ใบความรู้ เรอ่ื ง การเขยี นคาขวญั ความหมาย คาขวญั คอื ถ้อยคา สานวนที่แต่งขึ้นเพื่อเปน็ ข้อเตือนใจ และโนม้ น้าวจติ ใจชวนให้ปฏิบตั ติ ามคาขวญั คาขวญั มคี วามสาคญั มาก เพราะเปน็ เคร่อื งมือท่ใี ชเ้ ตอื นใจ ชักชวน จูงใจคนในสงั คมใหป้ ฏิบตั ิดี ปฏบิ ัตชิ อบ หรือเปน็ คาโฆษณา ประชาสมั พนั ธส์ นิ คา้ บรกิ ารของบรษิ ัท หา้ งรา้ น หรอื หนว่ ยงานตา่ ง ๆ ลกั ษณะของคาขวญั ถ้อยคา สานวนทีม่ ลี กั ษณะเป็นคาขวัญ มลี ักษณะดงั น้ี ๑. เปน็ ข้อความส้นั ๆ ไม่เกิน ๑๖ คา ๒. เปน็ ท้งั ร้อยแก้วและรอ้ ยกรอง ๓. มกั จะแต่งให้มีความคล้องจองกัน เพอ่ื ใหจ้ าง่าย ๔. มีความหมายลกึ ซึง้ กินใจ เด่น แปลก สะกิดใจ แจม่ แจ้งไมค่ ลมุ เครอื ๕. ถอ้ ยคาน้อยแตก่ ินความมาก ใช้ถอ้ ยคากระชบั ไม่ใช้ศัพท์ยาก ๖. เขียนเกี่ยวกบั เรอ่ื งตา่ ง ๆ ได้ทกุ เรือ่ ง หลกั การเขยี นคาขวญั การเขียนคาขวญั สามารถฝกึ ไดโ้ ดยปฏบิ ัตติ ามหลัก ดังนี้ ๑. มีความรูเ้ ร่ืองคาคล้องจอง ร้อยแกว้ รอ้ ยกรอง การใชถ้ อ้ ยคา ๒. รู้คาศพั ทแ์ ละความหมายของคามาก ๆ สามารถนามาใช้ได้ทันทีเม่อื จาเปน็ ตอ้ งใช้ ๓. ฝึกเขียนบอ่ ย ๆ จะทาให้เกิดความชานาญและสามารถเขียนคาขวญั ไดค้ ลอ่ งและดี ๔. ศกึ ษารายละเอยี ดเกีย่ วกบั จุดหมายหรอื วตั ถุประสงค์ของคาขวัญตามท่กี าหนดให้ ชัดแจ้ง เพือ่ จะไดแ้ นวทางใน การเขยี น การเขยี นคาขวญั สามารถเขยี นไดห้ ลายแบบ ไดแ้ ก่ ๑. การเขียนแบบคาคล้องจอง คาคลอ้ งจอง คือ คาที่ใช้สระเสยี งเดียวกนั และถ้ามีตวั สะกดจะต้องอยู่ มาตราหรือแมเ่ ดียวกัน แต่เสียงวรรณยกุ ต์ไมจ่ าเปน็ ต้องเหมือนกัน คาคล้องจองอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คาสัมผัส ซ่ึงมี ลกั ษณะของการสัมผัส ๒ ลักษณะ คอื ๑.๑ คล้องจองโดยสัมผัสอักษร เช่น เกิด - แก่ , เขา - ของ , มง่ั - มี ๑.๒ คลอ้ งจองโดยใช้เสยี งสระสัมผสั เช่น มี – ดี , มา – ตา , ปู – ดู คาคล้องจองมีตั้งแต่หนง่ึ พยางค์ข้นึ ไป การเขยี นคาขวญั นั้นคาสมั ผสั ไมไ่ ด้กาหนดตายตวั เราต้องสงั เกตเอง บางคร้ังก็สัมผัสคาเว้นคา พยางค์เว้นพยางค์ คาติดคา พยางค์ตดิ พยางค์ บางคร้ังหลายคาจงึ ใช้สัมผัส การเขียนคาขวัญ ในลกั ษณะคาคล้องจองนี้ สาคัญท่ีชว่ งจงั หวะสัมผัสวา่ เหมาะสมหรือไม่ เช่น เปบ๊ ซี่ ดีท่ีสุด (พยางคต์ ิดพยางค์) ถา่ นหนิ ลือชา รถม้าลอื ลน่ั (คาเว้นคา) ตน้ ไมค้ ือเพอื่ นชวี ติ เจ้าดดู อากาศพิษแทนขา้ (เว้นหลายคา) การเขยี นคาขวัญโดยสว่ นมากทพี่ บเห็น จะนยิ มเขียนเป็นแบบคาคลอ้ งจอง เพราะเขียนง่ายกว่ารอ้ ยกรอง และอา่ นล่นื ไหลกว่ารอ้ ยแก้ว เพราะมีเสียงสัมผัส เชน่ - พญาคาลือคู่บา้ น มะขามหวานคู่เมอื ง เงาพระธาตุลอื เล่ือง เมอื งน้าปดู ี ของ บญุ เรอื น หุ่นดี ชนะเลิศคาขวัญอาเภอแจห้ ่ม จังหวดั ลาปาง - โลหิตมีค่า เกินกวา่ ซอ้ื ขาย บริจาคได้กาไร ความภูมิใจชั่วชีวติ ของ บญุ เรอื น หุ่นดี ชนะเลศิ คาขวญั ปสี ากลแหง่ การบริจาคโลหติ จังหวดั ลาปาง ปี ๒๕๒๙ - โลกสวยเพราะป่าสร้าง โลกร้างเพราะปา่ สน้ิ
๒. การเขยี นคาขวัญแบบร้อยกรอง ร้อยกรอง คือถ้อยคาท่ผี ูกขึ้นตามแบบบังคับของคาประพันธ์ชนดิ นน้ั ๆ ไดแ้ ก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย การเขยี นคาขวญั โดยใชร้ ูปแบบรอ้ ยกรองเต็มบทตามลกั ษณะคาประพนั ธ์ ไมค่ ่อย นิยมเพราะใช้คามากและยาวไป ดูไม่เหมาะ อาจจะมบี า้ งก็ตดั มาเปน็ บาทหรอื วรรค เชน่ มีสลงึ พึงบรรจบให้ครบบาท หรือ มีความรอู้ ยกู่ บั ตวั กลัวอะไร ชวี ติ ไมป่ ลดปลงคงไดด้ ี ๓. การเขยี นคาขวัญแบบรอ้ ยแกว้ ร้อยแก้ว คือถ้อยคาที่เรยี บเรยี งขน้ึ อย่างไพเราะโดยไมม่ ีข้อบังคบั ในเรื่อง ของสัมผสั เอก โท การเขียนคาขวัญโดยใช้รอ้ ยแก้ว เขียนได้งา่ ย ถ้าร้จู กั ใช้คา ก็จะได้คาขวญั ที่มคี วามหมายดไี ด้ เช่น สามัคคีคือพลัง (ใช้คาน้อยกนิ ความมาก) จงทาดี จงทาดี จงทาดี (ใช้คาซ้า) คนขับเกง่ กวา่ ท่านมี แตต่ ายเสียแล้ว (แนวคดิ เด่น) ทส่ี ุดแล้วก็เป๊บซี่ (แนวคิดใหม่)
ใบงานที่ 1 พฒั นาการเขยี นเพอ่ื งานอาชพี 1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ 4- 6 คน 1.1 เลือกศึกษาและทาผลงานตามความสนใจ ดงั นี้ กล่มุ ที่ 1 การจดั ทาวารสารชมุ ชน กลุ่มท่ี 2 การเขยี นบทความ/สารคดี กลุม่ ที่ 3 การเขียนคาขวัญ กลมุ่ ท่ี 4 การเขียนข้อความโฆษณาและประชาสมั พันธ์ กลมุ่ ที่ 5 การเขยี นแผนภาพความคิด 1.2 ศกึ ษาแนวการเขยี นลักษณะต่าง ๆ (รูปลักษณ์ เน้อื หา แนวการเขยี น กลุม่ เป้าหมาย ฯลฯ) และจัดทาผลงาน เขยี นพร้อมทัง้ นาเสนอยกรา่ งผลงานกบั เพือ่ น ๆ แล้วให้เพอ่ื นร่วมกันประเมนิ ให้เหตุผลและแนวทางในการปรบั ปรุง พฒั นาใหด้ ขี น้ึ 1.3 นาผลงานทแ่ี ต่ละกลุ่มไดร้ ับมอบหมายใหไ้ ปศึกษามาจัดทาเปน็ รปู เล่มให้สวยงามเพือ่ เผยแพรใ่ นห้องสมุด ประชาชน
ใบงานที่ 2 เรอื่ ง การสะกดคา วิชา ภาษาไทย ตอนที่ ๑ คาสง่ั จงกาเครอ่ื งหมาย ทบั ตวั อกั ษรทเ่ี ขยี นผดิ และแกค้ าผดิ ให้ถกู ตอ้ ง ๑. ก. แพรง่ พราย ข. กวางทอง ค. ครอ่ งแคล่ว ง. แปลงรา่ ง แก้คาผิด............................. ๒. ก. ปะนปี ะนอม ข. เปรยี บเทยี บ ค. ตรวจตรา ง. เศร้าโศก แก้คาผิด............................. ๓. ก. ประดษิ ฐ์ ข. ครนื้ เครง ค. เคง่ เครยี ด ง. กวา้ งขวาง แก้คาผิด............................. ๔. ก. สรา้ งเสริม ข. ปลดปล่อย ค. ผรุนผลัน ง. หลากหลาย แก้คาผิด............................. ๕. ก. ปลาอนิ ทรี ข. ตะเตรยี ม ค. เหยาะแหยะ ง. ปูแสม แกค้ าผิด............................. ๖. ก. ปรารถนา ข. เปลง่ ปลัง่ ค. เครง่ ขลมึ ง. ตะกรา้ แก้คาผิด............................. ๗. ก. ปรศิ นา ข. กะวนกะวาย ค. สนุกสนาน ง. ปรวนแปร แก้คาผิด............................. ๘. ก. เกลอื่ นกลาด ข. กลมเกลยี ง ค. กดั กล้มุ ง. สงขลา แกค้ าผิด............................. ๙. ก. เกียดคร้าน ข. ใครค่ รวญ ค. กรีดกราย ง. กรว้ิ โกรธ แก้คาผิด............................. ๑๐. ก. กลับกลาย ข. ครัง้ คราว ค. เคร่งครดั ง. ตมตรอม แก้คาผิด............................. ตอนท่ี ๒ คาสง่ั จงนาคาทก่ี าหนดให้ มาแตง่ ประโยคใหม้ ีใจความสมบรู ณ์ ๑. กระวกี ระวาด …………………………………………………….. ๒. เหงาหงอย …………………………………………………….. ๓. ประมาท …………………………………………………….. ๔. อาการ …………………………………………………….. ๕. สภุ าษติ …………………………………………………….. จงนาคาทกี่ าหนดใหเ้ ขยี นเปน็ คาอ่าน ๑. ขมุกขมัว อ่านว่า ……………………… ๒. แกว่งไกว อ่านว่า ……………………… ๓. พรอ้ มเพรียง อา่ นวา่ …………………… ๔. สารวจ อ่านว่า ……………………….. ๕. ประมาท อ่านวา่ ……………………… ๖. วชิรญาณ อ่านวา่ …………………….. ๗. มหรสพ อ่านวา่ ……………………... ๘. เดียรจั ฉาน อ่านว่า ……………………. ๙. ปรากฏ อา่ นวา่ ……………………… ๑๐.สภุ าษิต อ่านวา่ ……………………… จงบอกความหมายของสานวนตอ่ ไปนี้ ๑. “เสน่ห์ปลายจวกั หมายถึง…………………………………………………………………… ๒. “ลกู ไม้หลน่ ไมไ่ กลตน้ ” หมายถึง………………………………………………
ใบงานท่ี 3 รปู แบบการเขยี นยอ่ ความ การยอ่ โอวาท ยอ่ โอวาทของ.................................... เนอื่ งในโอกาส..................................................... เมอื่ วันท.่ี ............เดือน....................พ.ศ. ..................จากหนังสอื .................................................. ความวา่ ........................................................................................................................... การยอ่ ประกาศ ย่อประกาศของ ............................................เร่ือง ........................................................... แด่ ...............................................................เนื่องในโอกาส.......................................................... เมอื่ วนั ท่ี..............เดือน..................พ.ศ. ...................จากหนังสือ.................................................. ความว่า .......................................................................................................................... การยอ่ บทสมั ภาษณ์ ย่อบทสมั ภาษณ์เรอ่ื ง........................................................................................................ ผู้ใหส้ ัมภาษณ์ ..................................................................มีอาชีพ................................................ ความวา่ ......................................................................................................................... การยอ่ บทความ บทความเร่อื ง ...........................................................ของ ............................................ จากหนังสือ ............................................................................................................................... ความว่า .......................................................................................................................
ใบงานที่ 4 คาช้ีแจง ให้ผูเ้ รยี นเตมิ คาในชอ่ งว่างใหค้ ลอ้ งจองกบั คาทีก่ าหนดให้ ตวั อย่าง ขิงกร็ า ................กแ็ รง ๑. ต้นรา้ ย ...............ดี ๒. หมูไป ......................มา ๓. พกั ..................... นอนหลบั ๔. ดิน..................... อากาศ ๕. คดในขอ้ .....................ในกระดกู ๖. น้าพึ่งเรือ .....................พง่ึ ปา่ ๗. บัวไมใ่ ห้.............. นา้ ไม่ใหข้ นุ่ ๘. ความรทู้ ่วม........... เอาตัวไมร่ อด ๙. ฟงั ไมไ่ ด้ศพั ท์ ......................มากระเดียด ๑๐. ขา้ งนอกสุก.......... ข้างในเป็นโพรง คาช้แี จง ใหท้ าเคร่อื งหมาย X ทบั ตวั อักษร ก ข ค หรือ ง หน้าคาตอบข้อท่ถี ูกต้อง ที่สดุ เพยี งขอ้ เดยี ว ๑. จะแตง่ คาขวัญใหไ้ ด้ดี ต้องมีหลกั การอยา่ งไร ก. ศึกษาจุดมุ่งหมายของคาขวญั ข. รู้ความหมายของคาศัพท์ ค. ฝกึ เขยี นคาขวญั บ่อย ๆ ง. ถกู ทกุ ขอ้ ๒. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ลักษณะของคาขวัญ ก. เขยี นได้เฉพาะบางเรื่อง ข. ถ้อยคาน้อยแตก่ นิ ความมาก ค. ข้อความสนั้ ๆ ไม่เกนิ ๑๖ พยางค์ ง. เป็นร้อยแกว้ รอ้ ยกรอง หรอื คาคล้องจอง ๓. “ลูกดอี ยูท่ แี่ ม่ .............................”จะเติมคาขวัญนอ้ี ย่างไร ก. รักลกู หมน่ั อบรม ข. เสริมคุณคา่ ให้สงั คม ค. คอยตกั เตือนให้ลูกดี ง. เลย้ี งดูแลและอบรม ๔. ขอ้ ใดเปน็ คาขวัญแบบรอ้ ยแก้ว ก. สามัคคีคอื พลงั ข. มีสลงึ พงึ ประจบให้ครบบาท ค. อา่ นน้อยอ่านนดิ อ่านแลว้ คิดได้ความรู้ ง. โลกสวยเพราะป่าสรา้ ง โลกร้างเพราะป่าส้ิน ๕. ข้อใดเปน็ คาขวญั เก่ยี วกบั สิง่ แวดลอ้ ม ก. ขบั ประมาท ขาดวินัย ภัยถึงตัว ข. ห่อหุม้ ทุกครง้ั ยบั ยั้งโรคเอดส์ ค. สิ้นป่า สิ้นฟา้ สนิ้ ธารา สน้ิ ชวี ติ ง. รกั ชีวิตกลวั ภัย ห่างไกลยาเสพติด
๖. ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ าขวัญ ก. เพียงงีบหนง่ึ กถ็ ึงแล้ว ข. โปรดชว่ ยกนั รกั ษาความสะอาด ค. ร้อยปกี าชาดไทย ร้อยใจช่วยสังคม ง. ธรรมชาติสะอาดตา เม่อื รกั ษาส่งิ แวดล้อม ๗. ขอ้ ใดเป็นคาขวญั ทีม่ ี ๑๖ พยางค์ ก. หว่ งลกู หว่ งหลาน อยา่ รุกรานสงิ่ แวดลอ้ ม ข. มุง่ หาความรู้ เชดิ ชคู วามเป็นไทย หลีกไกลยาเสพตดิ ค. วันวิสาขะ ลดละอบาย ชาระใจกาย ดว้ ยสายธารธรรม ง. เมอื งปราสาทหนิ ถิน่ ภูเขาไฟ ผา้ ไหมสวย รวยวัฒนธรรม ๘. “ขบั ประมาท ขาดวินัย ภยั ถงึ ตัว” เปน็ คาขวัญด้านใด ก. การจราจร ข. สิ่งแวดล้อม ค. ตอ่ ต้านยาเสพติด ง. การปอ้ งกนั โรคเอดส์ ๙. ข้อใดเป็นคาขวญั ประจาจังหวดั ก. ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน ข. นา้ มีคุณควรรกั ษา ป่ามีคา่ ควรดแู ล ค. สรา้ งคณุ ค่าให้สงั คม คืออบรมลกู รักดี ง. มีวินยั ใจซือสตั ย์ รปู้ ระหยัด เครง่ ครัดคณุ ธรรม ๑๐. จงเติมคาขวญั ตอ่ ไปน้ใี ห้สมบรู ณ์ ถา่ นหิน...................................... รถมา้ .......................................... เคร่อื งป้ัน................................... งามพระธาตุ.............................. ฝึกช้างใช.้ .................................. ก. ลือไกล ลือล่นั ลอื ชา ลือนาม ลอื โลก ข. ลอื ชา ลอื ลั่น ลอื นาม ลือไกล ลอื โลก ค. ลอื โลก ลือนาม ลือล่ัน ลอื ชา ลอื ไกล ง. ลอื นาม ลือชา ลอื ไกล ลอื ลั่น ลอื โลก
บันทกึ หลงั สอน 1. ปญั หาหรืออปุ สรรคในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ กกก……………………………………………………………………………..………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แนวทางการแก้ปัญหาหรอื อุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรับปรุงแผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ เรอ่ื ง การเขียน ก………………….…………………….………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………………………………… (……………………………………………………) ตาแหน่ง…………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผ้นู เิ ทศท่ไี ดร้ บั มอบหมายจากผ้บู รหิ าร ……………………………………………..………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง…………………………………………………. ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศกึ ษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง………………………………………………….
แผนการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ กลุ่มสาระความรพู้ น้ื ฐาน รายวิชา ภาษาไทย พท21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น แผนการจดั การเรยี นรเู้ รือ่ งท่ี 6 เรื่องหลักการใชภ้ าษา เวลา 6 ชั่วโมง สอนวันที่ …….……เดือน …………………พ.ศ.………......... ภาคเรยี นที่ ………ปีการศึกษา……….. มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ 1. รูแ้ ละเขา้ ใจชนิด และหนา้ ที่ของคา พยางค์ วลี ประโยค และสามารถอา่ น เขยี นไดถ้ กู ต้องตาม หลกั เกณฑ์ของภาษา 2. สามารถใช้เคร่ืองหมายวรรคตอน อกั ษรย่อ คาราชาศพั ท์ 3. สามารถวเิ คราะหค์ วามแตกต่างระหวา่ งภาษาพดู และภาษาเขยี น 4. รแู้ ละเข้าใจสานวน สุภาษิต คาพังเพยในการพูดและเขยี น ตวั ช้ีวัด 1. อธบิ ายความแตกต่างของคา พยางค์ วลี ประโยค ไดถ้ กู ตอ้ ง 2. ใช้เคร่อื งหมายวรรคตอน อักษรยอ่ คาราชาศัพท์ได้ถูกต้อง 3. อธิบายความแตกต่างระหวา่ งภาษาพูดและภาษาเขยี นได้ 4. อธบิ ายความแตกตา่ งความหมายของสานวน สุภาษติ คาพงั เพย และนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน ได้ถกู ตอ้ ง สาระการเรียนรู้ 1. คาราชาศพั ท์ 2. หลกั ในการสะกดคา 3. การใช้เครอ่ื งหมายวรรคตอน อักษรย่อและการใชเ้ ลขไทย 4. การใช้คาและการสรา้ งคาในภาษาไทย - การสรา้ งคาไทย - คาประสม - คาซ้อน - คาซ้า - คาสมาส คาสนธิ - หลักการสังเกตคาภาษาอืน่ ๆ ท่ใี ชใ้ นภาษาไทย 5. ชนิดของประโยค 6. การใช้ระดับภาษาท่เี ป็นทางการ และไมเ่ ป็นทางการ
กระบวนการจดั การเรยี นรู้ 1. ขั้นกาหนดสภาพปัญหาความตอ้ งการในการเรียนรู้ ครูและผูเ้ รยี นรว่ มกันกาหนดการเรียนรใู้ นเรือ่ งตอ่ ไปน้ี -หลกั การใชภ้ าษา -ความแตกต่างของคา พยางค์ วลี ประโยค -การใชค้ าและการสร้างคาในภาษาไทย - ให้ผูเ้ รยี นทากิจกรรมตามใบงาน 2. ขัน้ แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ ครูผูเ้ รียนร่วมกนั กาหนดกรอบเนือ้ หาเก่ียวกบั การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การใช้แหล่งเรยี นรู้ รวมท้งั การจดั การความรู้ 3. ขั้นปฏบิ ตั ิ และนาไปประยกุ ตใ์ ช้ 1.ครูและผ้เู รยี นสรุปสาระสาคัญและนาความรทู้ ี่สอดคลอ้ งกบั วถิ ีชวี ติ ไปเปน็ แนวทางในการดาเนนิ ชีวติ 2.จดั ทาเป็นรูปเลม่ รายงานจดั นทิ รรศการและอภิปรายร่วมกัน 4. ขนั้ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ 4.1 ครูและผู้เรยี นสรปุ สาระสาคญั ตามมาตรฐานการเรียนรู้ 4.2 ซกั ถาม 4.3 แบบประเมนิ การวัดผลประเมนิ ผล วธิ ีการวัด ประเมนิ จากการสังเกต การซกั ถาม ตอบคาถาม และแบบทดสอบกอ่ นเรียน เครอื่ งมอื ได้แก่ แบบประเมิน และแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เกณฑ์การวัด ผ่าน ต้องทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน ได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 50 ของคะแนนเต็ม สือ่ และแหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวชิ า ภาษาไทย พท21001 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ 2. ส่ืออินเทอรเ์ น็ต
ใบความรู้ คาราชาศพั ท์ คาราชาศพั ท์ คือคาสุภาพที่ใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ฐานะของบคุ คลต่างๆคาราชาศพั ทเ์ ปน็ การกาหนดคาและภาษาที่สะทอ้ นให้ เห็นถงึ วฒั นธรรมอันดงี ามของไทย แม้คาราชาศัพทจ์ ะมีโอกาสใช้ในชีวิตนอ้ ยแต่เป็นสง่ิ ท่แี สดงถึงความละเอียดออ่ นของ ภาษาไทยท่ีมีคาหลายรปู หลายเสยี งในความหมายเดยี วกัน และเปน็ ลกั ษณะพเิ ศษของภาษาไทยโดยเฉพาะ ซึ่งใช้กบั บคุ คล กลุ่มต่างๆ ดังตอ่ ไปนี้ 1. พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั และสมเด็จพระนางเจา้ พระบรมราชนิ นี าถ 2. พระบรมวงศานุวงศ์ 3. พระภิกษสุ งฆ์ สามเณร 4. ขนุ นาง ขา้ ราชการ 5. สุภาพชน การใชค้ าราชาศพั ทใ์ นการเพด็ ทลู หลกั เกณฑใ์ นการกราบบงั คมทูลพระเจา้ แผน่ ดนิ 1. ถา้ ผูร้ ับคากราบบงั คมทูลไม่ทรงรูจ้ กั ควรแนะนาตนเองวา่ \"ขอเดชะฝา่ ละอองธุลพี ระบาทปกเกล้าปกหระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ......................ชอ่ื ....................ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบงั คมทลู พระกรณุ าทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท\"และลงท้ายวา่ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ 2. ถา้ กราบบังคมทูลธรรมดา เชน่ ทรงมกี ระแสพระราชดารัสถามสา่ ชื่ออะไร กก็ ราบบังคมทูลว่า \"ขา้ พระพุทธเจ้าช่ือ ...................พระพทุ ธเจา้ ขา้ \" 3. ถา้ ต้องการกราบบงั คมทูลถึงความสะดวกสบาย หรือรอดอันตรายใหใ้ ช้คาว่า \"เดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ......................\" 4. ถา้ จะกราบบังคมทูลถึงสิ่งที่ทาผดิ พลาดไมส่ มควรทาใหใ้ ชค้ านา \"พระราชอาญาไมพ่ น้ เกลา้ พ้นกระหม่อม\" 5. ถ้าจะกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาใชค้ าว่า \"ขอพระบารมปี กเกลา้ ปกกระหมอ่ ม\" 6. ถา้ จะกราบบังคมทูลถงึ ของหยาบมบิ ังควร ใชค้ าว่า \"ไม่ควรจะกราบบงั คมพระกรณุ า\" 7. ถา้ จะกราบบงั คมทูลเป็นกลางๆ เพือ่ ใหท้ รงเลือก ใหล้ งท้ายวา่ \"ควรมีควร ประการใดสุดแล้วแต่จะทรงพระกรณุ า โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม\" 8. ถ้าจะกราบบังคมทูลถึงความคิดเหน็ ของตนเองใชว้ ่า \"เห็นดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม\" 9. ถ้ากราบบงั คมทูลถึงส่งิ ท่ีท่ีทราบใช้ว่า \"ทราบเกลา้ ทราบกระหมอ่ ม\" 10.ถา้ จะกราบบงั คมทูลถงึ การทาสิง่ ใดส่งิ หน่ึงถวายใช้คาวา่ \"สนองพระมหากรุณาธคิ ณุ \" 11.ถา้ จะกล่าวขออภัยโทษ ควรกลา่ วคาว่า \"เดชะพระอาญาไมพ่ น้ เกลา้ \" และลงท้ายวา่ ด้วยเกลา้ ด้วยกระหม่อม 12.การกลา่ วถึงสิ่งทไี่ ด้รับความอนเุ คราะห์ ใหใ้ ช้คาวา่ \"พระเดชพระคุณเป็นล้นเกลา้ ลน้ กระหมอ่ ม\" สาหรบั เจา้ นายตง้ั แตห่ มอ่ มเจา้ ขนึ้ ไป 1. ในการกราบบังคมทูล ไม่ตอ้ งใช้คาขึ้นต้นและลงท้ายถา้ เปน็ พระยุพราช , พระราชนิ แี ห่งอดตี รชั กาลและสมเด็จเจา้ ฟ้า ควรใช้สรรพนามแทนพระองคท์ ่านว่า \"ใต้ฝา่ ละอองพระบาท\" ใช้สรรพนามแทนตนเองวา่ \"ข้าพระพุทธเจ้า\" และใช้คา รบั วา่ \"พระพทุ ธเจา้ ข้า\" 2. เจ้านายช้ันรองลงมา ใช้สรรพนามแทนพระองคว์ า่ \"ใต้ฝา่ พระบาท\" ใชส้ รรพนามแทนตนเองวา่ \"เกล้ากระหมอ่ ม\" ใช้ คารับว่า \"พระเจา้ ขา้ \" เจ้านายชน้ั สมเดจ็ พระยาและพระยาพานทอง ใชส้ รรพนามของทา่ นวา่ \"ใตเ้ ทา้ กรุณา\" ใช้สรรพ นามของตนว่า \"เกลา้ กระหมอ่ ม\" คารับวา่ \"ขอรบั กระผม\" 3. คาที่พระภกิ ษใุ ช้เพด็ ทลู ต่อพระเจ้าแผ่นดนิ แทนคารับวา่ \"ถวายพระพร\" แทนตนเองวา่ \"อาตมภาพ\" ใชส้ รรพนามของ พระองค์ว่า \"มหาบพติ ร\"
วธิ ีใช้คาประกอบหนา้ คาราชาศพั ท์ 1. พระบรมราช ใชป้ ระกอบหน้าคาเพอื่ ให้เหน็ วา่ สาคัญย่ิง ในกรณที ่ีตอ้ งการเชิดชูพระราชอานาจ 2. พระบรม ใช้ประกอบหนา้ คาเพ่ือใหเ้ ห็นวา่ สาคญั ยงิ่ ในกรณที ่ตี ้องการเชิดชูพระราชอสิ ริยยศ 3. พระราช ใช้ประกอบหน้าคาเพอ่ื ให้เห็นว่าสาคญั รองมาจาก พระบรม เพอ่ื แสดงให้เหน็ วา่ เปน็ สิ่งเฉพาะขององค์พระ เจา้ แผน่ ดิน วธิ ใี ชค้ าประกอบหลงั คาราชาศพั ท์ 1. ทรง ใชป้ ระกอบหลังคานาม เพอ่ื เป็นคานามราชาศัพท์ 2. ต้น ใชป้ ระกอบหลังคานามสาคัญทวั่ ไป เพ่ือทาให้เปน็ คานามราชาศัพท์ มักใชก้ ับส่ิงท่ีโปรดเป็นพเิ ศษ 3. หลวง ใช้ประกอบหลังคานามสามัญท่ัวไป เพ่อื ให้เป็นนามราชาศัพท์ 4. พระท่ีนงั่ ใช้ประกอบหลังคานามสามญั เพ่ือให้เป็นนามราชาศัพท์ มคี วามหมายว่าเปน็ ท่ปี ระทบั สว่ นพระองคราชา ศพั ท์สาหรบั พระภิกษุสงฆ์ ราชาศพั ทส์ าหรบั พระภกิ ษสุ งฆ์ ไทยเรามีคาพดู ท่ใี ช้กับพระภกิ ษุโดยเฉพาะอยู่ประเภทหนงึ่ บางทกี ็เปน็ คาทพี่ ระภิกษุเป็นผ้ใู ช้เองซง่ึ คนไทยสว่ นใหญ่จะ รจู้ กั กนั หมดแลว้ เชน่ คาว่า อาตมาภาพ หรอื อาตมามคี วามหมายเทา่ กับ ฉัน บางคากท็ ัง้ ทา่ นใชเ้ องและเราใช้กบั ทา่ น เช่น คา ว่าฉนั หมายถงึ กนิ เป็นต้น การพูดกบั พระภิกษุต้องมสี มั มาคารวะ สารวมไม่ใช้ถอ้ ยคาท่เี ป็นไปในทานองพูดเล่นหรอื พดู พลอ่ ยๆซึ่งจะเป็นการขาดความเคารพไปสาหรับพระภกิ ษุ เราจาเปน็ ตอ้ งทราบราชทนิ นามเรยี กวา่ พระภิกษผุ ทู้ รงสมณะศกั ดิ์ ของพระภิกษุเรยี งลาดับไดด้ งั น้ีเพอ่ื ที่จะไดใ้ ช้ได้อยา่ งถูกตอ้ ง 1. สมเด็จพระสงั ฆราช 2. สมเดจ็ พระราชาคณะ หรอื ชั้นสุพรรณปัฏ คือ พระภิกษุทีม่ ีราชทนิ นามนาหน้าด้วยคาว่า \"สมเด็จพระ\" 3. พระราชาคณะชั้นรอง 4. พระราชาคณะชั้นธรรม พระราชาคณะชน้ั น้ีมกั มีคาว่า \"ธรรม\" นาหนา้ 5. พระราชาคณะช้ันเทพ พระราชาคณะช้ันน้มี กั มีคาว่า \"เทพ\" นาหนา้ 6. พระราชาคณะชนั้ ราช พระราชาคณะช้นั นีม้ ักมคี าวา่ \"ราช\" นาหนา้ 7. พระราชาคณะชัน้ สามญั 8. พระครูสัญญาบัตร, พระครูชัน้ ประทวน , พระครูฐานานุกรม 9. พระเปรียญตัง้ แต่ 3-9 การใชค้ าพูดกบั พระภิกษทุ รงสมณะศักดทิ์ ี่ผิดกันมากคือช้นั สมเด็จพระราชาคณะเหน็ จะเป็นเพราะมคี าว่า \"สมเด็จ\" นาหนา้ จึงเขา้ ใจวา่ ตอ้ งใชค้ าราชาศพั ท์ ซ่งึ ผิด ความจรงิ แลว้ พระภกิ ษทุ รงสมณะศกั ด์ิที่ตอ้ งใช้ราชาศัพท์มีเฉพาะเพยี งสมเดจ็ พระสงั ฆราชเท่านน้ั เว้นแตพ่ ระภกิ ษรุ ปู นนั้ ๆ ทา่ นจะมฐี านันดรศกั ด์ทิ างพระราชวงศ์อยู่แลว้ . คาราชาศพั ทท์ ค่ี วรทราบ พระภกิ ษทุ เ่ี ปน็ พระราชวงศ์ใช้ราชาศพั ท์ตามลาดบั ชน้ั แหง่ พระราชวงศ์ สาหรบั สมเด็จพระสังฆราชเจ้า(สมเด็จพระสังฆราชท่ี เปน็ พระราชวงศ)์ ใชด้ งั น้ี คาขึ้นต้น ใชว้ ่า ขอประทานกราบทูล (กลา่ วพระนามเต็ม) สรรพนามแทนผู้พูด ใช้วา่ ข้าพระพทุ ธเจา้ สรรพนามแทนพระองค์ทา่ น ใชว้ ่า ใต้ฝา่ พระบาท คาลงทา้ ย ใชว้ ่า ควรมคิ วรแลว้ แต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สมเด็จพระสงั ฆราชซ่งึ ดารงตาแหนง่ สกลมหาสังฆปรณิ ายก ใช้ราชาศัพท์เสมอพระเจ้าวรวงศ์เธอ (ทมี่ ไิ ดท้ รงกรม) เช่น คาขน้ึ ตน้ ใชว้ ่า กราบทูล (กลา่ วพระนามเตม็ ) สรรพนามแทนผู้พูด ใช้ว่า เกล้ากระหมอ่ ม (สาหรับชาย), เกลา้ กระหม่อมฉัน(สาหรับหญิง) สรรพนามแทนพระองค์ทา่ น ใช้ว่า ฝา่ พระบาท คาลงทา้ ย ใชว้ ่า ควรมิควรแล้วแตจ่ ะโปรด
ใบความรู้ คาสุภาพ คาสุภาพ หมายถงึ คาทไี่ ด้ยนิ แล้วน่าฟงั ชวนฟังเป็นถ้อยคาท่ีเหมาะสมลักษณะของคาสภุ าพ คือคาท่ี... ไมเ่ ปน็ คาหยาบ ไม่เปน็ คาที่ไดย้ นิ แลว้ ไม่นา่ ฟัง ไม่เปน็ คากระดา้ ง ไม่เปน็ คาทส่ี ัน้ หรอื ห้วนไป เป็นคาที่พดู ผวนแลว้ ไมห่ ยาบ เปน็ คาที่ไม่นิยมเปรียบกับของหยาบ เปน็ คาทีย่ มื มาจากภาษาบาลี สันสกฤต และเขมน เช่น คาสุภาพ คาสามัญ กรนิ ี ช้างตัวเมีย กรอกขวด ใสข่ วด กรอกหมอ้ ใสห่ มอ้ กรอกไห ใสไ่ ห กระบือ ควาย กระบือถ่ายมูล ควายขี้ กล้วยเปลือกบาง กลว้ ยไข กล้วยสน้ั กลว้ ยกุ กลด้ กระดมุ ใสก่ ระดมุ กาฬโรค โรคหา่ กฏี (กี ตะ) แมลงต่างๆ กญุ ชรถา่ ยมูล ชา้ งข้ี กมุ ฝอย ขฝี้ อย กึง่ ตาลึง สางบาท เครอ่ื งหมายวรรคตอนในภาษาไทย เครอื่ งหมายวรรคตอน หมายถึง เครื่องหมายทช่ี ว่ ยใหเ้ ห็นวรรคตอนของข้อความหรอื ประโยค โดยเขยี นเพ่อื ทา ใหข้ อ้ ความหรอื ประโยคนนั้ เดน่ ชดั ขึน้ และทาให้อ่านได้อยา่ งถูกตอ้ งชดั เจน 1. ไมย้ มก หรือ ยมก ช่อื เคร่ืองหมายวรรคตอน รปู ดังน้ี ๆ มหี ลักเกณฑก์ ารใช้ดังนี้ ใช้เขยี นหลงั คา วลี หรือประโยค เพอ่ื ใหอ้ า่ นซา้ คา วลี หรอื ประโยค อกี คร้งั หน่ึง ตวั อยา่ ง 1. เด็กเลก็ ๆ อา่ นว่า เดก็ เล็กเลก็ 2. ในวันหนึง่ ๆ อ่านว่า ในวันหนึ่งวันหน่งึ 3. แต่ละวนั ๆ อ่านว่า แตล่ ะวนั แต่ละวนั หมายเหตุ 1. คาที่เปน็ คาซ้า ตอ้ งใชไ้ ม้ยมก หรอื ยมก (ๆ) เสมอเชน่ สีดาๆ เด็กตัวเล็ก ๆ
2. หา้ มใช้ไมย้ มก หรือยมก (ๆ) ในกรณดี งั ตอ่ ไปนี้ 2.1 เม่อื เปน็ คาคนละบท คนละความ เชน่ “ฉนั จะไปปทมุ วนั ๆ นี้” ผิด ตอ้ งเขียนเป็น “ฉนั จะไปปทุมวันวันน้ี” 2.2 เมื่อรูค้ าเดิมเป็นคา 2 พยางค์ ที่มเี สียงซ้ากนั เชน่ นานา เชน่ นานาชาติ นานาประการ 2.3 เมื่อเป็นคาคนละชนิดกัน เชน่ คนคนน้มี วี ินัย (คน คาแรกเป็นคาสามานยนาม คน คาหลงั เป็นลกั ษณะนาม) 2.4 เมอ่ื เป็นคาประพันธ์ เช่น หวน่ั หวัน่ จติ คิดคิดครวญครวญหา คอยคอยหายหลายหลายนัดผดั ผัดมา 2. ทณั ฑะฆาต ชอ่ื เครื่องหมายวรรคตอน รูปดังน้ี ( ์ ) มีหลักเกณฑ์การใชด้ งั นี้ ใช้เตมิ เหนอื พยัญชนะ พรอ้ มดว้ ยสระบนและสระลา่ ง ท่ไี ม่ต้องการใหอ้ อกเสียง แต่ต้องการคงรูปแบบตวั อกั ษรไว้ หรอื ไม่ สามารถออกเสียงได้ในภาษาไทย ตวั อักษรท่ีเติมไมท้ ณั ฑฆาตเรียกว่าตัวการันต์ ส่วนใหญค่ าทป่ี รากฏทนั ฑฆาต จะเป็นคาทย่ี ืมมาจากภาษาต่างประเทศหรอื คาทับศพั ท์ บางคนเขียนทัณฑฆาตคลา้ ยเลขไทย (๙)คาทป่ี รากฏทัณฑฆาตแต่ ยังคงออกเสยี ง พยญั ชนะอยู่ มเี พียงคาเดยี วเท่านน้ั คือ สริ กิ ิต์ิ (อา่ นว่า สิ-หริ-กดิ ) ในการเขียนภาษาบาลีหรอื ภาษา สนั สกฤตด้วยอกั ษรไทย บุคคลบางกลุ่มใชท้ ัณฑฆาตเป็นเครอ่ื งหมายระบพุ ยัญชนะสะกด แตส่ ว่ นใหญ่จะใชพ้ นิ ทุ (-) แทน 3. โคมูตร (โค-มูด) หรือ เย่ยี วววั ฆาต ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ (๛) เป็นเครอ่ื งหมายวรรคตอนไทยโบราณ ใช้เม่ือเตมิ ท้ายเมอ่ื จบบทหรือจบเลม่ พบได้ในหนังสือ หรือบทกลอนรนุ่ เก่า ถ้าใช้คกู่ ับองั คัน่ คูแ่ ละวิสรรชนยี ์ จะเปน็ อังคนั่ วิสรรชนยี โ์ คมูตร (๚ะ๛) ซึ่งหมายถงึ จบบรบิ รู ณ์ ทีม่ าและการใช้ คาว่า โคมูตร มคี วามหมายวา่ เย่ยี วววั ไมป่ รากฏทีม่ าทีช่ ัดเจน แต่ปรากฏในหนงั สือรุ่นเก่าๆ จาพวกรอ้ ยกรอง อยา่ งไรก็ตาม ในภาษาสันสกฤต มีคาว่า โคมตู ร มีความหมายวา่ คล้ายรอยเยีย่ ววัว ลักษณะของเสน้ ทคี่ ดไปมา หรือเส้น ฟันปลา จงึ เป็นไปได้ว่าเราน่าจะเรียกเครอ่ื งหมายน้ี ตามอย่างหนังสือสนั สกฤตมาตัง้ แต่ครง้ั โบราณ ในประชุมลานาของหลวงธรรมามณฑ์ (ถึก จิตรถกึ ) เรยี กเคร่อื งหมายนี้วา่ สูตรนารายณ์ ระบุการใช้ว่า ใชห้ ลัง วสิ รรชนยี ์ (ท่ปี ดิ ทา้ ยสุด) ในปัจจบุ นั ไมค่ ่อยมีผู้ใชเ้ คร่อื งหมายโคมตู ร อาจพบได้ในงานของกวีบางท่าน เชน่ องั คาร กัล ยาณพงศ์ เป็นต้น อนึ่ง โคมูตร ยงั หมายถึง กลมุ่ ดาวในวชิ าดาราศาสตร์ไทย เรียกวา่ ดาวฤกษม์ ฆา ประกอบดว้ ยดาว 5 ดวง คอื ดาว วานร ดาวงอน ดาวไถ ดาวงูผู้ และดาวมฆ หรือดาวมาฆะ (การเรียกกลมุ่ ดาวฤกษ์ของไทยนนั้ นยิ มเรียก เพียงแตด่ าว แล้วตามด้วยช่อื ไมเ่ รียกว่า กลุ่มดาว อย่างวชิ าดาราศาสตร์ในปจั จุบนั ) ตวั อยา่ ง ๏ จก ภพผุดท่ามเว้ิง. วรรณศิลป์ จ้ี แก่นชาตหิ วาดถวลิ . เล่าไว้ รี้ ร้สี ่ังสายสนิ ธ์.ุ .... ครวญครา่ ไร แกน่ ชวี ติ ไร้.... เร่งร้พู ุทธธรรม ๚ะ๛ จาก เพยี งครหู่ นึ่งก็ม้วยเสมอฝัน ของ องั คาร กลั ยาณพงศ์ 4. ยามักการ หรือ ยามกั การ์ ชือ่ เครื่องหมายวรรคตอน รปู ดังนี้ (-) มลี ักษณะคล้ายเลขอารบิก 3 ทีก่ ลบั ด้าน (Ɛ) ใช้เตมิ เหนอื พยัญชนะ ที่ตอ้ งการระบวุ า่ พยัญชนะใดเปน็ อกั ษรนา หรืออักษรควบกลา้ เชน่ สวากขาโต (สะ-หวาก-ขา-โต) พราหมณ (พราม-มะ-นะ) ปัจจุบนั ไมน่ ิยมใชแ้ ล้ว เนื่องจากมรี ปู รา่ งคลา้ ยทณั ฑฆาต (-์) แต่ยงั สามารถพบได้ในหนงั สือมนตพ์ ิธี (หนังสอื สวดมนต)์ ตา
5. ไปยาลนอ้ ย หรอื เปยยาลนอ้ ย ช่ือเครอื่ งหมายวรรคตอน รปู ดังนี้ ฯ มหี ลักเกณฑ์การใชด้ ังน้ี 1. ใชล้ ะคาท่รี ู้กันดีแล้วโดยละส่วนท้ายไว้เหลอื แต่สว่ นหนา้ ของคาพอเปน็ ทีเ่ ข้าใจ เชน่ กรงุ เทพฯ คาเต็มคอื กรงุ เทพมหานคร 2. ใช้ละสว่ นท้ายของวสิ ามานยนาม ซ่งึ ได้กล่าวมาก่อนแลว้ เชน่ มหามกุฎราชวิทยาลัย เขยี นเป็น มหามกุฎฯ หมายเหตุ ก. สาหรับคาท่ีเปน็ แบบแผน (ดังปรากฏในข้อ 1) ในเวลาอ่านจะต้องอา่ นเต็มจงึ จะนับว่าอ่านถูกต้อง ข. ถ้าไม่ใช่คาท่ีเปน็ แบบแผน (ดงั ปรากฏในขอ้ 2) จะอ่านเตม็ หรอื ไม่กไ็ ด้ 3. คาว่า ” ฯพณฯ “ อ่านว่า “พะนะท่าน “ ใช้เป็นคาหน้าช่อื หรอื ตาแหนง่ ข้าราชการผ้ใู หญ่ ต้ังแต่ระดบั รฐั มนตรขี ้นึ ไปและเอกอคั รราชทตู เป็นตน้ เช่น ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 6. ไปยาลใหญ่ หรือ เปยยาลใหญ่ ชอ่ื เครอ่ื งหมายวรรคตอน รูปดงั นี้ ฯลฯ มหี ลกั เกณฑ์การใช้ดังต่อไปน้ี 1. ใช้สาหรบั ละข้อความขา้ งท้ายที่อยใู่ นประเภทเดียวกันซึง่ ยงั มอี ีกมาก แต่ไมไ่ ด้นามาแสดงไว้ เช่น สิ่งของทซ่ี อื้ ขายกันในตลาดมี เน้อื สตั ว์ ผัก นา้ ตาล น้าปลา ฯลฯ การอา่ นเครือ่ งหมายไปยาลใหญห่ รือเปยยาลใหญ่ท่อี ยู่ ข้างทา้ ยข้อความใหอ้ ่านวา่ “ละ” หรอื “และอ่ืน” 2. โบราณใช้ละคาหรอื ข้อความท่ีอยตู่ รงกลางกไ็ ด้ โดยบอกตอนต้นและตอนจบไว้ เช่น พยัญชนะไทย 44 ตัว มี ก ฯลฯ ฮการอา่ นเคร่อื งหมายไปยาลใหญ่ ที่อยู่ตรงกลางขอ้ ความ อ่านวา่ “ละถึง” 7. ฟองมัน หรอื ตาไก่ ช่อื เคร่ืองหมายวรรคตอน รูปดงั น้ี (๏) เปน็ เครื่องหมายวรรคตอนทน่ี ิยมใชใ้ นหนังสือไทยสมัยโบราณ ใชเ้ มอ่ื ขึ้นตน้ บท ตอน หรือเรื่อง ท้ังคาประพนั ธ์ ร้อยกรองและรอ้ ยแกว้ โดยไม่จาเป็นตอ้ งยอ่ หนา้ หรอื ขนึ้ บรรทัดใหม่ อยา่ งไรกต็ าม ในปจั จุบันนี้นิยมใชฟ้ องมันเม่อื ขนึ้ ต้น บทร้อยกรองเท่าน้นั ๏ เดือนสิบเอด็ เสรจ็ ธรุ ะพระวสา รบั กฐนิ ภญิ โญโมทนา ชลุ ีลาลงเรือเหลืออาลัย จาก นริ าศภูเขาทอง นอกจากเครอื่ งหมายฟองมันทีเ่ ป็นรูปวงกลมแล้ว ในสมัยโบราณยังนยิ มใชเ้ คร่ืองหมาย ฟองมันฟันหนู ( ๏̎ ) น่ันคอื มเี ครอื่ งหมายฟันหนู (\") วางอยบู่ นฟองมนั ใช้กากับเมือ่ จะขนึ้ ต้นบทหรือตอนโดยมชี ื่อเรยี กอ่ืนอกี เชน่ ฟนั หนฟู อง มัน หรอื ฝนทองฟองมนั บางแหง่ ใช้เครอื่ งหมายวงกลมเล็ก ( ๐̎ ) มีฟันหนวู างอยูข่ ้างบนเรียกว่าฟองดนั 8. องั คนั่ เป็นชื่อเรียกรวมของเครอื่ งหมายวรรคตอนโบราณ แบง่ เปน็ อังคัน่ เดี่ยวและอังคน่ั คู่ อังค่นั เดี่ยว หรอื คน่ั เด่ยี ว หรอื ขน้ั เดีย่ ว ชื่อเคร่อื งหมายวรรคตอน รูปดังน้ี (ฯ) มีหลกั เกณฑ์การใช้ดังตอ่ ไปน้ี เป็นเครือ่ งหมายวรรคตอนที่นิยมใชใ้ นหนงั สอื ไทยสมยั โบราณ ใชเ้ ม่ือจบบท ตอน หรอื เรื่อง ทั้งคาประพนั ธร์ อ้ ย กรองและรอ้ ยแก้ว ใช้สญั ลักษณ์เดยี วกนั กบั ไปยาลน้อย ปัจจุบันมอี ังคั่นเดย่ี วให้เห็นในหนงั สือวรรณคดีและตาราเรยี น ภาษาไทยเทา่ น้ัน อังค่ันคู่ หรอื คัน่ คู่ หรอื ขั้นคู่ ชื่อเคร่อื งหมายวรรคตอน รูปดงั นี้ (๚) เป็นเครือ่ งหมายวรรคตอนปรากฏในหนังสือไทยโบราณ ใชใ้ นบทกวีตา่ งๆ โดยมีไว้ใช้จบตอน นอกจากน้ยี งั มีการ ใชอ้ ังค่ันคกู่ ับเครือ่ งหมายอน่ื ไดแ้ ก่ อังคั่นวสิ รรชนยี ์ (ฯะ, ๚ะ) ใช้เมอ่ื จบบทกวี และ องั คน่ั วิสรรชนยี โ์ คมตู ร(๚ะ๛) ใช้จบ บรบิ ูรณ์ 9. จลุ ภาค ชอ่ื เครอ่ื งหมายวรรคตอน รูปดังน้ี , มหี ลักเกณฑก์ ารใชด้ งั น้ี 1. ใช้ค่นั จานวนเลขนับจากหลกั หนว่ ยไปทีละ 3 หลกั เชน่ 1,500 อา่ นว่า หนึ่งพันห้าร้อย
2,350,000 อ่านว่า สองล้านสามแสนหา้ หมื่น 2. ใช้แยกวลีหรอื อนุประโยคเพื่อกันความเขา้ ใจสับสน เช่นนายเทิดศกั ด์ิท่นี ัง่ คู่กบั นางยุพดี, เป็นผอู้ านวยการ โรงเรยี น 3. ใช้คน่ั คาในรายการทีเ่ ขยี นตอ่ ๆ กัน ตัง้ แต่ 3 รายการข้นึ ไป โดยเขยี นค่นั แต่ละรายการ ส่วนหน้าคา “และ” หรอื “หรอื ” ทอ่ี ย่หู นา้ รายการสดุ ทา้ ยไมจ่ าเปน็ ตอ้ งใส่เคร่อื งหมายจุลภาค เช่นพระรัตนตรยั คอื แก้ว 3 ประการ หมายถงึ พระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์ 4. ใช้ในการเขยี นบรรณานุกรม ดรรชนี และนามานุกรม เชน่ คึกฤทธ์ิ ปราโมช, ม.ร.ว. 5. ใช้ในหนงั สือประเภทพจนานุกรมเพ่อื คน่ั ความหมายของคาทีม่ ีความหมายหลาย ๆ อย่าง เชน่ บรรเทา ก. ทุเล หรือทาใหท้ ุเลา, ผอ่ นคลายหรอื ทาให้ผ่อนคลายลง 10.มหัพภาค ช่ือเคร่ืองหมายวรรคตอน มรี ปู ดงั น้ี . มหี ลักเกณฑก์ ารใช้ดังนี้ 1. ใชเ้ พื่อแสดงวา่ จบประโยคหรอื จบความ เชน่ กรี น. กระดกู แหลมที่หัวกุ้ง. 2. ใช้เขียนไวห้ ลงั ตัวอักษร เพ่อื แสดงวา่ เปน็ อกั ษรย่อ เชน่ ม.ค. คาเต็มว่า มกราคม 3. ใชเ้ ขยี นไว้ขา้ งหลังตวั อกั ษรหรอื ตัวเลขที่บอกลาดบั ข้อ เชน่ 1. ก. หรอื 1. 1. ข. 2. ในกรณที ม่ี ีหัวขอ้ ยอ่ ย ใหใ้ สล่ าดบั ข้อยอ่ ยไวห้ ลงั จดุ เช่น 1.1 อา่ นวา่ หน่ึงจดุ หน่ึง 1.10 อา่ นว่า หนึ่งจดุ สบิ 4.1.12 อ่านวา่ ส่ีจุดหนึง่ จุดสิบสอง 4. ใชค้ ่นั ระหวา่ งชว่ั โมงกบั นาทเี พอ่ื บอกเวลา เช่น 9.30 น. อ่านว่า เกา้ นาฬิกาสามสิบนาที 5. ใช้เป็นจุดทศนิยม แลว้ จดุ ทศนิยมให้อา่ นตัวเลขเรยี งกันไป เช่น 2.345 อ่านว่า สองจดุ สามสหี่ า้ 10.75 วินาที อา่ นว่า สิบจุดเจด็ หา้ วนิ าที 4.567 เมตร อ่านวา่ สี่จดุ หา้ หกเจด็ เมตร ยกเวน้ ในกรณเี งินตรา ถ้าอา่ นเป็นหน่วยเงนิ ตราได้ ให้อ่านตามหนว่ ยเงนิ ตราน้ัน เชน่ 10.50 บาท อา่ นวา่ สิบบาทห้าสิบสตางค์ 7.75 ดอลลาร์ อ่านว่า เจ็ดดอลลาร์เจด็ สิบหา้ เซนต์ 11. ทวิภาค ชื่อเคร่ืองหมายวรรคตอน มีรูปดังน้ี : ทวิภาค (ทะ-วิ-พาก)คอื เครอื่ งหมายจดุ สองจดุ วางเรียงกนั ใหจ้ ดุ หนึง่ อยู่เหนืออกี จุดหนง่ึ . ในภาษาอังกฤษ เรยี กเครอ่ื งหมายนวี้ ่า colon. ภาษาไทยเรยี กว่า ทวิภาค แปลว่า สองส่วน. ทวิภาค เป็นเครอื่ งหมายที่ใชต้ อ่ ระหวา่ งข้อความหลกั กบั สว่ นทม่ี าขยาย หรือสว่ นท่ชี ้ีเฉพาะ เชน่ จงเขยี น เรยี งความเรื่อง แผ่นดินชอ่ื เครือ่ งหมายวรรคตอน มรี ปู ดังนี้ : แหลง่ กาเนดิ ของสรรพส่งิ . หมายความว่า งานชิ้นนวี้ ่าดว้ ย เร่อื ง แผน่ ดนิ แตก่ าหนดเฉพาะในประเดน็ ท่เี ปน็ แหลง่ กาเนิดของส่งิ ต่าง ๆ เท่านนั้ . ๑. ใช้ไขความ แทนคา “คือ” หรอื “หมายถงึ ” ตวั อยา่ ง (๑) กฤษณา : กฤษณาสอนน้อง แบบเรียนกวีนพิ นธ.์ (๒) เพชรมงกฎุ : ลิลติ เพชรมงกฎุ ฉบับหอพระสมดุ วชริ ญาณ. ๒. ใช้หลงั คา “ดังน้ี” “ดังตอ่ ไปนี้” เพ่อื แจกแจงรายการ
ตัวอย่าง ในสวนของนายเขียวมไี มผ้ ลชนดิ ต่าง ๆ ดงั น้ี : ละมดุ , ขนนุ , ลางสาด, เงาะ, มงั คุด และทุเรยี น. ๓. ใชค้ น่ั บอกเวลา ตัวอยา่ ง (๑) ๖ : ๔๕ น. [หก-นา-ล-ิ กา-ส่-ี สิบ-ห้า-นา-ท]ี (๒) ๗ : ๓๐ : ๔๕ น. [เจ็ด-นา-ล-ิ กา-สาม-สิบ-นา-ที-ส่-ี สิบ-หา้ -วิ-นา-ท]ี (๓) ๘ : ๒๐ : ๓๘.๘๐ น. [แปด-นา-ลิ-กา-ย-ี่ สบิ -นา-ที-สาม-สิบ-แปด-จดุ -แปด-สูน-ว-ิ นา-ท]ี 12. ไขป่ ลาหรือจุดไขป่ ลา ชื่อเคร่อื งหมายวรรคตอน รูปดงั น้ี …. มีหลักเกณฑ์การใช้ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ใชส้ าหรับละข้อความท่ีไม่จาเป็นหรือไมต่ ้องการกล่าวเพอ่ื จะชี้วา่ ข้อความท่ีนามากล่าวนัน้ ตดั ตอนมา เพียงบางส่วน ใชไ้ ด้ทง้ั ตอนข้นึ ต้น ตอนกลาง และตอนท้ายข้อความ โดยใช้ละดว้ ยจุดอย่างนอ้ ย 3 จุด เช่น ” …ภาษาไทยน้ันเป็นเครื่องมืออย่างหนง่ึ ของชาติ ภาษาทงั้ หลายเปน็ เครอื่ งมือของมนุษย์ชนดิ หนึง่ คือ เป็น ทางสาหรับแสดงความคดิ เห็นอยา่ งหนง่ึ เป็นส่งิ สวยงามอยา่ งหนงึ่ เชน่ ในทางวรรณคดี เปน็ ตน้ ฉะนั้นจึงจาเปน็ ต้องรักษา เอาไว้ใหด้ ี ประเทศไทยน้ันมีภาษาของเราเองซึ่งตอ้ งหวงแหน … เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จงึ สมควร อยา่ งยงิ่ ท่ีจะรกั ษาไว้ …” พระราชดารสั ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ชมุ นุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย วนั ท่ี 29 กรกฎาคม พ.ศ.2505 2. ในบทร้อยกรอง ถา้ ละขอ้ ความตัง้ แต่1 บรรทัดขึ้นไป ให้ใช้เครอ่ื งหมายไขป่ ลา หรอื จุดไข่ปลา ยาว ตลอดบรรทัด เชน่ เร่อื ยเรือ่ ยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่า สนธยาจะใกลค้ า่ คานงึ หนา้ เจ้าตราตรู …………………………………………………………………… ปกั ษมี ีหลายพรรณ บ้างชมกนั ขันเพรียกไพร ยง่ิ ฟงั วังเวงใจ ล้วนหลายหลากมากภาษา ในการอ่านออกเสยี ง เม่ือมเี คร่ืองหมายไข่ปลา หรอื จดุ ไข่ปลา ตามตัวอยา่ งข้างต้นควรหยดุ เลก็ นอ้ ยกอ่ น แลว้ จงึ อ่านวา่ “ละ ละ ละ” แลว้ หยุดเลก็ น้อยกอ่ นอา่ นขอ้ ความต่อไป 13. วภิ ัชภาค ช่ือเครอ่ื งหมายวรรคตอน รูปดงั น้ี :– มีหลักเกณฑ์การใชด้ งั ต่อไปน้ี ใช้หลังคา “ดงั น้ี” “ดงั ตอ่ ไปนี้” เพ่อื แจกแจงรายการ รายการท่ีตามหลังเคร่อื งหมายวิภัชภาคใหข้ น้ึ ย่อ หน้าใหม่ และใช้กบั รายการทแี่ จกแจงครบทุกรายการ ตวั อยา่ ง การสมั มนาคร้ังนี้มีผู้แทนจากส่วนราชการตา่ ง ๆ เข้ารว่ มประชมุ ดังตอ่ ไปน้ี :– กรมวิชาการ กรมอาชีวศึกษา กรมวิชาการเกษตร กรมอนามัย กรมการแพทย์ 14. อฒั ภาค ชอื่ เครอ่ื งหมายวรรคตอน รูปดงั น้ี ; มีหลักเกณฑ์การใชด้ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ใชแ้ ยกประโยคเปรียบเทยี บออกจากกัน
ตัวอยา่ ง (1) ลักษณะเขียนหนงั สือ เราเขียนถ้อยคาติดกันไปหมดไม่เวน้ ระยะคาทุก ๆ คาอยา่ งเช่นลักษณะเขยี นหนังสือ ของชาวยุโรป, จึง่ ทาให้เป็นที่ฉงนแก่ผไู้ ม่ส้ชู านชิ านาญในเชงิ การอา่ นหนังสือไทย; ไม่ใชแ่ ต่ชาวต่างประเทศ, ถงึ แม้คนไทย ๆ เราเองกร็ ูส้ กึ ลาบากอยไู่ มน่ อ้ ยเหมอื นกนั . (2) คนบางคนมคี วามสามารถเล่นเครอ่ื งดนตรีไดแ้ ทบทุกชนดิ ; บางคนเล่นไม่เปน็ สักอยา่ ง. (3) น้ามาปลากินมด; นา้ ลดมดกนิ ปลา. 2. ใช้คัน่ ระหวา่ งประโยคท่มี รี ูปประโยคและใจความสมบูรณอ์ ยแู่ ล้ว เพอ่ื แสดงความตอ่ เน่ืองอยา่ งใกลช้ ดิ ของประโยคนนั้ ตัวอย่าง วาทยกรประสบอบุ ตั เิ หตุไดร้ บั บาดเจ็บสาหัส; การแสดงดนตรจี ึงตอ้ งงด. 3. ใชแ้ บ่งประโยค กลมุ่ คา หรอื กลุ่มตวั เลขท่ีมีเครื่องหมายจุลภาคอย่แู ล้ว ออกเป็นส่วนเป็นตอนใหเ้ ห็น ชัดเจนยง่ิ ขนึ้ เพ่อื กนั ความสับสน 3.1 แบ่งประโยค ตัวอย่าง นางสาวมณฑาทิพย์กาลงั แต่งตวั , หวีผม, แต่งหน้า, จะไปทางาน; บงั เอญิ มแี ขกมาหา, ต้องออกมารบั แขก; เมอื่ แขกไปแลว้ , จงึ ออกจากบ้าน; ทาใหไ้ ปถึงท่ที างานสาย. 3.2 แบ่งกลุ่มตวั เลข ตัวอยา่ ง 1, 3, 5; 2, 4, 6 4. ใช้คน่ั คาในรายการทมี่ ีจานวนมาก ๆ เพอื่ จาแนกรายการออกเปน็ พวก ๆ ตวั อย่าง การสัมมนาคร้งั นมี้ ีผแู้ ทนจากหนว่ ยราชการตา่ ง ๆ เขา้ ร่วมด้วย เชน่ กรมวชิ าการ, กรมอาชีวศกึ ษา, ในสังกดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร; กรมปา่ ไม้, กรมวชิ าการเกษตร, ในสงั กดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์; กรมอนามยั , กรมการ แพทย,์ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสขุ . 5. ใชใ้ นหนงั สอื ประเภทพจนานุกรม 5.1 เพือ่ ค่นั บทนิยามของคาทม่ี คี วามหมายหลายอย่าง แตค่ วามหมายนน้ั มนี ัยเน่ืองกบั ความหมายเดมิ ตัวอย่าง (1) ก่งิ น. สว่ นที่แยกออกจากต้น, แขนง; ใชเ้ รียกสว่ นยอ่ ยทีแ่ ยกออกไปจากส่วนใหญ่ แต่ยังขึ้นอยู่กบั สว่ นใหญ่ เชน่ ก่งิ อาเภอ ก่ิงสถานตี ารวจ; ลกั ษณะนามเรยี กงาชา้ ง ว่า กง่ิ ; เรือชนิดหนง่ึ ในกระบวนพยหุ ยาตรา. (2) ดมุ น. สว่ นกลางของล้อเกวยี นหรือล้อรถทม่ี ีรสู าหรับสอดเพลา; เคร่อื งกลัดกันสว่ นตา่ ง ๆ ของเสื้อผา้ ไม่ให้ แยกออกจากกนั ทาเปน็ รูปต่าง ๆ มกั มีรังดมุ สาหรับขัด, กระดมุ ลูกกระดมุ หรือ ลกู ดมุ กเ็ รยี ก. 5.2 เพื่อคนั่ อกั ษรย่อบอกท่มี าของคา ตวั อยา่ ง (1) กุศล [–สน] น. ส่งิ ทดี่ ที ่ีชอบ, บุญ. ว. ฉลาด (ส.; ป. กสุ ล). (2) ปกรณ์ [ปะกอน] น. คัมภีร์, ตารา, หนงั สอื . (ป. ปกรณ; ส. ปรกรณ). 15.วงเล็บ หรอื นขลขิ ติ ชอื่ เคร่ืองหมายวรรคตอน รปู ดงั นี้ ( ) มีหลักเกณฑก์ ารใชด้ งั ต่อไปน้ี 1. ใช้กนั ขอ้ ความทีข่ ยายหรอื อธิบายไว้เป็นพิเศษ เพอ่ื ช่วยให้เข้าใจขอ้ ความนั้นได้แจ่มแจง้ ขน้ึ เช่น มนษุ ยไ์ ด้สร้าง โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลงผดิ ) ให้เกิดข้นึ ในใจของตวั เอง
2. ใช้กันข้อความท่ีบอกทม่ี าของคาหรือขอ้ ความ เชน่ ชลี (กลอน) ก. อญั ชลี, ไหว้ 3. ใช้กบั หวั ข้อท่ีเป็นตัวอกั ษรหรือตวั เลข ซ่งึ อาจจะใชเ้ พียงเคร่ืองหมายวงเล็บปดิ ก็ได้ เชน่ (ก) หรอื ก) (ข) หรือ 1) 4. ใช้กบั นามเตม็ ที่เขยี นใตล้ ายมือช่อื เชน่ วัชรพงศ์ โกมุทธรรมวิบูลย์ (นายวชั รพงศ์ โกมุทธรรมวิบูลย)์ การอา่ นออกเสยี งข้อความทม่ี เี คร่อื งหมายวงเล็บ มีวิธกี ารอ่านหลายวธิ ี สดุ แท้แต่กาลเทศะ โอกาส หรือจุดประสงค์ของการสื่อสาร เชน่ ถ้าจะอ่านเพ่อื ให้ผู้ฟงั จดจาไวใ้ ห้ถกู ต้อง ถา้ เป็นขอ้ ความสนั้ ๆ ควรอา่ นวา่ “วงเลบ็ ” ตวั อยา่ ง พระยาศรสี นุ ทรโวหาร (ภู)่ อ่านวา่ พระยาศรสี ุนทรโวหารวงเล็บภู่ หรือ พระยาศรีสุนทรโวหารภู่ ก็ได้ พระยาศรีสนุ ทรโวหาร (น้อย อาจารยิ างกูร) อา่ นว่า พระยาศรีสุนทรโวหาร วงเล็บนอ้ ยอาจาริยางกูร ถ้าข้อความน้นั ยาวมาก ให้อา่ นว่า “วงเล็บเปิด” แล้วอ่านขอ้ ความในวงเลบ็ จนจบ แลว้ อา่ นว่า “วงเล็บปดิ ” หรืออาจเสรมิ ข้อความวา่ “ตอ่ ไปนีเ้ ปน็ ขอ้ ความในวงเล็บ” เม่อื อ่านหมดข้อความก็อ่านว่า “หมดข้อความในวงเลบ็ ” ก็ได้ 16. บพุ สัญญา ชือ่ เคร่ืองหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ( ” ) มหี ลักเกณฑ์การใช้ดงั ตอ่ ไปนี้ เป็นเคร่อื งหมายวรรคตอนชนดิ หนึ่ง มีลักษณะคล้ายอญั ประกาศคแู่ ต่มดี ้านปิดเพียงดา้ นเดยี ว หรอื คล้ายรูป สระ ฟนั หนู ( \" ) ใช้สาหรับเขยี นแทนคาหรือประโยคท่อี ยูใ่ นบรรทัดบนหรือเหนอื ขน้ึ ไปในตาแหน่งกง่ึ กลาง เพ่อื ท่จี ะได้ไม่ ต้องเขยี นซ้าอีก สามารถใชข้ ีดกลางยาวประกอบเครอื่ งหมาย (เชน่ ———”———) เพื่อกาหนดขอบเขตของการกลา่ ว ซ้าโดยสงั เขป และอาจพบเครอ่ื งหมายบุพสัญญามากกวา่ หนง่ึ ตัวในการซา้ ครั้งเดยี วกนั (เชน่ —”———”—) เวลาอ่าน ตอ้ งอ่านคาเตม็ บทนพิ นธห์ ลายชนดิ อาทวิ ิทยานพิ นธ์ ไม่อนญุ าตให้ใชเ้ ครื่องหมายนีป้ รากฏในเนอ้ื หาเพื่อละข้อความ แต่ ใหใ้ ช้คาเต็มแทน [1] ภาษาญี่ปุ่นก็มกี ารใชบ้ ุพสญั ญา มีปรากฏในรหัสยนู ิโคด U+3003 ดังนี้ 〃มชี อื่ เรยี กวา่ ditto mark หรอื โนะโนะจิ เท็น (ノノ字点) รูปร่างคล้ายกบั ของภาษาไทยแตเ่ ขยี นอยูใ่ นระดับเดยี วกบั บรรทัด ภาษาอ่ืนท่ีนอกเหนอื จากนไ้ี ม่มี การใชบ้ ุพสญั ญา แต่อาจพบการใช้ขดี กลางยาว (em dash) หรอื คาวา่ Ibid. และ Id. แทนในบรรณานกุ รม ตวั อย่างการใชง้ าน มหาชาติคาหลวง เป็นวรรณคดใี นรัชสมัย สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ลลิ ิตโองการแชง่ นา้ ” สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ ๑ บุพสัญญาในกรณีนใี้ ช้แทนวลี \"เปน็ วรรณคดีในรชั สมยั \" ทอ่ี ยู่ข้างบน ในทางปฏิบตั ิ การใช้เครื่องหมายน้ีเหมาะ กบั การเขียนมากกวา่ การปอ้ นข้อมลู เขา้ คอมพิวเตอร์ เน่อื งจากโปรแกรมประมวลคาหรอื เวบ็ เบราว์เซอร์มักจัดตาแหน่ง ตามแนวดิ่งไม่ตรงกนั อนั มสี าเหตุมาจากความกว้างของตัวอกั ษรแต่ละตวั ท่ไี ม่เท่ากนั (หากใช้ไทป์เฟซแบบความกวา้ ง เท่ากันจะไมเ่ กิดปญั หาน้)ี จึงต้องใชต้ ารางเข้ามาช่วยจัดรูปแบบ นอกจากนั้นระบบคอมพิวเตอรส์ ามารถคัดลอกขอ้ ความ ซ้าไปวางไวใ้ นตาแหน่งทต่ี อ้ งการได้ เครอ่ื งหมายนี้จึงมีความสาคญั นอ้ ยลง
17. ปรศั นี ชื่อเคร่ืองหมายวรรคตอน รูปดงั น้ี ? มหี ลักเกณฑ์การใช้ดังตอ่ ไปนี้ 1. ใช้เม่ือส้นิ สุดความหรือประโยคที่เปน็ คาถาม หรอื ใชแ้ ทนคาถาม ตัวอยา่ ง (1) ใคร ? เขาถามขึน้ (2) ทาไมคณุ จึงเลิกแต่งหนังสือ ? 2. ใช้หลังขอ้ ความเพ่อื แสดงความสงสยั หรือไม่แนใ่ จ มักเขียนอยใู่ นวงเล็บ ตัวอย่าง (1) กฤษฎาธาร [กรดิ สะดาทาน] น. พระท่นี ่งั ทีท่ าขนึ้ สาหรบั เกยี รติยศ (?) เชน่ พระมหาพชิ ัยราชรถ กฤษฎาธาร. (เรอ่ื งพระบรมศพ). (2) ในหนังสอื ราชาธิราชว่า พระเจ้าฟ้าร่ัวทวิ งคตเมอ่ื ปฉี ลู จลุ ศกั ราช ๖๗๕ พ.ศ. ๑๘๕๖ มกะตาเปน็ อนชุ าได้ ราชสมบตั ิ ใหเ้ ข้ามาทลู ขอใหส้ มเดจ็ พระร่วงตัง้ พระนามอยา่ งครงั้ พระเจา้ ฟ้าร่ัว ไดร้ ับพระนามวา่ พระเจ้ารามประเดดิ (ประดิษฐ์?) 18.ยตั ิภังค์ ชอ่ื เครื่องหมายวรรคตอน รปู ดังนี้ - อาจใช้ได้หลายขนาด แตไ่ มค่ วรเกิน 2 ช่องตวั อักษร มีหลักเกณฑก์ ารใช้ดงั นี้ 1. ใชเ้ ขียนไว้ท่สี ุดบรรทัดเพือ่ ตอ่ พยางค์หรือคาสมาส ซึ่งจาเป็นตอ้ งเขียนแยกบรรทดั กนั เนอ่ื งจากมาอยู่ ตรงสดุ บรรทดั และไมม่ ที พ่ี อจะบรรจคุ าเตม็ ได้ เช่น ตาแหนง่ ประ- ธานสภาผ้แู ทนราษฎร นายกราช- บณั ฑิตยสถาน 2. ใชเ้ ขียนไว้ทา้ ยวรรคหนา้ ในบทร้อยกรอง เพ่ือต่อพยางค์หรือคาสมาส ที่จาเปน็ ตอ้ งเขยี นคาบบรรทดั กัน เพือ่ ใหถ้ กู ตอ้ งตามฉนั ทลกั ษณ์ เชน่ คนเด็ดดบั สญู สัง- ขารรา่ ง 3. ใชแ้ ยกพยางค์เพ่ือบอกคาอ่าน โดยเขียนไวร้ ะหวา่ งพยางคแ์ ต่ละพยางค์ เชน่ เสมา อ่านว่า เส-มา 4. ใชใ้ นความหมายว่า “และ” หรือ “กับ” เชน่ เชิญชมการแข่งขันฟุตบอลนัดพเิ ศษระหว่างทีม นครสวรรค์ – พจิ ติ ร (กับ) ภาษาตระกูลไทย – จนี (และ) 5. ใชใ้ นความหมายว่า “ถงึ ” เพอ่ื แสดงช่วงเวลา จานวน สถานท่ี (เวลาเขยี นหรือพมิ พ์ให้เว้นหนา้ และหลัง เครื่องหมาย – ประมาณ 1 ชว่ งตวั อกั ษร) เชน่ เวลา 9.00 – 10.30 น. อา่ นว่า เวลาเกา้ นาฬกิ าถึงสิบนาฬิกาสามสิบนาที มผี ู้ชมประมาณ 10- 20 คน อ่านวา่ มีผูช้ มประมาณสิบถึงยีส่ ิบคน ระยะทาง นครนายก – จนั ทบรุ ี อ่านวา่ ระยะทางนครนายกถงึ จนั ทบรุ ี 6. ใชเ้ ขยี นแสดงลาดบั ย่อยของรายการทไี่ มต่ ้องใส่ตวั อักษร หรือตัวเลขนอกลาดับงาน มีรายการครา่ ว ๆ ดงั นี้ – พิธีเปดิ งาน – ราอวยพร – ดนตรบี รรเลง – ปิดงาน
19.ยัติภาค ชอื่ เคร่ืองหมายวรรคตอน รูปดังน้ี — (ยาว ๒–๓ ชว่ งตัวอักษร) มีหลักเกณฑ์การใชด้ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ใช้ในความหมายวา่ “และ” หรือ “กับ” เพื่อบอกความสมั พันธ์ของคา ๒ คา ตัวอย่าง (1) เรณู—สญั ญา มีความยนิ ดขี อเชญิ รว่ มรบั ประทานอาหาร เนื่องในงานมงคลสมรส (2) ฟุตบอลคิงสค์ ัปชงิ ชนะเลิศระหว่างไทย—อินโดนเี ซยี ที่สนามศุภชลาศัย เรม่ิ ๑๘.๐๐ น. (3) ภาษาตระกูลไทย—จีน 2. ใชข้ ยายความ ตัวอย่าง (1) ถ่นิ —พายพั (หมายความวา่ เปน็ ภาษาถนิ่ ทีใ่ ช้ในภาคพายัพ). (2) ขุนชา้ งขนุ แผน—แจง้ (หมายความวา่ เป็นเรอื่ งขุนช้างขนุ แผนสานวนครูแจ้ง). 3. ใชใ้ นความหมายวา่ “ถึง” เพ่ือแสดงชว่ งเวลา จานวน สถานท่ี ฯลฯ เช่นเดียวกบั เครอื่ งหมายยตั ภิ ังค์ ตวั อย่าง (1) เวลา ๑๐.๓๐—๑๒.๐๐ น. [ เว–ลา–สบิ –นา–ล–ิ กา–สาม–สิบ–นา–ท–ี ถึง–สบิ –สอง–นา–ล–ิ กา] (2) ต้ังแตว่ ันจันทร์—วนั เสาร์ [ต้งั –แต่–วัน–จัน–ถงึ –วนั –เสา] (3) ประมาณ ๕๐๐—๖๐๐ คน [ ประ–มาน–ห้า–รอ้ ย–ถงึ –หก–ร้อย–คน] (4) ระยะทางลาปาง—เชียงใหม่ [ระ–ยะ–ทาง–ลา–ปาง–ถงึ –เชยี ง–ใหม่] 4. ใช้แทนคาวา่ “เปน็ ” ตวั อยา่ ง พจนานุกรมไทย—องั กฤษ (หมายความว่า พจนานกุ รมไทยเป็นอังกฤษ). 5. ใช้แสดงลาดับย่อยของรายการทีไ่ ม่ตอ้ งการใสต่ วั อักษรหรอื ตวั เลขบอกลาดับขอ้ ตัวอยา่ ง ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัวอาจสรปุ ความเคลอื่ นไหวทางวรรณคดไี ด้ดังน้ี —วรรณคดีประเภทรอ้ ยกรอง เจรญิ ถึงขดี สดุ อีกวาระหนง่ึ —วรรณคดปี ระเภทรอ้ ยแก้ว ก้าวหนา้ ยิง่ ขึ้นกวา่ แตก่ ่อน —เป็นระยะเวลาทคี่ ติทางตะวันตกเขา้ มาในวงวรรณคดีไทยมากที่สดุ ถ้าเทยี บกบั สมัยกอ่ น ๆ —หวนนยิ มวรรณคดีสนั สกฤตอีกวาระหนึ่งเหมอื นสมัยยุธยา แตใ่ นคราวน้ผี ่านมาทางต้นฉบบั ที่แปลเป็น ภาษาองั กฤษ. 20.สญั ประกาศ ชื่อเครือ่ งหมายวรรคตอนรปู ดังนี้ ___ มีหลกั เกณฑ์การใช้ดังนคี้ ือ ใช้ขีดไวใ้ ตค้ าหรือขอ้ ความท่ีสาคัญ เพอื่ เนน้ ให้ผอู้ ่านสงั เกตเป็นพเิ ศษ เช่น หลกั การอ่านตวั เลขมตี พี ิมพ์ รวมอย่ใู นหนงั สอื อา่ นอยา่ งไร-เขยี นอย่างไร 21.เสมอภาค, สมการ, สมพล หรอื เท่ากบั ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดงั น(ี้ = ) เปน็ เครือ่ งหมายวรรคตอนสากลอย่างหนงึ่ ลักษณะเปน็ ขดี แนวนอนสองเส้นขนานกัน เขยี นอย่กู ลางบรรทดั ปกติใชเ้ พ่ือแสดงความเทยี บเทา่ กนั ของสงิ่ ทอ่ี ยู่ทางซา้ ยและทางขวา 22.อญั ประกาศ ชอ่ื เครอ่ื งหมายวรรคตอน รปู ดังนี้ “ “ มหี ลักเกณฑก์ ารใช้ดงั น้ี
1. ใช้เพื่อแสดงว่าคาหรอื ข้อความน้ัน เป็นคาพูดหรอื ความนกึ คิด เชน่ ครูพูดกับนกั เรยี นวา่ ” ขอให้ทกุ คน ตงั้ ใจจริง แล้วจะประสบความสาเร็จ “ 2. ใช้เพ่ือแสดงวา่ คาหรอื ข้อความน้ันคดั มาจากทอี่ นื่ เชน่ สนุ ทรภู่เขยี นเตอื นใจเรือ่ งความมไี มตรีตอ่ กันไว้ใน เรื่องพระอภัยมณีตอนหนงึ่ วา่ ” ปรารถนาสารพัดในปัถพี เอาไมตรแี ลกไดด้ งั ใจจง“ 3. ใช้เพอ่ื เนน้ คาหรอื ข้อความนนั้ ให้เด่นชัดขนึ้ เช่น คาวา่ “ตะโก้” พจนานกุ รมฉบบั บัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ไดใ้ ห้ความหมายไว้วา่ หมายถึง ” ชอื่ ขนมชนิดหน่งึ ทาดว้ ยแปง้ ข้าวเจา้ กวนเขา้ กับนา้ ตาล ใสแ่ ห้วหรือขา้ วโพดเป็นตน้ กไ็ ด้ หยอดหนา้ ดว้ ยกะทิกวนกบั แปง้ ” ในการอ่านออกเสียง เม่อื มเี คร่อื งหมายอัญประกาศเปดิ ใหอ้ ่านว่า “อญั ประกาศเปิด” และเมอื่ ถึง เครอ่ื งหมายอญั ประกาศปดิ ใหอ้ ่านว่า “อัญประกาศปดิ ” ถ้าขอ้ ความในเคร่ืองหมายอญั ประกาศมคี วามยาวหลายย่อหน้าและใส่เคร่ืองหมายอัญประกาศเปดิ ไว้ หนา้ ยอ่ หนา้ ทุกย่อหน้าดงั ตัวอยา่ ง ให้อา่ น “อญั ประกาศเปิด” เฉพาะเมือ่ เร่ิมข้อความเท่านน้ั และอา่ น “อญั ประกาศ ปิด” เมอ่ื จบขอ้ ความ 23. อัศเจรีย์ ชอ่ื เครื่องหมายวรรคตอน รูปดังน้ี ! มหี ลักเกณฑ์การใช้ดงั น้ี 1. ใช้เขียนหลังคา วลี หรอื ประโยคที่เปน็ คาอุทาน เชน่ อือ้ ฮือ ! มากจังเลย 2. ใช้เขียนหลังคาเลียนเสยี งธรรมชาติ เพอ่ื ให้ผอู้ า่ นทาเสียงไดเ้ หมาะสมกับเหตุการณ์ในเร่ืองน้นั ๆ เชน่ โครม ! 24.ตนี ครุ หรอื ตีนกา ช่อื เครื่องหมายวรรคตอน รปู ดงั นี้ ( ┼ ) ตีนครุ หรอื ตีนกา ( ┼ ) คอื เคร่ืองหมายวรรคตอนชนิดหนึ่งของไทยในสมัยโบราณ มลี ักษณะคลา้ ยเครอื่ งหมายบวก แตใ่ หญก่ ว่า ใช้สาหรับบอกจานวนเงินตรา โดยใช้ตัวเลขกากับไว้ 6 ตาแหนง่ บนเครอ่ื งหมาย ไดแ้ ก่ เหนือเสน้ ต้ังคอื ช่ัง มมุ บนซ้ายคอื ตาลึง มุมบนขวาคือบาท มมุ ล่างขวาคือสลงึ มุมล่างซา้ ยคอื เฟอื้ ง และใตเ้ สน้ ตง้ั คือไพ วธิ ีอ่านจะอ่านจาก ชัง่ ตาลงึ บาท สลงึ เฟื้อง ไพ ตามลาดับ จากรปู ตวั อยา่ ง สามารถอ่านจานวนเงนิ ได้เทา่ กบั 2 ชั่ง 4 ตาลึง 3 บาท 2 สลึง 1 เฟ้ือง 5 ไพ สาหรบั จานวนเงนิ ทมี่ เี ฉพาะ ตาลงึ บาท สลึง หรือเฟอ้ื ง สามารถเขยี นย่อให้เหลือเพียงมมุ ใดมมุ หนงึ่ ได้ เช่น ๓ หมายถึงจานวนเงิน 3 สลงึ เปน็ ต้น 25. ทบั ชอื่ เครอ่ื งหมายวรรคตอนรปู ดังน้ี / อ่าน “ทับ” เวลาเขียนไมต่ ้องเว้นวรรคหนา้ และหลงั เคร่ืองหมาย มหี ลกั เกณฑ์การใช้ดงั น้ี 1. ใชข้ ีดหลังจานวนเลข เพ่ือแบง่ จานวนย่อยออกจากจานวนใหม่ สว่ นมากเปน็ บา้ นเลขที่ และหนังสอื ราชการ สาหรับการอา่ นบา้ นเลขที่ มหี ลกั การอ่านดงั น้ี บ้านเลขท่ีท่ีมีเคร่อื งหมายทบั “/” และบา้ นเลขท่ีทีไ่ ม่มเี ครอ่ื งหมายทับ “/” มหี ลักการอ่านเหมือนกนั คอื บ้านเลขทซี่ ง่ึ มตี ัวเลข 2 หลัก ใหอ้ า่ นแบบจานวนเต็ม ถ้ามีตวั เลข 3 หลกั ข้นึ ไป ใหอ้ ่านแบบเรยี งตวั เลขหรอื แบบจานวน เต็มกไ็ ด้ ตวั เลขหลังเครื่องหมายทับ “/” ใหอ้ า่ นเรียงตวั เช่น บ้านเลขที่ 10 อ่านว่า บา้ น – เลก – ท่ี สิบ บา้ นเลขท่ี 414 อา่ นว่า บ้าน – เลก – ที่ ส่ี – หนงึ่ – สี่ หรอื บา้ น – เลก – ที่ส่ี – รอ้ ย -สิบ – สี่ บา้ นเลขที่ 56/342 อ่านวา่ บ้าน – เลก – ท่ี หา้ – สบิ – หก ทับ สาม – สี่ – สอง บา้ นเลขท่ี 657/21 อา่ นวา่ บ้าน – เลก – ที่ หก – หา้ – เจ็ด ทับ สอง – หนึ่ง หรือ บ้าน – เลก – ท่ี หก – ร้อย – ห้า – สิบ – เจด็ ทบั สอง – หน่งึ กลมุ่ ตัวเลขท่เี ลข 0 นาหน้า อ่านเรียงตวั เสมอ เช่น บา้ นเลขท่ี 1864/1108 อ่านว่า บ้าน -เลก -ท่ี สนู – แปด – หก – ส่ี ทับ หน่งึ – หน่งึ – สนู – แปด ส่วนหนงั สือราชการนิยมอา่ นเรยี งตวั เชน่ ท่ี ศธ. 0308/205 อ่านวา่ ท่ี – สอ – ทอ – สูน – สาม – สูน – แปด ทับ สอง – สูน – ห้า
2. ใช้ขดี คั่นระหวา่ งเลขบอกลาดบั ศกั ราช เชน่ คาสง่ั โรงเรยี นกาแพงเพชรพทิ ยาคม ท่ี 1/2543 3. ใชข้ ีดคนั่ ระหวา่ งตวั เลขแสดงวัน เดือน ปี เช่น 3/12/2543 (วนั ที่ 3 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2543) 4. ใช้ขดี คนั่ ระหวา่ งคา “และ” กับ “หรือ” เป็น “และ/หรอื ” หมายความว่า อยา่ งใดอยา่ งหนึ่งหรือท้ังสอง อยา่ งกไ็ ด้ “….ใช้ผสมและ / หรือโรยบนผวิ หน้าวสั ดุทท่ี าเครอื่ งหมายบนผวิ ทาง…” 5. ใชข้ ดี ค่นั ระหวา่ งคา แทนคาว่า “หรอื ” หมายความวา่ อยา่ งใดอย่างหนงึ่ เช่น ตรอก/ซอย, อาเภอ/เขต 6. ใช้ขีดคัน่ ระหว่างคา มคี วามหมายว่า “ต่อ” เช่น กิโลเมตร/ชั่วโมง ความแตกตา่ งระหวา่ งภาษาพดู กบั ภาษาเขยี น ภาษาพูด/ภาษาเขียน การพูดและการเขียนมคี วามสาคญั ต่อการสื่อสารในชวี ติ ประจาวนั มากเพราะเราใช้แสดงความคดิ เห็น ความรู้สกึ และถ่ายทอดความร้แู กผ่ อู้ ืน่ ดงั นั้นจงึ จาเปน็ อยา่ งยง่ิ ท่ผี ้พู ูดและผ้เู ขียนต้องพจิ ารณาและเลือกสรรถ้อยคา สานวน ภาษาที่เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และสถานที่ ภาษาพดู เปน็ ภาษาที่ใช้พูดจากนั ไมพ่ ิถีพิถนั ในการใชห้ ลักภาษามากนกั สรา้ งความรสู้ ึกท่เี ปน็ กนั เอง ใช้ในหมู่ เพ่อื นฝงู ในครอบครวั ในการเขียน นวนิยายและการตดิ ตอ่ สอื่ สารกนั อยา่ งไม่เปน็ ทางการ การใช้ภาษาพดู จะใช้ ภาษาที่เปน็ กนั เอง สภุ าพ คานึงถงึ บุคคลและกาลเทศะ ใชใ้ นโอกาสทีม่ กี ารสนทนาสัมภาษณ์ อภปิ ราย พูด รายงาน โต้วาที การซ้ือขาย ฯลฯ ซ่ึงเปน็ โอกาสทผี่ ูพ้ ดู และผู้ฟังไดส้ ือ่ สารกนั โดยตรง ภาษาเขยี น เปน็ ภาษาท่ีเครง่ ครดั ตอ่ การใชถ้ อ้ ยคาและคานงึ ถึงหลักภาษา เพือ่ ใช้สื่อสารให้ถกู ต้องและใชใ้ นการ เขียนมากกวา่ การพดู ต้องใชถ้ ้อยคาสภุ าพ เขียนให้เปน็ ประโยค เลอื กใชถ้ อ้ ยคาเหมาะกับบุคคลและกาลเทศะ เปน็ ภาษาท่ใี ช้ในพิธกี ารและเป็นทางการ ไม่ใช้คาฟ่มุ เฟือย หรอื การเล่นคาจนกลายเป็นการพดู หรอื การเขยี นเลน่ ๆ การเขยี นใช้ในโอกาสทม่ี กี ารบันทึกข้อความจากการฟัง การแสดงความคิดเห็น แสดงความตอ้ งการ เสนอความรใู้ น รปู แบบต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การบันทึกรายงานการประชมุ การเขียนบรรยายเหตกุ ารณจ์ ากประสบการณ์การเขยี น บทความ สารคดี จดหมาย ยอ่ ความ เรียงความ เอกสารประกอบการพูด การกล่าวรายงาน กล่าวคาปราศรยั เปน็ การยากทจี่ ะตัดสินว่า คาใดเปน็ ภาษาพูด คาใดเป็นภาษาเขยี น ท้ังนข้ี ้ึนอย่กู บั กาลเทศะในการใชค้ า นน้ั ๆ บางคาก็ใช้เป็นภาษาเขยี นอยา่ งเดยี ว บางคาก็ใช้พูดอย่างเดยี ว และบางคาอยู่ตรงกลางคอื อาจเป็นทง้ั ภาษา พูดและภาษาเขยี นกไ็ ด้ ความแตกต่างระหว่างภาษาพดู กบั ภาษาเขียนพออธิบายได้ดังน้ี ๑. ภาษาเขยี นไมใ่ ชถ้ ้อยคาหลายคาท่เี ราใชใ้ นภาษาพดู เท่าน้นั เช่น เยอะแยะ โอ้โฮ จมไปเลยแย่ ฯลฯ ๒. ภาษาเขียนไม่มีสานวนเปรยี บเทยี บหรอื คาสแลงที่ยงั ไมเ่ ป็นที่ยอมรับในภาษาเชน่ ชกั ดาบ พลกิ ลอ็ ค โดดรม่ ๓. ภาษาเขยี นมกี ารเรยี บเรยี งถอ้ ยคาท่สี ละสลวยชดั เจน ไมซ่ ้าคาหรือซา้ ความโดยไม่จาเปน็ ในภาษาพูดอาจจะ ใช้ซา้ คาหรอื ซ้าความได้ เช่น การพดู กลบั ไปกลับมา เปน็ การยา้ คาหรอื เนน้ ขอ้ ความนัน้ ๆ ๔. ภาษาเขียน เมอ่ื เขียนเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้ว ผู้เขียนไม่มีโอกาสแกไ้ ขเปล่ียนแปลงได้ แต่ถา้ เป็นภาษาพดู ผู้พดู มโี อกาสชี้แจงแก้ไขในตอนทา้ ยได้ นอกจากนยี้ ังมขี ้อแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียนอีกหลายประการ คอื ๑) ภาษาเขียนใช้คาภาษามาตรฐาน หรือภาษาแบบแผน ซึง่ นิยมใชเ้ ฉพาะในวงราชการหรือใน ข้อเขียนที่เปน็ วชิ าการทั้งหลายมากกว่าภาษาพดู เช่น ภาษาเขียน – ภาษาพูด ภาษาเขียน – ภาษาพูด ภาษาเขยี น - ภาษาพดู สุนขั หมา สกุ ร หมู กระบือ ควาย แพทย์ หมอ เครอื่ งบนิ เรอื บนิ เพลงิ ไหม้ ไฟไหม้ ภาพยนตร์ หนงั รบั ประทาน ทาน,กิน ถงึ แก่กรรม ตาย,เสยี ปวดศีรษะ ปวดหวั เงนิ ตงั (สตางค)์ อย่างไร ยังไง ขอบา้ ง ขอม่ัง กโิ ลกรมั ,เมตร โล, กิโล ฯลฯ ๒) ภาษาพูดมักจะออกเสยี งไมต่ รงกบั ภาษาเขียน คอื เขียนอย่างหน่งึ เวลาออกเสียงจะเพี้ยนเสยี งไปเลก็ น้อย สว่ นมากจะเปน็ เสียงสระ เชน่ ภาษาเขยี น – ภาษาพูด ภาษาเขียน – ภาษาพูด ภาษาเขยี น - ภาษาพดู
ฉนั ชั้น เขา เค้า ไหม ไม(้ มัย้ ) เท่าไร เทา่ ไหร่ หรือ หรอ,เรอ้ ะ แมลงวนั แมงวัน สะอาด ซาอาด มะละกอ มาลากอ นี่ เนย่ี ะ ๓) ภาษาพดู สามารถแสดงอารมณข์ องผู้พดู ได้ดีกว่าภาษาเขยี น คือ มีการเนน้ ระดบั เสียงของคาให้สงู -ต่า-สน้ั -ยาว ไดต้ ามตอ้ งการ เช่น ภาษาเขยี น – ภาษาพดู ภาษาเขยี น – ภาษาพดู ภาษาเขียน – ภาษาพูด ตาย ต๊าย บ้า บ๊า ใช่ ชา่ ย เปล่า ปล่าว ไป ไป๊ หรอื ร(ึ เร้อะ) ลงุ ลงุ้ หรอก หร้อก มา มะ่ ๔) ภาษาพูดนิยมใช้คาช่วยพูดหรอื คาลงท้าย เพอื่ ช่วยใหก้ ารพดู น้นั ฟงั สภุ าพและไพเราะยง่ิ ขึน้ เชน่ ไปไหนคะ ไปตลาดคะ่ รบี ไปเลอะ ไมเ่ ป็นไรหรอก นัง่ นง่ิ ๆ ซิจะ๊ ๕) ภาษาพูดนิยมใช้คาซา้ และคาซอ้ นบางชนิด เพ่ือเน้นความหมายของคาให้ชัดเจนยงิ่ ขึน้ เชน่ คาซ้า ดดี๊ ี เก๊าเก่า ไปเปย อ่านเอ่นิ ผ้าห่มผ้าเหมิ่ กระจกกระเจิก อาหงอาหาร คาซ้อน มือไม้ ขาวจั้ะ ดามิดหมี แขง็ เปก็ เดินเหิน ทองหยอง ความแตกตา่ งความหมายของสานวน สภุ าษติ คาพังเพย ความงดงามประการหนงึ่ ของภาษาไทย คอื เรามสี านวน-คาพังเพย-สภุ าษติ ที่ช่วยให้คาพดู และเขียนมคี วาม หลากหลายและคมคาย ใหแ้ ง่คิดทีส่ ละสลวยย่ิงขึ้น แตบ่ างทีสานวน-คาพังเพย-สุภาษติ กย็ ากท่จี ะแยกออกจากกันให้ ชัดเจน ดงั เชน่ พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ อธิบายไว้ดงั น้ี สานวน เปน็ คานาม มหี ลายความหมาย คือ ๑. ถอ้ ยคาท่ีเรียบเรียงหรือโวหาร บางทกี ็ใช้ว่าสานวนโวหาร เชน่ สารคดีเร่อื งนส้ี านวนโวหารดี ความเรียงเรือ่ งน้ี สานวนโวหารล่มุ ๆดอนๆ ๒. ถอ้ ยคาหรอื ข้อความ ที่กล่าวสบื ต่อกันมาช้านานแลว้ มีความหมายไมต่ รงตัว หรือความหมายอ่ืนแฝงอยู่ เช่น สอนจระเขว้ ่ายน้า ราไม่ดีโทษปี่โทษกลอง ๓. ถ้อยคาท่ีแสดงออกมาเป็นถอ้ ยคาพิเศษเฉพาะภาษาหน่งึ ๆ เช่นสานวนฝร่งั สานวนบาลี ๔. ช้นั เชงิ หรือท่วงทานองในการแต่งหนงั สอื หรอื พดู เช่นสานวนเจ้าพระยาพระคลัง(หล)สานวนยาขอบ ๕. ลักษณนามใช้เรยี กข้อความหรอื บทประพันธร์ ายหน่ึงๆ เชน่ อิเหนามีหลายสานวน บทความ ๒ สานวน พงั เพย เปน็ คานาม หมายถึง ถอ้ ยคาหรอื ข้อความทก่ี ล่าวสืบตอ่ กันมาช้านานแล้ว โดยกล่าวเป็น กลางๆ เพื่อให้ตีความเขา้ กับเรอื่ ง มีความหมายลึกซึ้งกว่าสานวน มลี กั ษณติชมหรือแสดงความเหน็ ในตวั แต่ยังไมไ่ ด้ วางหลกั ความจริงอันเทีย่ งแท้ และยังไมเ่ ป็นคาสอน เชน่ กระตา่ ยตนื่ ตูม,ทานาบนหลงั คน ,ถ่ีลอดตาชา้ ง หา่ งลอดตา เล็น,เสยี น้อยเสยี ยากเสยี มากเสียง่าย,นา้ ถึงไหน ปลาถึงนั้น เป็นตน้ ภาษติ เปน็ คานาม หมายถงึ ถ้อยคาหรอื ข้อความ ทก่ี ล่าวสืบตอ่ กนั มาช้านาน ซ้งึ ประกอบด้วย ลักษณะ ๒ ประการ คอื เปน็ ข้อความสั้นๆ กนิ ความลกึ ซึ้ง มคี วามหมายเปน็ คติคาสอนหรือหลกั ความจรงิ เชน่ กง เกวียน กาเกวยี น,รักยาวใหบ้ ัน่ รักส้นั ให้ตอ่ ,นา้ เชย่ี วอยา่ ขวางเรือ,ขม่ เขาโคขนื ให้กนิ หญ้า เป็นคาพูดเชงิ เตือนสตวิ ่า อยา่ ขดั ขวางผู้มีอานาจ ดังน้นั คาว่า “สานวน” ทีใ่ ช้ในท่ีน้ีจงึ หมายถึงเฉพาะถ้อยคาท่ีมคี วามหมายไม่ตรงตัวอกั ษร มี ความหมายเป็นเชงิ เปรียบเทยี บ มที ่านผรู้ ทู้ า่ นหนึง่ กล่าวว่า สานวนเป็นคาพดู ชนิดหนง่ึ ซึง่ ไม่ได้วางหลักวิชาหรือให้คติ อย่าไร เชน่ หนงั หน้าไฟ เกลอื จิม้ เกลอื บอดไดแ้ ว่น ภาษติ สานวน คาพงั เพย สภุ าษติ ความหมายตามพจนานุกรม หมายถึง คากลา่ วทม่ี ีคติควรฟัง สภุ าษติ จงึ มีลักษณะเดียวกับสานวนและคาพังเพย แต่มจี ุดมงุ่ หมายเพ่อื การสงั่ สอน เตือนสติให้คิด ไมม่ ีการเสยี ดสีหรอื ติชมอยา่ งคาพังเพย เปน็ ถอ้ ยคาทีแ่ สดงหลักความ จรงิ เป็นที่ยอมรบั กันโดยท่ัว ๆ ไป ภาษิตนยี้ งั มีความหมายรวมไปถงึ สจั ธรรม คาสง่ั สอนทเ่ี ปน็ ความจรงิ อนั เทย่ี งแท้
ทางศาสนาด้วย เชน่ ตนเปน็ ท่พี ง่ึ แหง่ ตน คนล่วงทุกข์ไดเ้ พราะความเพียร ฯลฯ แต่เรานิยมเรียกสจั ธรรมเหลา่ นีว้ า่ \"สุภาษติ \" สานวน ความหมายตามพจนานุกรม หมายถึง โวหาร ทานองพดู ถอ้ ยคาทเี่ รยี บเรยี ง ถอ้ ยคาทีไ่ มถ่ ูกไวยากรณ์ แต่รับใช้เปน็ ภาษาที่ถูกต้อง การแสดงถอ้ ยคาออกมาเป็นข้อความพิเศษเฉพาะภาษาหนึง่ ๆ สานวนไทยจะมคี วามหมายโดยนัย เปน็ ลกั ษณะความหมายเชงิ อปุ มาเปรยี บเทยี บ จะไมแ่ ปลความหมายตรง ตามตัวอักษร ตวั อย่างเช่น ปากเสีย หมายถงึ พดู ไมด่ ี ชอบว่าผ้อู น่ื ใจจดื หมายถงึ ไม่เออื้ เฟื้อแก่ใคร คาพงั เพย ความหมายตามพจนานกุ รม หมายความวา่ \"คาท่ีกล่าวขนึ้ ลอย ๆ เป็นคากลางเพือ่ ตใี หเ้ ข้ากับเนื้อเร่ือง\" คาพังเพยเปน็ ถอ้ ยคาท่ีมีลกั ษณะเดียวกบั สานวน แตต่ ่างจากสานวนตรงทม่ี จี ุดมุ่งหมายเชงิ สั่งสอน แต่เป็นไปใน ทานองเสียดสี ประชดประชนั แฝงความหมายเชงิ ติชมไวด้ ว้ ย คาพังเพยส่วนมากมีลักษณะเปน็ ขอ้ คิด และมี ความหมายลึกซง้ึ เนือ้ ความท่ีส่งั สอนนนั้ ไมไ่ ด้เปน็ ความจริงอนั เทยี่ งแท้ สภุ าษติ สานวน คาพงั เพย ความหมาย 1. กรงุ ศรอี ยธุ ยาไมส่ ้ินคนดี .........................เมอ่ื คราวบ้านเมืองอับจน ยอ่ มมีคนดีมาช่วยกู้สถานการณ์บา้ นเมืองได้ 2. คนดผี คี ุ้ม ..................................คนดเี มอื่ ถงึ คราวตกอบั มักมีคนมาช่วยเหลอื ไว้เสมอ 3. คนตายขายคนเป็น ....................ผู้ทตี่ ายไปแลว้ ญาตจิ ดั งานศพยงิ่ ใหญ่ ทาให้เปน็ การส้ินเปลอื งแก่ผอู้ ยู่ 4. คนรกั เทา่ ผืนหนงั ......................คนชงั เทา่ ผืนเสอ่ื คนที่รกั เรากับคนที่เกลยี ดชังเรามีอย่มู ากพอกัน 5. ชปี ลอ่ ยปลาแห้ง ......................ทาเปน็ คนใจบุญ แต่จรงิ ๆ แลว้ ไมใ่ ช่ 6. เด็กเล้ียงแกะ .........................คนที่ชอบพูดปดอยู่เสมอ จนไม่มีใครเชื่อถือ 7. เดินตามรอยผูใ้ หญ่หมาไมก่ ดั ..................ใหท้ าตามผ้ใู หญแ่ ล้วจะไดด้ เี อง 8. ตักบาตรอย่าถามพระ ............................จะใหข้ องแกใ่ คร ไมต่ ้องถามกอ่ น ควรใหไ้ ปเลย 9. ตาบอดได้แวน่ ....................................ได้ในสิ่งที่ตนไม่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ 10. เตยี้ อุ้มคอ่ ม .............................ต่างคนตา่ งอย่ใู นฐานะลาบากแล้วยังตอ้ งเอาอกี คนหนง่ึ มาเปน็ ภาระอกี 11. ทานาบนหลงั คน ...............................เบียดเบียนคนทมี่ ฐี านะดอ้ ยกวา่ 12. นายว่า ขข้ี า้ พลอย ............................ผู้นอ้ ยคอยว่าตามผเู้ ป็นใหญ่กว่า 13. ปลูกเรือนตามใจผอู้ ยู่ ผกู อู่ตามใจผนู้ อน ............ให้แตง่ งานตามความสมัครใจ 14. พูดไปสองไพเบ้ีย นง่ิ เสยี ตาลึงทอง ...............................พูดไปกไ็ มม่ ีประโยชน์ นงิ่ เสยี ดกี วา่ 15. ฟังไมไ่ ดศ้ พั ท์ จบั ไปกระเดยี ด ..................................รเู้ ร่อื งไมล่ ะเอียดถถี่ ้วน แลว้ เอาไปพดู ต่อผิด ๆ 16. มอื ไมพ่ าย เอาเทา้ รานา้ ..............................ไม่ชว่ ยให้งานเดิน แลว้ ยังคอยกดี กนั ไม่ใหท้ างานสะดวก 17. ไมล้ ม้ จึงขา้ ม คนล้มอย่าขา้ ม .......................อย่ามองขา้ ม หรือซา้ เตมิ คนท่ีเคยผดิ พลาด 18. หน้าไหว้หลังหลอก .....................................ตอ่ หนา้ ทาอยา่ งหนึง่ ลับหลังทาอีกอย่างหนึ่ง 19. เอาหไู ปนา เอาตาไปไร่............................. ทาไมร่ ู้ไม่เหน็ ไมส่ นใจ 20. กบเลือกนาย ..........................................เปน็ คนช่างเลือกจนพบส่งิ ท่ีเลวกวา่ เดิม
จงเปลย่ี นคาตอ่ ไปนใ้ี หเ้ ปน็ คาสภุ าพ ใบงานท่ี 1 1. ควาย คาสภุ าพ 2. แมว 3. เตา่ = .................................................................................. 4. ขนมขี้หนู = .................................................................................. 5. กลว้ ยบวชชี = .................................................................................. 6. กลว้ ยไข่ = .................................................................................. 7. ปลารา้ = .................................................................................. 8. อว้ ก = .................................................................................. 9. ผักบุง้ = .................................................................................. 10.ผักตบชวา = .................................................................................. 11.ขเี้ กียจ = .................................................................................. 12.ไสเ้ ดอื น = .................................................................................. 13.ขเี้ หนียว = .................................................................................. 14.ขี้หมู = .................................................................................. 15.ผัวเมีย = .................................................................................. 16.ปลาช่อน = .................................................................................. 17.ปลาสลิด = .................................................................................. 18.ผักกระเฉด = .................................................................................. 19.มที อ้ ง = .................................................................................. 20.สาก = .................................................................................. = .................................................................................. = ..................................................................................
แบบทดสอบเรอื่ ง คาราชาศพั ท์ 6. ข้อใดใชค้ าราชาศัพทไ์ มถ่ ูกตอ้ ง 1. หม่อมเจ้าธานที รงมา้ ยามเช้า จงเลือกคาตอบท่ีถกู ต้องที่สุดเพียงข้อเดยี ว 2. สมเด็จพระพ่นี างเธอเจา้ ฟา้ ฯ ทรงประทับรถมา้ 1. ขอ้ ใดกล่าวถึงคาราชาศพั ท์ถูกต้องทีส่ ดุ 3. พระนางเจ้าฯ พระราชเทวีทรงโสมนัส 1. ถ้อยคาท่ีใชก้ บั พระมหากษัตริย์ 4. พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงผนวช 2. ข้อความท่ีใชก้ บั พระราชวงศ์ เฉลย 2 3. ภาษาท่ีใช้ใหเ้ หมาะสมกับฐานนะของบุคคล 7. \"พระภกิ ษุสงฆบ์ อกพระเจ้าแผ่นดิน\" ควรใช้คาวา่ 4. คาสุภาพทีใ่ ช้ยกยอ่ งบคุ คลในสังคม อย่างไร เฉลย 3 1. ทลู รายงาน 2. ถวายพระพร 2. ข้อใดใช้คาราชาศพั ท์ผิด 3. กราบทูล 4. สนองรับสงั่ 1. พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯ เสด็จพระราช เฉลย 2 ดาเนนิ โดยพระท่ีนงั่ 2. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงวางพวง 8. ขอ้ ใดมไิ ดห้ มายถึงหนา้ ต่าง มาลาแลว้ จดุ ธปู เทียนถวายสกั การะ 1. พระแกล 2. พระบญั ชร 3. สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร 3. สีหบญั ชร 4. พระทวาร เสดจ็ พระราชดาเนินเยือนประเทศอินเดยี เฉลย 4 4. สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระบญั ชาเหนือเกลา้ เหนือกระหม่อม 9. \"พนักงานตง้ั เคร่ืองในหอ้ งส่วนพระองค์\" คาทข่ี ีดเส้น เฉลย 4 ไต้หมายถงึ ส่ิงใด 1. เครื่องแตง่ กาย 2. อาหาร 3. ข้อใดเปน็ คาราชาศพั ท์ท่ใี ช้กับพระราชวงศใ์ น 3. หนังสือ 4. อาภรณ์ ฐานันดรศักดทิ์ ต่ี ่ากว่าข้ออนื่ เฉลย 2 1. พระราชบญั ชา 2. พระราชบณั ฑรู 10. ข้อใดไม่มคี าราชาศัพท์ประเภทคาสรรพนามขานรับ 3. พระราชเสาวนีย์ 4. พระราชโองการ 1. ข้าพระพุทธเจา้ เป็นผู้ดาเนนิ การเอง พระพุทธเจ้าข้า เฉลย 1 2. ใต้ฝา่ พระบาทจะเสดจ็ ตลาดนัดยามเช้าวันไหน กระหม่อม 4. ขอ้ ใดเป็นคาราชาศพั ท์ทุกคา 3. ขอเดชะ ขา้ พระพระพทุ ธเจา้ ขอเบิกตวั ผู้ทูลเกล้าฯ 1. เส้นพระเจา้ ทรงกลด ประพาส ถวายเงนิ ดงั นี้ 2. พระโขนง พระที่ พระสาง 4. พระอาญาไมพ่ น้ เกลา้ ฯ ขา้ พระพุทธเจา้ จาตอ้ งกราบ 3. พระเครอื่ ง โปรด เสวย ทูลในส่งิ ท่ีไม่บังควร พระพุทธเจา้ ขา้ 4. เรอื นตน้ คลมุ บรรทม ทรงปืน เฉลย 3 เฉลย 4 11. \"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวฯ เสด็จแปร พระราชฐาน พระตาหนักภพู านราชนิเวศน\"์ คาทข่ี ดี เสน้ 5. ข้อใดมีคาสามัญรวมอยู่ ใตห้ มายความว่าอยา่ งไร 1. ทรงกราบ ประทับ ผนวช 1. ไปพกั ผอ่ น 2. ท่องเทย่ี ว 2. กราบทลู พลบั พลา พระยอด 3. ยา้ ยไปชว่ั คราว 4. เปล่ียนภมู ลิ าเนา 3. บรรทมตน่ื สรงนา้ เกศากันต์ เฉลย 1 4. พระสงั วาล ทวาร นา้ จัณฑ์ เฉลย 4
12. ข้อใดใช้คาราชาศพั ทท์ ่พี ิมพ์ตวั หนาผดิ 17. ข้อใดมคี ากริยาราชาศพั ทร์ วมอยดู่ ้วย 1. หมอ่ มเจา้ สกุณาทรงรบั สั่งถงึ พระสหาย 1.คลมุ พระบรรทม เคร่ืองตน้ หวาน ผา้ ซับพระองค์ 2. พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าวาปบี ุษบากร พอ 2. ถุงพระบาท ห้องทรงพระอักษร เคร่อื งพระสาอางค์ พระทยั ชอ่ ดอกไม้ 3. ฉลองพระองค์ รัดพระองค์ พระสธุ ารสชา 3. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ จกั รพงษภ์ วู นาถ 4. ลาดพระบาท ส้ินชีพติ กั ษยั เส้นพระเจ้า กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถ พระอนุชา ทิวงคต ใน เฉลย 4 ตา่ งประเทศ 4. พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวฯ ทรงพระบรมราช 18. \"สมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจ้าฟา้ จุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ สมภพ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ทรงใชช้ อ้ นเสวยพระกระยาหาร\" เฉลย 1 1. นารายณพ์ ระหัตถ์ 2. ฉลองพระหัตถ์ 3. ธารพระกร 4. พระแสงกัสสะ 13. ข้อใดมีคาสรรพนามราชาศัพทค์ รบทั้ง 3 ชนิด คือ เฉลย 2 สรรพนามบุรุษที่ 1 , 2 และคาขานรบั 1. เกลา้ กระหมอ่ ม หม่อมฉนั เพคะ 19. \"พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้ หทัยเปรมปรีด์ 2. ขา้ พระพุทธเจ้า พระพทุ ธเจ้าข้า ฝ่าพระบาท ประชวรปวดที่ ตะโพก ตกั และเลือดประจาเดอื นมา 3. กระหม่อม เกลา้ กระหม่อม เพคะ มากผดิ ปกติ\" คาที่ขีดเสน้ ใตค้ วรเปลี่ยนเป็นคาราชาศพั ท์ 4. ใตฝ้ ่าพระบาท หม่อมเจ้า ข้าพระพุทธเจา้ ใด เฉลย 2 1. พระเขนย พระบงั คมหนัก พระเสโท 2. พระชิวหา พระมสั สุ พระโลหิต 14. คาราชาศพั ทใ์ นขอ้ ใดท่ีเปน็ ท้ังคาพอ้ งรูปและพอ้ ง 3. พระโสณี พระเพลา พระอหุ ลบ เสียง 4. พระนาภี พระอุกร พระบพุ โพ 1. กระหมอ่ ม 2. สมเด็จ เฉลย 4 3. สรง 4. โปรด เฉลย 1 20. ข้อใดใชค้ าวา่ \"เครือ่ งตน้ \" ผดิ 1. เสวยเครอ่ื งตน้ ยามเช้า 15. คาราชาศพั ทใ์ นข้อใดท่ีใช้กับบุคลทีม่ ีฐานะสูงทสี่ ดุ 2. ทรงเคร่อื งตน้ เวลาเสด็จประพาส 1. ประสูติ 2. ตรสั 3. โปรดทรงใช้เครอื่ งต้นหลายประเภท 3. สวรรคต 4. พอพระทยั 4. ประทบั ในเครือ่ งต้นจนถึงริมทะเล เฉลย 3 เฉลย 4 16. คากรยิ าทเ่ี ป็นคาราชาศัพทอ์ ย่แู ลว้ จะไมใ่ ช้ \"ทรง\" นาหน้า ยกเวน้ คากริยาราชาศัพท์ในข้อใด 1. รบั ส่ัง 2. ผนวช 3. สรง 4. โปรด เฉลย 3
ใบงานที่ 2 จงเตมิ เครอื่ งหมายวรรคตอนใหถ้ กู ตอ้ ง 1.โธ่เอ๋ย นึกว่าเก่ง 2. สาลีพดู ว่า ไม่เป็นไรเด๋ยี วก็หายเจบ็ แลว้ 3. คาว่า เขา ในทีน่ หี้ มายถงึ ใคร 4. แหม ทาอะไรใหเ้ รว็ หนอ่ ยซิ 5. เด็ก ในห้องนีส้ ามัคคีกันดีมาก 6. ลกู ชอบไปเล่นท่ีสนามเดก็ เล่น 7. อปุ สรรค อา่ นว่า อบุ -ปะ-สกั กรรมกร กา - มะ -กอน 8. ผลไมม้ หี ลายชนิด เชน่ ส้ม กลว้ ย มงั คดุ 9. เครอ่ื งเขียนทีต่ อ้ งเอาไปโรงเรยี น ไดแ้ ก่ ดินสอ ปากกา ยางลบ 10. วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม วัดพระแกว้ ข้อ 11 -15 จงตอบคาถาม 11. ! เรยี กว่า เคร่อื งหมาย ........................................................ 12. \" เรียกวา่ เครือ่ งหมาย ......................................................... 13. ฯลฯ เรียกวา่ เครอื่ งหมาย ................................................... 14. , เรยี กว่า เครอ่ื งหมาย.......................................................... 15 บ้านเลขที่ 50/1 อ่านว่า .......................................................... เฉลย 1.โธ่เอย๋ ! นกึ ว่าเกง่ 2. สาลพี ดู ว่า \" ไมเ่ ปน็ ไรเด๋ยี วกห็ ายเจบ็ แล้ว \" 3. คาว่า \"เขา\" ในทน่ี ้ีหมายถึงใคร ? 4. แหม ! ทาอะไรใหเ้ ร็ว ๆ หนอ่ ยซิ 5. เดก็ ๆ ในห้องน้สี ามัคคกี ันดมี าก 6. ลูก ๆ ชอบไปเลน่ ทส่ี นามเดก็ เลน่ 7. อุปสรรค อา่ นวา่ อุบ-ปะ-สกั กรรมกร \" กา - มะ -กร 8. ผลไม้มหี ลายชนดิ เช่น สม้ กล้วย มังคดุ ฯลฯ 9. เครื่องเขียนทต่ี อ้ งเอาไปโรงเรยี น ได้แก่ ดนิ สอ, ปากกา, ยางลบ 10. วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม (วดั พระแก้ว) 11. ! เรียกวา่ เครอื่ งหมาย อัศเจรีย์ 12. \" เรยี กวา่ เครอื่ งหมาย บพุ สญั ญา 13. ฯลฯ เรยี กวา่ เครื่องหมาย ไปยาลใหญ่ 14. , เรยี กวา่ เคร่ืองหมาย จุลภาค 15 บ้านเลขท่ี 50/1 อ่านวา่ บ้านเลขที่ห้าสิบทับหน่ึง
ใบงานที่ 3 เรอื่ ง ความตา่ งของภาษาพดู กบั ภาษาเขยี น คาชีแ้ จง ให้ผู้เรยี นแก้ไขคาจากภาษาพดู เป็นภาษาเขียนท่ถี ูกต้อง ภาษาพดู ภาษาเขียน ๑. คอม ............................................... ๒. ตีน ............................................... ๓. แอร์ ............................................... ๔. หมา ............................................... ๕. ยงั ไง ............................................... ๖. หนัง ............................................... ๗. ทีวี ............................................... ๘. โรงบาล ............................................... ๙. รถเมล์ .............................................. ๑๐. ตังค์ .............................................. ๑๑. กิน ............................................... ๑๒ .เมยี ............................................... ๑๓. ก๊อบ ............................................... ๑๔. ต๋ัว ................................................ ๑๕. มีลกู ................................................
บนั ทึกหลงั สอน 1. ปญั หาหรืออุปสรรคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กกก……………………………………………………………………………..………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แนวทางการแกป้ ญั หาหรอื อปุ สรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การปรบั ปรุงแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ เรอ่ื ง หลักการใชภ้ าษา ก………………….…………………….………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื …………………………………………………… (……………………………………………………) ตาแหนง่ …………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผนู้ ิเทศทไ่ี ด้รบั มอบหมายจากผ้บู ริหาร ……………………………………………..………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหนง่ …………………………………………………. ความคิดเหน็ ของผู้บริหารสถานศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ………………………………………………..…… (……………………………………………………) ตาแหน่ง………………………………………………….
Search