Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 47547

Description: 47547

Search

Read the Text Version

มหาส​ติ​ปฏั ​ฐาน​๔ การ​เจริญส​ ต​ิปัฏ​ฐานกรรมฐาน (จากพระไตรปฎิ กเล่ม ๑๐ ข้อ ๓๗๒-๔๐๕) พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม

สารบญั หน้า ๓ หัวข้อ ๙ คำนำ ๙ ความหมายของสติปัฏฐาน ๑๑ ภาคอทุ เทส ๑๑ ภาคนิทเทส ๑๑ ๑. กายานุปสั สนา ๑๒ ๑.๑. อานาปานบรรพ ๑๓ ๑.๒. อริ ิยาบถบรรพ ๑๓ ๑.๓. สัมปชญั ญบรรพ ๑๕ ๑.๔. ปฏกิ ูลมนสกิ าร ๑๕ ๑.๕. ธาตมุ นสิการ ๒๐ ๑.๖. นวสวี ถกิ า ๒. เวทนานปุ ัสสนา ๒๒ ๓. จติ ตานุปัสสนา ๒๓ ๔. ธมั มานุปสั สนา ๒๓ ๔.๑. หมวดนิวรณ์ ๒๕ ๔.๒. หมวดขันธ ์ ๒๖ ๔.๓. หมวดอายตนะ ๒๗ ๔.๔. หมวดโพชฌงค์ ๓๐ ๔.๕. หมวดสจั จะ ๔๒ ภาคอานสิ งส ์

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 3 คำนำ มหา​สต​ิปฏั ​ฐาน คือ วิธี​การ​หรอื ​หลกั ​การ​เจริญ​สตปิ​ ัฏฐ​าน มี ๔ ประก​ารใ​หญๆ่ เปน็ วธิ พี​ จิ ารณาใ​หเ​้ หน็ ต​ามค​วามเ​ปน็ จ​รงิ คอื (๑) พจิ ารณา​ เหน็ ​กายใ​น​กาย (๒) พจิ ารณา​เหน็ เ​วทนา​ใน​เวทนา (๓) พิจารณา​เหน็ จ​ิต ​ใน​จิต (๔) พจิ ารณา​เห็นธ​รรม​ใน​ธรรม มหาส​ต​ิปัฏฐ​านนี้ พระผ​ู​้มพี​ ระภ​ าคท​ รงแ​สดงแ​กภ​่ ิกษท​ุ ้งั ห​ ลาย ขณะ​ ประทับ​อยู่ ณ นคิ มข​อง​ชาวก​ร​ุ ุ ช่อื ​กมั ​มาส​ธัมมะ แควน้ ก​ร​ุ ุ โดยท​ รงป​ รารภ​ พุทธ​บริษัท​ชา​วกัม​มาส​ธัม​มะ​ว่า​ มี​ความ​สนใจ​ใน​การ​เจริญ​สติ​ปัฏ​ฐาน​กัน​ อย่างแพรห่ ลาย แม้พ​ วกท​ าส กรรมกร และบ​ ริวาร​ชน​ ก​็พดู ค​ยุ กนั แตเ่​รอ่ื ง​ สต​ิปฏั ​ฐาน พระผ​ู้​ม​ีพระภ​ าค​จึงทรง​แสดง มหา​สติ​ปฏั ฐ​าน ​เปน็ บ​ รรยายโ​วหาร​ แบบ​ถาม​เอง-ตอบเ​อง และม​ีอ​ุปมา​อุปไมยอย​ูด่ ้วย นับว่าสมบรู ณ​์แบบทสี่ ุด เพราะม​คี รบถ้วนทั้ง​ ๓ ภาค คือ (๑) ภาค​อุทเ​ทส (หวั ขอ้ ) (๒) ภาค​นิท​เทส (ขยายความ) (๓) ภาค​อานสิ งส์ (ผลที่จะได้รบั ) เปน็ ว​ิธีการ​บรร​ยาย​เกยี่ วกบั กัมมฏั ฐ​าน​ท​ี่เขา้ ใจ​งา่ ย ทง้ั ปฏบิ ตั ต​ิ ามไ​ด้​ ง่ายและถกู ต​้อง ภาคอุทเ​ทส (หัวข้อ) พระผ​ู้​มี​พระภ​ าค​ทรง​ยกห​ วั ขอ้ ​การ​บรรยาย​ขน้ึ เ​ป็นอ​ุทเ​ทส​​ต้ังไวว้ ่า “ภิกษุ​ท้ัง​หลาย ทาง​นี้​เป็น​ทาง​เดียว ​เพื่อ​ถึงความ​บริสุทธิ์​ของ​เหล่า​ สตั ว์ เพ่ือล​่วงพ้นจาก​โสก​ะ​และป​ ริ​เทวะ เพื่อด​ับท​ กุ ข​แ์ ละ​โทมนัส เพือ่ บ​ รรลุ​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 4 ญาย​ธรรม (อริยมรรค) เพ่ือ​ทำให้​แจ้ง​พระนิพพาน (อริยผล) ทาง​นี้คือ สตป​ิ ฏั ​ฐาน ๔ ประการ” สต​ปิ ฏั ฐ​าน คอื ​การต​ง้ั ​สติสมั ปชญั ญะ เพยี รพ​ จิ ารณาก​าย เวทนา จติ และธ​รรม เพอื่ ​กำจ​ัด​อภิ​ชฌาแ​ละ​โทมนัสใ​น​โลกใ​ห​้ได้ โดยแ​ยก​พจิ ารณา​ เป็น ๔ ประการ คือ ๑. การพ​ จิ ารณา​เหน็ ​กาย​ในก​าย ๒. การพ​ จิ ารณา​เห็น​เวทนาใ​น​เวทนา​ทั้งห​ ลาย ๓. การพ​ ิจารณา​เห็น​จติ ​ใน​จิต ๔. การพ​ จิ ารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ทงั้ ​หลาย ภาคนิท​เทส (ขยายความ) ๑. กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน วิธพี ิจารณา​กายใ​น​กาย ๖​ หมวด คอื ๑. พิจารณา​เหน็ ลมห​ ายใจ​เขา้ ลมห​ ายใจอ​อก ให​้เหน็ ก​ารไ​หล​ เข้า ไหล​ออกต​ดิ ตอ่ ก​ัน​เป็นล​ำยาว สั้น เป็นตน้ สลบั ​กนั ไ​ป ๒. พจิ ารณา​เห็นอริ ยิ าบถ เ​ดนิ ยนื น่งั นอน ให้​รู้ค​วาม​เป็นไ​ปข​อง​ อิริยาบถน​้นั ๆ ๓. พิจารณา​เห็นโดยสัมปชัญญะ คือ พิจารณา​ความ​รู้สึก​ตัว​ ในขณะเ​คล่อื นไหว​ทาง​กาย เชน่ การ​ก้าวไ​ป การ​ถอยก​ลับ การ​คู​แ้ ขนเ​ข้า การเ​หยียด​แขน​ออก โดยก​ำหนดใ​หร้​ู้ทัน​ทุกอ​ากปั ก​ิรยิ าน​ั้นๆ ๔. พจิ ารณาเหน็ วา่ เ​ป็นปฏิกลู คือ พจิ ารณา​อาการ ๓๒ ใน​กาย​ ของต​น​มี ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เปน็ ต้น ให​้เห็น​วา่ ​เป็นข​อง​น่ารงั เกยี จ

มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 5 ๕. พจิ ารณา​เห็นธาตุ คือ พิจารณา​ดิน นำ้ ไฟ ลม ใน​กาย​ของ​ ตน ใหเ้​ห็นโ​ดยค​วาม​เป็น​ธาตุ เหมือน​คนฆ​่าโ​ค หรือล​ูกมือ​ของค​น​ฆา่ ​โคน​่ัง​ แบง่ ​อวยั วะข​องโ​ค​ทีฆ​่ ่า​แล้ว ออก​เปน็ ​ส่วนๆ อยา่ ง​ชำนาญ ๖. พจิ ารณาเห็นซ​ากศพ ซ่งึ ม​ล​ี ักษณะต​า่ งๆ กัน ถึง ๙ ลกั ษณะ เช่น ซากศพท​ ตี่​าย​แลว้ ๑ วัน ถงึ ๓ วนั แลว้ ​นำ​มา​เปรยี บเ​ทยี บก​บั ​กาย​ ของต​น​วา่ มี​สภาพอ​ย่าง​เดียวกนั ๒. เ​วทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน วธิ ีพิจารณา​เหน็ เ​วทนาใ​น​เวทนา​ทงั้ ​หลาย ๙ คือ พิจารณาเหน็ ​ความ​รู้สกึ ​สุข ทกุ ข์ ไมใ่ ช่ส​ุข​ไมใ่ ช​่ทกุ ข์ (อเุ บกขา) ใน​ตัว​ เอง แบ่งเ​ปน็ ๙ ประการ คอื ๑. เม่อื เ​สวย​สขุ เ​วทนา ก็​ร​ู้ชัด​เวทนา​นั้น ๒. เมือ่ เ​สวยท​ กุ ขเวทนา ก​ร็ ​ู้ชดั เ​วทนา​นั้น ๓. เมอื่ เ​สวย​อ​ทุก​ขมส​ขุ ​เวทนา กร​็ ู้​ชดั เ​วทนา​น้ัน ๔. เมื่อเ​สวย​สขุ เ​วทนา​มีอ​ามิส ก็​รูช​้ ัด​เวทนา​น้นั ๕. เมื่อ​เสวยส​ุขเ​วทนาไ​มม่ ี​อามิส ก​็รู​ช้ ัด​เวทนาน​ัน้ ๖. เมื่อเ​สวยท​ กุ ขเวทนาม​ี​อามสิ ก็​ร​ู้ชัด​เวทนา​น้นั ๗. เม่อื ​เสวยท​ ุกขเวทนา​ไม่มี​อามิส กร็​ูช​้ ัดเ​วทนาน​ัน้ ๘. เมื่อ​เสวยอ​​ทกุ ข​ม​สขุ ​เวทนา​มอ​ี ามิส กร​็ ช​ู้ ดั ​เวทนา​นน้ั ๙. เมื่อเ​สวยอ​ท​ ุก​ขมส​ุข​เวทนาไ​ม่ม​ีอามสิ ก​็ร้ชู​ดั เ​วทนาน​น้ั ๓. จิตตานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน การ​พจิ ารณา​เห็นจ​ติ ใ​น​จิต ๑๐ ประการ คอื พจิ ารณาจ​ติ ข​องต​นใ​หเ​้ หน็ ส​ภาวะต​ามท​ ป​่ี รากฏใ​นข​ณะน​น้ั ๆ และร​ช​ู้ ดั ​

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 6 ตามค​วาม​เปน็ จ​รงิ ​ตาม​สภาวะข​อง​จติ ๑๐ ประการ คอื ๑. จิตมรี าคะ ก็รชู้ ัดวา่ ‘จติ มรี าคะ’ จิตปราศจากราคะ ก็ร้ชู ัดวา่ ‘จิตปราศจากราคะ’ ๒. จิตมีโทสะ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตมีโทสะ’ จติ ปราศจากโทสะ ก็รูช้ ัดว่า ‘จติ ปราศจากโทสะ’ ๓. จติ มีโมหะ ก็รชู้ ัดวา่ ‘จิตมโี มหะ’ จิตปราศจากโมหะ กร็ ้ชู ัดว่า ‘จิตปราศจากโมหะ’ ๔. จติ หดหู่ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตหดห’ู่ จติ ฟุ้งซ่าน ก็รชู้ ัดว่า ‘จิตฟงุ้ ซ่าน’ ๕. จิตมีอารมณเ์ ปน็ เลิศ กร็ ู้ชดั วา่ ‘จิตมีอารมณ์เป็นเลิศ’ จิตมอี ารมณย์ งั ไม่เลิศ กร็ ชู้ ัดวา่ ‘จติ มีอารมณ์ยงั ไมเ่ ลิศ’ ๖. จติ มจี ติ อ่ืนยิง่ กว่า กร็ ู้ชัดว่า ‘จิตมีจติ อน่ื ยง่ิ กว่า’ จติ ไม่มีจิตอื่นยิง่ กว่า ก็รู้ชดั ว่า ‘จติ ไมม่ ีจิตอ่นื ยงิ่ กวา่ ’ ๗. จิตเปน็ สมาธิ ก็รูช้ ดั วา่ ‘จติ เป็นสมาธ’ิ จติ ไม่เปน็ สมาธิ ก็ร้ชู ดั วา่ ‘จิตไม่เปน็ สมาธิ’ ๘. จิตหลดุ พ้นแลว้ กร็ ูช้ ดั ว่า ‘จิตหลุดพ้นแล้ว’ จติ ไมห่ ลดุ พ้น ก็รูช้ ดั ว่า ‘จติ ไม่หลดุ พน้ ’ ๙. ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ จิตในจิตภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ จติ ในจิตภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ จิตในจติ ทัง้ ภายในทง้ั ภายนอกอยู่ ๑๐. พจิ ารณา​เห็นธ​รรม​เป็น​เหต​ุเกิดใ​นจ​ติ อ​ยู่ พิจารณา​เหน็ ​ธรรม​เปน็ ​เหตด​ุ บั ใ​น​จิตอ​ยู่ พจิ ารณา​เหน็ ​ธรรม ทง้ั ​เหต​เุ กดิ แ​ละเ​หตด​ุ บั ใ​น​จิตอ​ยู่

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 7 มี​สตป​ิ รากฏ​อย่​เู ฉพาะ​หน้า​วา่ ‘จิตม​ี​อยู่’ เพยี งเ​พอื่ ​อาศยั เ​จริญ​ญาณ และเ​จริญ​สต​ิเทา่ น้นั ไม่​อาศัยต​ณั หา​ และท​ ฏิ ฐอ​ิ ยู่ และไ​มย่​ึดม​ัน่ ​อะไรๆ​ในโ​ลก ๔. ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน วธิ พี ิจารณาเ​ห็นธ​รรม​ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย ๕ หมวด คือ พิจารณา​ว่า ใน​ขณะ​น้ันๆ มี​ธรรม​อะไร​เกิด​อยู่​ใน​จิต​ของ​ตน ก็​รู้​ชัด ​ ธร​รมน​้นั ๆ แบ่งเ​ปน็ ๕ หมวด คอื ๑. หมวด​นิวรณ์ ๕ ๒. หมวด​ขนั ธ์ ๕ ๓. หมวด​อายตนะ ๑๒ ๔. หมวด​โพชฌงค์ ๗ ๕. หมวด​สจั จะ ๔ เชน่ เม่อื ก​ามฉ​ันทะภ​ ายในม​ี​อยู่ ก​็รู้​ชัด​ว่า กาม​ฉนั ทะ​ภายใน​ของ​เรา​ ม​ีอยู่ หรอื เมอ่ื ก​าม​ฉนั ทะ​ภายใน​ไมม่ ี​อยู่ ก็​รู้ช​ดั ​วา่ กาม​ฉนั ทะ​ภายในข​อง​ เรา​ไม่ม​ีอยู่ นอกจาก​นย​ี้ งั ​พจิ ารณา​ใหร​้ ช​ู้ ดั ​ความเ​กดิ ​แหง่ ก​ามฉ​นั ทะ​ ความด​บั ​แหง่ ​ กามฉ​ันทะ และข​้อ​ปฏิบัตใิ​หถ​้ ึง​ความ​ดบั ​แห่ง​กามฉ​นั ทะน​ัน้ ด​ว้ ย ภาค​อานสิ งส์ (ผลทีจ่ ะไดร้ ับ) พระผ​ม​ู้ พ​ี ระภ​าคท​ รงแ​สดงอ​านสิ งสข​์ องก​ารเ​จรญิ ส​ตป​ิ ฏั ฐ​านไ​วใ​้ นต​อน​ ทา้ ย​ของ​พระส​ตู รน​วี้​่า บุคคล​ผู​้เจริญ​สต​ิปฏั ​ฐาน ๔ ประการน​ี้ แมเ​้ พยี ง ๗

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 8 วนั เปน็ อ​ยา่ งน​อ้ ย​ กห​็ วงั ไ​ดว​้ า่ จะม​ผ​ี ลใ​นป​จั จบุ นั อ​ยา่ งใ​ดอ​ยา่ งห​ นงึ่ ในจ​ำนวน​ ผล ๒ อย่าง คอื (๑) จะ​ได​้บรรลุ​อรห​ ตั ​ต​ผล (๒) ถา้ ย​งั ​มอ​ี ​ุปาทเิ​หลอื ย​ู่ จะ​ บรรล​ุอน​าคา​มผ​ิ ล จึง​ทรง​สรปุ อ​านสิ งสไ์ วว้ ่าว่า สต​ิปัฏ​ฐาน ๔ ประการน​ี้ เปน็ ท​ าง​เดยี ว เพ่อื อานสิ งส์ ๕ อย่าง คอื (๑) เพ่ือ​ความ​บริสุทธ์ิ​ (๒) เพือ่ ล​ว่ งโ​สกะ​แ​ละ​ ปร​ิเทวะ (๓) เพื่อ​ดับท​ ุกข์​และโ​ทมนัส (๔) เพ่ือ​บรรลญ​ุ าย​ธรรม (๕) เพ่ือ​ ทำให​แ้ จง้ ​นพิ พานของ​เหลา่ ส​ตั ว์ พระ​ผู้​มี​พระ​ภาค​ทรง​แสดง “สติ​ปัฏ​ฐาน” ไว้​หลาย​แห่ง ดัง​ปรากฏ​ ทว่ั ไปท​ งั้ ใ​นพ​ ระส​ตุ ต​นั ต​ป​ ฎิ กแ​ละพ​ ระอ​ภธิ รรมป​ ฎิ ก แตท​่ ต​ี่ รสั ไ​วเ​้ ตม็ ส​มบรู ณ​์ ท่สี ุด จะเ​รียกว​า่ “มหา​สติ​ปฏั ​ฐาน” ม​ปี รากฏ​อย​ู่ใน​พระไ​ตรปฎิ ก ๒ แห่ง คอื ใน​เลม่ ​ที่ ๑๐ ทฆี ​นิกาย มหาวรรค สูตรท​ ่ี ๙ มหา​สตปิ​ ัฏฐ​านส​ูตร ข้อ ๓๗๒-๔๐๕ และ​ใน​พระ​ไตรปิฎก​เล่มท​ ่ี ๑๒ มัชฌิม​นิกาย มลู ​ปัณณาสก์ สตู รท​ ี่ ๑๐ มหา​สต​ิปัฏ​ฐาน​สตู ร ข้อ ๑๐๕-๑๓๘ การร​วบรวมเ​นอ้ื ค​วามข​องม​หาส​ตป​ิ ฏั ฐ​านส​ตู รใ​นค​รงั้ น​้ี ไดถ​้ อื เ​อาเ​นอ้ื ​ ความ​ตามพ​ระ​ไตรปิฎกเ​ลม่ ๑๐ เปน็ ​หลกั ส​ำคญั ส่วนใ​น​พระไ​ตรปฎิ กเ​ลม่ ​ ท่ี ๑๒ หาก​มเ​ี น้ือ​ความ​ที่​แตกต​่าง​กนั ก็​จะน​ำ​มาแ​สดง​เพิ่มเ​ตมิ ​เอาไ​ว​้ดว้ ย เพราะใ​หผ​้ ​ู้ศกึ ษา​ม​ีความ​เข้าใจ​ได้​ถกู ต​อ้ ง​ครบ​ถ้วน ซึง่ ​จะเ​ป็น​ประโยชนย์​่งิ ​ใน​ การป​ ฏบิ ัตติ​าม​ต่อไ​ป พระมหาสมปอง มทุ โิ ต

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 9 มหาสติปฏั ฐาน ๔ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺธสฺส. ขอนอมนอ้ มแด่พระผู้มพี ระภาคอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นัน้ ความหมายของสติปัฏฐาน สติ​ปัฏ​ฐาน แปล​ว่า ธรรม​อัน​เปน็ ​ท​่ีตัง้ ​ของ​สติ หรือ ธรรม​ท่ี​มี​สต​ิ เปน็ ​ประธาน ภาคอุทเทส หวั ขอ้ มหาสติปฏั ฐาน ๔ สมัย​หนง่ึ พระผ​ู​้มพ​ี ระ​ภาค​ประทับ​อยู่ ณ นิคมก​​ุร​ชุ ่อื ก​มั ​มาส​ธมั มะ แควน้ ก​ร​ุ ุ พระองค​ไ์ ด้​ตรัส​มหา​สต​ิปฏั ​ฐานใ​ห​้ภกิ ษุ​ทง้ั ห​ ลายฟ​ ัง​วา่ ภิกษุ​ท้ัง​หลาย ทาง​นี้​เป็น​ทาง​เดียว (ทาง​ท่ี​ผู้​จะ​ไป​สู่​นิพพาน ต้อง​ ประพฤตค​ิ นเ​ดยี ว เปน็ ท​างท​พ​่ี ระพทุ ธเจา้ พ​ ระองคเ​์ ดยี วท​รงส​รา้ งไ​ว้ เปน็ ท​าง​ ที่​มี​แต่​ศาสนา​พุทธ​อย่าง​เดียว และ​เป็น​ทาง​ดำเนิน​ไป​สู่​นิพพาน​อย่าง​เดียว) (๑) เพ่ือ​ถงึ ค​วาม​บริสทุ ธ​ิ์ของ​เหลา่ ส​ัตว ์ (๒) เพอ่ื ​ลว่ งพ​ ้นโ​สก​ะ​และป​ รเ​ิ ทวะ (๓) เพอ่ื ด​ับท​ ุกขแ์​ละโ​ทมนสั (๔) เพอื่ บ​ รรล​ุญายธ​รรม (๕) เพ่ือ​ทำให​้ แจ้งน​ ิพพาน ทางน​ค้ี​อื ส​ต​ิปฏั ​ฐาน ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. กาเย กายานปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 10 พจิ ารณา​เหน็ ก​ายใ​นก​าย​อยู่ มค​ี วาม​เพียร มส​ี มั ปชญั ญะ ม​สี ติ กำ​ จดั อ​ภชิ​ฌา​และ​โทมนสั ใ​น​โลก​ได้ ๒. เวทนาสุ เวทนานปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ พจิ ารณาเ​หน็ เ​วทนาใ​นเ​วทนาท​งั้ ห​ ลายอ​ยู่ มค​ี วามเ​พยี ร มส​ี มั ปชญั ญะ ม​สี ติ กำ​จัดอ​ภช​ิ ฌาแ​ละ​โทมนัส​ใน​โลก​ได้ ๓. จติ เฺ ต จติ ตฺ านปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ พจิ ารณา​เหน็ จ​ิต​ในจ​ติ อ​ยู่ มคี​วาม​เพียร ม​ีสัมปชัญญะ ม​สี ติ กำ​จดั ​ อภ​ชิ ฌาแ​ละ​โทมนัสใ​นโ​ลกไ​ด้ ๔. ธมเฺ มสุ ธมมฺ านปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ พิจารณา​เหน็ ธ​รรม​ใน​ธรรม​ทง้ั ​หลายอ​ยู่ มีค​วาม​เพยี ร ม​สี มั ปชญั ญะ มีส​ติ กำ​จดั อ​ภิ​ชฌาแ​ละ​โทมนสั ​ใน​โลกไ​ด้

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 11 ภาคนทิ ​เทส ขยายความมหาสติปฏั ฐาน ๔ ๑. กาย​าน​ ป​ุ สั ​สนา พจิ ารณาเหน็ กายในกาย ๑.๑. อานาปานบรรพ หมวดล​มห​ ายใจเ​ขา้ ​ออก ภกิ ษใ​ุ นธ​รรมว​นิ ยั น​​้ี ไปส​ป​ู่ า่ ​ ไปส​โ​ู่ คนไ​ม​้ ไปส​เ​ู่ รอื นว​า่ ง (คอื เสนาสนะ ๗ อยา่ ง คอื ภเู ขา ซอกเขา ถำ้ ปา่ ชา้ ปา่ ดงดบิ ทโี่ ลง่ แจง้ กองฟาง) นง่ั ค​บ​ู้ ลั ลงั ก์ (ขัดสมาธิ) ตั้งก​ายต​รง ดำรง​สต​ไิ ว​้เฉพาะห​ น้า (ตง้ั สติมุง่ ตรงส่กู รรมฐาน) ๑. ม​สี ตหิ​ ายใจ​เขา้ มี​สตหิ​ ายใจ​ออก ๒. เมื่อห​ ายใจ​เข้า​ยาว ก​ร็ ช​ู้ ัด​ว่า “เรา​หายใจ​เขา้ ย​าว” ๓. เม่ือ​หายใจ​ออก​ยาว กร็​้​ชู ัด​วา่ “เรา​หายใจ​ออกย​าว” ๔. เมื่อ​หายใจ​เขา้ ​ส้ัน ก็​รชู้​ดั ​วา่ “เรา​หายใจ​เขา้ ​ส้ัน” ๕. เมื่อห​ ายใจ​ออก​สัน้ ก​ร็ ้​ูชดั ว​า่ “เรา​หายใจ​ออกส​ัน้ ” ๖. สำเหนียก​วา่ “เรา​กำหนด​รูก​้ อง​ลมท​ ง้ั ​ปวง หายใจ​เขา้ ” ๗. สำเหนียก​ว่า “เรา​กำหนด​รู้​กอง​ลมท​ งั้ ​ปวง หายใจ​ออก” ๘. สำเหนียก​ว่า “เรา​ระงับ​กายส​งั ขาร (ผ่อนลม) หายใจ​เข้า” ๙. สำเหนียก​วา่ “เรา​ระงับ​กายส​ังขาร (ผอ่ นลม) หายใจ​ออก” เปรยี บเหมือน ชา่ งก​ลงึ หรอื ​ลกู มอื ​ชา่ งก​ลึงผ​้ม​ู ี​ความ​ชำนาญ เมือ่ ช​ัก​ เชือกย​าว กร​็ ​ู้ชัดว​่า “เรา​ชักเ​ชือกย​าว” เมอ่ื ช​กั ​เชอื กส​้นั ก็​รู้​ชัดว​่า “เรา​ชัก​ เชือกส​น้ั ” ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ (เหน็ ล​มห​ ายใจเ​ขา้ ​

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 12 ออกข​องต​น) พิจารณา​เห็นก​ายใ​น​กายภ​ ายนอก​อยู่ (เหน็ ล​ม​หายใจ​เข้าอ​อก​ ของผ​ูอ้​น่ื ) หรือพ​ จิ ารณาเ​ห็น​กายใ​น​กายท​ ั้งภ​ ายใน​ท้ังภ​ ายนอกอ​ยู่ พจิ ารณา​ เหน็ ธ​รรมเ​ปน็ เ​หตเ​ุ กดิ (ของล​มห​ ายใจ)ในก​ายอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ธ​รรมเ​ปน็ เ​หต​ุ ดบั (ของล​มห​ายใจ)ในก​ายอ​ยู่ หรอื พ​ จิ ารณาเ​หน็ ท​งั้ ธ​รรมเ​ปน็ เ​หตเ​ุ กดิ ท​ง้ั ธ​รรม​ เปน็ ​เหตุ​ดับ(ของล​ม​หายใจ)ใน​กาย​อยู่ หรือ​ว่า ม​​ีสติ​ปรากฏ​อยู่​เฉพาะห​ นา้ ​วา่ “กายม​อ​ี ย”ู่ ก​็เพียง​เพื่ออ​าศยั ​ เจริญญ​ าณ เจริญส​ต​ิเทา่ นนั้ ไมอ่​าศัย(ตณั หา​และท​ ฏิ ฐ)ิ อยู่ และไ​มย​่ ดึ ม​น่ั ​ถอื ​ มั่นอะไรๆ ในโ​ลก ๑.๒. อิรยิ าบถบรรพ หมวด​อิริยาบถ ๑. ภิกษุ​เม่ือเ​ดนิ ก็​รช้​ู ดั ว​า่ “เรา​เดนิ ” ๒. เมอื่ ย​ืน ก็​รู้ช​ัด​วา่ “เรา​ยนื ” ๓. เมื่อ​น่งั ก​ร็ ชู้​ัด​ว่า “เรา​นงั่ ” ๔. เ​มอ่ื น​อน ก็​รู​้ชัดว​า่ “เรา​นอน” เมอ่ื ​ดำรง​กายอ​ยโ​ู่ ดยอ​าก​าร​ใดๆ กร​็ ​ชู้ ดั ก​าย​ท​ด่ี ำรงอ​ย​โู่ ดยอ​า​กา​รนน้ั ๆ ดว้ ยว​ธิ น​ี ้ี ชอื่ ว​า่ พ​ จิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ (เหน็ อ​ริ ยิ าบถข​อง​ ตน) พิจารณา​เห็น​กาย​ใน​กาย​ภายนอก​อยู่ (เห็น​อิริยาบถ​ของ​ผู้​อื่น) หรือ​ พจิ ารณา​เห็น​กาย​ใน​กาย​ท้งั ​ภายใน​ทัง้ ​ภายนอก​อยู่ พจิ ารณา​เหน็ ​ธรรม​เปน็ ​ เหตุเ​กดิ ​ใน​กาย​อยู่ พจิ ารณา​เหน็ ​ธรรม​เป็นเ​หตุ​ดบั ใ​น​กายอ​ยู่ หรอื พ​ ิจารณา​ เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุเ​กิดท​ ง้ั ​ธรรม​เปน็ ​เหตดุ​ับ​ใน​กาย​อยู่ หรือ​วา่ ม​ีสติ​ปรากฏ​อยเ่​ู ฉพาะ​หน้า​วา่ “กายม​​อี ย”ู่ ก​เ็ พียงเ​พ่อื อ​าศัย​ เจริญ​ญาณ เจรญิ ส​ติ​เท่านนั้ ไมอ​่ าศยั (ตณั หา​และท​ ิฏฐิ)อยู่ และ​ไม​ย่ ึดม​ั่น​ถือ​ มนั่ อ​ะไรๆ ในโ​ลก

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 13 ๑.๓. สัมปชัญญบรรพ หมวดส​ัมปชญั ญะ ทำความ​รสู้ ึก​ตวั ใ​นก​าร​กา้ ว​ไป การ​ถอยก​ลับ ทำความ​รู้สกึ ต​ัวใ​นก​ารแ​ล​ดู การ​เหลยี วด​ู ทำความ​รู้สกึ ต​วั ​ใน​การ​ค​ู้เข้า การ​เหยยี ดอ​อก ทำความ​รู้สึกต​วั ใ​นก​ารค​รอง​สงั ฆาฏิ บาตร และจ​วี ร ทำความ​รสู้ กึ ต​ัว​ใน​การ​ฉนั การ​ด่มื การเ​คี้ยว การ​ลิ้ม ทำความ​ร้สู กึ ต​ัวใ​นก​าร​ถ่าย​อจุ จาระ​และป​ สั สาวะ ทำความ​รู้สกึ ​ตัวใ​น​การ​เดนิ การ​ยนื การ​นงั่ การ​นอน การต​น่ื การพ​ ดู การน​งิ่ ดว้ ยว​ธิ น​ี ้ี ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายใน๑อยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอก๒อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​กาย​ใน​กาย​ท้ัง​ภายใน​ทั้ง​ภายนอก​ อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เปน็ เ​หต​ุเกิดใ​น​กาย​อยู่ พจิ ารณา​เห็นธ​รรม​เปน็ เ​หตุ​ ดับ​ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​วา่ ม​​ีสต​ิปรากฏ​อยู่​เฉพาะ​หน้า​ว่า “กายม​ี​อย”ู่ ก​็เพียงเ​พอื่ อ​าศยั ​ เจรญิ ญ​ าณ เจรญิ ​สต​เิ ท่านัน้ ไม​อ่ าศยั (ตัณหาแ​ละ​ทิฏฐ)ิ อยู่ และไ​ม​่ยดึ ม​ั่น​ ถือ​มั่นอ​ะไรๆ ในโ​ลก ๑.๔. ปฏกิ ูลมนสกิ าร หมวดม​นสกิ ารวา่ เป็นปฏิกลู พิจารณา​เหน็ ก​าย​นี้ ตง้ั แตฝ่ า่ เทา้ ข​้ึน​ไป​เบอื้ งบ​ น ตัง้ แตป​่ ลาย​ผมล​ง​มา​ เบื้องล​่าง ม​ีหนัง​หมุ้ ​อยู่​โดย​รอบ เตม็ ​ไป​ดว้ ยส​่งิ ​ท่ี​ไมส่​ะอาด​ชนดิ ต​่างๆ วา่ “ใน​กายน​ี้ มี​ผม ขน เลบ็ ฟนั หนัง เนือ้ เอ็น กระดูก เยอ่ื ​ในก​ระดูก ไต

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 14 หวั ใจ ตับ พงั ผืด ม้าม ปอด ลำไสใ้ หญ่ ลำไส้เลก็ อาหาร​ใหม่ อาหาร​เกา่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มนั ​ขน้ น้ำตา เปลว​มัน น้ำลาย นำ้ มกู ไขข้อ มูตร” เหมือนถุง​ม​ปี าก ๒ ข้าง เต็มไ​ป​ด้วยธ​ญั พืชช​นิดต​่างๆ คอื ข้าว​สาลี ขา้ ว​เปลือก ถ่ัวเ​ขยี ว ถั่วเ​หลอื ง เมลด็ ​งา ข้าวสาร คนต​าด​ีเ​ปดิ ​ถงุ ​ยาว​นนั้ ​ ออก พิจารณา​เห็นว​่า “น้ี​เปน็ ข​้าว​สาลี นี้เ​ป็น​ขา้ ว​เปลอื ก นีเ้​ป็นถ​ั่วเ​ขียว น​ี้ เปน็ ถ​วั่ เ​หลอื ง นเ​้ี ปน็ เ​มลด็ ง​า นเ​้ี ปน็ ข​า้ วสาร” แมฉ​้ นั ใด ภกิ ษก​ุ ฉ​็ นั น​นั้ เ​หมอื น​ กนั พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายน​ต​้ี ง้ั แตฝ​่ า่ เทา้ ข​น้ึ ไ​ปเ​บอื้ งบ​น ตง้ั แตป​่ ลายผ​มล​งม​าเ​บอื้ ง​ ล่าง มหี​ นัง​ห้มุ ​อยโ​ู่ ดย​รอบ เต็ม​ไปด​้วยส​ง่ิ ​ท่ี​ไมส​่ ะอาดช​นิด​ตา่ งๆ วา่ “ใน​กายน​ี้ มี​ผม ขน เล็บ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เย่ือ​ในก​ระดกู ไต หวั ใจ ตบั พังผดื มา้ ม ปอด ลำไสใ้ หญ่ ลำไสเ้ ล็ก อาหารใ​หม่ อาหาร​เกา่ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงือ่ มนั ข​้น นำ้ ตา เปลว​มนั นำ้ ลาย นำ้ มกู ไขขอ้ มตู ร” ดว้ ยว​ธิ น​ี ้ี ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอยู่ หรือ​พิจารณา​เหน็ ก​าย​ในก​าย​ท้ัง​ภายใน​ทัง้ ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กายอ​ยู่ หรอื ​ว่า ม​ีสต​ิปรากฏ​อยู่​เฉพาะห​ นา้ ​ว่า “กายม​​อี ย”ู่ ก​็เพยี ง​เพอื่ อ​าศยั ​ เจริญญ​ าณ เจรญิ ​สต​ิเท่าน้ัน ไมอ่​าศัย(ตัณหา​และท​ ฏิ ฐ)ิ อยู่ และ​ไม่​ยึดม​่ัน​ถือ​ มนั่ อะไรๆ ใน​โลก

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 15 ๑.๕. ธ​าตมุ นสกิ าร หมวด​มนสิการวา่ เป็นธาตุ พิจารณา​เหน็ ​กายน​ีต้​ามท​ ่ี​ต้ังอ​ยู่ ตาม​ที​่ดำรง​อย่โู​ดยค​วาม​เปน็ ธ​าตว​ุ ่า “ในก​าย​นี้ มี​ธาตดุ​ิน ธาตนุ​ำ้ ธาตไ​ุ ฟ ธาตลุ​มอ​ยู”่ เหมือนคน​ฆ่า​โค​หรือ​ลูกมือ​ของ​คน​ฆ่า​โค​ผู้​มี​ความ​ชำนาญ ครั้น​ฆ่า​โค​ แลว้ แบง่ อ​วยั วะอ​อกเ​ปน็ ส​ว่ นๆ นง่ั อ​ยท​ู่ ห​่ี นทางใ​หญส​่ แ​่ี พรง่ แมฉ​้ นั ใด ภกิ ษ​ุ ก็​ฉนั ​น้ัน เหมอื น​กัน พจิ ารณา​เหน็ ก​าย​นี้ต​าม​ท​ี่ตัง้ ​อยู่ ตาม​ที​่ดำรง​อยู่ โดย​ ความ​เป็นธ​าต​ุวา่ “ใน​กาย​นี้ มี​ธาตุ​ดิน ธาตุ​น้ำ ธาต​ไุ ฟ ธาต​ุลม​อยู่” ดว้ ยว​ธิ น​ี ้ี ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรอื ​พจิ ารณา​เห็น​กายใ​น​กาย​ทั้งภ​ ายใน​ท้ัง​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กายอ​ยู่ หรอื ​พจิ ารณา​เหน็ ทั้งธ​รรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้งั ธ​รรม​เปน็ เ​หตด​ุ ับ​ใน​ กาย​อยู่ หรอื ​วา่ ม​ี​สต​ิปรากฏ​อยเู่​ฉพาะ​หนา้ ​วา่ “กายม​อี​ย”ู่ กเ็​พียง​เพ่ืออ​าศยั ​ เจรญิ ญ​ าณ เจรญิ ​สติ​เท่าน้ัน ไมอ​่ าศยั (ตัณหา​และท​ ิฏฐ)ิ อยู่ และไ​ม​่ยดึ ม​น่ั ​ ถอื ​มั่น อะไรๆ ใน​โลก ๑.๖. นวสีวถกิ า หมวดเห็นว่าเปน็ ดจุ ป​ ่าชา้ ๙ ๑. เหน็ ​ซากศพ​อัน​เขา​ทิง้ ​ไว้​ใน​ป่าช้า​ซึง่ ต​ายแ​ล้ว ๑ วัน ตายแ​ลว้ ๒ วนั หรอื ​ตาย​แล้ว ๓ วนั เป็น​ศพข​น้ึ อ​ืด ศพเ​ขยี ว​คล้ำ ศพ​มน​ี ำ้ เ​หลอื ง​เยิม้ แมฉ​้ นั ใด ภกิ ษน​ุ นั้ น​ำก​ายน​เ​้ี ขา้ ไปเ​ปรยี บเ​ทยี บใ​หเ​้ หน็ ว​า่ “ถงึ ก​ายน​ก​้ี ม​็ ส​ี ภาพ​ อย่างน​ัน้ ม​ีลักษณะ​อยา่ งน​น้ั ไม่​ล่วงพ​ น้ ค​วาม​เปน็ ​อย่าง​นั้นไ​ปไ​ด”้ ฉันน​้ัน ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรือ​พิจารณา​เห็นก​าย​ใน​กาย​ทงั้ ภ​ ายใน​ทั้ง​ภายนอกอ​ยู่

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 16 พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กาย​อยู่ หรือ​วา่ ม​​ีสติ​ปรากฏ​อย่​ูเฉพาะ​หนา้ ​วา่ “กายม​​ีอย่”ู ก​็เพยี งเ​พอ่ื อ​าศยั ​ เจรญิ ญ​ าณ เจริญ​สต​ิเทา่ นั้น ไมอ​่ าศยั (ตัณหา​และท​ ิฏฐิ)อยู่ และไ​มย​่ ดึ ม​่ัน​ถอื ​ มัน่ อะไรๆ ใน​โลก ๒. เ​หน็ ซ​ากศพอ​นั เ​ขาท​งิ้ ไ​วใ​้ นป​า่ ชา้ ซ​ง่ึ ถ​กู ก​าจ​กิ ก​นิ นกต​ะกรมุ จ​กิ ก​นิ แรง้ ท​ ้งึ ​กนิ สนุ ัข​กดั ก​นิ สุนขั ​จง้ิ จอก​กดั ​กนิ หรอื ​สตั ว์เ​ลก็ ๆ หลายช​นิดก​ดั ​กิน​ อยู่ แม​้ฉนั ใด ภิกษนุ​ั้นน​ำ​กายน​​้ีเข้าไป​เปรียบ เทยี บ​ใหเ้​ห็นว​่า “ถึง​กายน​​ี้ก็​ม​ี สภาพ​อย่าง​น้นั มี​ลกั ษณะอ​ย่าง​นั้น ไมล่​่วงพ​ ้นค​วาม​เป็น​อยา่ งน​น้ั ไ​ปไ​ด้” ฉัน​ นั้น ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กายภ​ ายนอกอ​ยู่ หรอื ​พิจารณา​เห็นก​าย​ในก​ายท​ ั้งภ​ ายใน​ทัง้ ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กาย​อยู่ หรอื ​วา่ ม​​ีสติ​ปรากฏ​อย​ู่เฉพาะห​ น้า​วา่ “กายม​​ีอยู่” ก็เ​พียงเ​พ่อื อ​าศยั ​ เจริญญ​ าณ เจรญิ ​สต​ิเทา่ นน้ั ไมอ่​าศยั (ตณั หา​และ​ทิฏฐิ)อยู่ และไ​ม​ย่ ดึ ม​่นั ​ถอื ​ ม่นั อะไรๆ ในโ​ลก ๓. เห็น​ซากศพ​อัน​เขา​ทิ้ง​ไว้​ใน​ป่าช้า เป็น​โครง​กระดูก​ยัง​มี​เน้ือ​และ​ เลือด มเ​ี อน็ ​รึง​รัด​อยู่ แม้ฉ​ันใด ภกิ ษ​ุน้ันน​ำ​กาย​น​ีเ้ ข้าไปเ​ปรยี บเ​ทียบ​ให้​เห็น​ ว่า “ถึง​กาย​นก้​ี ​ม็ ​ีสภาพ​อยา่ งน​น้ั มี​ลักษณะ​อยา่ งน​้ัน ไม่ล​่วง​พน้ ​ความ​เป็น​ อยา่ งน​น้ั ไ​ป​ได้” ฉนั ​น้ัน

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 17 ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กายภ​ ายนอกอ​ยู่ หรอื ​พจิ ารณา​เหน็ ​กายใ​นก​าย​ทง้ั ภ​ ายใน​ท้งั ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กายอ​ยู่ หรือ​วา่ มี​สติ​ปรากฏ​อยเ​ู่ ฉพาะห​ นา้ ​วา่ “กายม​ี​อย”ู่ ก​เ็ พียงเ​พื่ออ​าศัย​ เจรญิ ​ญาณ เจรญิ ​สต​ิเท่าน้นั ไม่​อาศยั (ตัณหา​และท​ ิฏฐ)ิ อยู่ และ​ไม่​ยดึ ม​ัน่ ​ ถอื ​ม่นั อะไรๆ ในโ​ลก ๔. เหน็ ซ​ากศพอ​นั เ​ขาท​ งิ้ ไ​วใ​้ นป​ า่ ชา้ เปน็ โ​ครงก​ระดกู ไ​มม่ เ​ี นอ้ื แตย​่ งั ​ มเี​ลอื ดเ​ปอื้ นเ​ปรอะ มเ​ี อ็นร​งึ ร​ดั อ​ยู่ แม​ฉ้ นั ใด ภิกษน​ุ ้นั น​ำก​ายน​เ​้ี ข้าไปเ​ปรียบ​ เทียบใ​ห้​เหน็ ​ว่า “ถงึ ​กายน​้​กี ม​็ ส​ี ภาพอ​ยา่ ง​น้ัน ม​ีลกั ษณะอ​ย่าง​น้ัน ไม่​ล่วง​พ้น​ ความ​เป็นอ​ย่าง​นน้ั ​ไปไ​ด”้ ฉนั ​น้ัน ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรือ​พจิ ารณา​เหน็ ​กาย​ในก​าย​ท้งั ภ​ ายใน​ทง้ั ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กาย​อยู่ หรือ​วา่ ม​ี​สติ​ปรากฏ​อยเู่​ฉพาะห​ น้า​ว่า “กาย​มี​อย”ู่ ก็​เพียงเ​พ่อื อ​าศัย​ เจรญิ ญ​ าณ เจรญิ ​สตเ​ิ ทา่ น้ัน ไม่​อาศยั (ตณั หาแ​ละท​ ฏิ ฐิ) อยู่ และไ​ม​่ยึดม​น่ั ​ ถือ​มน่ั อะไรๆ ในโ​ลก ๕. เหน็ ​ซากศพอ​นั เ​ขา​ทิง้ ไ​ว​้ใน​ปา่ ช้า เปน็ ​โครง​กระดกู ​ไม่มี​เลือด​และ​ เน้อื แต่​ยังม​​ีเอน็ ร​งึ ​รดั อ​ยู่ แมฉ้​ันใด ภกิ ษ​ุนน้ั ​นำ กาย​นเ้ี​ขา้ ไป​เปรียบเ​ทยี บ​ ให​้เห็นว​า่ “ถงึ ​กายน​ก้​ี ม็​ส​ี ภาพ​อยา่ ง​น้นั มล​ี ักษณะ​อย่างน​้นั ไม่​ลว่ ง​พ้น​ความ​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 18 เปน็ ​อยา่ งน​น้ั ไ​ปไ​ด้” ฉนั น​ั้น ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรือ​พจิ ารณา​เห็นก​าย​ในก​ายท​ ั้ง​ภายใน​ทงั้ ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พจิ ารณา เหน็ ​ท้ังธ​รรม​เปน็ ​เหตุเ​กดิ ​ท้ังธ​รรม​เปน็ เ​หตด​ุ บั ใ​น​ กายอ​ยู่ หรือ​ว่า ม​ี​สติ​ปรากฏ​อยูเ​่ ฉพาะ​หน้า​ว่า “กายม​​ีอยู”่ ก็​เพียงเ​พ่อื อ​าศัย​ เจรญิ ​ญาณ เจริญ​สตเ​ิ ท่าน้นั ไม​อ่ าศยั (ตัณหา​และ​ทฏิ ฐ)ิ อยู่ และ​ไม​่ยึดม​น่ั ​ ถือ​ม่นั อะไรๆ ใน​โลก ๖. เห็น​ซากศพ​อนั เ​ขา​ทิง้ ​ไวใ้​น​ปา่ ช้า เป็นโ​ครง​กระดูกไ​มม่ ​ีเอน็ ร​งึ ​รดั ​ แล้ว กระจยุ ก​ระจาย​ไปใ​นท​ ศิ ใ​หญ่ ทศิ ​เฉยี ง คอื กระดกู ม​ือ​อยท่​ู าง​ทศิ ​หนงึ่ กระดกู เ​ท้าอ​ยทู่​ าง​ทิศ​หน่ึง กระดูกแ​ขง้ อ​ยู่​ทางท​ ศิ ห​ น่ึง กระดกู ข​าอ​ยทู่​ าง​ทิศ​ หนง่ึ กระดกู ส​ะเอวอ​ยท​ู่ างท​ศิ ห​ นงึ่ กระดกู ห​ ลงั อ​ยท​ู่ างท​ศิ ห​ นงึ่ กระดกู ซ​โี่ ครง​ อย่​ทู างท​ ิศห​ นงึ่ กระดูกห​ น้าอก​อย่​ทู าง​ทศิ ​หนงึ่ กระดูกแ​ขน​อยท​ู่ าง​ทิศ​หนึง่ กระดูก​ไหล่​อยู่​ทาง​ทิศ​หน่ึง กระดูก​คอ​อยู่​ทาง​ทิศ​หน่ึง กระดูก​คาง​อยู่​ทาง​ ทศิ ​หนงึ่ กระดูกฟ​ นั ​อย​ทู่ างท​ ิศ​หน่ึง กะโหลกศ​ีรษะอ​ยท​ู่ าง​ทิศห​ นึ่ง แมฉ​้ นั ใด ภิกษนุ​้นั น​ำ​กายน​เ​ี้ ข้าไป​เปรียบ​เทียบ​ให​้เห็น​ว่า “ถึงก​าย​นก​้ี ​ม็ ส​ี ภาพ​อยา่ ง​นัน้ ม​ลี ักษณะ​อยา่ งน​้นั ไม​่ล่วง​พน้ ค​วาม​เปน็ ​อยา่ งน​ัน้ ​ไป​ได้” ฉนั น​ั้น ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรอื ​พิจารณา​เหน็ ​กายใ​น​กายท​ ั้งภ​ ายใน​ทง้ั ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กายอ​ยู่

มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 19 หรอื ​ว่า ม​​ีสติ​ปรากฏ​อยู่​เฉพาะห​ น้า​ว่า “กายม​ีอ​ย”ู่ กเ​็ พยี ง​เพ่อื อ​าศยั ​ เจริญญ​ าณ เจรญิ ​สติเ​ทา่ น้ัน ไม่อ​าศัย (ตณั หา​และท​ ฏิ ฐิ) อยู่ และ​ไม่​ยึดม​น่ั ​ ถอื ม​ั่น อะไรๆ ในโ​ลก ๗. เ​หน็ ซ​ากศพอ​นั เ​ขาท​งิ้ ไ​วใ​้ นป​า่ ชา้ ซงึ่ เ​ปน็ ท​อ่ นก​ระดกู ส​ข​ี าวเ​หมอื น​ สส​ี ังข์ แม​้ฉนั ใด ภิกษ​นุ ้นั ​นำ​กายน​้ี​เขา้ ไป​เปรียบ​เทยี บ​ให​้เห็นว​า่ “ถงึ ​กายน​ี้​ ก็​มส​ี ภาพ​อยา่ งน​ั้น มล​ี กั ษณะอ​ย่าง​น้ัน ไมล​่ ว่ งพ​ น้ ค​วาม​เปน็ อ​ยา่ ง​นัน้ ไ​ป​ได้” ฉนั ​นน้ั ดว้ ยว​ธิ น​ี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรือ​พจิ ารณา​เหน็ ก​ายใ​นก​าย​ท้งั ​ภายใน​ท้งั ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กายอ​ยู่ หรอื ​ว่า ม​​ีสต​ิปรากฏ​อย่​ูเฉพาะห​ นา้ ​ว่า “กาย​มอี​ยู่” ก​็เพยี งเ​พือ่ อ​าศยั ​ เจรญิ ญ​ าณ เจริญ​สต​ิเท่านน้ั ไมอ่​าศยั (ตัณหา​และ​ทฏิ ฐิ) อยู่ และไ​ม​่ยึดม​่ัน​ ถือม​่ัน อะไรๆ ใน​โลก ๘. เหน็ ซ​ากศพอ​นั เ​ขาท​ งิ้ ไ​วใ​้ นป​ า่ ชา้ ซงึ่ เ​ปน็ ท​ อ่ นก​ระดกู ก​องอ​ยด​ู่ ว้ ย​ กัน​เกนิ ​กวา่ ๑ ปี แม้ฉ​ันใด ภิกษ​ุน้นั น​ำ​กายน​เ้ี​ขา้ ไปเ​ปรียบเ​ทียบใ​ห้​เห็นว​่า “ถงึ ​กายน​ี้​ก​็มสี​ภาพ​อยา่ ง​น้นั มล​ี กั ษณะ​อยา่ งน​ั้น ไม​่ลว่ งพ​ ้น​ความ​เปน็ อ​ยา่ ง​ น้นั ​ไปไ​ด้” ฉนั ​นัน้ ดว้ ยว​ธิ น​ี ้ี ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรือ​พจิ ารณา​เหน็ ก​าย​ในก​าย​ทัง้ ภ​ ายใน​ทง้ั ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 20 กายอ​ยู่ หรือ​ว่า ม​​ีสติ​ปรากฏ​อยู่​เฉพาะ​หน้า​ว่า “กายม​ีอ​ยู”่ ก​เ็ พยี ง​เพอื่ อ​าศยั ​ เจริญญ​ าณ เจริญ​สตเิ​ทา่ นนั้ ไม​อ่ าศัย (ตณั หา​และ​ทิฏฐิ) อยู่ และ​ไม่​ยดึ ม​นั่ ​ ถอื ม​่ัน อะไรๆ ในโ​ลก ๙. ​เหน็ ​ซากศพอ​ัน​เขาท​ ิ้งไ​ว้ใ​นป​ ่าช้า ซงึ่ เ​ป็นก​ระด​ูกผ​ุ​ปน่ เ​ป็น​ชิน้ เ​ลก็ ​ ชิ้น​น้อย แม​้ฉนั ใด ภกิ ษ​ุน้นั ​นำก​าย​นีเ​้ ขา้ ไป​เปรยี บ​เทียบใ​ห้ เหน็ ว​า่ “ถึงก​าย​ น้ี​ก็​มี​สภาพ​อย่าง​นั้น มี​ลักษณะ​อย่าง​น้ัน ไม่​ล่วง​พ้น​ความ​เป็น​อย่าง​น้ัน​ไป​ ได”้ ฉัน​น้นั ดว้ ยว​ธิ น​ี ้ี ชอื่ วา่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​ายใ​นก​ายภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ก​าย​ ใน​กาย​ภายนอกอ​ยู่ หรอื ​พจิ ารณา​เห็นก​ายใ​น​กาย​ทัง้ ​ภายใน​ทง้ั ​ภายนอกอ​ยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ใน​กาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ ใน​กาย​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ กาย​อยู่ หรอื ​ว่า ม​​ีสต​ิปรากฏ​อยูเ​่ ฉพาะห​ น้า​วา่ “กาย​มอ​ี ยู่” ก​เ็ พยี งเ​พ่อื อ​าศัย​ เจรญิ ญ​ าณ เจรญิ ​สตเ​ิ ท่านัน้ ไม่อ​าศยั (ตณั หา​และ​ทิฏฐ)ิ อยู่ และ​ไม่​ยดึ ม​่นั ​ ถือ​มน่ั อะไรๆ ใน​โลก กา​ยาน​​ุปสั ​สนา จบ ๒. เวท​นาน​ ป​ุ สั ส​นา การ​พจิ ารณา​เวทนา พจิ ารณา​เห็น​เวทนา​ในเ​วทนา​ท้งั ​หลายอ​ยู่ อย่างนี้ เมื่อ​เสวย​สุขเ​วทนา ก็ร​​ู้ชัดว​า่ “เรา​เสวยส​ุขเ​วทนา”

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 21 เม่อื ​เสวย​ทกุ ขเวทนา ก็​รช​ู้ ัด​วา่ “เรา​เสวยท​ กุ ขเวทนา” เมอ่ื ​เสวย​อท​ ุก​ขมส​ขุ ​เวทนา ก็​ร​ชู้ ัด​วา่ “เรา​เสวยอ​​ทุก​ขมส​ุขเ​วทนา” เมื่อ​เสวย​สุข​เวทนา​ที่​มี​อามิส ก็​รู้​ชัด​ว่า “เรา​เสวย​สุข​เวทนา​ที่​มี​ อามสิ ” เม่ือเ​สวย​สุขเ​วทนา​ที่​ไมม่ ​ีอามสิ ก​็ร​ู้ชดั ว​่า “เรา​เสวยส​ุข​เวทนาท​ ไ่​ี ม่ม​ี อามิส” เม่ือ​เสวย​ทุกขเวทนา​ท่ี​มี​อามิส ก็​รู้​ชัด​ว่า “เรา​เสวย​ทุกขเวทนา​ท่ี​มี​ อามสิ ” เมื่อ​เสวย​ทุกขเวทนา​ท่ี​ไม่มี​อามิส ก็​รู้​ชัด​ว่า “เรา​เสวย​ทุกขเวทนา​ท่ี​ ไม่ม​ีอามิส” เมอ่ื ​เสวย​อท​ ุก​ขมส​ุขเ​วทนา​ทม่ี​ี​อามสิ ก็​ร​ู้ชัดว​่า “เรา​เสวยอ​​ทกุ ​ขม​สุข​ เวทนา​ทมี่​ อี​ ามิส” เมื่อ​เสวย​อ​ทุก​ขม​สุข​เวทนา​ที่​ไม่มี​อามิส ก็​รู้​ชัด​ว่า “เรา​เสวย​อ​ทุก​ข- มส​ขุ เ​วทนา​ท​ไี่ มม่ ​ีอามิส” ด้วย​วิธี​น้ี ช่ือว่าพิจารณา​เห็น​เวทนา​ใน​เวทนา​ท้ัง​หลาย​ภายในอยู่ พจิ ารณาเ​หน็ เ​วทนาใ​นเ​วทนาท​งั้ ห​ ลายภ​ายนอกอยู่ หรอื พ​ จิ ารณาเ​หน็ เ​วทนา​ ใน​เวทนา​ท้ัง​หลาย​ทั้ง​ภายใน​ทั้ง​ภายนอก​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ เกิด​ใน​เวทนา​ท้งั ห​ ลายอ​ยู่ พจิ ารณาเ​ห็นธ​รรม​เปน็ ​เหตดุ​ับใ​น​เวทนาท​ ้ัง​หลาย​ อยู่ หรือพ​ ิจารณา​เหน็ ​ทงั้ ​ธรรม​เปน็ ​เหตเ​ุ กิด​ทัง้ ​ธรรม​เป็นเ​หตดุ​บั ใ​น​เวทนาท​ ้งั ​ หลาย​อยู่ หรอื ว​า่ ม​ส​ี ตป​ิ รากฏอ​ยเ​ู่ ฉพาะห​ นา้ ว​า่ “เวทนาม​อ​ี ย”ู่ กเ​็ พยี งเ​พอ่ื อ​าศยั ​ เจริญญ​ าณ เจริญ​สตเิ​ท่าน้นั ไมอ่​าศัย (ตัณหาแ​ละท​ ฏิ ฐ)ิ อยู่ และ​ไม​่ยึดม​ั่น​ ถือ​ม่ัน อะไรๆ ในโ​ลก

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 22 ๓. จติ ต​าน​ ปุ​ สั ส​นา การ​พจิ ารณาจ​ิต พิจารณา​เหน็ จ​ติ ใ​นจ​ติ ​อยู่ อยา่ ง​นี้ จิต​มร​ี าคะ ก​็รู้​ชัดว​่า “จติ ม​​รี าคะ” จติ ​ปราศจาก​ราคะ ก​็ร​ู้ชดั ว​า่ “จติ ​ปราศจาก​ราคะ” จติ ​มโี​ทสะ ก็​รู้​ชดั ว​า่ “จิตม​ีโ​ทสะ” จติ ​ปราศจาก​โทสะ กร็​ู้​ชดั ว​า่ “จติ ป​ ราศจากโ​ทสะ” จิต​มโ​ี มหะ ก​็รู้​ชดั ​วา่ “จติ ม​ี​โมหะ” จิต​ปราศจากโ​มหะ กร​็ ​ู้ชดั ​วา่ “จิตป​ ราศจากโ​มหะ” จิต​หดหู่ ก็​รชู้​ดั ​ว่า “จติ ​หดห่”ู จิต​ฟ้งุ ซ่าน ก็​รช​ู้ ัด​ว่า “จติ ฟ​ งุ้ ซ่าน” จติ ​เปน็ ม​หคั ค​ตะ ก็​รู้​ชัด​ว่า “จติ ​เป็นม​หัคค​ตะ” จิต​ไม่​เปน็ ม​หัคค​ตะ กร็​ู้​ชดั ว​า่ “จิตไ​ม​เ่ ป็น​มหคั ค​ตะ” จติ ​มจี​ิต​อื่น​ยง่ิ ก​ว่า ก็​รช​ู้ ัด​วา่ “จิตม​ี​จติ ​อน่ื ย​่ิง​กวา่ ” จติ ​ไม่มี​จติ ​อื่น​ยง่ิ ก​วา่ กร็​ู้ช​ัดว​า่ “จติ ไ​ม่ม​ีจติ อ​น่ื ​ยง่ิ ก​วา่ ” จิต​เป็นส​มาธิ ก็​รู้ช​ดั ​วา่ “จติ ​เป็นส​มาธิ” จติ ไ​ม​่เปน็ ส​มาธิ ก​็รช​ู้ ัด​ว่า “จิตไ​ม​่เปน็ ​สมาธ”ิ จิต​หลุด​พ้นแ​ล้ว ก​ร็ ​ชู้ ดั ว​า่ “จติ ​หลุด​พน้ ​แลว้ ” จติ ไ​ม​่หลดุ ​พ้น กร็​ช​ู้ ดั ​วา่ “จติ ​ไม่​หลดุ ​พน้ ” ดว้ ยว​ธิ น​ี ้ี ภกิ ษพ​ุ จิ ารณาเ​หน็ จ​ติ ใ​นจ​ติ ภ​ายในอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ จ​ติ ใ​นจ​ติ ภายนอกอ​ยู่ หรือพ​ จิ ารณา​เห็น​จิต​ใน​จติ ​ทง้ั ภ​ ายในท​ ัง้ ภ​ ายนอกอ​ยู่ พิจารณา​ เหน็ ธ​รรมเ​ปน็ เ​หตเ​ุ กดิ ใ​นจ​ติ อ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ธ​รรมเ​ปน็ เ​หตด​ุ บั ใ​นจ​ติ อ​ยู่ หรอื ​ พจิ ารณา​เห็น ทัง้ ​ธรรม​เป็น​เหต​ุเกดิ ​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตดุ​บั ​ใน​จติ อ​ยู่

มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 23 หรือว​่า ภิกษนุ​ั้นม​ี​สตป​ิ รากฏอ​ยเู่​ฉพาะห​ น้าว​่า “จิตม​ีอ​ย”ู่ ก​เ็ พยี งเ​พื่อ​ อาศยั เจริญ​ญาณ เจรญิ ส​ต​ิเท่านน้ั ไม​อ่ าศัย (ตัณหาแ​ละ​ทิฏฐ)ิ อยู่ และไ​ม่​ ยดึ ม​น่ั ​ถอื ​มนั่ อะไรๆ ในโ​ลก ๔. ธัมม​ า​นุป​ ัส​สนา การ​พจิ ารณา​ธรรม ๔.๑. หมวดน​วิ รณ์ พจิ ารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ท้งั ​หลาย​ คอื นวิ รณ์ ๕ อยู่ อย่าง​น้ี ๑. เมอื่ ก​ามฉ​นั ทะ (ความพ​ อใจใ​นก​าม) ภายในม​อ​ี ยู่ กร​็ ช​ู้ ดั ว​า่ “กาม​ ฉันทะ​ภายใน​ของ​เรา​มี​อยู่” หรือ​เมื่อ​กาม​ฉันทะ​ภายใน ไม่มี​อยู่ ก็​รู้​ชัด​ว่า “กามฉ​นั ทะ​ภายในข​อง​เรา​ไม่ม​ีอย่”ู การ​เกิด​ขึน้ แห่ง​กามฉ​นั ทะ​ทย่​ี งั ไ​ม่​เกิด​ ข้ึน​มี​ได้​ด้วย​เหตุ​ใด ก็​รู้​ชัด​เหตุ​น้ัน การ​ละ​กาม​ฉันทะ​ที่​เกิด​ขึ้น​แล้ว​มี​ได้​ด้วย​ เหต​ใุ ด กร​็ ู​้ชดั เ​หตน​ุ น้ั และก​าม​ฉันทะ​ท่​ีละ​ได​้แล้ว จะ​ไม่เ​กดิ ​ขึ้นต​อ่ ​ไป​อีกด​ว้ ย​ เหตใุ​ด กร​็ ช​ู้ ดั เหตน​ุ น้ั ๒. เมื่อ​พยาบาท (ความ​คิด​ร้าย) ภายในม​ี​อยู่ ก​็ร​้ชู ัด​ว่า “พยาบาท​ ภายในข​องเ​รา​ม​ีอย่”ู หรอื ​เม่ือ​พยาบาท​ภายใน​ไมม่ ​ีอยู่ กร็​ช​ู้ ัด​วา่ “พยาบาท​ ภายในข​องเ​ราไ​มม่ อ​ี ย”ู่ การเ​กดิ ข​นึ้ แ​หง่ พ​ ยาบาทท​ ย​ี่ งั ไ​มเ​่ กดิ ข​น้ึ ม​ไ​ี ดด​้ ว้ ยเ​หต​ุ ใด ก็​รู้ช​ัด​เหตน​ุ ัน้ การล​ะพ​ ยาบาทท​ ี่ เกิด​ขนึ้ ​แลว้ ม​ไ​ี ด้​ด้วยเ​หตใุ​ด กร็​​ู้ชดั เ​หต​ุ น้นั และพ​ ยาบาท​ทล่ี​ะ ได​้แลว้ จะไ​มเ่​กิดข​ึ้น​ต่อ​ไปอ​กี ด​ว้ ย​เหตใุ​ด ก​ร็ ช​ู้ ัดเ​หตุ​ นน้ั ๓. เมือ่ ถ​นี ​มทิ ธะ (ความ​หดหแ​ู่ ละเ​ซอื่ ง​ซึม) ภายใน​มี​อยู่ ก็​ร​ชู้ ดั ว​า่ “ถนี ​มทิ ธะภ​ ายในข​อง​เรา​มอ​ี ยู่” หรอื เ​ม่ือ​ถีน​มิทธะภ​ ายใน​ไม่มี​อยู่ ก​ร็ ช​ู้ ัดว​่า

มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 24 “ถีน​มทิ ธะภ​ ายในข​อง​เรา​ไม่ม​ีอย”ู่ การ​เกิดข​้นึ แ​หง่ ถีน​มิทธะ​ทย​่ี งั ไ​ม่​เกดิ ​ขึน้ ​ มีไ​ด้​ดว้ ย​เหตใุ​ด กร็​ู้ช​ดั ​เหต​นุ ้ัน การล​ะ ถนี ​มิทธะ​ทเ​ี่ กดิ ข​นึ้ แ​ล้ว​ม​ไี ดด้​้วยเ​หตุ​ ใด ก็​รชู้​ัดเ​หต​นุ นั้ และ ถีนม​ทิ ธะท​ ​่ีละไ​ด​้แลว้ จะไ​ม่​เกิดข​ึน้ ต​อ่ ​ไป​อีกด​ว้ ย​เหต​ุ ใด กร​็ ู้​ชดั เหตน​ุ ัน้ ๔. เมอ่ื อ​ทุ ธจั จ​กก​ุ กจุ จ​ะ(ความฟ​ งุ้ ซา่ นแ​ละร​อ้ นใ​จ)ภายในม​อ​ี ยู่ กร​็ ช​ู้ ดั ​ ว่า “อุทธจั จ​กก​ุ กุจจ​ะ​ภายในข​อง​เรา​มอ​ี ยู่” หรอื ​เม่อื อ​ทุ ธจั จ​ก​ุกกจุ ​จะภ​ ายใน​ ไม่ม​ีอยู่ ก็​ร​ชู้ ัดว​่า “อุทธจั ​จก​ุกกจุ จ​ะ​ภายในข​อง​เราไ​ม่ม​ีอย่”ู การ​เกดิ ข​ึน้ ​แหง่ ​ อทุ ธจั จ​กุ​กกุจจ​ะ​ทยี​่ ัง​ไมเ​่ กดิ ​ข้ึน​มไ​ี ดด้​ว้ ยเ​หตุ​ใด กร็​​ูช้ ัดเ​หตนุ​น้ั การ​ละอ​ุทธจั ​ จกุ​กกุจจ​ะ​ทเ​่ี กิดข​้ึน​แล้วม​ไี​ด​้ด้วย เหต​ุใด ก​็รู​ช้ ดั เ​หตน​ุ ้นั และอ​ุทธัจจ​ก​ุกกุจ​จะ​ ที่​ละไ​ด้แ​ล้ว จะไ​มเ​่ กดิ ​ขนึ้ ต​่อไ​ป​อกี ​ด้วยเ​หต​ใุ ด กร​็ ู้​ชดั เ​หตน​ุ ้นั ๕. เมอ่ื ว​จิ กิ จิ ฉา (ความล​งั เลส​งสยั ) ภายในม​อ​ี ยู่ กร​็ ช​ู้ ดั ว​า่ “วจิ กิ จิ ฉา ภายใน​ของเ​รา​มี​อย่”ู หรือ​เมื่อว​ิจกิ ิจฉา​ภายใน​ไม่มี​อยู่ ก็​รช​ู้ ัด​วา่ “วิจิกจิ ฉา​ ภายในข​องเ​รา​ไม่มี​อย”ู่ การ​เกดิ ​ขน้ึ ​แหง่ ว​ิจกิ จิ ฉา​ทยี่​ังไ​ม่เ​กดิ ข​นึ้ ม​ี​ไดด้​ว้ ยเ​หตุ​ ใด ก​็รช้​ู ดั ​เหต​ุน้ัน การ​ละว​จิ ิกจิ ฉา​ท​่ีเกดิ ข​ึ้น แล้ว​มี​ได​้ด้วยเ​หตใุ​ด ก็ร​​ู้ชัดเ​หตุ​ นน้ั และว​ิจิกิจฉาท​ ล่​ี ะไ​ด​้แลว้ จะ​ไมเ​่ กิดข​้นึ ต​่อ​ไปอ​กี ด​ว้ ย​เหตใ​ุ ด ก็​ร้​ชู ัดเ​หตุ​ นนั้ ด้วย​วิธี​น้ี ช่ือ​ว่า​พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ภายใน​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​ภายนอก​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ธรรม​ ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​ทั้ง​ภายใน ทั้ง​ภายนอก​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ เกิด​ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​ อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ทั้ง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ทั้ง​ธรรม เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ธรรม​ ท้ัง​หลายอ​ยู่ หรอื ว​า่ ม​ส​ี ตป​ิ รากฏอ​ยเ​ู่ ฉพาะห​ นา้ ว​า่ “ธรรมม​อ​ี ย”ู่ กเ​็ พยี งเ​พอื่ อ​าศยั ​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 25 เจริญ​ญาณ เจรญิ ​สต​ิเท่านั้น ไม​่อาศยั (ตัณหาแ​ละท​ ฏิ ฐิ) อยู่ และ​ไม่​ยึดม​่ัน​ ถอื ม​่ัน อะไรๆ ใน​โลก ๔.๒. หมวดข​นั ธ์ อีกป​ ระการ​หนงึ่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรมทั้ง​หลาย คือ อุปาทาน​ ขันธ์ ๕ อยู่ อย่างนวี้ า่ ๑. รูป​เป็น​อย่าง​นี้ ความ​เกิด​แห่ง​รูป​เป็น​อย่าง​นี้ ความ​ดับ​แห่ง​รูป​ เป็น​อย่างน​ ้ี ๒. เวทนา​เป็น​อยา่ ง​นี้ ความ​เกิด​แห่ง​เวทนา​เปน็ ​อยา่ ง​น้ี ความ​ดบั ​ แห่งเ​วทนา​เป็น​อยา่ งน​้ี ๓. สัญญา​เป็นอ​ยา่ ง​น้ี ความ​เกิด​แห่ง​สญั ญา​เป็น​อย่างน​้ี ความ​ดบั ​ แหง่ ส​ญั ญาเ​ปน็ ​อยา่ งน​้ี ๔. สังขาร​เป็น​อย่าง​นี้ ความ​เกิด​แห่ง​สังขาร​เป็น​อย่าง​นี้ ความ​ดับ​ แหง่ ส​งั ขาร​เป็นอ​ยา่ งน​้ี ๕. วญิ ญาณเ​ป็นอ​ย่างน​ี้ ความ​เกดิ ​แห่ง​วิญญาณ​เป็นอ​ยา่ ง​นี้ ความ​ ดับ​แหง่ ​วิญญาณเ​ปน็ ​อย่างน​ี้ ด้วย​วิธี​น้ี ช่ือ​ว่า​พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​ภายใน​อยู่ พิจารณา​เหน็ ​ธรรม​ในธ​รรม​ทั้ง​หลายภ​ ายนอก๒อยู่ หรอื พ​ จิ ารณา​เห็น​ธรรม​ ในธ​รรมท​ง้ั ห​ลายท​งั้ ภ​ายในท​ง้ั ภ​ายนอกอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ธ​รรมเ​ปน็ เ​หตเ​ุ กดิ ใ​น​ ธรรม​ท้ังห​ ลาย​อยู่ พจิ ารณา​เห็น​ธรรม​เปน็ ​เหตดุ​ับใ​น​ธรรม​ท้ัง​หลายอ​ยู่ หรอื ​ พจิ ารณา​เหน็ ​ทัง้ ​ธรรม​เปน็ ​เหตุ​เกดิ ​ท้งั ธ​รรม​เปน็ ​เหตด​ุ บั ​ใน​ธรรม​ทั้งห​ ลายอ​ยู่ หรอื ว​า่ มส​ี ตป​ิ รากฏอ​ยเ​ู่ ฉพาะห​ นา้ ว​า่ “ธรรมม​อ​ี ย”ู่ กเ​็ พยี งเ​พอ่ื อ​าศยั ​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 26 เจรญิ ญ​ าณ เจริญ​สต​ิเทา่ นั้น ไม่​อาศัย (ตัณหาแ​ละท​ ิฏฐิ) อยู่ และไ​ม่​ยึดม​ั่น​ ถอื ​มัน่ อ​ะไรๆ ในโ​ลก ๔.๓. หมวดอ​ายตนะ อีก​ประการ​หน่ึง ภิกษุ​พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม ทั้ง​หลาย คือ อายตนะภ​ ายใน ๖ และอ​ายตนะ​ภายนอก ๖ อยู่ ภกิ ษพ​ุ จิ ารณาเ​หน็ ธ​รรมใ​นธ​รรมท​ง้ั ห​ ลาย คอื อายตนะภ​ายใน ๖ และ อายตนะภ​ ายนอก ๖ อยู่ อยา่ งไร คอื ภกิ ษ​ุใน​ธรรม​วนิ ยั น​ี้ ๑. ร​ู้ชัด​ตา ร​ู้ชดั ​รปู สงั โยชนใ​์ ด​อาศัย​ตา​และ​รูปท​ ัง้ ​สอง​น้นั เ​กดิ ​ขน้ึ ก​็ รู​ช้ ัด​สังโยชน์​นั้น การ​เกิด​ขน้ึ ​แห่งส​งั โยชนท์​ ี​่ยงั ​ไม่​เกิดข​ึ้น​มไี​ด้​ดว้ ย​เหตใ​ุ ด ก็​ร​ู้ ชัดเ​หต​ุนั้น การล​ะ​สงั โยชนท​์ ่ี​เกดิ ​ขึ้นแ​ล้วม​ีไ​ด้ด​้วย​เหตใุ​ด ก็​ร​ูช้ ัดเ​หตน​ุ นั้ และ​ สงั โยชนท์​ ​ี่ละไ​ด้​แลว้ ​จะ​ไมเ​่ กิด​ขึน้ ​ตอ่ ​ไปอ​กี มี​ได้​ดว้ ยเ​หตใุ​ด ก​็ร้​ูชดั ​เหตน​ุ นั้ ๒. ร​ู้ชดั ​หู รู​้ชัดเ​สยี ง สงั โยชนใ​์ ดอ​าศยั ​หู​และเ​สียงท​ ้ัง​สองน​ั้นเ​กดิ ข​น้ึ กร​็ ู​้ชดั ส​ังโยชน์​นัน้ การเ​กิด​ขนึ้ ​แหง่ ​สงั โยชนท​์ ​ี่ยงั ไ​มเ่​กดิ ​ข้นึ ​มีไ​ด​้ด้วย​เหตใุ​ด กร​็ ู้​ ชัด​เหตน​ุ ้ัน การ​ละส​ังโยชนท์​ ี่​เกดิ ​ขึน้ แ​ลว้ ม​ไ​ี ดด​้ ว้ ย​เหตใ​ุ ด ก็​รูช​้ ดั เ​หตน​ุ ้ัน และ​ สังโยชนท​์ ี่ล​ะไ​ด​้แล้วจ​ะ​ไมเ่​กดิ ​ขึน้ ​ต่อไ​ปอ​กี มี​ไดด้​ว้ ยเ​หตใ​ุ ด ก็​ร้​ชู ัด​เหตนุ​ั้น ๓. รู้​ชัด​จมูก รู้​ชัด​กล่ิน สังโยชน์​ใด​อาศัย​จมูก​และ​กล่ิน​ท้ัง​สอง​น้ัน เกดิ ข​นึ้ ก​ร็ ู้​ชัด​สงั โยชน​์นัน้ การเ​กิด​ขน้ึ แ​ห่งส​งั โยชนท์​ ่​ียงั ไ​ม่ เกดิ ​ขน้ึ มี​ได้​ด้วย​ เหตุ​ใด กร​็ ู้​ชัดเ​หตุ​นัน้ การล​ะส​งั โยชนท​์ ี่​เกิด ขึ้นแ​ล้ว มี​ไดด​้ ว้ ยเ​หต​ใุ ด ก​ร็ ู้​ชดั ​ เหตุน​ั้น และ​สังโยชนท์​ ​ี่ละไ​ด้​แล้ว จะไ​มเ​่ กิดข​้นึ ​ตอ่ ไ​ปอ​กี ม​ีได้ด​้วย​เหตใุ​ด กร​็ ู้​ ชดั ​เหตุ​นน้ั ๔. ร​ู้ชัด​ล้ิน รู​ช้ ัด​รส สังโยชนใ​์ ด​อาศยั ​ลิ้นแ​ละ​รสท​ ั้งส​อง​น้นั เ​กดิ ข​ึน้ ก​็ ร​ู้ชดั ส​งั โยชน​์นนั้ การ​เกิด​ขน้ึ ​แห่งส​งั โยชนท์​ ​่ียงั ไ​ม่เ​กดิ ข​นึ้ ​ม​ไี ด้​ด้วย​เหตใ​ุ ด ก​็รู้​

มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 27 ชดั เ​หตุน​ั้น การ​ละส​ังโยชนท​์ เ​่ี กดิ ​ขึน้ ​แลว้ ม​ีไ​ดด้​้วย​เหตใ​ุ ด ก​็รู้​ชัดเ​หตน​ุ ้ัน และ​ สังโยชนท​์ ีล่​ะ​ได้แ​ลว้ ​จะไ​มเ​่ กดิ ​ขนึ้ ต​อ่ ไ​ป​อกี มี​ไดด้​้วยเ​หตใุ​ด ก​็ร​ูช้ ัด​เหตนุ​้ัน ๕. รช​ู้ ดั ก​าย รช​ู้ ดั โ​ผฏฐพั พะ สงั โยชนใ​์ ดอ​าศยั ก​ายแ​ละโ​ผฏฐพั พะ ทง้ั ​ สองน​ัน้ ​เกิดข​้ึน กร็​​ู้ชดั ​สงั โยชนน์​ั้น การ​เกดิ ​ขนึ้ แ​ห่ง​สังโยชน​์ที่ย​งั ไ​ม่​เกดิ ข​น้ึ ม​​ไี ด้​ ด้วย​เหต​ุใด ก็​ร​้ชู ดั ​เหต​นุ ั้น การ​ละส​งั โยชน์ท​ ี​่เกิด​ขน้ึ แ​ลว้ ​ม​ีได้​ด้วยเ​หตใุ​ด ก​็รู้​ ชัดเ​หตน​ุ น้ั และส​งั โยชน​์ที​่ละ​ได​แ้ ลว้ จะ​ไมเ่​กดิ ​ขนึ้ ต​่อไ​ปอ​ีก มไ​ี ด​้ด้วยเ​หตใุ​ด ก​ร็ ู​้ชัด​เหต​ุน้ัน ๖. รู้​ชดั ใ​จ รชู้​ดั ธ​รรมารมณ์ สงั โยชนใ์​ดอ​าศัยใ​จแ​ละธ​รรมารมณ์ ทง้ั ​ สองน​น้ั ​เกิดข​ึ้น กร็​ู้​ชดั ส​ังโยชนน​์ ้ัน การเ​กดิ ​ข้นึ แ​หง่ ส​งั โยชนท​์ ่​ยี ังไ​ม​่เกิดข​้ึนม​​ไี ด​้ ด้วย​เหต​ใุ ด กร็​ู้​ชัดเ​หตุน​ั้น การ​ละส​งั โยชนท์​ ี่ เกดิ ข​ึ้นแ​ล้ว​ม​ไี ด​ด้ ว้ ย​เหตใ​ุ ด ก​็ รชู้​ัด​เหตนุ​ัน้ และส​งั โยชนท​์ ลี่​ะ ได้​แลว้ จ​ะไ​ม​่เกิด​ขึน้ ต​่อไ​ปอ​ีก มี​ได้ด​ว้ ยเ​หตใุ​ด ก็​ร้ชู​ัด​เหต​นุ ้นั ด้วย​วิธี​น้ี ภิกษุ​พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​ภายใน​อยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ธ​รรมใ​นธ​รรมท​ งั้ ห​ ลายภ​ายนอกอ​ยู่ หรอื พ​ จิ ารณาเ​หน็ ธ​รรมใ​น​ ธรรมท​ ง้ั ห​ ลาย ทง้ั ภ​ายในท​ งั้ ภ​ายนอกอ​ยู่ พจิ ารณาเ​หน็ ธ​รรมเ​ปน็ เ​หตเ​ุ กดิ ใ​น​ ธรรม​ท้ังห​ ลาย​อยู่ พจิ ารณา​เหน็ ​ธรรม​เป็น​เหตด​ุ ับ​ใน​ธรรมท​ ั้ง​หลายอ​ยู่ หรือ​ พจิ ารณา​เหน็ ​ท้งั ธ​รรม​เปน็ ​เหต​ุเกิด​ทัง้ ​ธรรม​เป็น​เหตด​ุ บั ​ใน​ธรรม​ทัง้ ​หลาย​อยู่ หรอื ​ว่า ภกิ ษุน​นั้ ​มสี​ต​ิปรากฏ​อยู่เ​ฉพาะ​หน้าว​่า “ธรรม​มี​อยู่” กเ็​พยี ง​ เพ่ือ​อาศัยเ​จรญิ ​ญาณ เจรญิ ส​ติ​เท่านั้น ไม่​อาศัย (ตณั หาแ​ละท​ ฏิ ฐ)ิ อยู่ และ​ ไม่ย​ดึ ม​นั่ ​ถือม​นั่ อะไรๆ ใน​โลก ๔.๔. หมวด​โพชฌงค์ พจิ ารณา​เห็นธ​รรม​ใน​ธรรมทง้ั ​หลาย คือ โพชฌงค์ ๗ อยู่อย่างนี้

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 28 ๑. เมอ่ื ส​ตส​ิ มั โ​พชฌงคภ​์ ายในม​อ​ี ยู่ กร​็ ช​ู้ ดั ว​า่ “สตส​ิ มั โ​พชฌงคภ​์ ายใน​ ของเ​รา​ม​ีอย”ู่ หรอื ​เม่อื ส​ติ​สมั โ​พชฌงคภ​์ ายใน​ไม่มี​อยู่ ก​็รู้ ชดั ว​่า “สตส​ิ มั ​ โพชฌงค์​ภายใน​ของ​เรา​ไม่มี​อยู่” การ​เกิด​ข้ึน​แห่ง​สติ​สัม​โพชฌงค์​ท่ี​ยัง​ไม่​ เกิด​ขึ้น มี​ได้​ด้วย​เหต​ใุ ด ก​ร็ ู้​ชัด​เหต​ุนนั้ และค​วาม​เจริญบ​ ริบูรณแ์​หง่ ​สต​ิสมั ​ โพชฌงค์​ทเ่​ี กิดข​ึ้นแ​ลว้ มีไ​ด้​ดว้ ย​เหตใ​ุ ด กร​็ ​ู้ชดั ​เหตน​ุ ้นั ๒. เมื่อ​ธัมม​วิจยสัม​โพชฌงค์​ภายใน​มี​อยู่ ก็​รู้​ชัด​ว่า “ธัมม​วิจยสัม​ โพชฌงค์​ภายใน​ของเ​รา​ม​อี ยู่” หรอื ​เมอื่ ธ​ัมม​วิจยสมั โ​พชฌงค​์ภายในไ​ม่มี​อยู่ กร​็ ช​ู้ ดั ว​า่ “ธมั มว​จิ ยสมั โ​พชฌงคภ​์ ายในข​องเ​ราไ​มม่ อ​ี ย”ู่ การเ​กดิ ข​น้ึ แ​หง่ ธ​มั ม​ วิจยสัม​โพชฌงค์​ท่ี​ยัง​ไม่​เกิด​ข้ึน มี​ได้​ด้วย​เหตุ​ใด ก็​รู้​ชัด​เหตุ​น้ัน และ​ความ​ เจริญ​บริบูรณ์​แห่ง​ธัมม​วิจยสัม​โพชฌงค์​ท่ี​เกิด​ขึ้น​แล้ว มี​ได้​ด้วย​เหตุ​ใด ก็​รู้​ ชัด เหตนุ​้นั ๓. เมอ่ื ว​ร​ิ ยิ สมั โ​พชฌงคภ​์ ายในม​อ​ี ยู่ กร​็ ช​ู้ ดั ว​า่ “วร​ิ ยิ สมั โ​พชฌงคภ​์ ายใน​ ของเ​ราม​​ีอยู่” หรอื ​เมอ่ื ​วร​ิ ยิ สมั ​โพชฌงคภ​์ ายในไ​มม่ ​ีอยู่ ก​็รู้ ชดั ว​่า “วริ​ิยสัม​ โพชฌงค์​ภายใน​ของ​เรา​ไม่มี​อยู่” การ​เกิด​ข้ึน​แห่ง​วิ​ริยสัม​โพชฌงค์​ท่ี​ยัง​ไม่​ เกิดข​ึน้ มี​ได​ด้ ว้ ยเ​หตใ​ุ ด ก​็รู​้ชัดเ​หต​นุ ัน้ และค​วาม​เจริญบ​ รบิ ูรณแ​์ ห่งว​​ริ ยิ สมั ​ โพชฌงค​ท์ เี่​กดิ ข​้ึน​แลว้ มีไ​ด้ด​ว้ ย​เหต​ุใด ก​ร็ ้​ูชดั เ​หตน​ุ น้ั ๔. เมื่อ​ปี​ติ​สัม​โพชฌงค์​ภายใน​มี​อยู่ ก็​รู้​ชัด​ว่า “ปี​ติ​สัม​โพชฌงค์​ ภายใน​ของเ​รา​มี​อยู”่ หรือ​เม่ือป​ ​ีตสิ​มั ​โพชฌงคภ์​ ายในไ​ม่ม​ีอยู่ ก็​รช้​ู ัดว​่า “ปตี​ิ​ สัม​โพชฌงค์​ภายใน​ของ​เรา​ไม่มี​อยู่” การ​เกิด​ข้ึน​แห่ง​ปี​ติ​สัม​โพชฌงค์​ที่​ยัง​ไม่​ เกดิ ข​ึ้น ม​ีไดด้​้วย​เหต​ุใด ก็ร​ชู้​ดั ​เหตน​ุ ั้น และค​วาม​เจรญิ บ​ ริบรู ณแ์​ห่งป​ ตี​​ิสัม​ โพชฌงค​ท์ เี่​กดิ ข​น้ึ ​แลว้ ม​ไี ด้​ด้วย​เหตใ​ุ ด ก็ร​ู้​ชดั เ​หตน​ุ ัน้ ๕. เม่ือ​ปัสสัทธิสัม​โพชฌงค์​ภายใน​มี​อยู่ ก็​รู้​ชัด​ว่า “ปัสสัทธิ-สัม​ โพชฌงค์​ภายใน​ของ​เรา​มี​อยู่” หรือ​เม่ือ​ปัสสัทธิสัม​โพชฌงค์​ภายใน​ไม่มี​อยู่

มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 29 ก็​รู้​ชัด​ว่า “ปัสสัทธิสัม​โพชฌงค์​ภายใน​ของ​เรา ไม่มี​อยู่” การ​เกิด​ข้ึน​แห่ง​ ปสั สทั ธสิ มั โ​พชฌงคท​์ ย​ี่ งั ไ​มเ​่ กดิ ข​นึ้ มไ​ี ดด​้ ว้ ยเ​หตใ​ุ ด กร​็ ช​ู้ ดั เ​หตน​ุ น้ั และค​วาม​ เจรญิ บ​ ริบรู ณแ​์ ห่งป​ สั สัทธิ-สมั โ​พชฌงคท์​ ่​ีเกิดข​้ึน​แล้ว มไ​ี ดด​้ ้วยเ​หตใุ​ด ก็ร​ชู้​ัด​ เหตนุ​ ้นั ๖. เม่อื ​สมาธิ​สมั โ​พชฌงคภ์​ ายในม​อี​ยู่ ก็​รช​ู้ ัด​วา่ “สมาธิ​สัมโ​พชฌงค​์ ภายใน​ของ​เรา​มี​อยู่” หรือ​เมื่อ​สมาธิ​สัม​โพชฌงค์​ภายใน​ไม่มี​อยู่ ก็​รู้​ชัด​ว่า “สมาธส​ิ มั โ​พชฌงคภ​์ ายในข​องเ​ราไ​มม่ อ​ี ย”ู่ การเ​กดิ ข​น้ึ แ​หง่ ส​มาธส​ิ มั โ​พชฌงค​์ ที่​ยงั ไ​มเ่​กิด​ขนึ้ มี​ไดด​้ ้วยเ​หตุ​ใด ก็​ร​ู้ชัด เหต​นุ นั้ และ​ความ​เจรญิ บ​ รบิ ูรณแ​์ หง่ ​ สมาธ​ิสัมโ​พชฌงค​์ท่​ีเกดิ ​ขึ้น​แล้ว มไี​ด​ด้ ้วยเ​หตใุ​ด ก​็รู​้ชดั เ​หตนุ​น้ั ๗. เมื่อ​อุเบกขา​สัม​โพชฌงค์​ภายใน​มี​อยู่ ก็​รู้​ชัด​ว่า “อุเบกขา-สัม​ โพชฌงค์​ภายใน​ของ​เรา​มี​อยู่” หรือ​เม่ือ​อุเบกขา​สัม​โพชฌงค์​ภายใน​ไม่มี​อยู่ ก็​รู้​ชัด​ว่า “อุเบกขา​สัม​โพชฌงค์​ภายใน​ของ​เรา​ไม่ มี​อยู่” การ​เกิด​ข้ึน​แห่​ งอุเบก​ขา​สัม​โพชฌงค์​ที่​ยัง​ไม่​เกิด​ข้ึน มี​ได้​ด้วย​เหตุ​ใด ก็​รู้​ชัด​เหตุ​น้ัน และ​ ความ​เจริญบ​ รบิ ูรณแ์​หง่ อ​เุ บกขา-สมั โ​พชฌงค์​ที่​เกิดข​น้ึ แ​ลว้ ม​ีได้ด​ว้ ยเ​หตใ​ุ ด กร​็ ช​ู้ ดั เ​หตุ​นัน้ ด้วย​วิธี​นี้ ช่ือ​ว่า​พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ภายใน​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​ภายนอก​อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ธรรม​ ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ทั้ง​ภายใน ท้ัง​ภายนอก​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ เกิด​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​ อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ทั้ง​ธรรม เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ธรรม​ ท้ัง​หลาย​อยู่ หรอื ​วา่ ภกิ ษุ​น้ันม​​ีสติ​ปรากฏ​อย่เู​ฉพาะห​ น้าว​่า “ธรรม​ม​อี ย”ู่ กเ็​พยี ง​ เพือ่ ​อาศัย เจริญญ​ าณ เจริญส​ต​ิเทา่ น้ัน ไมอ​่ าศยั (ตณั หาแ​ละท​ ฏิ ฐ)ิ อยู่

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 30 และไ​มย่​ึดม​ั่น​ถือม​นั่ ​อะไรๆ ใน​โลก ๔.๕. หมวดส​จั จะ พจิ ารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรมท้งั ​หลาย คือ อริยสจั ๔ อย่อู ย่างนี้ รู้​ชัด​ตาม​ความ​เปน็ ​จรงิ ​ว่า “นี้​ทกุ ข”์ ร​ู้ชดั ​ตาม​ความ​เป็นจ​รงิ ​วา่ “นี้​ทกุ ขสมุทยั ” รู้​ชดั ​ตาม​ความ​เป็นจ​รงิ ​ว่า “น​้ีทกุ ขนิโรธ” รู​้ชัด​ตาม​ความ​เป็นจ​ริง​วา่ “น้​ีทุกขนิโรธ​คาม​​ิน​ปี ฏปิ ทา” ทกุ ข​สจั จ​นิท​เทส ทกุ ขอ​รยิ สจั คอื ชาติ (ความเ​กดิ ) เปน็ ท​ กุ ข์ ชรา (ความแ​ก)่ เปน็ ท​ กุ ข์ มรณะ (ความ​ตาย) เป็น​ทุกข์ โสก​ะ (ความโ​ศก) ปรเ​ิ ทวะ (ความ​ครำ่ ครวญ) ทุกข์ (ความ​ทกุ ข​์กาย) โทมนัส (ความ​ทุกข​์ใจ) อุป​ ายาส (ความ​คบั แ​คน้ ​ใจ) เป็น​ทุกข์ การ​ประสบ​กับ​อารมณ์​อนั ไ​มเ่​ป็น​ที่รักเ​ปน็ ท​ กุ ข์ ความ​พลดั พราก​ จาก​อารมณ์​อัน​เป็น​ท่ีรัก​เป็น​ทุกข์ การ​ไม่​ได้​ส่ิง​ที่​ต้องการ​เป็น​ทุกข์ โดย​ย่อ อปุ าทาน​ขนั ธ์ ๕ เปน็ ​ทุกข์ ชาติ คอื ความ​เกิด ความ​เกดิ ​พร้อม ความ​หยัง่ ล​ง ความ​บงั เกดิ ความ​บงั เกดิ เฉพาะ ความ​ปรากฏ​แหง่ ข​ันธ์ ความ​ได​้อายตนะ ใน​หมู่ส​ตั ว์​ น้ันๆ ของ​เหล่า​สตั ว​์นัน้ ๆ ชรา คือ ความ​แก่ ความ​ครำ่ ​คร่า ความ​มฟ​ี นั ห​ ลุด ความ​ม​ีผม​หงอก ความ​มหี​ นัง​เหี่ยว​ย่น ความ​เสอื่ ม​อายุ ความ​แก่ห​ ง่อม​แห่ง​อนิ ทรยี ์ ใน​หมู​่ สตั ว​์น้ันๆ ของเ​หลา่ ​สัตว์​นั้นๆ มรณะ คอื ความ​จุติ ความเ​คลื่อน​ไป ความ​ทำลาย​ไป ความ​หาย​ไป

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 31 ความ​ตาย กล่าวค​อื ​มฤตยู การ​ทำ​กาล​ะ ความ​แตกแ​ห่ง​ขนั ธ์ ความ​ทอด​ ทง้ิ ​รา่ งกาย ความ ขาด​สญู ​แหง่ ช​​ีวต​ิ น​ิ ท​รยี ์ ใน​หม​ู่สตั วน​์ นั้ ๆ ของเ​หล่าส​ัตว​์ น้ันๆ โสกะ​ คอื ความ​เศรา้ ​โศก กิริยา​ท่ี​เศรา้ ​โศก ภาวะ​ที่​เศร้า​โศก ความ​ แหง้ ผ​ากภ​ายใน ความแ​หง้ ก​รอบภ​ายใน ของผ​ป​ู้ ระกอบด​ว้ ยค​วามเ​สอื่ มอ​ยา่ ง​ ใดอ​ยา่ ง​หนง่ึ (หรอื ) ผู​ท้ ​ถี่ กู ​เหตุ​แหง่ ท​ ุกข​์อยา่ งใ​ด​อยา่ งห​ นงึ่ ​กระทบ ปรเ​ิ ทวะ คือ ความ​รอ้ งไห้ ความ​คร่ำครวญ กิริยาท​ ่​ีรอ้ งไห้ กริ ิยาท​ ี่​ ครำ่ ครวญ ภาวะท​ ี่ รอ้ งไห้ ภาวะท​ค​่ี รำ่ ครวญ ของผ​ป​ู้ ระกอบด​ว้ ยค​วามเ​สอ่ื ม​ อยา่ ง​ใด​อย่างห​ นงึ่ (หรือ) ผ​ู้ทถ​่ี กู ​เหตุ​แห่ง​ทุกขอ​์ ย่างใ​ด​อยา่ ง​หนง่ึ ก​ระทบ ทุกข์ คอื ความ​ทกุ ข์​ทาง​กาย ความ​ไม่ส​ำราญ​ทาง​กาย ความ​เสวย​ อารมณ​์ทไี่​ม่ สำราญ เปน็ ​ทุกข์ อนั ​เกดิ ​จากก​าย​สัมผสั โทมนัส คือ ความ​ทุกข​์ทางใ​จ ความ​ไมส​่ ำราญ​ทางใ​จ ความ​เสวย​ อารมณ์​ทไ่ี​ม่​สำราญ​เปน็ ​ทกุ ขอ์​ัน​เกดิ ​จาก​มโนส​ัมผสั อปุ​ ายาส คอื ความ​แค้น ความ​คับ​แคน้ ภาวะ​ทแ​่ี ค้น ภาวะ​ที่​คับแ​ค้น ของผ​ป​ู้ ระกอบ ดว้ ยค​วามเ​สอื่ มอ​ยา่ งใ​ดอ​ยา่ งห​ นง่ึ (หรอื )ผท​ู้ ถ​่ี กู เ​หตแ​ุ หง่ ท​ กุ ข​์ อย่างใ​ด​อย่างห​ น่งึ ​กระทบ การป​ ระสบ​กบั ​อารมณ​์อนั ​ไมเ่​ปน็ ​ที่รกั ​เป็น​ทุกข์ คอื การไ​ป​รว่ ม การ​ มา​รว่ ม การ​ประชมุ ร​ว่ ม การ​อยู​ร่ ่วม​กบั ​อารมณ​์อันไ​ม่ เป็นท​ ี​ป่ รารถนา ไม่​ เป็น​ท่ีรัก​ใคร่ ไม่​เป็น​ที่​ชอบใจ​ของ​เขา​ใน​โลก​นี้ เช่น รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ หรือ​จาก​บคุ คล​ผปู้​ รารถนา​แต่ส​ิ่งท​ ี่ไ​มใ่ ช่​ประโยชน์ ปรารถนา​แต่​สิ่ง​ที่​ไม่​เก้ือกูล ปรารถนา​แต่​ส่ิง​ที่​ไม่​ผาสุก ปรารถนา​แต่​ส่ิง​ที่​ ไม่ม​ีความ​เกษม จากโ​ยคะข​อง​เขา

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 32 การ​พลัดพราก​จาก​อารมณ์​อัน​เป็น​ที่รัก​เป็น​ทุกข์ คือ การ​ไม่​ไป​ ร่วม การไ​ม่​มา​รว่ ม การไ​มป​่ ระชุม​รว่ ม การ​ไมอ​่ ย​รู่ ่วม​กับอ​ารมณ์​อันเ​ปน็ ท​ ​่ี ปรารถนา เปน็ ​ท่ีรักใ​คร่ เป็น​ท่ี​ชอบใจ​ของเ​ขาใ​นโ​ลก​น้ี เช่น รูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ หรอื ก​ับ​บุคคล​ผป​ู้ รารถนา​ประโยชน์ ปรารถนา​ ความ เก้อื กูล ปรารถนา​ความ​ผาสกุ ปรารถนา​ความ​เกษมจ​าก​โยคะข​อง​ เขา เชน่ มารดา บิดา พชี่​าย น้อง​ชาย พส่​ี าว นอ้ งส​าว มติ ร อำมาตย์​ หรือญ​ าตส​ิ า​โลหติ การ​ไม่​ได้​ส่ิง​ที่​ต้องการ​เป็น​ทุกข์ คือ เหล่า​สัตว์​ผู้​มี​ความ​เกิด​เป็น​ ธรรมดา เกิดค​วาม​ปรารถนา​ขึ้นอ​ย่าง​นี​ว้ า่ “ไฉน​หนอ ขอ​เราอ​ย่าไ​ด้ม​คี​วาม​ เกดิ เ​ป็นธ​รรมดา หรอื ​ขอ​ความ​เกิด​อยา่ ไ​ดม​้ า​ถึง เราเ​ลย” ข้อน​้​ีไม่​พึง​สำเรจ็ ​ ได้​ตาม​ความ​ปรารถนา เหลา่ ​สัตว์ผ​้​ูม​ีความ​แก​เ่ ป็น​ธรรมดา ฯลฯ เหล่า​สตั วผ์​ู้​มี​ความ​เจบ็ เ​ปน็ ​ธรรมดา ฯลฯ เหล่า​สัตวผ​์ ู้​ม​ีความ​ตายเ​ป็น​ธรรมดา ฯลฯ เหล่า​สตั วผ​์ ้​ูม​ีความโ​ศก ความค​รำ่ ครวญ ความ​ทกุ ข​ก์ าย ความ​ทุกข​์ ใจแ​ละ​ความ​คับ​แคน้ ​ใจ​เปน็ ธ​รรมดา ต่าง​ก็​เกดิ ค​วาม​ปรารถนา​ข้ึน​อยา่ ง​นว้ี​่า “ไฉนห​ นอ ขอ​เราอ​ยา่ ไ​ด้​เป็น​ผมู้​ค​ี วามโ​ศก ความ​ครำ่ ครวญ ความ​ทุกข​ก์ าย ความท​ กุ ขใ​์ จ และค​วามค​บั แ​คน้ ใ​จเ​ปน็ ธ​รรมดาเ​ลย และข​อค​วามโ​ศก ความ​ คร่ำครวญ ความ ทกุ ข์ก​าย ความ​ทกุ ข์ใ​จ และ​ความ​คับ​แค้น​ใจ อย่าไ​ด​้มา​ ถงึ เ​รา​เลย” ข้อน​ไี้​ม่​พึง สำเร็จไ​ด้​ตามค​วาม​ปรารถนา โดยย​อ่ อุปาทาน​ขนั ธ์ ๕ เปน็ ท​ กุ ข์ คอื รป​ู ​ูปาทาน​ขนั ธ์ (อปุ าทาน​ ขันธ์​คือร​ปู ) เวท​น​ูปาทาน​ขนั ธ์ (อปุ าทาน​ขนั ธ​์คือ​เวทนา) สัญญ​ูปาทาน​ขนั ธ์ (อุปาทาน​ขันธ์​คือ​สัญญา) สังขารู​ปาทาน​ขันธ์ (อุปาทาน​ขันธ์ คือ​สังขาร)

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 33 วญิ ญาณ​ปู าทาน​ขันธ์ (อปุ าทาน​ขันธ์ค​ือว​ญิ ญาณ) นี้เ​รยี กว​่า ทกุ ข​อริยสัจ สมุทยส​ัจจ​นทิ ​เทส ทกุ ขส​มทุ ย​อร​ยิ ส​จั คอื ตณั หาน​เ​ี้ ปน็ เ​หตเ​ุ กดิ ข​น้ึ ใ​นภ​พใ​หม่ สหรคต​ดว้ ย​ ความ​กำหนดั ​ยินดี เปน็ ​เหตุ เพลิดเพลนิ ใ​น​อารมณ์​นน้ั ๆ คอื กามตัณหา ภวตณั หา และว​ิภวตัณหา ตัณหา​นี้​แหละ เ​มือ่ ​เกิดข​ึ้น เกดิ ​ทไี่ หน เม่อื ​ต้งั อ​ยู่ ต้งั ​อยท​ู่ ่ไี หน คอื ปยิ ​รูป​สาต​รปู ใด​มอ​ี ย่ใ​ู นโ​ลก ตณั หาน​้​เี มอื่ ​เกดิ ก​็เกดิ ​ท่ป​ี ิยร​ปู ​สาต​ รูป​น้ี เมอ่ื ​ต้ังอ​ยู่ กต​็ ัง้ ​อยท​ู่ ี่ป​ ิย​รปู ​สาต​รูป​น้ี อะไรเ​ป็น​ปยิ ร​ูป​สาต​รปู ​ในโ​ลก คอื จกั ขเ​ุ ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หาน​เ​้ี มอื่ เ​กดิ กเ​็ กดิ ท​ จ​ี่ กั ขน​ุ ี้ เมอ่ื ​ ตัง้ อ​ยู่ กต​็ ง้ั อ​ยู​่ท่จ​ี กั ขุ​นี้ โสต​ะเ​ป็น​ปยิ ร​ูปส​าต​รูปใ​น​โลก ฯลฯ ฆาน​ะ​เป็นป​ ยิ ร​ูป​ สาต​รปู ​ใน​โลก ฯลฯ ชิวหา​เปน็ ​ปยิ ​รูป​สาต​รูปใ​น​โลก ฯลฯ กายเ​ป็นป​ ิยร​ปู ​ สาตร​ปู ​ในโ​ลก ฯลฯ มโนเ​ปน็ ป​ ิยร​ปู ​สาตร​ูปใ​น​โลก ตณั หา​น​้ีเม่อื เ​กิด ก็​เกดิ ​ ท่ี​มโนน​้ี เมอื่ ต​ั้งอ​ยู่ กต​็ ั้งอ​ย​ู่ท​่มี โนน​ี้ รปู เ​ป็นป​ ิย​รปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หา​น​เี้ มอ่ื เ​กิด ก็​เกดิ ท​ ่ี​รูปน​้ี เมือ่ ต​้งั ​อยู่ กต​็ ้งั ​อยู่ ท​่ีรปู น​้ี เสยี งเ​ป็น​ปิย​รูปส​าต​รูป​ใน​โลก ฯลฯ กล่นิ ​เป็นป​ ยิ ร​ูปส​าต​รูป​ ใน​โลก ฯลฯ รส​เปน็ ​ปิย​รูป​สาต​รปู ​ใน​โลก ฯลฯ โผฏฐัพพะ​เปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าต​ รปู ​ใน​โลก ฯลฯ ธรรมารมณ์​เป็น​ปยิ ร​ูปส​าต​รปู ​ใน​โลก ตัณหาน​ี้​เม่อื เ​กดิ ก​็ เกดิ ท​ ่ี​ธรรมารมณ์​นี้ เมื่อต​ัง้ ​อยู่ ก​็ตง้ั ​อยู่ ทธ​ี่ รรมารมณ​์น้ี จักขุ​วิญญาณเ​ป็น​ปยิ ร​ูป​สาต​รปู ใ​นโ​ลก ตณั หา​น้ี​เมอื่ เ​กิด กเ​็ กดิ ท​ จ่ี​กั ข​ุ

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 34 วญิ ญาณ​น้ี เมอื่ ​ตั้งอ​ย่กู​​็ตง้ั อ​ย​ู่ทจ่ี​ักขุ​วิญญาณน​ี้ โสตว​ิญญาณ​เปน็ ป​ ิยร​ูปส​าต​ รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ ฆานว​ญิ ญาณเ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ ชวิ หาว​ญิ ญาณ​ เปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ในโ​ลก ฯลฯ กายว​ญิ ญาณเ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ มโนว​ญิ ญาณเ​ปน็ ปยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หาน​เ​้ี มอื่ เ​กดิ กเ​็ กดิ ท​ม​่ี โนว​ญิ ญาณ​ นี้ เมื่อต​้งั ​อยู่ กต​็ ั้งอ​ยู่ ที่ม​โนว​ิญญาณน​ี้ จักขุ​สัมผัส​เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ใน​โลก ตัณหา​นี้​เมื่อ​เกิด ก็​เกิด​ท่ี​จักขุ​ สัมผัส​นี้ เม่ือ​ต้ัง​อยู่ ก็​ตั้ง​อยู่​ที่​จักขุ​สัมผัส​นี้ โสต​สัมผัส​เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ ใน​โลก ฯลฯ ฆาน-สัมผัส​เปน็ ​ปิย​รูปส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ ชวิ หาส​ัมผสั ​เปน็ ​ ปยิ ​รปู ​สาตร​ปู ​ในโ​ลก ฯลฯ กายส​มั ผัส​เปน็ ​ปิย​รปู ส​าต​รูปใ​นโ​ลก ฯลฯ มโน​ สมั ผัส​เปน็ ​ปยิ ร​ูปส​าต​รปู ​ใน​โลก ตัณหาน​ี้​เมอ่ื ​เกิด กเ​็ กดิ ท​ ่​มี โนส​ัมผัส​นี้ เมือ่ ​ ตง้ั อ​ยู่ ก​็ตงั้ อ​ยท​ู่ ม่ี​โน​สัมผสั ​น้ี เวทนาท​ เ​ี่ กดิ จ​ากจ​กั ขส​ุ มั ผสั เ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หาน​เ​้ี มอ่ื เ​กดิ กเ​็ กิด​ท่ี เวทนาซ​่ึง​เกดิ ​จาก​จักข​ุสัมผสั ​นี้ เม่ือต​ั้ง​อยู่ ก็ต​งั้ ​อย่​ทู ​่ีเวทนาซ​ง่ึ ​เกดิ ​ จากจ​กั ข​ุสัมผัส​น้ี เวทนา​ทเี่​กดิ ​จาก​โสตส​มั ผสั ​เปน็ ​ปยิ ร​ปู ส​าต​รปู ใ​น​โลก ฯลฯ เวทนาท​ เ​ี่ กดิ จ​ากฆ​านสมั ผสั เ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ เวทนาท​ เ​ี่ กดิ จ​าก​ ชวิ หาส​มั ผสั เ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ในโ​ลก ฯลฯ เวทนาท​เ​่ี กดิ จ​ากก​ายส​มั ผสั เ​ปน็ ​ ปิย​รปู ส​าตร​ูป​ในโ​ลก ฯลฯ เวทนา​ท​ี่เกิด​จากม​โนส​ัมผัส​เป็น​ปยิ ร​ูปส​าต​รปู ใ​น​ โลก ตัณหา​น้​ีเมอื่ เ​กิด กเ​็ กดิ ​ท่เี​วทนาซ​่ึงเ​กดิ จ​ากม​โนส​ัมผัส​น้ี เมอ่ื ​ตั้ง​อยู่ ก็​ ตัง้ อ​ย​ู่ทีเ​่ วทนาซ​ึ่ง​เกดิ จ​าก​มโน​สัมผสั ​นี้ รปู ส​ญั ญา (ความก​ำหนดห​ มายร​ร​ู้ ปู ) เปน็ ป​ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หา​ น้​ีเม่อื เ​กดิ ก​็เกดิ ท​ รี​่ ูปส​ัญญา​น้ี เมือ่ ​ตงั้ ​อยก​ู่ ต​็ ง้ั ​อย​ู่ทร​่ี ปู ส​ัญญาน​้ี สัททส​ัญญา​ เป็น​ปิย​รปู ส​าต​รูป ในโ​ลก ฯลฯ คันธส​ัญญา​เปน็ ​ปยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​น​โลก ฯลฯ รสส​ญั ญาเ​ปน็ ป​ ิยร​ูป​สาต​รูปใ​นโ​ลก ฯลฯ โผฏฐพั พ​ ​สญั ญาเ​ป็นป​ ิยร​ปู ส​าตร​ปู ​

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 35 ในโ​ลก ฯลฯ ธัมม​สัญญาเ​ป็น​ปิยร​ูป-สาต​รูปใ​น​โลก ตัณหาน​เี​้ ม่ือเ​กิด กเ​็ กิด​ ที่​ธมั มส​ญั ญา​น้ี เมอ่ื ​ตง้ั อ​ยู่ กต​็ ้งั อ​ย​ู่ที่​ธมั ม- สญั ญาน​้ี รูป​สัญเจตนา (ความ​จำนง​ในร​ปู ) เปน็ ​ปิย​รูปส​าตร​ูป​ใน​โลก ตัณหาน​ี้​ เมอ่ื เ​กดิ กเ็​กดิ ท​ รี่​ูปส​ญั เจตนา​นี้ เมือ่ ต​ั้งอ​ยู่ กต​็ ัง้ อ​ยทู่​ ี่ร​ปู ส​ญั เจตนา​นี้ สทั ท​ สัญเจตนา​เปน็ ปิยร​ูป​สาต​รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ คันธ​สัญเจตนาเ​ปน็ ป​ ิยร​ปู ส​าต​ รูปใ​นโ​ลก ฯลฯ รส​สัญเจตนา เป็น​ปยิ ​รูป​สาต​รปู ​ในโ​ลก ฯลฯ โผฏฐพั ​พ​ สญั เจตนา​เป็นป​ ยิ ​รูป​สาต​รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ ธัมมส​ญั เจตนาเ​ป็นป​ ิยร​ปู ส​าตร​ูป​ ใน​โลก ตัณหา​น​้ีเม่อื ​เกดิ กเ็​กดิ ​ท่ี​ธมั มส​ญั เจตนา​นี้ เมื่อต​งั้ ​อยู่ กต​็ ั้ง​อย่ทู​ ธ​่ี มั ม​ สัญเจตนา​น้ี รูป​ตัณหา(ความ​อยาก​ได้​รูป)เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ใน​โลก ตัณหา​น้ี​เม่ือ​ เกิด กเ​็ กิด ทีร่​ูปต​ัณหาน​้ี เมื่อ​ตั้ง​อยู่ ก็​ตั้ง​อย​่ทู ่​ีรูปต​ัณหาน​้ี สทั ทต​ัณหาเ​ปน็ ​ ปยิ ​รปู ​สาต​รปู ​ใน​โลก ฯลฯ คนั ธ​ตณั หา​เป็น​ปิย​รปู ​สาตร​ปู ​ในโ​ลก ฯลฯ รส​ ตัณหา​เป็นป​ ยิ ร​ูปส​าต​รูปใ​นโ​ลก ฯลฯ โผฏฐพั พ​ ​ตัณหาเ​ปน็ ป​ ิยร​ปู ​สาตร​ปู ใ​น​ โลก ฯลฯ ธัมม​ตณั หา​เป็นป​ ิยร​ปู ​สาต​รูป ในโ​ลก ตณั หาน​้​ีเม่อื ​เกดิ กเ​็ กิดท​ ​่ี ธัมม​ตัณหา​นี้ เมอื่ ​ตง้ั อ​ยู่ กต​็ ้งั อ​ยท่​ู ี​่ธัมมต​ัณหา​น้ี รูป​วิตก(ความ​ตรึก​ถึง​รูป)เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ใน​โลก ตัณหา​นี้​เมื่อ​เกิด​ ก็​เกิด​ท่ี รูปว​ิตกน​้ี เมอื่ ต​ง้ั อ​ยู่ ก็​ต้งั ​อย่ท​ู ่ี​รปู ​วติ กน​้ี สัท​ทวต​ิ กเ​ป็นป​ ิยร​ปู ส​าต​ รปู ใ​น​โลก ฯลฯ คนั ธว​ิตก​เปน็ ป​ ยิ ​รปู ส​าต​รปู ใ​น​โลก ฯลฯ รสว​ิตกเ​ปน็ ป​ ิยร​ปู ​ สาต​รปู ​ในโ​ลก ฯลฯ โผฏฐัพ​พว​ติ ก​เปน็ ​ปิยร​ปู ส​าตร​ปู ใ​น​โลก ฯลฯ ธัมมว​ติ ก​ เปน็ ​ปยิ ร​ปู ส​าต​รูปใ​น​โลก ตณั หา​นีเ​้ มื่อ​เกิด ก็​เกิด​ทธ​่ี ัมม​วติ กน​้ี เม่อื ​ตั้งอ​ยู่ ก​็ ตัง้ ​อย​ู่ท่ธ​ี ัมม​วิตกน​้ี รปู ว​จิ าร (ความต​รองถ​งึ ร​ปู ) เปน็ ป​ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หาน​เ​ี้ มอ่ื เ​กดิ ​ ก​็เกดิ ​ที่ รูป​วิจาร​น้ี เมื่อ​ต้งั ​อยูก่​็​ตง้ั อ​ย​ู่ท​่ีรูปว​ิจาร​น้ี สัทท​ วจิ​าร​เป็นป​ ิยร​ปู ส​าต​

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 36 รปู ​ใน​โลก ฯลฯ คันธว​ิจาร​เป็น​ปิย​รปู ส​าต​รปู ​ใน​โลก ฯลฯ รสว​จิ าร​เปน็ ป​ ิย​ รูป​สาต​รปู ​ในโ​ลก ฯลฯ โผฏฐพั พ​ ว​จิ าร​เปน็ ​ปยิ ร​ูปส​าตร​ูป​ในโ​ลก ฯลฯ ธมั ม​ วิจาร​เปน็ ป​ ิยร​ปู ส​าตร​ปู ใ​น​โลก ตัณหา​น้ี เมือ่ เ​กิด ก็​เกดิ ท​ ธ่ี​ัมม​วจิ าร​น้ี เมือ่ ​ ตั้งอ​ยู่ กต็​ัง้ ​อยู่ท​ ี่​ธัมม​วจิ าร​นี้๑ นีเ้​รียก​ว่า ทกุ ขส​มทุ ​ยอร​ิย​สัจ นโิ รธ​สจั จ​นทิ ​เทส ทกุ ขนโิ รธอ​รยิ สจั คอื ความด​บั ก​เิ ลสไ​มเ​่ หลอื ด​ว้ ยว​ริ าคะ ความป​ ลอ่ ย​ วาง ความ​สละค​นื ความ​พน้ ความ​ไมต​่ ดิ ตณั หา​น​ี้ เมอื่ ล​ะ ละท​ ีไ่ หน เมื่อ​ดับ ดับท​ ่ไี หน คอื ปยิ ร​ปู ส​าต​รูป​ใด​มอ​ี ย​ู่ในโ​ลก ตณั หา​น​ี้เม่ือล​ะ ก​ล็ ะ​ทป่​ี ยิ ​รปู ส​าตร​ูป​ น้ี เม่ือด​ับ กด็​บั ​ที่​ปิยร​ปู ​สาตร​ูปน​้ี อะไรเ​ป็นป​ ยิ ร​ูป​สาต​รปู ​ใน​โลก คอื จักข​เุ ปน็ ​ปยิ ร​ูป​สาต​รูป​ใน​โลก ตัณหา​นี​้เมอ่ื ล​ะ ก็​ละ​ทจี​่ ักข​ุนี้ เม่อื ​ ดบั ก​็​ดบั ​ทจี​่ กั ขนุ​้ี โสตะ​เ​ป็น​ปยิ ​รปู ส​าต​รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ ฆานะ​​เปน็ ป​ ิยร​ูปส​าต​ รูปใ​นโ​ลก ฯลฯ ชวิ หา​เป็น​ปยิ ​รูปส​าต​รูปใ​นโ​ลก ฯลฯ กาย​เปน็ ป​ ยิ ร​ูป​สาต​ รปู ​ใน​โลก ฯลฯ มโนเ​ป็นป​ ิย​รูปส​าต​รปู ​ในโ​ลก ตัณหาน​เ​้ี มอ่ื ล​ะ กล็​ะ​ทีม่​โนน​ี้ เมือ่ ด​ับ​กด็​ับท​ ม​ี่ โน​น้ี รูป​เป็นป​ ิย​รูปส​าตร​ูปใ​นโ​ลก ตัณหา​นเ้ี​มอ่ื ​ละ ก็​ละ​ทร​ี่ ูป​น้ี เมือ่ ด​ับ ก​็ ดับ​ที่​รูป​น้ี เสียง​เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ใน​โลก ฯลฯ กล่ิน​เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ใน​ โลก ฯลฯ รส​เปน็ ป​ ยิ ร​ูป-สาต​รูปใ​น​โลก ฯลฯ โผฏฐพั พะ​เปน็ ​ปิยร​ูปส​าตร​ปู ​ ในโ​ลก ฯลฯ ธรรมารมณ์​เป็นป​ ยิ ร​ปู -สาต​รปู ใ​น​โลก ตัณหาน​้ี เม่อื ​ละ ก็​ละ​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 37 ท​่ีธรรมารมณ์​น้ี เม่ือ​ดบั ​กด​็ บั ​ท​ีธ่ รรมารมณ์​น้ี จักขุ​วิญญาณ​เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ใน​โลก ตัณหา​น้ี​เมื่อ​ละ ก็​ละ​ท่ี​จักขุ​ วญิ ญาณ​นี้ เมอ่ื ​ดบั ก​ด็ ับ​ทจี่​กั ขุว​ญิ ญาณ​น้ี โสตว​ิญญาณ​เป็น​ปยิ ​รูปส​าตร​ปู ​ ในโ​ลก ฯลฯ ฆาน-วญิ ญาณ​เปน็ ​ปยิ ​รปู ​สาต​รปู ใ​น​โลก ฯลฯ ชิวหาว​ญิ ญาณ​ เป็น​ปยิ ​รูปส​าต​รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ กาย​วญิ ญาณ​เปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ​ในโ​ลก ฯลฯ มโน​วญิ ญาณเ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใน​โลก ตณั หาน​ี้ เม่อื ​ละ กล​็ ะ​ทม​ี่ โนว​ญิ ญาณ​ นี้ เม่ือด​ับ กด็​บั ​ทม่ี​โน​วญิ ญาณน​ี้ จกั ขส​ุ มั ผสั เ​ปน็ ป​ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หาน​เ​้ี มอ่ื ล​ะ กล​็ ะท​จ​่ี กั ขส​ุ มั ผสั น​ี้ เม่ือด​บั กด็​ับ​ทจ่ี​กั ขุส​มั ผสั ​น้ี โสต​สมั ผัส​เป็น​ปยิ ร​ูปส​าตร​ปู ใ​น​โลก ฯลฯ ฆาน​ สัมผสั ​เปน็ ​ปยิ ร​ปู -สาตร​ูปใ​นโ​ลก ฯลฯ ชวิ หา​สัมผสั ​เปน็ ​ปยิ ร​ูป​สาตร​ปู ​ในโ​ลก ฯลฯ กาย​สัมผัส​เปน็ ป​ ยิ ​รูป-สาต​รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ มโน​สมั ผสั ​เปน็ ป​ ยิ ร​ูปส​าต​ รูป​ในโ​ลก ตัณหาน​ี้ เม่อื ล​ะ​กล​็ ะ​ท่ี​มโนส​ัมผัส​นี้ เม่ือด​บั กด็​บั ​ท่ี​มโนส​ัมผสั ​นี้ เวทนา​ทเ​ี่ กดิ จ​ากจ​กั ขสุ​มั ผสั เปน็ ป​ ยิ ร​ูปส​าตร​ูปใ​นโ​ลก ตณั หาน​เ​ี้ มอ่ื ล​ะ กล​็ ะท​ ี่ เวทนาอ​นั เ​กดิ จ​ากจ​กั ขส​ุ มั ผสั น​้ี เมอื่ ด​บั กด​็ บั ท​เ​่ี วทนาอ​นั เ​กดิ จ​ากจ​กั ข​ุ สมั ผสั น​้ี เวทนาท​ เ​่ี กดิ จ​ากโ​สตส​มั ผสั เ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ เวทนาท​ ​่ี เกิดจ​ากฆ​าน​สมั ผสั เป็น​ปยิ ​รปู ส​าต​รูป​ในโ​ลก ฯลฯ เวทนา​ท่​ีเกดิ จ​ากช​วิ หา​ สมั ผสั ​เปน็ ​ปิยร​ูปส​าต​รปู ในโ​ลก ฯลฯ เวทนา​ทเ​ี่ กดิ จ​ากก​าย​สมั ผสั ​เป็นป​ ิย​ รูป​สาตร​ปู ​ในโ​ลก ฯลฯ เวทนา​ที่ เกดิ จ​าก​มโนส​มั ผสั ​เป็นป​ ิยร​ูปส​าตร​ูปใ​น​ โลก ตณั หา​น​้ีเมือ่ ​ละ ก​ล็ ะท​ ี​่เวทนา​อันเ​กดิ ​จาก มโน​สมั ผัส​นี้ เมอ่ื ด​ับ กด็​บั ​ท​่ี เวทนา​อัน​เกดิ จ​ากม​โน​สัมผสั ​นี้ รปู ส​ัญญาเ​ป็นป​ ยิ ​รปู ส​าต​รปู ​ในโ​ลก ตัณหาน​้เ​ี ม่ือ​ละ ก​ล็ ะ​ท​่ีรปู ส​ญั ญา​ นี้ เมอื่ ​ดบั กด็​ับท​ รี่​ปู ​สัญญาน​ี้ สทั ท​สญั ญาเ​ป็น​ปิย​รูปส​าต​รปู ​ในโ​ลก ฯลฯ คนั ธ​สญั ญาเ​ป็น ปิย​รปู ​สาต​รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ รส​สัญญา​เปน็ ​ปยิ ร​ูปส​าตร​ปู ​ใน​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 38 โลก ฯลฯ โผฏฐพั พ​ ส​ัญญา​เป็น​ปิยร​ปู ส​าต​รปู ใ​น​โลก ฯลฯ ธมั ม​สัญญาเ​ปน็ ​ ปยิ ​รปู ​สาตร​ปู ​ใน​โลก ตัณหา​นเ้​ี มื่อ​ละ ก​็ละ​ท​ี่ธมั ม​สัญญา​นี้ เม่อื ด​บั ก็​ดบั ท​ ​่ี ธัมม​สญั ญาน​้ี รูป​สัญเจตนา​เป็น​ปิย​รูป​สาต​รูป​ใน​โลก ตัณหา​น้ี​เมื่อ​ละ ก็​ละ​ท่ี​รูป​ สญั เจตนา​นี้ เม่อื ​ดบั กด​็ บั ​ท​่ีรปู ส​ัญเจตนา​นี้ สัททส​ัญเจตนาเ​ปน็ ป​ ยิ ร​ูปส​าต​ รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ คนั ธส​ญั เจตนาเ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ รสส​ญั เจตนา​ เป็น​ปยิ ​รูปส​าต​รูปใ​น​โลก ฯลฯ โผฏฐัพ​พส​ญั เจตนาเ​ป็น​ปยิ ร​ปู ส​าตร​ูปใ​น​โลก ฯลฯ ธมั มส​ัญเจตนา​เป็น ปยิ ​รปู ส​าต​รูปใ​น​โลก ตัณหาน​ี​้เม่ือล​ะ ก็​ละท​ ธ​ี่ ัมม​ สญั เจตนา​น้ี เม่อื ​ดบั กด็​บั ท​ ี่ ธมั ม​สัญเจตนาน​้ี รปู ​ตัณหา​เปน็ ​ปยิ ร​ปู ​สาตร​ปู ใ​น​โลก ตัณหาน​เ้​ี มอ่ื ​ละ ก็​ละท​ ​่ีรปู ต​ณั หา​ นี้ เม่อื ​ดับ กด​็ ับ​ทร​่ี ูป​ตณั หาน​ี้ สัทท​ตณั หา​เป็น​ปิยร​ูปส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ คนั ธ​ตณั หา​เปน็ ปิยร​ปู ​สาตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ รส​ตณั หาเ​ปน็ ป​ ยิ ​รูปส​าต​รปู ใ​น​ โลก ฯลฯ โผฏฐพั ​พ​ตณั หา เป็น​ปยิ ​รูป​สาต​รปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ ธมั มต​ณั หา​เป็น​ ปยิ ​รปู ​สาต​รูปใ​นโ​ลก ตัณหาน​​ี้เมื่อ​ละ ก็​ละท​ ​่ีธัมม​ตัณหาน​ี้ เมื่อด​บั ก็​ดับท​ ่​ี ธมั ม​ตัณหา​นี้ รูปว​ติ กเ​ปน็ ป​ ิยร​ปู ส​าตร​ูปใ​นโ​ลก ตณั หาน​ี้​เม่ือล​ะ กล​็ ะท​ ร​่ี ปู ว​ติ กน​ี้ เมอื่ ​ ดับ กด็​บั ท​ ร่​ี ูป​วติ ก​น้ี สัท​ทวติ​ก​เปน็ ​ปยิ ​รปู ​สาต​รปู ​ในโ​ลก ฯลฯ คนั ธ​วติ ก​เป็น​ ปยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ในโ​ลก ฯลฯ รสว​ติ กเ​ปน็ ป​ ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ โผฏฐพั พ​ ​ วติ กเ​ปน็ ป​ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ ธมั มว​ติ กเ​ปน็ ป​ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หา​ น้เ​ี มอื่ ล​ะ กล​็ ะท​ ​ี่ธมั ม​วิตกน​ี้ เม่อื ​ดบั กด​็ บั ​ท่ี​ธมั มว​ิตก​น้ี รปู ว​จิ ารเ​ปน็ ป​ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ตณั หาน​เ​้ี มอ่ื ล​ะ กล​็ ะท​ร​่ี ปู ว​จิ ารน​้ี เมอื่ ​ ดบั กด​็ บั ท​ร​ี่ ปู ว​จิ ารน​ี้ สทั ท​วจ​ิ ารเ​ปน็ ป​ยิ ร​ปู ส​าตร​ปู ใ​นโ​ลก ฯลฯ คนั ธว​จิ ารเ​ปน็ ​ ปิย​รปู - สาตร​ปู ใ​น​โลก ฯลฯ รสว​จิ าร​เปน็ ​ปิย​รปู ​สาต​รูป​ในโ​ลก ฯลฯ โผฏฐพั ​

มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 39 พ​วิจาร​เป็น ปิยร​ูป​สาต​รูปใ​น​โลก ฯลฯ ธมั มว​ิจาร​เปน็ ​ปิย​รูปส​าตร​ูป​ใน​โลก ตณั หาน​เ​้ี ม่อื ​ละ กล​็ ะ​ทธ่​ี ัมมว​จิ าร​น้ี เม่ือด​บั ​กด​็ ับท​ ธ​ี่ ัมม​วิจาร​นี้๑ น้ีเ​รียกว​่า ทกุ ขนโิ รธ​อริยสัจ มคั ค​ส​จั จ​นิท​เทส ทกุ ขนิโรธค​า​ม​ินี​ปฏิปทา​อรยิ สัจ คอื อรยิ มรรค​มีอ​งค์ ๘ ไดแ้ ก่ ๑. สมั มา​ทิฏฐิ (เห็น​ชอบ) ๒. สัมมา​สงั กัปปะ (ดำริ​ชอบ) ๓. สัมมา​วาจา (เจรจา​ชอบ) ๔. สัมมา​กัม​มันต​ะ (กระทำช​อบ) ๕. สมั มา​อาชวี ะ (เลยี้ งช​ีพ​ชอบ) ๖. สมั มา​วายามะ (พยายาม​ชอบ) ๗. สัมมา​สติ (ระลกึ ช​อบ) ๘. สัมมา​สมาธิ (ต้ังจ​ติ ม​่ันช​อบ) สัมมา​ทิฏฐิ คอื ความร​ใ​ู้ นท​ กุ ข์ (ความท​ กุ ข)์ ความร​ใ​ู้ นท​ กุ ขสมทุ ยั (เหตเ​ุ กดิ แ​หง่ ท​ กุ ข)์ ความร​​ใู้ น​ทกุ ขนโิ รธ (ความด​บั แ​ห่งท​ ุกข)์ ความร​้​ูใน​ทกุ ขนิโรธค​า​มิ​นป​ี ฏปิ ทา (ขอ้ ป​ ฏิบตั ิ ใหถ​้ ึงค​วาม​ดับ​แหง่ ​ทกุ ข)์ สัมมา​สงั กปั ปะ คือ ความ​ดำรใ​ิ น​การอ​อก​จาก​กาม ความ​ดำรใ​ิ น​การ​ไม​่พยาบาท ความ​ ดำรใ​ิ นก​าร​ไม​่เบียดเบียน สัมมา​วาจา คือ

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 40 เจตนา​เปน็ เ​หตุ​งด​เวน้ จ​าก​การ​พดู ​เทจ็ เจตนาเ​ป็น​เหตง​ุ ด​เวน้ จ​าก​การ​ พดู สอ่ เ​สยี ด เจตนาเ​ปน็ ​เหต​งุ ด​เวน้ จ​าก​การพ​ ดู ค​ำห​ ยาบ เจตนาเ​ปน็ เ​หตงุ​ด​ เวน้ ​จากก​าร​พูด​เพ้อเ​จ้อ สัมมา​กัมม​ ันต​ะ คือ เจตนา​เปน็ เ​หต​ุงด​เว้นจ​าก​การ​ฆ่า​สตั ว์ เจตนา​เปน็ ​เหตงุ​ดเ​ว้นจ​าก​การ​ ถือเ​อาส​่ิงของ​ที​เ่ จา้ ของเ​ขาไ​ม​่ได​้ให้ เจตนา​เป็น​เหตง​ุ ด​เว้นจ​าก​การป​ ระพฤต​ิ ผิด​ใน​กาม สมั มา​อาชวี ะ คอื อรยิ ส​าวกใ​น​ธรรม​วนิ ัยน​ล​ี้ ะม​ิจฉา​อาชีวะ​แล้ว สำเรจ็ ​การ​เลย้ี ง​ชพี ​ดว้ ย​ สมั มาอาชวี ะ สมั มา​วายามะ คอื ๑. สรา้ ง​ฉันทะ พยายาม ปรารภ​ความ​เพียร ประคองจ​ติ มุ่งม​ั่น เพอื่ ​ปอ้ งกัน​บาป​อกุศล​ธรรม​ที่​ยงั ​ไมเ่​กดิ ​มิใ​หเ​้ กดิ ​ข้นึ ๒. สรา้ ง​ฉันทะ พยายาม ปรารภ​ความ​เพียร ประคองจ​ิต มงุ่ ​มน่ั เพื่อล​ะบ​ าปอ​กุศลธ​รรม​ทเ่ี​กดิ ข​้ึนแ​ล้ว ๓. สร้าง​ฉันทะ พยายาม ปรารภ​ความ​เพยี ร ประคองจ​ิต มุ่งม​ั่น เพ่อื ท​ ำก​ศุ ลธ​รรม​ทย่ี​งั ไ​ม​เ่ กิดข​ึ้น​ใหเ​้ กิด​ขนึ้ ๔. สรา้ ง​ฉนั ทะ พยายาม ปรารภ​ความ​เพยี ร ประคองจ​ติ มุ่งม​ั่น เพอ่ื ค​วามด​ำรงอ​ยู่ ไมเ​่ ลอื นห​ าย ภญิ โญภาพ ไพบลู ย์ เจรญิ เ​ตม็ ท​ ่ี แหง่ ก​ศุ ล​ ธรรม​ทเ​่ี กิดข​นึ้ ​แลว้ สมั มา​สติ คอื

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 41 ๑. พจิ ารณา​เห็นก​ายใ​น​กายอ​ยู่ มค​ี วาม​เพยี ร มี​สัมปชญั ญะ มี​สติ กำจ​ดั อ​ภิ​ชฌา​และ​โทมนสั ​ในโ​ลกไ​ด้ ๒. พจิ ารณา​เหน็ ​เวทนาใ​นเ​วทนา​ทง้ั ห​ ลายอ​ยู่ ฯลฯ ๓. พิจารณา​เห็นจ​ิต​ใน​จิตอ​ยู่ ฯลฯ ๔. พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​อยู่ มี​ความ​เพียร มี​ สัมปชัญญะ มส​ี ติ กำจ​ดั ​อภิ​ชฌาแ​ละ​โทมนสั ใ​น​โลกไ​ด้ สัมมา​สมาธิ คือ ๑. สงัด​จาก​กาม​และ​อกุศล​ธรรม​ทัง้ ​หลาย บรรลุ​ปฐมฌาน​ที​ม่ ​ีวิตก มวี​จิ าร ม​ีปีติ และส​ขุ อ​ัน​เกิด​จาก​วิเวกอ​ยู่ ๒. เพราะ​วิตก​วิจาร​สงบ​ระงับ​ไป บรรลุ​ทุติย​ฌาน​ที่​มี​ความ​ผ่องใส​ ภายใน มี​ภาวะท​ ี่จ​ติ ​เป็นห​ น่งึ ​ผดุ ​ขนึ้ ไม่ม​ีวติ ก ไมม่ ​ีวจิ าร มี​แตป​่ ตี ิ และ​สขุ ​ อนั ​เกดิ ​จาก​สมาธ​ิอยู่ ๓. เพราะ​ปีติ​จางค​ลายไ​ป มีจ​ิต​เป็น​อุเบกขา มี​สติ ม​สี ัมปชัญญะ​ อยู่ และเ​สวย​สุขด​้วยก​าย (นามก​าย) บรรลุ​ตตยิ ​ฌานท​ ่​ีพระ​อรยิ ะท​ ง้ั ห​ ลาย กลา่ วส​รรเสรญิ ​ว่า “ผ​ู้มอ​ี ุเบกขา มี​สติ อยเู​่ ปน็ สขุ ” ๔. เพราะล​ะส​ขุ แ​ละท​กุ ขไ​์ ด้ เพราะโ​สมนสั แ​ละโ​ทมนสั ด​บั ไ​ปก​อ่ นแ​ลว้ บรรลุ​จตุตถฌ​ าน​ทไ​่ี ม่มี​ทกุ ข์ไ​ม่มี​สขุ มี​สติ​บรสิ ุทธเ์​ิ พราะอ​ุเบกขาอ​ยู่ ด้วย​วิธี​นี้ ชื่อว่าพิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ภายในอยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลายภ​ ายนอก๓อยู่ หรือพ​ ิจารณา​เห็น​ธรรม​ ใน​ธรรม ทั้ง​หลาย​ท้ัง​ภายใน​ท้ัง​ภายนอก​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ เกิด​ใน​ธรรม​ท้ัง​หลาย​อยู่ พิจารณา​เห็น​ธรรม​เป็น​เหตุ​ดับ​ใน​ธรรม​ทั้ง​หลาย​ อยู่ หรือ​พิจารณา​เห็น​ท้ัง​ธรรม​เป็น​เหตุ​เกิด​ทงั้ ​ธรรม​เปน็ ​เหตุ​ดบั ​ใน​ธรรม​ทง้ั ​

มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 42 หลายอ​ยู่ หรอื ว​า่ ม​ส​ี ตป​ิ รากฏอ​ยเ​ู่ ฉพาะห​ นา้ ว​า่ “ธรรมม​อ​ี ย”ู่ กเ​็ พยี งเ​พอ่ื อ​าศยั ​ เจรญิ ​ญาณ เจรญิ ​สติ​เทา่ นน้ั ไมอ​่ าศยั (ตณั หาแ​ละ​ทิฏฐ)ิ อยู่ และไ​ม​่ยึดม​ั่น​ ถอื ​ม่ัน อะไรๆ ในโ​ลก ภาคอานสิ งส์​ บคุ คลผ​เ​ู้ จรญิ ​สตปิ​ ฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๗ ปี จกั ได้​ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลุอร​หัตต​​ผล​ในป​ ัจจุบัน หรอื เ​มอ่ื ​ยงั ม​ีอ​ุปาทานเหลอื อ​ยู่ ก็​จักเ​ปน็ ​ อนาคามี บุคคลผ​้​ูเจรญิ ส​ติ​ปัฏ​ฐาน ๔ ตลอด ๖ ปี จกั ไ​ด้​ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลุอร​หตั ​ต​ผลใ​นป​ จั จบุ ัน หรอื ​เม่อื ย​ังม​อ​ี ปุ าทาน​เหลอื อ​ยู่ ก็​จัก​เป็น​ อนาคามี บคุ คล​ผู้เ​จรญิ ​สติ​ปฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๕ ปี จัก​ไดผ​้ ล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลุอร​หตั ต​ผ​ลใ​น​ปจั จุบนั หรอื เ​มื่อ​ยงั ม​อี​ปุ าทานเ​หลอื อ​ยู่ ก็​จกั เ​ปน็ ​ อนาคามี บคุ คล​ผู้​เจริญส​ตป​ิ ฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๔ ปี จกั ​ไดผ้​ล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลอุ ร​หัตต​​ผล​ใน​ปจั จุบนั หรือ​เม่ือ​ยงั ม​ี​อปุ าทาน​เหลอื อ​ยู่ กจ​็ ักเ​ป็น​ อนาคามี บคุ คล​ผูเ​้ จรญิ ​สติ​ปฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๓ ปี จกั ได​้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลอุ ร​หัต​ต​ผล​ใน​ปัจจุบนั หรอื ​เมื่อย​งั ม​​ีอุปาทานเ​หลอื อ​ยู่ ก​็จกั เ​ปน็ ​ อนาคามี บคุ คล​ผ​เู้ จรญิ ส​ติป​ ฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๒ ปี จักไ​ด​้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 43 คือ บรรลอุ ร​หัต​ต​ผล​ใน​ปจั จุบนั หรอื ​เมื่อย​ังม​​ีอปุ าทาน​เหลอื อ​ยู่ ก​็จกั เ​ปน็ ​ อนาคามี บุคคล​ผ​เู้ จรญิ ส​ติ​ปฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๑ ปี จกั ​ได​ผ้ ล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลอุ ร​หัตต​​ผลใ​นป​ ัจจุบัน หรอื เ​มอ่ื ย​ังม​​อี ปุ าทานเ​หลอื อ​ยู่ ก​จ็ กั เ​ป็น​ อนาคามี บุคคล​ผเ​ู้ จริญส​ติป​ ฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๗ เดอื น จกั ​ไดผ้​ล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลุอร​หัต​ต​ผลใ​นป​ ัจจบุ นั หรือเ​มอ่ื ​ยงั ม​อี​ปุ าทานเ​หลือ​อยู่ ก​็ จักเ​ปน็ อ​นาคามี บคุ คลผ​ู้​เจริญส​ตป​ิ ัฏ​ฐาน ๔ ตลอด ๖ เดือน จกั ได้​ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลุอร​หัต​ต​ผลใ​นป​ จั จุบัน หรอื ​เมอื่ ​ยัง​ม​ีอุปาทานเ​หลืออ​ยู่ ก​็ จักเ​ปน็ ​อนาคามี บุคคล​ผเ​ู้ จริญ​สติ​ปฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๕ เดอื น จกั ไ​ด​ผ้ ล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ บรรลุอร​หัตต​​ผลใ​นป​ ัจจบุ ัน หรือเ​ม่อื ​ยงั ม​ี​อปุ าทานเ​หลือ​อยู่ ก็​ จกั ​เป็นอ​นาคามี บคุ คลผ​ูเ​้ จริญส​ตปิ​ ฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๔ เดือน จัก​ได​้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลุอร​หัตต​​ผล​ในป​ จั จบุ นั หรือเ​ม่อื ​ยงั ม​อ​ี ุปาทานเ​หลอื อ​ยู่ ก็​ จกั เ​ปน็ ​อนาคามี บุคคล​ผู้​เจริญส​ตป​ิ ฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๓ เดือน จกั ​ได​้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คือ บรรลุอร​หตั ​ต​ผลใ​นป​ จั จุบนั หรอื ​เมอ่ื ย​งั ​มีอ​ปุ าทานเ​หลือ​อยู่ ก็​ จกั เ​ป็นอ​นาคามี บคุ คล​ผ​ู้เจริญส​ตปิ​ ัฏ​ฐาน ๔ ตลอด ๒ เดือน จักไ​ด้​ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คือ บรรลอุ ร​หตั ต​​ผล​ในป​ ัจจบุ ัน หรอื เ​มื่อ​ยังม​ี​อุปาทานเ​หลือ​อยู่ ก็​

มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 44 จกั ​เป็นอ​นาคามี บุคคลผ​้เ​ู จริญ​สติ​ปฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๑ เดอื น จัก​ได​้ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ บรรลุอร​หัตต​​ผลใ​นป​ จั จบุ ัน หรือเ​มอ่ื ย​ังม​​อี ุปาทานเ​หลอื ​อยู่ ก็​ จักเ​ปน็ ​อนาคามี บุคคลผ​ู้​เจรญิ ​สตป​ิ ัฏ​ฐาน ๔ ตลอด​คร่ึง​เดือน จัก​ได​ผ้ ล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ บรรลุอร​หัต​ต​ผลใ​นป​ ัจจบุ นั หรือเ​ม่อื ​ยงั ​มี​อุปาทานเ​หลอื ​อยู่ ก็​ จัก​เปน็ ​อนาคามี บุคคลผ​เู้​จรญิ ส​ตปิ​ ฏั ​ฐาน ๔ ตลอด ๗ วันจกั ไ​ด​้ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลอุ ร​หัตต​​ผล​ในป​ จั จบุ ัน หรอื ​เมื่อ​ยงั ม​ี อปุ าทานเ​หลอื อ​ยู่ ก​็จักเ​ปน็ ​ อนาคามี ภกิ ษุท​ ง้ั ห​ ลาย ทาง​นี​เ้ ป็น​ทาง​เดียว เพอ่ื ค​วาม​บริสุทธข​์ิ องเ​หล่าส​ัตว์ เพ่ือ​ล่วง​โสก​ะ​และ​ปริ​เทวะ เพ่ือ​ดับ​ทุกข์​และ​โทมนัส เพื่อ​บรรลุ​ญาย​ธรรม เพื่อ​ทำ ใหแ​้ จ้งน​ิพพาน ทาง​นี้ คือ สตป​ิ ัฏ​ฐาน ๔ ประการ เราอ​าศยั ท​ าง​ เดยี ว​นแ้ี​ล้ว จงึ ก​ล่าว​คำ​ดังพ​ รรณนา​มา​ฉะน้”ี เมอ่ื พ​ ระผ​ม​ู้ พ​ี ระภ​าคต​รสั อ​ยา่ งน​้ี ภกิ ษเ​ุ หลา่ น​นั้ ม​ใ​ี จย​นิ ดต​ี า่ งช​นื่ ชมพ​ ระ​ ภาษติ ข​อง​พระผ​​มู้ ี​พระ​ภาค​แล้วแ​ล มหา​สติป​ ฏั ​ฐานส​ตู ร​ จบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook