Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ว32273 ระเบียบวิธีวิจัยเบื้องต้น

ว32273 ระเบียบวิธีวิจัยเบื้องต้น

Published by yoswadee tongjib, 2022-05-16 03:51:26

Description: ว32273 ระเบียบวิธีวิจัยเบื้องต้น

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าระเบยี บวธิ วี จิ ัยเบอ้ื งตน้ ปีการศกึ ษา 2565 นางยศวดี ศศิธร ม.5 ตาแหนง่ ครู กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนมหาวชริ าวุธ จงั หวดั สงขลา สานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาสงขลา สตลู สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

คำนำ เอกสารประกอบการสอนเลม่ น้ี จดั ทาข้นึ เพื่อใชป้ ระกอบการจดั การเรยี นรู้วชิ า ว32273 ระเบียบวิธวี จิ ยั เบอ้ื งต้น กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนโครงการ SMA ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 นางยศวดี ศศิธร กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นมหาวชิราวธุ จงั หวัดสงขลา

สารบัญ หนา้ เรื่อง 1 4 ความรูท้ วั่ ไปเกย่ี วกบั การวิจัย 6 ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 8 คณุ คา่ ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 12 ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 16 ตวั แปรในการวิจยั 20 การคิดและเลอื กปัญหาในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 23 เค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ 25 จรรยาบรรณนกั วจิ ัย 29 รูปแบบการเขียนรายละเอยี ดในเอกสารอา้ งองิ 30 เอกสารอา้ งองิ 31 ประวัตผิ เู้ ขียนเอกสาร ภาคผนวก

1 ใบความรู้ท่ี 1 ความรทู้ ัว่ ไปเก่ียวกับการวจิ ัย 1. ความหมายของการวิจัย การวิจัยมาจากคาภาษาอังกฤษว่า Research ประกอบด้วยคาสองคารวมกันคือ Re ซ่ึงหมายถึงทา กลับไปกลับมาหรือทาซาส่วนคาว่า Search หมายถึงการค้นหาสิ่งหน่ึงสิ่งใดท่ีอยากจะรู้ ถ้านาคาสองคามา รวมกันเปน็ Research กจ็ ะหมายถงึ การค้นหาส่ิงใดส่ิงหนึง่ ท่ีอยากจะร้ซู ากันหลาย ๆ ครังจนเกิดความม่ันใจจึง จะยุติ การวิจัย หมายถึง วิธีการค้นหาข้อความรู้ใหม่ วิธีการใหม่หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ โดยอาศัยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ (Scientific method) หรือกระบวนการให้ได้มาซ่ึงข้อความรู้ที่น่าเชื่อถือได้ โดยอาศัยการสังเกต และการนิรนัย (Deduction) เป็นหลัก หรืออีกความหมายหน่ึงของการวิจัยที่มีความหมายค่อนข้างละเอียด กวา่ ท่ีกล่าวมา การวิจยั หมายถึง วิธีการหรือกระบวนการในการแสวงหาขอ้ ความรู้ ความจริง หรือคาตอบจาก ปัญหาที่เกิดขึน และเป็นข้อความรู้ ความจริงท่ีเชื่อถือได้ ซึ่งจะต้องประกอบด้วยพยานหลักฐานหรือข้อมูล ยนื ยนั ท่ไี ดม้ าอยา่ งมรี ะเบียบแบบแผน 2. ประโยชนข์ องการวจิ ัย การวิจัยนับว่ามีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าศาสตร์ที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่าง รวดเร็วนันเกิดจากมีการทาวจิ ัย หรือมีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาซ่ึงจะเห็นได้ชัดเจนใน ศาสตรท์ างด้านการแพทย์ แต่ถ้าศาสตร์ใดนักวชิ าการในศาสตร์นันไม่ค่อยได้ทาการวิจัยกันหรือทาการวจิ ัยแล้ว ก็ไม่ได้นาไปใช้ประโยชน์ ศาสตร์นัน ๆ ก็จะเจริญก้าวหน้าช้า ผลงานท่ีได้จากการทาวิจัยก่อให้เกิดประโยชน์ หลายอย่างซ่ึงก็ขึนอยู่กับจุดมุ่งหมายของผู้ทาวิจัยเองว่าต้องการนาผลการวิจัยไปใช้อะไร แต่พอจะสรุปได้เป็น ขอ้ ๆ ดงั นี 1. ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ เพ่ิมมากขึน ในสาขาวิชาท่ีทาวิจัยซึ่งเป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหาข้อความรู้ ความจริงในสงิ่ ท่ียังไมม่ ีใครรู้ อาจจะเปน็ กฎ หรอื ทฤษฎี 2. ก่อให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยอยู่เสมอซ่ึงเป็นการวิจัยท่ีมุ่งประดิษฐ์หรือสร้างอุปกรณ์ท่ีจะ นามาใช้เพื่ออานวยความสะดวกให้แกม่ นษุ ย์ 3. ใช้เป็นข้อมูลในการกาหนดนโยบาย หรือวางแผนในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นการวิจัยเพ่ือหาข้อมูลใน ด้านต่าง ๆ สาหรับนามาใชใ้ นการบริหารในหนว่ ยงาน 4. ชว่ ยให้ได้แนวทางในการเลือกวิธปี ฏบิ ัติ ในการทางานว่าจะเลอื กวิธีใดท่ีประหยดั รวดเรว็ และไดผ้ ลดที ่สี ดุ 5. ช่วยในการให้แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ได้ตรง และอยา่ งมเี หตมุ ีผลทเ่ี ชอ่ื ถือได้ 6. ใช้ในการตดิ ตามและประเมินผลของหน่วยงานหรือโครงการตา่ ง ๆ จะทาใหเ้ ราทราบถงึ ผลสาเร็จของ งานหรือโครงการว่ามีมากน้อยแค่ไหน มีปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติอะไรบ้าง เพ่ือนามาใช้เป็นข้อมูลในการ แก้ไขปรบั ปรงุ โครงการตอ่ ไป 7. ช่วยให้ไดเ้ ทคนคิ สาหรับการพัฒนาบุคลากรและหนว่ ยงานให้มปี ระสิทธิภาพมากยิง่ ขึน

2 3. แหลง่ ที่มาของปัญหาการวิจยั ที่มาของปัญหาการวิจยั ได้มาจากแหลง่ ตา่ ง ๆ ดังนี 1. ทฤษฎตี ่าง ๆ 2. ประสบการณ์ของตัวเอง 3. งานเขียนทางวิชาการ 4. ข้อเสนอแนะวทิ ยานพิ นธ์หรอื งานวจิ ยั 5. บทคัดยอ่ ของวิทยานิพนธ์หรอื งานวิจยั 6. ปรึกษาผ้เู ชยี่ วชาญ 4. การกาหนดปญั หาการวจิ ัยและการประเมนิ ปัญหาการวิจยั การกาหนดปัญหาการวจิ ัยนบั วา่ มคี วามสาคญั ท่สี ุดเปน็ ขนั ตอนแรกของการทาวิจัยและเปน็ ขันตอนท่ี กาหนดแนวทางในการปฏิบตั ขิ นั ตอนต่อ ๆ มา ดงั นนั กอ่ นลงมือทาวจิ ยั เรอ่ื งใดผ้วู ิจัยควรจะประเมนิ ปัญหานนั ก่อน การเขียนบรรยายปญั หาผูว้ จิ ยั จะเขยี นไว้ในหวั ข้อ ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา การวจิ ยั เปน็ การบรรยายเพ่ือตอบคาถามว่า “ทาไมจงึ ทาวิจัยเรอ่ื งน”ี จากประเดน็ ปญั หาต่างๆ ท่ีบรรยายไว้แลว้ ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งมาสรปุ เป็นชอ่ื เรอ่ื งวิจัยหรอื หวั ขอ้ วจิ ยั ให้ไดว้ ่าจะทาวิจยั เรื่องอะไร ซง่ึ จะมลี ักษณะกว้างๆ ทแี่ สดงถงึ ตวั แปรต่างๆ ทจ่ี ะศึกษา ต่อมาผู้วิจัยจะต้องเขียนวัตถุประสงคข์ องการวิจยั หรือปัญหาการวิจยั เป็นขอ้ ๆ ตามท่ี ผูว้ จิ ัยต้องการคาตอบ หรอื ผลของการวจิ ัยว่าตอ้ งการอะไรบ้าง ถา้ ใชค้ าว่าวัตถุประสงค์ของการวจิ ัยกจ็ ะเขียน เปน็ ประโยคบอกเลา่ แต่ถา้ ใช้คาว่าปัญหาของการวิจัยจะเขยี นเป็นประโยคคาถาม เม่ือผวู้ ิจัยกาหนดปญั หาการวจิ ยั ได้แลว้ กอ่ นลงมือทาวิจยั ควรจะได้มกี ารประเมนิ ปัญหาการวจิ ยั กอ่ น เพื่อจะไดต้ ดั สินใจว่าจะทาตอ่ ไปหรอื จะยกเลกิ เพื่อไม่ให้เกดิ ความเสยี หายมาก

3 ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่อื งความรทู้ วั่ ไปเกี่ยวกับการวจิ ัย คาชีแจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามต่อไปนีใหไ้ ด้ใจความสมบรู ณ์ 1. การวจิ ัยคอื อะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. การวิจัยมปี ระโยชนต์ อ่ มนษุ ย์อยา่ งไร (ระบุอยา่ งน้อย 3 ขอ้ ) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ให้นกั เรียนศกึ ษาโครงงานจากแหลง่ สืบคน้ ทีก่ าหนดให้ แล้วตอบคาถามตอ่ ไปนี 3.1 ชอ่ื งานวจิ ยั คืออะไร .............................................................................................................................................................................. 3.2 ช่ือนกั เรียนและโรงเรียนที่ทาวจิ ยั คอื อะไร .............................................................................................................................................................................. 3.3 แหล่งท่ีมาของงานวิจัยนีมาจากท่ใี ด .............................................................................................................................................................................. 3.4 ทาไมผู้วจิ ยั จึงทาวจิ ัยเร่ืองนี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.5 งานวจิ ยั เรอ่ื งนีมปี ระโยชน์อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.6 นักเรยี นจะตอ่ ยอดงานวจิ ยั นอี ย่างไร .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

4 ใบความรู้ที่ 2 ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นกจิ กรรมวิทยาศาสตรใ์ นโรงเรยี นประเภทหนึ่ง ซึ่งนักการศึกษาบางท่านได้ ใหค้ วามหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ไวต้ า่ ง ๆ กนั ดังนี ธีระชัย ปูรณโชติ (2531:1) ให้ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์โดยท่ัวไป หมายถึง การศึกษาเรื่องใดเร่ืองหน่ึงที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ และศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้การแนะนาปรึกษาดูแล ของครูหรือผู้เชี่ยวชาญในเร่ืองนันๆ และอาจใช้เคร่ืองมือ หรืออุปกรณ์ต่างๆช่วยในการศึกษาค้นคว้า เพอ่ื ใหก้ ารศกึ ษาคน้ ควา้ นันบรรลุตามวตั ถุประสงค์ ชื่น ศรสี วสั ด์ิ (2532:15) ใหค้ วามหมายไวว้ า่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ หมายถึง การศกึ ษาเรือ่ งใดเรือ่ งหนงึ่ ทางวิทยาศาสตรอ์ ย่างมหี ลักเกณฑ์ และ สาเรจ็ รปู ในตัว โดยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ สุวัฒน์ คล่องดี (2534:4) ให้ความหมายไว้ว่า โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นกิจกรรมทาง วิทยาศาสตร์ที่นาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษา เพื่อตอบปัญหาที่สงสัย หรือประดิษฐ์ คิดค้นใหม่ โดยนักเรียนเป็นผู้คิดและเลือกเรื่องท่ีจะศึกษา วางแผนลงมือปฏิบัติ บันทึกผล สรุปผล และเสนอผลดว้ ยตนเอง จนสาเรจ็ ทกุ ขันตอน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ (2533:1) ให้ความหมายไว้ว่า โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการศึกษาเร่ืองราวทางวิทยาศาสตร์ท่ีนักเรียนสนใจโดยใช้วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์เป็นแนวทาง ใน การศึกษา และแก้ปัญหา มีการวางแผนที่จะศึกษาภายในขอบเขตของระดับความรู้ ระยะเวลาและ อปุ กรณท์ ม่ี ีอยู่ และ ลงมือศึกษา สารวจ ทดลอง เพื่อรวบรวมขอ้ มูล แลว้ นามาประมวลผล จนได้ขอ้ สรุป ออกมาเปน็ ผลงานทมี่ คี วามสมบรู ณ์ในตวั เอง สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (2534:1) ให้ความหมายไว้ว่า โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการศึกษาเร่ืองใดเรื่องหนึ่งอย่างมีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ และต้องสาเร็จรูปในตัว ผู้ศึกษา จะต้องมีความละเอียดรอบคอบ มีการสังเกตและบันทึกผลท่ีได้จากการศึกษาไว้ตามลาดับทุกขันตอน การวางรูปโครงงานควรจะต้องดาเนินการลว่ งหน้าให้รัดกมุ

5 กล่าวโดยสรุปแลว้ กิจกรรมท่ีจัดวา่ เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ จะต้องประกอบดว้ ยองค์ประกอบต่อไปนีคือ  นักเรียนเป็นผู้ริเริ่มและเลือกเร่ืองท่ีจะศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามความสนใจและระดับความรู้ ความสามารถ  เปน็ กจิ กรรมท่ีใช้วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ในการศกึ ษาค้นคว้า เพ่อื ตอบปัญหาที่น่าสงสยั  นักเรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลดาเนินการปฏิบัติทดลองหรือ ประดิษฐ์คิดค้น รวมทังการแปลผลสรุปผล และเสนอผลการศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง โดยมีครูอาจารย์หรือ ผทู้ รงคณุ วุฒิเปน็ ผู้ให้คาปรึกษา  เป็นกิจกรรมท่ีเก่ยี วกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ข้อแตกต่างระหว่างโครงงานวิทยาศาสตร์ กบั กจิ กรรมทางวทิ ยาศาสตร์ จากความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ ได้กล่าวไปแล้วนัน สรุปได้ว่า โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นกิจกรรมที่มีการนาเอาระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในการศึกษาปัญหาหรือสิ่งท่ีสงสัย จนถึงขันสรุปผลหาคาตอบได้ ส่วนกิจกรรมใดที่ไม่ได้นาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ หรือใช้น้อยไม่ ถึงขันสรุปผล กิจกรรมนันไม่จัดเป็นโครงงานวทิ ยาศาสตร์ แต่จัดเป็นแค่กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เทา่ นนั ในการพิจารณาว่า กิจกรรมใดเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์หรือเป็นเพียงแค่กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ให้ นกั เรยี นลองศกึ ษาจากกรณตี วั อยา่ งตอ่ ไปนี  กรณีท่ี 1 นักเรียนได้สูตรการทานายาล้างจานผสมมะกรูดจากวารสารเล่มหนึ่ง นักเรียนมีความ สนใจในเรื่องนีมาก จดสูตรการทานายาล้างจานมาเสนอเพื่อนๆในกลุ่ม และลงมือทานายาล้างจานตามสูตรที่ จดมาจนสาเรจ็  กรณีที่ 2 นักเรียนทานายาล้างจานผสมมะกรูดตามสูตรท่ีได้มาจากวารสารเล่มหนึ่ง และนาไปใช้ ลา้ งจานชนิดตา่ ง ๆ ทีส่ กปรกไมเ่ ท่ากันได้สะอาดดที ุกจาน  กรณีที่ 3 นักเรียนทานายาล้างจานผสมมะกรูดตามสูตรท่ีได้ศึกษามาจากวารสารเล่มหน่ึง และได้ ลองเปล่ียนปริมาณของนามะกรูดท่ีผสมลงในนายาล้างจาน แล้วศึกษาว่าส่วนผสมของนามะกรูดปรมิ าณเท่าไร ท่ีสามารถลดคราบนามนั ได้ดีที่สุด จดบันทกึ ข้อมูล และสรปุ ผลการทานายาลา้ งจานผสมมะกรดู สตู รตา่ ง ๆ  กรณีท่ี 4 นักเรียนทานายาล้างจานผสมมะกรูดตามสูตรท่ีได้มาจากวารสารเล่มหนึ่งและยังได้ลอง เปล่ียนส่วนผสมจากมะกรูดเป็นมะขามเปียก มะนาว สับปะรด และส้มแขก แล้วศึกษาว่าส่วนผสมชนิดใด สามารถลดคราบไขมันไดม้ ากกว่ากัน มกี ารจดบันทึกข้อมูล และสรปุ ผลการทานายาล้างจานสูตรต่าง ๆ

6 ใบความรู้ที่ 3 คณุ คา่ ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์ จุดมุ่งหมายหรือคุณค่าท่ีสาคัญคือ การฝึกให้นักเรียนมี ความรู้และสามารถนาความรู้ ความคิดและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน หรือ ประดิษฐ์คิดค้น หรือแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ไม่ได้อยู่ท่ีการส่งเข้าประกวดเอารางวัลเอา ช่ือเสียง แต่มุ่งฝึกให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงจากการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ และสามารถนา ประสบการณ์ ความรู้เหล่านัน ไปประยุกต์ใช้ในวันข้างหน้า การทาโครงงานวิทยาศาสตร์จะสมบูรณ์และมี คุณค่าก็ต่อเมื่อนักเรียนสามารถท่ีจะสื่อ ถ่ายทอด หรือนาเสนอผลงานของตนให้ผู้อ่ืนได้ทราบและเข้าใจในงาน นันเพื่อเป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติต่อไป ในทางตรงข้ามหากผู้ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ทาแล้วเก็บเงียบ หรือไม่สามารถถ่ายทอดต่อผู้อ่ืนได้ งานนัน ๆ ก็ไม่มีคุณค่าใด ๆ การถ่ายทอดงานของตนไม่จาเป็นว่าจะต้อง เป็นผลงานท่ีทาได้สาเร็จเสมอไป ผลงานที่ไม่สาเร็จไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ก็เป็นงานทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีคุณค่า เช่นกัน เพราะการได้เผยแพร่ออกไปจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์อ่ืน ๆ ที่ทางานด้านนีตามหลังมาจักได้มี บทเรียน ไมผ่ ิดพลาดซาและไม่เสยี เวลาหลงทางในการศกึ ษาทดลองนี โดยสรปุ แล้วคณุ คา่ ของโครงงานวิทยาศาสตร์มดี งั ต่อไปน้ี 1. ฝึกให้นักเรียนนาความรู้ ความคิด และวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใชแ้ ก้ปญั หาในชีวิตประจาวัน หรือ ประดษิ ฐค์ ิดค้น หรือหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมไดด้ ว้ ยตนเอง 2. ฝึกให้นักเรียนรจู้ ักการถ่ายทอด นาเสนอผลงานความรคู้ วามคิดของตนตอ่ สาธารณะ 3. ปลูกฝังนสิ ยั รับผิดชอบและรกั ทีจ่ ะศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเอง 4. เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนไดพ้ ัฒนาและแสดงความสามารถของตน 5. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องท่ีสนใจ และกระตุ้นให้นักเรียนสนใจการเรียน วทิ ยาศาสตรม์ ากขนึ 6. ช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทาให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชา วทิ ยาศาสตร์ 7. ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในการแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยใช้กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ 8. ชว่ ยให้นักเรียนได้รู้จกั การใชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์ 9. ชว่ ยพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ และความเชอ่ื มน่ั ในตนเองให้แก่นักเรียน 10. สร้างความสัมพนั ธร์ ะหว่างครูและนักเรียนและระหว่างนักเรียนด้วยกนั

7 ใบกจิ กรรมที่ 2 เร่อื งความหมายและคณุ คา่ ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาชแี จง ให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนใี หไ้ ดใ้ จความสมบูรณ์ 1. จงสรปุ ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ตามความเขา้ ใจของนกั เรียน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. จดุ มงุ่ หมายท่ีสาคญั ของการฝกึ ให้นกั เรียนทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์คืออะไร (ระบุอยา่ งนอ้ ย 3 ขอ้ ) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. โครงงานวทิ ยาศาสตรต์ ่างจากกจิ กรรมทางวทิ ยาศาสตร์อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. โครงงานวทิ ยาศาสตร์จะมคี วามสมบรู ณแ์ ละมีคณุ ค่าเมอื่ ใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. ให้นักเรียนศึกษาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1 เรื่อง ระบุชอ่ื เรอื่ งและระบุวา่ ให้คุณคา่ ด้านใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 6. จงบอกคุณคา่ ของโครงงานวิทยาศาสตร์ตามความคิดเหน็ ของนักเรยี นมา 4 ขอ้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

8 ใบความรู้ท่ี 4 ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เนื่องจากโครงงานวิทยาศาสตร์ คือ การแก้ปัญหาหรือข้อสงสัยของนักเรียนโดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ถ้าเนือหาหรือข้อสงสัยตรงกับวิชาใดก็จัดเป็นโครงงานในวิชานันๆ สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. ได้แบ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ตามลักษณะของกิจกรรมการศึกษา ค้นควา้ และการไดม้ าซึ่งคาตอบของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรอ์ อกเป็น 4 ประเภทดงั นี 1. ประเภทการทดลอง 2. ประเภทการสารวจรวบรวมข้อมลู 3. ประเภทสงิ่ ประดิษฐ์ 4. ประเภททฤษฎี 1. โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทการทดลอง เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ท่ีถูกออกแบบมาให้มีการทดลองรวมอยู่เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ทังหมดท่ีใช้ ลักษณะเด่นของโครงงานประเภทนีคือ มีการออกแบบการทดลอง มีการกาหนดตัว แปรอิสระหรือตัวแปรต้นขึน เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวแปรต้นว่ามีผลต่อตัวแปรตามอย่างไร แล้ววัดผลท่ีเกิด ขึนกับตัวแปรตาม โดยควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทดลองเอาไว้ เช่น “การกระตุ้นการ งอกของเมล็ดพืชด้วยนารอ้ น” ในหัวข้อนีมีการออกแบบการทดลองโดยแช่เมล็ดถ่ัวเขียวในนาที่อุณหภูมิตา่ ง ๆ เปน็ ตัวแปรต้น และให้ตวั แปรต้นทังหลายกระตุ้นการงอกของเมล็ดถัว่ เขียวเป็นตัวแปรตาม โดยควบคมุ ตวั แปร อ่ืน ๆ ที่มีผลกระทบต่อการทดลองเอาไว้ เช่น จานวนเมล็ดถั่วเขียว ภาชนะท่ีแช่ เวลาในการแช่เมล็ดถ่ัวเขียว เปน็ ตน้ ตัวอย่างหวั ขอ้ โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททดลอง ได้แก่  ผักบุง้ สะดุ้งนา  การเพมิ่ ปรมิ าณนาตาลโตนดโดยการแชง่ วงตาลดว้ ยสารสม้ ผสมนาโคลน  การบาบัดนาเสยี ด้วยดนิ เหนยี วผสมขเี ลือ่ ย  ผงถ่านจากส่วนตา่ งๆของตาลโตนด  กระถางรไี ซเคิล  ศกึ ษาประโยชนข์ องดองดงึ  การกาจัดสารพษิ จากโลหะหนักและสารฆ่าแมลงบางชนดิ ด้วยไข่ขาว  ศึกษาประโยชน์ของข้าวผวี ัชพืชในนาข้าว  การกระตุ้นการงอกของเมล็ดพืชด้วยนาร้อนและแช่ในสารสกดั จากยอดพืช

9 2. โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทสารวจรวบรวมข้อมูล เป็นการสารวจ เก็บ และรวบรวมข้อมูล แล้วนาข้อมูลมาจาแนกเป็นหมวดหมู่ นาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพอ่ื ให้เหน็ ลักษณะสณั ฐาน ความแตกต่าง หรอื ความสมั พนั ธ์ของเรอื่ งทีศ่ กึ ษาไดช้ ัดเจนขึน การสารวจและรวบรวมข้อมูล อาจทาได้หลายรูปแบบ เช่น การออกไปเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคสนาม บางเรื่องสามารถเก็บรวบรวมในท้องถิ่น หรือในสถานที่ต่าง ๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องนาตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ ในหอ้ งปฏบิ ัติการ ตวั อยา่ งของโครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทสารวจรวบรวมขอ้ มูล  ศกึ ษาพฤตกิ รรมของมดแดง  ศึกษาพฤตกิ รรมของผเี สอื ชนดิ ตา่ งๆ  ศึกษาธรรมชาตขิ องนกเปด็ นา ที่เขตห้ามลา่ สตั วป์ า่ คขู ดุ อาเภอสทิงพระ  สารวจหนิ ทว่ี ดั พะโคะ  ศกึ ษาวฏั จักรชวี ติ ของแมลงปอ  ศึกษาสง่ิ มชี ีวิตบริเวณป่าเสมด็ ท่หี มบู่ า้ นพงั เสมด็  สารวจแพลงคต์ อนพืชในสระนาหาดมหาราช อาเภอสทงิ พระ  สารวจวชั พืชในนาข้าว  สารวจการสร้างรังของนกกระจาบ  การศกึ ษาคุณภาพของนาในสระนาพงั ชี อาเภอสทิงพระ 3. โครงงานประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ โครงงานประเภทนีเป็นโครงงานที่มีการประดิษฐ์เคร่ืองมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้สอย ต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นการคิดประดิษฐ์สิ่งของขึนใหม่หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึนก็ได้ โครงงานประเภทนีจะรวมไปถึงการสร้างแบบจาลองเพื่ออธิบายในความคิดต่าง ๆ ด้วย โครงงานที่เป็นสิ่งประดิษฐ์จะมีการออกแบบและการเก็บรวบรวมข้อมูลสร้างส่ิงประดิษฐ์หรือสร้าง แบบจาลองโดยกาหนดและศกึ ษาตัวแปร เชน่ ชนดิ ของวตั ถุ รูปแบบ การทางานของส่ิงประดิษฐน์ ัน ๆ เป็นตน้ จากนันต้องมีการทดสอบการทางานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบรู ณ์ โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์จึงต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้และทักษะทางช่าง รวมทังการใชว้ ิธกี าร ทางวิทยาศาสตรใ์ นกระบวนการสรา้ งสิ่งประดษิ ฐด์ ้วย ตวั อย่างโครงงานประเภทนี ไดแ้ ก่  เครือ่ งยอ่ ยกระดาษ  รปู ทรงเรขาคณิตกับการออกแบบชดุ ฝกึ ทักษะตะกร้อ  เครอื่ งเพาะถ่ัวงอก  เตาเผาลดควนั พิษ  รถเก็บขยะ  ตอู้ บสมุนไพรพลังงานแสงอาทติ ย์  หม้อต้มนาตาลโตนดแบบประหยดั พลังงาน  ถังหมักปุย๋ นาชีวภาพ  ครกกระเดอ่ื งมอเตอรไ์ ฟฟา้  เคร่ืองผา่ หมาก

10 4. โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่ผู้ทาโครงงานต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวคิดต่าง ๆ อย่าง ลึกซึงในเร่ืองท่ีต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจาลอง หลักการ ซ่ึงอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคาอธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอไดต้ ังกตกิ าหรือข้อตกลงขึนมาเอง หรืออาจใชก้ ติกา หรือข้อตกลงเดิมมาอธบิ าย สิ่งหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ ทฤษฎี หลักการ แนวความคิด หรือจินตนาการท่ีเสนอนีอาจจะเป็น เรือ่ งใหมท่ ี่ไม่มีใครคดิ มากอ่ น หรอื อาจเปน็ การโต้แยง้ กับทฤษฎีเดิมและรวมทงั การขยายทฤษฎหี รอื แนวคดิ เดิม ก็ได้ การทาโครงงานประเภทนีมีจุดสาคัญอยู่ท่ีผู้ทาต้องมีความรู้ในเรื่องนัน ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่างโครงงาน ประเภทนไี ดแ้ ก่  ทฤษฎีของจานวนจาเพาะ  E = mc2  ทฤษฎีความสูงสมั พนั ธ์  การขนส่งด้วยวธิ ีแยกอณูของสสาร  ทฤษฎีการเกดิ แผ่นดินไหว  ทฤษฎแี นวคดิ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง  ทฤษฎวี ิ่งผา่ สายฝน โครงงานประเภทนีเป็นเรื่องค่อนข้างยากสาหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา เน่ืองจากข้อจากัดทางด้าน ความรู้ของผู้ทาโครงงานจึงเป็นการยากที่จะเสนอโครงงานทฤษฎีท่ีเป็นแนวคิดใหม่ ๆ ดังนันโครงงานประเภท ทฤษฎที น่ี ักเรียนนาเสนอจึงอาจไม่ใชแ่ นวคดิ หรอื ทฤษฎีใหม่ แตก่ ็เป็นเรื่องใหม่สาหรับนกั เรียน การจาแนกประเภทของโครงงานที่กล่าวมาแล้ว ใช้ลกั ษณะของกิจกรรม แนวคิดในการออกแบบทดลอง หรือการปฏิบัติเป็นเกณฑ์ ในบางครังอาจไม่สามารถแยกประเภทของโครงงานได้อย่างชัดเจน เช่น การทา โครงงานประเภททดลองอาจมีการออกแบบและประดิษฐ์เครื่องมือขึนใช้ด้วย เพียงแต่เป้าหมายไม่ได้เน้นการ ทดสอบประสิทธิภาพของส่งิ ประดิษฐ์ แต่นาเคร่อื งมอื ทีป่ ระดษิ ฐไ์ ดไ้ ปใช้งานโดยตรง

11 ใบกิจกรรมที่ 3 เร่อื งประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาชีแจง ให้นักเรยี นตอบคาถามเรอื่ งประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ใหไ้ ดใ้ จความสมบูรณ์ 1. โครงงานวิทยาศาสตรแ์ บง่ ออกเป็นกป่ี ระเภท อะไรบา้ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทใดท่มี ีการออกแบบการทดลอง และการกาหนดตวั แปร .............................................................................................................................................................................. 3. ลักษณะเดน่ ของโครงงานประเภทการสารวจคอื อะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. ลักษณะเดน่ ของโครงงานประเภทส่งิ ประดษิ ฐ์คอื อะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. จดุ สาคญั ของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี คืออะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 6. โครงงานวิทยาศาสตรต์ อ่ ไปนี จดั อยู่ในประเภทใด 6.1 การสารวจแพลงคต์ อนพชื ในสระนาหาดมหาราช อาเภอสทงิ พระ .............................................................................................................................................................................. 6.2 เครอ่ื งแยกไข่ด้วยใยตาล .............................................................................................................................................................................. 6.3 การสารวจวัชพชื ในนาข้าว .............................................................................................................................................................................. 6.4 เครอ่ื งหว่านปุ๋ย .............................................................................................................................................................................. 6.5 การเตรยี มเอทานอลจากผลตาลสุก ..............................................................................................................................................................................

12 ใบความรทู้ ี่ 5 ตวั แปรในการวิจยั ตัวแปรหมายถึง ลักษณะ คณุ สมบตั ิ หรอื อาการกริ ยิ าของหนว่ ยต่าง ทจ่ี ะทาการศึกษาหรือวจิ ยั มีค่า หรือลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกัน การนิยามตัวแปร เป็นการใหค้ วามหมายหรอื การอธิบายตัวแปรท่ีจะวดั ให้ชัดเจนสามารถสงั เกตและวดั คา่ ออกมาได้ มีผลทาให้ค่าทีว่ ดั ได้มีความถูกต้องนา่ เช่ือถือ รายละเอยี ดของตัวแปรแต่ละตวั มีดังนี 1. ตวั แปรอิสระหรอื ตวั แปรตน้ (Independent variables) หมายถงึ ตัวแปรทเ่ี ปน็ สาเหตทุ าให้เกดิ ผล อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ขนึ มาที่ผู้วจิ ยั สนใจจะศึกษา ซึ่งเรยี กว่าตัวแปรตาม เช่น วิธีการเรียนซง่ึ ตา่ งกัน 2 วธิ ี ทาใหผ้ ล การเรยี นของนกั เรยี นตา่ งกนั วธิ กี ารเรยี นเป็นตวั แปรอสิ ระหรือตวั แปรต้น ซึ่งเปน็ สาเหตใุ หเ้ กดิ ผลการเรยี นที่ เรยี กว่าตวั แปรตาม 2. ตวั แปรตาม (Dependent variables) หมายถงึ ตัวแปรท่เี ป็นผลอนั เกดิ จากตัวแปรอิสระ 3. ตวั แปรควบคมุ (Control variable) หมายถึง ตัวแปรทเี่ ราไมต่ อ้ งการใหม้ ีผลต่อตัวแปรตาม

13 ใบกจิ กรรมที่ 4 เรอ่ื งการวเิ คราะหโ์ ครงงานวิทยาศาสตร์ คาชีแจง ให้นกั เรยี นวเิ คราะห์โครงงานวทิ ยาศาสตร์จากเรอื่ งทนี่ ักเรยี นสนใจ โดยใช้แหลง่ เรยี นรโู้ ครงงาน วิทยาศาสตร์ โรงเรยี นมหาวชิราวธุ จงั หวดั สงขลา 1. โดยสรปุ โครงงานนีจัดทาขึนเพอื่ ตอบสนองข้อสงสัย ปัญหา หรือมีจุดมงุ่ หมายอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. โครงงานนจี ดั เปน็ โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทใด จงใหเ้ หตผุ ลประกอบ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. โครงงานนนี าวัสดอุ ะไรมาทาการศึกษาทดลอง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. โครงงานนมี ปี ระโยชน์อย่างไรบ้าง (ระบุอย่างนอ้ ย 3 คาตอบ) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. ตวั แปรทเี่ กย่ี วขอ้ งกับโครงงานนใี นแตล่ ะการทดลองคอื อะไร ชอ่ื การทดลองท่ี 1 คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตน้ คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตาม คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรควบคุม คือ .............................................................................................................................................................................. ชื่อการทดลองท่ี 2 คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตน้ คือ .............................................................................................................................................................................. ตัวแปรตาม คอื .............................................................................................................................................................................. ตัวแปรควบคุม คือ ..............................................................................................................................................................................

14 ชื่อการทดลองที่ 3 คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตน้ คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตาม คอื .............................................................................................................................................................................. ตัวแปรควบคมุ คือ .............................................................................................................................................................................. ชือ่ การทดลองท่ี 4 คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตน้ คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตาม คอื .............................................................................................................................................................................. ตัวแปรควบคุม คือ .............................................................................................................................................................................. ชื่อการทดลองท่ี 5 คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตน้ คือ .............................................................................................................................................................................. ตวั แปรตาม คอื .............................................................................................................................................................................. ตัวแปรควบคมุ คอื .............................................................................................................................................................................. 7. ขอ้ สรุปของโครงงานนี คืออะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 8. โครงงานนีแสดงถงึ ความแปลกใหมห่ รือความคิดริเรม่ิ สร้างสรรคอ์ ยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

15 9. จากการศึกษาวเิ คราะห์โครงงานนี นักเรยี นได้แนวคิดท่จี ะขยายหรอื ปรบั ปรงุ โครงงานให้ดขี นึ ในดา้ นใดบ้าง หรือมีตวั แปรอน่ื ใดอีกบา้ งที่น่าจะศึกษาเพม่ิ เตมิ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

16 ใบความร้ทู ี่ 6 การคดิ และเลอื กปัญหาในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. ข้นั ตอนในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมที่ต้องทาอย่างต่อเน่ืองหลายขันตอน แต่ละขันตอนจะมีความสาคัญ ต่อโครงงานนัน ๆ การแบ่งขันตอนของการทาโครงงานอาจแตกต่างกันทังนีขึนอยู่กับการวางแผนการทา โครงงาน และแนวคิดของผู้ทาโครงงานด้วย ในที่นีจะแบ่งการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ออกเป็น 6 ขันตอน ดงั นี 1. การคิดและเลือกปญั หาในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. การศึกษาเอกสารท่ีเกย่ี วข้อง 3. การจดั ทาเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ 4. การลงมือทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5. การเขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ 6. การเสนอและการแสดงผลงานของโครงงาน ในบทนีจะขอกลา่ วเฉพาะขนั ตอนท่ี 1 เทา่ นนั คอื การคิดและเลือกปญั หาในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. การคิดและเลอื กปญั หาในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การคิดและเลือกปัญหาในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นขันตอนท่ีสาคัญขันตอนหนึ่ง ซ่ึงนักเรียน จะต้องคิดและเลือกปัญหาหรือหัวข้อเร่ืองด้วยตนเอง โดยท่ัวไปหัวข้อเร่ืองของโครงงานมักจะได้มาจากปัญหา คาถาม หรือความอยากรู้ อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ของนักเรียนเอง หัวข้อเร่ืองของโครงงานควร เฉพาะเจาะจง และชัดเจนว่าจะศึกษาเร่ืองใดหรือตัวแปรใด และถ้าเป็นเรื่องแปลกใหม่ควรแสดงให้เห็นถึง ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้ด้วยก็จะยิ่งเป็นการดีโดยทั่วไปปัญหาหรือหัวข้อเร่ืองที่จะทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ได้มาจากแหลง่ ตา่ ง ๆ ดงั นี  การอา่ นคน้ ควา้ หนงั สอื เอกสาร หนงั สอื พมิ พ์ วารสารตา่ ง ๆ โดยไม่จาเพาะต้องเปน็ เร่ืองราวทาง วิทยาศาสตรเ์ ท่านนั  การไปเย่ียมชมสถานทีต่ ่าง ๆ เชน่ วนอทุ ยาน สวนสัตว์ พพิ ธิ ภัณฑ์ โรงงานอตุ สาหกรรม สถานที่ เพาะเลียงพชื และสตั ว์ หนว่ ยงานวจิ ยั หอ้ งปฏิบัตกิ าร  การฟังการบรรยายทางวชิ าการ การฟงั และชมรายการทางวทิ ยแุ ละโทรทศั น์ รวมทงั การสนทนา อภปิ รายแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ ระหวา่ งเพื่อนนกั เรียนหรอื กบั บคุ คลอื่น  กิจกรรมการเรยี นการสอนในโรงเรียน  งานอดเิ รกของนักเรียน  การเข้าเยี่ยมชมนทิ รรศการ หรอื งานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

17 กรณตี วั อย่างการไดม้ าของปัญหาในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ดาริน เสนอทาโครงงานเรื่อง “การเพาะเห็ดนางรมจากซังข้าวโพด” เนื่องจากระหว่างเดินทางจาก โรงเรียนกลับบ้าน ดารินสังเกตเห็นกองซังข้าวโพดมีราขึน จึงเกิดความคิดว่า ซังข้าวโพด จะมีสารอาหารที่ เหมาะสมกับส่ิงมีชีวิตประเภทรา และคิดต่อไปว่าถ้านาซังข้าวโพดมาป่นและอัดเป็นก้อนก็น่าจะใช้เพาะเห็ด นางรมได้เชน่ เดยี วกบั ขเี ลื่อยท่ีใช้เพาะเหด็ นางรมกันอยู่ทวั่ ๆ ไป ธนวฒั น์ เคยเล่นเป่าเมล็ดถ่ัวโดยใช้ไม้ซาง เม่ือธนวัฒน์เรียนวิชาฟิสิกส์ชันมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องสมบัติ เกี่ยวกับความดันของแก๊ส จึงเกิดแนวความคิดว่าถ้าใช้ความดันของอากาศผลักแคปซูล ให้เคลื่อนที่ไปในท่อท่ี เหมาะสม ก็น่าจะพัฒนาระบบการเคล่ือนท่ีเพื่อใช้เป็นระบบขนส่งมวลชนได้ จึงเสนอทาโครงงานเรื่อง “กระสวยอัดอากาศ” กรันย์ธรและบุรินทร์ เป็นนักเรียนท่ีต้องขึนรถประจาทางในกรุงเทพฯ และสังเกตว่าเมื่อเลียวอย่างแรง ผโู้ ดยสารจะเหว่ยี งไปในทศิ ทางตรงขา้ มกับการเลียว ประกอบกับในห้องปฏิบตั กิ ารมีเคร่ืองป่ันแยกไฟฟา้ อยู่ จึง เกิดความคิดว่า ถ้านาเมล็ดพืชมาเพาะในที่มีแรงเหวี่ยงสูงน่าจะมีการเปล่ียนแปลงเกิดขึน จึงทาโครงงานเร่ือง “แรงหนศี ูนยก์ ลางต่อทศิ ทางและอัตราการเพ่มิ ความยาวของรากและตน้ กลา้ สรอ้ ยไก่” สุกมล และนันทิยา ได้ดูรายการโทรทัศน์ชุด “ ซิงเกอร์เวิลด์ ” เร่ืองเก่ียวกับการศึกษา พฤติกรรม ของนก แนวความคิดท่ีได้จากรายการโทรทัศน์ ประกอบกับทางครอบครัวมีความสนใจเลียงนกอยู่แล้วจึงทา ให้มีความเข้าใจเก่ียวกับนกพอสมควร แล้วยังได้เรียนเรื่องพฤตกิ รรมของสิ่งมีชีวิตจากวชิ าชีววิทยาด้วย จึงทา โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ รอ่ื ง “การศกึ ษาพฤตกิ รรมแบบมีเงอ่ื นไขของนกเอียงหงอน” ทรงพล อดิเทพ และอิสรา พบว่าภาพจากเคร่ืองรับโทรทัศน์ซึ่งอยู่ในสถานที่ตา่ งกันจะมีความชดั เจน แตกต่างกัน บางแห่งรับภาพได้ชัดเจน ในขณะท่ีบางแห่งรับภาพได้ไม่ชัดเจน ภาพซ้อนกัน หรือรับไม่ได้เลย พวกเขาจึงคิดทาโครงงานเร่ือง “จานรับโทรทัศน์จากร่ม” โดยประดิษฐ์เสาอากาศรับสัญญาณโทรทัศน์ที่คล้าย จานดาวเทียม แต่มีขนาดเล็กกวา่ ราคาประหยัดกว่า และสรา้ งจากวสั ดุท่หี าง่ายและเหลอื ใช้ การตัดสนิ ใจเลอื กเรื่องทจ่ี ะทาโครงงานควรพจิ ารณาองค์ประกอบสาคญั ๆ ดงั นี้  ตอ้ งมีความรแู้ ละทักษะพืนฐานอยา่ งเพยี งพอในเรอื่ งที่จะศึกษา  มแี หล่งความรเู้ พยี งพอทจี่ ะค้นคว้า หรือขอคาปรกึ ษา  สามารถจดั หาวัสดุอปุ กรณท์ จ่ี าเป็น หรือจัดทาขึนมาได้  มเี วลาเพยี งพอท่ีจะทาโครงงาน  มงี บประมาณเพียงพอ  มีความปลอดภัย

18 ใบกิจกรรมท่ี 5 เรอื่ งการวิเคราะหส์ ภาพปัญหาต่าง ๆ ท่พี บในทอ้ งถิ่น คาชีแจง ให้นักเรียนเลือกวิเคราะห์สภาพปัญหาต่าง ๆ ในโรงเรียน ในท้องถิ่นตามความสนใจและระดับความรู้ ของนักเรยี น โดยวเิ คราะห์จากหวั ข้อต่อไปนี 1. คณุ ภาพของแหลง่ นาในท้องถน่ิ 1.1 ปัญหาทพ่ี บเกย่ี วกบั แหล่งนา .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.2 แนวความคิดในการแกป้ ัญหาโดยใชค้ วามร้ทู างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. ทดี่ นิ แหล่งท่ที ากินของชาวบา้ น 2.1 ปัญหาทพี่ บเกี่ยวกบั ดิน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.2 แนวความคดิ ในการแก้ปัญหาโดยใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลติ ผลทางการเกษตรในทอ้ งถน่ิ 3.1 ในหมบู่ ้านของนักเรียนมีผลิตผลทางการเกษตร อะไรบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.2 ปัญหาทพี่ บเกย่ี วกับผลิตผลทางการเกษตร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.3 แนวความคิดในการแกป้ ัญหาโดยใช้ความร้ทู างวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

19 ใบกจิ กรรมท่ี 6 เรือ่ งการคดิ และเลือกปญั หาทจี่ ะทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาชีแจง ให้นกั เรียนในกลุ่มร่วมกนั คิดและเลอื กปญั หาโครงงานวทิ ยาศาสตรจ์ ากพชื และสตั ว์ และภูมิปัญญาท้องถนิ่ 1. ในทอ้ งท่จี งั หวดั สงขลามีพืชเศรษฐกิจท่ีสาคัญอะไรบ้าง 1.1 ................................................................................................................................................................ 1.2 ................................................................................................................................................................ 1.3 ................................................................................................................................................................ 2. นกั เรยี นสามารถนาสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื เศรษฐกจิ เหลา่ นมี าเพม่ิ มลู ค่าไดอ้ ยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. หัวขอ้ โครงงานทนี่ กั เรียนคดิ ได้จากพืชเศรษฐกจิ ในทอ้ งถิ่น ไดแ้ ก่ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. ในท้องถน่ิ จงั หวัดสงขลา มีสตั วเ์ ลียงทส่ี าคัญอะไรบา้ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. ขนสัตว์ มูลสตั ว์ นาปสั สาวะ และกระดกู สัตว์ สามารถนามาใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 6. หัวขอ้ โครงงานทค่ี ิดได้จากการนาขนสัตว์ มูลสตั ว์ นาปสั สาวะและกระดกู สตั ว์ มาใช้ประโยชน์ ได้แกเ่ รอื่ งใดบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 7. ใหน้ ักเรยี นคิดหวั ขอ้ โครงงานจากพืชสมุนไพรในท้องถนิ่ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 8. ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ สามารถนามาต่อยอดเปน็ หัวข้อโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้ มีอะไรบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

20 ใบความรู้ท่ี 7 เคา้ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การจดั ทาเคา้ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ มีความสาคัญดงั น้ี 1. เป็นการกาหนดแนวคดิ และวางแผนการทดลองล่วงหนา้ 2. ช่วยใหส้ ามารถมองเหน็ ความเปน็ ไปไดข้ องการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 3. สามารถนาไปขอคาปรึกษาจากอาจารยท์ ีป่ รึกษาหรือผู้ทรงคณุ วุฒทิ ่เี กีย่ วขอ้ งได้ การจดั ทาเคา้ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ควรมีองคป์ ระกอบที่สาคัญดังตอ่ ไปนี 1. ชื่อโครงงาน ช่ือโครงงาน ควรเป็นข้อความท่ีกะทัดรัด มีความชัดเจน สื่อความหมายตรงไปตรงมา และมีความ เฉพาะเจาะจง 2. ชอ่ื ผทู้ าโครงงาน ช่ือผู้ทาโครงงาน โดยปกติแล้วไม่มีข้อจากัดไว้ว่าผู้ร่วมทาโครงงานวิทยาศาสตร์ควรมีจานวนเท่าใดแต่ อย่างไรก็ตาม หากทีมงานที่ร่วมกันทาโครงงานมีจานวนมากเกินไป แทนที่จะเป็นผลดี ก็อาจกลายเป็น อุปสรรคได้ ทังนีเนื่องจากต้องมีการนัดพบปะกันบ่อย ๆ เพื่อแลกเปล่ียนความคิด และแบ่งงานรับผิดชอบกัน ทา ซ่ึงหากทีมงานมีจานวนมากเกินไป โอกาสท่ีจะพบกันโดยพร้อมเพรียงย่อมลาบาก จานวนผู้ทาโครงงานที่ เหมาะสมนนั ควรจะอยทู่ ี่ 3 – 4 คนต่อโครงงาน ในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ได้ กาหนดจานวนผรู้ ่วมทาโครงงานไว้ไม่เกนิ 3 คนตอ่ โครงงาน 3. ชอ่ื ที่ปรึกษาโครงงาน จานวนที่ปรกึ ษาโครงงานวิทยาศาสตร์ ก็คล้ายกบั จานวนผทู้ าโครงงาน คือไม่ควรมมี ากจนเกนิ ไป โดยท่วั ไปแลว้ ท่ีปรึกษาโครงงานจะมอี ยู่ 1 – 2 คนตอ่ โครงงาน ในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ได้ กาหนดอาจารย์ท่ีปรึกษาในแต่ละโครงงานไว้เพียง 1 คนต่อโครงงานเท่านัน แต่ทังนีอาจมีท่ีปรึกษาพิเศษของ โครงงานเพ่มิ เตมิ ได้ 4. ทม่ี าและความสาคญั ของโครงงาน อธิบายว่าเหตุใดจึงเลือกทาโครงงานนี โครงงานนีมีความสาคัญอย่างไร เร่ืองท่ีทาเป็นเร่ืองใหม่ หรือมี ผู้อ่ืนได้เคยศึกษาค้นคว้าไว้บ้าง ถ้ามีได้ผลเป็นอย่างไร เรื่องท่ีทานีได้ขยายผลเพิ่มเติม ปรับปรุงจากเรื่องท่ีผู้อ่ืน ทาไว้อย่างไร หรือเป็นการทาซาเพือ่ ตรวจสอบผล 5. วตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาคน้ ควา้ ควรมีความเฉพาะเจาะจงชัดเจนว่า ต้องการศึกษาค้นคว้าอะไร จะหาคาตอบอะไร และควรเป็นสิ่งที่ สามารถกาหนดวดั ไดแ้ น่นอนไมค่ ลุมเครอื บอกขอบเขตของงานท่จี ะทาได้ชดั เจน 6. สมมติฐานของการศกึ ษาค้นควา้ สมมติฐานเปน็ คาตอบหรอื คาอธิบายทค่ี าดไว้ล่วงหนา้ ซึ่งอาจจะถูกหรอื ผิดก็ได้ การเขียนสมมติฐานควรมีเหตุผล มีทฤษฎีหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์มารองรับ ควรเป็นข้อความที่ อา่ นแล้วมองเหน็ แนวทางในการดาเนินการทดลอง หรือสามารถทดสอบได้ และสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ของ การศึกษาค้นควา้

21 7. ขอบเขตของการศึกษา การกาหนดขอบเขตของการศึกษา เป็นการออกตวั บอกแต่แรกว่า โครงงานที่เราจะทานีมุ่งศึกษากวา้ ง หรือแคบเพียงใด ครอบคลุมขอบข่ายแค่ไหน ตัวอย่างเช่น “การศึกษาความสัมพนั ธ์ของการดื่มนมกับความสูง ของนกั เรียน” โดยกาหนดขอบเขตของการศกึ ษาไว้เฉพาะกับนกั เรียนชนั มัธยมศึกษาตอนตน้ ของจังหวัดสงขลา เทา่ นัน ไม่ใชจ่ ากนักเรียนชนั อะไรก็ได้ หรอื นกั เรียนทไ่ี หนกไ็ ด้ เปน็ ตน้ 8. นยิ ามเชิงปฏบิ ตั กิ าร นิยามเชิงปฏิบัติการ หมายถึง การกาหนดความหมายและขอบเขตของคาต่าง ๆ (ที่มีอยู่ในสมมติฐาน การทดลอง) ให้เข้าใจตรงกัน และสามารถสังเกตหรือวัดได้ เช่น นิยามเชิงปฏิบัติการของคาว่า “การ เจริญเติบโตของไก่” อาจกาหนดวัดจากนาหนักของไก่ หรือวัดจากระยะเวลา (อายุ) ของไก่ ท่ีเริ่มออกไข่ครัง แรก หรือวัดจากจานวนของไขท่ ่ีเก็บได้ในชว่ งระยะเวลาทีก่ าหนด เปน็ ต้น 9. ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม การกาหนดตัวแปร หมายถึง การชีบ่งสิ่งต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องอยู่ในการทดลอง หรือมีอยู่ในการทดลอง และมคี วามสมั พันธส์ ง่ ผลซงึ่ กนั และกนั ประกอบด้วย ตัวแปรต้น คือส่ิงท่ีเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดผลต่าง ๆ หรือสิ่งที่เราต้องการทดลองดูว่าเป็นสาเหตุท่ี กอ่ ใหเ้ กดิ ผลเชน่ นนั จรงิ หรือไม่ ตวั แปรตาม คือสิ่งท่ีเป็นผลอันเน่ืองมาจากตวั แปรตน้ และเม่ือตวั แปรต้นหรอื ส่ิงทเ่ี ป็นสาเหตเุ ปลี่ยนไป ตวั แปรตามหรอื สงิ่ ท่ีเปน็ ผลก็จะเปล่ียนตามไปด้วย ตัวแปรควบคมุ คอื สิ่งอ่ืนใด (ทน่ี อกเหนือไปจากตัวแปรต้น) ทส่ี ามารถสง่ อิทธิพลต่อตวั แปรตามได้ จงึ จาเป็นต้องควบคมุ ให้เหมอื น ๆ กนั ในการทดลอง เพือ่ ไม่ให้สง่ ผลต่อการทดลอง และทาใหผ้ ลการทดลอง คลาดเคล่ือนได้ 10. วธิ ีดาเนนิ การ วัสดุอุปกรณ์ท่ีจาเป็นต้องใช้ ระบุว่าท่ีจาเป็นต้องใช้มีอะไรบ้าง จะหาวัสดุอุปกรณ์เหล่านีมาจากไหน อะไรบา้ งทตี่ ้องการจดั ซือ จดั ทาเอง หรอื ขอยมื ได้ แนวการศึกษาทดลอง อธิบายว่าจะทาการทดลองอย่างไรให้เห็นเป็นขันเป็นตอนแบ่งกลุ่มตัวอย่างที่ ทดลองอย่างไร ใช้ปริมาณสารเท่าใด ชดุ ควบคุมการทดลองออกแบบอย่างไร ทังโครงงานจะมีกี่การทดลอง จะ ประดิษฐ์อะไร อยา่ งไร การบันทึกข้อมูล วางแผนว่าจะเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เก็บอย่างไร เก็บเมื่อใด หรือช่วงเวลาในการเก็บ ขอ้ มูลแตล่ ะครังหา่ งกนั นานเท่าใด เกณฑก์ ารวดั ผลจะวัดอยา่ งไรจึงจะเหมอื นกันหมดในทกุ ชดุ การทดลอง การนาเสนอข้อมูล ข้อมูลที่เก็บบันทึกได้มักจะมีหลายชนิด ถ้าเป็นข้อมูลในเชิงปริมาณ ต้องวางแผนว่า จะเสนอในรูปแบบของตารางบันทึกตัวเลข หรือเป็นกราฟ แต่ถ้าเป็นข้อมูลในเชิงคุณภาพ ต้องคิดว่าจะใช้การ บรรยายลักษณะและพฤติกรรมทป่ี รากฏใหเ้ หน็ ในขณะทดลองออกมาเป็นภาพถ่ายอยา่ งไร 11. ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รับ บอกครา่ ว ๆ โดยคาดวา่ ผลทไ่ี ดจ้ ะเป็นอยา่ งไร ซึ่งอาจจะใชเ้ ปน็ สมมติฐานของการทดลองในภายหลังได้ 12. เอกสารอ้างอิง อ้างแต่พอสังเขปในสว่ นทเ่ี กีย่ วข้องกับทม่ี าและความสาคัญของโครงงาน นักเรียนต้องร่างเค้าโครงย่อของโครงงานวิทยาศาสตร์ออกมา ทาบันทึกเค้าโครงเหล่านี เพ่ือปรึกษา อาจารยท์ ีป่ รึกษา ซงึ่ ในขันนอี าจต้องมกี ารแก้ไข ปรับปรุงบางอยา่ งเพ่ือให้การดาเนนิ งานมคี วามเป็นไปไดม้ ากขนึ

22 ใบกจิ กรรมที่ 7 เรอ่ื งความสาคัญและองคป์ ระกอบในการจดั ทาเคา้ โครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ คาชแี จง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนีให้ได้ใจความสมบรู ณ์ 1. การจัดทาเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ มคี วามสาคัญอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. องค์ประกอบของเคา้ โครงโครงงานวิทยาศาสตร์ ตอ่ ไปนมี ีความสาคญั อย่างไร 2.1 ที่ปรกึ ษาโครงงาน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.2 วตั ถปุ ระสงค์ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.3 ทมี่ าและความสาคญั ของโครงงาน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.4 สมมตฐิ าน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.5 วัสดุ อุปกรณ์ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.6 แนวการศึกษาค้นคว้า .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.7 ผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

23 ใบความรทู้ ี่ 8 จรรยาบรรณนักวิจยั จรรยาบรรณนกั วิจยั หมายถงึ หลักเกณฑค์ วรปฏิบตั ขิ องนกั วจิ ยั ทัว่ ไป เพอ่ื ให้การดาเนนิ งานวิจัยตงั อยบู่ น พืนฐานของคณุ ธรรม จริยธรรม และหลักวิชาการท่ีเหมาะสม ตลอดจนประกันมาตรฐานของการศึกษาค้นคว้าให้ เปน็ ไปอยา่ งสมศกั ดิศ์ รี และเกยี รติภูมิของนกั วจิ ยั สานักงานคณะกรรมการวจิ ัยแหง่ ชาตจิ งึ กาหนด จรรยาบรรณนักวจิ ัย ไว้เป็นแนวทางสาหรบั นกั วิจัยยดึ ถอื ปฏิบัติ เพ่ือให้การดาเนนิ งานวจิ ัยตังอย่บู นพืนฐานของคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และหลักวชิ าการทเ่ี หมาะสม ตลอดจน ประกันมาตรฐานของการศกึ ษาคน้ คว้าให้เปน็ ไปอยา่ งสมศกั ด์ิศรแี ละเกียรติภมู ขิ องนกั วจิ ยั ไว้ 9 ประการดงั นี 1. นักวจิ ัยตอ้ งซอ่ื สัตย์ และมีคณุ ธรรมในทางวชิ าการและการจัดการ นกั วิจัยต้องมคี วามซื่อสัตย์ตอ่ ตนเอง ไม่นาผลงานของผู้อ่ืนมาเปน็ ของตน ไมล่ อกเลยี นงานของคนอ่ืน ตอ้ ง ใหเ้ กียรติและอา้ งถงึ บคุ คลหรือแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู ทน่ี ามาใชใ้ นงานวิจัย ต้องซือ่ ตรงต่อการแสวงหาทุนวจิ ยั และมี ความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ไดจ้ ากการวิจัย 2. นักวิจยั ต้องตระหนกั ถงึ พนั ธกรณใี นการทางานวจิ ัย ตามขอ้ ตกลงท่ีทาไวก้ ับหน่วยงาน ทส่ี นบั สนนุ การวิจยั และตอ่ หน่วยงานที่ตนสงั กัด นักวจิ ยั ต้องปฏบิ ตั ิตามพนั ธกรณี และขอ้ ตกลงการวจิ ยั ทผี่ ู้เก่ียวขอ้ งทุกฝา่ ยยอมรับร่วมกนั อทุ ิศเวลาทางาน วิจัยใหไ้ ดผ้ ลดที สี่ ุดและเป็นไปตามกาหนดเวลา มีความรบั ผิดชอบไม่ละทงิ งานระหวา่ งดาเนนิ การ 3. นักวจิ ัยตอ้ งมีพนื ฐานความรใู้ นสาขาวชิ าการท่ีทาวิจัย นกั วิจยั ตอ้ งมพี นื ฐานความรู้ในสาขาวชิ าการทท่ี าวจิ ยั อย่างเพยี งพอ และมีความชานาญการหรือ ประสบการณเ์ กยี่ วเนอื่ งกับเร่อื งทท่ี าวจิ ยั เพอื่ นาไปสงู่ านวิจัยท่ีมคี ุณภาพ และเพื่อป้องกันปญั หาการวเิ คราะห์ การ ตีความ หรอื การสรุปทผ่ี ดิ พลาดอนั อาจก่อให้เกิดความเสยี หายต่องานวิจยั 4. นกั วจิ ัยต้องมีความรับผิดชอบตอ่ สงิ่ ที่ศึกษา ไมว่ า่ จะเป็นสงิ่ ทม่ี ชี ีวติ หรอื ไมม่ ชี วี ติ นักวิจยั ตอ้ งดาเนินการดว้ ยความรอบคอบ ระมัดระวงั และเท่ยี งตรงในการทาวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้องกบั คน สัตว์ พืช ศลิ ปวัฒนธรรม ทรพั ยากร และส่ิงแวดลอ้ ม มจี ิตสานกึ และมีปณิธานท่ีจะอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรม ทรัพยากร และ สิ่งแวดลอ้ ม 5. นกั วจิ ัยต้องเคารพศกั ดิศ์ รี และสทิ ธขิ องมนุษย์ทใี่ ช้เปน็ ตวั อยา่ งในการวจิ ัย นักวจิ ยั ต้องไม่คานงึ ถงึ ผลประโยชน์ทางวชิ าการ จนละเลยและขาดความเคารพในศักดิ์ศรขี องเพ่ือนมนุษย์ ต้องถือเป็นภาระหน้าท่ที จ่ี ะอธบิ ายจดุ มุ่งหมายของการวจิ ยั แก่บุคคลท่ีเปน็ กลุม่ ตัวอยา่ ง โดยไมห่ ลอกลวงหรอื บบี บังคับ และไมล่ ะเมดิ สิทธสิ ่วนบคุ คล 6. นักวิจยั ต้องมีอิสระทางความคิด โดยปราศจากอคตใิ นทกุ ขนั ตอนของการทาวิจยั นกั วจิ ัยต้องมอี สิ ระทางความคดิ ตอ้ งตระหนกั ว่าอคตสิ ่วนตน หรือความลาเอยี งทางวชิ าการ อาจสง่ ผลใหม้ ี การบิดเบือนขอ้ มลู และข้อค้นพบทางวิชาการ อนั เปน็ เหตกุ ่อให้เกิดผลเสียหายต่องานวจิ ัย 7. นกั วิจัยพึงนาผลงานวิจัยไปใชป้ ระโยชนใ์ นทางที่ชอบ นกั วจิ ัยพึงเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยเพือ่ ประโยชน์ทางวชิ าการและสังคม ไมข่ ยายผลข้อคน้ พบจนเกนิ ความเปน็ จรงิ และไม่ใช้ผลงานวิจยั ไปในทางมิชอบ 8. นกั วจิ ยั พงึ เคารพความคดิ เห็นทางวชิ าการของผู้อื่น นกั วิจัยพงึ มใี จกวา้ ง พร้อมทจ่ี ะเปดิ เผยข้อมูล และขันตอนการวจิ ยั ยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ และเหตุผลทาง วชิ าการของผูอ้ ืน่ และพร้อมทจี่ ะปรับปรงุ แก้ไขงานวจิ ยั ของตนให้ถกู ต้อง 9. นักวจิ ัยพงึ มคี วามรับผิดชอบต่อสังคมทกุ ระดบั นักวิจัยพึงมีจติ สานกึ ที่จะอทุ ิศกาลงั สตปิ ัญญาในการทาวจิ ัย เพ่อื ความกา้ วหนา้ ทางวิชาการ เพอื่ ความเจริญ และประโยชนส์ ุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ

24 ใบกิจกรรมท่ี 8 เรื่อง จรรยาบรรณนกั วจิ ยั 1. จรรยาบรรณนักวิจยั คอื อะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. นกั เรียนมจี รรยาบรรณนกั วจิ ัยในงานวิจัยของนักเรยี นข้อใดบ้าง อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

25 ใบความรู้ท่ี 9 รปู แบบการเขยี นรายละเอียดในเอกสารอา้ งองิ การพิมพ์รายการเอกสารอ้างอิงให้ใชร้ ะบบนามปี ให้พิมพ์รายละเอียดของแหล่งข้อมูลท่ีใชอ้ ้างองิ แต่ละ รายการ เรียงลาดับอักษรภาษาไทยก่อน แล้วจึงตามด้วยลาดับอักษรภาษาอังกฤษ ทังนีไม่ต้องแยกประเภท ของแหลง่ ขอ้ มูล และแหลง่ ข้อมลู แตล่ ะรายการใหพ้ ิมพช์ ิดชอบซ้ายของกระดาษ โดยไม่ตอ้ งมีหมายเลขกากบั

26 http://tsu.ac.th/news/docs/TSU_Plan.pdf.

27 ใบกิจกรรมที่ 9 เรื่อง การเขียนเอกสารอ้างอิง คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเขียนรายการอา้ งอิงของสง่ิ พมิ พ์ต่อไปนี 1. ......................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. ......................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ......................................................................................................................................................................... ..............................................................................................................................................................................

28 4. ......................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. ......................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

29 เอกสารอา้ งองิ ดร.เอกนฤน บางท่าไม.้ ความรู้เบอ้ื งต้นเกย่ี วกับการวิจยั . คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาศิลปากร, นครปฐม. สบื คน้ เมือ่ 9 ตลุ าคม 2562, จาก http://www.sc.su.ac.th/knowledge/research.pdf คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ. รูปแบบการเขยี นรายละเอยี ดทางบรรณานกุ รม. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ . สืบคน้ เมอ่ื 9 ตลุ าคม 2562, จาก http://www.edu.tsu.ac.th/edu2014/edu/files/seminar59/3.1.pdf สสวท. (2554). คู่มอื การเขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์. สาขาโอลมิ ปิก วิชาการและพฒั นาอจั ฉริยภาพทางวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์, กรุงเทพมหานคร.

ชือ่ – นามสกุล 30 ประวตั กิ ารศึกษา ประวตั ิผเู้ ขียนเอกสาร พ.ศ. 2554 นางยศวดี ศศิธร พ.ศ. 2557 หลกั สูตรวิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาชีววทิ ยา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร หลักสูตรการศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวิชาการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ สงขลา

31 ภาคผนวก

ค่มู อื การเขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพวิ เตอร์ โครงการหอ้ งเรยี นพิเศษวทิ ยาศาสตร์ จัดทาํ โดย สาขาโอลมิ ปกิ วิชาการและพฒั นาอจั ฉรยิ ภาพทางวทิ ยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธกิ าร

คําชแี้ จง รายงานโครงงานเป็นรายงานเชิงวิชาการอย่างหน่งึ ทีร่ วบรวมข้อมลู ของโครงงานที่ศกึ ษาท้งั หมด โดยทัว่ ไปการเขียนรายงานเชิงวชิ าการมรี ปู แบบการเขยี นทีแ่ น่นอนตามสากลนยิ ม แตอ่ าจมีข้อปลีกยอ่ ยของ รูปแบบการเขียนที่ตา่ งกันออกไปในแต่ละสถาบนั หรอื สาขาวชิ า อย่างไรก็ตามหลกั การสําคัญในการเขียนก็ ยงั คงเหมือนกัน คือ ต้องเขยี นไปตามขอ้ เท็จจรงิ ตามข้อมูลที่ไดม้ า โดยไมเ่ พิ่มเติมความคดิ เหน็ ส่วนตวั ลงไป มีการแปลผลและอภิปรายผลภายใต้ขอบเขตของขอ้ มลู โดยใชภ้ าษาเขียนตามหลักวิชาการ ท้ังนเ้ี พอ่ื ใหผ้ ูท้ ม่ี ี พื้นความรทู้ ่ีแตกตา่ งสามารถเข้าใจเนื้อหาโครงงานไดจ้ ากการอ่านรายงาน และเมือ่ มกี ารทดลองทาํ ซํ้า ด้วย วธิ ีการหรอื กระบวนการเดียวกบั ที่ระบุในรายงานควรได้ผลการทดลองไมต่ ่างกนั ดังนั้น เพอื่ ใหร้ ายงานฉบับสมบูรณ์ของนักเรียนในโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ที่ทํา โครงงานวิทยาศาสตร์ หรือโครงงานคณิตศาสตร์ หรือโครงงานเทคโนโลยี ตามหลักสูตรห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ มีรูปแบบเป็นไปในทางเดียวกัน และเพ่ือเป็นแนวปฏิบัติสาํ หรับครูที่ปรึกษาโครงงาน ในการ ให้คาํ แนะนํานักเรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จึงได้จัดทาํ คู่มือการเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ เล่มน้ีขึ้น โดยแบ่งเปน็ 3 ตอน คอื ตอนท่ี 1 องค์ประกอบของการเขียนรายงานโครงงานฯ กล่าวถงึ นิยามของแต่ละองค์ประกอบอย่างสังเขป เพื่อใหม้ ีความรู้ ความเขา้ ใจก่อนเขยี นและพิมพ์รายงาน ตอนท่ี 2 รปู แบบการพมิ พ์ รายงานโครงงาน กลา่ วถึง รูปแบบการพมิ พ์รายงานของแต่ละองค์ประกอบอย่างละเอียด ทง้ั ในเรอื่ งของการกาํ หนดแบบและขนาด ตวั อักษร การกั้นหน้ากระดาษ และการเว้นวรรคตอน และตอนท่ี 3 ตวั อยา่ งการเขยี น การพิมพ์ตามโครงสร้าง ของรายงานโครงงาน ในการจัดทาํ คู่มือการเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ฉบับนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง จากสาํ นักวิทยาศาสตร์ และสาํ นักคณิตศาสตร์ ของ สสวท. ผู้ทรงคุณวุฒิ คณาจารย์ของมหาวิทยาลัย และคณะครูจากโรงเรียนที่เป็นศูนย์ของโครงการ พสวท. จึงขอขอบพระคุณ เป็นอย่างสูง ไว้ ณ โอกาสนี้ หากท่านพบข้อบกพร่องหรือมีข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม ขอได้โปรดแจ้งให้ สาขาโอลิมปิกวิชาการฯ ทราบ จะเป็นพระคุณยิ่ง ท้ังนี้เพ่ือจะได้ปรับปรุงเอกสารนี้ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในโอกาสต่อไป สาขาโอลมิ ปิกวชิ าการและพัฒนาอจั ฉริยภาพทางวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เมษายน 2554

1 ตอนที่ 1 องค์ประกอบของการเขียนรายงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ โครงสร้างของรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และคอมพวิ เตอร์ กาํ หนดไว้เปน็ 3 สว่ น คือ สว่ นนาํ สว่ นเน้ือเรื่อง และส่วนอา้ งอิง 1. สว่ นนาํ ประกอบดว้ ย 1.1 ปกนอก 1.2 ใบรองปก 1.3 ปกใน 1.4 บทคัดยอ่ 1.5 กิตตกิ รรมประกาศ 1.6 สารบัญ 1.7 คาํ อธิบายสญั ลักษณ์และคาํ ยอ่ (ถ้าม)ี ปกนอก ปกนอกเป็นส่วนทค่ี วรเนน้ ความเรยี บร้อยสวยงามเปน็ พเิ ศษ โดยท่ัวไปนิยมใชก้ ระดาษขนาด 120 แกรม พิมพต์ วั อักษรด้วยสีสภุ าพ หรือใชก้ ระดาษสี ขอ้ ความบนปกนอกประกอบด้วยขอ้ ความเรียง ตามลาํ ดบั ดงั นี้ 1. ตราโรงเรียน 2. ช่ือเรอื่ งโครงงานวิทยาศาสตร์ หรอื โครงงานคณติ ศาสตร์ หรอื โครงงานคอมพิวเตอร์ 3. ชื่อนักเรยี นผจู้ ดั ทาํ โครงงานทกุ คน โดยระบคุ ํานําหนา้ ชื่อ ชื่อตัวและช่อื สกลุ และใสค่ าํ ว่า “โดย” กอ่ นพิมพ์ช่ือผทู้ ําโครงงาน 4. ข้อความทบี่ อกใหท้ ราบถงึ โอกาสในการทาํ โครงงาน คือ “รายงานน้ี เปน็ สว่ นหนึง่ ของรายวิชา ว 30291 โครงงานวิทยาศาสตร์ 2 หรือ ค 30299 โครงงานคณิตศาสตร์ 2 หรือ ง 30299 โครงงาน คอมพิวเตอร์ 2 ตามหลักสตู รห้องเรยี นพิเศษวิทยาศาสตร์ของ สสวท. โรงเรียน....... ภาคเรยี นที่ ….... ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่.ี .. ปีการศึกษา .....” ข้อความทั้งหมดบนปกนอกควรจัดเรียงให้กระจายอยู่บนปก ได้ระยะที่สวยงาม ใช้ขนาดตัวอักษร ท่พี อเหมาะ ดงึ ดดู ความสนใจ และเว้นระยะห่างให้สมดลุ ใบรองปก เป็นกระดาษ A4 สีขาว ขนาด 80 แกรม ไม่พิมพ์ข้อความใดๆ จํานวน 1 แผ่น ใส่ไว้ถัดจาก ปกนอก ถ้าเปน็ ปกอ่อนและรายงานมคี วามหนาสนั ปกไมเ่ กิน 0.5 เซนติเมตร อาจไมต่ ้องใสใ่ บรองปก

2 ปกใน ข้อความทงั้ หมดบนปกในควรจดั เรียงให้กระจายอย่บู นปก ไดร้ ะยะที่สวยงาม ใช้ขนาดตวั อกั ษร ท่ีพอเหมาะ ดึงดดู ความสนใจ และเว้นระยะหา่ งใหส้ มดุล ขอ้ ความท่เี พมิ่ เตมิ จากปกนอก คอื ครูท่ปี รึกษา ในกรณีทม่ี ที ป่ี รึกษาจากหนว่ ยงานนอกโรงเรียน หรือท่ีปรึกษาพิเศษ ซง่ึ อาจมาจากมหาวิทยาลัย หรอื หนว่ ยงาน หรือเปน็ ผู้รู้ ผู้เชย่ี วชาญ หรอื นักวิชาการอสิ ระอ่ืนๆ กอ็ าจเขยี นหัวขอ้ ทป่ี รึกษาพเิ ศษ หรอื เขียนใหส้ อดคล้องกบั สถานะของท่ปี รกึ ษานนั้ ๆ อย่างไรกด็ ีนักเรียนควรมีครูท่ปี รกึ ษาจากโรงเรียน ของนักเรียนอยู่ด้วย บทคัดยอ่ (abstract) บทคัดยอ่ เป็นข้อความโดยสรปุ ของรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ทีส่ น้ั ไดใ้ จความชัดเจน ครอบคลุมเน้อื หาสาํ คัญของโครงงาน โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในส่วนของจุดประสงค์ ขอบเขตของการทาํ โครงงาน วธิ ีดําเนนิ งาน รวมถึงวิธีการทางสถติ ิทใ่ี ชแ้ ละผลการดําเนนิ งาน โดยการเขียน ตอ้ งไม่มีการอ้างองิ การยกตวั อยา่ ง ข้อความ สมการ ภาพ คําวจิ ารณ์ และคาํ ฟุ่มเฟอื ย บทคัดยอ่ ทีเ่ ป็นส่วนหนง่ึ ในรายงานโครงงานไม่ต้องเขยี นส่วนนําของบทคัดยอ่ ถ้าเปน็ บทคดั ยอ่ ทจ่ี ัดทําขึ้นมาเพื่อการเผยแพรโ่ ครงงานที่ตอ้ งการแยกออกไปจากรายงานโครงงานฉบบั สมบรู ณ์ ตอ้ งมที งั้ ส่วนนาํ ของบทคดั ยอ่ ส่วนบทคดั ย่อ และคาํ สาํ คญั (ถ้าม)ี ดงั น้ี 1. ส่วนนําของบทคัดย่อ ประกอบด้วย - ช่อื เร่อื ง - ชอื่ ผทู้ ําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ใชห้ ลกั การเดียวกับ การเขียนปกนอก - อเี มล (E-mail) หมายเลขโทรศัพท์ - ช่ือครทู ี่ปรึกษา หมายเลขโทรศัพท์ อเี มล และชอื่ โรงเรยี นของครทู ่ีปรกึ ษา - ชือ่ อาจารย์ทป่ี รึกษาพิเศษพร้อมระบตุ าํ แหน่งทางวชิ าการ (ถา้ ม)ี หมายเลขโทรศพั ท์ อีเมล และช่อื หน่วยงาน - วัน เดอื น ปี ทท่ี าํ (ระบุภาคการศึกษา และปกี ารศึกษาท่ที ํา) - ผูส้ นบั สนุนการทาํ โครงงาน เชน่ โรงเรยี น มหาวทิ ยาลยั สถาบันสง่ เสรมิ การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี หรือหนว่ ยงานอืน่ ๆ 2. สว่ นบทคดั ย่อ ประกอบด้วยจุดประสงค์ วิธีการดาํ เนนิ งาน ผลการดาํ เนนิ งาน และอาจมี ข้อเสนอแนะดว้ ย การเขียนสว่ นบทคัดยอ่ เขียนเปน็ ความเรียงตอ่ เนือ่ ง ระบจุ ุดประสงค์ ขอบเขตของ โครงงาน วธิ กี ารดาํ เนินงาน วธิ กี ารเก็บขอ้ มูล ผลการดาํ เนินงาน ความยาวท้ังหมดไม่ควร 1 หนา้ หรือ ประมาณ 250-300 คํา ในสว่ นของวธิ ีการดาํ เนินงานควรระบขุ นาดของกลุ่มตัวอย่าง วิธีการรวบรวมข้อมูล และการวเิ คราะหข์ ้อมลู ตามลาํ ดบั จดุ ประสงค์ แล้วนาํ เสนอผลการดาํ เนนิ งานตามลาํ ดับ โดยนําเสนอเฉพาะ ประเด็นสาํ คญั ในลักษณะการสรปุ เทา่ นั้น 3. คําสําคัญ (keyword) เป็นคําที่ให้ไว้เพ่ือเป็นประโยชน์ในการสืบค้นสําหรับผู้ที่สนใจ โดยเลือกคํา ทม่ี คี วามหมายเฉพาะ และเก่ียวข้องกบั งานทท่ี าํ ในโครงงานมากท่ีสดุ โดยไม่ควรเกนิ 5 คํา

3 กิตติกรรมประกาศ กิตติกรรมประกาศเปน็ ส่วนทผี่ ู้ทาํ โครงงานเขยี นแสดงความขอบคณุ บุคคล สถาบัน หนว่ ยงานท่ีให้ ความช่วยเหลอื ให้ความรว่ มมอื ทัง้ ในการคน้ คว้าความรู้ การดาํ เนินงาน ใหข้ ้อคิดเหน็ และใหข้ อ้ มูล การเขยี นกติ ตกิ รรมประกาศเปน็ การแสดงถึงจรรยาบรรณทางวิชาการที่ผ้ทู ําโครงงานควรถือปฏิบัติ ขอ้ ความที่ เขียนควรเปน็ ภาษาทางวิชาการ ไม่ใชภ้ าษาพูดและคําสแลง การระบุชอื่ บคุ คลใหร้ ะบุทง้ั ชือ่ นามสกลุ และคาํ นําหนา้ ถา้ เปน็ บคุ คลทม่ี ียศ/ ตําแหนง่ หน้าทก่ี ารงานให้ระบไุ ว้ด้วย หากต้องการแสดงความขอบคณุ บุคคลใน ครอบครวั ใหจ้ ดั ไว้ในลาํ ดับสุดทา้ ย กิตติกรรมประกาศน้ีให้พิมพ์ไว้ตอ่ จากบทคัดย่อ ความยาวไม่เกิน 1 หน้า ท้ายขอ้ ความระบชุ ือ่ ผูเ้ ขียน รายงานโครงงาน สําหรับกรณที ผี่ ้จู ดั ทาํ เพยี งคนเดียวให้ลงช่อื ใต้ขอ้ ความ แต่ถ้าเป็นคณะผู้จดั ทาํ ไม่ตอ้ งลงชื่อ นอกจากนีถ้ ้าที่ปกนอกมกี ารระบุ ปี พ.ศ. หรอื ปกี ารศึกษาปรากฏอยู่แล้วไม่จาํ เปน็ ตอ้ งลงวัน เดือน ปี สารบัญ สารบญั เป็นส่วนที่แสดงลาํ ดบั หน้าของรายงานท้งั ฉบบั ซ่ึงประกอบด้วยส่วนนาํ สว่ นเนื้อเรอ่ื ง และ ส่วนอา้ งอิง ในส่วนนําให้ใชเ้ ปน็ ตวั อกั ษร โดยเรม่ิ บทคัดยอ่ เปน็ หนา้ ก สว่ นเนอื้ เรอ่ื ง และสว่ นอา้ งอิงให้ใชเ้ ป็น ตัวเลข ในส่วนของรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ทมี่ กี ารแสดงผลเปน็ ตารางและภาพ (รปู ภาพ แผนที่ แผนภมู ิ กราฟ ฯลฯ) ในหวั ข้อสารบญั ตอ้ งมหี ัวขอ้ สารบัญตาราง และสารบัญภาพเปน็ หัวข้อยอ่ ย แมจ้ ะมี จํานวนเพยี ง 1 ตาราง / ภาพ ก็ตาม) คําอธบิ ายสญั ลกั ษณ์และคํายอ่ เป็นส่วนท่อี ธบิ ายถึงสญั ลักษณ์และคําย่อต่างๆ ท่ใี ชใ้ นการทําโครงงาน เพอ่ื ช้แี จงใหผ้ ูอ้ ่านเกิด ความเข้าใจที่ตรงกนั เช่น สัญลักษณ์ คาํ อธบิ าย BK กรุงเทพมหานคร CO แกส๊ คาร์บอนมอนอกไซด์ + พบแบคทเี รยี จาํ นวน 1-5 โคโลนี ++ พบแบคทเี รยี จํานวน 6-10 โคโลนี + เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางของ inhibition zone 6.1-9 mm ความคิดเหน็ แสดงความพงึ พอใจระดบั มาก ความคดิ เหน็ แสดงความพึงพอใจระดบั ปานกลาง ความคิดเห็น แสดงความพงึ พอใจระดับนอ้ ย

4 2. สว่ นเนือ้ เรือ่ ง ส่วนนี้กาํ หนดใหท้ ําแบบเปน็ บท จํานวน 5 บท ประกอบดว้ ย 2.1 บทที่ 1 บทนํา 2.2 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้อง 2.3 บทท่ี 3 วิธีดาํ เนินการทดลอง 2.4 บทท่ี 4 ผลการทดลอง 2.5 บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ บทที่ 1 บทนํา 1.1 ท่ีมา และความสําคญั ของโครงงาน กล่าวถึงความเปน็ มาและความสาํ คัญของปญั หาหรอื ส่งิ ทสี่ นใจศกึ ษา หรือสิ่งท่ีต้องการ ปรับปรุง โดยอธบิ ายในภาพกวา้ งกอ่ นจากนั้นจงึ เชอ่ื มโยงเข้าสหู่ วั ขอ้ โครงงาน อธบิ ายชเ้ี ฉพาะถึงความสาํ คัญ ใหเ้ หตุผลว่าเพราะเหตใุ ดจึงต้องการทําโครงงานน้ี และแสดงหลักการหรอื ทฤษฎที ี่เกย่ี วขอ้ งกับโครงงานให้ ข้อมลู วา่ เร่ืองทีท่ ําเปน็ เรือ่ งใหม่หรือมผี ู้อน่ื เคยศึกษาไว้บา้ งแลว้ หากเป็นงานทมี่ ีผอู้ นื่ เคยศึกษาไว้ ให้กลา่ วถงึ ผลการทดลองนนั้ และชี้ใหเ้ ห็นว่าการทเ่ี ลอื กทําเรื่องนเี้ ป็นการทําซ้ําเพ่อื ตรวจสอบผล หรอื ทาํ เพมิ่ เตมิ หรอื มี การปรับปรุงในเร่อื งตวั แปร วิธหี รอื ขัน้ ตอนการทดลอง หรือเปล่ยี นตวั อย่าง 1.2 จุดประสงค์ ระบถุ ึงสงิ่ ทตี่ ้องการทาํ ในโครงงานใหช้ ดั เจน กระชับ เชน่ เพือ่ ศึกษา... เพอื่ ออกแบบ... เพื่อสรา้ ง... เพอื่ ปรับปรุง… เพ่อื ทดสอบ… เพือ่ ออกแบบ สร้าง ประกอบ ทดสอบประสทิ ธิภาพ ของ สิง่ ประดษิ ฐ.์ .. 1.3 สมมตฐิ าน (ถา้ ม)ี สมมตฐิ านคือ การคาดคะเนคําตอบของปัญหาหรือส่ิงทีเ่ ราสนใจศึกษาอย่างมเี หตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทงั้ ผลการศกึ ษาของโครงงานที่ไดท้ าํ มาแล้ว การเขยี นสมมตฐิ านควรช้ีแนะ การออกแบบการทดลอง การสาํ รวจไวด้ ว้ ย และการทดสอบประสทิ ธิภาพของส่งิ ประดิษฐ์ 1.4 ตัวแปร (ถ้าม)ี 1.5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ (ถา้ ม)ี เป็นการใหค้ วามหมาย หรือคาํ จาํ กัดความของคาํ ศพั ทท์ ีผ่ ูท้ าํ โครงงานใช้ในการทําโครงงาน ซง่ึ เปน็ ความหมายเฉพาะงานทีท่ าํ เพ่ือใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจท่ตี รงกันทั้งผูท้ าํ โครงงานและผู้อ่าน เช่น การเจริญเติบโตของต้นคะนา้ หมายถึง ตน้ คะน้ามีความสงู ความยาวรอบลําตน้ และมจี ํานวนใบเพมิ่ ขน้ึ 1.6 นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ (ถ้าม)ี เปน็ การกาํ หนดความหมายและขอบเขตของตวั แปรท่ีอยู่ในสมมตฐิ านทต่ี ้องการทดสอบให้ เข้าใจตรงกัน และสามารถสงั เกตหรอื วดั ได้ โดยใชห้ นว่ ยท่เี ชื่อถือไดเ้ ป็นระบบสากล ตวั อย่าง สมมตฐิ าน การใสม่ ลู ไกใ่ นปริมาณที่แตกตา่ งกนั ทําใหผ้ ักคะน้า เจรญิ เตบิ โตแตกต่างกนั ตวั แปรตน้ มลู ไก่ทใ่ี สใ่ หต้ ้นคะนา้ ตัวแปรตาม การเจริญเตบิ โตของต้นคะน้า

5 นิยามเชงิ ปฏิบัติการ มูลไก่ หมายถงึ มลู แห้งของไก่เน้อื พนั ธุ์โรด๊ ไอแลนด์ อายุ 3-6 สัปดาห์ ทีเ่ ล้ียงด้วย อาหารสําเรจ็ จาก CP การเจริญเติบโตของต้นคะน้า หมายถึง การวดั ความสูง ความยาวรอบลาํ ต้น และ นับจํานวนใบของตน้ คะนา้ แต่ละตน้ ทุกๆ 3 วนั เปน็ เวลา 25 วนั แล้วหาคา่ เฉลย่ี ต้นคะน้า หมายถึง ต้นคะน้าทม่ี ีอายตุ ง้ั แต่งอกจากเมลด็ และปลูกมาเปน็ เวลา 20 วัน 1.7 ขอบเขตของการดําเนนิ งาน เพอ่ื ใหไ้ ด้ผลการศกึ ษาทน่ี ่าเชอ่ื ถือ นกั เรยี นตอ้ งกําหนดขอบเขตการทาํ โครงงานซึง่ ไดแ้ ก่ การกาํ หนดประชากรว่าเป็นสิง่ มชี วี ิต หรอื ส่งิ ไมม่ ชี วี ิต ระบุชื่อ กลุม่ ประเภท แหลง่ ทอ่ี ย/ู่ ผลติ และช่วงเวลา ทที่ ําการทดลอง เชน่ เดอื น ปี รวมทง้ั กาํ หนดกลมุ่ ตัวอย่างทม่ี ีขนาดเหมาะสมเปน็ ตวั แทนของประชากรท่ีสนใจ ศึกษา และกาํ หนดตวั แปรทีศ่ กึ ษา ตวั แปรใดทศ่ี ึกษาเป็นตัวแปรต้น ตวั แปรใดทศ่ี กึ ษาเปน็ ตวั แปรตาม และ ตวั แปรใดบา้ งเป็นตัวแปรควบคมุ เพ่ือเป็นแนวทางการออกแบบการทดลอง ตลอดจนมผี ลต่อการเขยี นรายงาน การทําโครงงานฯ ทถี่ ูกต้อง ส่ือความหมายใหผ้ ูฟ้ งั และผอู้ า่ นเขา้ ใจตรงกนั บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ ง ประกอบด้วยเนอ้ื หา หรอื ทฤษฎี จากเอกสารงานวิจยั โครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ คอมพิวเตอร์ ทีเ่ ก่ยี วข้องโดยตรงกับโครงงานของนกั เรยี นซึง่ มผี ้ศู ึกษาทดลองมาก่อน และอ้างองิ แหล่งท่ีมา นักเรียนควรค้นควา้ รวบรวมผลงานจากงานวิจัย หนงั สืออา้ งองิ รวมทั้งโครงงานยอ้ นหลงั ให้ไดม้ าก ทส่ี ุด และควรเป็นข้อมลู ที่ทนั สมยั สําหรบั โครงงานในระดับมธั ยมศกึ ษานนั้ ไม่จาํ เปน็ ต้องสืบคน้ งานวิจัย และ เอกสารอา้ งองิ จนครบถ้วน แต่ใหพ้ ยายามค้นหาเทา่ ที่จะทาํ ได้ โครงงานบางเร่ืองอาจไม่สามารถคน้ หาเอกสาร และรายงานการวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้องได้ นักเรยี นอาจกลา่ วอ้างถงึ ผ้รู ู้ ผู้เชย่ี วชาญทเ่ี ปน็ บุคคล หรอื หน่วยงาน อ้างองิ แหล่งทมี่ า และเพ่อื ความสะดวกในการเขียนรายงาน เมื่อสํารวจคน้ ควา้ รวบรวมผลงานจากหนังสอื ตาํ รา วารสาร หนังสือพิมพ์ เอกสารเผยแพร่หรอื เว็บไซต์แล้ว นกั เรยี นควรรวบรวมรายชื่อเอกสารเหลา่ นนั้ ในรูปแบบทจี่ ะนําไปเขียนในหัวข้อเอกสารอา้ งอิง บทที่ 3 วิธดี าํ เนนิ การทดลอง การเขียนวิธีการดําเนินงาน จําเป็นต้องเขียนเกี่ยวกับวิธีการดําเนินการศึกษาค้นคว้า รูปแบบการ วิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล และ การวเิ คราะห์ข้อมูล เพ่อื ใชย้ นื ยันผลการศึกษา การวเิ คราะห์ และการอภิปรายผล และมีรายละเอียดเพียงพอ ท่ผี ้สู นใจสามารถทาํ ซาํ้ ได้ โดยมหี ัวข้อยอ่ ยดังน้ี 3.1 วสั ดุ /อปุ กรณ์ และเครือ่ งมอื พิเศษ (ถ้ามี) วสั ดุ คอื สิ่งของท่มี สี ภาพการใชส้ น้ิ เปลอื งหรอื เส่ือมสภาพลงเพราะการใชง้ านโดยมีอายุ การใชง้ านน้อยกวา่ 1 ปี อปุ กรณ์ คอื สง่ิ ของทม่ี อี ายุการใช้งานนาน คงทน โดยอาจรวมเครอ่ื งมอื พเิ ศษ ทีห่ าไม่ได้ ท่ัวไปในโรงเรียน และหากเป็นเครื่องมอื มาตรฐานทร่ี จู้ ักแพร่หลายควรระบชุ อ่ื บริษทั ทผี่ ลิต รนุ่ (model) ถ้าเปน็ เคร่อื งมือทีป่ ระดิษฐ์ขนึ้ เองต้องอธิบายหลักการ แบบ และการทาํ งาน 3.2 สารเคมี (ถ้าม)ี เขยี นเป็นภาษาไทยตามศพั ท์บัญญตั โิ ดยราชบัณฑติ และควรระบุเป็นช่ือ ภาษาอังกฤษ พรอ้ มวงเล็บสูตรเคมีไวท้ า้ ยชือ่

6 3.3 สง่ิ มีชวี ิต (ถา้ มี) ตอ้ งบอกทัง้ ชื่อสามัญและช่ือวิทยาศาสตร์พร้อมหมวดหม่ตู ามหลกั อนุกรมวิธาน 3.4 ขั้นตอนการดําเนินงาน ในส่วนของข้ันตอนการดําเนินงาน นักเรยี นต้องเขยี นรายงานเรยี งลําดับตามจุดประสงค์ และสมมติฐานให้สอดคล้องและครบถว้ น ในการกล่าวถึงสิ่งเดียวกันต้องใชค้ ําหรอื ขอ้ ความเดียวกันเสมอ และหากเปน็ กระบวนการศึกษา (procedure) เกย่ี วกับส่งิ มีชวี ิต ควรเขยี นขั้นตอนอยา่ งละเอียด เช่น วิธีการใชเ้ ครอื่ งมอื ในการเก็บตัวอย่าง การเก็บรกั ษาตวั อย่างสง่ิ มีชีวิต เป็นตน้ นอกจากนี้ ควรกลา่ วถงึ การออกแบบการสํารวจ ประดิษฐ์ ทดลองที่มกี ารควบคมุ ตวั แปรอย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม อธบิ ายวิธีการ และเครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการรวบรวมข้อมูลจากการสํารวจ ประดษิ ฐ์ ทดลอง และสถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ ขอ้ มลู ไว้อย่างชดั เจน กรณที ่ไี มใ่ ช่โครงงานประเภททดลอง อาจเปลยี่ นหัวข้อบทว่า วธิ ีดาํ เนนิ งาน บทที่ 4 ผลการทดลอง เป็นการรายงานผลการศึกษา การสํารวจ ประดิษฐ์ ทดลอง ท่ีนกั เรยี นได้ค้นพบด้วยตนเอง รวมท้ัง รายงานผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ในการรายงานผลการดาํ เนินงานน้ีต้องเขียนรายงานตามลําดับหัวขอ้ ให้ สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคแ์ ละวิธีการดําเนนิ งาน ควรใชข้ ้อความที่กะทดั รัดใชค้ าํ ทีต่ รงกบั ความต้องการท่ีจะส่อื ให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจ อาจมกี ารจัดกระทาํ ขอ้ มลู และนาํ เสนอในรูปของตาราง กราฟ ภาพประกอบให้เหมาะสมกับ ธรรมชาตขิ องข้อมลู และความนยิ มของแตล่ ะสาขาวิชา โดยกอ่ นจะนาํ เสนอดว้ ยตาราง ภาพ นกั เรยี นต้อง อธบิ ายผลการดําเนินงานที่ไดใ้ หค้ รบถ้วน แลว้ อา้ งถงึ ตาราง หรอื ภาพ โดยเขียนเป็น “ดังตารางที.่ ..” หรอื “ภาพที่...” อาจเรยี งลาํ ดับเป็นรายบท หรอื เรยี งลําดับใหต้ อ่ เนอ่ื งตลอดทงั้ สว่ นเนื้อเรอ่ื ง กรณที ไี่ มใ่ ชโ่ ครงงาน ประเภททดลอง อาจเปลย่ี นหัวข้อบทว่า ผลการดาํ เนินงาน บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ในบทนี้ ต้องเขยี นหวั ข้อเรียงลาํ ดบั ดังนี้ 5.1 สรปุ ผล การเขียนสรุปผลทไ่ี ด้จากการทาํ โครงงาน ถ้ามีการตัง้ สมมติฐานควรระบวุ า่ ผลท่ไี ด้สนบั สนุน หรอื คัดค้านกบั สมมตฐิ าน แล้วสรุปผลเรียงลาํ ดบั ตามจดุ ประสงค์และผลการดาํ เนินงานทไี่ ด้ 5.2 การอภิปรายผล การอภิปรายผลการดาํ เนนิ งาน เป็นการอธิบายเหตผุ ลทที่ าํ ใหไ้ ด้ผลการพสิ จู น์ สํารวจ ประดิษฐ์ ทดลอง อาจคน้ พบองคค์ วามรูใ้ หม่ การอภปิ รายผลการดําเนนิ งานจดั เปน็ สว่ นทแ่ี สดงถึงความรู้ และความเอาใจใส่ในเรือ่ งทศี่ กึ ษาค้นคว้า นักเรียนควรสบื คน้ ความรตู้ า่ งๆ มาอา้ งอิง เพ่ือสนบั สนนุ ผล การดําเนนิ งานวา่ มีคุณค่า และเชือ่ ถือได้ ควรอภิปรายผลการดาํ เนินงานเรียงลําดบั ตามประเดน็ ทร่ี ายงานผล การดาํ เนนิ งานไปแล้วในบทที่ 4 5.3 ข้อเสนอแนะ ในส่วนของขอ้ เสนอแนะน้นั ใหเ้ สนอข้อควรปรับปรงุ แกไ้ ข ปญั หา และอปุ สรรค เพ่อื พฒั นา ต่อยอดองคค์ วามรู้ได้ หากมีผตู้ ้องการศกึ ษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั เร่อื งน้ีต่อไปในอนาคต และเนื้อหาทงั้ หมดนีจ้ ะตอ้ ง เป็นเนอ้ื หาสาระท่ไี ดจ้ ากการทําโครงงาน รวมถงึ ประโยชน์ท่ีไดจ้ ากการทาํ โครงงาน

7 การเขยี นอ้างองิ ในสว่ นเนื้อเรอ่ื ง ในบทท่ี 1 บทท่ี 2 หรือบทท่ี 5 ทก่ี ล่าวมาแล้วอาจมกี ารอ้างอิงขอ้ มูลความรู้ จากเอกสาร หนงั สือ ตํารา งานวิจัย หรอื แหลง่ ข้อมลู ต่างๆ ซึง่ การอา้ งอิงดังกล่าว เรียกวา่ การอ้างองิ ในสว่ นเน้อื เร่ือง ข้อมลู ทค่ี วร อ้างอิง เช่น คํากลา่ วของบุคคลสาํ คญั ตัวเลขทแ่ี สดงจํานวนประชากรที่กลา่ วถงึ สถานการณป์ ัจจุบนั ทเ่ี ปน็ ปัญหา ผลงานการค้นคว้าวิจยั ของบุคคลหรอื หน่วยงาน โดยในการอ้างอิงน้นั ใหน้ ักเรยี นเลือกใช้ระบบการ อ้างอิงระบบใดระบบหนง่ึ เพียงระบบเดียวตลอดการพิมพร์ ายงานโครงงาน ระบบการอา้ งอิงในสว่ นเนื้อหา ท่ีพบบ่อย มี 3 ระบบ คือ 1. ระบบการอ้างองิ แบบนาม-ปี เป็นการอ้างถึงแหลง่ ทีม่ าของขอ้ มลู โดยการแทรกเนือ้ หาของ เอกสารไว้ในเน้อื หา และระบุชอ่ื ผ้เู ขยี นกับปีที่พิมพ์ไว้ในตําแหน่งทีเ่ หมาะสม ซงึ่ อาจเปน็ ตอนตน้ หรือตอนท้าย ของเน้ือหา 2. ระบบการอ้างองิ แบบตัวเลข เปน็ การระบหุ มายเลขเอกสารหรือแหล่งทม่ี าของข้อมูลตามลาํ ดับท่ี อ้างอิง 3. ระบบการอา้ งองิ แบบเชงิ อรรถ เป็นการอา้ งองิ แหล่งท่มี าของขอ้ มลู โดยเขียนไว้ท่สี ่วนล่างของ หน้ารายงานเหมอื นกับการทํารายการอา้ งอิงไว้ทา้ ยเล่ม หมายเหตุ สาํ หรบั นักเรียนในโครงการหอ้ งเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ใหเ้ ลือกใช้เพียง 2 ระบบ คือ แบบนามปี และแบบตวั เลข 3. สว่ นอ้างอิง เป็นส่วนท้ายของรายงานโครงงาน ประกอบดว้ ย รายการอา้ งอิง และภาคผนวก รายการอา้ งองิ รายการอ้างอิง เป็นรายการแสดงรายช่ือหนังสือ ส่ิงพิมพ์อ่ืนๆ โสตทัศนวัสดุ การสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่ นํามาใช้ประกอบการทําโครงงาน การลงรายการอ้างอิง ให้พิมพ์เฉพาะเอกสารทุกรายการท่ีมีการอ้างถึงใน เนื้อหาของโครงงานในบทที่ 1 บทนํา หรือบทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือบทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ เท่านั้น โดยให้ใช้คําว่า เอกสารอ้างอิง (references) ถ้ามีเอกสารอ่ืนหรือข้อมูล อื่นท่ีเก่ียวข้องแต่ไม่ได้นํามาใช้อ้างในการทําโครงงาน แต่ประสงค์จะนํามารวบรวมไว้ด้วย ให้พิมพ์ต่อจาก รายการอ้างอิง โดยขึ้นหน้าใหม่และใช้คําว่า บรรณานุกรม (bibliography) ท้ังนี้การเขียนรายการอ้างอิงมี หลายระบบ นักเรียนสามารถเลือกใช้ระบบใดระบบหน่ึง แต่ต้องเป็นระบบเดียวกันตลอดการเขียนรายงาน เล่มน้นั ๆ การพิมพ์รายการอ้างอิงในขั้นสุดท้าย ไม่ว่าจะใช้การอ้างอิงแบบนาม-ปี หรือแบบตัวเลข ให้ใช้ รปู แบบการพมิ พร์ ายการอา้ งอิงเหมอื นกนั โดยเลือกใช้แบบใดแบบหนง่ึ จาก 2 แบบ น้ี แบบท่ี 1 ปีทพี่ ิมพอ์ ยทู่ ้ายรายการ แบบท่ี 2 ปีทีพ่ ิมพ์อยูห่ ลงั ช่อื ผู้แตง่ (ใส่วงเล็บหรือไม่ใสก่ ็ได)้

8 ในที่น้ีได้ให้ตัวอย่างรูปแบบการพิมพ์รายการอ้างอิงและตัวอย่างการพิมพ์รายการอ้างอิงเฉพาะ แบบท่ี 1 ส่วนผู้ที่ประสงค์จะใช้แบบที่ 2 ก็ให้ใช้แบบเดียวกัน เพียงแต่ย้ายปีที่พิมพ์ มาไว้หลังช่ือผู้แต่งเท่าน้ัน โดยตัวอย่างรูปแบบและตัวอย่างการพิมพ์รายการอ้างอิงดังกล่าวได้คัดลอกมาจากคู่มือการพิมพ์วิทยานิพนธ์ 2548 ของบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายละเอียดดังตัวอย่างรูปแบบและตัวอย่างการพิมพ์ ในส่วนที่ 2 ภาคผนวก ภาคผนวกเป็นส่วนท้ายของรายงานเชิงวิชาการ ไม่ใช่ส่วนท่ีเป็นเน้ือหาอย่างแท้จริง เป็นเพียง ส่วนประกอบท่ีจะสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยของผู้ทําโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ในกรณขี องการเขยี นรายงานโครงงานของนกั เรียน ขอ้ มูลส่วนทน่ี าํ มาลงไว้ในภาคผนวก เชน่ - ข้อมลู การสาํ รวจ ประดษิ ฐ์ ทดลองท่ยี ังไมจ่ ดั กระทํา - ตาราง รปู ภาพ กราฟ และแผนภาพทล่ี ะเอียดมากๆ ซงึ่ ถา้ ใสไ่ ว้ในสว่ นเนื้อเรือ่ ง จะทําให้เน้ือเรื่องยาวไมก่ ระชับ - ขอ้ มลู ของผลการทดลองเบ้อื งต้น - ขอ้ ความซ่ึงเปน็ รายละเอียดของเทคนิควธิ ีตา่ งๆ ทีต่ อ้ งการให้ผสู้ นใจได้ศกึ ษา - ฯลฯ

9 ตอนท่ี 2 รปู แบบการพิมพร์ ายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และคอมพวิ เตอร์ รูปแบบท่ัวไป (format) • ใชก้ ระดาษสีขาว 80 แกรม ขนาดมาตรฐาน A4 (ขนาด 8 1/4x11 3/4 นวิ้ ) ในการพมิ พ์รายงาน • พมิ พห์ น้าเดยี วดว้ ยตัวพมิ พ์สีดํา ตวั อกั ษรแบบ TH Sarabun แบบเดยี วกันตลอดท้งั เลม่ • ช่อื บท เรม่ิ ต้นในทุกบท ให้พิมพ์ด้วยตวั อกั ษรแบบ TH Sarabun ตัวหนา ขนาด 22 จุด • หัวขอ้ ใหญใ่ นแตล่ ะบทให้พิมพ์ดว้ ยตัวอกั ษรแบบ TH Sarabun ตวั หนา ขนาด 18 จุด • หวั ขอ้ รองในแตล่ ะบทให้พมิ พด์ ้วยตัวอักษรแบบ TH Sarabun ตัวหนา ขนาด 16 จดุ การเว้นริมขอบกระดาษ (margination) • เว้นทว่ี า่ งจากขอบกระดาษดา้ นซา้ ยมอื และดา้ นบน หา่ งจากขอบกระดาษ 1.5 นว้ิ • เว้นท่ีว่างจากขอบกระดาษด้านขวามือ และด้านล่าง ห่างจากขอบกระดาษ 1 นิ้วทุกหน้า การเว้นห่าง จากขอบกระดาษให้วดั จากขอบกระดาษถงึ เลขหน้า การเว้นระยะพมิ พ์ (spacing) • กรณีพิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ไม่มีสูตรหรือสมการ ให้กําหนดระยะพิมพ์ระหว่าง บรรทัด (line spacing) เป็นแบบ 1 เทา่ (single) • กรณีพิมพ์ตัวอักษรสลับกับการพิมพ์สูตรหรือสมการ ให้กําหนดระยะพิมพ์ระหว่างบรรทัด (line spacing) เป็นแบบ 1.5 เท่า (1.5 lines) • หลังเคร่ืองหมายจุลภาค (, comma) เครื่องหมายอัฒภาค (; semicolon) เคร่ืองหมายทวิภาค หรือ มหัพภาคคู่ หรอื จุดคู่ (: colon) และหลังชื่อยอ่ ให้เว้นหนง่ึ ชว่ งตวั อักษร • หลังเครื่องหมายมหัพภาค (. fullstop/ period/ point) เครื่องหมายปรัศนีย์ (? question mark) และเครอ่ื งหมายอศั เจรีย์ (! exclamation mark) ใหเ้ วน้ สองชว่ งตัวอักษร การลาํ ดับหน้า (pagination) • ส่วนนํา การลําดับหน้าในส่วนนําท้ังหมด ให้ใช้ตัวอักษรเรียงตามลําดับพยัญชนะในภาษาไทย สําหรับ รายงานภาษาไทย (เร่ิมพมิ พต์ ัวอักษร ก ที่หนา้ บทคัดย่อ) และใช้เลขโรมันพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์เล็กสําหรับรายงาน ภาษาอังกฤษ (เร่ิมพิมพเ์ ลข i ทีห่ นา้ บทคัดย่อ) • ส่วนเน้ือเรื่อง และส่วนอ้างอิง การลําดับหน้าในสองส่วนนี้ให้ลําดับหน้าโดยการพิมพ์หมายเลข 2 3 4 ... ต่อเนื่องกันตลอดทุกหน้าจนจบเล่ม ยกเว้นหน้าแรกของทุกบท หน้าแรกของรายการอ้างอิง และ หนา้ แรกของภาคผนวก ไม่ต้องพิมพ์เลขหนา้ กํากบั แต่ใหน้ ับจาํ นวนหน้ารวมไปด้วย • ตําแหน่งการพิมพ์เลขหน้าให้พิมพ์ไว้ที่ก่ึงกลาง ท้ายหน้ากระดาษของแต่ละหน้า ห่างจากขอบ กระดาษด้านล่าง 1 น้ิว และไม่ต้องพิมพ์เครื่องหมายใดๆ ไว้ข้างหน้าหรือข้างหลังตัวอักษรหรือตัวเลขลําดับ หน้า ใช้ตัวอักษรปกติขนาด 16 จุด ในกรณีท่ีจําเป็นต้องพิมพ์ตามความยาวของหน้ากระดาษ ให้พิมพ์ หมายเลขลําดบั หน้าไว้ในตําแหน่งเดยี วกับหน้าอืน่ ๆ

10 การพิมพ์ส่วนต่างๆ 1. ส่วนนาํ 1.1 ปกนอก (cover) พิมพ์ภาพและข้อความ ไวก้ ลางหนา้ กระดาษเรยี งตามลาํ ดับ ดงั นี้ • ภาพตราโรงเรยี นขนาด 1.5 น้วิ x1.5 นวิ้ วางขอบบนของภาพหา่ งจากขอบกระดาษด้านบน 1.5 นิว้ • พิมพ์คําว่าโครงงานวิทยาศาสตร์ หรือ โครงงานคณิตศาสตร์ หรือโครงงานคอมพิวเตอร์ ด้วย ตัวอักษรหนาขนาด 22 จุด ห่างจากขอบลา่ งของภาพตราโรงเรยี น 1 บรรทดั • พมิ พช์ ื่อเรอ่ื งโครงงาน ดว้ ยตัวอักษรหนาขนาด 22 จดุ • พมิ พค์ ําวา่ โดย ด้วยตวั อักษรปกติขนาด 18 จุด • พิมพ์ช่ือนักเรียนผู้ทําโครงงาน ระบุคํานําหน้า ช่ือ นามสกุล หากมีผู้ทําโครงงานหลายคนต้องลง ชือ่ ทุกคน ใช้ตวั อกั ษรปกตขิ นาด 18 จุด • พิมพ์ข้อความ รายงานนี้เป็นส่วนหน่ึงของรายวิชา ว 30291 โครงงานวิทยาศาสตร์ 2 หรือ ค 30299 โครงงานคณิตศาสตร์ 2 หรือ ง 30299 โครงงานคอมพิวเตอร์ 2 ตามหลักสูตรห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ของ สสวท. ชื่อโรงเรียน.... ภาคเรียนที่ ... ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี... ปีการศึกษา ..... ด้วยตัวอักษร ปกติขนาด 18 จดุ ควรจัดเรยี งขอ้ ความให้กระจายอยบู่ นปก ไดร้ ะยะทส่ี วยงาม และเว้นระยะห่างให้สมดุล 1.2 ปกใน (title page) ใช้กระดาษสีขาว 80 แกรม ขนาดมาตรฐาน A4 พิมพ์ภาพและข้อความ ไวก้ ลางหน้ากระดาษเรียงตามลําดบั ดังน้ี • ภาพตราโรงเรียนขนาด 1.5 น้ิว x1.5 นว้ิ วางขอบบนของภาพหา่ งจากขอบกระดาษดา้ นบน 1.5 นิว้ • พิมพ์คําว่าโครงงานวิทยาศาสตร์ หรือ โครงงานคณิตศาสตร์ หรือโครงงานคอมพิวเตอร์ ด้วย ตัวอกั ษรหนาสีดาํ ขนาด 22 จุด ห่างจากขอบล่างของภาพตราโรงเรียน 1 บรรทดั • พมิ พช์ ือ่ เรื่องโครงงาน ด้วยตัวอกั ษรหนาขนาด 22 จดุ • พมิ พ์คําวา่ โดย ด้วยตวั อกั ษรตัวปกตขิ นาด 18 จดุ • พิมพ์ชื่อนักเรียนผู้ทําโครงงาน ระบุคํานําหน้า ชื่อ นามสกุล หากมีผู้ทําโครงงานหลายคนต้องลง ชื่อทกุ คน ใช้ตวั อกั ษรตัวปกติขนาด 18 จดุ • พมิ พค์ าํ วา่ ครูที่ปรกึ ษา 1 บรรทดั และพิมพช์ อ่ื ครทู ี่ปรกึ ษาไวใ้ นบรรทดั ถัดไป ใช้ตัวอักษรตวั ปกติ ขนาด 18 จุด • พิมพ์คําว่า อาจารย์ที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัย/ หน่วยงาน/ ที่ปรึกษาพิเศษ 1 บรรทัด และพิมพ์ช่ือ อาจารยท์ ่ีปรึกษาไว้ในบรรทัดถดั ไป โดยระบตุ าํ แหนง่ ทางวิชาการ ดว้ ยตัวอักษรตัวปกตขิ นาด 18 จดุ ควรจดั เรยี งข้อความให้กระจายอยบู่ นปก ได้ระยะท่สี วยงาม และเว้นระยะห่างใหส้ มดุล 1.3 บทคดั ย่อ (abstract) • พิมพค์ ําวา่ บทคัดยอ่ กลางหน้ากระดาษด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จดุ • เว้น 1 บรรทดั พิมพเ์ นอ้ื ความของบทคดั ยอ่ ความยาวไมเ่ กินหนึง่ หน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรปกติ ขนาด 16 จุด

11 1.4 กิตติกรรมประกาศ (acknowledgement) • พิมพค์ ําวา่ กติ ติกรรมประกาศ กลางหนา้ กระดาษ ด้วยตัวอักษรหนาขนาด 22 จดุ • เว้น 1 บรรทดั พิมพเ์ นอ้ื ความ ความยาวไม่เกินหนง่ึ หน้ากระดาษ ตัวอกั ษรปกตขิ นาด 16 จุด • กรณีเป็นผู้ทําโครงงานคนเดียว ให้เว้น 2 บรรทัด แล้วพิมพ์ช่ือและชื่อสกุลของผู้ทําโครงงานห่าง จากบรรทดั สุดท้ายของขอ้ ความ เย้อื งไปทางด้านขวาโดยไมต่ ้องระบุวันท่ี กรณที าํ หลายคน ไมต่ อ้ งลงช่ือ 1.5 สารบัญ (table of contents) • พิมพค์ ําว่า สารบญั กลางหน้ากระดาษ ด้วยตวั อักษรหนาขนาด 22 จุด • เว้น 1 บรรทัด พิมพค์ าํ วา่ หน้า ชิดรมิ ดา้ นขวาของกระดาษ และเวน้ 1 บรรทัด เพือ่ พมิ พร์ ายการแรก • แสดงบัญชีการแบ่งเน้ือเร่ืองออกเป็นบท โดยระบุเลขที่บทและช่ือบทพร้อมหมายเลขหน้าตามที่ ปรากฏในรายงานและส่วนอ่ืนๆ ยกเว้นหน้าปกในและหน้าสารบัญ โดยพิมพ์คําว่า บทที่ เอกสารอ้างอิง ภาคผนวก ชิดขอบด้านซ้าย ชื่อบทอยู่ห่างจากหมายเลขบทสองช่วงตัวอักษร หากต้องการแสดงรายการหัวข้อ ภายในบทใหพ้ มิ พร์ ายการหวั ข้อตรงกับช่อื บท โดยไมต่ อ้ งใสเ่ ครื่องหมาย – ข้างหน้า การแสดงรายการภาคผนวก ใหป้ ฏิบัตเิ ชน่ เดียวกนั ใช้ตวั อกั ษรปกตขิ นาด 16 จดุ สารบัญตาราง (list of tables) • พิมพค์ ําวา่ สารบัญตาราง กลางหน้ากระดาษ ดว้ ยตัวอกั ษรหนาขนาด 22 จุด • เว้น 1 บรรทัด แล้วพมิ พ์คําว่า ตาราง ห่างจากริมขอบกระดาษซ้ายมือหนึ่งนิ้วคร่ึง แล้วพิมพ์คําว่า หน้า ในแนวเดียวกัน หา่ งจากขอบกระดาษขวามอื หนงึ่ น้วิ และเว้น 1 บรรทดั เพอ่ื พมิ พร์ ายการแรก • แสดงบัญชีตารางโดยระบุหมายเลขลําดับตารางอยู่ตรงกลางของคําว่าตารางข้างบน เว้นระยะ พมิ พส์ องช่วงตัวอกั ษร แล้วพมิ พ์ช่อื ตาราง หรือคาํ อธบิ ายตาราง พมิ พห์ มายเลขหนา้ ให้ตรงกบั คําว่า หน้า การให้หมายเลขตาราง อาจเรียงหมายเลขลําดับตาราง ต้ังแต่ตารางแรกจนถึงตารางสุดท้ายใน รายงาน หรอื เรียงหมายเลขลําดับตารางแยกออกเปน็ บทๆ ไป การพิมพใ์ ชต้ ัวอกั ษรปกตขิ นาด 16 จดุ สารบัญภาพ (list of figures) • พมิ พ์คาํ ว่า สารบัญภาพ กลางหนา้ กระดาษ ด้วยตัวอกั ษรหนาขนาด 22 จดุ • เว้น 1 บรรทัด แล้วพิมพ์คําว่าภาพท่ี ห่างจากริมขอบกระดาษซ้ายมือหน่ึงน้ิวครึ่ง แล้วพิมพ์คําว่า หน้า ในแนวเดยี วกันหา่ งจากรมิ ขอบกระดาษขวามอื หน่ึงนวิ้ และเวน้ 1 บรรทัด เพอ่ื พิมพร์ ายการแรก • แสดงบัญชีภาพประกอบโดยระบุหมายเลขลําดับภาพ ชื่อภาพหรือคําอธิบายภาพและหมายเลข หน้า ตามที่ปรากฏในโครงงานให้หมายเลขลําดับภาพอยู่ตรงกลางของคําว่า ภาพ หมายเลขหน้าตรงกับคําว่า หน้า ใชต้ ัวอกั ษรปกติขนาด 16 จดุ การให้หมายเลขภาพ อาจเรียงหมายเลขลําดับภาพ ตั้งแต่ภาพแรกจนถึงภาพสุดท้ายในรายงาน หรือ เรยี งหมายเลขลําดบั ภาพแยกออกเป็นบทๆ ไป 1.6 อกั ษรย่อและสัญลักษณ์ (abbreviations and symbols) ถ้ามี • พิมพ์คําว่า อักษรย่อ หรือสัญลักษณ์ หรืออักษรย่อและสัญลักษณ์แล้วแต่กรณีไว้กลาง หน้ากระดาษ ดว้ ยตัวอกั ษรหนาขนาด 22 จดุ • เว้น 1 บรรทัด พิมพ์ข้อความบรรทัดแรกของอารัมภบท (ถ้ามี) ถ้าไม่มีอารัมภบทให้พิมพ์คําว่า สัญญลกั ษณไ์ ว้ชดิ ริมซ้ายมอื และพิมพค์ าํ วา่ คาํ อธิบาย ไวใ้ นแนวเดยี วกนั ในระยะหา่ งทเี่ หมาะสม • เว้น 1 บรรทดั แสดงบัญชีอักษรย่อและสัญลกั ษณ์พร้อมคําอธบิ าย ใชต้ วั อักษรปกติขนาด 16 จุด

12 2. สว่ นเนอื้ ความ (text) 2.1 การแบ่งเนือ้ เรอื่ ง (sections and subsections) • การแบ่งบท ควรแบ่งเน้ือเรื่องออกเป็นบทหรือตอน และเม่ือเริ่มบทใหม่หรือตอนใหม่ต้องข้ึนหน้า ใหมเ่ สมอ • ให้พิมพ์คําว่า “บทท่ี” กลางหน้ากระดาษ และมีเลขประจําบทเป็นเลขไทยหรือเลขอารบิกสําหรับ รายงานภาษาไทย และเลขโรมันใหญ่ สําหรับรายงานภาษาอังกฤษ ช่ือบทให้พิมพ์ไว้กลางหน้ากระดาษใน บรรทัดตอ่ จากบทที่ ชอื่ บทภาษาองั กฤษให้ใชต้ ัวพมิ พ์ใหญ่ทุกตัวอกั ษร ใชต้ ัวอกั ษรตัวหนาขนาด 22 จุด • เวน้ 1 บรรทดั ก่อนเริ่มพมิ พ์เนือ้ ความของแต่ละบท 2.2 ตาราง (tables) • การนาํ เสนอตารางทําไดส้ ามวธิ ี ใหเ้ ลอื กวธิ ีใดวิธหี นง่ึ คือ 1) นําเสนอตารางต่อจากข้อความท่ีกล่าวถึงตารางนั้น โดยบรรยายผลการดําเนินงานท่ีได้ให้ ครบถ้วน แล้วจึงเขียน คําว่า ดังตารางที่... หากมีเน้ือที่ไม่เพียงพอท่ีจะเสนอตารางในหน้าเดียวกันกับข้อความ ให้พิมพ์ข้อความอื่นต่อจนหมดหน้ากระดาษแล้วจึงเร่ิมพิมพ์ตารางในหน้าถัดไป โดยก่อนพิมพ์ตาราง ให้พิมพ์ ขอ้ ความชิดดา้ นซา้ ยของกระดาษวา่ ตารางท่ี ... .................................... (ใสช่ อื่ ตาราง) 2) นําเสนอตารางท้ังหมดไวด้ ้วยกันในทหี่ น่งึ ทีใ่ ดตามความเหมาะสม 3) นาํ เสนอตารางเปน็ ตอนๆ แยกจากข้อความตามความเหมาะสม • ขนาดของตารางไม่ควรเกินกรอบหน้ากระดาษ สําหรบั ตารางที่มขี นาดใหญ่ให้ลดขนาดลงด้วยการ ใชเ้ คร่ืองถา่ ยสาํ เนาหรอื วธิ ีการอื่นๆ โดยใหค้ งความชัดเจนไว้ • หากตารางยังมีความกว้างเกินกรอบหน้ากระดาษให้พิมพ์ตารางตามแนวนอนของหน้า กระดาษ โดยหมุนส่วนบนของตารางเขา้ หาขอบซา้ ยของหนา้ กระดาษ และพิมพ์ไว้หน้าหนึ่งต่างหาก ไม่พิมพ์ข้อความอื่น ไวใ้ นหนา้ เดยี วกัน การพมิ พ์หมายเลขหน้าจะต้องทําเชน่ เดียวกับหน้าอนื่ ๆ • หากจําเป็นต้องต่อตารางข้ามหน้า ให้พิมพ์คําว่า ตารางและพิมพ์หมายเลขตารางแล้วพิมพ์คําว่า (ตอ่ ) ไวใ้ นวงเลบ็ • สาํ หรับตารางท่ีมีหัวเร่ืองควบสดมภ์ (boxhead) มากๆ ให้ซอยตารางออกได้ • คาํ อธบิ ายตาราง ประกอบดว้ ยหมายเลขตารางและชื่อตาราง ทง้ั นี้ 1) อาจเรียงหมายเลขลําดับตาราง ต้ังแต่ตารางแรกจนถึงตารางสุดท้ายในรายงาน หรือเรียง หมายเลขลําดับตารางแยกออกเป็นบทๆ เช่น ตารางที่ 1.1 (อยู่ในบทท่ี 1) ตารางที่ 2.1 (อยู่ในบทที่ 2) ตาราง ท่ี ก.1 (อยู่ในภาคผนวก ก) เป็นตน้ 2) พมิ พ์คําว่า ตารางที่ และหมายเลขลําดับตารางด้วยตัวอักษรตัวหนาขนาด 16 จุด จากน้ันเว้น ระยะสองช่วงตวั อักษร แลว้ จงึ พิมพ์ช่ือตารางท่ีเป็นข้อความกะทัดรัดและสื่อความหมายชัดเจน 3) กรณีช่ือตารางยาวเกิน 1 บรรทัด ให้พิมพ์ตัวอักษรตัวแรกของบรรทัดถัดไป ตรงกับอักษรตัว แรกของชอ่ื ตาราง

13 2.3 ภาพ (figures) • การนาํ เสนอภาพประกอบทาํ ไดส้ องวิธี ให้เลือกใชแ้ บบใดแบบหนงึ่ ตลอดทงั้ เลม่ คือ 1) นําเสนอภาพต่อจากข้อความท่ีกล่าวถึงภาพน้ัน โดยบรรยายผลการดําเนินงานที่ได้ให้ ครบถ้วน แล้วจึงเขียน คําว่า ดังภาพท่ี... หากมีเนื้อที่ไม่พอท่ีจะเสนอภาพประกอบไว้ในหน้าเดียวกันกับ ข้อความ ให้พิมพข์ ้อความอ่นื ตอ่ ใหห้ มดหน้ากระดาษ แล้วจงึ เสนอภาพประกอบหนา้ ถดั ไป หรือ 2) นําเสนอภาพประกอบทัง้ หมดไว้ดว้ ยกนั ในท่ีหน่ึงท่ใี ดตามความเหมาะสม • ภาพประกอบท่ีมีขนาดใหญ่เกินหน้ากระดาษ ให้ลดขนาดลงด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่เหมาะสม หากวางภาพในกรอบของหน้ากระดาษตามปกติไม่ได้ให้วางภาพตามแนวนอน โดยหันด้านบนของ ภาพประกอบชิดขอบซา้ ยมอื ของรายงาน • การผนึกภาพให้ใช้กาวอย่างดีและผนึกอย่างประณีต เรียบร้อย เหมาะสม และสวยงาม ทั้งน้ี จะวางตามแนวตงั้ หรือแนวนอนของหน้ากระดาษก็ได้ • คําอธบิ ายภาพ ประกอบดว้ ยหมายเลขลาํ ดบั ภาพและชอ่ื ภาพ ท้ังน้ี 1) อาจเรียงหมายเลขลําดับภาพตั้งแต่ภาพแรกจนถึงภาพสุดท้าย หรือเรียงหมายเลขลําดับภาพ แยกออกเป็นบทๆ เช่น ภาพท่ี 1.1 (อยใู่ นบทที่ 1) ภาพท่ี 2.1 (อย่ใู นบทท่ี 2) ภาพท่ี ก.1 (อยู่ในภาคผนวก ก) 2) พิมพ์คําว่า ภาพที่ และหมายเลขลําดับภาพด้วยตัวอักษรตัวหนาขนาด 16 จุด จากนั้นเว้น ระยะสองชว่ งตัวอกั ษร แลว้ จงึ พมิ พช์ อ่ื ภาพท่เี ป็นข้อความกะทัดรดั และส่อื ความหมายชดั เจน ด้วยตวั ปกติ 3) พิมพค์ าํ อธบิ ายภาพประกอบไว้ใต้ภาพ กลางหน้ากระดาษ 3. บรรณานุกรม (bibliography) และ เอกสารอ้างองิ (references) • พิมพ์คาํ ว่า บรรณานกุ รม หรือ เอกสารอ้างอิง ไวก้ ลางหน้ากระดาษ ดว้ ยตวั อกั ษรหนาขนาด 22 จุด • เว้น 1 บรรทัด แล้วจึงพิมพ์รายการแรก หากรายการท่ีพิมพ์ยาวเกินหนึ่งบรรทัด ให้ตัดไปพิมพ์ใน บรรทดั ถัดไปโดยย่อหน้าเขา้ ไปแปดชว่ งตวั อกั ษรพมิ พ์ ใช้ตวั อักษรปกติขนาด 16 จุด • ให้พิมพร์ ายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม ท่เี ป็นภาษาไทยกอ่ นภาษาต่างประเทศ • เรยี งแต่ละรายการตามลาํ ดบั อักษรของคาํ แรกของแต่ละรายการตามพจนานุกรม 4. ภาคผนวก (appendix) • ข้ึนหน้าใหม่ พิมพ์คําว่า ภาคผนวก ก่ึงกลางหน้ากระดาษ ด้วยตัวอักษรตัวหนาขนาด 22 จุด โดย ไม่ตอ้ งพิมพเ์ ลขหนา้ แต่นบั หน้า • กรณีมีหลายภาคผนวก ให้ขึ้นหน้าใหม่และพิมพ์เลขหน้า และพิมพ์เรียงลําดับเป็น ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ภาคผนวก ค ฯลฯ โดยไม่ใส่เครื่องหมายมหัพภาค (.) หลังตัวอักษรลําดับภาคผนวก แลว้ พิมพ์ช่อื ภาคผนวกในบรรทดั ถัดไป โดยใชต้ วั อักษรตัวหนาขนาด 22 จุด • เวน้ 1 บรรทัด กอ่ นพิมพ์ข้อความบรรทัดแรก • สําหรับจดหมาย แบบสอบถาม (questionnaires) แบบตรวจสอบ (check list) แบบสํารวจ (inventory) ฯลฯ ทใ่ี ช้ในการเก็บข้อมูล หากมีขนาดใหญ่กว่ากระดาษท่ีใช้พิมพ์รายงานให้ลดขนาดลง โดยการ ถา่ ยสําเนาเอกสาร หรือพมิ พใ์ หม่ในกระดาษทใี่ ช้พมิ พร์ ายงาน • ภาคผนวกท่ีเป็นอภิธานศัพท์ (glossary) หากไม่ได้นําเสนอไว้ในบทนํา ให้เรียงศัพท์ตามลําดับอักษร โดยพิมพ์อักษรตัวแรกของศัพท์แต่ละคําห่างจากริมขอบกระดาษด้านซ้ายมือหน่ึงนิ้วครึ่ง เว้นระยะสองช่วง

14 ตัวอักษร แล้วจึงพิมพ์คําอธิบาย หากคําอธิบายศัพท์ยาวเกินหนึ่งบรรทัด ให้พิมพ์บรรทัดต่อไปโดยย่อหน้าเข้า ไปแปดชว่ งตวั อกั ษร การพมิ พ์หัวข้อย่อย การพิมพ์หัวข้อย่อยอาจใช้ตัวอักษรกํากับหน้าหัวข้อสลับกับตัวเลข หรือใช้ตัวเลขอย่างเดียวดังตัวอย่าง ต่อไปน้ี โดยกาํ หนดให้ ** หมายถึง เว้น 2 ช่วงตวั อักษร แบบที่ 1 ใช้ตัวอักษรกาํ กบั สลับกับตวั เลข ประเทศไทย (หวั ข้อหลัก) ก** ลักษณะภมู ิประเทศ (หัวขอ้ ย่อย) 1** ภาคเหนือ ก** ภาคเหนอื ตอนบน ข** ภาคเหนอื ตอนลา่ ง 2** ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื แบบท่ี 2 ใชต้ ัวเลขกาํ กบั อย่างเดยี ว ประเทศไทย (หัวข้อหลกั ) 1** ลักษณะภูมปิ ระเทศ (หัวข้อยอ่ ย) 1.1** ภาคเหนอื 1.1.1** ภาคเหนือตอนบน 1.1.2** ภาคเหนือตอนลา่ ง 1.2** ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื การพิมพ์หวั ข้อยอ่ ยให้พมิ พย์ ่อหน้าโดยเว้นระยะให้ตรงกับตัวอักษรตวั แรกของชอื่ ขอ้ ความของหัวข้อสําคัญนั้น การใชเ้ คร่ืองหมายวรรคตอน การเขยี นรายการอา้ งองิ มีการใชเ้ คร่ืองหมายวรรคตอนตา่ งๆ ชว่ ยแบ่งขอ้ ความดังน้ี ™ เคร่ืองหมายมหัพภาค (. point) ใช้ในกรณีตอ่ ไปน้ี - เมอ่ื เขยี นยอ่ ช่ือแรกหรอื ชื่อกลางของผ้แู ตง่ ชาวต่างประเทศ เช่น Hodgkiss, A. G. - ไวท้ า้ ยคาํ ทยี่ ่อ เช่น ed. - เมือ่ จบแตล่ ะขอ้ ความ (เช่น ผูแ้ ต่ง ปีพมิ พ์ ชือ่ เรอ่ื ง ฯลฯ) ในรายการอา้ งอิงน้นั เช่น Hodgkiss, A. G. (1981). Understanding maps. Dawson, Folkestone, UK. ™ เคร่อื งหมายจลุ ภาค (, comma) ใช้ในกรณีต่อไปนี้ - ใช้ค่ันระหว่างช่ือและบรรดาศักดข์ิ องผแู้ ต่งชาวไทยหรอื ช่ือสกุลและชอื่ ตัวของ ผูแ้ ต่งชาว ตา่ งประเทศ เชน่ Renolds, F. F. ธรรมศักด์มิ นตร,ี เจา้ พระยา. - ใชค้ ่ันระหว่าง ช่ือผู้แตง่ เมอ่ื มผี ้แู ต่งมากกว่า 1 คน เช่น สุธรรม พงศส์ ําราญ, วริ ชั ณ สงขลา และพงึ ใจ พึ่งพานิช. Hanson, H., Borlaug, N. E., and Anderson, R. G.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook