Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore handbook คู่มือการวิจัย

handbook คู่มือการวิจัย

Published by zoodee9988, 2021-10-19 03:21:27

Description: โดย รศ. ดร.วุฒิชาติ สุนทรสมัย
คณะการจัดการและการท่องเที่ยว
มหาวิทยาลัยบูรพา

Search

Read the Text Version

Handbook คู่มือการวจิ ัย โดย รศ. ดร. วฒุ ิชาติ สนุ ทรสมยั คณะการจดั การและการท่องเที่ยว มหาวทิ ยาลยั บรู พา 2561

งานวจิ ยั การแกป้ ัญหาโดยใชว้ ธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ มีข้นั ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี (Research) 1. Problem identification 2. Hypothesis formulation  3. Observation 4. Analysis วจิ ยั (Research) คอื อะไร ? 5. Conclusion Research is considered to be the more formal, systematic, and intensive process สรุป “Research is more systematic activity directed toward discovery and the development of an organized body of knowledge” of carrying on a scientific method of analysis. การวจิ ยั ในพจนานุกรม หมายถึง สะสม รวบรวม คน้ ตรวจตรา และสอบสวน ดงั น้นั “ลกั ษณะของงานวจิ ยั ทด่ี ”ี ควรมี 8 ประการ ดงั น้ี การวิจัย (Research) คือ การค้นหาความจริง (fact finding) โดยอาศัยวิธีการทาง 1. มุ่งคน้ หาสิ่งใหม่ ๆ เพ่อื นาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ วทิ ยาศาสตร์ 2. มุ่งแกป้ ัญหาโดยมีการต้งั สมมุติฐาน และมีขอ้ มลู มาสนบั สนุนในการแกป้ ัญหา ดงั น้นั “ความจริง” ในแง่ของการวจิ ยั จึงไม่จาเป็ นตอ้ งตายตวั แน่นอนเสมอไป แต่ 3. มีวิธีดาเนินการที่เป็ นระบบ มีการกาหนดรูปแบบการวิจัย การควบคุมตวั แปร อาจเป็ นจริงอยใู่ นช่วงระยะเวลาหน่ึง และข้ึนอยกู่ บั โอกาสท่ีจะเป็ นไปได้ ตามหลกั เกณฑข์ อง การวเิ คราะห์ ความน่าจะเป็ นไปไดข้ องปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ 4. ใชก้ ารสงั เกต การบรรยายขอ้ มูลอยา่ งถกู ตอ้ งแม่นยา และคานวณถกู 5. ตอ้ งมีความเป็ นปรนยั และมีเหตุผล (Objective & Logical) มี Validity & Reliability การวิจยั ไม่ใช่การคน้ พบ (Discovery) ที่เกิดข้ึนโดยบงั เอิญ ไม่ไดต้ ้งั ใจ ไม่มีระบบ และวิธีการที่ถูกต้อง ตัวอย่าง Sir Isac Newton ค้นพบทฤษฎีความโน้มถ่วง จากการ ของขอ้ มูลทุกข้นั ตอน สงั เกตเห็นการตกของลกู แอปเปิ ล 6. เครื่องมือ และวิธีเก็บข้อมูลต้องเช่ือถือได้ มี Validity & Reliability เพ่ือทดสอบ ลกั ษณะสาคญั ของการวจิ ยั ประกอบด้วย สมมตุ ิ-ฐานได้ 7. นกั วิจยั ตอ้ งอดทน ซ่ือสัตย์ กลา้ เผชิญกบั ความจริงจากขอ้ เท็จจริงที่คน้ พบ แมว้ า่ ผล 1. ตอ้ งเป็นการคน้ ควา้ หาความจริง และตอ้ งวางรากฐานอยบู่ นขอ้ เทจ็ จริง 2. ตอ้ งเป็นการกระทาอยา่ งมีจุดม่งุ หมาย การคน้ พบความจริงโดยบงั เอิญหาเป็นการวจิ ยั ไม่ วจิ ยั จะไปขดั กบั ทฤษฎี หรือความเชื่อใด ๆ ก็ตาม 3. วธิ ีดาเนินการตอ้ งทาอยา่ งมีระเบียบ และเป็ นเหตุเป็ นผลสืบเน่ืองกนั ไปตามลาดบั หรือ 8. ตอ้ งมีการบนั ทึกขอ้ มลู และเขียนรายงานการวจิ ยั อยา่ งระมดั ระวงั ตอ้ งทาโดยมี Systematic Method. หน้า 2 หน้า 1

คุณสมบตั สิ าคญั ของนักวจิ ยั ข้อควรหลกี เลยี่ งในการทางานวจิ ยั 9 ประการ 1. ทางดา้ นอารมณ์ 1. ไมร่ วบรวมขอ้ มูล โดยปราศจากวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีแน่นอน 1.1 ชอบคิด คน้ ควา้ หรือริเร่ิมงานใหม่ ๆ เสมอ กระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้เสมอ 2. ไม่ควรนาข้อมูลท่ีคนอื่นรวบรวมไว้ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ซ่ึงอาจไม่เหมาะ 1.2 พอใจที่จะศึกษาหาความรู้ดงั กลา่ ว พร้อมท่ีจะทางาน แมจ้ ะยากลาบากก็ตาม 1.3 ละเอียดถี่ถว้ น และรอบคอบ กบั งานวจิ ยั ของเรา 2. ทางดา้ นวชิ าการ 3. ควรจากดั วตั ถปุ ระสงคใ์ หแ้ จ่มชดั ไมค่ ลมุ เครือ และอยใู่ นขอบเขตท่ีจะวจิ ยั ได้ 2.1 มีความรู้เก่ียวกบั เร่ืองท่ีจะทาวจิ ยั เป็ นอยา่ งดี 4. ควรทบทวนผลงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ซ่ึงคนอ่ืนทาไวแ้ ลว้ เพือ่ เป็ นแนวในการทาวจิ ยั 2.2 รู้จกั เลือกวิธีการต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กบั การวิจยั ได้ เช่น ใชก้ ารสังเกต, ใชแ้ บบ 5. ไม่ควรสรุปหลกั การใด ๆ ออกจากการวิจยั แต่ละคร้ัง โดยไม่คานึงถึงขอบเขตของ สอบถาม งานวจิ ยั 2.3 มีความรู้ทางสถิติ รู้วธิ ีวเิ คราะห์และแปลคา่ ขอ้ มูล 6. ควรมีทฤษฎีเป็นพ้ืนฐานของการวจิ ยั ทุกคร้ัง 2.4 ชอบศึกษา คน้ ควา้ เรื่องราวทางวชิ าการใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 7. แนวคิดและขอ้ สรุป จากการวิจัยคร้ังก่อน ๆ ควรนามาใชเ้ ป็ นพ้ืนฐานในการสรุป 2.5 สามารถใชภ้ าษา สรุปเรื่องราวต่าง ๆ ได้ หรือรายงานไดอ้ ยา่ งดี ทาให้ผอู้ ่านเขา้ ใจ ผลการวจิ ยั จากขอ้ มลู ที่เรามีอยู่ ไดด้ ี 8. ใหต้ ระหนกั ถึงขอ้ ดี ขอ้ เสีย และขอบเขตของวธิ ีวจิ ยั ที่ทา ควรสรุปภายใตข้ อบเขตของ 3. ทางดา้ นส่วนตวั ขอ้ มลู ที่มีอยู่ ไมส่ รุปเกินจากน้นั ควรอุทิศเวลาใหก้ ารศึกษาคน้ ควา้ ไม่เปล่ียนใจง่าย มีเหตุมีผล มีความเช่ือมน่ั 9. ควรต้งั Alternative Hypothesis ซ่ึงน่าจะเป็ นไปไดส้ าหรับขอ้ มูลที่เรามีอยไู่ ว้ สาหรับ ในตนเอง ใจกวา้ ง ยอมฟังความคิดเห็นของผูอ้ ่ืน สุขุม ถ่อมตวั ไม่ด้ือดึงยึดถือความ คิดเห็นของตนเองโดยไม่มีเหตุผลและหลกั การ มีความซ่ือสัตยต์ ่องานที่รับผิดชอบ มี ศึกษา ความมานะพยายาม เพ่ือทางานใหบ้ รรลุจุดมงุ่ หมาย หน้า 3 หน้า 4

6. ปัญหาน้นั มคี วามสาคญั เพยี งใด คาถามในการวางแผนการวจิ ยั - ประโยชนต์ ่อองคก์ าร 1. ศึกษาอะไร ข้ึนอยกู่ บั กาลงั คน เวลา และงบประมาณ - ประโยชน์ต่องาน 2. ศึกษาจากใคร - ประโยชนต์ อ่ พนกั งาน ฯลฯ 3. ศึกษาแบบใด - Survey ถ้ามีการศึกษาอย่างจริงจัง จะสามารถรู้ได้ว่า ควรจะเสริมสร้างวฒั นธรรม - Comparative - แบบหาความสมั พนั ธ์ องคก์ ารส่วนไหนใหม้ ีความแขง็ แกร่งยงิ่ ข้นึ เพ่อื สร้างความผกู พนั ตอ่ องคก์ าร และลดอตั รา - แบบหาสาเหตุ การเขา้ ออกงาน (Turnover) หรือการขาดลามาสาย เป็ นตน้ 7. คาดว่าผลจะเป็ นอย่างไร คือ สมมตุ ิฐานท่ีเราต้งั ไว้ 8. ใช้เคร่ืองมอื อะไร เช่น การวดั ผลสมั ฤทธ์ิ Test ความถนดั Test ตวั อย่าง ความสนใจ แบบวดั ความสนใจ คาถาม คาตอบ เจตคติ แบบวดั เจตคติ ศึกษาอะไร 1. การรับรู้วฒั นธรรมองคก์ าร 2. ความผกู พนั ตอ่ องคก์ าร พฤติกรรมตา่ ง ๆ การสงั เกต ศึกษาจากใคร พนกั งานในธุรกิจโรงแรม เขตเมอื งพทั ยา ศึกษาแบบใด หาความสมั พนั ธ์ 9. มแี ผนเกบ็ ข้อมูลอย่างไร ระยะเวลาดาเนินงาน ดงั น้นั ชื่องานวจิ ยั จึงควรเป็น กจิ กรรม พฤษภาคม มิถนุ ายน … “ ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้วฒั นธรรมองค์การ และความผูกพนั ต่อองค์การของ พนักงานในธุรกิจโรงแรม เขตเมอื งพัทยา ” …. 1 2 3 4 1 2 3 4… …. 4. นาผลไปใช้แก้ปัญหาใด ตอ้ งดูความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการรับรู้วฒั นธรรมองคก์ าร และความผกู พนั ตอ่ องคก์ ารของพนกั งาน ถา้ มีความสมั พนั ธ์ หรือเป็ นจริงแลว้ อาจแสดงวา่ วฒั นธรรมองคก์ ารเป็นปัจจยั หน่ึงท่ีสามารถเพ่มิ ระดบั ความผกู พนั ต่อองคก์ ารได้ 5. ปัญหาน้ันมจี ริงหรือไม่ ดูจาก Related Studies โดยคน้ ในหอ้ งสมุด หน้า 5 หน้า 6

10. วเิ คราะห์ข้อมูลอย่างไร ใช้ ค่า X , S.D., …ฯลฯ ข้นั ตอนการวจิ ยั - แบบสารวจ ใช้ คา่ t, F, Z - เปรียบเทียบ คา่ r, X โดยทว่ั ๆ ไป ข้นั ตอนของการวจิ ยั จะประกอบดว้ ยส่ิงต่อไปน้ี - หาความสมั พนั ธ์ใช้ t (dependent) - แบบทดลอง ใชค้ า่ 1. การเลือกหวั ขอ้ ปัญหา 2. การศึกษาผลงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง และทฤษฎีที่เป็ นพ้นื ฐาน ** ข้อ 1, 2, 3 เน้นการตัง้ หัวข้อวิจัย 3. การกาหนดความมุ่งหมายของการวจิ ยั ** ข้อ 4, 5, 6 เน้นความสาคัญของการวิจัย 4. การต้งั สมมตุ ิฐาน และการกาหนดขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ** ข้อ 7 เน้นจุดม่งุ หมาย และสมมตุ ิฐาน 5. การวางแผนการวจิ ยั ** ข้อ 8, 9 เน้นวิธีดาเนินการ 6. การเลือกใช้ หรือการสร้างเคร่ืองมือ ** ข้อ 10 เน้นการวิเคราะห์ข้อมลู 7. การรวบรวมขอ้ มลู 8. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล และการแปลผล หน้า 7 9. การสรุป และอภิปรายผลการวจิ ยั 10. การเขียนรายงานการวจิ ยั 1. การเลอื กหวั ข้อปัญหา นบั วา่ เป็นความสาคญั ท่ีสุดของการทาวจิ ยั การเลือกปัญหาไดเ้ หมาะสมจะตอ้ ง คานึงถึง  ความยากง่าย ความส้ันยาวของปัญหา เหมาะกบั ความรู้ความสามารถ ทกั ษะต่าง ๆ ของ ผวู้ จิ ยั  ปัญหาน้นั เหมาะสมกบั ความตอ้ งการเร่งด่วนในสถานการณ์ และเวลาในขณะน้นั  ปัญหาน้นั เหมาะสมกบั กาลงั คน กาลงั เงิน และเวลาท่ีมีอยู่ ฯลฯ การเลือกปัญหาท่ีไม่เหมาะสม ทาให้ผลการวิจยั ขาดความเช่ือมน่ั ขาดประสิทธิภาพ และอาจจะทาใหง้ านวจิ ยั เรื่องน้นั ไมส่ าเร็จ ซ่ึง หลกั เกณฑใ์ นการเลือกปัญหา มีดงั น้ี หน้า 8

 เป็ นปัญหาใหม่ และไมซ่ ้ากบั ผอู้ น่ื  ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ของเขามีอะไรบา้ ง  ปัญหาน้นั มีความสาคญั ในแง่การเพ่ิมพนู ความรู้ทางวชิ าการของสาขาวชิ าน้นั ๆ  วจิ ารณ์ผลวจิ ยั ส้นั ๆ ในส่วนที่เราเห็นดว้ ย และไมเ่ ห็นดว้ ย  เนน้ ปัญหาท่ีสอดคลอ้ งกบั พ้นื ฐานการศึกษาอบรม และคุณสมบตั ิส่วนตวั ของผวู้ จิ ยั  มีขอ้ มลู และวธิ ีการท่ีจะทาใหก้ ารวจิ ยั สาเร็จ 3. การกาหนดความม่งุ หมายของการวจิ ยั  มีอุปกรณ์ และเคร่ืองมือที่จะใชใ้ นการวจิ ยั ผวู้ จิ ยั ตอ้ งกาหนดความมุ่งหมายในการวิจยั แตล่ ะเรื่องให้ชดั เจนวา่ ตอ้ งการพิสูจน์  มีผสู้ นบั สนุน และไดร้ ับความร่วมมือจากฝ่ ายบริหาร  เสียคา่ ใชจ้ ่ายคุม้ กบั ผลงานท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ หรือตรวจสอบเร่ืองอะไร ตอ้ งการรู้หรือหาความจริงจากเรื่องใด แลว้ จึงดาเนินการวจิ ยั เพื่อ  มีอปุ สรรค และความลาบากไม่มากจนเกินไป จุดประสงคน์ ้นั ๆ  มีเวลาพอที่จะทาการวจิ ยั การกาหนดของเขตการวจิ ยั เพอ่ื ใหก้ ารวจิ ยั เป็ นไปตามจุดมงุ่ หมายท่ีต้งั ไว้ และให้ 2. การศึกษาผลงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้อง และทฤษฎที เ่ี ป็ นพนื้ ฐาน การแปลผล และนาผลการวจิ ยั ไปใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ผวู้ ิจยั จึงตอ้ งกาหนดขอบเขตการวิจยั ให้ มีประโยชนแ์ ก่ผวู้ จิ ยั 2 ประการ คือ แน่นอนวา่ จะศึกษาคน้ ควา้ เรื่องใด กวา้ งแคบแค่ไหน กลุ่มตวั อยา่ งมาจากท่ีไหน เลือกมา อย่างไร ใช้จานวนเท่าไร ถ้าผู้วิจัยไม่กาหนดขอบเขตไว้ เม่ือมีผู้นาผลการวิจัยไปใช้ 2.1 ทาให้ทราบว่า มีผูใ้ ดบ้างที่ได้ทาวิจัยในเร่ืองท่ีคล้ายกับเราทา และ ประโยชน์ อาจแปลผล และนาไปใชผ้ ิดจากความเป็ นจริงได้ อาจนาเรื่องเหลา่ น้นั มาเป็ นแนวทางในการทาวจิ ยั ของเราดว้ ย 4. การต้ังสมมุติฐาน และการกาหนดข้อตกลงเบื้องต้น เพื่อเป็ นแนวทางการวิจยั 2.2 ทาให้เราทราบข้อเท็จจริง และข้อมูลท่ีเกี่ยวกับปัญหาท่ีกาลังจะวิจัย ผวู้ จิ ยั จึงต้งั สมมุติฐานไวก้ ่อนวา่ ส่ิงน้นั ควรเป็ นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี โดยคน้ ควา้ จากผลกงานวจิ ยั ขอ้ มลู เหลา่ น้ีเป็ นประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ในการพิจารณาหาสาเหตทุ ี่จะวจิ ยั และทฤษฎีที่เก่ียวขอ้ ง เอกสารและงานวจิ ยั ต่าง ๆ อาจหาไดจ้ าก Abstracts ท่ีรวบรวมผลงานวจิ ยั ท้งั หมดไว้ท้งั สมมุติฐานการวิจยั หมายถึง ขอ้ ความหรือคากล่าวถึงความสัมพนั ธ์ท่ีคาดหวงั เอาไว้ ภาษาไทย และภาษาองั กฤษ หรือบางแห่งมี ERIC Search สามารถคน้ จากคอมพิวเตอร์ได้ ระหวา่ งตวั แปรต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไป ตวั อย่าง - การสอนแบบโปรแกรมช่วยใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้เร็วข้ึน ในการศึกษาผลงานวจิ ยั ต่าง ๆ ควรทาบนั ทึกยอ่ ๆ เก่ียวกบั ส่ิงตอ่ ไปน้ี - การใหค้ าติชมแบบตา่ ง ๆ ในเวลาตา่ งกนั มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมท่ีพึง  งานวจิ ยั ท่ีเขาทามาแลว้ มีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกบั ปัญหาท่ีเราจะทาเพยี งใด ปรารถนาแตกตา่ งกนั  การวางแผนการวจิ ยั – ระเบียบวจิ ยั เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูล  ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาวจิ ยั ประเภทของสมมตฐิ าน  ตวั แปรต่าง ๆ 1) สมมุติฐานท่ีเขียนเป็ นขอ้ ความ (Statement) และอยใู่ นรูป ถา้ …แลว้ …. เช่น  ขอ้ บกพร่อง หรือความผดิ พลาดของการวจิ ยั ชิ้นน้นั ๆ - นกั เรียนช้นั ม.ปลายท่ีมาจากชนบท จะสอบเขา้ มหาวทิ ยาลยั ไดน้ อ้ ยกวา่ ในเมือง (การเขียนสมมตุ ิฐานแบบน้ี ไดม้ าจากการศึกษาคน้ ควา้ งานวจิ ยั ท่ีไดเ้ คยทามาแลว้ ) หน้า 9 หน้า 10

2) สมมุติฐานทางสถิติ จะเขียนเป็ นสัญลกั ษณ์ทางคณิตศาสตร์ ใหอ้ ยใู่ นลกั ษณะ ข้อเสนอแนะเกยี่ วกบั การเขยี นสมมตุ ฐิ าน ทดสอบได้ วา่ จริงหรือไม่ เช่น  ควรเขียนหลงั จากศึกษางานวจิ ยั ท่ีเคยทามาแลว้ และการอา่ นเอกสารที่เก่ียวขอ้ ง Null Hypothesis มกั ตกลงวา่ ค่า parameter ของขอ้ มูลหน่ึงมีค่าเท่ากบั 0 หรือไม่มี  สมมตุ ิฐานควรเขียนเพื่อสะดวกในการทดสอบนยั สาคญั ทางสถิติ ความแตกต่าง ระหว่างค่า parameter เช่น ความสามารถทางสมองของชายและหญิงไม่  การเขียนสมมุติฐานควรกระจ่าง และอาจอยใู่ นตอนท่ีวา่ ดว้ ย “ขอบเขตของการวจิ ยั ” แตกต่างกนั ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ (Basic Assumption) เป็ นขอ้ ความท่ีผวู้ ิจยั ตอ้ งการทาความเขา้ ใจ H0 : 1 –  2 = 0 หรือ H0 : 1 =  2 กบั ผอู้ ่าน เก่ียวกบั ปัญหาที่จะศึกษา ซ่ึงอาจเขียนรวมอยใู่ น “คานิยามศพั ทเ์ ฉพาะ” (Definition of Terms) Alternative Hypothesis เป็ นสมมุติฐานที่แสดงความแตกตา่ งของค่า parameter เช่น 5. การวางแผนการวจิ ยั H1 : 1 –  2≠0 หรือ H1 : 1 >  2 , H1 :  1 <  2 เพ่อื ใหก้ ารดาเนินงานทุกข้นั ตอนตรงตามจุดมงุ่ หมาย จึงตอ้ งมีการวางแผนการ วจิ ยั ใหด้ ี การวางแผนการวจิ ยั จึงเป็ นการกาหนดโครงร่างงานวจิ ยั วา่ จะตอ้ งทาอะไรบา้ ง เร่ิม หน้า 11 ต้งั แต่ กาหนดตวั แปร กลมุ่ ตวั อยา่ ง เคร่ืองมือเกบ็ ขอ้ มูล สถิติที่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ตลอดจนแผนที่จะจดั กระทากบั ตวั แปร ที่เรียกวา่ แบบของการวจิ ยั ตา่ ง ๆ การกาหนดตวั แปรอสิ ระและตวั แปรตาม การวจิ ยั จะมีความหมายตอ่ เม่ือสามารถแปลความหมายของส่ิงที่จะวจิ ยั ออกมาเป็ น ตวั แปรได้ ตวั แปร หมายถึง คุณลกั ษณะใด ลกั ษณะหน่ึง (Property) ของคน หรือสิ่งของ ซ่ึงมี ปริมาณแตกตา่ งกนั เช่น อายุ ความถนดั การรับรู้ เป็นตน้ ตวั แปรส่วนมากมี 2 อยา่ ง คือ ตวั แปรอิสระ (IV) หรือตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม (DV) โดยทวั่ ไปแลว้ ตวั แปรอิสระมกั เกิดก่อนตวั แปรตาม เช่น “การสอนแบบ A และแบบ B ใหผ้ ลตอ่ การเรียนคณิตศาสตร์ของเด็กแตกต่างกนั หรือไม”่ ตวั แปรตน้ คือ การสอนแบบ A และแบบ B ตวั แปรตาม คือ การเรียนคณิตศาสตร์ของเดก็ (ก่อนลงมือเรื่องใด ๆ ตอ้ งคานึงถงึ ตวั แปรท้งั 2 อยา่ งน้ีอยา่ งละเอียดรอบคอบ) หน้า 12

กลุ่มตวั อย่าง (Sample) เป็ นตวั แทนของคุณลกั ษณะท้ังหมดที่ตอ้ งศึกษาจากกลุ่ม 7. การรวบรวมข้อมูล ประชากร (Population) โดยทวั่ ไปมกั มาจากการสุ่ม (Sampling) แลว้ จึงนาผลที่วิเคราะห์ได้ การรวบรวมขอ้ มูลตอ้ งอาศยั เทคนิควิธี ประสบการณ์ ความชานาญประกอบกนั จึง จากกลุม่ ตวั อยา่ งอา้ งอิงไปถึงกล่มุ ประชากร จะไดข้ อ้ มูลที่ดี ท่ีน่าเช่ือถือ และมีประสิทธิภาพ ลกั ษณะขอ้ มูล แบ่งได้ 2 อยา่ ง ดงั น้ี การสุ่มตวั อยา่ งกระทาไดห้ ลายวธิ ี ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั จุดมุ่งหมายของการวิจยั วา่ ควรใช้ 1) แบ่งตามที่มาของขอ้ มูล ไดแ้ ก่ วธิ ีการสุ่มแบบใด ฉะน้นั ในการเลือกกลุ่มตวั อยา่ งจึงตอ้ งบอกประชากรก่อน แลว้ จึงบอกวิธี สุ่มตวั อยา่ งวา่ ใชว้ ธิ ีใด พร้อมท้งั เหตุผล เพอ่ื แสดงวา่ ขอ้ มลู ท่ีคานวณมาไดน้ ้นั สามารถอา้ งอิง  ขอ้ มูลปฐมภมู ิ ผวู้ จิ ยั ไดม้ าจากแหลง่ ขอ้ มลู โดยตรง ถึงกลมุ่ ประชากรได้  ขอ้ มูลทุติยภูมิ ผวู้ จิ ยั ไปรวบรวมมาจากแหลง่ ท่ีมีผรู้ วบรวมไวแ้ ลว้ 2) แบ่งตามลกั ษณะของขอ้ มูล เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวิจยั เม่ือทราบแหล่งขอ้ มูล และจุดมุ่งหมายของการวจิ ยั แลว้  ขอ้ มูลเชิงปริมาณ นบั ได้ เช่น ความสูง, อาย,ุ รายได,้ คะแนน ฯลฯ จะใชเ้ คร่ืองมือใดเกบ็ ขอ้ มลู (แบบทดสอบ, แบบสอบถาม, การสมั ภาษณ์, การสังเกต, สังคม  ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ ไดแ้ ก่ ความคิดเห็น, ทศั นคติ, ความเป็ นผนู้ า ฯลฯ มิติ ฯลฯ) เทคนิคการรวบรวมขอ้ มลู  รวบรวมจากเอกสาร เช่น หนังสือตารา, หนังสืออา้ งอิง, วิทยานิพนธ์, สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล เม่ือรวบรวมขอ้ มูลมาได้แล้ว ควรแยกแยะ เพ่ือ วารสาร, หนงั สือพิมพ,์ จุลสาร, บนั ทึก ฯลฯ ทดสอบ H0 :โดยการใชส้ ถิติตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของขอ้ มูล  รวบรวมจากสนาม (Field Study) จากการสังเกต, แบบสอบถาม, การสมั ภาษณ์ สถิติท่ีใชบ้ รรยายลกั ษณะของกลุ่มตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ Descriptive Statistics การวดั แนวโนม้ เขา้ สู่ส่วนกลาง ไดแ้ ก่ Mean, Median, Mode 8. การวเิ คราะห์ข้อมูลและการแปรผล การวดั การกระจาย ไดแ้ ก่ Standard Deviation (S.D.) การวเิ คราะห์ขอ้ มลู อาจไดผ้ ลจากคา่ ร้อยละ หรือสถิติ ( x, S.D, rxy, t-test, F-test, x2) การหาความสมั พนั ธ์ ไดแ้ ก่ Correlation (r) การแปลผลหลงั จากวเิ คราะห์ และทดสอบ H0 : แลว้ ควรแปลผลในขอบเขต อยา่ การหาความแตกตา่ งระหวา่ งกล่มุ ไดแ้ ก่ t-test, F-test ตีความเกินไป 6. การเลอื กใช้ หรือการสร้างเครื่องมอื ถา้ เครื่องมือเก็บขอ้ มูลมีผูส้ ร้างไวแ้ ลว้ มีคุณสมบตั ิดีพอ ผวู้ จิ ยั อาจขออนุญาตใชไ้ ด้ 9. การสรุปผลและอภิปรายผลการวจิ ยั บางคร้ังอาจนามาดดั แปลง และปรับปรุงก่อนก็ได้ แตถ่ า้ ไม่มีเครื่องมือที่ตรงกบั ความตอ้ งการ เมื่อวเิ คราะห์ขอ้ มูลและแปลผลแลว้ ผูว้ ิจยั ควรพิจารณา แลว้ อธิบายว่าการวจิ ยั ใด ผวู้ ิจยั จาตอ้ งสร้างข้ึนใชเ้ อง โดยใชเ้ ทคนิคดา้ นการวดั ผลประกอบ ซ่ึงตอ้ งคานึงถึงคุณสมบตั ิ ที่ได้ Concept หรือ Reject H0 : โดยผูว้ จิ ยั ควรอธิบายเป็ นเชิงสรุปวา่ ผลท้งั หมดเป็ นอยา่ งไร ของเครื่องมือวดั ดา้ น Validity & Reliability รวมไปถึง Usability ดว้ ย หรือมีอะไรท่ีทาใหห้ าขอ้ สรุปไม่ไดต้ ามน้นั หน้า 13 หน้า 14

10. การเขียนรายงานการวจิ ยั ส่วนมากจะมรี ูปแบบ ดงั นี้ ประเภทของการวจิ ยั บทท่ี 1 บทนา ปัญหาของการวจิ ยั (ความเป็ นมาของปัญหา) เกณฑท์ ี่นิยมใชแ้ บ่งประเภทของการวจิ ยั มีดงั ตอ่ ไปน้ี ความสาคญั ของการวจิ ยั ขอบเขตของการวจิ ยั ก. แบ่งตามความรู้ของแตล่ ะศาสตร์ ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ข. แบ่งตามประโยชนข์ องการวจิ ยั ขอ้ สมมุติฐาน ค. แบ่งตามลกั ษณะของขอ้ มลู จุดมุง่ หมายของการวจิ ยั ง. แบ่งตามระเบียบวธิ ีการวจิ ยั ขอ้ จากดั ของการวจิ ยั คาจากดั ความท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ก. แบ่งตามตวั ความรู้ของแต่ละศาสตร์ แบ่งเป็ น ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ 1. การวจิ ัยทางวิทยาศาสตร์ เป็ นแนวคิด หรือวธิ ีการใหม่ ๆ ซ่ึงส่วนมากเป็ น บทที่ 2 ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง เชิงปริมาณการวิจยั ที่มีกฎเกณฑ์แน่นอนตายตวั เพือ่ คน้ ทฤษฎี สามารถมองเห็นได้ จบั ตอ้ ง บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการวจิ ยั ได้ บางทีจะเรียกวา่ วจิ ยั เชิงปริมาณ (Quantitative Research) ส่วนมากจะใชส้ ถิติข้นั สูงใน การวิเคราะห์ เพราะขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการวดั ไปไดถ้ ึง Interval หรืออาจถึง Ration scale (พูด ประชากร และกลมุ่ ตวั อยา่ ง ถึง Scales of Measurement – Interval & Ratio) การเก็บขอ้ มูล และสถิติที่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ บทที่ 4 ผลการวจิ ยั 2. การวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์ ส่วนใหญเ่ นน้ หนกั ถึงความสมั พนั ธข์ องมนุษยใ์ น บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ สังคม ความสมั พนั ธ์ดงั กล่าวหากฏเกณฑต์ ายตวั ไดย้ าก (X = T + E) การวิจยั จึงทาไดย้ าก บรรณานุกรม ส่วนมากเป็ น การวจิ ัยเชิงคุณลกั ษณะ หรือการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ (Qualitative Research) ซ่ึง ภาคผนวก เน้นดา้ นนามธรรมมากกวา่ รูปธรรม ขอ้ มูลไม่ออกมาในรูปท่ีแน่ชดั ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้ สถิติข้นั สูง อยา่ งไรกต็ ามไดพ้ ยายามใชว้ ิธีการทางวทิ ยาศาสตร์เขา้ มาพฒั นางานวจิ ยั ดา้ นน้ี หน้า 15 ใหน้ ่าเช่ือถือมากข้ึน งานวจิ ยั ท่ีแบ่งตามความรู้ของแต่ละศาสตร์น้ี ถา้ เก่ียวขอ้ งกบั ศาสตร์เพียงศาสตร์ เดียว เรียกว่า การวิจัยเฉพาะศาสตร์ (Monodisciplinary Research) เช่น การวิจัย “การ ติดตามผลการใช้ยาคุมกาเนิดของหญิงที่มีบุตรแลว้ ในอาเภอสีคิ้ว จงั หวดั นครราชสีมา” หน้า 16

ส่วนการวิจัยท่ีเก่ียวขอ้ งกับศาสตร์ต้ังแต่ 2 ศาสตร์ข้ึนไป เรียกว่า การวิจัยสหศาสตร์ 2. การวจิ ยั เชิงคณุ ลกั ษณะ (Qualitative Research) เป็ นการวจิ ยั เกี่ยวกบั ขอ้ มูล (Interdisciplinary Research) เช่น การวิจยั “ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสภาพการเล้ียงดู และ ท่ีนับเป็ นปริมาณมาก มกั เป็ นเรื่องนามธรรม เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ค่านิยม ทศั นคติ ความพร้อมทางการเรียนของเด็กวยั แรกเขา้ เรียนในแหล่งเส่ือมโทรม กทม.” เป็ นการคาบ เป็ นตน้ ไม่ใชส้ ถิติในการศึกษา เก่ียวระหวา่ งสาขาจิตวทิ ยาและการศึกษา เป็ นตน้ ลกั ษณะของข้อมูลงานวจิ ยั เชิงคุณภาพ มีดงั น้ี ข. แบ่งตามประโยชน์ของการวจิ ยั  เกี่ยวพนั กบั “คน” ตามปรากฏการณ์ทางสงั คม ท่ีมคี วามสลบั ซบั ซอ้ นมาก (Nested Variables) จึงตอ้ งศึกษาคน ๆ น้นั ในบริบทที่เขาเป็นอยู่ 1. การวิจยั พืน้ ฐานหรือการวจิ ัยบริสุทธ์ิ (Basic or Pure Research) หมายถึง การ  ความซบั ซอ้ นในปรากฏการณ์ทางสงั คมมี 2 ระดบั คือ วิจยั ท่ีทาเพ่ือขยายพ้ืนฐานทางวิชาการของวิชาแขนงน้ัน ๆ ให้กวา้ งออกไป ไม่ว่าจะเป็ น ระดบั ท่ี 1 คือ ระดบั ที่ปรากฏ (Behavioral Science) “ส่ิงใดมีอยู่ สิ่งน้นั ยอ่ มวดั ได้ สาขาวชิ าการใดก็ตาม เพ่ือนาสร้างทฤษฎี หรือแนวคิดใหม่ ๆ เป็ นการวิจยั ท่ีมีผลในระยะยาว ระดบั ที่ 2 คือ ระดบั ท่ีไม่ปรากฏ (Back Region) “อยทู่ ี่ใจเก็บไวไ้ ม่ใหใ้ ครรู้” โดย ที่ 1 เกิด และใชเ้ วลามากในการวจิ ยั การวจิ ยั ประเภทน้ีม่งุ เพือ่ ขยายความรู้เป็ นหลกั ไดเ้ พราะ 2  ปรากฏการณ์ทางสังคมมีการเคล่ือนไหว (พลวตั ร – Dynamic) นักวิจยั เชิงคุณภาพ 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) หมายถึง การวิจัยท่ีนาผลไปใช้เพื่อ เช่ือวา่ ปรากฏการณ์ทางสงั คมไมส่ ามารถพยากรณ์ได้ ปรับปรุงสภาพของสังคมและความเป็ นอยขู่ องมนุษยใ์ ห้ดีข้ึน หรือนาทฤษฎีที่คน้ พบไว้ มา  มีความหมาย (Meaning) นักวิจัยเชิงคุณภาพ ถือว่า ปรากฏการณ์ทางสังคมมี ประยกุ ตใ์ ชว้ า่ ไดผ้ ลอยา่ งไร ความหมายมากกว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เพราะมนุษยส์ ร้างความหมายให้กับ ปรากฏการณ์ทางสงั คม ความหมายในท่ีน้ีก็คือ “วฒั นธรรม” เช่น การให้ดอกกุหลาบใน 3. การวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action Research) หมายถึง การวิจยั ท่ีนาผลมาแก้ปัญหา วนั แห่งความรัก แสดงถึงความรักที่มีตอ่ กนั เป็ นตน้ ความหมายเป็ นเรื่องเฉพาะสงั คมน้นั ในช่วงเวลาหน่ึงเวลาใดเท่าน้นั เช่น “ความเป็ นไปไดใ้ นการต้งั คณะแพทยศ์ าสตร์และคณะ ๆ ซ่ึงไมเ่ หมือนกนั ผู้วิจัยไม่มีหน้าท่ีในการตดั สินความหมายต่าง ๆ ว่า ดีหรือไม่ดี นักวิจัย วิศวกรรมศาสตร์ท่ีศูนยร์ ังสิต มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์” งานวิจัยประเภทน้ี ถา้ นาไปใช้ มีหน้าที่ตามไปเรียนรู้และเข้าใจ “คน” ตามระบบนั้น ๆ งานวจิ ยั ที่เกี่ยวกบั “คน” จึงตอ้ งรู้ แก้ปัญหา หรือปรับปรุงกิจการในโรงงานของวงการอุตสาหกรรม เรียกว่า Operation ระบบความหมายท่ีสงั คมน้นั ๆ ใชอ้ ยู่ ไมเ่ ช่นน้นั อาจวเิ คราะห์ ผิดพลาดได้ Research เช่น “การศึกษาประสิทธิภาพของการทางานของคนในบริษทั …” เป็ นตน้ ดงั น้นั ส่วนประกอบของกระบวนการวจิ ยั ที่เก่ียวกบั “คน” ตอ้ งประกอบดว้ ย ค. แบ่งตามลกั ษณะของข้อมูล  Multi – dimension + Holistic ตอ้ งวิจยั ใหเ้ ต็มภาพคนท้งั คน คนกบั ส่ิงแวดลอ้ มของ เขาท้งั หมด ท้งั บริบท เป็ นตน้ 1. การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็ นการวิจยั ท่ีรวบรวมขอ้ มูล มี ลกั ษณะเกี่ยวกบั ตวั เลข หรือปริมาณที่วดั ได้ เช่น อายุ จานวนคนแบ่งตามเพศ คะแนน ราคา หน้า 18 สินคา้ เป็ นตน้ การวเิ คราะห์ตอ้ งใชส้ ถิติมาช่วย จึงหาผลสรุปได้ หน้า 17

 Longitudinal + In – depth ตอ้ งใช้เวลาในการศึกษานาน และศึกษาลึก เช่น การวิจยั Information ท่ีได้ต้องใช้ Process of Criticism แบ่งเป็ น External Criticism และ Internal นักโทษประหาร ต้งั แต่เด็กจนถึงปัจจุบัน เน้น กระบวนการ (Process) มากกว่า ผลลพั ธ์ Criticism (Product)  Naturalistic วจิ ยั ตามสภาพธรรมชาติ คานึงถึงสภาพแวดลอ้ มท่ีเป็ นจริง 2. การวิจัยเชิ งบ รรยาย (Descriptive Research) นิ ยม ท ากัน ม ากใน ท าง  Humanistic ยอมรับความเป็ น “คน” ยอมรับความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผวู้ จิ ยั และ Subjects สังคมศาสตร์ และทางการศึกษา เป็ นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ ขอ้ เท็จจริงที่ ท่ีวจิ ยั โดยเขา้ ไปสงั เกต คลกุ คลีอยดู่ ว้ ย ตลอดจนมีจรรยาบรรณในการวจิ ยั เป็ นอยู่ สภาพการณ์ที่เป็ นอยใู่ นขณะน้นั จึงใชต้ อบคาถาม what it is ? แบ่งเป็ น  Descriptive + inductive เขียนบรรยายให้ชัดเจน เสมือนให้ผู้อ่านงานวิจัยอยู่ใน เหตุการณ์น้ัน เพ่ือ Validity ของข้อมูล จึงจาเป็ นต้องเสนอข้อมูลให้เต็มรูป และนาส่ิง 2.1 งานวจิ ยั เชิงสารวจ (Survey Method) ใชก้ บั ประชากรจานวนมาก เป็ น ท้งั หมดออกมาบรรยาย ลงสรุปเป็ นผลการวจิ ยั การวเิ คราะห์สถานการณ์ดา้ นบา้ นเมือง สงั คม และเศรษฐกิจ โดยตอ้ งการรู้ The Facts about  Phenomenological เนน้ ความสาคญั ของขอ้ มูลท่ีเป็ นความรู้สึกนึกคิดจริงมากที่สุด the Situation ตลอดจนแนวโน้มที่จะเป็ นไป ข้อมูลแบบน้ีจะได้ก็ต่อเมื่อใช้การสารวจ งานวิจยั เชิงสารวจตอ้ งการ Clearly Defined Problem & Definite Objectives ตอ้ งมี Experts ง. แบ่งตามระเบยี บวธิ ีการวจิ ยั ในการวางแผน เกบ็ ขอ้ มูล วเิ คราะห์ แปลความ และรายงานผลงานวจิ ยั ระเบียบวิธีวิจัย หมายถึง แบบแผนในการวิจยั ประกอบดว้ ยการรวบรวมขอ้ มูล ข้อดขี องงานวจิ ยั เชิงสารวจ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ที่จาเป็ นในการตอบคาถามของปัญหาที่ทาวจิ ยั แบ่งเป็ น 3 อยา่ ง คือ - ง่ายตอ่ การทา และการวเิ คราะห์ อาจใชเ้ พียงร้อยละเท่าน้นั - ง่ายตอ่ การทาความเขา้ ใจเม่ืออ่านผลงาน 1. การวจิ ัยเชิงประวตั ิศาสตร์ (Historical Research) มกั ใชค้ าถาม what it was? - มีขอบข่ายมาก อาจหยบิ อะไรมาทาวจิ ยั เชิงสารวจได้ เป็ นการวิจยั เพ่ือสืบประวตั ิความเป็ นมาเชิงวิชาการของสาขาวิชาต่าง ๆ โดยคน้ ควา้ จาก ขอ้ มูล 2 ชนิด คือ ข้อเสียของงานวจิ ยั เชิงสารวจ - เน่ืองจากทาง่าย จึงทาใหข้ าดคุณภาพในการวางแผนเก็บขอ้ มลู และ 1.1 ขอ้ มูลปฐมภูมิ (Primary Sources of Data) คือ ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากผูอ้ ยใู่ น เหตุการณ์น้นั ๆ โดยตรง Actual Observer หรือเอกสาร โบราณวตั ถุ ส่ิงของ เป็ นตน้ ในสมยั วเิ คราะห์ น้นั ๆ โดยตรง แบ่งเป็ นเอกสาร (Documents) รวมไปถึงภาพถ่าย - มกั สรุปและแปรผลเกิน อภิปรายผลลาเอียงเขา้ ขา้ งตนเอง 1.2 ขอ้ มูลทุติยภูมิ (Secondary Sources of Data) คือ ข้อมูลแบบเดียวกับ 2.2 กรณีศึกษา (Case Study) Longitudinal Study ศึกษาโดยใชค้ นเพียง 1 ขอ้ มูลปฐมภูมิ แต่ไม่ได้ Reported by Actual Observers วิธีการวิจยั ดา้ นน้ีจะใช้ Historical กลุ่มห รื อไม่ก่ี คน สน ใจเฉพ าะความเป็ น มา (History Development of the Case) มี Criticism ซ่ึ งมี ลักษ ณ ะ Subjective Judgment ข อ งผู้รายงาน การ Validate Fact ห รื อ จุดมุ่งหมายเพ่ือเขา้ ใจวฏั จกั รหรือกลไกของแต่ละหน่วยที่ศึกษา (Life Cycle หรือ important part of the life cycle of an individual ) ไม่ว่าจะเป็ นบุ คคล (a person), ครอบครัว (a หน้า 19 หน้า 20

family), ห น่ ว ย ง าน ห รื อ อ ง ค์ ก าร ต่ าง ๆ (a group / social institution, an entire 2.8 Community Studies เป็ นงานวจิ ยั ท่ีศึกษาวิเคราะห์กลุ่มคนท่ีอาศยั อยู่ community) ในพ้ืนท่ีหน่ึง และมีความรับผิดชอบร่วมกนั งานวิจยั แบบน้ีจะมุ่งเนน้ ไปที่ส่วนประกอบ ของ ชุมชน เช่น ท่ีต้งั , ลกั ษณะทางกายภาพ, กิจกรรมตา่ ง ๆ ของชาวเล, ชาวภูเขา เป็ นตน้ 2.3 Social Survey บางตาราแยกออกจากงานวิจยั เชิงสารวจ มกั เก่ียวกับ Comprehensive Analysis ของสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ หรือการดารงชีพของคนใน 2.9 Market Survey เป็ นการวดั แผนการประชาสัมพนั ธ์ที่มีต่อผูบ้ ริโภค สงั คมในแง่มุมอ่ืน ๆ เช่น พฤติกรรมทางเพศ (Sexual Behavior) เพอื่ ดูผลสะทอ้ นต่อปัญหา สินคา้ ผลิตภณั ฑ์ หรือบริการ ส่วนมากใชใ้ นวงการธุรกิจ เนน้ ในการวดั Public Reaction ท่ี ที่มีในสังคม หรืองานวจิ ยั ในดา้ นการทาความผดิ ในเด็กวยั รุ่น (Juvenile Delinquency ) เป็ น มีต่อ Consumer Products วิจยั แบบน้ีมีผลมากต่อ Designers, Manufacture & Advertiser of ตน้ the Products ในการเลือก สี ขนาด รูปร่าง การผสมกลมกลืนในการออกแบบผลิตภณั ฑ์ 2.4 Public – Opinion Survey เนน้ ถึงทศั นคติ และความคิดเห็นของคนใน โดยผูท้ าการวจิ ยั แบบน้ี (Marketing Researcher) ตอ้ งพยายามสืบเสาะคน้ หา สงั คม เช่น ทศั นคติของคนในกรุงเทพมหานครที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย วา่ ผูบ้ ริโภคส่วนใหญ่มีความรู้สึกอยา่ งไรต่อผลิตภณั ฑ์ โดยอาจใชแ้ บบสอบถามหรือการ ปัจจุบนั หรือการทา Poll ในการเลือกต้งั ส.ส. แต่ละคร้ัง เป็ นตน้ สัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างที่เลือกต้องระวงั ให้เป็ นตัวแทนของประชากรจริง ท้ังน้ีเพ่ือ ประสิทธิภาพในการจาหน่ายผลิตภณั ฑด์ งั กลา่ วใหเ้ ป็ นที่ถูกใจลกู คา้ จริง ๆ 2.5 National Assessment of Educational Progress เพื่อดูความก้าวหน้า ทางการเรียนแต่ละวชิ าของผเู้ รียนทุกช้นั ทว่ั ประเทศ เมื่อนามาเปรียบเทียบกบั เป้ าหมายที่ต้งั 2.10 Motivation Research เน้นในการศึกษาถึงความรู้สึกท่ีซ่อนอยภู่ ายใน ไว้ งานวิจยั ชนิดน้ีทาเพื่อประมาณการ หรือคาดการณ์ การบรรลุผลตามเป้ าหมายของคน หรือแรงจูงใจ และแรงปรารถนาของผูบ้ ริโภค ส่วนมากใชก้ ารสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (in – ส่วนใหญ่ในกลุ่มหน่ึง ๆ ท่ีมีระดับการศึกษาแตกต่างกัน และอยู่ภายใตส้ ภาพแวดลอ้ ม depth interview) นักจิตวิทยาต้องวิเคราะห์ unconscious motives of which the consumer เดียวกนั himself is unaware เช่น วจิ ยั ความรู้สึกของผใู้ ชร้ ถยนตย์ หี่ อ้ ตา่ ง ๆ เป็ นตน้ งานวิจยั แบบน้ีไม่เน้นมากถึงการวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยควบคุมตวั แปรต่าง ๆ 2.11 Content / Document Analysis เนน้ การศึกษาวิจยั Current Records or อย่างใกล้ชิด ไม่เน้นเรื่ องการต้ัง Ho: reject / accept Ho: เป็ นแต่เพียงพยายามลงสรุป Documents as Sources of Data เช่น official records, reports, text books, references books, (Generalization) อยา่ งกวา้ ง ๆ โดยไมพ่ ดู ถึงตวั แปรอยา่ งละเอียด หนงั สือพิมพ,์ วารสาร เป็ นตน้ 2.6 International Assessment เหมือนขอ้ 2.5 แต่เนน้ ระดบั นานาชาติ เช่น 2.12 Activity Analysis / Job Analysis เน้ น ใน ก ารวิจัยบ ท บ าท ห รื อ เปรียบเทียบความรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลายระหวา่ ง กิจกรรมท่ีทาในงานแตล่ ะหนา้ ที่ ท่ีจะไดค้ นหรือรับสมคั รคนท่ีเหมาะกบั งานท่ีจะทา ชาติ 2.13 Time – and – Motion Study / Operational Study ใช้ในงานอุตสาห- 2.7 School Survey เหมือน Social Survey แต่เนน้ ในสถานศึกษา กรรม โดยใชก้ ารสังเกตและวดั Actual Body Movements ในการทางานเพ่ือผลิตผลงานใน หน้า 21 หน้า 22

โรงงาน ใชน้ าฬิกาจบั เวลา กลอ้ งถ่ายรูป กลอ้ งถ่ายภาพยนต์ เป็ นเคร่ืองมือประกอบในการ แบบที่ 2 The one group pretest - posttest สงั เกต การวิจยั แบบน้ีเหมาะในการช่วยปรับปรุงการออกแบบเครื่องจกั ร และเครื่องมือต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการจดั วาง และการไหลของงานใหเ้ หมาะสม เน่ืองจากส่ิงเหล่าน้ีมี วิธีการน้ีมีกลุ่มทดลองเพียงกลุ่มเดียว ทดสอบผ่านก่อนการทดลอง (O1) – ผลตอ่ การลดเวลาการผลิตและเพิ่มปริมาณ ผลผลิต ทดลอง – (X) – วดั ผลหลงั การทดลอง (O2) เปรียบเทียบเพื่อหาความแตกต่างระหวา่ ง O1 2.14 Trend Studies หรือ Follow – up Study ศึกษาแนวโนม้ ในอนาคต หรือ ติดตามผลการผลิต O1 X O2 และ O2 ขอ้ บกพร่องของ วธิ ีน้ี คือ ระยะเวลาในการจดั ผล ท้งั 2 คร้ัง ถา้ เวลาห่างกันมาก อาจจะทาให้ Subject มีวุฒิ 3. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็ นการวิจยั เพื่อนาไปสู่ความรู้ ใหม่ ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง การต้งั ทฤษฎีใหม่ ๆ ใชต้ อบคาถาม what will be ? งานวิจยั เชิง ภาวะเพิ่มข้ึน หรือผลจากการวดั คร้ังแรก อาจมีอิทธิพลต่อการวดั คร้ังหลงั การออกแบบ ทดลองจะมุ่งเก่ียวกบั การควบคุมตวั แปรมาก เพ่ือผลของการทดลองเหลือไวเ้ ฉพาะตวั แปร ตอ้ งการเปรียบเทียบจริง ๆ เท่าน้นั การวจิ ยั เชิงทดลองน้นั มีหลายรูปแบบ ดงั น้ี วจิ ยั แบบน้ียงั ไม่สมบูรณ์พอที่จะควบคุมความเที่ยงตรงได้ รูปแบบของการวจิ ยั เชิงทดลอง แบบที่ 3 The Static group comparison รูปแบบงานวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental research) ง่าย ๆ ไมซ่ บั ซอ้ น มี ดงั น้ี วิธีการน้ีมีกลุ่มตวั อย่าง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง (Experiment) เฉพาะกลุ่ม และ X แทนการทดลอง หรือ การจดั กระทากบั ตวั แปรตน้ C แทนกล่มุ ควบคุม กลุ่มควบคุม(Control) เม่ือไดร้ ับการทดลองอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แลว้ ทาการวดั ผลท้งั 2 กลุ่ม O แทนผลของการวดั (O1 = pretest, O2 = posttest) R แทนการกาหนดกลุ่มตวั อยา่ งโดยการสุ่ม X O2 นาผลการวดั มา เปรียบเทียบความแตกต่าง ขอ้ บกพร่องของวธิ ี C O2 น้ี คือ ไม่มีการวดั คร้ังแรกท้ัง 2 กลุ่ม ทาให้ไม่ทราบความ แบบท่ี 1 The one shot case study แตกตา่ งของกลมุ่ ตวั อยา่ งท้งั 2 ต้งั แตแ่ รก วธิ ีการน้ีมีกลุ่มทดลองเพียงกลุ่มเดียว เม่ือทดลองแลว้ – วดั ผล อธิบายผลที่ได้ แบบท่ี 4 The Posttest only equivalent group โดยไม่มีการเปรียบเทียบ วิธีน้ีไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเพราะไม่มีการควบคุมตวั แปร จึง วธิ ีการน้ีมีกลุ่มตวั อยา่ ง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง (Experiment) และกลุ่มควบคุม ไมท่ ราบพ้ืนฐานและความสามารถเดิมของกลุ่มทดลอง ทาใหไ้ ม่ทราบ X O2 ผลการเปลี่ยนแปลง นกั วจิ ยั ไมน่ ิยมใชว้ ธิ ีน้ี (Control) โดยคดั เลือกสมาชิกท้งั 2 โดยการสุ่ม (random) จึงถือวา่ สมาชิกท้งั 2 กลุ่ม มี หน้า 23 R X O2 คุณสมบตั ิโดยเฉลี่ยเท่ากนั โดยมีการวดั ผลท้งั 2 กลุ่ม ก่อนการทดลอง เม่ือทดลองอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงกบั กลุ่ม R C O2 ทดลองแลว้ – วดั ผล และวดั ผลกลุ่ม ควบคุมดว้ ย นา ผลการวดั ของท้งั 2 กลุ่ม มาเปรียบเทียบกนั วิธีน้ีนิยม หน้า 24

ในการวจิ ัยทางพฤติกรรมศาสตร์ เพราะควบคุมตวั แปรตน้ ไดด้ ีกวา่ พร้อมท้ังสามารถ วธิ ีดาเนินการทดลอง ดงั นี้ ทดสอบสมมติฐานการวจิ ยั หลาย ๆ ขอ้ พร้อม ๆ กนั ได้ 1. สุ่มตวั อยา่ งท้งั 4 กลมุ่ โดยใหส้ มาชิกท้งั 4 กลุ่ม มีลกั ษณะเหมือนกนั มากที่สุด ขอ้ บกพร่องของวธิ ีน้ี คือ ไม่มีการวดั ผลคร้ังแรก (O1) จึงทาใหไ้ มท่ ราบพ้ืน 2. ใหก้ ลมุ่ แรก = กล่มุ ทดลอง (X) ไดร้ ับ O1 ฐานความรู้เดิมของกลุ่มตวั อยา่ ง 3. ใหก้ ลมุ่ ท่ีสอง = กลมุ่ ควบคุม (C) ไดร้ ับ O1 แลว้ สอบวดั O2 4. กลมุ่ ที่สาม = กล่มุ ทดลอง (X) รับการทดลอง แลว้ สอบวดั O1 แบบท่ี 5 Pretest – Posttest equivalent group 5. กลมุ่ ท่ีส่ี = กลมุ่ ควบคุม (C) มีเฉพาะสอบ O2 วธิ ีน้ีแกข้ อ้ บกพร่องของวธิ ีท่ี 4 โดยเพ่ิม O1 เขา้ มา และใชว้ ธิ ีสุ่มแบบกลุ่ม โดยดู O1ว่าแตกต่างกันหรือไม่ หลงั จากน้ัน – ทดลอง – วดั ผล O2 (อย่าลืมว่าทดลองกับกลุ่ม ทดลองเท่าน้ัน) แล้วนาผลมาเปรี ยบเที ยบ R O1 X O2 ระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม R O1 C O2 ข้อบกพร่องของวธิ ีนี้ คือ การสอบวดั ผลคร้ังแรก (O1) มีผลต่อการสอบวดั คร้ังหลงั (O2) ของท้งั สองกล่มุ อาจจะไมไ่ ดเ้ กิดจากการทดลองอยา่ งเดียว แตอ่ าจเป็ นผลจาก Subject จาก สองคร้ังแรกได้ แบบท่ี 6 The Solomon four – group R O1 X O2 วิธีน้ีทาเพ่ือแกไ้ ขขอ้ บกพร่องของวิธีที่ 5 คือ O1 R O1 C O2 มีผลต่อกลุ่มทดลอง เม่ือสอบวดั O2 วิธีน้ีมกั ทา การทดลองเป็ น 2 ตอน คือ ตอนแรก มี O1 ท้งั 2 R X O2 กลุ่ม ตอนหลงั ทาโดยไมม่ ี O1 R C O2 หน้า 25 หน้า 26

แนวการเขียนโครงการวจิ ยั 6. เอกสารและผลงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับปัญหาน้ัน (Related Literature) เป็ น เร่ืองราวเก่ียวกบั ความคิดเห็น หรือผลงานวิจยั ท่ีผูอ้ ่ืนไดก้ ระทาเพ่ือใช้ในแง่มุมต่าง ๆ ท่ี โครงการวิจยั ท่ีดีเป็ นสิ่งจาเป็ น สาหรับนกั วจิ ยั ท้งั ในดา้ นสร้างความกระจ่างให้แก่ เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาที่จะวจิ ยั ความรู้และความคิดเห็นที่รวบรวมมาจะสามารถใชป้ ระกอบ ผู้วิจัยเกี่ยวกับปั ญหา และวิธีการท่ี จะศึกษาค้นคว้า และในด้านการขออนุมัติจาก กบั กิจการวิจยั ได้ นบั ต้งั แต่การทาให้เกิดปัญหาในการวจิ ยั การต้งั สมมุติฐาน การวางแผน ผบู้ งั คบั บญั ชา โครงการวจิ ยั ท่ีดีควรประกอบดว้ ยเรื่องราวต่าง ๆ ในหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี การวจิ ยั แนวทางการเก็บและวเิ คราะห์ขอ้ มลู ตลอดจนถึงการแปลผล 1. ภูมหิ ลงั (Background) เป็ นขอ้ ความท่ีกล่าวถึงการกาเนิดของปัญหาที่จะศึกษา 7. ข้ออภิปรายเชิงทฤษฎี (Theoretical considerations) เป็ นขอ้ ความท่ีแสดงถึง การเขียนจะยาวหรือส้ันเพียงใดข้ึนอยกู่ บั ปัญหาน้นั วา่ เป็ นเรื่องราวท่ีผูกพนั กบั เร่ืองที่รู้จกั กนั แนวความคิดของผูว้ ิจยั ในเชิงทฤษฎี ภายหลงั จากที่ไดศ้ ึกษาความคิดเห็นและผลงานวิจยั ดีเพยี งใด ถา้ ยงิ่ เป็ นปัญหาท่ีใหม่มากก็จาเป็ นจะตอ้ งอธิบายแนวคิดที่เป็ นมาใหเ้ ป็ นท่ีเขา้ ใจแก่ ต่าง ๆ มาแลว้ ขอ้ อภิปรายเชิงทฤษฎีน้ีจะใชเ้ ป็ นขอบเขตการอา้ งอิง (Frame of reference) ผอู้ ่านมากข้ึน สาหรับการวจิ ยั 2. ปัญหาทจี่ ะวจิ ยั (Statement of the problem) เป็ นขอ้ ความท่ีอธิบายถึงตวั ปัญหา 8. สมมุตฐิ านในการวจิ ยั (Hypothesis) เป็ นขอ้ ความที่คาดหวงั ถึงผลการวจิ ยั ท่ี ท่ีจะศึกษา อาจเขียนตอ่ และรวมอยใู่ นหวั ขอ้ ที่ 1 หรือแยกออกมาเขียนใหเ้ ด่นชดั ต่างหาก ให้รู้ จะกระทา โดยอาศัยความรู้ที่ได้จากการศึกษาเอกสารต่าง ๆ การแปลผลการวิเคราะห์ วา่ จะทาอะไร ขอ้ มูล จะเป็ นการทดสอบสมมุติฐานท่ีต้งั ไว้ 3. จุดมุ่งหมายของการวจิ ัย (Purpose of the study) เป็ นขอ้ ความที่จะช้ีบ่งวา่ การ 9. ข้อตกลงเบือ้ งต้น (Basic assumptions) เป็ นขอ้ ความที่เป็ นความคิดพ้ืนฐาน วจิ ยั น้นั ทาไปเพื่ออะไร การเขียนจุดมุ่งหมายใหช้ ดั เจนเป็ นสิ่งสาคญั ที่สุด เพราะเป็ นหลกั ชยั บางอยา่ งที่ผูว้ จิ ยั ตอ้ งการทาความเขา้ ใจกบั ผูอ้ ่านเกี่ยวกบั ปัญหาที่จะศึกษาน้นั อาจเขียน ของการดาเนินการทุกอยา่ งในการวจิ ยั รวมอยใู่ นหวั ขอ้ ท่ี 5 4. ความสาคญั ของการวิจยั (Significance of the study) เป็ นขอ้ ความที่จะบอกให้ 10. ขอบเขตและข้อจากัดของการวิจัย (Scope and limitation) เป็ นขอ้ ความที่ ทราบวา่ เม่ือทาการวจิ ยั ไปแลว้ ใครจะเป็ นผนู้ าความรู้อนั เป็ นผลของการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ อธิบายให้ทราบวา่ การวิจยั น้นั มีวงจากดั ท่ีแน่นอนเพียงไหน ซ่ึงจะอธิบายให้ผูอ้ ่านทราบ และใชไ้ ดใ้ นทางใด ว่า การวิจัยน้ันกระทาเฉพาะแง่มุมใด ไม่ได้กระทาแง่มุมใด ตลอดจนถึงการกาหนด สถานที่และกลุ่มตวั อยา่ งที่จะวจิ ยั ท้งั น้ีเพื่อไม่ใหก้ ารสรุปอา้ งผลการวจิ ยั (Generalization) 5. คานิยามศัพท์เฉพาะ (Definition of terms) เป็ นขอ้ ความท่ีอธิบายความหมาย กวา้ งไกลจนเกินไป ของคาสาคญั ต่าง ๆ ท่ีใชใ้ นการเขียนโครงการ (ซ่ึงรวมถึงการเขียนรายงานการวิจยั ด้วย) เพือ่ ใหผ้ ูอ้ ่านไดเ้ ขา้ ใจคา ๆ น้นั ตรงกบั ผวู้ ิจยั ในขอบเขตเฉพาะท่ีผวู้ จิ ยั ตอ้ งการ เพราะคาบาง 11. แบบแผนการวิจยั (Research design) เป็ นส่วนท่ีจะสรุปใหท้ ราบวา่ การวจิ ยั คามีความหมายไดห้ ลายอยา่ ง คร้ังน้นั ๆ มีลกั ษณะอยา่ งไร โดยปกติจะใชม้ ากในการวจิ ยั แบบทดลอง หน้า 27 หน้า 28

12. วธิ ีดาเนินการ (Procedure) เป็ นตอนที่จะอธิบายให้ทราบโดยยอ่ ถึงส่ิงต่อไปน้ี ข้อผดิ พลาดในการทาวจิ ยั คือ ขอ้ ผิดพลาดในการคิดหวั ขอ้ ปัญหา 12.1 ตวั แปรอิสระ และตวั แปรตามท่ีจะศึกษา มีอะไรบา้ ง  เลือกหวั ขอ้ ปัญหาตามท่ีคนอ่ืนบอก แต่ตวั เองไมม่ ีความสนใจ 12.2 เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มีอะไรบา้ ง  เลือกปัญหาท่ีกวา้ งเกินกาลงั และไม่มีเวลา 12.3 มีวธิ ีเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู อยา่ งไร  เลือกหวั ขอ้ โดยไม่ไดว้ างแผนล่วงหนา้ ถึงวธิ ีการ การไดม้ าซ่ึงขอ้ มลู และวธิ ีวเิ คราะห์ 12.4 วธิ ีการจดั กระทาขอ้ มลู เป็ นอยา่ งไร 12.5 แหล่งขอ้ มลู (กลุม่ ตวั อยา่ ง) อยทู่ ี่ไหน ขอ้ มลู ท่ีเหมาะสม การเขียนวธิ ีดาเนินการน้ี เพ่ือให้ผูอ้ ่านไดพ้ ิจารณาวา่ หัวขอ้ ต่าง ๆ ที่กล่าวถึง  เลือกสมมุติฐานท่ีไม่มีทางทดสอบได้ ในตอนตน้ กบั วธิ ีดาเนินการน้ีสอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ นั เพียงใด 13. ระยะเวลา (Length of study) อาจเขียนรวมอยใู่ นหวั ขอ้ วธิ ีดาเนินการได้ ขอ้ ผิดพลาดในการอ่านผลงานการวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 14. ผ้รู ับผดิ ชอบโครงการ (Responsible authority)  อา่ นผลงานการวจิ ยั อยา่ งรีบร้อน และจบั ใจความสาคญั ไมไ่ ด้ 15. งบประมาณ (Budget)  ไม่ไดว้ เิ คราะห์ สงั เคราะห์ เร่ืองที่อา่ นจนเขา้ ใจแจ่มแจง้  ไม่ไดจ้ ดบนั ทึกขอ้ มูล และเขียนบรรณานุกรมที่ละเอียดถูกตอ้ ง หน้า 29  ขาดการติดตามงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง  หาเอกสารที่เกี่ยวขอ้ งไม่ไดเ้ พราะขาดวารสาร หรือแหล่งขอ้ มูล  จดบนั ทึกเรื่องท่ีอ่านไมเ่ ป็นระบบ ขอ้ ผดิ พลาดในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู  เลือกกลุม่ ตวั อยา่ งตามความสะดวกของตนเอง  ขาดการติดตอ่ หรือขอความร่วมมือจากกล่มุ ตวั อยา่ ง  ไม่ไดอ้ ธิบายความมุ่งหมายของการรวบรวมขอ้ มลู ที่จะใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งใหค้ วามร่วมมือ  เครื่องมือท่ีใชข้ าดความเช่ือมนั่ และเท่ียงตรง  รวบรวมขอ้ มูลก่อนคิดความมงุ่ หมาย สมมุติฐาน และขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ใหช้ ดั เจน  ใชเ้ คร่ืองมือผดิ ประเภท หน้า 30

ขอ้ ผิดพลาดในการใชส้ ถิติ การประเมนิ ผลการวจิ ยั  เลือกวธิ ีการทางสถิติจากขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ของสถิติน้นั ๆ  รวบรวมขอ้ มูลก่อน เลือกเทคนิคทางสถิติที่จะใช้ การประเมินผลการวจิ ยั คือ การพิจารณาตดั สินงานวิจยั วา่ มีคุณภาพและคุณค่า  ใชส้ ถิติโดยไมค่ านึงถึงระดบั ของขอ้ มูล ในสภาพของสงั คมน้นั ๆ เพยี งใด โดยมีเกณฑใ์ นการพจิ ารณา ดงั น้ี  ใชส้ ถิติที่ลึกซ้ึงกบั ขอ้ มลู ท่ีวดั ไดไ้ ม่ละเอียด  คิดวา่ การใชส้ ถิติระดบั สูงเป็ นการช้ีถึงระดบั งานวจิ ยั ของตน 1. ช่ือเรื่อง (The Title)  ใชส้ ถิติที่ผวู้ จิ ยั เองยงั ไมไ่ ดศ้ ึกษาสถิติน้นั ๆ ดีพอ  ส้นั หรือรัดกมุ หรือไม่  บ่งถึงความสมั พนั ธ์ของตวั แปรตา่ ง ๆ หรือไม่ เพยี งใด 2. ลกั ษณะของปัญหา (The Problem)  มีความชดั เจน และเฉพาะเจาะจง หรือไม่  แคบพอที่จะทดสอบ หรือไม่  มีจุดม่งุ หมายที่ชดั เจน หรือไม่  ต้งั สมมุติฐานตรงตามจุดมงุ่ หมา หรือไม่  กาหนดขอบเขตของปัญหา หรือไม่  กลา่ วถึงขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ไวอ้ ยา่ งชดั เจน หรือไม่  มีนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ หรือไม่  มีคุณค่าในการนาไปใช้ หรือไม่ 3. การรวบรวมทฤษฎีและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง (Related Literature)  เอกสารที่อา้ งอิงตรงกบั เร่ืองท่ีทา หรือไม่  รวบรวมจากจุดทวั่ ๆ ไป มาสู่จุดเฉพาะท่ีตอ้ งการ หรือไม่  จดั ลาดบั และเรียบเรียงอยา่ งกลมกลืน หรือไม่  มีเอกสารครอบคลุมเรื่องท่ีศึกษา หรือไม่ 4. วธิ ีดาเนินการ (Procedure)  บอกแบบของการวจิ ยั ไวอ้ ยา่ งชดั เจน หรือไม่  อธิบายถึงลกั ษณะของกลมุ่ ตวั อยา่ งไว้ หรือไม่ หน้า 31 หน้า 32

 นิยามตวั แปรอิสระ ตวั แปรตามไว้ หรือไม่  ใชว้ ธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งถูกตอ้ ง หรือไม่  เลือกเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู อยา่ งเหมาะสม หรือไม่  เครื่องมือมีความเช่ือมนั่ ความเที่ยงตรงเพียงพอ หรือไม่  เครื่องมือมีความเชื่อมน่ั ความเที่ยงตรงเพียงพอ หรือไม่  บอกวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไวช้ ดั เจนเพียงไร  ใชส้ ถิติในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลไดเ้ หมาะสม หรือไม่ 5. ผลและการแปลความหมาย (Result and Interpretation)  จดั ตารางและภาพประกอบไดอ้ ยา่ งเหมาะสม หรือไม่  การแปลความหมายช้ีใหเ้ ห็นความสาคญั ของตวั แปร หรือไม่  การแปลความหมายช้ีใหเ้ ห็นแนวโนม้ อะไร หรือไม่  ผลท่ีไดส้ อดคลอ้ งกบั สมมุติฐานเพียงใด  ตีความหมายจากผลการวเิ คราะห์ทางสถิติไดถ้ ูกตอ้ ง หรือไม่  ตีความหมายจากผลการวเิ คราะห์ทางสถิติไดถ้ กู ตอ้ ง หรือไม่ 6. สรุป อภิปราย และเสนอแนะ (Summary and Discussion)  สรุปโดยยดึ ขอ้ มูลเป็ นหลกั หรือไม่  คาสรุปน้นั เป็ นไปตามหลกั ของเหตุผล หรือไม่  คาสรุปน้นั ตรวจสอบได้ หรือไม่  กล่าวถึงความสอดคลอ้ งกบั ขอ้ สรุปของคนอื่น หรือไม่ เพยี งใด  คาสรุปน้นั มีความลาเอียงส่วนตวั เจือปน หรือไม่  อภิปรายการทดสอบสมมุติฐานทุกขอ้ หรือไม่  เขียนขอ้ ดี ขอ้ เสีย หรือขอ้ บกพร่องในงานวจิ ยั ของตนไว้ หรือไม่  ใหค้ าเสนอแนะอยา่ งกวา้ งขวางและปฏิบตั ิได้ หรือไม่ หน้า 33


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook