มหาสติปฏั ฐาน๔ การเจริญส ติปัฏฐานกรรมฐาน (จากพระไตรปฎิ กเล่ม ๑๐ ข้อ ๓๗๒-๔๐๕) พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม
สารบญั หน้า ๓ หัวข้อ ๙ คำนำ ๙ ความหมายของสติปัฏฐาน ๑๑ ภาคอทุ เทส ๑๑ ภาคนิทเทส ๑๑ ๑. กายานุปสั สนา ๑๒ ๑.๑. อานาปานบรรพ ๑๓ ๑.๒. อริ ิยาบถบรรพ ๑๓ ๑.๓. สัมปชญั ญบรรพ ๑๕ ๑.๔. ปฏกิ ูลมนสกิ าร ๑๕ ๑.๕. ธาตมุ นสิการ ๒๐ ๑.๖. นวสวี ถกิ า ๒. เวทนานปุ ัสสนา ๒๒ ๓. จติ ตานุปัสสนา ๒๓ ๔. ธมั มานุปสั สนา ๒๓ ๔.๑. หมวดนิวรณ์ ๒๕ ๔.๒. หมวดขันธ ์ ๒๖ ๔.๓. หมวดอายตนะ ๒๗ ๔.๔. หมวดโพชฌงค์ ๓๐ ๔.๕. หมวดสจั จะ ๔๒ ภาคอานสิ งส ์
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 3 คำนำ มหาสติปฏั ฐาน คือ วิธีการหรอื หลกั การเจริญสตปิ ัฏฐาน มี ๔ ประการใหญๆ่ เปน็ วธิ พี จิ ารณาใหเ้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ คอื (๑) พจิ ารณา เหน็ กายในกาย (๒) พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนา (๓) พิจารณาเหน็ จิต ในจิต (๔) พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรม มหาสติปัฏฐานนี้ พระผู้มพี ระภ าคท รงแสดงแกภ่ ิกษทุ ้งั ห ลาย ขณะ ประทับอยู่ ณ นคิ มของชาวกรุ ุ ช่อื กมั มาสธัมมะ แควน้ กรุ ุ โดยท รงป รารภ พุทธบริษัทชาวกัมมาสธัมมะว่า มีความสนใจในการเจริญสติปัฏฐานกัน อย่างแพรห่ ลาย แม้พ วกท าส กรรมกร และบ ริวารชน ก็พดู คยุ กนั แตเ่รอ่ื ง สติปฏั ฐาน พระผู้มีพระภ าคจึงทรงแสดง มหาสติปฏั ฐาน เปน็ บ รรยายโวหาร แบบถามเอง-ตอบเอง และมีอุปมาอุปไมยอยูด่ ้วย นับว่าสมบรู ณ์แบบทสี่ ุด เพราะมคี รบถ้วนทั้ง ๓ ภาค คือ (๑) ภาคอุทเทส (หวั ขอ้ ) (๒) ภาคนิทเทส (ขยายความ) (๓) ภาคอานสิ งส์ (ผลที่จะได้รบั ) เปน็ วิธีการบรรยายเกยี่ วกบั กัมมฏั ฐานที่เขา้ ใจงา่ ย ทง้ั ปฏบิ ตั ติ ามได้ ง่ายและถกู ต้อง ภาคอุทเทส (หัวข้อ) พระผู้มีพระภ าคทรงยกห วั ขอ้ การบรรยายขน้ึ เป็นอุทเทสต้ังไวว้ ่า “ภิกษุท้ังหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อถึงความบริสุทธิ์ของเหล่า สตั ว์ เพ่ือล่วงพ้นจากโสกะและป ริเทวะ เพื่อดับท กุ ขแ์ ละโทมนัส เพือ่ บ รรลุ
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 4 ญายธรรม (อริยมรรค) เพ่ือทำให้แจ้งพระนิพพาน (อริยผล) ทางนี้คือ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ประการ” สตปิ ฏั ฐาน คอื การตง้ั สติสมั ปชญั ญะ เพยี รพ จิ ารณากาย เวทนา จติ และธรรม เพอื่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกให้ได้ โดยแยกพจิ ารณา เป็น ๔ ประการ คือ ๑. การพ จิ ารณาเหน็ กายในกาย ๒. การพ จิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งห ลาย ๓. การพ ิจารณาเห็นจติ ในจิต ๔. การพ จิ ารณาเห็นธรรมในธรรมทงั้ หลาย ภาคนิทเทส (ขยายความ) ๑. กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน วิธพี ิจารณากายในกาย ๖ หมวด คอื ๑. พิจารณาเหน็ ลมห ายใจเขา้ ลมห ายใจออก ให้เหน็ การไหล เข้า ไหลออกตดิ ตอ่ กันเป็นลำยาว สั้น เป็นตน้ สลบั กนั ไป ๒. พจิ ารณาเห็นอริ ยิ าบถ เดนิ ยนื น่งั นอน ให้รู้ความเป็นไปของ อิริยาบถน้นั ๆ ๓. พิจารณาเห็นโดยสัมปชัญญะ คือ พิจารณาความรู้สึกตัว ในขณะเคล่อื นไหวทางกาย เชน่ การก้าวไป การถอยกลับ การคูแ้ ขนเข้า การเหยียดแขนออก โดยกำหนดใหรู้้ทันทุกอากปั กิรยิ านั้นๆ ๔. พจิ ารณาเหน็ วา่ เป็นปฏิกลู คือ พจิ ารณาอาการ ๓๒ ในกาย ของตนมี ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เปน็ ต้น ให้เห็นวา่ เป็นของน่ารงั เกยี จ
มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 5 ๕. พจิ ารณาเห็นธาตุ คือ พิจารณาดิน นำ้ ไฟ ลม ในกายของ ตน ใหเ้ห็นโดยความเป็นธาตุ เหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆา่ โคน่ัง แบง่ อวยั วะของโคทีฆ่ ่าแล้ว ออกเปน็ ส่วนๆ อยา่ งชำนาญ ๖. พจิ ารณาเห็นซากศพ ซ่งึ มลี ักษณะตา่ งๆ กัน ถึง ๙ ลกั ษณะ เช่น ซากศพท ตี่ายแลว้ ๑ วัน ถงึ ๓ วนั แลว้ นำมาเปรยี บเทยี บกบั กาย ของตนวา่ มีสภาพอย่างเดียวกนั ๒. เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน วธิ ีพิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทงั้ หลาย ๙ คือ พิจารณาเหน็ ความรู้สกึ สุข ทกุ ข์ ไมใ่ ช่สุขไมใ่ ช่ทกุ ข์ (อเุ บกขา) ในตัว เอง แบ่งเปน็ ๙ ประการ คอื ๑. เม่อื เสวยสขุ เวทนา ก็รู้ชัดเวทนานั้น ๒. เมือ่ เสวยท กุ ขเวทนา กร็ ู้ชดั เวทนานั้น ๓. เมอื่ เสวยอทุกขมสขุ เวทนา กร็ ู้ชดั เวทนาน้ัน ๔. เมื่อเสวยสขุ เวทนามีอามิส ก็รูช้ ัดเวทนาน้นั ๕. เมื่อเสวยสุขเวทนาไมม่ ีอามิส ก็รูช้ ัดเวทนานัน้ ๖. เมื่อเสวยท กุ ขเวทนามีอามสิ ก็รู้ชัดเวทนาน้นั ๗. เม่อื เสวยท ุกขเวทนาไม่มีอามิส กร็ูช้ ัดเวทนานัน้ ๘. เมื่อเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนามอี ามิส กร็ ชู้ ดั เวทนานน้ั ๙. เมื่อเสวยอท ุกขมสุขเวทนาไม่มีอามสิ ก็ร้ชูดั เวทนานน้ั ๓. จิตตานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน การพจิ ารณาเห็นจติ ในจิต ๑๐ ประการ คอื พจิ ารณาจติ ของตนใหเ้ หน็ สภาวะตามท ป่ี รากฏในขณะนน้ั ๆ และรชู้ ดั
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 6 ตามความเปน็ จรงิ ตามสภาวะของจติ ๑๐ ประการ คอื ๑. จิตมรี าคะ ก็รชู้ ัดวา่ ‘จติ มรี าคะ’ จิตปราศจากราคะ ก็ร้ชู ัดวา่ ‘จิตปราศจากราคะ’ ๒. จิตมีโทสะ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตมีโทสะ’ จติ ปราศจากโทสะ ก็รูช้ ัดว่า ‘จติ ปราศจากโทสะ’ ๓. จติ มีโมหะ ก็รชู้ ัดวา่ ‘จิตมโี มหะ’ จิตปราศจากโมหะ กร็ ้ชู ัดว่า ‘จิตปราศจากโมหะ’ ๔. จติ หดหู่ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตหดห’ู่ จติ ฟุ้งซ่าน ก็รชู้ ัดว่า ‘จิตฟงุ้ ซ่าน’ ๕. จิตมีอารมณเ์ ปน็ เลิศ กร็ ู้ชดั วา่ ‘จิตมีอารมณ์เป็นเลิศ’ จิตมอี ารมณย์ งั ไม่เลิศ กร็ ชู้ ัดวา่ ‘จติ มีอารมณ์ยงั ไมเ่ ลิศ’ ๖. จติ มจี ติ อ่ืนยิง่ กว่า กร็ ู้ชัดว่า ‘จิตมีจติ อน่ื ยง่ิ กว่า’ จติ ไม่มีจิตอื่นยิง่ กว่า ก็รู้ชดั ว่า ‘จติ ไมม่ ีจิตอ่นื ยงิ่ กวา่ ’ ๗. จิตเปน็ สมาธิ ก็รูช้ ดั วา่ ‘จติ เป็นสมาธ’ิ จติ ไม่เปน็ สมาธิ ก็ร้ชู ดั วา่ ‘จิตไม่เปน็ สมาธิ’ ๘. จิตหลดุ พ้นแลว้ กร็ ูช้ ดั ว่า ‘จิตหลุดพ้นแล้ว’ จติ ไมห่ ลดุ พ้น ก็รูช้ ดั ว่า ‘จติ ไม่หลดุ พน้ ’ ๙. ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ จิตในจิตภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ จติ ในจิตภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ จิตในจติ ทัง้ ภายในทง้ั ภายนอกอยู่ ๑๐. พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในจติ อยู่ พิจารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตดุ บั ในจิตอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรม ทง้ั เหตเุ กดิ และเหตดุ บั ในจิตอยู่
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 7 มีสตปิ รากฏอย่เู ฉพาะหน้าวา่ ‘จิตมีอยู่’ เพยี งเพอื่ อาศยั เจริญญาณ และเจริญสติเทา่ น้นั ไม่อาศัยตณั หา และท ฏิ ฐอิ ยู่ และไมย่ึดมัน่ อะไรๆในโลก ๔. ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน วธิ พี ิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ๕ หมวด คือ พิจารณาว่า ในขณะน้ันๆ มีธรรมอะไรเกิดอยู่ในจิตของตน ก็รู้ชัด ธรรมน้นั ๆ แบ่งเปน็ ๕ หมวด คอื ๑. หมวดนิวรณ์ ๕ ๒. หมวดขนั ธ์ ๕ ๓. หมวดอายตนะ ๑๒ ๔. หมวดโพชฌงค์ ๗ ๕. หมวดสจั จะ ๔ เชน่ เม่อื กามฉันทะภ ายในมีอยู่ ก็รู้ชัดว่า กามฉนั ทะภายในของเรา มีอยู่ หรอื เมอ่ื กามฉนั ทะภายในไมม่ ีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ กามฉนั ทะภายในของ เราไม่มีอยู่ นอกจากนยี้ งั พจิ ารณาใหร้ ชู้ ดั ความเกดิ แหง่ กามฉนั ทะ ความดบั แหง่ กามฉันทะ และข้อปฏิบัตใิหถ้ ึงความดบั แห่งกามฉนั ทะนัน้ ดว้ ย ภาคอานสิ งส์ (ผลทีจ่ ะไดร้ ับ) พระผมู้ พี ระภาคท รงแสดงอานสิ งสข์ องการเจรญิ สตปิ ฏั ฐานไวใ้ นตอน ทา้ ยของพระสตู รนวี้่า บุคคลผู้เจริญสติปฏั ฐาน ๔ ประการนี้ แมเ้ พยี ง ๗
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 8 วนั เปน็ อยา่ งนอ้ ย กห็ วงั ไดว้ า่ จะมผี ลในปจั จบุ นั อยา่ งใดอยา่ งห นงึ่ ในจำนวน ผล ๒ อย่าง คอื (๑) จะได้บรรลุอรห ตั ตผล (๒) ถา้ ยงั มอี ุปาทเิหลอื ยู่ จะ บรรลุอนาคามผิ ล จึงทรงสรปุ อานสิ งสไ์ วว้ ่าว่า สติปัฏฐาน ๔ ประการนี้ เปน็ ท างเดยี ว เพ่อื อานสิ งส์ ๕ อย่าง คอื (๑) เพ่ือความบริสุทธ์ิ (๒) เพือ่ ลว่ งโสกะและ ปริเทวะ (๓) เพื่อดับท ุกข์และโทมนัส (๔) เพ่ือบรรลญุ ายธรรม (๕) เพ่ือ ทำใหแ้ จง้ นพิ พานของเหลา่ สตั ว์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง “สติปัฏฐาน” ไว้หลายแห่ง ดังปรากฏ ทว่ั ไปท งั้ ในพ ระสตุ ตนั ตป ฎิ กและพ ระอภธิ รรมป ฎิ ก แตท่ ตี่ รสั ไวเ้ ตม็ สมบรู ณ์ ท่สี ุด จะเรียกวา่ “มหาสติปฏั ฐาน” มปี รากฏอยู่ในพระไตรปฎิ ก ๒ แห่ง คอื ในเลม่ ที่ ๑๐ ทฆี นิกาย มหาวรรค สูตรท ่ี ๙ มหาสตปิ ัฏฐานสูตร ข้อ ๓๗๒-๔๐๕ และในพระไตรปิฎกเล่มท ่ี ๑๒ มัชฌิมนิกาย มลู ปัณณาสก์ สตู รท ี่ ๑๐ มหาสติปัฏฐานสตู ร ข้อ ๑๐๕-๑๓๘ การรวบรวมเนอ้ื ความของมหาสตปิ ฏั ฐานสตู รในครงั้ น้ี ไดถ้ อื เอาเนอ้ื ความตามพระไตรปิฎกเลม่ ๑๐ เปน็ หลกั สำคญั ส่วนในพระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๑๒ หากมเี น้ือความที่แตกต่างกนั ก็จะนำมาแสดงเพิ่มเตมิ เอาไว้ดว้ ย เพราะใหผ้ ู้ศกึ ษามีความเข้าใจได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน ซึง่ จะเป็นประโยชนย์่งิ ใน การป ฏบิ ัตติามต่อไป พระมหาสมปอง มทุ โิ ต
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 9 มหาสติปฏั ฐาน ๔ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺธสฺส. ขอนอมนอ้ มแด่พระผู้มพี ระภาคอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นัน้ ความหมายของสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน แปลว่า ธรรมอันเปน็ ท่ีตัง้ ของสติ หรือ ธรรมท่ีมีสติ เปน็ ประธาน ภาคอุทเทส หวั ขอ้ มหาสติปฏั ฐาน ๔ สมัยหนง่ึ พระผู้มพี ระภาคประทับอยู่ ณ นิคมกุรชุ ่อื กมั มาสธมั มะ แควน้ กรุ ุ พระองคไ์ ด้ตรัสมหาสติปฏั ฐานให้ภกิ ษุทง้ั ห ลายฟ ังวา่ ภิกษุท้ังหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว (ทางท่ีผู้จะไปสู่นิพพาน ต้อง ประพฤตคิ นเดยี ว เปน็ ทางทพ่ี ระพทุ ธเจา้ พ ระองคเ์ ดยี วทรงสรา้ งไว้ เปน็ ทาง ที่มีแต่ศาสนาพุทธอย่างเดียว และเป็นทางดำเนินไปสู่นิพพานอย่างเดียว) (๑) เพ่ือถงึ ความบริสทุ ธิ์ของเหลา่ สัตว ์ (๒) เพอ่ื ลว่ งพ ้นโสกะและป รเิ ทวะ (๓) เพอ่ื ดับท ุกขแ์ละโทมนสั (๔) เพอื่ บ รรลุญายธรรม (๕) เพ่ือทำให้ แจ้งน ิพพาน ทางนค้ีอื สติปฏั ฐาน ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. กาเย กายานปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 10 พจิ ารณาเหน็ กายในกายอยู่ มคี วามเพียร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ กำ จดั อภชิฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๒. เวทนาสุ เวทนานปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทงั้ ห ลายอยู่ มคี วามเพยี ร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ กำจัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกได้ ๓. จติ เฺ ต จติ ตฺ านปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ พจิ ารณาเหน็ จิตในจติ อยู่ มคีวามเพียร มีสัมปชัญญะ มสี ติ กำจดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกได้ ๔. ธมเฺ มสุ ธมมฺ านปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ อาตาปี สมปฺ ชาโน สตมิ า, วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ .ํ พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลายอยู่ มีความเพยี ร มสี มั ปชญั ญะ มีสติ กำจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 11 ภาคนทิ เทส ขยายความมหาสติปฏั ฐาน ๔ ๑. กายาน ปุ สั สนา พจิ ารณาเหน็ กายในกาย ๑.๑. อานาปานบรรพ หมวดลมห ายใจเขา้ ออก ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ไปสปู่ า่ ไปสโู่ คนไม้ ไปสเู่ รอื นวา่ ง (คอื เสนาสนะ ๗ อยา่ ง คอื ภเู ขา ซอกเขา ถำ้ ปา่ ชา้ ปา่ ดงดบิ ทโี่ ลง่ แจง้ กองฟาง) นง่ั คบู้ ลั ลงั ก์ (ขัดสมาธิ) ตั้งกายตรง ดำรงสตไิ ว้เฉพาะห น้า (ตง้ั สติมุง่ ตรงส่กู รรมฐาน) ๑. มสี ตหิ ายใจเขา้ มีสตหิ ายใจออก ๒. เมื่อห ายใจเข้ายาว กร็ ชู้ ัดว่า “เราหายใจเขา้ ยาว” ๓. เม่ือหายใจออกยาว กร็้ชู ัดวา่ “เราหายใจออกยาว” ๔. เมื่อหายใจเขา้ ส้ัน ก็รชู้ดั วา่ “เราหายใจเขา้ ส้ัน” ๕. เมื่อห ายใจออกสัน้ กร็ ู้ชดั วา่ “เราหายใจออกสัน้ ” ๖. สำเหนียกวา่ “เรากำหนดรูก้ องลมท ง้ั ปวง หายใจเขา้ ” ๗. สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้กองลมท งั้ ปวง หายใจออก” ๘. สำเหนียกว่า “เราระงับกายสงั ขาร (ผ่อนลม) หายใจเข้า” ๙. สำเหนียกวา่ “เราระงับกายสังขาร (ผอ่ นลม) หายใจออก” เปรยี บเหมือน ชา่ งกลงึ หรอื ลกู มอื ชา่ งกลึงผ้มู ีความชำนาญ เมือ่ ชัก เชือกยาว กร็ ู้ชัดว่า “เราชักเชือกยาว” เมอ่ื ชกั เชอื กส้นั ก็รู้ชัดว่า “เราชัก เชือกสน้ั ” ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ (เหน็ ลมห ายใจเขา้
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 12 ออกของตน) พิจารณาเห็นกายในกายภ ายนอกอยู่ (เหน็ ลมหายใจเข้าออก ของผูอ้น่ื ) หรือพ จิ ารณาเห็นกายในกายท ั้งภ ายในท้ังภ ายนอกอยู่ พจิ ารณา เหน็ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ (ของลมห ายใจ)ในกายอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตุ ดบั (ของลมหายใจ)ในกายอยู่ หรอื พ จิ ารณาเหน็ ทงั้ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ทง้ั ธรรม เปน็ เหตุดับ(ของลมหายใจ)ในกายอยู่ หรือว่า มีสติปรากฏอยู่เฉพาะห นา้ วา่ “กายมอี ย”ู่ ก็เพียงเพื่ออาศยั เจริญญ าณ เจริญสติเทา่ นนั้ ไมอ่าศัย(ตณั หาและท ฏิ ฐ)ิ อยู่ และไมย่ ดึ มน่ั ถอื มั่นอะไรๆ ในโลก ๑.๒. อิรยิ าบถบรรพ หมวดอิริยาบถ ๑. ภิกษุเม่ือเดนิ ก็รชู้ ดั วา่ “เราเดนิ ” ๒. เมอื่ ยืน ก็รู้ชัดวา่ “เรายนื ” ๓. เมื่อน่งั กร็ ชู้ัดว่า “เรานงั่ ” ๔. เมอ่ื นอน ก็รู้ชัดวา่ “เรานอน” เมอ่ื ดำรงกายอยโู่ ดยอาการใดๆ กร็ ชู้ ดั กายทด่ี ำรงอยโู่ ดยอาการนน้ั ๆ ดว้ ยวธิ นี ้ี ชอื่ วา่ พ จิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ (เหน็ อริ ยิ าบถของ ตน) พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ (เห็นอิริยาบถของผู้อื่น) หรือ พจิ ารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในทัง้ ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตุเกดิ ในกายอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรอื พ ิจารณา เห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดท ง้ั ธรรมเปน็ เหตดุับในกายอยู่ หรือวา่ มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหน้าวา่ “กายมอี ย”ู่ กเ็ พียงเพ่อื อาศัย เจริญญาณ เจรญิ สติเท่านนั้ ไมอ่ าศยั (ตณั หาและท ิฏฐิ)อยู่ และไมย่ ึดมั่นถือ มนั่ อะไรๆ ในโลก
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 13 ๑.๓. สัมปชัญญบรรพ หมวดสัมปชญั ญะ ทำความรสู้ ึกตวั ในการกา้ วไป การถอยกลับ ทำความรู้สกึ ตัวในการแลดู การเหลยี วดู ทำความรู้สกึ ตวั ในการคู้เข้า การเหยยี ดออก ทำความรู้สึกตวั ในการครองสงั ฆาฏิ บาตร และจวี ร ทำความรสู้ กึ ตัวในการฉนั การด่มื การเคี้ยว การลิ้ม ทำความร้สู กึ ตัวในการถ่ายอจุ จาระและป สั สาวะ ทำความรู้สกึ ตัวในการเดนิ การยนื การนงั่ การนอน การตน่ื การพ ดู การนงิ่ ดว้ ยวธิ นี ้ี ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายใน๑อยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอก๒อยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้ังภายในทั้งภายนอก อยู่ พิจารณาเห็นธรรมเปน็ เหตุเกิดในกายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเปน็ เหตุ ดับในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดท้ังธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือวา่ มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “กายมีอย”ู่ ก็เพียงเพอื่ อาศยั เจรญิ ญ าณ เจรญิ สตเิ ท่านัน้ ไมอ่ าศยั (ตัณหาและทิฏฐ)ิ อยู่ และไม่ยดึ มั่น ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ๑.๔. ปฏกิ ูลมนสกิ าร หมวดมนสกิ ารวา่ เป็นปฏิกลู พิจารณาเหน็ กายนี้ ตง้ั แตฝ่ า่ เทา้ ข้ึนไปเบอื้ งบ น ตัง้ แตป่ ลายผมลงมา เบื้องล่าง มีหนังหมุ้ อยู่โดยรอบ เตม็ ไปดว้ ยส่งิ ท่ีไมส่ะอาดชนดิ ต่างๆ วา่ “ในกายนี้ มีผม ขน เลบ็ ฟนั หนัง เนือ้ เอ็น กระดูก เยอ่ื ในกระดูก ไต
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 14 หวั ใจ ตับ พงั ผืด ม้าม ปอด ลำไสใ้ หญ่ ลำไส้เลก็ อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มนั ขน้ น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย นำ้ มกู ไขข้อ มูตร” เหมือนถุงมปี าก ๒ ข้าง เต็มไปด้วยธญั พืชชนิดต่างๆ คอื ข้าวสาลี ขา้ วเปลือก ถ่ัวเขยี ว ถั่วเหลอื ง เมลด็ งา ข้าวสาร คนตาดีเปดิ ถงุ ยาวนนั้ ออก พิจารณาเห็นว่า “น้ีเปน็ ข้าวสาลี นี้เป็นขา้ วเปลอื ก นีเ้ป็นถั่วเขียว นี้ เปน็ ถวั่ เหลอื ง นเ้ี ปน็ เมลด็ งา นเ้ี ปน็ ขา้ วสาร” แมฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นนั้ เหมอื น กนั พจิ ารณาเหน็ กายนต้ี ง้ั แตฝ่ า่ เทา้ ขน้ึ ไปเบอื้ งบน ตง้ั แตป่ ลายผมลงมาเบอื้ ง ล่าง มหี นังห้มุ อยโู่ ดยรอบ เต็มไปด้วยสง่ิ ท่ีไมส่ ะอาดชนิดตา่ งๆ วา่ “ในกายนี้ มีผม ขน เล็บ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เย่ือในกระดกู ไต หวั ใจ ตบั พังผดื มา้ ม ปอด ลำไสใ้ หญ่ ลำไสเ้ ล็ก อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงือ่ มนั ข้น นำ้ ตา เปลวมนั นำ้ ลาย นำ้ มกู ไขขอ้ มตู ร” ดว้ ยวธิ นี ้ี ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเหน็ กายในกายท้ังภายในทัง้ ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่ หรอื ว่า มีสติปรากฏอยู่เฉพาะห นา้ ว่า “กายมอี ย”ู่ ก็เพยี งเพอื่ อาศยั เจริญญ าณ เจรญิ สติเท่าน้ัน ไมอ่าศัย(ตัณหาและท ฏิ ฐ)ิ อยู่ และไม่ยึดม่ันถือ มนั่ อะไรๆ ในโลก
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 15 ๑.๕. ธาตมุ นสกิ าร หมวดมนสิการวา่ เป็นธาตุ พิจารณาเหน็ กายนีต้ามท ่ีต้ังอยู่ ตามที่ดำรงอย่โูดยความเปน็ ธาตวุ ่า “ในกายนี้ มีธาตดุิน ธาตนุำ้ ธาตไุ ฟ ธาตลุมอยู”่ เหมือนคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้มีความชำนาญ ครั้นฆ่าโค แลว้ แบง่ อวยั วะออกเปน็ สว่ นๆ นง่ั อยทู่ ห่ี นทางใหญส่ แ่ี พรง่ แมฉ้ นั ใด ภกิ ษุ ก็ฉนั น้ัน เหมอื นกัน พจิ ารณาเหน็ กายนี้ตามที่ตัง้ อยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดย ความเป็นธาตุวา่ “ในกายนี้ มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตไุ ฟ ธาตุลมอยู่” ดว้ ยวธิ นี ้ี ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรอื พจิ ารณาเห็นกายในกายทั้งภ ายในท้ังภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรอื พจิ ารณาเหน็ ทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดท้งั ธรรมเปน็ เหตดุ ับใน กายอยู่ หรอื วา่ มีสติปรากฏอยเู่ฉพาะหนา้ วา่ “กายมอีย”ู่ กเ็พียงเพ่ืออาศยั เจรญิ ญ าณ เจรญิ สติเท่าน้ัน ไมอ่ าศยั (ตัณหาและท ิฏฐ)ิ อยู่ และไม่ยดึ มน่ั ถอื มั่น อะไรๆ ในโลก ๑.๖. นวสีวถกิ า หมวดเห็นว่าเปน็ ดจุ ป ่าชา้ ๙ ๑. เหน็ ซากศพอันเขาทิง้ ไว้ในป่าช้าซึง่ ตายแล้ว ๑ วัน ตายแลว้ ๒ วนั หรอื ตายแล้ว ๓ วนั เป็นศพขน้ึ อืด ศพเขยี วคล้ำ ศพมนี ำ้ เหลอื งเยิม้ แมฉ้ นั ใด ภกิ ษนุ นั้ นำกายนเ้ี ขา้ ไปเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ วา่ “ถงึ กายนก้ี ม็ สี ภาพ อย่างนัน้ มีลักษณะอยา่ งนน้ั ไม่ล่วงพ น้ ความเปน็ อย่างนั้นไปได”้ ฉันน้ัน ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายทงั้ ภ ายในทั้งภายนอกอยู่
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 16 พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่ หรือวา่ มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหนา้ วา่ “กายมีอย่”ู ก็เพยี งเพอ่ื อาศยั เจรญิ ญ าณ เจริญสติเทา่ นั้น ไมอ่ าศยั (ตัณหาและท ิฏฐิ)อยู่ และไมย่ ดึ ม่ันถอื มัน่ อะไรๆ ในโลก ๒. เหน็ ซากศพอนั เขาทงิ้ ไวใ้ นปา่ ชา้ ซง่ึ ถกู กาจกิ กนิ นกตะกรมุ จกิ กนิ แรง้ ท ้งึ กนิ สนุ ัขกดั กนิ สุนขั จง้ิ จอกกดั กนิ หรอื สตั ว์เลก็ ๆ หลายชนิดกดั กิน อยู่ แม้ฉนั ใด ภิกษนุั้นนำกายน้ีเข้าไปเปรียบ เทยี บใหเ้ห็นว่า “ถึงกายนี้ก็มี สภาพอย่างน้นั มีลกั ษณะอย่างนั้น ไมล่่วงพ ้นความเป็นอยา่ งนน้ั ไปได้” ฉัน นั้น ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภ ายนอกอยู่ หรอื พิจารณาเห็นกายในกายท ั้งภ ายในทัง้ ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดท้ังธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่ หรอื วา่ มีสติปรากฏอยู่เฉพาะห น้าวา่ “กายมีอยู่” ก็เพียงเพ่อื อาศยั เจริญญ าณ เจรญิ สติเทา่ นน้ั ไมอ่าศยั (ตณั หาและทิฏฐิ)อยู่ และไมย่ ดึ ม่นั ถอื ม่นั อะไรๆ ในโลก ๓. เห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นโครงกระดูกยังมีเน้ือและ เลือด มเี อน็ รึงรัดอยู่ แม้ฉันใด ภกิ ษุน้ันนำกายนีเ้ ข้าไปเปรยี บเทียบให้เห็น ว่า “ถึงกายนก้ี ม็ ีสภาพอยา่ งนน้ั มีลักษณะอยา่ งน้ัน ไม่ล่วงพน้ ความเป็น อยา่ งนน้ั ไปได้” ฉนั น้ัน
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 17 ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภ ายนอกอยู่ หรอื พจิ ารณาเหน็ กายในกายทง้ั ภ ายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดท้ังธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่ หรือวา่ มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะห นา้ วา่ “กายมีอย”ู่ กเ็ พียงเพื่ออาศัย เจรญิ ญาณ เจรญิ สติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตัณหาและท ิฏฐ)ิ อยู่ และไม่ยดึ มัน่ ถอื ม่นั อะไรๆ ในโลก ๔. เหน็ ซากศพอนั เขาท งิ้ ไวใ้ นป า่ ชา้ เปน็ โครงกระดกู ไมม่ เี นอ้ื แตย่ งั มเีลอื ดเปอื้ นเปรอะ มเี อ็นรงึ รดั อยู่ แมฉ้ นั ใด ภิกษนุ ้นั นำกายนเ้ี ข้าไปเปรียบ เทียบให้เหน็ ว่า “ถงึ กายน้กี ม็ สี ภาพอยา่ งน้ัน มีลกั ษณะอย่างน้ัน ไม่ล่วงพ้น ความเป็นอย่างนน้ั ไปได”้ ฉนั น้ัน ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรือพจิ ารณาเหน็ กายในกายท้งั ภ ายในทง้ั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดท้ังธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่ หรือวา่ มีสติปรากฏอยเู่ฉพาะห น้าว่า “กายมีอย”ู่ ก็เพียงเพ่อื อาศัย เจรญิ ญ าณ เจรญิ สตเิ ทา่ น้ัน ไม่อาศยั (ตณั หาและท ฏิ ฐิ) อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ๕. เหน็ ซากศพอนั เขาทิง้ ไว้ในปา่ ช้า เปน็ โครงกระดกู ไม่มีเลือดและ เน้อื แต่ยังมีเอน็ รงึ รดั อยู่ แมฉ้ันใด ภกิ ษุนน้ั นำ กายนเ้ีขา้ ไปเปรียบเทยี บ ให้เห็นวา่ “ถงึ กายนก้ี ม็สี ภาพอยา่ งน้นั มลี ักษณะอย่างน้นั ไม่ลว่ งพ้นความ
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 18 เปน็ อยา่ งนน้ั ไปได้” ฉนั นั้น ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรือพจิ ารณาเห็นกายในกายท ั้งภายในทงั้ ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพจิ ารณา เหน็ ท้ังธรรมเปน็ เหตุเกดิ ท้ังธรรมเปน็ เหตดุ บั ใน กายอยู่ หรือว่า มีสติปรากฏอยูเ่ ฉพาะหน้าว่า “กายมีอยู”่ ก็เพียงเพ่อื อาศัย เจรญิ ญาณ เจริญสตเิ ท่าน้นั ไมอ่ าศยั (ตัณหาและทฏิ ฐ)ิ อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถือม่นั อะไรๆ ในโลก ๖. เห็นซากศพอนั เขาทิง้ ไวใ้นปา่ ช้า เป็นโครงกระดูกไมม่ ีเอน็ รงึ รดั แล้ว กระจยุ กระจายไปในท ศิ ใหญ่ ทศิ เฉยี ง คอื กระดกู มืออยทู่ างทศิ หนงึ่ กระดกู เท้าอยทู่ างทิศหน่ึง กระดูกแขง้ อยู่ทางท ศิ ห น่ึง กระดกู ขาอยทู่ างทิศ หนง่ึ กระดกู สะเอวอยทู่ างทศิ ห นงึ่ กระดกู ห ลงั อยทู่ างทศิ ห นงึ่ กระดกู ซโี่ ครง อย่ทู างท ิศห นงึ่ กระดูกห น้าอกอย่ทู างทศิ หนงึ่ กระดูกแขนอยทู่ างทิศหนึง่ กระดูกไหล่อยู่ทางทิศหน่ึง กระดูกคออยู่ทางทิศหน่ึง กระดูกคางอยู่ทาง ทศิ หนงึ่ กระดูกฟ นั อยทู่ างท ิศหน่ึง กะโหลกศีรษะอยทู่ างทิศห นึ่ง แมฉ้ นั ใด ภิกษนุ้นั นำกายนเี้ ข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า “ถึงกายนก้ี ม็ สี ภาพอยา่ งนัน้ มลี ักษณะอยา่ งน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเปน็ อยา่ งนัน้ ไปได้” ฉนั นั้น ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรอื พิจารณาเหน็ กายในกายท ั้งภ ายในทง้ั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดท้ังธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่
มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 19 หรอื ว่า มีสติปรากฏอยู่เฉพาะห น้าว่า “กายมีอย”ู่ กเ็ พยี งเพ่อื อาศยั เจริญญ าณ เจรญิ สติเทา่ น้ัน ไม่อาศัย (ตณั หาและท ฏิ ฐิ) อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถอื มั่น อะไรๆ ในโลก ๗. เหน็ ซากศพอนั เขาทงิ้ ไวใ้ นปา่ ชา้ ซงึ่ เปน็ ทอ่ นกระดกู สขี าวเหมอื น สสี ังข์ แม้ฉนั ใด ภิกษนุ ้นั นำกายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทยี บให้เห็นวา่ “ถงึ กายนี้ ก็มสี ภาพอยา่ งนั้น มลี กั ษณะอย่างน้ัน ไมล่ ว่ งพ น้ ความเปน็ อยา่ งนัน้ ไปได้” ฉนั นน้ั ดว้ ยวธิ นี ี้ ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรือพจิ ารณาเหน็ กายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดท้ังธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่ หรอื ว่า มีสติปรากฏอยู่เฉพาะห นา้ ว่า “กายมอียู่” ก็เพยี งเพือ่ อาศยั เจรญิ ญ าณ เจริญสติเท่านน้ั ไมอ่าศยั (ตัณหาและทฏิ ฐิ) อยู่ และไม่ยึดม่ัน ถือม่ัน อะไรๆ ในโลก ๘. เหน็ ซากศพอนั เขาท งิ้ ไวใ้ นป า่ ชา้ ซงึ่ เปน็ ท อ่ นกระดกู กองอยดู่ ว้ ย กันเกนิ กวา่ ๑ ปี แม้ฉันใด ภิกษุน้นั นำกายนเ้ีขา้ ไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า “ถงึ กายนี้ก็มสีภาพอยา่ งน้นั มลี กั ษณะอยา่ งนั้น ไม่ลว่ งพ ้นความเปน็ อยา่ ง น้นั ไปได้” ฉนั นัน้ ดว้ ยวธิ นี ้ี ชอ่ื วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรือพจิ ารณาเหน็ กายในกายทัง้ ภ ายในทง้ั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมเป็นเหตุดับใน
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 20 กายอยู่ หรือว่า มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “กายมีอยู”่ กเ็ พยี งเพอื่ อาศยั เจริญญ าณ เจริญสตเิทา่ นนั้ ไมอ่ าศัย (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยดึ มนั่ ถอื ม่ัน อะไรๆ ในโลก ๙. เหน็ ซากศพอันเขาท ิ้งไว้ในป ่าช้า ซงึ่ เป็นกระดูกผุปน่ เป็นชิน้ เลก็ ชิ้นน้อย แม้ฉนั ใด ภกิ ษุน้นั นำกายนีเ้ ขา้ ไปเปรยี บเทียบให้ เหน็ วา่ “ถึงกาย น้ีก็มีสภาพอย่างนั้น มีลักษณะอย่างน้ัน ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างน้ันไป ได”้ ฉันน้นั ดว้ ยวธิ นี ้ี ชอื่ วา่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายภายนอกอยู่ หรอื พจิ ารณาเห็นกายในกายทัง้ ภายในทง้ั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดท้ังธรรมเป็นเหตุดับใน กายอยู่ หรอื ว่า มีสติปรากฏอยูเ่ ฉพาะห น้าวา่ “กายมอี ยู่” กเ็ พยี งเพ่อื อาศัย เจรญิ ญ าณ เจรญิ สตเิ ท่านัน้ ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐ)ิ อยู่ และไม่ยดึ ม่นั ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก กายานุปสั สนา จบ ๒. เวทนาน ปุ สั สนา การพจิ ารณาเวทนา พจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายอยู่ อย่างนี้ เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดวา่ “เราเสวยสุขเวทนา”
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 21 เม่อื เสวยทกุ ขเวทนา ก็รชู้ ัดวา่ “เราเสวยท กุ ขเวทนา” เมอ่ื เสวยอท ุกขมสขุ เวทนา ก็รชู้ ัดวา่ “เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา” เมื่อเสวยสุขเวทนาที่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า “เราเสวยสุขเวทนาที่มี อามสิ ” เม่ือเสวยสุขเวทนาที่ไมม่ ีอามสิ ก็รู้ชดั ว่า “เราเสวยสุขเวทนาท ไ่ี ม่มี อามิส” เม่ือเสวยทุกขเวทนาท่ีมีอามิส ก็รู้ชัดว่า “เราเสวยทุกขเวทนาท่ีมี อามสิ ” เมื่อเสวยทุกขเวทนาท่ีไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า “เราเสวยทุกขเวทนาท่ี ไม่มีอามิส” เมอ่ื เสวยอท ุกขมสุขเวทนาทม่ีีอามสิ ก็รู้ชัดว่า “เราเสวยอทกุ ขมสุข เวทนาทมี่ อี ามิส” เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า “เราเสวยอทุกข- มสขุ เวทนาทไี่ มม่ ีอามิส” ด้วยวิธีน้ี ช่ือว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทงั้ ห ลายภายนอกอยู่ หรอื พ จิ ารณาเหน็ เวทนา ในเวทนาท้ังหลายทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุ เกิดในเวทนาท้งั ห ลายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเปน็ เหตดุับในเวทนาท ้ังหลาย อยู่ หรือพ ิจารณาเหน็ ทงั้ ธรรมเปน็ เหตเุ กิดทัง้ ธรรมเป็นเหตดุบั ในเวทนาท ้งั หลายอยู่ หรอื วา่ มสี ตปิ รากฏอยเู่ ฉพาะห นา้ วา่ “เวทนามอี ย”ู่ กเ็ พยี งเพอ่ื อาศยั เจริญญ าณ เจริญสตเิท่าน้นั ไมอ่าศัย (ตัณหาและท ฏิ ฐ)ิ อยู่ และไม่ยึดมั่น ถือม่ัน อะไรๆ ในโลก
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 22 ๓. จติ ตาน ปุ สั สนา การพจิ ารณาจิต พิจารณาเหน็ จติ ในจติ อยู่ อยา่ งนี้ จิตมรี าคะ ก็รู้ชัดว่า “จติ มรี าคะ” จติ ปราศจากราคะ ก็รู้ชดั วา่ “จติ ปราศจากราคะ” จติ มโีทสะ ก็รู้ชดั วา่ “จิตมีโทสะ” จติ ปราศจากโทสะ กร็ู้ชดั วา่ “จติ ป ราศจากโทสะ” จิตมโี มหะ ก็รู้ชดั วา่ “จติ มีโมหะ” จิตปราศจากโมหะ กร็ ู้ชดั วา่ “จิตป ราศจากโมหะ” จิตหดหู่ ก็รชู้ดั ว่า “จติ หดห่”ู จิตฟ้งุ ซ่าน ก็รชู้ ัดว่า “จติ ฟ งุ้ ซ่าน” จติ เปน็ มหคั คตะ ก็รู้ชัดว่า “จติ เป็นมหัคคตะ” จิตไม่เปน็ มหัคคตะ กร็ู้ชดั วา่ “จิตไมเ่ ป็นมหคั คตะ” จติ มจีิตอื่นยง่ิ กว่า ก็รชู้ ัดวา่ “จิตมีจติ อน่ื ย่ิงกวา่ ” จติ ไม่มีจติ อื่นยง่ิ กวา่ กร็ู้ชัดวา่ “จติ ไม่มีจติ อน่ื ยง่ิ กวา่ ” จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ชดั วา่ “จติ เป็นสมาธิ” จติ ไม่เปน็ สมาธิ ก็รชู้ ัดว่า “จิตไม่เปน็ สมาธ”ิ จิตหลุดพ้นแล้ว กร็ ชู้ ดั วา่ “จติ หลุดพน้ แลว้ ” จติ ไม่หลดุ พ้น กร็ชู้ ดั วา่ “จติ ไม่หลดุ พน้ ” ดว้ ยวธิ นี ้ี ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ จติ ในจติ ภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ จติ ในจติ ภายนอกอยู่ หรือพ จิ ารณาเห็นจิตในจติ ทง้ั ภ ายในท ัง้ ภ ายนอกอยู่ พิจารณา เหน็ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ในจติ อยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตดุ บั ในจติ อยู่ หรอื พจิ ารณาเห็น ทัง้ ธรรมเป็นเหตุเกดิ ท้ังธรรมเป็นเหตดุบั ในจติ อยู่
มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 23 หรือว่า ภิกษนุั้นมีสตปิ รากฏอยเู่ฉพาะห น้าว่า “จิตมีอย”ู่ กเ็ พยี งเพื่อ อาศยั เจริญญาณ เจรญิ สติเท่านน้ั ไมอ่ าศัย (ตัณหาและทิฏฐ)ิ อยู่ และไม่ ยดึ มน่ั ถอื มนั่ อะไรๆ ในโลก ๔. ธัมม านุป ัสสนา การพจิ ารณาธรรม ๔.๑. หมวดนวิ รณ์ พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คอื นวิ รณ์ ๕ อยู่ อย่างน้ี ๑. เมอื่ กามฉนั ทะ (ความพ อใจในกาม) ภายในมอี ยู่ กร็ ชู้ ดั วา่ “กาม ฉันทะภายในของเรามีอยู่” หรือเมื่อกามฉันทะภายใน ไม่มีอยู่ ก็รู้ชัดว่า “กามฉนั ทะภายในของเราไม่มีอย่”ู การเกิดขึน้ แห่งกามฉนั ทะทย่ี งั ไม่เกิด ข้ึนมีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุน้ัน การละกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วย เหตใุ ด กร็ ู้ชดั เหตนุ น้ั และกามฉันทะท่ีละได้แล้ว จะไม่เกดิ ขึ้นตอ่ ไปอีกดว้ ย เหตใุด กร็ ชู้ ดั เหตนุ น้ั ๒. เมื่อพยาบาท (ความคิดร้าย) ภายในมีอยู่ ก็ร้ชู ัดว่า “พยาบาท ภายในของเรามีอย่”ู หรอื เม่ือพยาบาทภายในไมม่ ีอยู่ กร็ชู้ ัดวา่ “พยาบาท ภายในของเราไมม่ อี ย”ู่ การเกดิ ขนึ้ แหง่ พ ยาบาทท ยี่ งั ไมเ่ กดิ ขน้ึ มไี ดด้ ว้ ยเหตุ ใด ก็รู้ชัดเหตนุ ัน้ การละพ ยาบาทท ี่ เกิดขนึ้ แลว้ มไี ด้ด้วยเหตใุด กร็ู้ชดั เหตุ น้นั และพ ยาบาททล่ีะ ได้แลว้ จะไมเ่กิดขึ้นต่อไปอกี ดว้ ยเหตใุด กร็ ชู้ ัดเหตุ นน้ั ๓. เมือ่ ถนี มทิ ธะ (ความหดหแู่ ละเซอื่ งซึม) ภายในมีอยู่ ก็รชู้ ดั วา่ “ถนี มทิ ธะภ ายในของเรามอี ยู่” หรอื เม่ือถีนมิทธะภ ายในไม่มีอยู่ กร็ ชู้ ัดว่า
มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 24 “ถีนมทิ ธะภ ายในของเราไม่มีอย”ู่ การเกิดข้นึ แหง่ ถีนมิทธะทย่ี งั ไม่เกดิ ขึน้ มีได้ดว้ ยเหตใุด กร็ู้ชดั เหตนุ ้ัน การละ ถนี มิทธะทเี่ กดิ ขนึ้ แล้วมไี ดด้้วยเหตุ ใด ก็รชู้ัดเหตนุ นั้ และ ถีนมทิ ธะท ่ีละได้แลว้ จะไม่เกิดขึน้ ตอ่ ไปอีกดว้ ยเหตุ ใด กร็ ู้ชดั เหตนุ ัน้ ๔. เมอ่ื อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ(ความฟ งุ้ ซา่ นและรอ้ นใจ)ภายในมอี ยู่ กร็ ชู้ ดั ว่า “อุทธจั จกกุ กุจจะภายในของเรามอี ยู่” หรอื เม่อื อทุ ธจั จกุกกจุ จะภ ายใน ไม่มีอยู่ ก็รชู้ ัดว่า “อุทธจั จกุกกจุ จะภายในของเราไม่มีอย่”ู การเกดิ ขึน้ แหง่ อทุ ธจั จกุกกุจจะทยี่ ังไมเ่ กดิ ข้ึนมไี ดด้ว้ ยเหตุใด กร็ูช้ ัดเหตนุน้ั การละอุทธจั จกุกกุจจะทเ่ี กิดข้ึนแล้วมไีด้ด้วย เหตุใด ก็รูช้ ดั เหตนุ ้นั และอุทธัจจกุกกุจจะ ที่ละได้แล้ว จะไมเ่ กดิ ขนึ้ ต่อไปอกี ด้วยเหตใุ ด กร็ ู้ชดั เหตนุ ้นั ๕. เมอ่ื วจิ กิ จิ ฉา (ความลงั เลสงสยั ) ภายในมอี ยู่ กร็ ชู้ ดั วา่ “วจิ กิ จิ ฉา ภายในของเรามีอย่”ู หรือเมื่อวิจกิ ิจฉาภายในไม่มีอยู่ ก็รชู้ ัดวา่ “วิจิกจิ ฉา ภายในของเราไม่มีอย”ู่ การเกดิ ขน้ึ แหง่ วิจกิ จิ ฉาทยี่ังไม่เกดิ ขนึ้ มีไดด้ว้ ยเหตุ ใด ก็รชู้ ดั เหตุน้ัน การละวจิ ิกจิ ฉาท่ีเกดิ ขึ้น แล้วมีได้ด้วยเหตใุด ก็รู้ชัดเหตุ นน้ั และวิจิกิจฉาท ล่ี ะได้แลว้ จะไมเ่ กิดข้นึ ต่อไปอกี ดว้ ยเหตใุ ด ก็ร้ชู ัดเหตุ นนั้ ด้วยวิธีน้ี ช่ือว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรม ในธรรมท้ังหลายทั้งภายใน ทั้งภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุ เกิดในธรรมทั้งหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในธรรมท้ังหลาย อยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรม เป็นเหตุดับในธรรม ท้ังหลายอยู่ หรอื วา่ มสี ตปิ รากฏอยเู่ ฉพาะห นา้ วา่ “ธรรมมอี ย”ู่ กเ็ พยี งเพอื่ อาศยั
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 25 เจริญญาณ เจรญิ สติเท่านั้น ไม่อาศยั (ตัณหาและท ฏิ ฐิ) อยู่ และไม่ยึดม่ัน ถอื ม่ัน อะไรๆ ในโลก ๔.๒. หมวดขนั ธ์ อีกป ระการหนงึ่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย คือ อุปาทาน ขันธ์ ๕ อยู่ อย่างนวี้ า่ ๑. รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับแห่งรูป เป็นอย่างน ้ี ๒. เวทนาเป็นอยา่ งนี้ ความเกิดแห่งเวทนาเปน็ อยา่ งน้ี ความดบั แห่งเวทนาเป็นอยา่ งน้ี ๓. สัญญาเป็นอยา่ งน้ี ความเกิดแห่งสญั ญาเป็นอย่างน้ี ความดบั แหง่ สญั ญาเปน็ อยา่ งน้ี ๔. สังขารเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งสังขารเป็นอย่างนี้ ความดับ แหง่ สงั ขารเป็นอยา่ งน้ี ๕. วญิ ญาณเป็นอย่างนี้ ความเกดิ แห่งวิญญาณเป็นอยา่ งนี้ ความ ดับแหง่ วิญญาณเปน็ อย่างนี้ ด้วยวิธีน้ี ช่ือว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายภายในอยู่ พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมทั้งหลายภ ายนอก๒อยู่ หรอื พ จิ ารณาเห็นธรรม ในธรรมทง้ั หลายทงั้ ภายในทง้ั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ใน ธรรมท้ังห ลายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเปน็ เหตดุับในธรรมท้ังหลายอยู่ หรอื พจิ ารณาเหน็ ทัง้ ธรรมเปน็ เหตุเกดิ ท้งั ธรรมเปน็ เหตดุ บั ในธรรมทั้งห ลายอยู่ หรอื วา่ มสี ตปิ รากฏอยเู่ ฉพาะห นา้ วา่ “ธรรมมอี ย”ู่ กเ็ พยี งเพอ่ื อาศยั
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 26 เจรญิ ญ าณ เจริญสติเทา่ นั้น ไม่อาศัย (ตัณหาและท ิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมั่น ถอื มัน่ อะไรๆ ในโลก ๔.๓. หมวดอายตนะ อีกประการหน่ึง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งหลาย คือ อายตนะภ ายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ อยู่ ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมทง้ั ห ลาย คอื อายตนะภายใน ๖ และ อายตนะภ ายนอก ๖ อยู่ อยา่ งไร คอื ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นี้ ๑. รู้ชัดตา รู้ชดั รปู สงั โยชนใ์ ดอาศัยตาและรูปท ัง้ สองน้นั เกดิ ขน้ึ ก็ รูช้ ัดสังโยชน์นั้น การเกิดขน้ึ แห่งสงั โยชนท์ ี่ยงั ไม่เกิดขึ้นมไีด้ดว้ ยเหตใุ ด ก็รู้ ชัดเหตุนั้น การละสงั โยชนท์ ่ีเกดิ ขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตใุด ก็รูช้ ัดเหตนุ นั้ และ สงั โยชนท์ ี่ละได้แลว้ จะไมเ่ กิดขึน้ ตอ่ ไปอกี มีได้ดว้ ยเหตใุด ก็รู้ชดั เหตนุ นั้ ๒. รู้ชดั หู รู้ชัดเสยี ง สงั โยชนใ์ ดอาศยั หูและเสียงท ้ังสองนั้นเกดิ ขน้ึ กร็ ู้ชดั สังโยชน์นัน้ การเกิดขนึ้ แหง่ สงั โยชนท์ ี่ยงั ไมเ่กดิ ข้นึ มีได้ด้วยเหตใุด กร็ ู้ ชัดเหตนุ ้ัน การละสังโยชนท์ ี่เกดิ ขึน้ แลว้ มไี ดด้ ว้ ยเหตใุ ด ก็รูช้ ดั เหตนุ ้ัน และ สังโยชนท์ ี่ละได้แล้วจะไมเ่กดิ ขึน้ ต่อไปอกี มีไดด้ว้ ยเหตใุ ด ก็ร้ชู ัดเหตนุั้น ๓. รู้ชัดจมูก รู้ชัดกล่ิน สังโยชน์ใดอาศัยจมูกและกล่ินท้ังสองน้ัน เกดิ ขนึ้ กร็ ู้ชัดสงั โยชน์นัน้ การเกิดขน้ึ แห่งสงั โยชนท์ ่ียงั ไม่ เกดิ ขน้ึ มีได้ด้วย เหตุใด กร็ ู้ชัดเหตุนัน้ การละสงั โยชนท์ ี่เกิด ขึ้นแล้ว มีไดด้ ว้ ยเหตใุ ด กร็ ู้ชดั เหตุนั้น และสังโยชนท์ ี่ละได้แล้ว จะไมเ่ กิดข้นึ ตอ่ ไปอกี มีได้ด้วยเหตใุด กร็ ู้ ชดั เหตุนน้ั ๔. รู้ชัดล้ิน รูช้ ัดรส สังโยชนใ์ ดอาศยั ลิ้นและรสท ั้งสองน้นั เกดิ ขึน้ ก็ รู้ชดั สงั โยชน์นนั้ การเกิดขน้ึ แห่งสงั โยชนท์ ่ียงั ไม่เกดิ ขนึ้ มไี ด้ด้วยเหตใุ ด ก็รู้
มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 27 ชดั เหตุนั้น การละสังโยชนท์ เ่ี กดิ ขึน้ แลว้ มีไดด้้วยเหตใุ ด ก็รู้ชัดเหตนุ ้ัน และ สังโยชนท์ ีล่ะได้แลว้ จะไมเ่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ไปอกี มีไดด้้วยเหตใุด ก็รูช้ ัดเหตนุ้ัน ๕. รชู้ ดั กาย รชู้ ดั โผฏฐพั พะ สงั โยชนใ์ ดอาศยั กายและโผฏฐพั พะ ทง้ั สองนัน้ เกิดข้ึน กร็ู้ชดั สงั โยชนน์ั้น การเกดิ ขนึ้ แห่งสังโยชน์ที่ยงั ไม่เกดิ ขน้ึ มไี ด้ ด้วยเหตุใด ก็ร้ชู ดั เหตนุ ั้น การละสงั โยชน์ท ี่เกิดขน้ึ แลว้ มีได้ด้วยเหตใุด ก็รู้ ชัดเหตนุ น้ั และสงั โยชน์ที่ละไดแ้ ลว้ จะไมเ่กดิ ขนึ้ ต่อไปอีก มไี ด้ด้วยเหตใุด กร็ ู้ชัดเหตุน้ัน ๖. รู้ชดั ใจ รชู้ดั ธรรมารมณ์ สงั โยชนใ์ดอาศัยใจและธรรมารมณ์ ทง้ั สองนน้ั เกิดขึ้น กร็ู้ชดั สังโยชนน์ ้ัน การเกดิ ข้นึ แหง่ สงั โยชนท์ ่ยี ังไม่เกิดข้ึนมไี ด้ ด้วยเหตใุ ด กร็ู้ชัดเหตุนั้น การละสงั โยชนท์ ี่ เกดิ ขึ้นแล้วมไี ดด้ ว้ ยเหตใุ ด ก็ รชู้ัดเหตนุัน้ และสงั โยชนท์ ลี่ะ ได้แลว้ จะไม่เกิดขึน้ ต่อไปอีก มีได้ดว้ ยเหตใุด ก็ร้ชูัดเหตนุ ้นั ด้วยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมท งั้ ห ลายภายนอกอยู่ หรอื พ จิ ารณาเหน็ ธรรมใน ธรรมท ง้ั ห ลาย ทง้ั ภายในท งั้ ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ใน ธรรมท้ังห ลายอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเป็นเหตดุ ับในธรรมท ั้งหลายอยู่ หรือ พจิ ารณาเหน็ ท้งั ธรรมเปน็ เหตุเกิดทัง้ ธรรมเป็นเหตดุ บั ในธรรมทัง้ หลายอยู่ หรอื ว่า ภกิ ษุนนั้ มสีติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “ธรรมมีอยู่” กเ็พยี ง เพ่ืออาศัยเจรญิ ญาณ เจรญิ สติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตณั หาและท ฏิ ฐ)ิ อยู่ และ ไม่ยดึ มนั่ ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ๔.๔. หมวดโพชฌงค์ พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมทง้ั หลาย คือ โพชฌงค์ ๗ อยู่อย่างนี้
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 28 ๑. เมอ่ื สตสิ มั โพชฌงคภ์ ายในมอี ยู่ กร็ ชู้ ดั วา่ “สตสิ มั โพชฌงคภ์ ายใน ของเรามีอย”ู่ หรอื เม่อื สติสมั โพชฌงคภ์ ายในไม่มีอยู่ ก็รู้ ชดั ว่า “สตสิ มั โพชฌงค์ภายในของเราไม่มีอยู่” การเกิดข้ึนแห่งสติสัมโพชฌงค์ท่ียังไม่ เกิดขึ้น มีได้ด้วยเหตใุ ด กร็ ู้ชัดเหตุนนั้ และความเจริญบ ริบูรณแ์หง่ สติสมั โพชฌงค์ทเ่ี กิดขึ้นแลว้ มีได้ดว้ ยเหตใุ ด กร็ ู้ชดั เหตนุ ้นั ๒. เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ภายในมีอยู่ ก็รู้ชัดว่า “ธัมมวิจยสัม โพชฌงค์ภายในของเรามอี ยู่” หรอื เมอื่ ธัมมวิจยสมั โพชฌงค์ภายในไม่มีอยู่ กร็ ชู้ ดั วา่ “ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคภ์ ายในของเราไมม่ อี ย”ู่ การเกดิ ขน้ึ แหง่ ธมั ม วิจยสัมโพชฌงค์ท่ียังไม่เกิดข้ึน มีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุน้ัน และความ เจริญบริบูรณ์แห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ท่ีเกิดขึ้นแล้ว มีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ ชัด เหตนุ้นั ๓. เมอ่ื วริ ยิ สมั โพชฌงคภ์ ายในมอี ยู่ กร็ ชู้ ดั วา่ “วริ ยิ สมั โพชฌงคภ์ ายใน ของเรามีอยู่” หรอื เมอ่ื วริ ยิ สมั โพชฌงคภ์ ายในไมม่ ีอยู่ ก็รู้ ชดั ว่า “วริิยสัม โพชฌงค์ภายในของเราไม่มีอยู่” การเกิดข้ึนแห่งวิริยสัมโพชฌงค์ท่ียังไม่ เกิดขึน้ มีไดด้ ว้ ยเหตใุ ด ก็รู้ชัดเหตนุ ัน้ และความเจริญบ รบิ ูรณแ์ ห่งวริ ยิ สมั โพชฌงคท์ เี่กดิ ข้ึนแลว้ มีได้ดว้ ยเหตุใด กร็ ู้ชดั เหตนุ น้ั ๔. เมื่อปีติสัมโพชฌงค์ภายในมีอยู่ ก็รู้ชัดว่า “ปีติสัมโพชฌงค์ ภายในของเรามีอยู”่ หรือเม่ือป ีตสิมั โพชฌงคภ์ ายในไม่มีอยู่ ก็รชู้ ัดว่า “ปตีิ สัมโพชฌงค์ภายในของเราไม่มีอยู่” การเกิดข้ึนแห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่ เกดิ ขึ้น มีไดด้้วยเหตุใด ก็รชู้ดั เหตนุ ั้น และความเจรญิ บ ริบรู ณแ์ห่งป ตีิสัม โพชฌงคท์ เี่กดิ ขน้ึ แลว้ มไี ด้ด้วยเหตใุ ด ก็รู้ชดั เหตนุ ัน้ ๕. เม่ือปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ภายในมีอยู่ ก็รู้ชัดว่า “ปัสสัทธิ-สัม โพชฌงค์ภายในของเรามีอยู่” หรือเม่ือปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ภายในไม่มีอยู่
มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 29 ก็รู้ชัดว่า “ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ภายในของเรา ไม่มีอยู่” การเกิดข้ึนแห่ง ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงคท์ ยี่ งั ไมเ่ กดิ ขนึ้ มไี ดด้ ว้ ยเหตใุ ด กร็ ชู้ ดั เหตนุ น้ั และความ เจรญิ บ ริบรู ณแ์ ห่งป สั สัทธิ-สมั โพชฌงคท์ ่ีเกิดข้ึนแล้ว มไี ดด้ ้วยเหตใุด ก็รชู้ัด เหตนุ ้นั ๖. เม่อื สมาธิสมั โพชฌงคภ์ ายในมอียู่ ก็รชู้ ัดวา่ “สมาธิสัมโพชฌงค์ ภายในของเรามีอยู่” หรือเมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ภายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชัดว่า “สมาธสิ มั โพชฌงคภ์ ายในของเราไมม่ อี ย”ู่ การเกดิ ขน้ึ แหง่ สมาธสิ มั โพชฌงค์ ที่ยงั ไมเ่กิดขนึ้ มีไดด้ ้วยเหตุใด ก็รู้ชัด เหตนุ นั้ และความเจรญิ บ รบิ ูรณแ์ หง่ สมาธิสัมโพชฌงค์ท่ีเกดิ ขึ้นแล้ว มไีดด้ ้วยเหตใุด ก็รู้ชดั เหตนุน้ั ๗. เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์ภายในมีอยู่ ก็รู้ชัดว่า “อุเบกขา-สัม โพชฌงค์ภายในของเรามีอยู่” หรือเม่ืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ภายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชัดว่า “อุเบกขาสัมโพชฌงค์ภายในของเราไม่ มีอยู่” การเกิดข้ึนแห่ งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดข้ึน มีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุน้ัน และ ความเจริญบ รบิ ูรณแ์หง่ อเุ บกขา-สมั โพชฌงค์ที่เกิดขน้ึ แลว้ มีได้ดว้ ยเหตใุ ด กร็ ชู้ ดั เหตุนัน้ ด้วยวิธีนี้ ช่ือว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรม ในธรรมทั้งหลายทั้งภายใน ท้ังภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุ เกิดในธรรมท้ังหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในธรรมท้ังหลาย อยู่ หรือพิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรม เป็นเหตุดับในธรรม ท้ังหลายอยู่ หรอื วา่ ภกิ ษุน้ันมีสติปรากฏอย่เูฉพาะห น้าว่า “ธรรมมอี ย”ู่ กเ็พยี ง เพือ่ อาศัย เจริญญ าณ เจริญสติเทา่ น้ัน ไมอ่ าศยั (ตณั หาและท ฏิ ฐ)ิ อยู่
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 30 และไมย่ึดมั่นถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ๔.๕. หมวดสจั จะ พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อริยสจั ๔ อย่อู ย่างนี้ รู้ชัดตามความเปน็ จรงิ ว่า “นี้ทกุ ข”์ รู้ชดั ตามความเป็นจรงิ วา่ “นี้ทกุ ขสมุทยั ” รู้ชดั ตามความเป็นจรงิ ว่า “น้ีทกุ ขนิโรธ” รู้ชัดตามความเป็นจริงวา่ “น้ีทุกขนิโรธคามินปี ฏปิ ทา” ทกุ ขสจั จนิทเทส ทกุ ขอรยิ สจั คอื ชาติ (ความเกดิ ) เปน็ ท กุ ข์ ชรา (ความแก)่ เปน็ ท กุ ข์ มรณะ (ความตาย) เป็นทุกข์ โสกะ (ความโศก) ปรเิ ทวะ (ความครำ่ ครวญ) ทุกข์ (ความทกุ ข์กาย) โทมนัส (ความทุกข์ใจ) อุป ายาส (ความคบั แคน้ ใจ) เป็นทุกข์ การประสบกับอารมณ์อนั ไมเ่ป็นที่รักเปน็ ท กุ ข์ ความพลดั พราก จากอารมณ์อันเป็นท่ีรักเป็นทุกข์ การไม่ได้ส่ิงที่ต้องการเป็นทุกข์ โดยย่อ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เปน็ ทุกข์ ชาติ คอื ความเกิด ความเกดิ พร้อม ความหยัง่ ลง ความบงั เกดิ ความบงั เกดิ เฉพาะ ความปรากฏแหง่ ขันธ์ ความได้อายตนะ ในหมู่สตั ว์ น้ันๆ ของเหล่าสตั ว์นัน้ ๆ ชรา คือ ความแก่ ความครำ่ คร่า ความมฟี นั ห ลุด ความมีผมหงอก ความมหี นังเหี่ยวย่น ความเสอื่ มอายุ ความแก่ห ง่อมแห่งอนิ ทรยี ์ ในหมู่ สตั ว์น้ันๆ ของเหลา่ สัตว์นั้นๆ มรณะ คอื ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความหายไป
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 31 ความตาย กล่าวคอื มฤตยู การทำกาละ ความแตกแห่งขนั ธ์ ความทอด ทง้ิ รา่ งกาย ความ ขาดสญู แหง่ ชีวติ นิ ทรยี ์ ในหมู่สตั วน์ นั้ ๆ ของเหล่าสัตว์ น้ันๆ โสกะ คอื ความเศรา้ โศก กิริยาท่ีเศรา้ โศก ภาวะที่เศร้าโศก ความ แหง้ ผากภายใน ความแหง้ กรอบภายใน ของผปู้ ระกอบดว้ ยความเสอื่ มอยา่ ง ใดอยา่ งหนง่ึ (หรอื ) ผูท้ ถี่ กู เหตุแหง่ ท ุกข์อยา่ งใดอยา่ งห นงึ่ กระทบ ปรเิ ทวะ คือ ความรอ้ งไห้ ความคร่ำครวญ กิริยาท ่ีรอ้ งไห้ กริ ิยาท ี่ ครำ่ ครวญ ภาวะท ี่ รอ้ งไห้ ภาวะทค่ี รำ่ ครวญ ของผปู้ ระกอบดว้ ยความเสอ่ื ม อยา่ งใดอย่างห นงึ่ (หรือ) ผู้ทถ่ี กู เหตุแห่งทุกขอ์ ย่างใดอยา่ งหนง่ึ กระทบ ทุกข์ คอื ความทกุ ข์ทางกาย ความไม่สำราญทางกาย ความเสวย อารมณ์ทไี่ม่ สำราญ เปน็ ทุกข์ อนั เกดิ จากกายสัมผสั โทมนัส คือ ความทุกข์ทางใจ ความไมส่ ำราญทางใจ ความเสวย อารมณ์ทไ่ีม่สำราญเปน็ ทกุ ขอ์ันเกดิ จากมโนสัมผสั อปุ ายาส คอื ความแค้น ความคับแคน้ ภาวะทแ่ี ค้น ภาวะที่คับแค้น ของผปู้ ระกอบ ดว้ ยความเสอื่ มอยา่ งใดอยา่ งห นง่ึ (หรอื )ผทู้ ถ่ี กู เหตแุ หง่ ท กุ ข์ อย่างใดอย่างห น่งึ กระทบ การป ระสบกบั อารมณ์อนั ไมเ่ปน็ ที่รกั เป็นทุกข์ คอื การไปรว่ ม การ มารว่ ม การประชมุ รว่ ม การอยูร่ ่วมกบั อารมณ์อันไม่ เป็นท ีป่ รารถนา ไม่ เป็นท่ีรักใคร่ ไม่เป็นที่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ หรือจากบคุ คลผปู้ รารถนาแต่สิ่งท ี่ไมใ่ ช่ประโยชน์ ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่เก้ือกูล ปรารถนาแต่ส่ิงที่ไม่ผาสุก ปรารถนาแต่ส่ิงที่ ไม่มีความเกษม จากโยคะของเขา
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 32 การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ คือ การไม่ไป ร่วม การไม่มารว่ ม การไมป่ ระชุมรว่ ม การไมอ่ ยรู่ ่วมกับอารมณ์อันเปน็ ท ่ี ปรารถนา เปน็ ท่ีรักใคร่ เป็นท่ีชอบใจของเขาในโลกน้ี เช่น รูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ หรอื กับบุคคลผปู้ รารถนาประโยชน์ ปรารถนา ความ เก้อื กูล ปรารถนาความผาสกุ ปรารถนาความเกษมจากโยคะของ เขา เชน่ มารดา บิดา พชี่าย น้องชาย พส่ี าว นอ้ งสาว มติ ร อำมาตย์ หรือญ าตสิ าโลหติ การไม่ได้ส่ิงที่ต้องการเป็นทุกข์ คือ เหล่าสัตว์ผู้มีความเกิดเป็น ธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนีว้ า่ “ไฉนหนอ ขอเราอย่าได้มคีวาม เกดิ เป็นธรรมดา หรอื ขอความเกิดอยา่ ไดม้ าถึง เราเลย” ข้อน้ีไม่พึงสำเรจ็ ได้ตามความปรารถนา เหลา่ สัตว์ผู้มีความแกเ่ ป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสตั วผ์ู้มีความเจบ็ เปน็ ธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตวผ์ ู้มีความตายเป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสตั วผ์ ู้มีความโศก ความครำ่ ครวญ ความทกุ ขก์ าย ความทุกข์ ใจและความคับแคน้ ใจเปน็ ธรรมดา ต่างก็เกดิ ความปรารถนาข้ึนอยา่ งนว้ี่า “ไฉนห นอ ขอเราอยา่ ได้เป็นผมู้คี วามโศก ความครำ่ ครวญ ความทุกขก์ าย ความท กุ ขใ์ จ และความคบั แคน้ ใจเปน็ ธรรมดาเลย และขอความโศก ความ คร่ำครวญ ความ ทกุ ข์กาย ความทกุ ข์ใจ และความคับแค้นใจ อย่าได้มา ถงึ เราเลย” ข้อนไี้ม่พึง สำเร็จได้ตามความปรารถนา โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เปน็ ท กุ ข์ คอื รปู ูปาทานขนั ธ์ (อปุ าทาน ขันธ์คือรปู ) เวทนูปาทานขนั ธ์ (อปุ าทานขนั ธ์คือเวทนา) สัญญูปาทานขนั ธ์ (อุปาทานขันธ์คือสัญญา) สังขารูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์ คือสังขาร)
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 33 วญิ ญาณปู าทานขันธ์ (อปุ าทานขันธ์คือวญิ ญาณ) นี้เรยี กว่า ทกุ ขอริยสัจ สมุทยสัจจนทิ เทส ทกุ ขสมทุ ยอรยิ สจั คอื ตณั หานเี้ ปน็ เหตเุ กดิ ขน้ึ ในภพใหม่ สหรคตดว้ ย ความกำหนดั ยินดี เปน็ เหตุ เพลิดเพลนิ ในอารมณ์นน้ั ๆ คอื กามตัณหา ภวตณั หา และวิภวตัณหา ตัณหานี้แหละ เมือ่ เกิดขึ้น เกดิ ทไี่ หน เม่อื ต้งั อยู่ ต้งั อยทู่ ่ไี หน คอื ปยิ รูปสาตรปู ใดมอี ย่ใู นโลก ตณั หาน้เี มอื่ เกดิ ก็เกดิ ท่ปี ิยรปู สาต รูปน้ี เมอ่ื ต้ังอยู่ กต็ ัง้ อยทู่ ี่ป ิยรปู สาตรูปน้ี อะไรเป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก คอื จกั ขเุ ปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานเ้ี มอื่ เกดิ กเ็ กดิ ท จี่ กั ขนุ ี้ เมอ่ื ตัง้ อยู่ กต็ ง้ั อยู่ท่จี กั ขุนี้ โสตะเป็นปยิ รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ฆานะเป็นป ยิ รูป สาตรปู ในโลก ฯลฯ ชิวหาเปน็ ปยิ รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กายเป็นป ิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ มโนเปน็ ป ิยรปู สาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่อื เกิด ก็เกดิ ท่ีมโนน้ี เมอื่ ตั้งอยู่ กต็ ั้งอยู่ท่มี โนนี้ รปู เป็นป ิยรปู สาตรปู ในโลก ตณั หานเี้ มอ่ื เกิด ก็เกดิ ท ่ีรูปน้ี เมือ่ ต้งั อยู่ กต็ ้งั อยู่ ท่ีรปู น้ี เสยี งเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กล่นิ เป็นป ยิ รูปสาตรูป ในโลก ฯลฯ รสเปน็ ปิยรูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ โผฏฐัพพะเปน็ ป ยิ รปู สาต รปู ในโลก ฯลฯ ธรรมารมณ์เป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก ตัณหานี้เม่อื เกดิ ก็ เกดิ ท ่ีธรรมารมณ์นี้ เมื่อตัง้ อยู่ ก็ตง้ั อยู่ ทธี่ รรมารมณ์น้ี จักขุวิญญาณเป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก ตณั หาน้ีเมอื่ เกิด กเ็ กดิ ท จ่ีกั ขุ
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 34 วญิ ญาณน้ี เมอื่ ตั้งอย่กู็ตง้ั อยู่ทจ่ีักขุวิญญาณนี้ โสตวิญญาณเปน็ ป ิยรูปสาต รปู ในโลก ฯลฯ ฆานวญิ ญาณเปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ ชวิ หาวญิ ญาณ เปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ กายวญิ ญาณเปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ มโนวญิ ญาณเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานเ้ี มอื่ เกดิ กเ็ กดิ ทม่ี โนวญิ ญาณ นี้ เมื่อต้งั อยู่ กต็ ั้งอยู่ ที่มโนวิญญาณนี้ จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดท่ีจักขุ สัมผัสนี้ เม่ือต้ังอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุสัมผัสนี้ โสตสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูป ในโลก ฯลฯ ฆาน-สัมผัสเปน็ ปิยรูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ ชวิ หาสัมผสั เปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ กายสมั ผัสเปน็ ปิยรปู สาตรูปในโลก ฯลฯ มโน สมั ผัสเปน็ ปยิ รูปสาตรปู ในโลก ตัณหานี้เมอ่ื เกิด กเ็ กดิ ท ่มี โนสัมผัสนี้ เมือ่ ตง้ั อยู่ ก็ตงั้ อยทู่ ม่ีโนสัมผสั น้ี เวทนาท เี่ กดิ จากจกั ขสุ มั ผสั เปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานเ้ี มอ่ื เกดิ กเ็ กิดท่ี เวทนาซ่ึงเกดิ จากจักขุสัมผสั นี้ เม่ือตั้งอยู่ ก็ตงั้ อย่ทู ่ีเวทนาซง่ึ เกดิ จากจกั ขุสัมผัสน้ี เวทนาทเี่กดิ จากโสตสมั ผสั เปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ เวทนาท เี่ กดิ จากฆานสมั ผสั เปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ เวทนาท เี่ กดิ จาก ชวิ หาสมั ผสั เปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ เวทนาทเ่ี กดิ จากกายสมั ผสั เปน็ ปิยรปู สาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัสเป็นปยิ รูปสาตรปู ใน โลก ตัณหาน้ีเมอื่ เกิด กเ็ กดิ ท่เีวทนาซ่ึงเกดิ จากมโนสัมผัสน้ี เมอ่ื ตั้งอยู่ ก็ ตัง้ อยู่ทีเ่ วทนาซึ่งเกดิ จากมโนสัมผสั นี้ รปู สญั ญา (ความกำหนดห มายรรู้ ปู ) เปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หา น้ีเม่อื เกดิ ก็เกดิ ท รี่ ูปสัญญาน้ี เมือ่ ตงั้ อยกู่ ต็ ง้ั อยู่ทร่ี ปู สัญญาน้ี สัททสัญญา เป็นปิยรปู สาตรูป ในโลก ฯลฯ คันธสัญญาเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสสญั ญาเปน็ ป ิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พ สญั ญาเป็นป ิยรปู สาตรปู
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 35 ในโลก ฯลฯ ธัมมสัญญาเป็นปิยรูป-สาตรูปในโลก ตัณหานเี้ ม่ือเกิด กเ็ กิด ที่ธมั มสญั ญาน้ี เมอ่ื ตง้ั อยู่ กต็ ้งั อยู่ที่ธมั ม- สญั ญาน้ี รูปสัญเจตนา (ความจำนงในรปู ) เปน็ ปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมอ่ื เกดิ กเ็กดิ ท รีู่ปสญั เจตนานี้ เมือ่ ตั้งอยู่ กต็ ัง้ อยทู่ ี่รปู สญั เจตนานี้ สทั ท สัญเจตนาเปน็ ปิยรูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ คันธสัญเจตนาเปน็ ป ิยรปู สาต รูปในโลก ฯลฯ รสสัญเจตนา เป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พ สญั เจตนาเป็นป ยิ รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ ธัมมสญั เจตนาเป็นป ิยรปู สาตรูป ในโลก ตัณหาน้ีเม่อื เกดิ กเ็กดิ ท่ีธมั มสญั เจตนานี้ เมื่อตงั้ อยู่ กต็ ั้งอย่ทู ธ่ี มั ม สัญเจตนาน้ี รูปตัณหา(ความอยากได้รูป)เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหาน้ีเม่ือ เกิด กเ็ กิด ทีรู่ปตัณหาน้ี เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอย่ทู ่ีรูปตัณหาน้ี สทั ทตัณหาเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ คนั ธตณั หาเป็นปิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รส ตัณหาเป็นป ยิ รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พ ตัณหาเปน็ ป ิยรปู สาตรปู ใน โลก ฯลฯ ธัมมตณั หาเป็นป ิยรปู สาตรูป ในโลก ตณั หาน้ีเม่อื เกดิ กเ็ กิดท ่ี ธัมมตัณหานี้ เมอื่ ตง้ั อยู่ กต็ ้งั อยทู่ ี่ธัมมตัณหาน้ี รูปวิตก(ความตรึกถึงรูป)เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดท่ี รูปวิตกน้ี เมอื่ ตง้ั อยู่ ก็ต้งั อย่ทู ่ีรปู วติ กน้ี สัททวติ กเป็นป ิยรปู สาต รปู ในโลก ฯลฯ คนั ธวิตกเปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสวิตกเปน็ ป ิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ โผฏฐัพพวติ กเปน็ ปิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ ธัมมวติ ก เปน็ ปยิ รปู สาตรูปในโลก ตณั หานีเ้ มื่อเกิด ก็เกิดทธ่ี ัมมวติ กน้ี เม่อื ตั้งอยู่ ก็ ตัง้ อยู่ท่ธี ัมมวิตกน้ี รปู วจิ าร (ความตรองถงึ รปู ) เปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานเี้ มอ่ื เกดิ ก็เกดิ ที่ รูปวิจารน้ี เมื่อต้งั อยูก่็ตง้ั อยู่ท่ีรูปวิจารน้ี สัทท วจิารเป็นป ิยรปู สาต
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทโิ ต รวบรวม 36 รปู ในโลก ฯลฯ คันธวิจารเป็นปิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสวจิ ารเปน็ ป ิย รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พ วจิ ารเปน็ ปยิ รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั ม วิจารเปน็ ป ิยรปู สาตรปู ในโลก ตัณหาน้ี เมือ่ เกิด ก็เกดิ ท ธ่ีัมมวจิ ารน้ี เมือ่ ตั้งอยู่ กต็ัง้ อยู่ท ี่ธัมมวจิ ารนี้๑ นีเ้รียกว่า ทกุ ขสมทุ ยอริยสัจ นโิ รธสจั จนทิ เทส ทกุ ขนโิ รธอรยิ สจั คอื ความดบั กเิ ลสไมเ่ หลอื ดว้ ยวริ าคะ ความป ลอ่ ย วาง ความสละคนื ความพน้ ความไมต่ ดิ ตณั หานี้ เมอื่ ละ ละท ีไ่ หน เมื่อดับ ดับท ่ไี หน คอื ปยิ รปู สาตรูปใดมอี ยู่ในโลก ตณั หานี้เม่ือละ กล็ ะทป่ี ยิ รปู สาตรูป น้ี เม่ือดับ กด็บั ที่ปิยรปู สาตรูปน้ี อะไรเป็นป ยิ รูปสาตรปู ในโลก คอื จักขเุ ปน็ ปยิ รูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมอ่ื ละ ก็ละทจี่ ักขุนี้ เม่อื ดบั ก็ดบั ทจี่ กั ขนุ้ี โสตะเป็นปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ ฆานะเปน็ ป ิยรูปสาต รูปในโลก ฯลฯ ชวิ หาเป็นปยิ รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กายเปน็ ป ยิ รูปสาต รปู ในโลก ฯลฯ มโนเป็นป ิยรูปสาตรปู ในโลก ตัณหานเ้ี มอ่ื ละ กล็ะทีม่โนนี้ เมือ่ ดับกด็ับท มี่ โนน้ี รูปเป็นป ิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานเ้ีมอ่ื ละ ก็ละทรี่ ูปน้ี เมือ่ ดับ ก็ ดับที่รูปน้ี เสียงเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กล่ินเป็นปิยรูปสาตรูปใน โลก ฯลฯ รสเปน็ ป ยิ รูป-สาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พะเปน็ ปิยรูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ ธรรมารมณ์เป็นป ยิ รปู -สาตรปู ในโลก ตัณหาน้ี เม่อื ละ ก็ละ
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 37 ท่ีธรรมารมณ์น้ี เม่ือดบั กด็ บั ทีธ่ รรมารมณ์น้ี จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหาน้ีเมื่อละ ก็ละท่ีจักขุ วญิ ญาณนี้ เมอ่ื ดบั กด็ ับทจี่กั ขุวญิ ญาณน้ี โสตวิญญาณเป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ ฆาน-วญิ ญาณเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ ชิวหาวญิ ญาณ เป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ กายวญิ ญาณเปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ มโนวญิ ญาณเปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานี้ เม่อื ละ กล็ ะทมี่ โนวญิ ญาณ นี้ เม่ือดับ กด็บั ทม่ีโนวญิ ญาณนี้ จกั ขสุ มั ผสั เปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานเ้ี มอ่ื ละ กล็ ะทจ่ี กั ขสุ มั ผสั นี้ เม่ือดบั กด็ับทจ่ีกั ขุสมั ผสั น้ี โสตสมั ผัสเป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ ฆาน สัมผสั เปน็ ปยิ รปู -สาตรูปในโลก ฯลฯ ชวิ หาสัมผสั เปน็ ปยิ รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ กายสัมผัสเปน็ ป ยิ รูป-สาตรปู ในโลก ฯลฯ มโนสมั ผสั เปน็ ป ยิ รูปสาต รูปในโลก ตัณหานี้ เม่อื ละกล็ ะท่ีมโนสัมผัสนี้ เม่ือดบั กด็บั ท่ีมโนสัมผสั นี้ เวทนาทเี่ กดิ จากจกั ขสุมั ผสั เปน็ ป ยิ รูปสาตรูปในโลก ตณั หานเี้ มอ่ื ละ กล็ ะท ี่ เวทนาอนั เกดิ จากจกั ขสุ มั ผสั น้ี เมอื่ ดบั กด็ บั ทเ่ี วทนาอนั เกดิ จากจกั ขุ สมั ผสั น้ี เวทนาท เ่ี กดิ จากโสตสมั ผสั เปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ เวทนาท ่ี เกิดจากฆานสมั ผสั เป็นปยิ รปู สาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาท่ีเกดิ จากชวิ หา สมั ผสั เปน็ ปิยรูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ เวทนาทเี่ กดิ จากกายสมั ผสั เป็นป ิย รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ เวทนาที่ เกดิ จากมโนสมั ผสั เป็นป ิยรูปสาตรูปใน โลก ตณั หาน้ีเมือ่ ละ กล็ ะท ี่เวทนาอันเกดิ จาก มโนสมั ผัสนี้ เมอ่ื ดับ กด็บั ท่ี เวทนาอันเกดิ จากมโนสัมผสั นี้ รปู สัญญาเป็นป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ตัณหาน้เี ม่ือละ กล็ ะท่ีรปู สญั ญา นี้ เมอื่ ดบั กด็ับท รี่ปู สัญญานี้ สทั ทสญั ญาเป็นปิยรูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ คนั ธสญั ญาเป็น ปิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสสัญญาเปน็ ปยิ รูปสาตรปู ใน
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 38 โลก ฯลฯ โผฏฐพั พ สัญญาเป็นปิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ ธมั มสัญญาเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตัณหานเ้ี มื่อละ ก็ละที่ธมั มสัญญานี้ เม่อื ดบั ก็ดบั ท ่ี ธัมมสญั ญาน้ี รูปสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหาน้ีเมื่อละ ก็ละท่ีรูป สญั เจตนานี้ เม่อื ดบั กด็ บั ท่ีรปู สัญเจตนานี้ สัททสัญเจตนาเปน็ ป ยิ รูปสาต รปู ในโลก ฯลฯ คนั ธสญั เจตนาเปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสสญั เจตนา เป็นปยิ รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐัพพสญั เจตนาเป็นปยิ รปู สาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มสัญเจตนาเป็น ปยิ รปู สาตรูปในโลก ตัณหานี้เม่ือละ ก็ละท ธี่ ัมม สญั เจตนาน้ี เม่อื ดบั กด็บั ท ี่ ธมั มสัญเจตนาน้ี รปู ตัณหาเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตัณหานเ้ี มอ่ื ละ ก็ละท ่ีรปู ตณั หา นี้ เม่อื ดับ กด็ ับทร่ี ูปตณั หานี้ สัททตณั หาเป็นปิยรูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ คนั ธตณั หาเปน็ ปิยรปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสตณั หาเปน็ ป ยิ รูปสาตรปู ใน โลก ฯลฯ โผฏฐพั พตณั หา เป็นปยิ รูปสาตรปู ในโลก ฯลฯ ธมั มตณั หาเป็น ปยิ รปู สาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละท ่ีธัมมตัณหานี้ เมื่อดบั ก็ดับท ่ี ธมั มตัณหานี้ รูปวติ กเปน็ ป ิยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้เม่ือละ กล็ ะท ร่ี ปู วติ กนี้ เมอื่ ดับ กด็บั ท ร่ี ูปวติ กน้ี สัททวติกเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ คนั ธวติ กเป็น ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสวติ กเปน็ ป ยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พ วติ กเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ ธมั มวติ กเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หา น้เี มอื่ ละ กล็ ะท ี่ธมั มวิตกนี้ เม่อื ดบั กด็ บั ท่ีธมั มวิตกน้ี รปู วจิ ารเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานเ้ี มอ่ื ละ กล็ ะทร่ี ปู วจิ ารน้ี เมอื่ ดบั กด็ บั ทรี่ ปู วจิ ารนี้ สทั ทวจิ ารเปน็ ปยิ รปู สาตรปู ในโลก ฯลฯ คนั ธวจิ ารเปน็ ปิยรปู - สาตรปู ในโลก ฯลฯ รสวจิ ารเปน็ ปิยรปู สาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั
มหาสติปัฏฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 39 พวิจารเป็น ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มวิจารเปน็ ปิยรูปสาตรูปในโลก ตณั หานเ้ี ม่อื ละ กล็ ะทธ่ี ัมมวจิ ารน้ี เม่ือดบั กด็ ับท ธี่ ัมมวิจารนี้๑ น้ีเรียกว่า ทกุ ขนโิ รธอริยสัจ มคั คสจั จนิทเทส ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทาอรยิ สัจ คอื อรยิ มรรคมีองค์ ๘ ไดแ้ ก่ ๑. สมั มาทิฏฐิ (เห็นชอบ) ๒. สัมมาสงั กัปปะ (ดำริชอบ) ๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) ๕. สมั มาอาชวี ะ (เลยี้ งชีพชอบ) ๖. สมั มาวายามะ (พยายามชอบ) ๗. สัมมาสติ (ระลกึ ชอบ) ๘. สัมมาสมาธิ (ต้ังจติ ม่ันชอบ) สัมมาทิฏฐิ คอื ความรใู้ นท กุ ข์ (ความท กุ ข)์ ความรใู้ นท กุ ขสมทุ ยั (เหตเุ กดิ แหง่ ท กุ ข)์ ความรใู้ นทกุ ขนโิ รธ (ความดบั แห่งท ุกข)์ ความรู้ในทกุ ขนิโรธคามินปี ฏปิ ทา (ขอ้ ป ฏิบตั ิ ใหถ้ ึงความดับแหง่ ทกุ ข)์ สัมมาสงั กปั ปะ คือ ความดำรใิ นการออกจากกาม ความดำรใิ นการไม่พยาบาท ความ ดำรใิ นการไม่เบียดเบียน สัมมาวาจา คือ
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 40 เจตนาเปน็ เหตุงดเวน้ จากการพดู เทจ็ เจตนาเป็นเหตงุ ดเวน้ จากการ พดู สอ่ เสยี ด เจตนาเปน็ เหตงุ ดเวน้ จากการพ ดู คำห ยาบ เจตนาเปน็ เหตงุด เวน้ จากการพูดเพ้อเจ้อ สัมมากัมม ันตะ คือ เจตนาเปน็ เหตุงดเว้นจากการฆ่าสตั ว์ เจตนาเปน็ เหตงุดเว้นจากการ ถือเอาส่ิงของทีเ่ จา้ ของเขาไม่ได้ให้ เจตนาเป็นเหตงุ ดเว้นจากการป ระพฤติ ผิดในกาม สมั มาอาชวี ะ คอื อรยิ สาวกในธรรมวนิ ัยนลี้ ะมิจฉาอาชีวะแล้ว สำเรจ็ การเลย้ี งชพี ดว้ ย สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ คอื ๑. สรา้ งฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจติ มุ่งมั่น เพอื่ ปอ้ งกันบาปอกุศลธรรมที่ยงั ไมเ่กดิ มิใหเ้ กดิ ข้นึ ๒. สรา้ งฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มงุ่ มน่ั เพื่อละบ าปอกุศลธรรมทเ่ีกดิ ข้ึนแล้ว ๓. สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจิต มุ่งมั่น เพ่อื ท ำกศุ ลธรรมทย่ีงั ไมเ่ กิดขึ้นใหเ้ กิดขนึ้ ๔. สรา้ งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ มุ่งมั่น เพอ่ื ความดำรงอยู่ ไมเ่ ลอื นห าย ภญิ โญภาพ ไพบลู ย์ เจรญิ เตม็ ท ่ี แหง่ กศุ ล ธรรมทเ่ี กิดขนึ้ แลว้ สมั มาสติ คอื
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 41 ๑. พจิ ารณาเห็นกายในกายอยู่ มคี วามเพยี ร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กำจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๒. พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทง้ั ห ลายอยู่ ฯลฯ ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายอยู่ มีความเพียร มี สัมปชัญญะ มสี ติ กำจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ สัมมาสมาธิ คือ ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทัง้ หลาย บรรลุปฐมฌานทีม่ ีวิตก มวีจิ าร มีปีติ และสขุ อันเกิดจากวิเวกอยู่ ๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานที่มีความผ่องใส ภายใน มีภาวะท ี่จติ เป็นห น่งึ ผดุ ขนึ้ ไม่มีวติ ก ไมม่ ีวจิ าร มีแตป่ ตี ิ และสขุ อนั เกดิ จากสมาธิอยู่ ๓. เพราะปีติจางคลายไป มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ มสี ัมปชัญญะ อยู่ และเสวยสุขด้วยกาย (นามกาย) บรรลุตตยิ ฌานท ่ีพระอรยิ ะท ง้ั ห ลาย กลา่ วสรรเสรญิ ว่า “ผู้มอี ุเบกขา มีสติ อยเู่ ปน็ สขุ ” ๔. เพราะละสขุ และทกุ ขไ์ ด้ เพราะโสมนสั และโทมนสั ดบั ไปกอ่ นแลว้ บรรลุจตุตถฌ านทไ่ี ม่มีทกุ ข์ไม่มีสขุ มีสติบรสิ ุทธเ์ิ พราะอุเบกขาอยู่ ด้วยวิธีนี้ ชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายภ ายนอก๓อยู่ หรือพ ิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ทั้งหลายท้ังภายในท้ังภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุ เกิดในธรรมท้ังหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในธรรมทั้งหลาย อยู่ หรือพิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดทงั้ ธรรมเปน็ เหตุดบั ในธรรมทง้ั
มหาสติปฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ โิ ต รวบรวม 42 หลายอยู่ หรอื วา่ มสี ตปิ รากฏอยเู่ ฉพาะห นา้ วา่ “ธรรมมอี ย”ู่ กเ็ พยี งเพอ่ื อาศยั เจรญิ ญาณ เจรญิ สติเทา่ นน้ั ไมอ่ าศยั (ตณั หาและทิฏฐ)ิ อยู่ และไม่ยึดมั่น ถอื ม่ัน อะไรๆ ในโลก ภาคอานสิ งส์ บคุ คลผเู้ จรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ตลอด ๗ ปี จกั ได้ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลุอรหัตตผลในป ัจจุบัน หรอื เมอ่ื ยงั มีอุปาทานเหลอื อยู่ ก็จักเปน็ อนาคามี บุคคลผู้เจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๖ ปี จกั ได้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลุอรหตั ตผลในป จั จบุ ัน หรอื เม่อื ยังมอี ปุ าทานเหลอื อยู่ ก็จักเป็น อนาคามี บคุ คลผู้เจรญิ สติปฏั ฐาน ๔ ตลอด ๕ ปี จักไดผ้ ล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลุอรหตั ตผลในปจั จุบนั หรอื เมื่อยงั มอีปุ าทานเหลอื อยู่ ก็จกั เปน็ อนาคามี บคุ คลผู้เจริญสตปิ ฏั ฐาน ๔ ตลอด ๔ ปี จกั ไดผ้ล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลอุ รหัตตผลในปจั จุบนั หรือเม่ือยงั มีอปุ าทานเหลอื อยู่ กจ็ ักเป็น อนาคามี บคุ คลผูเ้ จรญิ สติปฏั ฐาน ๔ ตลอด ๓ ปี จกั ได้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลอุ รหัตตผลในปัจจุบนั หรอื เมื่อยงั มีอุปาทานเหลอื อยู่ ก็จกั เปน็ อนาคามี บคุ คลผเู้ จรญิ สติป ฏั ฐาน ๔ ตลอด ๒ ปี จักได้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มุทิโต รวบรวม 43 คือ บรรลอุ รหัตตผลในปจั จุบนั หรอื เมื่อยังมีอปุ าทานเหลอื อยู่ ก็จกั เปน็ อนาคามี บุคคลผเู้ จรญิ สติปฏั ฐาน ๔ ตลอด ๑ ปี จกั ไดผ้ ล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลอุ รหัตตผลในป ัจจุบัน หรอื เมอ่ื ยังมอี ปุ าทานเหลอื อยู่ กจ็ กั เป็น อนาคามี บุคคลผเู้ จริญสติป ฏั ฐาน ๔ ตลอด ๗ เดอื น จกั ไดผ้ล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลุอรหัตตผลในป ัจจบุ นั หรือเมอ่ื ยงั มอีปุ าทานเหลืออยู่ ก็ จักเปน็ อนาคามี บคุ คลผู้เจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ตลอด ๖ เดือน จกั ได้ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลุอรหัตตผลในป จั จุบัน หรอื เมอื่ ยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็ จักเปน็ อนาคามี บุคคลผเู้ จริญสติปฏั ฐาน ๔ ตลอด ๕ เดอื น จกั ไดผ้ ล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ บรรลุอรหัตตผลในป ัจจบุ ัน หรือเม่อื ยงั มีอปุ าทานเหลืออยู่ ก็ จกั เป็นอนาคามี บคุ คลผูเ้ จริญสตปิ ฏั ฐาน ๔ ตลอด ๔ เดือน จักได้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คอื บรรลุอรหัตตผลในป จั จบุ นั หรือเม่อื ยงั มอี ุปาทานเหลอื อยู่ ก็ จกั เปน็ อนาคามี บุคคลผู้เจริญสตปิ ฏั ฐาน ๔ ตลอด ๓ เดือน จกั ได้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คือ บรรลุอรหตั ตผลในป จั จุบนั หรอื เมอ่ื ยงั มีอปุ าทานเหลืออยู่ ก็ จกั เป็นอนาคามี บคุ คลผู้เจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ตลอด ๒ เดือน จักได้ผล ๑ ใน ๒ อย่าง คือ บรรลอุ รหตั ตผลในป ัจจบุ ัน หรอื เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็
มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ : พระมหาสมปอง มทุ ิโต รวบรวม 44 จกั เป็นอนาคามี บุคคลผ้เู จริญสติปฏั ฐาน ๔ ตลอด ๑ เดอื น จักได้ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ บรรลุอรหัตตผลในป จั จบุ ัน หรือเมอ่ื ยังมอี ุปาทานเหลอื อยู่ ก็ จักเปน็ อนาคามี บุคคลผู้เจรญิ สตปิ ัฏฐาน ๔ ตลอดคร่ึงเดือน จักไดผ้ ล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ บรรลุอรหัตตผลในป ัจจบุ นั หรือเม่อื ยงั มีอุปาทานเหลอื อยู่ ก็ จักเปน็ อนาคามี บุคคลผเู้จรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ตลอด ๗ วันจกั ได้ผล ๑ ใน ๒ อยา่ ง คอื บรรลอุ รหัตตผลในป จั จบุ ัน หรอื เมื่อยงั มี อปุ าทานเหลอื อยู่ ก็จักเปน็ อนาคามี ภกิ ษุท ง้ั ห ลาย ทางนีเ้ ป็นทางเดียว เพอ่ื ความบริสุทธข์ิ องเหล่าสัตว์ เพ่ือล่วงโสกะและปริเทวะ เพ่ือดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำ ใหแ้ จ้งนิพพาน ทางนี้ คือ สตปิ ัฏฐาน ๔ ประการ เราอาศยั ท าง เดยี วนแ้ีล้ว จงึ กล่าวคำดังพ รรณนามาฉะน้”ี เมอ่ื พ ระผมู้ พี ระภาคตรสั อยา่ งน้ี ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ มใี จยนิ ดตี า่ งชนื่ ชมพ ระ ภาษติ ของพระผมู้ ีพระภาคแล้วแล มหาสติป ฏั ฐานสตู ร จบ
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: