Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง(loT)

อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง(loT)

Published by MIEW SUTAWONG, 2021-12-21 13:15:26

Description: อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง(loT)

Search

Read the Text Version

INTERNET OF THINGS อิ น เ ท อ ร์เ น็ ต เ พื่ อ ส ร ร พ สิ่ ง ( l o T ) BY MIEW SUTAWONG

1.Smart home ท่านเคยได้ยินคำว่า \" smart home \" หรือ \" smart building \" หรือไม่ ? ซึ่งในภาษาไทย ก็จะใช้คำว่า \"บ้านอัจฉริยะ\" หรือ \"อาคารอัจฉริยะ\" ซึ่ง แตกต่างกับ \" green building \" ( อาคารสีเขียวคือ อาคารที่สร้างอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสิ่ง แวดล้อมซึ่งจะมีการกำจัดของเสีย หรือมลพิษต่างๆที่ มักเกิดจากผู้อยู่อาศัยในอาคารก่อนปล่อยออกสู่สิ่ง แวดล้อมภายนอกและมีการใช้พลังงาน และใช้ทรัพยา ทรกรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการ ใช้น้ำ ใช้ไฟ อย่าง คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ หรืออาจมีการใช้พลังงาน ทดแทนเช่น แสงแดดหรือ ลมมาเพื่อช่วยลดการใช้ พลังงานในอาคารหรือ คือ มองในมุมของพลังงาน และ สิ่งแวดล้อม ) ส่วน smart home หรือบ้านอัจฉริยะนั้น เราก็จะตีความคำว่า อัจฉริยะ นั่นก็หมายถึง การนำ ระบบอัตโนมัติต่าง ๆ เข้ามาใช้ภายในบ้านเพื่อให้ผู้อยู่ อาศัยเกิดความรู้สึกสะดวกสบาย รู้สึกปลอดภัย หรือ ช่วยประหยัดพลังงานได้เพียงเท่านั้นซึ่งยังคลาดเคลื่อน กับความหมายจริง

ความหมายของ Smart Home ของคนไทย ซึ่งการจะเป็นบ้านอัจฉริยะ ความหมายในบ้านเราที่ใช้ กันนั้น มีความหมายที่กว้างคืออาจจะเป็นบ้านที่มีระบบ อัตโนมัติเล็ก ๆ ที่เรียกว่า user control(ผู้อยู่อาศัย สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของบ้านให้ตอบสนอง ความต้องการของตนได้ด้วยตัวของผู้อยู่อาศัยเอง) จนไป ถึงระบบอัตโนมัติที่เต็มรูปแบบที่เรียกว่า rule-based control คือบ้านจะมีระบบควบคุมที่สามารถตรวจจับค่า พารามิเตอร์ต่าง ๆ ภายในบ้านแล้วทำการปรับเปลี่ยน หรือตอบสนองต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้โดย อัตโนมัติ

(ซึ่งระบบที่เต็มรูปแบบนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของงานวิจัย ซึ่งบริษัทหลาย ๆ แห่งในต่างประเทศได้เซตห้องแลป ขึ้นเพื่อทำการวิจัยด้านนี้โดยเฉพาะ) นั่นคือเราเข้าใจ ว่าหากบ้านของเรามีระบบอัตโนมัติแค่นิด ๆ หน่อย ๆ เราก็ถือว่าบ้านของเราเป็นบ้านอัจฉริยะแล้ว เช่นอาจ มีระบบประตูอัตโนมัติ หรือ มีระบบรีโมทช่วยควบคุม การเปิด-ปิดอุปกรณ์ทุกอย่าง หรือ เพียงติดตั้งกล้อง วงจรปิดก็คิดว่าบ้านของเรานี่เป็น smart home แล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ลวกหยาบเกินไป

ความหมายของ smart home ที่เป็นสากลทั่วโลก ปี 2003 Housing Learning & Improvement Network ได้ตีพิมพ์คำจำกัดความของ smart home ซึ่งถูกนำเสนอโดย Intertek ว่าหมายถึง การรวบรวม โครงข่ายการสื่อสาร (communication network) ของที่อยู่อาศัยรวมเข้าด้วยกัน เพื่อเชื่อมต่อเครื่องใช้ ไฟฟ้า การบริการ การตรวจตราดูแล รวมทั้งสามารถ เข้าถึงการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้(โดยการควบคุม อาจหมายถึง การควบคุมทั้งที่เกิดจากทั้งภายในที่อยู่ อาศัยเองหรือ ถูกควบคุมจากภายนอกก็ได้ ) นั่นคือ บ้านหรือที่อยู่อาศัยที่จะเรียกว่าบ้านอัจฉริยะหรือเรียก ว่า smart home จะต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการคือ

1. มี Smart Home Network คือระบบพื้นฐานของ smart home อาจเป็นการเดินสายหรือไร้สายก็ได้ ประกอบด้วย 1.1 Power line System(X10) เป็น protocol ที่ใช้สื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบ home automation ถูกพัฒนาการอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อม ต่อเข้ากับแหล่งจ่ายไฟหลักได้โดยตรงเป็นระบบที่ง่าย ในการ config ทำงานได้เร็วและราคาถูก โดยข้อเสีย หลัก ๆ ของระบบนี้คือการรบกวนค่อนข้างมาก 1.2 Bus line(EIB,Cebus) ใช้สาย 12volt แยกออกมา (ตีเกลียว) เพื่อรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ เป็นอิสระจากแหล่งจ่ายไฟ เพื่อป้องกันการรบกวน 1.3 Radio frequency(RF) และ Infrared(IR) system เป็นระบบที่ใช้กันมาก ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักใช้ ระบบนี้ในอุปกรณ์ smart home แต่ระบนี้ก็ยังมี ปัญหาอันเกิดจากการรบกวนสัญญาณและระยะ ทางในการส่งสัญญาณ

2. มี Intelligent Control System คือ ระบบการควบคุม ระบบอัจฉริยะที่มีความชาญฉลาด 2.1 เป็นเสมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีที่ แตกต่างกันของุปกรณ์ภายในบ้าน 2.2 เป็นเสมือน gateway เพื่อเชื่อมต่อกับบริการที่ อยู่ภายนอกบ้าน 3. มี Home Automation Device คือ อุปกรณ์เครื่อง ใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ เช่น 3.1 smart refrigerator คือ ตู้เย็นอัจฉริยะ สามารถบอกได้ว่ามีอาหารอะไรกี่อย่างอยู่ภายในตู้เย็น อีกทั้งยังบอกได้ว่าอาหารจะหมดอายุเมื่อไหร่ 3.2 smart sofa คือโซฟาที่สามารถปรับความ อ่อนแข็งได้ตามสรีระและความพอใจของแต่ล่ะคน

3.3 smart bathroom คือห้องน้ำอัจฉริยะ ที่ สามารถควบคุมอุณภูมิ เสียง แสง และกลิ่นภายใน ห้องน้ำได้ 3.4 smart door คือประตูอัตโนมัติ ที่ สามารถตรวจจับใบหน้าของสมาชิกภายในบ้ายแล้ว ทำการเปิดปิดเองโดยอัตโนมัติ 3.5 smart remote คือรีโมทที่สามารถ ควบคุมอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ทั้งหมด 3.6 security system คือระบบรักษาความ ปลอดภัยที่ไม่ใช่เป็นเพียงกล้องที่บันทึกเหตุเท่านั้น แต่ยังมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวและไซเรน เพื่อส่งเสียงในการระงับเหตุ 3.7 robot ปัจจุบันได้มีการนำหุ่นยนต์เข้ามา ใช้ภายในบ้านเช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่น หุ่นยนต์ ให้อาหาร สัตว์เลี้ยง

สรุปคือ ความหมายของ smart home ใน ทางสากลนั้นจะมองในเชิงโครงสร้างคือจะเป็น smart home ได้ต้องมีโครงสร้าง 3 ส่วนคือเริ่มจาก อุปกรณ์ที่เป็น smart device และอุปกรณ์เหล่านั้น ต้องสามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้ที่เรียกว่า smart home network และสุดท้ายคือต้องมีส่วน ควบคุมหลักที่เป็นมันสมองของบ้านซึ่งเราสามารถ เขียนโปรแกรมให้บ้านของเรามีความฉลาดแบบใด ก็ได้ตามที่เราต้องการที่เรียกว่า intelligent control system เหล่านี้จึงจะประกอบรวมเรียกว่า เป็น smart home

2. Smart City คำว่า เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City น่าจะเป็นคำ คุ้นเคยที่ได้ยินกันตามสื่อต่าง ๆ อย่างแพร่หลายในช่วง ระยะเวลาไม่นานนี้ นั่นเป็นเพราะประเทศไทยกำลังจะ เดินหน้าพัฒนามุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เพื่อต้องการมุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนคนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสอดคล้อง กับยุค Thailand 4.0

เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เป็นรูปแบบการ ประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล หรือข้อมูลสารสนเทศและ การสื่อสารในการเพิ่มประสิทธิและคุณภาพของบริการ ชุมชน เพื่อช่วยในการลดต้นทุน และลดการบริโภค ของประชากร โดยยังคงเพิ่มประสิทธิภาพให้ประชาชน สามารถอยู่อาศัยได้ในคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นSmart City เป็นโครงการที่หลาย ๆ เมืองทั่วโลก พยายามพัฒนา ให้เข้ากับยุค 4.0 โดยนำเทคโนโลยีมาผสานกับการ ใช้ชีวิตของประชาชน ไม่ว่าจะทั้งด้านการขนส่ง การใช้ พลังงาน หรือโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะทำให้เมืองที่ สะดวกสบายเหมือนในฝันเกิดขึ้นได้จริง ทั้งยังทำให้ ประชาชนอยู่ดีมีสุขกันด้วยแนว คิด Smart City เกิด ขึ้นพร้อม ๆ กับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ซึ่งเป็นรากฐาน ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์หรือสิ่งของรอบ ๆ ตัวเข้ากับ โครงข่ายการสื่อสารแบบอินเทอร์เน็ต

ทั้งนี้เพื่อให้ภาพของเมืองอัจฉริยะมีความชัดเจนมาก ขึ้น จึงมีการแบ่งกลุ่มเมืองอัจฉริยะและกำหนดกรอบ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะขึ้นโดยแบ่งเมืองอัจฉริยะ ออกเป็น 2 กลุ่ม 1. เมืองอัจฉริยะน่าอยู่ คือ การฟื้นฟูเมืองเดิม พัฒนาให้ เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีและโครงสร้าง พื้นฐานคมนาคมขนส่ง พลังงาน และดิจิทัล ในการปรับ เปลี่ยนเพิ่มเติมเมืองที่มีอยู่เดิมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น 2. เมืองอัจฉริยะทันสมัย คือ การพัฒนาเมืองใหม่โดย ก่อสร้างพื้นที่เมืองขึ้นใหม่ทั้งหมด รวมถึงพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานของเมือง สาธารณูปโภค ที่อยู่อาศัย แหล่งงาน พาณิชยกรรม พื้นที่พักผ่อน ให้เป็นเมืองที่ทัน สมัยระดับโลก เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคม การค้า การลงทุน การวิจัยพัฒนา ไปจนถึงการพัฒนา นวัตกรรม

นอกจากนั้นคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมือง อัจฉริยะยังได้กำหนดองค์ประกอบพื้นฐานของเมือง อัจฉริยะไว้ 7 ด้าน คือ 1.เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) เมืองที่มุ่ง เน้นประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนิน ธุรกิจ สร้างให้เกิดความเชื่อมโยงและความร่วมมือ ทางธุรกิจ และประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการพัฒนา เพื่อปรับเปลี่ยนธุรกิจ โดยจะผลักดันเมืองเป้าหมาย เป็นศูนย์กลางธุรกิจด้านใดด้านหนึ่งบนฐาน นวัตกรรม เช่น เมืองเกษตรอัจฉริยะ เมืองท่องเที่ยว อัจฉริยะ เป็นต้น

2.ระบบขนส่งและการสื่อสารอัจฉริยะ (Smart Mobility) เมืองที่มุ่งเน้นการเพิ่มความสะดวกในการ เข้าถึงระบบขนส่งมวลชน การเดินทางสะดวกปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการระบบโลจิสติกส์ และการ ใช้ยานพาหนะประหยัดพลังงาน 3.พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เมืองที่มุ่งเน้น เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเมือง หรือใช้ พลังงานทางเลือกเป็นพลังงานสะอาด (Renewable Energy) 4.สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) เมืองที่ มุ่งเน้นปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลการบริหารจัดการ และติดตามเฝ้าระวังสิ่ง แวดล้อมและสภาวะแวดล้อมอย่างเป็นระบบ

5. ระบบบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) เมืองที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริการเพื่อให้ประชาชนเข้า ถึงบริการภาครัฐ เช่น Smart Portal เพิ่มช่องทางการมี ส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงการเปิดให้ประชาชนเข้าถึง ข้อมูลทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ 6. พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) เมืองที่มุ่งเน้นการ พัฒนาผู้บริหารเมืองหรือผู้นำท้องถิ่นที่สามารถประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาเมืองสร้างพลเมืองที่มี ความรู้และความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และ การเรียนรู้นอกระบบรวมถึงการส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน ด้วยความหลากหลายทางสังคม 7. การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) เมืองที่มุ่งเน้น การสนับสนุนให้มีระบบบริการที่อำนวยความสะดวกต่อ การดำรงชีวิต เช่น บริการด้านสุขภาพให้ประชาชนมี สุขภาพและสุขภาวะที่ดี การเพิ่มความปลอดภัยของ ประชาชนด้วยการเฝ้าระวังภัยจากอาชญากรรมไปจนถึง การส่งเสริมให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการ ดำรงชีวิตที่เหมาะสม

3.Smart grids สมาร์ทกริด (Smart Grid) คืออะไร? สมาร์ทกริด (Smart Grid) คือระบบโครงข่ายไฟฟ้า อัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามา ทำงานร่วมกัน โดยครอบคลุมตั้งแต่การประยุกต์ใช้ งานเทคโนโลยีเหล่านั้นตลอดทั้งห่วงโซ่ของระบบ ไฟฟ้าตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า การส่งไฟฟ้า การ จำหน่ายไฟฟ้า ไปจนถึงภาคส่วนของผู้บริโภค ได้ อย่างชาญฉลาด การสื่อสารในการเก็บข้อมูลและ ทำการสั่งการควบคุมโครงข่ายไฟฟ้าโดยใช้ข้อมูล ดังกล่าวในการตัดสินใจ

เช่น เก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าจากผู้ใช้งาน และการผลิตไฟฟ้าจากผู้ผลิต การควบคุมอัตโนมัติ ของระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อทำการปรับปรุง ประสิทธิภาพความเชื่อถือได้ ความคุ้มค่าทาง เศรษฐศาสตร์ และความยั่งยืนในการผลิตและจ่าย ไฟฟ้าในระบบโครงข่ายไฟฟ้า นั่นคือผู้ใช้ไฟฟ้า ทั่วไปตั้งแต่ภาคบ้านเรือน ภาคอุตสาหกรรม ภาค ธุรกิจและการพาณิชย์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยัง ครอบคลุมไปถึงการเชื่อมต่อพลังงานไฟฟ้า หมุนเวียนเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าและเตรียมพร้อม รองรับการนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้งานในอนาคต เป็นต้น

ประโยชน์ของ Smart Grid : **ด้านระบบไฟฟ้า – ระบบส่งจ่ายไฟฟ้ามีความมั่นคง เชื่อถือได้ และมีคุณภาพสูงขึ้นมาก – ระบบส่งจ่ายไฟฟ้าจะสื่อสารกันได้อย่างทั่วถึง ทําให้เพิ่มประสิทธิภาพสูงขึ้น – ในกรณีที่เกิดปัญหาไฟฟ้าดับขึ้น ผู้ใช้ไฟฟ้า จะสามารถกลับมาใช้ไฟฟ้าได้ใหม่ภายในระยะ เวลาอันสั้น

**ด้านบริการ – ผู้ใช้ไฟฟ้าตรวจสอบลักษณะการใช้ไฟฟ้าและ ลดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนได้ – มีระบบแจ้งเตือนไฟฟ้าขัดข้องแบบอัตโนมัติ – มีบริการใหม่ ๆ **ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม – สนับสนุนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประหยัดการใช้ พลังงาน และผลิตพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่ง แวดล้อม – สนับสนุนนโยบายภาครัฐในการสร้างความ มั่นคงทางพลังงานของประเทศ – สร้างความปลอดภัยให้ชุมชน

4. Smart farmingm Smart Farming ความสำเร็จและ ความท้าทายแห่งยุคสมัย เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในชีวิตประวันในทุกวันนี้ จนมีคนกล่าวไว้ว่า ยุคนี้ Technology is everything โดยไม่ว่าจะมองไป ทางด้านไหน ก็มีแต่คนที่ใช้เทคโนโลยีกันตลอด เวลา แม้แต่การทำการเกษตรเอง ในยุคปัจจุบันนี้ก็ มีแนวคิดใหม่ในการทำการเกษตรขึ้นมา เรียกว่า Smart Farming ซึ่งกำเนิดจากวิถีของเกษตรกรใน ยุคใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการกลับไปพัฒนา บ้านเกิด ทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจวิธีการ ทำการเกษตรแบบไฮเทค ที่จะเข้าไปเปลี่ยนวิถีแบบ เดิมๆ แต่การใช้เทคโนโลยีจำนวนมากก็มีข้อเสียที่ ทำให้การทำ Smart Farming ไม่ประสบผลสำเร็จ เช่นกัน

เราสามารถอธิบายได้ง่ายๆ ว่า Smart Farming คือการทำการเกษตรอัจฉริยะที่นำเทคโนโลยีเข้ามาบ ริหารจัดการระบบการเพาะปลูกในทุก ๆ ขั้นตอน และ สามารถควบคุมทุกอย่างได้ด้วยเทคโนโลยี เพื่อทำการ ตรวจสอบ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และแก้ปัญหาการเพาะ ปลูกได้แบบ Real-Time พร้อมกับสามารถแสดงผล ข้อมูลการเจริญเติบโตและคาดการณ์ผลผลิตได้อย่าง แม่นยำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยของเรายัง คงอยู่ในจุดเริ่มต้นของการทำเท่านั้น เนื่องจากการทำ Smart Farming จำเป็นต้องมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ และได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน อีกทั้งตัว เกษตรกรเองก็จำเป็นต้องมีการเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงจากวิถีเดิมที่เคยทำมา

อุปสรรคและความยากในการทำ Smart Farming เราเคยเข้าใจกันมาตลอดว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เราสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ง่ายขึ้น แต่หากว่าได้ลองคิดกันอย่างถี่ด้วนจริง ๆ กว่าที่จะมา ถึงจุดที่คนส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง แพร่หลายไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย โดยเฉพาะในภาค เกษตร ที่ใครหลายคนต่างเคยตั้งคำถามกันว่า ทำไม เกษตรกรไทยไม่ใช้เทคโนโลยี ทำไมเกษตกรไทยยัง ทำฟาร์มแบบเก่า ซึ่งคำถามเหล่านี้ต่างก็เป็นความ ท้าทายที่จำเป็นต้องหาทางช่วยเหลือและแก้ไข เพื่อ ให้เกษตรกรไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันได้ มากยิ่งขึ้น ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถใช้ เทคโนโลยีได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น จริง ๆ แล้วมี จำนวนมาก และมีความซับซ้อนของปัญหาสูง แต่หาก จะต้องการจำแนกอย่างกว้างๆ สามารถจำแนกปัญหา ออกมาได้ดังนี้

การลงทุนในนวัตกรรมทำให้เข้าถึงปลายทางได้ ยาก: หลายครั้งที่เราเข้าใจไปว่านวัตกรรมจะทำให้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งนั่นเป็นแค่การมองไปถึง ปลายทางของการใช้นวัตกรรม แต่หากมองกัน อย่างละเอียด การที่คนทั่วไปจะสามารถใช้ นวัตกรรมได้ จำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนใน กระบวนการสร้างสภาพแวดล้อมให้ใช้นวัตกรรม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากเราต้องการทำ ระบบให้น้ำอัตโนมัติ เพื่อควบคุมการให้น้ำใน ฟาร์มผ่านสมาร์ทโฟนได้ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ ฟาร์มส่วนใหญ่ของเกษตรกรไทยจะใช้ระบบไฟ บ้าน ซึ้งไม่สามารถตอบสนองกับปริมาณการใช้ ไฟฟ้าของระบบได้อย่างเพียงพอ

จำเป็นต้องมีการจ้างวิศวกรเพื่อออกแบบระบบไฟ ใหม่ให้เป็นระบบอุตสาหกรรม เสียทั้งเวลาและเงิน ทองจำนวนมาก กว่าที่ระบบการให้น้ำจะสามารถใช้ งานได้จริง และยังต้องมีอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้อง วางแผน เช่น ระบบชลประทาน การวางผังไร่ การวาง ระบบท่อน้ำ ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความรู้หลากหลาย ในการออกแบบและสร้างระบบเหล่านี้ UX – UI ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เคยใช้มา: ในการ ปรับระบบฟาร์มมาเป็น Smart Farming นั้น เรา มักจินตนาการว่าทุกอย่างจะเป็นระบบที่มีข้อมูลที่ ชัดเจน มีเทคโนโลยีชั้นสูง มีการให้ข้อมูลกลับมา สู่เกษตรกรแบบละเอียด ครบถ้วน แต่ในหลายๆ ครั้ง

ข้อมูลหรือระบบในการใช้งานเหล่านั้นก็สูงและ ยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถใช้งานได้จริง ซึ่งจะทำให้การทำฟาร์มอัจฉริยะไม่ประสบผล สำเร็จ เพราะถึงแม้ว่าจะมีนวัตกรรมที่ดีพอ แต่ผู้ที่ ใช้งานกลับเกิดความยุ่งยากในการเรียนรู้ที่จะใช้ รวมไปถึงความซับซ้อนของเทคโนโลยีก็มีสูงเกิน กว่าผู้ที่ไม่เคยได้ศึกษาจะเข้ามาทำความเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นการออกแบบระบบ Smart Farming จำเป็นต้องมองลงไปถึงความคุ้นชินเดิมของผู้ที่ใช้ งานจริง เพื่อให้ความยุ่งยากในการเรียนรู้ไม่สูง เกินไป นวัตกรรมถูกสร้างจากหลายคน: เนื่องด้วย กระบวนการและขั้นตอนในการทำการเกษตรนั้นมี ความหลากหลาย และผู้ผลิตเทคโนโลยีเองก็อาจไม่ ได้มีความเชี่ยวชาญในทุกจุดของการทำการเกษตร ทำให้ในแต่ละขั้นตอนของการปลูก

จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีของผู้ผลิตหลายๆ เจ้าเข้ามา ใช้งานร่วมกัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือผู้ผลิตแต่ละเจ้าต่าง ก็มีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ทำให้การเชื่อมโยงมีความ ยากลำบาก และอาจทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพเลยก็เป็นได้ ความคุ้มค่าในการลงทุนที่ไม่ชัดเจน: โดยส่วนใหญ่ แล้ว เกษตรกรรายย่อยที่ทำอาชีพเกษตรกรรมเป็น หลัก มักมีภาระในการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว หากเขา จำเป็นต้องลงทุนในการทำระบบ Smart Farming ที่มีต้นทุนเริ่มต้นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีต้นทุนแฝง ในอนาคตที่ตามมาอีกจำนวนมาก อาจทำให้ เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้จริง เนื่องจากไม่สามารถลงทุนกับเทคโนโลยีได้

5. Connected Car Connected Car: เทคโนโลยีดิจิทัลกับยานยนต์ Connected Car เป็นการป ระยุกต์ใช้งานอย่างหนึ่ง ของ Internet of Things (IoT) โดยเป็นการนำ เทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับยานยนต์และการ คมนาคมขนส่ง ทำให้รถยนต์สามารถสื่อสารกับสิ่งต่างๆ หรือเป็นเหมือน “สมาร์ทโฟนติดล้อ (Smartphone on wheels)” ตามคำกล่าวของ Akio Toyoda ประธาน บริษัท Toyota Motor Corporation

Connected Car จะทำให้เกิดบริการแอพพลิเคชัน และรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่ช่วยให้การคมนาคมขนส่งมี ความปลอดภัยมากขึ้น มีประสิทธิภาพคล่องตัวมาก ขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้เดินทาง ดังนี้ 1.) บริการด้านข่าวสารและความบันเทิง (Infotainment) โดยผู้โดยสารรถยนต์สามารถดู หนังฟังเพลงจากในรถที่ sync ข้อมูลกับโทรศัพท์มือ ถือ ทำให้ประสบการณ์ในการใช้งานระหว่างอุปกรณ์ เป็นไปอย่างลื่นไหล ตัวอย่างเช่น Apple Carplay 2.) บริการประกันภัยที่คิดเงินตามการขับจริง (Usage-based Insurance) โดยจากข้อมูล ลักษณะการขับขี่จะทำให้บริษัทประกันภัยสามารถ ประเมินความเสี่ยงของผู้ขับขี่ได้ดีขึ้น และนำมาคิดค่า เบี้ยประกันตามพฤติกรรมในการขับรถได้ เช่น ผู้ขับขี่ เป็นระยะทางสั้นๆ และใช้ความเร็วต่ำ ก็จะจ่ายค่าเบี้ย ประกันต่ำกว่าผู้ขับขี่ระยะทางไกลๆ และใช้ความเร็ว สูง

3) บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ในกรณีที่ผู้ขับขี่ประสบ อุบัติเหตุ หน่วยงานให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น ในยุโรปได้มีบริการที่เรียกว่า eCall กำหนดให้รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องติดตั้งอุปกรณ์ที่ จะโทรเรียกหมายเลขฉุกเฉิน 112 โดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดอุบัติเหตุการชนรุนแรง และส่งข้อมูลการ ทำงานของถุงลมนิรภัย และพิกัดของรถยนต์ให้ หน่วยงานให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินทราบ ซึ่งจะ ช่วยลดระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ เหตุได้ถึง 40-50%

4) บริการตรวจเช็ครถยนต์จากระยะไกล (Remote Diagnostic and Maintenance) โดยเซนเซอร์ที่ อยู่บนรถยนต์จะตรวจวัดสภาพรถและส่งข้อมูลไปยัง ศูนย์บริการโดยอัตโนมัติ ทำให้ศูนย์บริการสามารถ วิเคราะห์สภาพรถและพยากรณ์การเสียของรถได้ ล่วงหน้าแล้วแจ้งให้ผู้ขับขี่นำรถมาซ่อมได้ก่อนที่จะ เกิดการเสียจริง 5) การสื่อสารของรถยนต์กับสิ่งรอบตัว (Vehicle-to- Everything Communications: V2X) โดยมีทั้งการ สื่อสารระหว่างรถยนต์ (Vehicle-to-vehicle: V2V) เช่น รถยนต์คันหน้าแจ้งเตือนรถยนต์ที่ตามมาเมื่อมีการ เบรกเพื่อความปลอดภัย การสื่อสารระหว่างรถและ โครงสร้างพื้นฐาน (Vehicle-to-infrastructure: V2I)

เช่น สัญญาณไฟจราจรอาจแจ้งให้รถหลีกเลี่ยงเส้น ทางรถติด ช่วยให้การคมนาคมคล่องตัวขึ้น ซึ่งการ สื่อสารของรถยนต์ในลักษณะนี้จะเป็นโอกาสของ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในการเข้ามามีบทบาท ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตัวอย่างเช่น การจัดตั้ง สมาคม 5G Automotive Association ซึ่งเป็น ความร่วมมือกันระหว่างผู้เล่นในอุตสาหกรรม โทรคมนาคมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ 6) การประยุกต์ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยสามารถนำข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ ที่ติดตั้ง ในรถยนต์มาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงระบบ การคมนาคมขนส่งและการพัฒนาเมือง ตาม แนวคิดของเมืองอัจฉริยะ

(Smart City) ได้ เช่น หากเซนเซอร์ตรวจพบ การเบรกของรถยนต์บนถนนเส้นหนึ่งอย่างผิด ปกติ อาจเป็นไปได้ว่าผู้ใช้ทางเบรกเนื่องจากถนน ดังกล่าวเกิดการทรุดตัว ข้อมูลดังกล่าวสามารถ นำมาใช้ในการแจ้งผู้เกี่ยวข้องเพื่อซ่อมแซมถนน ได้ 7) การขับขี่โดยอัตโนมัติ (Automated Driving) โดยนำการสื่อสารมาใช้ร่วมกับ เซนเซอร์ต่างๆ ซึ่งใช้ในการตรวจจับสิ่งที่อยู่รอบ ตัวและนำข้อมูลมาประมวลผลโดย Artificial Intelligence (AI) เกิดเป็นรถยนต์ไร้คนขับหรือ รถยนต์ขับอัตโนมัติ (Automated Vehicles) ซึ่งจะทำให้การเดินทางมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน 90% ของอุบัติเหตุทางถนนเกิด จากความผิดพลาดของมนุษย์ (human error) และช่วยให้เกิดรูปแบบธุรกิจ

Mobility as a service ซึ่งทำให้เราสามารถใช้ บริการรถยนต์ที่ใช้งานร่วมกันกับผู้อื่นเมื่อเราไม่ ได้ใช้งานได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจ แบ่งปัน (Sharing Economy) การให้บริการ Connected Car จะทำให้ผู้เล่น ใน Ecosystem ที่หลากหลาย เช่น ผู้ผลิต รถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ผู้ให้บริการ Content ผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคม ผู้ให้ บริการประกันภัยรถยนต์ และหน่วยงานภาครัฐ จะต้องมีการร่วมมือกัน (Collaboration) เพื่อ ให้เกิดการพัฒนาบริการแอพพลิเคชันใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Connected Car

ให้ใช้งานได้จริงก็มีความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของการร่วมมือกันของอุตสาหกรรมที่มีความแตก ต่างกัน การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่ เกี่ยวข้อง เช่น กฎจราจรเพื่อรองรับการใช้งานของ รถยนต์ไร้คนขับ ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลบุคคล เป็นต้น ซึ่ง จำเป็นที่ทุกภาคส่วนใน Ecosystem จะต้องร่วม มือกันหาทางออกในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ร่วมกันต่อ ไป

6.Smart retail Smart Retail คาปลีกยุคดิจิทัล การแขงขันที่ รุนแรงขึ้นในธุรกิจ Retail หรือที่รูจักกัน ในชื่อ ของธุรกิจคา ปลีก ถูกผลักดันดว ยการมาของ เทคโนโลยีอินเทอรเน็ต สง ผลใหพ ฤติกรรมของ ผูบริโภค เปลี่ยนไป สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิ เล็กทรอนิกส (องคการมหาชน) หรือ ETDA ซึ่งมี บทบาทในการพัฒนา สงเสริมการทำธุรกรรมอิ เล็กทรอนิกส คาดการณวา ในป 2018 นี้ ตลาดคา ปลีกออนไลน Social Commerce จะมีมูลคา ตลาดประมาณ 256,000 ลา นบาท

และจะเพิ่ม ขึ้นเปน กวา 470,000 ลานบาทในป 2022 สอดคลอ ง กับตัวเลขในการใช Social Media ของคนไทยที่มีอัตรา เพิ่มสูงขึ้นเชนเดียวกัน ในทุก ๆ ป GSMA Intelligence เปด เผยวาคน ไทยใช Social Media มากที่สุด คือ Facebook จำนวน 47 ลา นคน ในชว งตลอดป 2559 ถึง เดือน พฤษภาคม 2560 ที่ผา นมา โตขึ้นจากเดิม 15% ที่ มีจำนวนผูเลนเพียง 38 ลานคน ในป 2558 ใน ขณะที่ Instagram ที่มีจำนวนคนใช 11 ลานคน โตขึ้นจากเดิม ถึง 41% การดำเนินธุรกิจรานคา ปลีกใหเ ติบโตตอไปได จึงจำเปน ตอ งมีการนำ เทคโนโลยีเขามาชวยเพิ่มโอกาสใน การทำธุรกิจ สรา งประสบการณการซื้อของลูกคา ในทุก ๆชองทาง ทั้งหนาราน และในโลกออนไลน รวมถึงการ บูรณา การขอมูลจากทุกชอ งทางการซื้อขายเขา ดวยกัน ตัว อยางการใชเ ทคโนโลยีในการเพิ่มชองทางเขา ถึงลูก คา เชน การนำเสนอสินคา ตามรสนิยม ลูกคา แบบ Real Time ผา น Smart Devices

ดึงดูดความนาสนใจใหก ับธุรกิจ ดวย SMS ทัก ทายตั้งแตล ูกคา เดินผา นประตูรา นเขา มา หรือ แมแตมอบสวนลดไดต รงใจลูกคาอยางรวดเร็ว ถึงมือ แบบไมตองถูกกวนใจกับสินคาและโปร โมชั่นที่ไมตอ งการ เพื่อเพิ่มโอกาส และแรง จูงใจในการจับจายสินคา เทคโนโลยี ไมเ พียง สงขอ มูลที่เหมาะสมตรงถึงลูกคา เทา นั้น ยัง สามารถ เก็บขอ มูล และสถิติในรูปแบบตาง ๆ ขอมูลมหาศาลหรือ Big Data ใชใ นการวิ เคราะหขอมูลพยากรณแ นวโนม พฤติกร รมผูบริโภค

ที่ธุรกิจจะสามารถนำไปปรับใชกับ กล ยุทธทางการตลาดและบริการ เพิ่มความแข็ง แกรง ทาง ดานขอ มูลขาวสาร เสริมศักยภาพ เพื่อ ความไดเปรียบใน การแขงขันของธุรกิจ ใหรา นคา หรือองคก รสามารถนำ เสนอสินคาและบริการ ไดตรงกับความตอ งการหรือใหเ กิน กวาที่ ผูบ ริโภคคาดหวัง ยิ่งผูบริโภคเพลิดเพลินกับความ สะดวกสบายมากขึ้นเทา ใดธุรกิจนั้นเขา ถึง ผูบริโภคไดมาก ขึ้นเชนกัน

Smart Retail หนารา นยังคจำเปนตอการคาขาย เนื่องจากเปนสิ่งที่ลูกคาสามารถสัมผัสและมี ประสบการณ รวมไดอ ยางเต็มที่ในการเลือกซื้อ เห็นสินคา จริงไดท ดลอง ใช ซึ่งในระบบ ออนไลนทำไมได Smart Retail จะนำ นวัตกรรม เทคโนโลยีตา ง ๆ ที่นำมาใชภ ายในรา นไดอ ยาง ลงตัวและใหค วามสำคัญกับเรื่องประสบกา รณไลฟส ไตล ของผูบ ริโภค รวมถึงการ เปน มิตรตอ สิ่งแวดลอมสามารถ สรางประโย ชนใหก ับชุมชนและสังคมที่อยูโดยรอบรา น ก็ สำคัญเชน กัน ตัวอยา งของ Smart Retail ที่เห็น ใน ประเทศไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือ 7-11 Pilot Shop ไดม ี การออกแบบ ตกแตง รานคาใหป ระหยัดพลังงาน ลดการ ใชพลัง งานไฟฟา ลง ติดตั้งระบบ Digital Energy Saving Monitor

แสดงผลและวิเคราะหการใชพ ลังงาน ภายใน อาคาร รา นคาแบบ Real Time ทั้งจากระบบปรับ อากาศ ระบบทำความเย็น และระบบแสงสวา ง ตอบสนอง ไลฟสไตลของผูบ ริโภคดวยที่จอด จักรยานอัจฉริยะ พรอ มอำนวยความสะดวก สำหรับชารจไฟรถยนตที่ใช ระบบไฟฟา เพื่อลด การใชพลังงานและชวยรักษาสิ่งแวดลอม สรา ง ประสบการณพ ิเศษในการใชหุนยนตช ว ยทำงาน บริการแกล ูกคา นอกจากนี้การทำสาธารณะประ โยชนตอ ชุมชน เปนสิ่งที่พึงปฎิบัติเชนกันจะเห็น ไดจ าก 7-11 Pilot Shop นำเอา Digital Touchscreen มามอบใหแ กชุมชนเพื่อ เปน บอรด กลางในการแจงขาวสารภายในชุมชน

และประกาศ ขอความชว ยเหลือในเรื่องตา ง ๆ เพื่อ ใหเกิดประโยชนตอ คนที่อยูภ ายในชุมชน เปนตน ซึ่งทั้งหมดนี้จะชวยรา นคา ปลีกและชุมชนใหอยูด ว ยกันไดอยางยั่งยืน ตราบใดที่ธุรกิจยังดำเนินอยู การปรับตัวของธุรกิจก็จะ ตองพัฒนาตอ ไปอยา งไมห ยุดยั้ง หมดเวลาสำหรับผูตาม แนวคิดธุรกิจสดใหมเ ทา นั้นจึงจะอยูรอด และ จะตองเปน ไปอยา งยั่งยืน โดยคำนึงถึงความตอ ง การของผูบ ริโภค เพราะลูกคาเปน หัวใจสำคัญ สำหรับธุรกิจ นอกจากรูปแบบหนารานคา ปลีกที่ เริ่มเปลี่ยนไป Business Model การคายุคใหมก็ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ Start Up ทั้งหลายที่มา พรอ มเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน เพิ่มความ สะดวกสบายแกผ ูบ ริโภค จึงเปน อีกกลุมธุรกิจที่ มีสวนชวย ในการขับเคลื่อนธุรกิจไทย

7.Smart wearabel ทำไม Smart Wearable ถึงได้รับความนิยมเพิ่ม มากขึ้น ทีมงาน MBA ได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเนื่องจาก ยอดขายในประเทศไทยที่สูงขึ้นเฉลี่ย 23% ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มอุปกรณ์ประเภทเพื่อสุขภาพ ซึ่งมี การพัฒนาในเรื่องของความแม่นยำ และ ประสิทธิภาพ ในปัจจุบัน Smart Watch สามารถ วัดการวิ่งได้ภายใน 5 วินาทีที่เริ่มออกวิ่ง ซึ่งเร็วขึ้น กว่าเมื่อ 5 ปีก่อนที่ต้องใช้เวลาถึง 50 วินาที

ด้านความหลากหลายทั้งในด้านรูปแบบสินค้า และค่าที่วัดได้ ก็ดีขึ้นเช่นกัน Smart Wearableนั้น ไม่ใช่แค่ Smart Watch เพื่อวัด อัตราการเต้นของหัวใจเท่านั้น แต่รวมถึง เสื้อผ้าที่ ใช้ใยพิเศษในการทอเพื่อวัดปฏิกิริยาทางไฟฟ้าที่ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อของผู้สวมใส่ หรือชุดชั้นในที่ สามารถตรวจหามะเร็งเต้านมได้ ในด้านความ หลาก หลายอุปกรณ์เหล่านี้ สามารถตอบโจทย์ ความต้องการของผู้บริโภคได้เฉพาะเจาะจงมาก ขึ้น เช่น โหมดไตรกีฬาใน Smart Watch ที่รวม กีฬาทั้ง 3 ประเภทไว้ในโหมดเดียว ฟังก์ชันนี้ สามารถตรวจจับการเปลี่ยนชนิดกีฬาของผู้สวมใส่ ได้โดยอัตโนมัติ โดยจากการคาดการณ์ของ IDCสถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนการขายอุปกรณ์ Smart Wearable ทั่ว โลกจะเติบโตเฉลี่ยสะสมถึง 11.6% ต่อปี จาก 123 ล้านชิ้นในปี 2018

เป็น 190 ล้านชิ้นในปี 2022 Smart Wearable ที่คนรู้จักมากที่สุดคือ Smart Watch ของ Apple, Samsung หรือแม้แต่ Xiaomi และข้อดี คือมักจะมีดีไซน์สวยงามเข้ากับเพศทุกวัย แถมยัง มีการใช้งานที่หลากหลาย ทีมงาน MBA ได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่า Smart Wearable จะกลายเป็นเทรนด์ในอนาคตด้วย เหตุผลต่อไปนี้

1.) เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจและดูแลสุขภาพ ปัจจุบันกระแสการใส่ใจสุขภาพได้รับความนิยม จากสังคมในวงกว้าง จากการประมาณการของ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัย มหิดล เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีนักวิ่งประมาณ 12 ล้านคน ในปี(2016) และคาดว่าจะเติบโตสูง ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทางภาครัฐ และเอกชนมีการรณรงค์ ให้หันมาใส่ใจสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใน ขณะเดียวกัน ฟิตเนสรายใหญ่อย่าง ฟิตเนส เฟิ รส์ท ก็เริ่มขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดครั้งแรกใน รอบ 6 ปี

2.) ความนิยมในหมู่ผู้สูงอายุ สังคมผู้สูงอายุเป็น อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยขยายศักยภาพการเติบโตของ ตลาด Smart Wearable โดยสำนักงานสถิติ แห่งชาติ (NSO) ระบุว่า จำนวนผู้สูงอายุ (อายุ มากกว่า 60 ปีขึ้นไป) ที่มีแนวโน้มอาศัยอยู่คน เดียวเติบโตเฉลี่ยสะสม 3% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบัน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 1.4 ล้านคนในปี 2022 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 11 % ของผู้สูงอายุทั้งหมด ประเทศไทยเป็นประเทศ ที่มีผู้สูงอายุมาก และในกลุ่มนี้ก็มีผู้สูงอายุ จำนวนมากที่ต้องดูแลตัวเอง คนกลุ่มนี้จึงเป็น ลูกค้า Smart Wearable ที่สำคัญอีกกลุ่ม เพราะเจ้าอุปกรณ์ขนาดจิ๋วจะทำหน้าที่เป็นเหมือน พยาบาลพกพา

3.) การเติบโตของอุตสาหกรรม Healthcare จากข้อมูลของ CB insights ระบุว่าตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2018 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 10 บริษัท ในสหรัฐฯ เช่น Apple, Intel, Alphabet, IBM และอีกหลายบริษัท มีการลงทุนในอุตสาหกรรม Healthcare ทั้งหมด 209 ดีล พบว่าตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน อุปกรณ์เพื่อสุขภาพถูกลงทุน เป็นอันดับที่ 2 ในตลาด Healthcare รองจาก การลงทุนใน Software ซึ่งหากดูสถิติจำนวนการ ลงทุนทั่วโลกในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในหมวด ของ Smart Wearable เพื่อการดูแลสุขภาพะ เห็นได้ว่ามีการเติบโตและได้รับความนิยมจะ ทำให้บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกหันมาลงทุนพัฒนา Smart Wearable เพื่อพัฒนาเอาคุณภาพมาชน กัน การแข่งขันจะทำให้เทรนด์นี้แข็งแรงขึ้นไปอีก อย่างแน่นอน

8. Smart Supply chain Supply Chain คือการรวมเอาหัวใจสำคัญของ กระบวนการทางธุรกิจ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การแยก วัตถุดิบไปจนกระทั่งถึงเสร็จสิ้นกระบวนการหรือ ถึงมือลูกค้าที่ใช้สินค้าจริงๆ ตลอดจน กระบวนการที่อยู่ระหว่างกลางอันได้แก่ การ ขนส่ง การเก็บสินค้า และการขายสินค้าให้กับ ลูกค้า Supply Chain เป็นกิจกรรมที่มีการปะทะ สัมพันธ์หรือ ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างการจัดซื้อกับ การตลาดในลักษณะที่เป็นบูรณาการ การค้าใน ยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งเป็นการค้า แบบไร้พรมแดน

ความหมายของ Supply Chain ความหมายของซัพพลายเชน การจัดการซัพพลาย เชน หรือการจัดการห่วงโซอุปทาน เป็นการจัด ลำดับของกระบวนการทั้งหมดที่มี ต่อการสร้าง ความพอใจให้กับลูกค้า โดยเริ่มต้นตั้งแต่ กระบวนการ จัดซื้อ(Procurement) การผลิต (Manufacturing) การจัดเก็บ (Storage) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) การจัดจำหน่วย (Distribution) และการขนส่ง (Transportation) ซึ่ง กระบวนการทั้งหมดนี้จะจัดระบบให้ประสานกัน อย่างคล่องตัวหรือความพยายามทุก ๆ ประการ ที่ จะทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพในด้านการผลิต และการจัดส่งสินค้า หรือบริการ จากผู้ผลิตสินค้า ถึงผู้ซื้อ หรือลูกค้า โดยจะเน้นที่การทำให้กิจกรรม การสั่งซื้อวัตถุดิบ และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ เป็นไปอย่างราบรื่น และประหยัดที่สุด

โซ่อุปทาน ประกอบด้วยการผลิต และการกระ จายของสินค้าหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของเวลาการจัดส่ง ต้นทุน และความ ต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจัยทั้งหมดล้วน เปลี่ยนแปลงง่าย และทำนายได้ยาก การจัดการ กับโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ จึงเปรียบเสมือน กับการรักษาสมดุลของสิ่งที่สลับซับซ้อนซึ่ง ต้องการการเตรียมความพร้อมที่ดีเยี่ยม และมี การวางแผนที่เหมาะสมพร้อมรับมือกับข้อมูลใน อนาคตที่ นอกจากนี้ การจัดการซัพพลายเชนไม่ได้ ครอบคลุมเฉพาะหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร เท่านั้น แต่ที่สำคัญจะสร้างความสัมพันธ์เชื่อมต่อ กับองค์กรอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้จัดหา วัตถุดิบ/สินค้า (Suppliers) บริษัทผู้ผลิต (Manufactures) บริษัทผู้จำหน่าย (Distribution) รวมถึงลูกค้าของบริษัท


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook