บทที่ 3 การออกแบบการวจิ ยั และวธิ ีวทิ ยาการวจิ ัย นิยามวธิ ีวทิ ยาการวจิ ัย พล.อ.ต.ดร.นภัทร์ แกว้ นาค ระดบั ของบทสรุปการวจิ ัย นักวิจัยแหง่ ชาติ ณ สภาวจิ ัยแห่งชาติ เครื่องมือการวจิ ัย ตวั อย่างการสร้างเคร่ืองการวจิ ยั เชิงคุณภาพ
จะเรียนรู้ “เคร่ืองมือ” อย่างไร ประเภท ประเดน็ การเรียนรู้ 1. แบบสอบถาม 1. ความมุ่งหมายการใช้ 2. แบบสัมภาษณ์ 3. แบบสังเกต VS 2. คุณลกั ษณะเครื่องมือท่ีดี 4. แบบสนทนากล่มุ 3. กระบวนการสร้างเครื่องมือ 4. การใช้เคร่ืองมือ 5. การวเิ คราะห์ข้อมูล
แบบสอบถาม 1. ความมุ่งหมายการใช้ 1.1 กาวจิ ยั เชิงสารวจ (ทัศนคติ = เจตคต)ิ 1.2 สารวจ/วเิ คราะห์/ประเมินความคดิ เห็น/ทศั นคติ 1.3 เกบ็ ข้อมูลเชิงปริมาณเป็ นหลกั 1.4 ให้ข้อเสนอแนะ/คาแนะนาเพม่ิ เตมิ 1.5 กลุ่มผ้ใู ห้ข้อมูลเป็ น Mass ไม่ Focus.
2. คุณลักษณะของแบบสอบถามที่ดี 2.1 มีคุณลกั ษณะ/คุณภาพ เช่น (1) ความเทย่ี ง (Reliability) (2) ความตรง (Validity) (3) เหมาะสมกบั การสารวจทศั นคต/ิ ความคดิ เห็น (4) สะดวกต่อการใช้เกบ็ ข้อมูล (ผ้ทู ตี่ อบได้ : อ่าน/คดิ ) (5) สร้างจากการมีส่วนร่วมของผู้ตอบแบบสอบถาม (6) มจี รรยาบรรณการสารวจ
3. กระบวนการสร้างแบบสอบถาม (เชิงวชิ าการ) (1) ทบทวนวรรณกรรม (ให้ตกผลกึ ) (2) นิยามศัพท์เฉพาะ (ให้ครอบคลุมใจความสาคญั ) (3) กาหนดขอบเขตเชิงเนื้อหาท่จี ะวจิ ยั (4) กาหนดกรอบแนวคดิ เชิงทฤษฎกี ารวจิ ยั (5) วเิ คราะห์ความคาดหวงั /ผลลพั ธ์ตาม วตั ถุประสงค์การวจิ ยั (6) กาหนดโครงสร้างเอกสาร/แบบสอบถาม (7) กาหนดรูปแบบ (Form) เอกสาร/องค์ประกอบ
(8) กาหนดประเดน็ การสอบถาม/ร่วมกบั ผ้ตู อบ (1) ตวั แปรพื้นฐาน/ส่วนบุคคล (2) ประเดน็ เชิงเนื้อหา/ทฤษฎี (3) คาถามปรายเปิ ด (9) ร่างฯ เอกสารต้นฉบบั โดยผู้วจิ ยั (10) ทา Face Validity โดย Advisors (11) หาค่า IOC โดย ผชช. > 5 ท่าน (12) หาค่าสัมประสิทธ์ิ (∞) ครอนบคั (13) จัดระบบการแจกจ่าย/จดั ชุด/ทารหัส
4. สาระสาคญั อ่ืนๆ (1) การเขยี นข้อคาถามแต่ละข้อ “ต้องมนี ัยเดยี ว” (2) ตวั แปรส่วนบุคคล “มกี ล่มุ ตวั แปรทม่ี คี วามหมาย” (3) จานวนข้อไม่มากเกนิ ไป (30 - 50 ข้อ) (4) Scope ของประเดน็ คาถามสอดคล้องกบั 4.1 นิยามศัพท์เชิงปฏบิ ตั กิ าร 4.2 ขอบเขตเนื้อหาทกี่ าหนดไว้ 4.3 ตอบวตั ถุประสงค์การวจิ ยั ครบทุกข้อ
(5) แจกจานวนเอกสารเท่ากบั ที่สุ่ม/กาหนดไว้ (ไม่แจกเกนิ ) (6) จานวนการได้กลบั คืน > 85 % ก็ OK (7) ถ้าไม่พอให้ทวงถาม (คร้ัง 1,2) (8) ถ้าไม่ครบให้เปลยี่ นกลุ่มตวั อย่างใหม่เท่าทข่ี าด (9) ผู้ตอบต้องมีคุณสมบตั ทิ ่ีจะตอบแบบสอบถามได้
5. การทาแบบสอบถามไปเกบ็ ข้อมูล (1) มกี ล่มุ ตวั อย่าง/พื้นท/่ี สถานทช่ี ัดเจน (2) ประสานการปฏบิ ตั /ิ การแจกจ่าย/การเกบ็ คืน (3) รวมรวบแบบสอบถามกลบั คืน (4) ตรวจสอบความครบถ้วน/ความถูกต้อง (5) จดั กล่มุ /หมวดหมู่ของแบบสอบถาม (6) นามาจดั ระบบและกระบวนการวเิ คราะห์ข้อมูล
แบบสัมภาษณ์ 1. ความมุ่งหมายการสัมภาษณ์ : เพื่อ ➢ ทราบความคดิ /ความเห็น ➢ ขอความรู้/ปัญญา ➢ ดูทศั นคต/ิ มุมมอง ➢ ทราบความเข้าใจ/ความเชื่อ ➢ ถามประสบการณ์
2. คุณลกั ษณะแบบสัมภาษณ์ท่ดี ี ➢ มคี ุณภาพความตรง/ความเทยี่ ง ➢ ใช้ถ้อยคาสานวนภาดี (สุภาพ/เป็ นวชิ าการ) ➢ มคี วามเป็ นส่ิงเร้าการตอบโจทย์วจิ ยั ➢ จะนามาซ่ึงการหลอมรวมคาตอบการวจิ ยั ➢ ตอบวตั ถุประสงค์การวจิ ยั ได้ครบ ➢ สอดคล้องกบั นยิ ามศัพท์และกรอบแนวคดิ
ตวั อย่างรูปแบบคาถามการสัมภาษณ์ 1. ขอความกรุณาท่านได้วเิ คราะห์สภาพปัญหาทาง วชิ าการ ของ มจร. 2. ระบบการศึกษาทเ่ี หมาะสมของ มจร. ควรเป็ น อย่างไร ? 3. เพราะเหตุใดจงึ ต้องมนี วตั กรรมการบริหาร สมยั ใหม่ ? 4. เหตุผลในการปฏิรูปประเทศ คืออะไร ? ฯลฯ
3. กระบวนการสร้างแบบสัมภาษณ์ (1) วเิ คราะห์คาสาคญั (Key words) จากช่ือเรื่องวจิ ยั (2) วเิ คราะห์ประเดน็ เนื้อหาในวตั ถุประสงค์การวจิ ยั (3) วเิ คราะห์คาถามการวจิ ยั /โจทย์วจิ ยั (4) วเิ คราะห์นยิ ามศัพท์การวจิ ยั (5) วเิ คราะห์ขอบเขตเชิงเนื้อหาทจ่ี ะวจิ ยั
(6) วเิ คราะห์สาระสาคญั จากกรอบแนวคดิ การวิจยั (7) ร่างข้อความทมี่ ี Question word + Concept ทจี่ ะถาม (8) นาไปให้ Advisors ดู Face Validity (9) หาค่าความตรง/เทยี่ ง โดยทา IOC แล้ว ปรับปรุง
4. สาระสาคญั อื่นๆ ของแบบสัมภาษณ์ (1) ข้อความต้องกระชับมนี ัยเดยี ว (2) ไม่สับสนไปประเดน็ คาถาม (3) มี Question Words ทใี่ ห้แสดงออกถงึ “ระบบความคดิ ” (ไม่ใช่ Fact/ความจา) (4) ไม่ละเมดิ ความเป็ นส่วนตวั ของใคร (5) เร้าความคดิ ความเห็นของผ้ตู อบ (6) ไม่ใช้ศัพท์สานวนทผี่ ้ตู อบไม่เข้าใจ
5. การดาเนินการสัมภาษณ์ (1) ส่งเอกสารและรายการคาถามให้ผ้ตู อบ (2) นัดหมาย วนั /เวลา/สถานท่ี (3) เข้าพบ/นัดหมาย/สร้างความคุ้นเคย (4) แนะนาตวั เองและทมี งาน (ถ้าม)ี (5) แนะนาโครงร่างกาวจิ ยั (โดยย่อ) (6) บอกความม่งุ หมายการสัมภาษณ์ (คร้ังนี)้ (7) บอกหัวข้อ/ประเดน็ /คาถามท้งั หมด
(8) ขออนุญาตบนั ทกึ ข้อมูล/ถ่ายภาพ (9) บอกจรรยาบรรณการเผยแพร่ข้อมูล (10) ดาเนนิ การสัมภาษณ์ (ตามแผน) (11) ขอให้ผ้ตู อบสรุปปิ ดท้าย (12) กล่าวขอบคุณ/มอบของทร่ี ะลกึ (ถ้าม)ี (13) ถ่ายภาพ/อาลา
6. การเตรียมวเิ คราะห์ข้อมูล : ผลสัมภาษณ์ (1) รวบรวมคาถามจากทกุ คนของข้อคาถามทกุ ข้อ (2) ถอดความ คาตอบจากทุกคนแต่ละข้อ (100% / 80% / 50%) (3) รวมความของคาถามแต่ละข้อของทกุ คน (จดั พมิ พ์) (4) เข้าสู่กระบวนการวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis)
7. การสัมภาษณ์ท่ีดี (1) ทุกฝ่ ายมคี วามพร้อม/ทาการบ้าน (2) ใช้คาถามเดยี วกนั ในทุกคนทต่ี อบ (3) Face to Face dialogue (4) ถามไป / วเิ คราะห์ / สังเกตไป (5) ฟังด้วยหู / ด้วยสมอง /ด้วยใจ (6) มี Attention ต่อกนั (7) ใช้มนุษยสัมพนั ธ์และจติ วทิ ยาการพดู
แบบสงั เกต (Observation Technic) 1. ความมุ่งหมายการสังเกต : เพื่อการวจิ ัย ➢ รวบรวมข้อมูลผ่านอายาตนะสัมผสั ➢ เฝ้าดูด้วยความต้งั ใจ (แต่เป็ นธรรมชาต)ิ ➢ ใช้ประสาทสัมผสั การรวบรวมข้อมูลอย่างเป็ นระบบ ➢ บันทึกข้อมูลผ่านการเห็น/การคดิ /ทศั นะ/ความรู้สึก
2. คณุ ลกั ษณะ “การสังเกต” ทดี่ ี (1) มแี บบแผน / Check list / เครื่องมือ (2) มคี วามเป็ นกลาง/เป็ นวชิ าการ/เป็ นนักวจิ ยั (3) มกี ารวางแผน/เตรียมการ/ทาการบ้าน (4) มกี ารบันทกึ หลากหลายรูปแบบ เช่น = Field Note = Observation Note = Theoretical Note
(5) ทาได้ท้งั สังเกตแบบมสี ่วนร่วมและสังเกตไม่ มีส่วนร่วม (Un obstructive Method) (6) ไม่ละเมดิ ความเป็ นส่วนตวั /ธรรมชาต/ิ สิทธิมนุษยชน (7) บันทึกท้งั ภาพท่ีเห็นและความคดิ ที่ได้จาก การเห็น
3. การสร้างแบบสังเกต (1) วเิ คราะห์วตั ถุประสงค์การวจิ ยั เพ่ือกาหนด ประเดน็ สาคญั การวจิ ยั (2) วเิ คราะห์ประเดน็ ข้อมูลทจ่ี ะรวบรวมจากการ สังเกต (3) วเิ คราะห์นยิ ามศัพท์เชิงปฏิบัตกิ ารดูใจความ สาคญั (Key words) (4) ดูกรอบแนวคดิ : วเิ คราะห์ใจความสาคญั
(5) วเิ คราะห์ขอบเขตเชิงเนื้อหาจบั ประเดน็ ท่ีจะ สังเกต (6) ร่างแบบสังเกตในรูปของ Scope / Context / check list (7) ทา Face Validity โดย Advisors (8) หาค่า IOC โดยผ้เู ช่ียวชาญ (9) ปรับปรุงและนาไปใช้
4. การใช้ “แบบสังเกต” (1) วางแผนการเข้าพืน้ ท่คี รบวงจร (2) Build up Rapport(สร้างความคุ้นเคยกบั สถานท่ี/บุคคล) (3) รวบรวมข้อมูลผ่านอายาตนะสัมผสั พร้อมการบันทึก ตามแบบสังเกต
(4) ต้องสังเกต - อย่างเป็ นระบบ - อย่างมีแบบแผน - รอบคอบ/รอบด้าน (5) บันทึกท้งั ส่ิงทเ่ี ป็ นอยู่/มีอยู่ โดยปกต/ิ ไม่ปกติ (6) ใช้หลกั Triangulation ในการแสวงหาข้อมูล
การทา Focus group : สนทนากล่มุ 1. คยว่อายมมงุ่ หมายในการ F/G ➢ รวบรวมข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิ ➢ สร้างปฏิสัมพนั ธ์ของความคดิ เห็น ➢ หา Consensus การสนทนา ➢ หา Solution ทมี่ เี หตผุ ล ➢ ได้ข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒพิ ร้อมคาอธิบาย ร่วมกนั
2. การทา F/G ทีด่ ี ➢ เชิญผ้ทู รงคุณวฒุ ทิ ี่เหมาะสม ➢ จานวน 12 – 15 คน ➢ มคี วามเป็ นตวั แทน/ระบบข้อมูล ➢ มีการวางแผน/เตรียมการ/การจัดการดี ➢ Moderator มีความเข้าใจ/พร้อม/มที ักษะการจัดการ ➢ ผ้รู ่วมสนทนามคี วามเข้าใจในโครงร่างวจิ ัยและ วตั ถุประสงค์การวจิ ยั ➢ บรรยากาศเป็ นไปแบบสร้างสรรค์/สาระ/สนุก (3ส.)
3. กระบวนการสร้างแบบ F/G ➢ ทาเช่นเดยี วกบั การสัมภาษณ์ (รายบุคคล) 4. สาระสาคญั การทา F/G (1) ผ้ทู รงคุณวฒุ ิเป็ นผู้ทมี่ คี วามรู้จริง/มปี ระสบการณ์ จริง (2) มคี วามเป็ น Homogeneous หรือ Heterogeneous กไ็ ด้ (แต่ต้องไม่ขัดแย้งกนั )
(3) มีกระบวนการ Dialectic Process (4) จะให้ผู้รู้ใดๆ เป็ น Moderator แทนผู้วจิ ัยกไ็ ด้ (เว้น Advisors) (5) มกี ารบริหารการประชุมให้สร้างสรรค์ + บริการ ทีด่ ี
5. กระบวนการทา F/G (1) กาหนดตวั บุคคลผู้ทรงคุณวฒุ ิ 12-15 คน (2) เรียนเชิญพร้อมแนบเอกสาร - โครงร่างการวจิ ยั - หัวข้อ/ประเดน็ /คาถามการสนทนา - รายช่ือผู้เข้าร่วมเสวนา - ระบุ ว/ด/ป. เวลา และสถานท่ี (3) จัดเตรียมสถานท่ี/ส่ิงสนับสนุน (4) จัดเตรียมอาหารว่าง/เคร่ืองดื่ม
(5) วนั F/G - ลงทะเบยี น/รับเอกสาร - ทกั ทายทป่ี ระชุม - แนะนาตนเอง/ผู้วจิ ัย/ผู้ร่วมสนทนา - แนะนาโครงร่างการวจิ ยั - บอกวตั ถุประสงค์การสนทนา - อธิบาย Scope การสนทนา - ดาเนินการสนทนา - ใช้เทคนิค Dialectic Process
- สรุปประเดน็ การสนทนา (แต่ละข้อ) - ให้ทุกคนมสี ่วนร่วมอภิปราย - สร้างบรรยากาศการสนทนา - ทงิ้ ท้ายโดยให้แต่ละคนกล่าวสาระสาคญั - ขอบคุณผู้ร่วมสนทนา - มอบของทร่ี ะลกึ (ถ้าม)ี - ถ่ายภาพร่วมกนั
สาระสาคญั อืน่ ๆ 1. Moderator ต้องมคี วามรอบรู้ท้งั โครง ร่าง/วตั ถุประสงค์การวจิ ัย 2. Moderator ต้องรู้จักผู้ร่วมเสวนา 3. ผู้ร่วมเสวนาต้องมคี วามเข้าใจโครงร่าง/ และวตั ถุประสงค์การวจิ ยั 4. มผี ู้ร่วมจดบนั ทกึ ข้อมูล/ภาพ
5. ใช้เวลาประมาณ 2 - 3 ช่ัวโมง 6. สถานทคี่ วรมคี วามเหมาะสมกบั เร่ืองที่วจิ ัย 7. ควรตระหนักในการบนั ทึกภาพและเสียงท่ี เหมาะสม 8. ไม่มกี ารลงมตโิ ดยการโวต
การเตรียมข้อมูลสู่การวเิ คราะห์เนื้อหา ➢ เช่นเดยี วกบั ผลการสัมภาษณ์ ➢ ถอดความผลการสนทนากลุ่มแต่ละ ประเดน็ หลกั การสนทนา ➢ สรุปความ/เรียบเรียงใจความสาคญั แต่ละ หัวข้อ ➢ ทาข้อมูลเข้าสู่กระบวนการวเิ คราะห์ เนื้อหา (Content Analysis Technic)
1. ข้นั วเิ คราะห์สาระสาคญั จาก 1.1 จากชื่อเรื่องการวจิ ยั .................................... 1.2 ประเดน็ สาคญั จากวตั ถุประสงค์การวจิ ยั ..... 1.3 ขอบเขตเชิงเนื้อหา...................................... 1.4 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย................................. 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ/เชิงปฏบิ ตั กิ าร................
2. ได้ Scope คาตอบที่ต้องการ “ต้องได้คาตอบว่า” 2.1 รูปแบบการจดั การองค์กรทางการศึกษาใน พระพทุ ธศาสนา สมัยพทุ ธกาลเป็ นอย่างไร (1) แนวคดิ (2) โครงสร้างองค์กร (3) หลกั พทุ ธธรรม (4) สภาพปัญหาและผลกระทบ (5) ผลลพั ธ์และคุณภาพการจัดการ
2.2 รูปแบบการจัดการองค์กรทางการศึกษาตาม ศาสตร์สมยั ใหม่ เป็ นอย่างไร (1) แนวคดิ (2) โครงสร้างองค์กร (3) หลกั การ/ทฤษฎอี งค์กร (4) สภาพปัญหาและผลกระทบ (5) ผลลพั ธ์และคุณภาพการจัดการ
2.3 รูปแบบการจัดการองค์กรทางการศึกษาใน พระพทุ ธศาสนาท่ีเหมาะสม/ท่ีสมสมัยควรเป็ น อย่างไร (1) แนวคดิ (2) โครงสร้างองค์กร (3) หลกั การ/ทฤษฎอี งค์กร (4) สภาพปัญหาและผลกระทบ (5) ผลลพั ธ์และคุณภาพการจัดการ
3. ร่างข้อความและ form แบบสัมภาษณ์/F/G 4. นาไปให้ Advisors ดู Face Validity 5. ปรับปรุงแล้วนาไปหาค่า IOC จาก ผชช. ≥ 5 ท่าน
จดั ทา (ร่าง) แบบสัมภาษณ์ / F/G ลาดับ ประเดน็ หลัก ข้อความ 1. การจัดองค์กรทางการศึกษาใน 1.1 แนวคิดการจัดองค์กรทางการ พระพุทธศาสนาสมัยพทุ ธกาล ศึกษา เป็ นอย่างไร 1.2 การจัดโครงสร้างองค์กร 1.3 หลกั พทุ ธธรรมการจัดองค์กร ทางการศึกษา 1.4 สภาพปัญหาและผลกระทบที่ เกดิ ขนึ้ 1.5 ผลลพั ธ์และคุณภาพการจัดการ
ลาดบั ประเดน็ หลัก ขอ้ ความ 2. การจัดการองค์กรทางการศึกษาตาม 2.1 แนวคดิ การจัดองค์กรทางการ ศาสตร์สมยั ใหม่ เป็ นอย่างไร ศึกษา 2.2 การจดั โครงสร้างองค์กร 2.3 หลกั การและทฤษฎอี งค์กร 2.4 สภาพปัญหาและผลกระทบที่ เกดิ ขนึ้ 2.5 ผลลพั ธ์และคุณภาพการจดั การ
ลาดบั ประเด็นหลกั ขอ้ ความ 3. การจดั องค์กรทางการศึกษาใน 3.1 แนวคดิ การจดั องค์กรทางการ พระพุทธศาสนาในสมยั ปัจจุบนั ศึกษา “ควรเป็ นอย่างไร” 3.2 การจดั โครงสร้างองค์กร 3.3 หลกั การและทฤษฎอี งค์กร 3.4 สภาพปัญหาและผลกระทบท่ี เกดิ ขนึ้ 3.5 ผลลพั ธ์และคุณภาพการจัดการ
ลาดบั ประเดน็ หลัก ขอ้ ความ 4. ข้อคดิ เห็นและข้อเสนอแนะอ่ืนๆ เพื่อ 4.1 แนวคดิ การจัดองค์กรทางการ การจัดองค์กรทางการศึกษาใน ศึกษา พระพุทธศาสนา “ทเี่ หมาะสม” ใน 4.2 การจัดโครงสร้างองค์กร ปัจจุบนั และอนาคต 4.3 หลกั การและทฤษฎอี งค์กร 4.4 สภาพปัญหาและผลกระทบท่ี เกดิ ขนึ้ 4.5 ผลลพั ธ์และคุณภาพการจัดการ
คณุ ลกั ษณะสังคมและการจดั คณุ ลกั ษณะสังคมและการจดั องค์กรทางการศึกษา องค์กรทางการศึกษา สมยั พทุ ธกาล สมยั ปัจจุบัน - แนวคดิ การจดั องค์กร - โครงสร้างองค์กร - หลกั ธรรม/หลกั การจดั องค์กร - คุณลกั ษณะและผลลพั ธ์การจดั องค์กร คณุ ภาพและประสิทธิภาพการ จดั การในพระพุทธศาสนาปัจจบุ ัน และอนาคต
1. สร้างความสนใจ 10 % 2. สร้างความเข้าใจ 20 % 3. สร้างแรงจูงใจ 30 % 4. สร้างความมน่ั ใจ 20 % 5. สร้างความภูมิใจ 20 % 100 % SUM
1. ซื่อสัตย์มีคุณธรรมทางวชิ าการ 2. คานึงถงึ พนั ธกรณกี บั หน่วยงานท่ีวจิ ยั 3. มคี วามรู้ในสาขาวจิ ยั (เนื้อหา/วธิ ีวทิ ยา) 4. รับผดิ ชอบสิ่งท่วี จิ ยั 5. เคารพศักด์ศิ รีและสิทธิมนุษยชน 6. ปราศจากอคตกิ บั งานวจิ ยั /ผู้วจิ ยั 7. นางานวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ที่ดี 8. พงึ เคารพความคดิ เหน็ ทางวชิ าการของผ้อู ่ืน 9. รับผดิ ชอบสังคม (ในบทบาทนักวจิ ยั )
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: