๑ ในโครงการ “หนังสือธรรมะแจกฟรี ซีดีธรรมะให้เปล่า” จัดพิมพ์โดย สถาบันวิมุตตยาลัย
๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า ว.วชิรเมธี พิมพค์ รง้ั ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ จำนวนพิมพ์ ๑๐,๐๐๐ เลม่ จัดพมิ พ์โดย สถาบันวิมุตตยาลัย เลขท่ี ๗/๙-๑๘ ซอย ๓๗ แขวงอรณุ อมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๒-๙๑๒๓ โทรสาร ๐-๒๔๒๒-๙๑๒๘ Email: [email protected] www.dhammatoday.com
คำปรารภ ทุกวันนี้ คนไทยที่เป็นชาวพุทธนิยม สวดมนต์กันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน บางคน บางกลุ่มก็ตั้งกันเป็นชมรมเพื่อทำกิจกรรม การสวดมนต์ร่วมกันโดยเฉพาะ บางกลุ่ม บางคณะ ก็นิยมจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์ แจกกันเป็นรายเดือน รายปี หรือบางที ก็พัฒนาจนเป็นกลุ่มจัดตั้งที่ชัดเจน จนกลาย เป็นลัทธิพิธีที่มีเอกลักษณ์เป็นของกลุ่มอย่าง ชัดเจน การสวดมนตน์ น้ั มองอยา่ งผวิ เผนิ ยอ่ ม เปน็ กศุ ลกจิ กรรม แตห่ ากพจิ ารณาอยา่ งลกึ ซง้ึ จะพบวา่ ถา้ หากกศุ ลกจิ กรรมนด้ี ำเนนิ ไปอยา่ ง ขาดปัญญา ก็อาจกลายเป็นความงมงายได้ เช่นเดียวกัน ดังจะขอตั้งเป็นข้อสังเกตว่า
การสวดมนตข์ องคนไทยไมน่ อ้ ยนยิ มสวดเพอ่ื “บวงสรวง บนบานศาลกล่าว วิงวอน ร้องขอ ซึ่งค่อนไปทางเทวนิยม และมีแนวโน้มไปทาง เพิ่มความขลังขมังเวทย์ซึ่งเอียงไปข้างไสย ศาสตร์” กันเพิ่มขึ้น หรือหนังสือสวดมนต์ที่ มียอดพิมพ์แจกกันมากๆ นั้น บางทีก็หนัก ไปทางเปน็ บาลผี บี อกทไ่ี มใ่ ชพ่ ทุ ธมนตโ์ ดยตรง เสียดว้ ยซำ้ ดว้ ยตระหนกั ดวี า่ การสวดมนตน์ น้ั เปน็ กุศลกิจกรรมและควรคงวัตถุประสงค์เช่นนี้ ไว้ให้ตลอด ดังนั้น ผู้เรียบเรียงจึงปรารถนา จะให้เราชาวพุทธ ได้เรียนรู้การสวดมนต์บท ที่มีความหมาย มีความสำคัญ และก่อให้เกิด สติปัญญาแก่ผู้สวดจริงๆ ให้สมกับเวลาที่ได้ ใช้ไปเพ่ือการน้ี โดยเจตนารมณ์ดังกล่าว เมื่อผู้เขียน พำนักอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ จึงได้เริ่มเรียบเรียง ต้นฉบับหนังสือสวดมนต์เล่มนี้ขึ้นมา ทั้งนี้ โดยมคี ณุ ชมุ ศรี-ลคุ แมนและลกู ชายนายศวิ กร อารโ์ นลด์ และเครอื ขา่ ยกลั ยาณมติ ร ญาตวิ งศ์
พงศา และคนสนทิ สนมคนุ้ เคยทง้ั ในเมอื งไทย ในต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็จาก ชมรมเพื่อนหญิงไทยในสหราชอาณาจักร (Thai Women’s Organisation (TWO)) ได้ปวารณาตัวขอร่วมเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์ และรับผิดชอบค่าจัดพิมพ์เผยแพร่ทั้งหมด ผเู้ รยี บเรยี งจงึ ขออนโุ มทนาทา่ นเจา้ ภาพทกุ ทา่ น ไว้ ณ โอกาสนีด้ ้วย “ขอพระธรรมจงแผ่ไพศาล ขอให้เธอเบิกบานกับการรับใช้เพื่อน มนุษย”์ ว.วชิรเมธี ผ้อู ำนวยการสถาบันวิมุตตยาลยั ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๓
สารบัญ คำปรารภ ๓ ความเป็นมาของการสวดมนต์ ๘ ประโยชน์ของการสวดมนต ์ ๑๑ สวดมนตอ์ ยา่ งไรและสวดเม่อื ไหร่ ๑๒ ทำไมตอ้ งเปน็ ๙ มนต ์ ๑๕ ๑. บทสวดท่วั ไป ๑๘ นมัสการพระรัตนตรยั ๒๐ ปพุ พภาคนมการ ๒๑ ไตรสรณคมน์ ๒๓ ๒. บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ๒๙ ๓. มงคลสตู ร ๓๔ ๔. กาลามสตู ร ๓๘ ๕. ภัทเทกรัตตสตู ร
๖. โอวาทปาตโิ มกขคาถา ๔๐ ๗. ปัพพโตปมคาถา ๔๒ ๘. เมตตปรติ ร ๔๕ ๙. แผ่เมตตา ๕๐ สมาธิ : ศิลปะการคืนสู่ ๕๓ ความสดชืน่ รื่นเย็นของชวี ติ ทีม่ าของคำบาล ี ๕๖ ประวัติ ว.วชิรเมธี ๕๘ สถาบนั วิมุตตยาลยั ๙๐
ความเป็นมาของ การสวดมนต์ คำว่า “มนต์” กร่อนมาจากคำเต็มว่า “พุทธมนต์” ซึ่งหมายถึงพระธรรมคำสั่งสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การสวด มนต์ จงึ หมายถงึ การสวดพระธรรมคำสง่ั สอน ของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ นน่ั เอง ความเป็นมาของการสวดมนต์นั้น เริ่มต้นมาจากความพยายามในการจดจำคำ สง่ั สอนของพระพทุ ธองคข์ องบรรดาพระอรยิ - สาวกในครั้งพุทธกาล กล่าวคือ ทุกครั้งที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนั้น พระสาวก แต่ละรูปแต่ละองค์จะช่วยกันจดจำพระธรรม คำสอนนั้นแล้วถ่ายทอดสู่ศิษยานุศิษย์ของ ตนโดยระบบจากครูสู่ศิษย์ กล่าวคือ ครูฟัง มาจากพระพุทธเจ้า นำมาเล่าให้ศิษย์ฟัง
ศิษย์จำคำบอกเล่าของครู แล้วนำไปสวด สาธยายจนจดจำได้คล่องปาก ขึ้นใจ รกั ษาไว้ แล้วจึงถ่ายทอดต่อให้คนอื่นๆ ในสำนัก ในเวลาต่อมาเราเรียกกระบวนการทรงจำ พระธรรมคำสั่งสอนแบบนี้ว่าเป็นระบบ “มขุ ปาฐะ” คอื ระบบจากปากส่ปู าก ครั้นเวลาต่อมาจึงค่อยๆ มีการพัฒนา เป็นการแบ่งความรับผิดชอบกันทรงจำอย่าง ชัดเจน เช่น พระสารีบุตรเป็นผู้นำด้านการ ทรงจำพระอภธิ รรม พระอานนทด์ า้ นพระสตู ร พระอุบาลีด้านพระวินัย และในที่สุดก็นำมา สู่การจัดระบบเป็น “พระไตรปิฎก” ในคราว ทำปฐมสังคายนา แล้วสืบทอด ส่งต่อ (ทีเ่ รียก ว่าระบบ “อาจรยิ ปรัมปรา” หรอื “อาจรยิ กุล„) กันมาตามลำดบั เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปยัง ประเทศใด วฒั นธรรมการทรงจำ สบื ทอด สวด สาธยายคำสอนที่อยู่ในรูป (การบันทึกไว้ใน) พระไตรปิฎกนี้กต็ ามตดิ ไปด้วย จนกลายเป็น สิ่งที่ทำกันอย่างเป็นปกติวิสัยในกิจวัตรของ พระภิกษุสามเณร
เมื่อมีการสวดพระธรรมคำสอนกัน อย่างเปน็ กจิ วตั รที่ชัดเจนเช่น แบง่ เปน็ ช่วงเช้า ช่วงเย็น เราจงึ เรียกกจิ กรรมนีว้ ่า “การทำวตั ร สวดมนต”์ สวดมนต์ตอนเช้าก็เรียกว่า “การทำวัตรเช้า” สวดมนต์ตอนเย็นก็เรียกว่า “การทำวัตรเย็น” ทุกวันนี้ การสวดมนต์ก็ดี การทำวตั รเชา้ การทำวตั รเยน็ กด็ ี ไดก้ ลายเปน็ กิจวัตรที่ปฏิบัติกันอยู่ในหมู่ชาวพุทธไทยจน เป็นเอกลักษณไ์ ปแล้ว จากท่ีกลา่ วมา จึงเป็นอนั สรุปไดว้ ่า การ สวดมนต์กค็ อื การทรงจำสบื ตอ่ ถา่ ยทอดเรยี นรู้ พระธรรมคำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมา- สัมพทุ ธเจ้านน่ั เอง การสวดมนต์ท่ีกล่าวกันวา่ มบี ญุ มาก มีอานสิ งสม์ าก กเ็ พราะวา่ สง่ิ ทสี่ วด ล้วนเป็นหลักธรรมสำคัญของพระอรหันต- สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น ยิ่งถ้าผู้สวดมีความรู้ มีความเข้าใจในสิ่งที่สวดด้วย การสวดมนต์ ก็อาจอำนวยผลสูงสุดเป็นการบรรลุภาวะ พระนพิ พานกย็ งั ไดอ้ กี ดว้ ย ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ กลา่ ว อีกอย่างหนึ่งว่า การสวดมนต์นั้นถ้าสวดเป็น ก็เหน็ ธรรม
ประโยชน์ ของการสวดมนต์ การสวดมนต์มีประโยชน์นับอเนก ประการ ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ บันทกึ ไวด้ ังต่อไปน้ี ๑. เข้าใจพระธรรมคำสอนอย่างแจ่ม กระจา่ ง ๒. รืน่ เริงเบกิ บานใจ ๓. อม่ิ เอบิ ใจ ๔. กายสงบระงบั ๕. มคี วามสขุ ๖. จติ เป็นสมาธิ ๗. เปน็ เหตแุ หง่ ความหลดุ พน้ จากกเิ ลส
สวดมนต์อย่างไร และสวดเมื่อไหร่ การสวดมนตน์ ัน้ มสี องแบบ ๑. สวดมนตเ์ ฉพาะบทบาลี ๒. สวดมนต์บทบาลแี ละมคี ำแปล การสวดมนตท์ ง้ั สองแบบน้ี มคี วามแตก ต่างกันตรงที่หากสวดมนต์ในวันธรรมดา นิยมสวดเฉพาะบทภาษาบาลี แต่หากเป็น วันธัมมัสวนะหรือวันพระ นิยมสวดโดยมี คำแปลกำกบั ด้วย ข้อดขี องการสวดมนตแ์ ปล ก็คือ ทำให้เข้าใจเนื้อหาของบทสวดซึ่งก่อให้ เกิดทั้งบุญ (อิ่มใจ/สุขใจ) ทั้งปัญญา (ความ เข้าใจเนือ้ หาสาระนำมาปรับใช้ในชวี ติ ได้จรงิ ) และในการสวดนั้น จะสวดในใจ หรือ สวดแบบเปล่งเสยี งกไ็ ดท้ ้ังสน้ิ รวมทั้งจะสวด แบบมีคำแปลเป็นภาษาไทย หรือแบบที่มีคำ
แปลเปน็ ทำนองสรภญั ญะกไ็ ดอ้ กี เชน่ กนั ทง้ั น้ี ให้พิจารณาตามกาลเทศะเปน็ สำคัญ ช่วงเวลาของการสวดมนต์กม็ สี องแบบ เหมือนกัน ๑. สวดตอนเช้า – ตอนเย็น (เรียกว่า ทำวตั รเชา้ - ทำวัตรเย็น) ๒. สวดตามเวลาที่สะดวกหรือยามที่ ต้องการความสงบ ความเป็นสิริมงคลความ มั่นใจ ใครที่มีเวลามากพอจะตั้งเป็นกติกา ขึ้นมาสำหรับตนเองด้วยการสวดมนต์ตอน เชา้ ตรู่ หรอื ตอนเยน็ หรอื เวลากอ่ นนอนกท็ ำได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาจะสวดตามสะดวก ที่ไหน เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะที่วัด ที่บ้าน ที่ทำงาน
บนรถส่วนตัว บนรถประจำทาง ยามนั่งรอ เพื่อทำกิจกรรมใดๆ หรือแม้กระทั่งยาม เดินทางไกลที่ต้องขึ้นรถ ลงเรือ หรือยามไป นอนพักค้างอ้างแรมในต่างถิ่นต่างที่และ/ หรือในยามที่จิตใจว้าวุ่น สับสน ประหวั่น พรั่นพรึง ต้องการขวัญกำลังใจ ก็สามารถ สวดมนต์ได้ทั้งสิ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พระพุทธมนตน์ นั้ สวดได้ทกุ ที่ ทุกเวลา
ทำไมต้องเป็น “๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า” พระพทุ ธมนตท์ บ่ี รุ พาจารยป์ ระมวลมา ไว้เป็นบทสำหรับสวดนั้นมีอยู่มากมายหลาย สบิ บท แตใ่ นหนังสือเลม่ น้คี ดั เลอื กมาให้สวด เพยี ง ๙ บทสำคญั โดยใชเ้ กณฑใ์ นการคดั เลอื ก คือ ๑. ตอ้ งการจดั ทำสำหรบั ผทู้ ม่ี เี วลานอ้ ย ๒. คัดเลือกบทที่มีสาระสำคัญสำหรับ นำมาประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ดใ้ นชวี ติ จรงิ ไมเ่ นน้ บท ทเ่ี กย่ี วกบั การวงิ วอนขอตอ่ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธอ์ิ ยา่ งท่ี นิยมสวดกันท่ัวไป เพราะผเู้ รยี บเรยี งตอ้ งการ ใหเ้ นอ้ื หาของทกุ บทสวดสอดคลอ้ งกบั คำสอน ทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และใชด้ บั ทุกข์ได้ในยามมีทุกข์ ก่อให้เกิดปัญญายาม ต้องการปัญญา แก้ปัญหาได้ในยามวิกฤติ เปน็ ตน้
บทสวดมนตท์ ้งั ๙ บทนัน้ มีดงั นี้ ๑. บทนมัสการพระรัตนตรัย/ ปุพภาคนมการ/ไตรสรณคมน์ (เพื่อแสดง ความเคารพต่อพระรตั นตรัย) ๒. บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย (เพอ่ื ความซาบซึ้งในคณุ ของพระไตรรัตน์) ๓.บทมงคลสตู ร (เพอ่ื ความเปน็ สริ มิ งคล แหง่ ชีวติ ) ๔. บทกาลามสูตร (เพื่อฝึกตนให้เป็น คนมปี ญั ญา) ๕. บทภัทเทกรัตตสูตร (เพื่อฝึกการ เจริญสติในชีวติ ประจำวัน) ๖. บทโอวาทปาติโมกข์ (เพื่อเรียนรู้ หัวใจของพระพุทธศาสนา) ๗. บทปพั พโตปมคาถา (เพอ่ื ความเปน็ ผู้ไมป่ ระมาท) ๘. บทเมตตปริตร (เพื่อความเป็นผู้มี เสนห่ านา่ รัก) ๙. บทแผ่เมตตา (เพื่อฝึกใจให้เปี่ยม ดว้ ยเมตตาจิต)
๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า ว.วชิรเมธี
๑ บทสวดทั่วไป (นมัสการพระรัตนตรัย) อะระหัง สมั มาสมั พุทโธ ภะคะวา, พระผูม้ พี ระภาคเจา้ , เปน็ พระอรหนั ต์, ดับเพลงิ กเิ ลสเพลงิ ทกุ ข์ส้นิ เชงิ , ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง; พทุ ธงั ภะคะวนั ตัง อะภวิ าเทมิ. ขา้ พเจา้ อภิวาทพระผ้มู ีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ต่ืน ผูเ้ บิกบาน. (กราบ) สว� ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรม เปน็ ธรรมทีพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแลว้ ; ธมั มัง นะมสั สามิ. ข้าพเจ้านมสั การพระธรรม. (กราบ) 18 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
สปุ ะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ , ปฏบิ ัติดีแล้ว; สงั ฆงั นะมาม.ิ ขา้ พเจา้ นอบน้อมพระสงฆ.์ (กราบ) ๛ ว.วชิรเมธี 19
(ปุพพภาคนมการ) (หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปพุ พะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบน้อมแดพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้า พระองคน์ ั้น; อะระหะโต, ซึ่งเป็นผไู้ กลจากกิเลส; สัมมาสมั พุทธัสสะ. ตรสั ร้ชู อบได้โดยพระองค์เอง. (๓ ครงั้ ) ๛ 20 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
(ไตรสรณคมน์) (หนั ทะ มะยงั ติสะระณะคะมะนะปาฐัง ภะณามะ เส.) พุทธงั สะระณงั คจั ฉามิ, ขา้ พเจา้ ถือเอาพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ; ธัมมัง สะระณัง คัจฉาม,ิ ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระธรรม เป็นสรณะ; สังฆงั สะระณงั คัจฉามิ, ขา้ พเจา้ ถือเอาพระสงฆ์ เปน็ สรณะ; ทุติยมั ปิ พุทธัง สะระณงั คจั ฉาม,ิ แมค้ รง้ั ทส่ี อง ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระพทุ ธเจา้ เปน็ สรณะ; ทตุ ิยมั ปิ ธมั มงั สะระณงั คจั ฉามิ, แม้ครง้ั ท่ีสอง ขา้ พเจ้าถอื เอาพระธรรม เป็นสรณะ; ทตุ ยิ ัมปิ สังฆงั สะระณัง คัจฉาม,ิ แมค้ รงั้ ทสี่ อง ขา้ พเจ้าถือเอาพระสงฆ์ เป็นสรณะ. ว.วชิรเมธี 21
ตะติยมั ปิ พทุ ธงั สะระณัง คจั ฉามิ, แมค้ รง้ั ทส่ี าม ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระพทุ ธเจา้ เป็นสรณะ; ตะตยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณงั คจั ฉามิ, แมค้ รงั้ ท่สี าม ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรม เป็นสรณะ; ตะตยิ ัมปิ สังฆงั สะระณงั คัจฉาม,ิ แม้ครั้งทส่ี าม ขา้ พเจา้ ถอื เอาพระสงฆ์ เป็นสรณะ. ๛ 22 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
๒ บทสรรเสริญ คุณพระรัตนตรัย (บทสรรเสริญพระพุทธคุณ) (นำ) อติ ปิ ิ โส ภะคะวา (รับพรอ้ มกัน) อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน สคุ ะโต โลกะวทิ ู อะนตุ ตะโร ปรุ ิสะทมั มะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานงั พุทโธ ภะคะวาติ (นำ) องคใ์ ดพระสัมพทุ ธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมลู เกลศมาร บ มิหมน่ มหิ มองมวั หนึ่งในพระทัยทา่ น กเ็ บิกบานคอื ดอกบัว ราคี บ พนั พวั สวุ คนธกำจร ว.วชิรเมธี 23
องคใ์ ดประกอบดว้ ย พระกรณุ าดงั สาคร โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกนั ดาร ชีท้ างบรรเทาทกุ ข ์ และชสี้ ขุ เกษมสานต์ ช้ที างพระนฤพาน อนั พน้ โศกวิโยคภยั พร้อมเบญจพิธจกั - ษจุ รสั วิมลใส เห็นเหตทุ ่ีใกลไ้ กล ก็เจนจบประจกั ษจ์ ริง กำจดั นำ้ ใจหยาบ สนั ดานบาปแห่งชายหญิง สัตวโ์ ลกไดพ้ งึ่ พิง มละบาปบำเพญ็ บุญ ขา้ ฯ ขอประณตนอ้ ม ศิระเกล้าบงั คมคณุ สมั พทุ ธการุญ- ญภาพน้นั นริ นั ดรฯ. (กราบ) ๛ 24 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
(บทสรรเสริญพระธรรมคุณ) (นำ) สว๎ ากขาโต (รบั พรอ้ มกนั ) ภะคะวะตา ธมั โม สนั ทฏิ ฐโิ ก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจตั ตงั เวทติ พั โพ วญิ ญหู ีติ (นำ) ธรรมะคอื คุณากร (รบั พร้อมกนั ) สว่ นชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย ์ สอ่ งสัตว์สันดาน สวา่ งกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เปน็ แปดพึงยล และเก้ากบั ทั้งนฤพาน สมญาโลกอดุ รพิสดาร อันลึกโอฬาร พสิ ทุ ธิพ์ ิเศษสุกใส ว.วชิรเมธี 25
อีกธรรมต้นทางครรไล นามขนานขานไข ปฏิบตั ปิ รยิ ตั เิ ป็นสอง คือทางดำเนินดจุ คลอง ให้ล่วงลุปอง ยงั โลกอุดรโดยตรง ขา้ ฯ ขอโอนอ่อนอตุ มงค์ นบธรรมจำนง ดว้ ยจติ และกายวาจา. (กราบ) ๛ 26 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
(บทสรรเสริญพระสังฆคุณ) (นำ) สุปะฏปิ ันโน (รบั พร้อมกัน) ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อชุ ุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามจี ปิ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะททิ งั จตั ตาริ ปรุ สิ ะยุคานิ อฏั ฐะ ปรุ ิสะปคุ คะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหเุ นยโย ปาหุเนยโย ทกั ขิเณยโย อญั ชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปญุ ญกั เขตตัง โลกัสสาติ ว.วชิรเมธี 27
(นำ) สงฆ์ใดสาวกศาสนา (รับพร้อมกัน) รับปฏิบัติมา แต่องค์ สมเด็จภควนั ต์ เหน็ แจง้ จตสุ ัจเสร็จบรร- ลทุ างที่อนั ระงบั และดบั ทกุ ขภ์ ยั โดยเสด็จพระผตู้ รสั ไตร ปญั ญาผอ่ งใส สะอาดและปราศมวั หมอง เหนิ หา่ งทางขา้ ศึกปอง บ มลิ ำพอง ดว้ ยกายและวาจาใจ เปน็ เน้อื นาบุญอันไพ- ศาลแดโ่ ลกยั และเกิดพบิ ลู ย์พนู ผล สมญาเอารสทศพล มีคุณอนนต ์ อเนกจะนบั เหลือตรา ขา้ ฯ ขอนบหมู่พระศรา- พกทรงคุณา- นุคณุ ประดจุ รำพัน ดว้ ยเดชบญุ ขา้ อภวิ ันท์ พระไตรรัตน์อนั อุดมดิเรกนริ ัติสัย จงช่วยขจัดโพยภัย อนั ตรายใดใด จงดับและกลับเส่ือมสูญ. (กราบ) ๛ 28 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
๓ มงคลสูตร อะเสวะนา จะ พาลานงั ปณั ฑติ านัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนยี านงั เอตมั มงั คะละมุตตะมัง ฯ (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า การไม่คบ คนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาคนที่ ควรบูชา ๑ ข้อนเ้ี ป็นมงคลอนั สงู สดุ ) ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปพุ เพ จะ กะตะปุญญะตา อัตตะสัมมาปะณธิ ิ จะ เอตัมมงั คะละมตุ ตะมัง ฯ (การอยู่ในถิ่นมีสิ่งแวดล้อมดี ๑ การ ทำความดีให้พร้อมไว้ก่อน ๑ การตั้งตน ไว้ชอบ ๑ ขอ้ นเ้ี ปน็ มงคลอันสงู สุด) ว.วชิรเมธี 29
พาหสุ ัจจญั จะ สิปปัญจะ วนิ ะโย จะ สุสกิ ขิโต สภุ าสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมตุ ตะมัง ฯ (การเป็นผู้เล่าเรียนศึกษามาก ๑ มีศิลปวิทยา ๑ มีระเบียบวินัยดีอันชนศึกษา ดแี ล้ว ๑ มีวาจาสภุ าษติ ๑ ขอ้ นเ้ี ปน็ มงคลอนั สงู สุด) มาตาปติ อุ ปุ ัฏฐานัง ปุตตะทารสั สะ สงั คะโห อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมตุ ตะมัง ฯ (การบำรงุ มารดาบดิ า ๑ การสงเคราะห์ บตุ รและภรรยา ๑ การงานทไ่ี มอ่ ากูล ๑ ข้อนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด) ทานญั จะ ธัมมะจะรยิ า จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห อะนะวัชชานิ กมั มานิ เอตัมมงั คะละมตุ ตะมัง ฯ 30 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
(การรู้จักให้ ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติ ๑ การงานที่ไม่มีโทษ ๑ ข้อน้เี ป็นมงคลอันสูงสดุ ) อาระตี วริ ะตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม อปั ปะมาโท จะ ธมั เมสุ เอตมั มงั คะละมุตตะมงั ฯ (การงดเว้นจากความชว่ั ๑ การเวน้ จาก การดื่มน้ำเมา ๑ การไม่ประมาทในธรรม ท้ังหลาย ๑ ขอ้ นเ้ี ป็นมงคลอันสูงสดุ ) คาระโว จะ นิวาโต จะ สนั ตุฏฐี จะ กะตัญญตุ า กาเลนะ ธัมมสั สะวะนัง เอตมั มังคะละมตุ ตะมงั ฯ (การเคารพ ๑ ความสุภาพออ่ นน้อม ๑ การยนิ ดใี นของทม่ี อี ยู่ ๑ การเปน็ คนกตญั ญู ๑ การฟังธรรมตามกาล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอัน สงู สุด) ว.วชิรเมธี 31
ขนั ตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทสั สะนัง กาเลนะ ธมั มะสากัจฉา เอตมั มังคะละมุตตะมัง ฯ (ความอดทน ๑ การเป็นคนว่าง่าย ๑ การเห็นสมณะทั้งหลาย ๑ การสนทนาธรรม ตามกาล ๑ ขอ้ นี้เป็นมงคลอนั สงู สุด) ตะโป จะ พ�รหมะจะรยิ ญั จะ อะรยิ ะสัจจานะ ทัสสะนัง นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมงั คะละมตุ ตะมงั ฯ (ความเพียรเผากิเลส ๑ การประพฤติ อย่างพรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจจ์ ๑ การทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ ข้อนี้เป็นมงคล อันสงู สุด) ผุฏฐสั สะ โลกะธมั เมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กมั ปะติ อะโสกงั วริ ะชงั เขมัง เอตมั มังคะละมตุ ตะมัง ฯ 32 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
(จิตของผู้ใด อันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ยอ่ มไมห่ วน่ั ไหว ไมม่ โี ศก ปราศจากธลุ ี จติ เกษม ขอ้ น้ีเปน็ มงคลอนั สงู สุด) เอตาทิสานิ กตั วานะ สพั พตั ถะมะปะราชติ า สัพพตั ถะ โสตถงิ คจั ฉนั ติ ตนั เตสัง มงั คะละมุตตะมนั ติ ฯ (เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย กระทำ มงคลทั้งหลายเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง ขอ้ นเ้ี ปน็ มงคลอนั สงู สดุ ของเทวดาและมนษุ ย์ ทง้ั หลาย เหลา่ นน้ั แล ฯ). ๛ ว.วชิรเมธี 33
๔ กาลามสูตร เอถะ ตมุ เห กาลามา มา อนสุ สะเวนะ กาลามชน ท่านอย่าปลงใจเชือ่ ดว้ ย การฟังตามกนั มา มา ปรัมปรายะ อย่าปลงใจเชือ่ ด้วยการถอื สบื ๆ กันมา มา อิติกริ ายะ อย่าปลงใจเชอื่ ด้วยการเลา่ ลอื มา ปฏิ ะกะสัมปะทาเนนะ อยา่ ปลงใจเชือ่ ดว้ ยการอา้ งตำราหรอื คัมภีร์ มา ตกั กะเหตุ อยา่ ปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ มา นะยะเหตุ อย่าปลงใจเชอื่ เพราะการอนมุ าน 34 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
มา อาการะปริวติ ักเกนะ อย่าปลงใจเช่อื ด้วยการคดิ ตรองตาม แนวเหตผุ ล มา ทฏิ ฐินิชฌานักขันตยิ า อย่าปลงใจเชอ่ื เพราะเข้าไดก้ บั ทฤษฎี ทพี่ ินิจไว้แล้ว มา ภัพพะรปู ะตายะ อย่าปลงใจเช่อื เพราะมองเหน็ รูป ลกั ษณะน่าจะเป็นไปได้ มา สะมะโณ โน คะรูติ อย่าปลงใจเช่ือเพราะนับถอื วา่ ทา่ นสมณะน้เี ป็นครูของเรา ยะทา ตุมเห กาลามา อตั ตะนาวะ ชาเนยยาถะ กาลามชน เมอ่ื ใดทา่ นรูด้ ้วยตวั เองวา่ อเิ ม ธัมมา อะกุสะลา ธรรมเหลา่ นี้เป็นอกศุ ล อเิ ม ธัมมา สาวชั ชา ธรรมเหล่านี้มีโทษ อเิ ม ธมั มาวญิ ญุคะระหติ า ธรรมเหลา่ น้ีทา่ นผูร้ ตู้ เิ ตียน ว.วชิรเมธี 35
อเิ ม ธัมมา สะมตั ตา สะมาทนิ นา อะหติ ายะ ทุกขายะ สงั วัตตนั ตีติ ธรรมเหลา่ น้ีใครสมาทานใหเ้ ต็มท่ีแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อสงิ่ ไมเ่ ป็นประโยชน์ เพ่ือทกุ ข์ อะถะ ตมุ เห กาลามา ปะชะเหยยาถะ กาลามชน ท่านพงึ ละเสียเม่ือน้นั ยะทา ตมุ เห กาลามา อตั ตะนาวะ ชาเนยยาถะ กาลามชน เมอ่ื ใดท่านรดู้ ว้ ยตนเองว่า อเิ ม ธมั มา กสุ ะลา ธรรมเหล่านี้ เปน็ กศุ ล อิเม ธัมมา อะนะวัชชา ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ อเิ ม ธัมมา วิญญปุ ปะสตั ถา ธรรมเหล่านท้ี ่านผูร้ ูส้ รรเสรญิ อเิ ม ธมั มา สะมัตตา สะมาทนิ นา หติ ายะ สุขายะ สังวัตตันตีติ ธรรมเหล่าน้ี ใครสมาทานใหเ้ ต็มที่แลว้ 36 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
ยอ่ มเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพ่อื สขุ อะถะ ตุมเห กาลามา อปุ สัมปชั ชะ วิหะเรยยาถาติ กาลามชน เมอ่ื น้ัน ทา่ นพึงถงึ พร้อม ธรรมเหล่านัน้ อยู่ ๛ ว.วชิรเมธี 37
๕ ภัทเทกรัตตสูตร (หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส.) อะตตี งั นาน๎วาคะเมยยะ นปั ปะฏกิ ังเข อะนาคะตัง, บคุ คลไมค่ วรตามคดิ ถงึ สง่ิ ทล่ี ว่ งไปแลว้ ดว้ ยอาลยั ; และไม่พึงพะวงถึงส่งิ ทย่ี งั ไมม่ าถงึ ยะทะตีตัมปะหนี นั ตงั อัปปตั ตญั จะ อะนาคะตัง, สง่ิ เปน็ อดีตก็ละไปแล้ว สงิ่ เป็นอนาคตกย็ ังไมม่ า ปัจจปุ ปันนัญจะ โย ธัมมัง ตตั ถะ ตตั ถะ วปิ สั สะติ, อะสงั หริ ัง อะสงั กุปปงั ตงั วิทธา มะนุพ๎รหู ะเย. ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดข้นึ เฉพาะหนา้ ใน ทนี่ ัน้ ๆ อยา่ งแจ่มแจง้ 38 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
ไมง่ ่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพนู อาการเชน่ นัน้ ไว้. อชั เชวะ กิจจะมาตปั ปงั โก ชัญญา มะระณงั สเุ ว, ความเพียรเปน็ กจิ ที่ต้องทำวนั น,้ี ใครจะรู้ความตาย แม้พร่งุ น้.ี นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจนุ า, เพราะการผัดเพีย้ นต่อมัจจรุ าชซึง่ มี เสนามาก ย่อมไมม่ ีสำหรบั เรา เอวงั วหิ ารมิ าตาปงิ อะโหรตั ตะมะตันทิตัง, ตัง เว ภทั เทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มนุ ิ. มนุ ผี สู้ งบยอ่ มกลา่ วเรยี กผมู้ คี วามเพยี ร อยเู่ ช่นนน้ั , ไมเ่ กยี จครา้ นท้ังกลางวนั กลางคืน ว่า, “ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรี เดยี ว ก็นา่ ชม”. ๛ ว.วชิรเมธี 39
๖ โอวาทปาติโมกขคาถา (หนั ทะมะยงั โอวาทะปาตโิ มกขะคาถาโย ภะณามะ เส.) สพั พะปาปัสสะ อะกะระณัง, การไมท่ ำบาปทง้ั ปวง กุสะลัสสูปะสมั ปะทา, การทำกุศลใหถ้ ึงพรอ้ ม สะจติ ตะปะรโิ ยทะปะนงั , การชำระจิตของตนใหข้ าวรอบ เอตงั พุทธานะสาสะนัง. ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของ พระพทุ ธเจ้าทงั้ หลาย. ขนั ตี ปะระมัง ตะโป ตตี กิ ขา, ขนั ตี คอื ความอดกลน้ั เปน็ ธรรมเครอ่ื ง เผากิเลสอย่างยิ่ง นพิ พานงั ปะระมัง วะทันติ พทุ ธา, ผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวพระนิพพานว่าเป็น ธรรมอันยง่ิ 40 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
นะ หิ ปพั พะชิโต ปะรูปะฆาต,ี ผู้กำจัดสตั ว์อ่นื อยู่ ไมช่ ือ่ ว่าเปน็ บรรพชิตเลย สะมะโณ โหติ ปะรงั วิเหฐะยันโต. ผทู้ ำสตั ว์อน่ื ให้ลำบากอยไู่ มช่ ื่อว่าเปน็ สมณะเลย. อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต, การไมพ่ ดู รา้ ย, การไม่ทำรา้ ย ปาตโิ มกเข จะ สงั วะโร, การสำรวมในปาติโมกข์ มตั ตัญญุตา จะ ภตั ตสั ม๎ งิ ; ความเปน็ ผู้รปู้ ระมาณในการบริโภค ปันตัญจะ สะยะนาสะนงั , การนอน การนงั่ ในที่อันสงดั อะธจิ ิตเต จะ อาโยโค, ความหมัน่ ประกอบในการทำจติ ใหย้ ง่ิ เอตัง พทุ ธานะสาสะนัง. ธรรม ๖ อย่างนี้ เปน็ คำส่งั สอนของ พระพุทธเจ้าทงั้ หลาย. ๛ ว.วชิรเมธี 41
๗ ปัพพโตปมคาถา ยะถาปิ เสลา วปิ ุลา นะภงั อาหจั จะ ปพั พะตา สะมันตา อะนปุ ะรเิ ยยยุง นิปโปเถนตา จะตทุ ทสิ า ภูเขาทั้งหลายล้วนด้วยศิลาแท่งทึบสูง จดขอบฟ้า กลิ้งบดสัตว์มาโดยรอบทั้งสี่ทิศ แม้ฉนั ใด เอวัง ชะรา จะ มัจจุ จะ อะธิวัตตนั ติ ปาณโิ น ขัตตเิ ย พ๎ราหมะเณ เวสเส สุทเท จณั ฑาละปกุ กเุ ส ความแก่และความตายย่อมครอบงำ สัตว์ทั้งหลาย คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และจณั ฑาล ฉนั นนั้ 42 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
นะ กิญจิ ปะริวชั เชติ สพั พะเมวาภิมทั ทะติ นะ ตัตถะ หัตถีนัง ภูม ิ นะ ระถานงั นะ ปัตตยิ า ความแกแ่ ละความตายไมเ่ วน้ ใครๆ เลย ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งปวงเหมือนกันหมด ภูมิ แหง่ ชา้ งทง้ั หลายยอ่ มไมม่ ใี นชราและมรณะนน้ั ภูมิแห่งรถทั้งหลายก็ไม่มี ภูมิแห่งคนเดินเท้า ก็ไม่มี นะ จาปิ มันตะยทุ เธนะ สักกา เชตงุ ธะเนนะ วา ตสั ๎มา หิ ปัณฑิโต โปโส สมั ปัสสงั อตั ถะมตั ตะโน อนง่ึ ใคร ๆ ไมอ่ าจจะชนะชราและมรณะ นน้ั ดว้ ยเวทมนต์คาถา ด้วยการสู้รบ หรอื ด้วย ทรัพย์ เพราะเหตุนั้นแล บุรุษผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญา เมื่อเห็นประโยชน์ตน (ไม่ควร ประมาท) ว.วชิรเมธี 43
พุทเธ ธมั เม จะ สังเฆ จะ ธีโร สทั ธัง นิเวสะเย โย ธัมมะจารี กาเยนะ วาจายะ อุทะ เจตะสา อิเธวะ นงั ปะสังสันติ เปจจะ สคั เค ปะโมทะติ ฯ ผู้มีปัญญา ควรทำความเชื่อให้หยั่งลง มั่นในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม และใน พระสงฆ์ ผใู้ ดประพฤตธิ รรมดว้ ยกาย วาจา ใจ บณั ฑิตทั้งหลาย ยอ่ มสรรเสรญิ ผ้นู น้ั ในโลกนี้ คร้นั ละไปแลว้ ย่อมปราโมทย์ บันเทิงในสรวง สวรรค์ ดังน้ีแล. ๛ 44 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
๘ เมตตปริตร กะระณียะมตั ถะกุสะเลนะ ยันตงั สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ สักโก อชุ ู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จสั สะ มทุ ุ อะนะติมานี กิจที่คนฉลาดในสิ่งที่มีประโยชน์ และ มุ่งหมายจะบรรลุทางสงบจะพึงทำ ก็คือ เป็น คนกล้า, เป็นคนซื่อ, เป็นคนตรง, ว่าง่าย, ออ่ นโยน, ไม่เยอ่ หยงิ่ สนั ตุสสะโก จะ สภุ ะโร จะ อปั ปะกิจโจ จะ สัลละหกุ ะวตุ ติ สนั ตนิ ทร� ิโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กเุ ลสุ อะนะนุคทิ โธ ว.วชิรเมธี 45
เปน็ ผสู้ นั โดษ, เลย้ี งงา่ ย, มภี าระกจิ นอ้ ย, คล่องตัว, ระมัดระวังการแสดงออก, รู้ตัว, ไม่คะนอง, ไมค่ ลกุ คลใี นตระกลู ทงั้ หลาย นะ จะ ขุททงั สะมาจะเร กญิ จ ิ เยนะ วญิ ญู ปะเร อปุ ะวะเทยยุง สุขิโน วา เขมโิ น โหนตุ สัพเพ สตั ตา ภะวนั ตุ สุขติ ตั ตา ไมป่ ระพฤตสิ ง่ิ ทว่ี ญิ ญชู นตำหนติ เิ ตยี น ได้, พึงแผ่เมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวง จงมี ความสขุ กายสบายใจ มคี วามเกษมสำราญเถดิ เย เกจิ ปาณะภตู ัตถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌมิ า รสั สะกา อะณุกะถูลา ขอสัตว์ทั้งหลายบรรดามี ที่เป็นสัตว์ ตวั ออ่ น หรอื ตวั แขง็ กต็ าม เปน็ สตั วม์ ลี ำตวั ยาว หรอื ลำตวั ใหญก่ ต็ าม มลี ำตวั ปานกลางหรอื ตวั สั้นก็ตาม ตัวเล็กหรอื ตวั โตกต็ าม 46 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย จะ ทูเร วะสนั ติ อะวทิ ูเร ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สขุ ติ ัตตา ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ที่อยู่ ไกลหรืออยู่ใกล้ก็ตาม ที่เกิดแล้ว หรือกำลัง หาทเ่ี กดิ อยกู่ ต็ าม ขอสตั วท์ ง้ั หลายทง้ั ปวงนน้ั จง สุขกายสบายใจเถิด นะ ปะโร ปะรัง นิกพุ เพถะ นาติมญั เญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ พ๎ยาโรสะนา ปะฏฆี ะสญั ญา นาญญะมญั ญสั สะ ทกุ ขะมิจเฉยยะ บุคคลไม่พึงหลอกลวงผู้อื่น ไม่ควรดู หมิ่นเหยียดหยามใครๆ ไม่ควรมุ่งร้ายต่อกัน และกัน เพราะมีความข่นุ เคอื งโกรธแคน้ กนั มาตา ยะถา นิยัง ปุตตงั อายสุ า เอกะปุตตะมะนรุ กั เข เอวัมปิ สพั พะภเู ตสุ มานะสมั ภาวะเย อะปะริมาณัง ว.วชิรเมธี 47
คนเราพึงแผ่ความรักความเมตตา ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ดุจดัง มารดาถนอม และปกปอ้ งบตุ รสดุ ทร่ี กั คนเดยี ว ดว้ ยชวี ติ ฉนั น้ัน เมตตัญจะ สพั พะโลกัส๎มิง มานะสมั ภาวะเย อะปะรมิ าณัง อทุ ธงั อะโธ จะ ติรยิ ัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปตั ตัง พึงแผ่เมตตาจิต ไม่มีขอบเขต ไม่คิด ผูกเวร ไมเ่ ป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยัง สัตวโ์ ลกท้งั ปวงท่ัวทุกสารทิศ ติฏฐญั จะรงั นสิ ินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พร๎ ัหมะเมตัง วิหารงั อิธะมาหุ ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ตลอดเวลาที่ตนยังตื่นอยู่ พึง ตั้งสติ อันประกอบด้วยเมตตานี้ให้มั่นไว้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้ เปน็ พรหมวิหาร (การอยอู่ ย่างประเสรฐิ ) 48 ๙ มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
ทิฏฐิญจะ อะนปุ ะคัมมะ สลี ะวา ทสั สะเนนะ สมั ปันโน กาเมสุ วเิ นยยะ เคธงั นะ หิ ชาตุ คพั ภะเสยยงั ปนุ ะเรตีต.ิ ท่านผู้เจริญเมตตาจิตที่ละความเห็น ผิดแล้ว มีศลี มคี วามเห็นชอบ ขจดั ความใคร่ ในกามได้ กจ็ ะไม่กลบั มาเกิดอกี เป็นแน่แท.้ ๛ ว.วชิรเมธี 49
Search