่ เฉล่ยี ระดบั คะแนน ผลการวิเคราะหด์ ังแสดงตารางที่ 7 - 11 ตารางที่ 7 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของระดับแรงจูงใจของผู้สมัครเป็น อาสาสมัครป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรือน ด้านสวัสดกิ ารและสทิ ธปิ ระโยชน์ องคป์ ระกอบ ค่าเฉลย่ี สว่ น ระดับ เบยี่ งเบน แรงจงู ใจ x (S.D) 1.ดา้ นสวัสดกิ ารและสทิ ธิประโยชน์ 1.1 การได้รับค่าลดหย่อนอัตราค่าโดยสารรถไฟและรถปรับ 1.80 1.21 น้อย อากาศ 1.2 การได้รบั คา่ ตอบแทนในการปฏิบัติงาน 2.84 1.08 ปานกลาง 1.3 การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการเป็น 2.87 1.11 ปานกลาง อาสาสมคั รปอ้ งกันภัยฝา่ ยพลเรือน 1.4 การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการ 2.85 1.10 ปานกลาง ปฏิบตั ิงาน 1.5 การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์กรณีบาดเจ็บ 2.75 1.18 ปานกลาง หรือเสียชวี ิตจากการปฏิบัติงาน เฉล่ียรวม 2.62 1.14 ปานกลาง

22 จากตารางที่ 7 เมื่อพิจารณาจากกลุ่มตัวอย่าง ระดับแรงจงู ใจของผสู้ มัครเปน็ อาสาสมัครป้องกัน ภัยฝ่ายพลเรือน ด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีแรงจูงใจจากการได้รับ สวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย ( x = 2.87) รองลงมา คือการได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการปฏิบัติงาน อยู่ใน ระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย ( x = 2.85) การได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ยี ( x = 2.84) การไดร้ บั สวัสดิการและสิทธิประโยชนก์ รณีบาดเจ็บหรอื เสยี ชวี ติ จากการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย ( x = 2.75) การได้รับค่าลดหย่อนอัตราค่าโดยสารรถไฟและรถปรับ อากาศ อยู่ในระดับนอ้ ย ค่าเฉลยี่ ( x = 1.80) ตามลําดบั ตารางท่ี 8 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของระดับแรงจูงใจของผู้สมัครเป็น อาสาสมัครป้องกันภยั ฝ่ายพลเรือน ด้านเกียรตยิ ศ/ชอ่ื เสยี ง องคป์ ระกอบ ค่าเฉล่ยี ส่วน ระดบั เบ่ยี งเบน แรงจงู ใจ 2.ดา้ นเกยี รตยิ ศ/ชื่อเสียง x (S.D) 2.1 การได้รับการยอมรบั จากสงั คม ปานกลาง 2.2 การยกสถานภาพทางสงั คมของตนเอง 3.23 1.22 ปานกลาง 2.3 การมอี าํ นาจเหนอื บุคคลอ่ืน 3.26 1.27 ปานกลาง 2.4 การไดส้ วมเคร่อื งแบบอาสาสมัครป้องกนั ภยั ฝา่ ยพลเรือน 2.79 1.26 ปานกลาง การประดับเหรยี ญตราหรือเครือ่ งหมายเชิดชูเกียรติ 3.07 1.20 2.5 การเปน็ ฐานคะแนนเสยี งเพื่อการปฏิบัติงานด้าน ปานกลาง การเมืองหรอื การเป็นผ้นู าํ ชมุ ชนต่อไป 2.80 1.22 ปานกลาง เฉลี่ยรวม 3.03 1.24 จากตารางที่ 8 เม่ือพิจารณาจากกลุ่มตัวอย่าง ระดับแรงจูงใจของผู้สมัครเป็นอาสาสมัครป้องกัน ภัยฝ่ายพลเรือน เกียรติยศ/ชื่อเสียง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีแรงจูงใจจากการได้ยกสถานภาพทาง สังคมของตนเอง อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย ( x = 3.26) รองลงมา คือการได้รับการยอมรับจาก สังคม อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย ( x = 3.23) การได้สวมเคร่ืองแบบอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่าย พลเรือน การประดับเหรียญตราหรือเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย ( x = 3.07) การเป็นฐานคะแนนเสียงเพื่อการปฏิบัติงานด้านการเมืองหรือการเป็นผู้นําชุมชนต่อไป อยู่ในระดับ ปานกลาง ค่าเฉล่ีย ( x = 2.80 ) การมีอํานาจเหนือบุคคลอื่น อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย ( x = 2.79) ตามลาํ ดบั

23 ตารางที่ 9 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของระดับแรงจูงใจของผู้สมัครเป็น อาสาสมคั รป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรอื น ดา้ นการชว่ ยเหลอื สงั คม องค์ประกอบ ค่าเฉลี่ย ส่วน ระดับ เบีย่ งเบน แรงจูงใจ 3.ดา้ นการชว่ ยเหลอื สังคม x (S.D) 3.1 การชว่ ยเหลอื บุคคลอนื่ ทอ่ี อ่ นแอกวา่ 3.2 การนาํ ความรไู้ ปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ชุมชนและสงั คม 3.48 1.36 ปานกลาง 3.3 การสรา้ งความสามัคคีระหว่างคนในชมุ ชน 3.4 การเสยี สละความสุขส่วนตัวเพ่ือประโยชนข์ องสงั คม 3.67 1.24 มาก 3.5 การทาํ งานที่มีความรบั ผดิ ชอบและเปน็ ประโยชน์ตอ่ สงั คม 3.63 1.23 มาก เฉลยี่ รวม 3.70 1.31 มาก 3.72 1.24 มาก 3.64 1.28 มาก จากตารางที่ 9 เมอ่ื พิจารณาจากกลุม่ ตวั อย่าง ระดบั แรงจูงใจของผสู้ มัครเปน็ อาสาสมัครป้องกัน ภยั ฝ่ายพลเรอื น ด้านการช่วยเหลือสงั คม พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีแรงจูงใจจากการทํางานที่มีความ รับผิดชอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม อยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย ( x = 3.72) รองลงมา คือการเสียสละ ความสุขสว่ นตัวเพือ่ ประโยชนข์ องสังคม อยใู่ นระดับมาก ค่าเฉล่ีย ( x = 3.70) การนาํ ความรู้ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย ( x = 3.67) การสร้างความสามัคคีระหว่าง คนในชุมชน อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย ( x = 3.63) การช่วยเหลือบุคคลอ่ืนท่ีอ่อนแอกว่า อยู่ในระดับ ปานกลาง คา่ เฉลยี่ ( x = 3.48) ตามลาํ ดับ

24 ตารางที่ 10 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของระดับแรงจูงใจของผู้สมัครเป็น อาสาสมคั รป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ดา้ นความสนใจส่วนตวั องคป์ ระกอบ ค่าเฉล่ีย สว่ น ระดับ เบ่ียงเบน แรงจูงใจ x (S.D) 4.ดา้ นความสนใจสว่ นตัว 4.1 การใช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ 3.52 1.24 มาก 4.2 การสร้างความเชอ่ื มัน่ ใหก้ บั ตนเอง 3.62 1.16 มาก 4.3 การมโี อกาสรู้จกั กับบคุ คลอน่ื 3.58 1.12 มาก 4.4 การพบเจอประสบการณแ์ ปลกใหม่ ทา้ ทาย 3.54 1.09 มาก 4.5 การสนใจหรอื ความชอบงานด้านอาสาสมคั ร 3.66 1.19 มาก เฉลย่ี รวม 3.58 1.16 มาก จากตารางที่ 10 เมื่อพิจารณาจากกลุ่มตัวอย่าง ระดับแรงจูงใจของผู้สมัครเป็นอาสาสมัคร ปอ้ งกนั ภยั ฝา่ ยพลเรอื น ด้านความสนใจส่วนตัว พบวา่ กลุ่มตัวอยา่ งส่วนใหญ่ มีแรงจูงใจจากการสนใจหรือ ความชอบงานด้านอาสาสมัคร อยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย ( x =3.66) รองลงมา คือการสร้างความเช่ือมั่น ให้กับตนเอง อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย ( x = 3.62 ) การมีโอกาสรู้จักกับบุคคลอื่น อยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย ( x = 3.58) การพบเจอประสบการณ์แปลกใหม่ ท้าทาย อยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย ( x = 3.54) การใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ อยู่ในระดบั มาก ค่าเฉลีย่ ( x = 3.52 ) ตามลําดับ ตารางท่ี 11 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของระดบั แรงจูงใจ ในภาพรวมท้ัง 4 ด้าน องค์ประกอบ ค่าเฉลีย่ ส่วน ระดบั เบี่ยงเบน แรงจูงใจ x (S.D) 1.ด้านสวสั ดกิ ารและสทิ ธิประโยชน์ 2.62 1.14 ปานกลาง 2.ดา้ นเกยี รตยิ ศ/ช่อื เสยี ง 3.03 1.24 ปานกลาง 3.ด้านการช่วยเหลอื สังคม 3.64 1.28 มาก 4.ดา้ นความสนใจส่วนตวั 3.58 1.16 มาก เฉล่ยี รวม 4 ดา้ น 3.22 1.20 ปานกลาง จากตารางที่ 11 เม่ือพิจารณาในภาพรวม พบว่า ผู้สมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มีแรงจูงใจ ทงั้ 4 ด้าน อยใู่ นระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย ( x = 3.22 ) โดยมีแรงจูงใจด้านการช่วยเหลือสังคม อยู่ในระดับมาก ( x = 3.64) รองลงมา ด้านความสนใจส่วนตัว อยู่ในระดับมาก ( x = 3.58 ) ด้านเกียรติยศ/ช่ือเสียง อยู่ในระดับปานกลาง ( x = 3.03) ด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ อยู่ใน ระดบั ปานกลาง ( x =2.62) ตามลําดับ สรุปผลการสํารวจปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สังกัดเทศบาลตาํ บลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จงั หวัดยโสธร ระดบั แรงจงู ใจ อยู่ในระดับปานกลาง คา่ เฉลีย่ ( x = 3.22)

25 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ ราย ในการสํารวจครั้งนี้ เพื่อสํารวจปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัย ฝ่ายพลเรือน กรณีศึกษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร เพื่อศึกษาสภาพ ทวั่ ไปและปจั จยั ท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมคั รเปน็ อาสาสมคั รปอ้ งกนั ภัยฝ่ายพลเรือน 4 ดา้ น คือ 1) ด้านสวัสดกิ ารและสิทธิประโยชน์ 2) ด้านเกยี รตยิ ศ/ช่อื เสียง 3) ดา้ นการช่วยเหลือสงั คม 4) ดา้ นความสนใจส่วนตัว 5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา 1. ปัจจัยด้านสภาพทั่วไป อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนสังกัดเทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธรเป็นเพศชายและเพศหญิง จํานวนเท่ากัน โดยมีอายุระหว่าง 41- 50 ปี มากที่สุด และมีอายุระหว่าง 20 – 30 ปีน้อยที่สุด ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส อาชีพรับจ้างมากท่ีสุด อาชีพรับราชการน้อยท่ีสุด มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษามากท่ีสุด การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี น้อยที่สุด ส่วนใหญ่มีรายได้ 5,000 – 10,000 บาท/เดือน รายได้มากกว่า 15,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปมี นอ้ ยทส่ี ุด 2. ปจั จัยด้านแรงจูงใจ พบว่า - ด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ พบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่ มีแรงจูงใจจากการ ได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ียรองลงมา คือการได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ียการได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ียการได้รับสวัสดิการและ สิทธิประโยชน์กรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับปานกลางและค่าเฉลี่ยการได้รับ คา่ ลดหยอ่ นอัตราคา่ โดยสารรถไฟและรถปรับอากาศ อยู่ในระดบั น้อย - ดา้ นเกียรตยิ ศ/ช่ือเสียง พบว่า อาสาสมัครสว่ นใหญ่ มีแรงจูงใจการยกสถานภาพทาง สังคมของตนเอง อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยรองลงมาคือ การได้รับการยอมรับจากสังคม อยู่ในระดับ ปานกลาง การได้สวมเครื่องแบบอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน การประดับเหรียญตราหรือ เครื่องหมายเชิดชูเกียรติ อยู่ในระดับปานกลาง การเป็นฐานคะแนนเสียงเพ่ือการปฏิบัติงานด้านการเมือง หรอื การเปน็ ผู้นําชมุ ชนตอ่ ไปอย่ใู นระดบั ปานกลางและ การมอี าํ นาจเหนือบุคคลอื่นอยใู่ นระดบั ปานกลาง - ด้านการช่วยเหลือสังคม พบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่ มีแรงจูงใจจากการทํางานที่มี ความรบั ผิดชอบและเป็นประโยชน์ตอ่ สังคม อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือการเสียสละความสุขส่วนตัวเพ่ือ ประโยชน์ของสังคม อยู่ในระดับมาก การนําความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม อยู่ใน ระดับมาก การสร้างความสามัคคีระหว่างคนในชุมชน อยู่ในระดับมากและ การช่วยเหลือบุคคลอ่ืนท่ี ออ่ นแอกวา่ อยูใ่ นระดบั ปานกลาง

26 - ด้านความสนใจส่วนตัว พบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่ มีแรงจูงใจจากการสนใจหรือ ความชอบงานด้านอาสาสมัคร อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง อยู่ใน ระดับมาก การมีโอกาสรู้จักกับคนอ่ืน อยู่ในระดับมาก การพบเจอประสบการณ์แปลกใหม่ ท้าทาย อยู่ใน ระดับมาก และการใช้เวลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ อย่ใู นระดบั มาก 5.2 การอภิปรายผล การท่มี ีผลการศกึ ษาปรากฏผลดงั กล่าวอธบิ ายไดด้ ังนี้ จากการสํารวจข้อมูลด้วยแบบสอบถามเร่ือง “ปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็น อาสาสมคั รปอ้ งกันภยั ฝ่ายพลเรอื น กรณศี กึ ษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร จํานวน 92 ชุด นั้น ผู้สมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ส่วนใหญ่เห็นว่าแรงจูงใจท่ีทําให้สมัคร เปน็ อาสาสมัครปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรอื นในระดบั มาก คอื การทาํ งานทีม่ ีความรบั ผดิ ชอบและเป็นประโยชน์ ต่อสังคม การเสียสละความสุขส่วนตัวเพ่ือประโยชน์ของสังคม การนําความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ ชมุ ชนและสังคม การสนใจหรอื ความชอบงานดา้ นอาสาสมัคร การสรา้ งความสามคั คีระหว่างคนในชุมชน การสร้างความเชื่อม่ันให้กับตนเอง การมีโอกาสรู้จักกับบุคคลอื่น การพบเจอประสบการณ์แปลกใหม่ ท้าทาย และการใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ สาํ หรับผูส้ มคั รเป็นอาสาสมัครปอ้ งกันภัยฝ่ายพลเรือน มีแรงจูงใจในระดับรองลงมา แรงจูงใจ ในระดับปานกลาง คือ การช่วยเหลือบุคคลอ่ืนท่ีอ่อนแอกว่า การยกสถานภาพทางสังคมของตนเอง การได้รับการยอมรับจากสังคม การได้สวมเครื่องแบบอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนการประดับ เหรียญตราหรือเคร่ืองหมายเชิดชูเกียรติ การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการเป็นอาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการปฏิบัติงาน การได้รับค่าตอบแทน ในการปฏิบัติงาน การเป็นฐานคะแนนเสียงเพ่ือการปฏิบัติงานด้านการเมืองหรือการเป็นผู้นําชุมชนต่อไป การมอี าํ นาจเหนอื บคุ คลอน่ื และ การได้รบั สวสั ดิการและสิทธปิ ระโยชน์กรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการ ปฏบิ ัตงิ าน ผู้สมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มีแรงจูงใจในระดับน้อยคือการได้รับ คา่ ลดหย่อนอัตราคา่ โดยสารรถไฟและรถปรับอากาศ 5.3 ข้อเสนอแนะ 1) ควรจัดสวัสดิการให้แก่อาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือนเพิ่มขึ้น เพ่ือเป็นการช่วยเหลืออาสาสมัคร ป้องกนั ฝ่ายพลเรอื นทีม่ คี วามเสยี สละ มีจติ อาสา 2) ควรส่งเสรมิ ใหม้ ีการจดั อบรมหลักสูตรอาสาสมคั รปอ้ งกันฝา่ ยพลเรอื นแก่ผูท้ ่ีสมคั รอย่างจริงจงั และ ต่อเนื่อง เพอื่ ให้สามารถปฏิบัติงานได้ถูกต้องและปลอดภัย 3) ควรสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ท่ีทันสมัย เช่น วิทยุสื่อสาร เพ่ือสามารถนําไปใช้ในการปฏิบัติหน้าท่ี ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 4) ควรส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและชุมชนมอบหมายภารกิจ หน้าท่ีให้อาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในด้านการทํางานท่ีมีความรับผิดชอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคมมาก ยิ่งขึน้

27 5.4 ขอ้ เสนอแนะในการทาํ วิจัยคร้งั ต่อไป กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ควรจัดทําการวิจัยเปรียบเทียบแรงจูงใจในพ้ืนท่ีท่ีประสบภัย ต่างกัน หรือในขนาดหรือบริบทของพ้ืนที่ท่ีต่างกันเช่น เปรียบเทียบแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนขององค์การบริหารส่วนตําบลขนาดเล็ก/กลาง/ใหญ่ เปรียบเทียบแรงจูงใจในการ สมคั รเป็นอาสาสมคั รปอ้ งกันภยั ฝ่ายพลเรือนขององคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบลกบั เทศบาลตําบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร เมืองพัทยาหรือกรุงเทพมหานคร เพ่ือทราบถึงแรงจูงใจในแต่ละพ้ืนที่และใช้ข้อมูลวิจัยเป็น ประโยชนใ์ นการสง่ เสรมิ การเข้ามาสมคั รเปน็ อาสาสมัครป้องกนั ภัยฝา่ ยพลเรือนเพ่ือเข้ามามีส่วนร่วมในการ ดูแลสังคมและชุมชนของตนเอง เพ่ือสร้างความยั่งยืนด้านการจัดการภัยเพื่อให้ประเทศไทยเป็นเมือง ปลอดภยั น่าอยู่ ***********************************

ช บรรณานุกรม กรมป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั (2550) , พระราชบัญญตั ปิ ้องกันและบรรเทาสาธารณภยั กระทรวงมหาดไทย. กรมป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย (2553) กระทรวงมหาดไทย, แผนการป้องกนั และบรรเทา สาธารณภัย พ.ศ.2553-2557. เกียรติศักดิ์ หนูกลาง (2544), แรงจงู ใจในการเป็นสมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตําบล : ศกึ ษากรณี สมาชิกสภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาํ บล อําเภอหนองบุนนาก จงั หวัดนครราชสีมา, มหาวิทยาลัย รามคําแหง. http://dcms.lib.ru.ac.th/dcms/files//03159/chapter2.pdf สืบค้นเมอ่ื วนั ที่ 4 มีนาคม 2557 เจนตมิ าศ พงษพ์ พิ ิธธรรม. (2552), การมสี ว่ นร่วมของอาสาสมัครป้องกนั ภัยฝา่ ยพลเรือนในการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภยั กรณศี กึ ษา : อาํ เภอเมอื งศรสี ะเกษ จงั หวัดศรีสะเกษ. ชูยศ ศรีวรขนั ธ์ (2553), ปัจจัยแรงจงู ใจต่อผลการปฏบิ ัติงาน : กรณีศึกษาขององคก์ ารบริหาร ส่วนตําบล เขตอําเภอเมอื ง จังหวดั นครราชสีมา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสรุ นารี. http://eng.sut.ac.th/ce/ce_course/download/struc/2CHUYOT/CHUYOT.pdf สืบค้นเมอ่ื 4 มนี าคม 2557 เทศบาลตําบลฟา้ หยาด http://fayardmun.go.th/index.php สบื คน้ เม่อื วันท่ี 5 มีนาคม 2557. พรรณิภา เพง็ ค่ํา (2554), แรงจูงใจในการปฏิบตั งิ านของบุคลากรเทศบาลตําบลพระบุ อาํ เภอพระยนื จังหวดั ขอนแกน่ , มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. http://202.28.199.21/tdc/browse.php?option=show&browse_type=title&titleid= 276846&query=%E1%C3%A7%A8%D9%A7%E3%A8&s_mode=any&d_field=&d _start=0000-00-00&d_end=2557-03-05&limit_lang=&limited_lang_code= &order=&order_by=&order_type=&result_id=144&maxid=155 สบื ค้นเมอ่ื 4 มีนาคม 2557 วจีธรรม สามสี (2550), แรงจงู ใจของบคุ ลากรสาธารณสขุ ในการดําเนนิ งานตามมาตรฐานศนู ย์สุขภาพ ชมุ ชน จงั หวดั ศรีสะเกษ, มหาวิทยาลัยขอนแก่น. http://202.28.199.21/tdc/browse.php?option=show&browse_type=title&titleid= 158474&query=%E1%C3%A7%A8%D9%A7%E3%A8&s_mode=any&d_field=&d _start=0000-00-00&d_end=2557-03- 05&limit_lang=&limited_lang_code=&order=&order_by=&order_type=&result_id= 9&maxid=155 สบื ค้นเมอื่ 4 มนี าคม 2557

ซ สาํ นักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ (สศช.), (2554), การจดั การภยั พบิ ัตแิ ละ การฟื้นฟบู ูรณะหลังการเกดิ ภัย: กรณีศกึ ษาประเทศไทยและต่างประเทศ. file:///C:/Users/Administrator/Downloads/data_0945140911.pdf สืบค้นเมือ่ วนั ที่ 5 มนี าคม 2557 อํานวย พรมเรือง (2556), สมรรถนะของอาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรอื น (อปพร.) ด้านกู้ชพี กูภ้ ัย กรณศี ึกษาในเขตพืน้ ทอี่ ําเภอหาดใหญ่ จังหวดั สงขลา.

ภาคผนวก

ฌ วิทยาลยั ปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย ถนนรังสิต-ปทุมธานี อ.เมืองปทุมธานี ปทุมธานี 12000 5 มนี าคม 2557 เร่อื ง ขอความร่วมมือตอบแบบสอบถาม เรียน นายกเทศมนตรีตําบลฟา้ หยาด ส่ิงที่สง่ มาด้วย แบบสอบถามแรงจงู ใจในการสมัครเปน็ อาสาสมคั รปอ้ งกนั ภัยฝา่ ยพลเรือน จํานวน 92 ชุด ดว้ ย นางสาวภัคจรี า พรหมดี ตําแหนง่ นักวเิ คราะห์นโยบายและแผนชํานาญการ สังกัด ศูนยป์ ้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 13 อุบลราชธานี ไดเ้ ข้ารบั การฝึกอบรมหลกั สตู รนกั บริหารงาน ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย (นบ.ปภ. รนุ่ ท่ี 10) ระหวา่ งวันที่ 7 มกราคม – 10 เมษายน 2557 ณ วิทยาลยั ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย ตําบลบางพูน จงั หวดั ปทุมธานี ทั้งนี้ โครงการฝกึ อบรมกาํ หนดให้ นกั ศึกษาจัดทาํ รายงานการศึกษา เพอ่ื นาํ ผลการศกึ ษาไปปรับใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนก์ บั งานของกรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั ต่อไป ในการน้ี นางสาวภัคจีรา พรหมดี ได้จัดทําเอกสารรายงานวิจัยเร่ือง แรงจูงใจในการ สมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์ท่านมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ ดําเนินการประสานงานและแจกแบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพล เรือน ให้กับอาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสังกัดเทศบาลตําบลฟ้าหยาด รายละเอียดตาม ส่ิงที่ส่งมาด้วย ท้ังนี้ กรุณาส่งแบบสอบถามคืนที่วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในวันที่ 15 มนี าคม 2557 จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดใหค้ วามอนุเคราะหด์ ว้ ย จักขอบคุณยิ่ง ขอแสดงความนับถือ ภัคจีรา พรหมดี (นางสาวภคั จีรา พรหมด)ี โทรศัพท์ 08-7239-2266

ญ แบบสอบถาม เร่อื ง ปัจจัยที่มผี ลต่อแรงจงู ใจในการสมคั รเปน็ อาสาสมัครปอ้ งกนั ภัยฝา่ ยพลเรอื น กรณศี กึ ษา : เทศบาลตําบลฟ้าหยาด อาํ เภอมหาชนะชยั จงั หวัดยโสธร ------------------------- ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ เพศ อายุ สถานภาพการสมรส อาชพี ระดับ การศึกษา รายได้ เป็นแบบเลือกตอบ (Check List) จาํ นวน 6 ขอ้ ตอนที่ 2 แบบสอบถามด้านแรงจูงใจ เปน็ แบบมาตราสว่ นประเมนิ คา่ (Rating Scale) ประกอบด้วย 4 ดา้ น ดังน้ี 1) ดา้ นสวสั ดกิ ารและสิทธิประโยชน์ 2) ดา้ นเกียรติยศช่ือเสียง 3) ดา้ นการช่วยเหลือสังคม 4) ด้านความสนใจส่วนตวั ตอนที่ 1 ขอ้ มลู ทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถาม คําชแี้ จง กรณุ าทําเครื่องหมาย √ หรือเตมิ ข้อความลงในชอ่ งว่าที่ตรงกบั ขอ้ มลู ของทา่ น 1.1 เพศ ( ) ชาย ( ) หญิง 1.2 อายุ ( ) 20 – 30 ปี ( ) 31 – 40 ปี ( ) 41 – 50 ปี ( ) 51 ปขี ้ึนไป 1.3 สถานการณ์ภาพการสมรส ( ) สมรส ( ) หม้าย/หย่า ( ) โสด 1.4 อาชีพ ( ) รบั ราชการ ( ) เกษตรกร ( ) คา้ ขาย ( ) รบั จ้าง 1.5 ระดับการศกึ ษา ( ) มธั ยมศกึ ษา ( ) สงู กวา่ ปรญิ ญาตรี ( ) ประถมศกึ ษา ( ) ปริญญาตรี

ฎ -2- 1.6 รายได้ ( ) ตา่ํ กว่า 5,000 บาท/เดือน ( ) 5,000 – 10,000 บาท/เดอื น ( ) 10,001 – 15,000 บาท/เดือน ( ) 15,001 บาทขึ้นไป/เดอื น ตอนท่ี 2 แบบสอบถามดา้ นแรงจงู ใจ คําชี้แจง กรณุ าทําเคร่อื งหมาย √ ลงในช่องคะแนนเพ่อื แสดงระดบั แรงจูงใจตามความคดิ เหน็ ของท่าน แรงจงู ใจในการสมคั รเปน็ อาสาสมัคร 1 ระดับแรงจงู ใจ 5 ป้องกนั ภัยฝา่ ยพลเรอื น 234 1.ด้านสวัสดกิ ารและสทิ ธปิ ระโยชน์ 1.1 การได้รับค่าลดหย่อนอัตราค่าโดยสารรถไฟและรถปรับ อากาศ 1.2 การไดร้ ับค่าตอบแทนในการปฏบิ ัติงาน 1.3 การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการเป็น อาสาสมคั รปอ้ งกนั ภยั ฝา่ ยพลเรือน 1.4 การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการ ปฏิบัตงิ าน 1.5 การได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์กรณีบาดเจ็บหรือ เสยี ชวี ติ จากการปฏิบตั ิงาน 2.ด้านเกยี รติยศ/ช่อื เสียง 2.1 การไดร้ บั การยอมรบั จากสังคม 2.2 การยกสถานภาพทางสังคมของตนเอง 2.3 การมอี ํานาจเหนอื บคุ คลอ่นื 2.4 การได้สวมเครื่องแบบอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน การประดับเหรยี ญตราหรือเครอื่ งหมายเชดิ ชูเกียรติ 2.5 การเป็นฐานคะแนนเสียงเพอื่ การปฏิบัติงานด้านการเมือง หรอื การเป็นผู้นาํ ชมุ ชนตอ่ ไป

ฏ -3- แรงจงู ใจในการสมคั รเปน็ อาสาสมัคร ระดบั แรงจูงใจ ป้องกันภัยฝา่ ยพลเรือน 12345 3.ดา้ นการชว่ ยเหลอื สังคม 3.1 การช่วยเหลือบคุ คลอืน่ ทอี่ ่อนแอกว่า 3.2 การนาํ ความรู้ไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ชมุ ชนและสังคม 3.3 การสรา้ งความสามัคครี ะหว่างคนในชมุ ชน 3.4 การเสยี สละความสขุ ส่วนตัวเพือ่ ประโยชน์ของสังคม 3.5 การทํางานทีม่ ีความรับผดิ ชอบและเปน็ ประโยชนต์ อ่ สังคม 4.ด้านความสนใจสว่ นตวั 4.1 การใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ 4.2 การสรา้ งความเชือ่ ม่ันให้กบั ตนเอง 4.3 การมีโอกาสรู้จกั กับบุคคลอืน่ 4.4 การพบเจอประสบการณ์แปลกใหม่ ทา้ ทาย 4.5 การสนใจหรอื ความชอบงานด้านอาสาสมคั ร ขอบคุณท่ีตอบแบบสอบถาม ภัคจีรา พรหมดี ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั เขต 13 อบุ ลราชธานี

ฐ แบบการเสนอโครงรา่ งการศึกษาวิจัยสว่ นบุคคล (Proposal) หลักสตู ร นักบรหิ ารงานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั (นบ.ปภ.) รุ่นที่ 10 1. ชื่อผ้จู ดั ทาํ นางสาวภคั จีรา พรหมดี เลขประจาํ ตวั 20 2. ชือ่ เร่ือง ปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ แรงจงู ใจในการสมคั รเป็นอาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรือน กรณีศกึ ษา : เทศบาลตาํ บลฟา้ หยาด อําเภอมหาชนะชัย จงั หวัดยโสธร 3. ความเป็นมาและสถานการณป์ จั จุบนั ปัจจบุ ันภัยพิบัติเกิดข้ึนเป็นจํานวนมากและทวคี วามรุนแรงมากยงิ่ ขึน้ สร้างความเสียหาย ให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจํานวนมาก อาสาสมัครป้องกนภัยฝ่ายพลเรือน เป็น ประชาชนที่สมัครใจและอาสาเข้ามามีบทบาทสําคัญในการบริหารจัดการภัยพิบัติท่ีเกิดข้ึนใน ชุมชนของตนเอง ซ่ึงเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับชุมชนเพ่ือลดความสูญเสียในชีวิตและ ทรัพยส์ ินของผูป้ ระสบภยั ในเบอ้ื งต้นก่อนทจี่ ะมหี น่วยงานจากภายนอกเขา้ มาให้ความชว่ ยเหลือ 4. เหตผุ ลและความจาํ เปน็ ในการศกึ ษาและคาํ ถามในการวจิ ัย เพอ่ื ศึกษาปจั จัยทีม่ ีผลตอ่ แรงจูงใจทม่ี ผี ลต่อการสมคั รเปน็ อาสาสมคั รปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรือน คําถามในการวจิ ยั เก่ยี วกบั ประเดน็ ตา่ งๆ 4 ดา้ น 4.1 ดา้ นสวสั ดกิ ารและสิทธปิ ระโยชน์ 4.2 ดา้ นเกียรตยิ ศ/ชอ่ื เสยี ง 4.3 ดา้ นการช่วยเหลือสังคม 4.4 ด้านความสนใจส่วนตวั 5. วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา 5.1 เพอ่ื ศึกษาปัจจยั ทเ่ี ปน็ แรงจงู ใจต่อการสมคั รเป็นอาสาสมคั รป้องกันภยั ฝา่ ยพลเรือน 5.2 เพอื่ ศึกษาปัญหาอุปสรรคในการสมคั รเป็นอาสาสมัครปอ้ งกันภยั ฝา่ ยพลเรอื น 6. วธิ ีการและขอบเขตการศกึ ษา 6.1 วิธีการศึกษา จดั ทาํ แบบสอบถาม จํานวน 92 ชุด ใหก้ ับอาสาสมคั รปอ้ งกนั ภัยฝ่ายพลเรอื นในเขตพ้ืนที่ เทศบาลตําบลฟา้ หยาด อาํ เภอมหาชนะชยั จงั หวัดยโสธร แลว้ นาํ มาวิเคราะห์ข้อมูล

ฑ 6.2 ขอบเขตการศกึ ษา ศกึ ษาแรงจูงใจต่อการเป็นอาสาสมคั รปอ้ งกนั ภัยฝ่ายพลเรอื น 6.3 กรอบแนวคดิ ในการศกึ ษา ปัจจัยท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการสมัครเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน : กรณีศึกษา เทศบาลตําบล ฟา้ หยาด อําเภอมหาชนะชยั จงั หวดั ยโสธร ดงั นี้ ตัวแปรอิสระ ตวั แปรตาม สภาพท่วั ไป - เพศ - อายุ - สถานภาพการสมรส - อาชพี - ระดับการศกึ ษา - รายได้ ปัจจยั แรงจงู ใจในการสมัคร เป็นอาสาสมคั รปอ้ งกนั ภัย - ด้านสวัสดกิ ารและสทิ ธิ ประโยชน์ ฝา่ ยพลเรือน - ด้านเกียรตยิ ศ/ชอื่ เสยี ง - ด้านการชว่ ยเหลอื สงั คม - ดา้ นความสนใจส่วนตัว 6.4 สมมุติฐาน (ถา้ ม)ี 7 ทฤษฎี แนวความคิด ระเบยี บกฎหมายทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา ทฤษฎแี รงจงู ใจ



ณ ประวตั ิผูศ้ กึ ษาวจิ ยั ช่อื – นามสกุล นางสาวภัคจรี า พรหมดี วัน เดือน ปี เกิด 26 มีนาคม 2513 สถานทเี่ กดิ จังหวัดอุบลราชธานี วุฒิการศึกษา ศลิ ปศาสตร์บณั ฑติ สาขา มนษุ ยศาสตร์ -ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั รามคําแหง รัฐศาสตร์มหาบณั ฑิต คณะรฐั ศาสตร์ -ปรญิ ญาโท มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง ประวตั กิ ารรับราชการ ตําแหน่ง เจ้าหน้าท่ฝี ึกอบรม 3 พ.ศ. 2537 – พ.ศ. 2539 กองฝกึ อบรม กรมการเร่งรัดพฒั นาชนบท พ.ศ. 2539 – พ.ศ. 2543 พ.ศ. 2543 – พ.ศ. 2545 ตําแหนง่ นักพฒั นาทรพั ยากรบคุ คล 4 พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2547 กองฝกึ อบรม กรมการเรง่ รดั พัฒนาชนบท พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2549 พ.ศ. 2549 – พ.ศ. 2551 ตําแหนง่ นกั วชิ าการพัฒนาชนบท 5 สาํ นกั งานเร่งรัดพฒั นาชนบทจังหวัดอาํ นาจเจรญิ พ.ศ. 2551 – ปจั จุบัน ตําแหนง่ เจ้าหน้าทว่ี ิเคราะหน์ โยบายและแผน 6 ศนู ยป์ ้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 7 อุบลราชธานี ตําแหนง่ เจา้ หนา้ ทว่ี เิ คราะหน์ โยบายและแผน 6 ศูนยป์ ้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 7 สกลนคร ตําแหนง่ เจ้าหน้าท่วี เิ คราะห์นโยบายและแผน 7 สํานักงานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั จงั หวัดอบุ ลราชธานี ตาํ แหนง่ นกั วิเคราะห์นโยบายและแผนชาํ นาญการ ศนู ยป์ ้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 13 อบุ ลราชธานี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook