เอกสารประกอบการสอน วชิ าโครงงาน 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ปีการศกึ ษา 2564 ม.6 นางยศวดี ศศิธร ตาแหนง่ ครู กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรยี นมหาวชิราวุธ จงั หวดั สงขลา สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาสงขลา สตลู สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
แผนการจัดการเรียนรู้ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ ป.๖ โรงเรยี นบ้านเดก็ ดี อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาเชียงใหม่ เขต ๔ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน
คำนำ เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ จัดทาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้วิชา โครงงาน 1 กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนโครงการ SMA ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 นางยศวดี ศศิธร กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นมหาวชริ าวุธ จังหวัดสงขลา
สารบญั หนา้ เรอ่ื ง 1 7 การศึกษาค้นควา้ จากเอกสารและแหล่งข้อมูล 11 การลงมอื ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 14 เทคนคิ การนาเสนอดว้ ย Power Point 16 เทคนิควิธกี ารนาเสนอผลงานทางวิชาการอยา่ งมืออาชีพ 17 เอกสารอ้างองิ ประวตั ผิ เู้ ขียนเอกสาร
1 ใบกิจกรรมที่ 1 เรอ่ื ง การทดสอบความเข้าใจเกย่ี วกับโครงงาน คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนตอบคาถามต่อไปน้ี 1. โครงงานวทิ ยาศาสตร์คืออะไร ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... 2. การเรียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์มปี ระโยชน์อย่างไร (ระบอุ ยา่ งนอ้ ย 3 ข้อ) ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... 3. จงบอกว่าโครงงานตอ่ ไปนี้ จดั เปน็ โครงงานวทิ ยาศาสตรห์ รอื ไม่ เพราะเหตุใด 3.1 เมย่าทาสเปรย์ไลย่ ุงตามสูตรทไ่ี ดม้ าจนประสบผลสาเร็จ ......................................................................................................................................................................................... 3.2 ปรชี ญาทดลองนาวิธีการทาไสก้ รอกไก่ ไปทดลองทาไส้กรอกปูจนประสบผลสาเรจ็ ......................................................................................................................................................................................... 3.3 แพรวทดลองทาจานแปรรูปจากผักตกชวาตามสตู รทไี่ ด้มาจนสาเรจ็ ได้ผลติ ภัณฑเ์ หมอื นตน้ ตารับ ......................................................................................................................................................................................... 3.4 ดาวศกึ ษาวงจรชวี ติ ของเพลยี้ อ่อน จนสามารถสร้างผลติ ภณั ฑจ์ ากสมนุ ไพรกาจดั เพล้ียอ่อนไดส้ าเรจ็ ......................................................................................................................................................................................... 3.5 อดิเทพประดษิ ฐเ์ ครือ่ งมอื ใหอ้ าหารสนุ ขั จนไดเ้ ครอื่ งมือให้อาหารสนุ ขั ราคาถกู และใชง้ านงา่ ยกวา่ เคร่ืองเดิม ......................................................................................................................................................................................... 4. ให้นกั เรยี นนาเครอ่ื งหมายหนา้ ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์เติมลงหนา้ ชือ่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ที่มี ความสมั พันธก์ ัน ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. โครงงานประเภททดลอง 2. โครงงานประเภทสารวจ 3. โครงงานประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ 4. โครงงานประเภทสรา้ งทฤษฎหี รอื การอธบิ าย ....... ก. อัตราการสังเคราะหด์ ้วยแสงของสาหรา่ ยในคล่ืนแสงทแ่ี ตกต่างกนั ....... ข. ความนยิ มในการปลูกตน้ ทองอไุ ร ....... ค. วงดนตรจี ากขวดนา้ เหลือใช้ ....... ง. เครอ่ื งตากปลาก่ึงอัตโนมตั ิ ....... จ. การหาสตู รปริมาตรทางสีห่ น้าไมป่ รกติ เมือ่ ดา้ นทั้งสีเ่ ปน็ รูปสามเหล่ียมมมุ แหลมและพน้ื ที่เทา่ กัน
2 ใบความรทู้ ่ี 1 เรอ่ื ง การศกึ ษาคน้ ควา้ จากเอกสารและแหล่งข้อมลู การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล รวมถึงการขอคาปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีความสาคัญ ต่อการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ดงั นี้ ช่วยใหน้ ักเรียนไดแ้ นวคิดท่จี ะกาหนดขอบเขตของเรอื่ งทจี่ ะศึกษาได้เจาะจงมากขนึ้ นักเรียนได้รบั ความรูเ้ พ่ิมเติมในเร่อื งทจ่ี ะศึกษาจนสามารถใชอ้ อกแบบและวางแผนดาเนินการทา โครงงานได้อยา่ งเหมาะสม นกั เรียนได้รับเทคนคิ และวธิ ีการทดลอง ผลการศึกษาทดลอง รวมท้งั ขอ้ เสนอแนะของการศึกษาทดลอง ทาใหแ้ นวคิดทจี่ ะดัดแปลง การศึกษาทดลองมาจัดทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ในเรื่องทต่ี นสนใจ แหลง่ ขอ้ มลู ทส่ี าคญั สาหรับการศึกษาคน้ ควา้ มีหลายแหล่ง ดงั น้ี เอกสารทางวิชาการ และหนังสอื แบบเรยี น ผ้ทู รงคุณวฒุ ิเฉพาะสาขาวิชา เอกสารรายงาน หรือการแสดงนิทรรศการโครงงานวิทยาศาสตร์ อาชพี ในท้องถนิ่ โดยปกติเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีจะทา มักเป็นข้อมูลเก่าของผู้ที่เคยทาเรื่องนี้มาแล้ว หรืออาจเป็น ความร้เู กย่ี วกับพืช สตั ว์ สารเคมี สง่ิ ของ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ตัวยา สรรพคุณของยา และสมุนไพรที่เราต้องใช้ ในโครงงานทจี่ ะทา ในการศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้อง นักเรียนควรมีความรู้เบ้ืองต้นในการใช้ห้องสมุด เพื่อสะดวกในการ ค้นคว้า นักเรียนอาจขอคาแนะนาการค้นหาเอกสาร วารสาร ตารา หรือเร่ืองท่ีเราต้องการจะทราบได้จาก บรรณารกั ษ์ห้องสมดุ ในการศึกษาวเิ คราะหโ์ ครงงานวิทยาศาสตร์ หรอื ปญั หาพิเศษตา่ ง ๆ มปี ระเดน็ ทต่ี อ้ งพิจารณาดงั น้ี 1. มูลเหตจุ งู ใจและจุดมุง่ หมายในการทาโครงงาน 2. การดาเนินการทดลอง ตัวแปรท่เี กย่ี วขอ้ ง การจัดกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ วสั ดอุ ุปกรณ์ กล่มุ ตวั อย่าง อาชพี ในท้องถน่ิ ขอ้ สรุปของโครงงาน ความแปลกใหม่ ความคดิ สร้างสรรคข์ องผูท้ าโครงงาน แนวทางในการปรบั ปรงุ หรือขยายการทดลองจากงานเดิม
3 ตวั อยา่ งการศึกษาเอกสารที่เกยี่ วขอ้ ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง ถงุ เพาะชากลา้ ไม้จากกระดาษที่ใช้แลว้ เคลือบด้วยสารสกัดจากผลมะพลบั โรงเรยี นสทิงพระวทิ ยา ผู้สืบค้น 1. เด็กชายอภลิ ักษณ์ สุวรรณรัตน์ 2. เด็กชายชนนิ ทร์ เทพเสนา 3. เด็กชายพงศธร มรรคโช เอกสารและทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ ง ในการศกึ ษาครงั้ นี้ ผู้ศกึ ษาได้นาเสนอเอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ ง จานวน 4 เร่อื ง รายละเอยี ดดงั นี้ 1. ความร้เู ก่ยี วกับถงุ เพาะชากลา้ ไม้ 2. ความรเู้ กีย่ วกับกระดาษ 3. ความรเู้ กย่ี วกับมะพลับ 4. งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 1. ความรเู้ กยี่ วกบั ถุงเพาะชากล้าไม้ ถุงเพาะชากล้าไม้ หมายถึง ถุงท่ีใช้เพาะชากล้าไม้ต่าง ๆ ต้ังแต่ กิ่งตอน กิ่งปักชา หรือต้นกล้า ท่ีเพาะจากเมล็ด เพื่ออนุบาลให้กล้าไม้เหล่าน้ีมีความแข็งแรง สร้างราก ลาต้น ใบ และกิ่งให้เจริญพร้อมท่ีจะ นาไปปลูกในแปลงหรือกระถางทเี่ ตรียมไว้ และเพ่อื ให้สะดวกในการดแู ลกาจดั ศัตรูพชื และวชั พชื ปัจจุบันถุงเพาะชากล้าไม้ทาจากพลาสติก ชนิดเทอร์โมพลาสติก มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดใหญ่สุด ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเลก็ ขน้ึ อย่กู บั วตั ถปุ ระสงค์ของผ้ใู ช้เพาะชากลา้ ไม้ มีรายงานว่ากรมป่าไม้ได้ใช้ถุง เพาะชากลา้ เพาะชาไม้ยนื ต้น สาหรับปลูกป่าทดแทนปีละประมาณ 35 ล้านใบ เกษตรกรใช้ถุงเพาะชากล้าไม้ ปีละ 500 ล้านใบ เพื่อเพาะชากล้าไม้สาหรับปลูกพืชผักสวนครัว พืชไร่ และพืชเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยัง เพาะพนั ธุไ์ มด้ อกไมป้ ระดับ เพือ่ การคา้ และจาหน่าย และมแี นวโนม้ การใชถ้ งุ เพาะชากลา้ ไมจ้ ะเพ่ิมขน้ึ ทกุ ปี แต่การใชถ้ งุ เพาะชากลา้ ไม้จะกอ่ ให้เกดิ ปัญหาดา้ นสภาพแวดล้อม เนื่องจากพลาสติกท่ีใช้ทาถุงเพาะชา ย่อยสลายตวั หมดใช้เวลายาวนาน ประมาณ 50 ปี ถา้ ฝังอยู่ในดนิ จะทาให้น้าและอากาศถ่ายเท ไม่สะดวก ถ้า นาไปเผาก็จะทาใหเ้ กิดมลพิษทางอากาศเหลา่ นี้ 2. ความรู้เก่ียวกบั กระดาษ กระดาษ หมายถึง วัสดุสาหรับใช้เขียน ใช้พิมพ์ ใช้ทาผลิตภัณฑ์ ของใช้ ทาความสะอาด และดูดซับ ตลอดจนใช้งานดา้ นอตุ สาหกรรม ด้านศิลปะ ด้านเกษตรกรรม กระดาษทาจากเน้ือไม้ ไม้ที่นิยมนามาทากระดาษ ได้แก่ ไม้สน ไม้ไผ่ และไม้ข่อย จะได้กระดาษขาว เนื้อเหนียวละเอียด วิธีทากระดาษทาได้ดังน้ี นาท่อนไม้มาแช่น้า และทุบด้วยของแข็ง นามาต้มด้วยโซเดียม- ไฮดรอกไซด์ จนเน้ือไม้ออ่ นตัว และปนั่ ให้ละเอยี ด จะได้เย่อื กระดาษนามาลา้ งให้สะอาดด้วยน้าหลาย ๆ ครั้ง ๆ หากทากระดาษแผ่นจะต้องผสมแป้งมัน สารส้ม และน้ามันก๊าด เพ่ือให้กระดาษขาว เนื้อละเอียด และทน จากน้นั ต้องกรองด้วยตะแกรง และรดี นา้ ออก อบให้แห้งแล้วตดั ตามขนาดกระดาษ
4 ประเภทของกระดาษ แบ่งตามลักษณะการใชง้ านได้ 4 ประเภท คอื 1. กระดาษพิมพ์และกระดาษเขียนหรือกระดาษขาวดา เป็นกระดาษท่ีนาไปพิมพ์หรือเขียน เมื่อสัมผัส ผิว กระดาษจะไม่มีความมัน ได้แก่ กระดาษปอนด์ กระดาษอาร์ต กระดาษวาดเขียน กระดาษสมุด กระดาษ ปก กระดาษคอมพิวเตอร์ กระดาษอัดสาเนา และกระดาษถา่ ยเอกสาร เป็นต้น 2. กระดาษเพ่ือการอุตสาหกรรมหรือกระดาษเหนียว ได้แก่ กระดาษกราฟสีน้าตาล กระดาษลูกฟูก กระดาษกล่อง ซองกระดาษใส่เอกสารสนี ้าตาล เป็นต้น 3. กระดาษอนามัย ไดแ้ ก่ กระดาษชาระตา่ ง ๆ กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดมอื กระดาษเช็ดปาก 4. กระดาษชนิดอื่น ๆ นอกเหนือกระดาษทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ กระดาษสา กระดาษมวนบุหร่ี กระดาษทาถงุ ชา กระดาษฟาง และกระดาษหนงั สอื พมิ พ์ เปน็ ต้น ปัจจุบันการใช้กระดาษเพ่ือการศึกษาเล่าเรียน เสนอข่าวสาร และกิจกรรมอ่ืน ๆ ได้เพิ่มจานวนมากข้ึน เรือ่ ย ๆ ประเทศทีเ่ จริญมากก็ยิ่งใช้กระดาษมาก สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศท่ีใช้กระดาษมากที่สุดในโลก เฉล่ีย คนละ 311 กิโลกรัมต่อปี ญ่ีปุ่นเป็นอันดับ 2 เฉลี่ยคนละ 223 กิโลกรัมต่อปี ส่วนประเทศไทยน้ันถูกจัดเป็น อันดับท่ี 70 จากจานวน 143 ประเทศทั่วโลก คนไทยใช้กระดาษเฉลี่ยคนละ 20 กิโลกรัมต่อปี กระดาษท่ีใช้ แล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ ถูกเผาทิ้งเป็นขยะ ปัญหาที่ตามมา คือ มลพิษ หากนากระดาษท่ีใช้แล้วมาทาให้เกิด ประโยชน์โดยนากลบั มาใชใ้ หม่ เช่นทาสือ่ การสอน ทากระดาษสาหรับพิมพ์หรือเขียน ทาของเล่นของใช้ หรือ ทาอนื่ ๆ จะช่วยลดปญั หาดา้ นสิ่งแวดล้อมไดม้ ากทีเดียว 3. ความรู้เกยี่ วกบั มะพลับ มะพลบั มีช่ือทางพฤษศาสตร์ว่า Diospyros siameniss Hocho. ซงึ่ เรยี กทว่ั ไป มะพลับ มากาลบั พลับ มะสูละ ลักษณะทางพฤษศาสตร์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบหนายาว เปลือกต้นสีดา คล้ายคลึงกับตะโกสวน แต่เล็กกว่ามาก ผลอ่อนสี เขียว พอสุกสีแดง ขึ้นตามป่าโปร่งทั่วไป และปลูกตามสวนและท้องทุ่ง เพื่อใช้ยางของมะพลับละลายน้า ย้อม แหและอวน เพื่อให้ทนทาน ยางมะพลับให้ผลดีกว่ายางตะโกมาก เพราะไม่ทาให้เส้นด้ายแข็งกรอบเหมือน ตะโก สรรพคุณในทางยา เปลือกและเน้ือไม้ของมะพลับ รับประทานเป็นยาบารุงธาตุ เจริญอาหาร แก้ท้องร่วง ขับถ่ายลมได้ดี เปลือกห่ันเป็นช้ินเล็ก ๆ ปิ้งไฟจนเหลืองกรอบ ชงน้ารับประทานต่างน้าร้อน แก้โรคกามตายด้านบารุงให้เกิด ความกาหนัด 4. งานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง นัฐชัย จุทอง และคณะ (2541:5) ได้ทาการศึกษาผลมะพลับแก่ โดยนาสารสกัดจากผลมะพลับไปใช้ ย้อมผ้าขาวดิบเปรียบเทียบกับการย้อมด้วยเปลือกเสม็ด และเปลือกไม้อื่น ๆ พบว่าผ้าขาวท่ีย้อมด้วยสารสกัด จากผลมะพลับมีความทนทานต่อแรงดึง มีคุณภาพใช้งานได้นานกว่าผ้าท่ีย้อมด้วยเปลือกเสม็ด และเปลือกไม้ ชนดิ อ่นื เพราะไมท่ าใหเ้ ส้นด้ายแขง็ กรอบ
5 ใบกจิ กรรมที่ 2 เรอ่ื งการวเิ คราะหเ์ อกสารรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนวเิ คราะห์เอกสารรายงานโครงงานวิทยาศาสตรจ์ ากหวั ข้อท่ีกาหนดให้ 1. ช่ือโครงงาน ............................................................................................................................. ................................................. 2. ท่มี าและความสาคัญ ............................................................................................................................................................................ .. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................... ............... ................................................................................................................... ........................................................... 3. จดุ มงุ่ หมายในการทาโครงงาน ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. ตวั แปรทเ่ี กี่ยวข้อง (ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ตวั แปรควบคมุ ) ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 5. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ทนี่ ักเรียนเลอื กศึกษาเป็นกรณีตัวอยา่ ง ได้คน้ คว้ารวบรวมข้อมูลเอกสารทเ่ี กีย่ วข้องกบั โครงงาน หรือมที ฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ ง เรื่องใดบา้ ง อธิบายเปน็ ข้อๆ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
6 6. นกั เรยี นคิดวา่ โครงงานวิทยาศาสตรเ์ รื่องที่เลอื กศึกษา ควรจะลด หรือเพม่ิ เติมเอกสารท่เี ก่ยี วข้องในเร่ืองใดบ้าง ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 7. วธิ กี ารทดลอง (ระบชุ ื่อการทดลองท้ังหมด) ....................................................................................................................... ....................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................................... ........................ .......................................................................................................... .................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ......................................................................................................................................... ..................................... . 8. ผลการศึกษาของโครงงาน .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 9. ประโยชนข์ องโครงงาน (ระบอุ ย่างนอ้ ย 3 ข้อ) ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 10. ความแปลกใหม่ ความคิดสรา้ งสรรค์ของผู้ทาโครงงาน ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 11. แนวทางในการปรับปรุงหรอื ขยายผลการทดลองจากงานเดิม ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. .................................................
7 ใบความรูท้ ี่ 2 การลงมือทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เมื่อนักเรยี นได้สง่ เค้าโครงย่อของโครงงานวิทยาศาสตร์ และไดร้ ับความเห็นชอบจากอาจารย์ ท่ปี รึกษา ขัน้ ต่อไปคือ ขนั้ ที่ต้องลงมือทาโครงงาน ซ่งึ นักเรียนควรปฏิบัติตามขัน้ ตอนดงั น้ี 1.1 การเตรียมการ นักเรยี นต้องจัดเตรียมส่ิงต่อไปนี้ให้พร้อม เตรียมวัสดุอปุ กรณ์ สารเคมี ทีใ่ ช้ในการทดลอง เตรียมสถานทใี่ ห้พร้อมก่อนลงมือทดลอง เตรียมสมดุ บนั ทึกการทากิจกรรมในระหว่างที่ทาโครงงาน เชน่ ไดป้ ฏิบัติอยา่ งไร ไดผ้ ลอย่างไร รวมทงั้ ข้อสังเกตตา่ ง ๆ ทีพ่ บ 1.2 การลงมือปฏบิ ัติ ปฏิบัตติ ามแผนที่วางไวใ้ นเค้าโครง แต่อาจเปลย่ี นแปลง หรือเพิ่มเตมิ ได้ถ้าพบว่าจะช่วยทาให้ ผลงานดขี ้ึน จัดระบบการทางานโดยทาสว่ นทเ่ี ปน็ หลกั สาคญั ๆ ให้เสรจ็ ก่อน แล้วจงึ ทาส่วนท่ีเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้โครงงานมีความสมบรู ณม์ ากข้นึ ปฏบิ ตั กิ ารทดลองด้วยความละเอียดรอบคอบ และบันทกึ ข้อมูลอย่างเปน็ ระบบครบถ้วน ควรปฏบิ ัตกิ ารทดลองซา้ เพื่อใหไ้ ดข้ ้อมลู ท่เี ชอื่ ถอื ไดม้ ากขน้ึ คานงึ ถึงความประหยดั ความปลอดภยั และระยะเวลาในการทางาน 1.3 การวเิ คราะห์และสรปุ ผล เป็นการนาข้อมูลมาจัดกระทาเพ่ือนาเสนออย่างเป็นระบบ และช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายข้ึน เช่น หาค่าเฉลี่ย หาค่าร้อยละ เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ แล้วอธิบายหรือแปลความหมายของข้อมูล ที่วิเคราะห์ได้ จากน้ันจึงสรุปผลการวิเคราะห์ด้วยข้อความส้ัน ๆ กะทัดรัดอย่างครอบคลุม เพื่อให้ผู้อ่านได้ เขา้ ใจถงึ ส่ิงที่คน้ พบจากการทาโครงงาน 1.4 การอภปิ รายหรอื ข้อเสนอแนะ เป็นการพจิ ารณาขอ้ มลู ที่ไดว้ ิเคราะหแ์ ล้วพร้อมกบั นาไปหาความสมั พันธก์ ับหลักการทฤษฎี หรือ ผลงานท่ีผู้อื่นได้ศึกษาไว้แล้ว ท้ังนี้ยังรวมถึงการนาหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานของผู้อ่ืนมาใช้ประกอบการ อภิปรายผลทไ่ี ด้จากการวเิ คราะหด์ ้วย
8 ใบกิจกรรมท่ี 3 เรอ่ื งการลงมอื ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามใหไ้ ด้ใจความสมบูรณ์ 1. การลงมอื ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ควรปฏบิ ัตติ ามขัน้ ตอนที่วางไว้ จงสรปุ ความสาคญั ของแตล่ ะขน้ั เปน็ แผนทีค่ วามคดิ (Fish bone diagram)
9 2. การทาโครงงานวทิ ยาศาสตรค์ วรปฏิบตั งิ านเป็นทีม (ทมี ละ 3 คน) ด้วยเหตุผลดังน้ี ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรปฏบิ ัติการทดลองซา้ (อย่างน้อย 3 ครั้ง) ดว้ ยเหตผุ ลใด .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 4. การวเิ คราะหข์ อ้ มูลทด่ี คี วรกระทาอย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. การอภิปรายผลที่ถกู ต้องตามหลักวชิ าการมแี นวปฏิบตั อิ ยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
10 ใบกจิ กรรมท่ี 4 เรอื่ ง การออกแบบโครงงาน คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1. ปญั หาการวจิ ยั ของนักเรยี นคอื อะไร ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. เพราะเหตใุ ดนักเรียนจึงเลือกปญั หาน้ีเปน็ ปัญหาวิจยั ........................................................................................................... ................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. 3. นกั เรียนได้ปัญหาน้ีมาอยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. วัตถปุ ระสงค์และสมมติฐานแตกต่างกันอย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. วัตถุประสงค์ของโครงงานของนักเรียนคืออะไร (ระบทุ ้ัง 5 การทดลอง) ............................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 6. สมมตฐิ านของโครงงานของนักเรียนคืออะไร (ระบุทั้ง 5 การทดลอง) ................................................................................................... ........................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................. ............................................ ...................................................................................... ........................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. 7. นกั เรียนจะสืบคน้ ข้อมูลเกี่ยวกับโครงงานของนกั เรยี นในหัวข้อใดและสืบค้นจากแหล่งใด ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
11 8. นกั เรียนออกแบบการรวบรวมขอ้ มูลโครงงานอย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................................. ............................ ...................................................................................................... ........................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. 9. นักเรียนมีการวเิ คราะห์ข้อมลู จากข้อมูลท่นี ักเรยี นรวบรวมไดอ้ ย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................. ............................. ..................................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. 10. รายงานการวิจยั หรือรายงานโครงงานของนักเรยี นประกอบดว้ ยบทอะไรบา้ ง แตล่ ะบทตอ้ งมขี ้อมลู อะไรบา้ ง ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 11. นักเรยี นมีการต้ังคา่ หนา้ กระดาษของรูปเล่มรายงานเท่าไร ขนาดตวั อักษรหัวข้อของชื่อบท และขนาด ตวั อกั ษรของเน้ือหาขนาดเท่าไร ............................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. .................................................
12 ใบความรู้ที่ 3 เทคนคิ การนาเสนอดว้ ย Power Point ไมค่ วรบรรจขุ ้อมลู ลงไปในสไลด์เพียงแผ่นเดียวจานวนมาก เพราะวตั ถุประสงค์ไม่ใชใ้ ห้คนอา่ น แต่เปน็ เครื่องกระตุน้ ใหผ้ ฟู้ งั ได้คิดตามและเข้าใจในสิง่ ทผี่ ู้พูดนาเสนอ ไมค่ วรใช้ภาพเคลื่อนไหว ท่ีว่นุ วายเกนิ ไป ฉากหลงั ของการนาเสนอ ควรเป็นแบบเรียบง่าย แต่กด็ ึงความสนใจได้ ควรใชฉ้ ากหลังสอี ่อน และเปน็ แบบเดยี วกันตลอดการนาเสนอ ขนาดตัวอักษรควรแตกต่างกนั หัวเร่ืองควรมีขนาดอย่างน้อย 40 Point หัวข้อหลกั ควรมีขนาด 36 Point หวั ข้อรองควรมีขนาด 30 Point เนอื้ หาควรมีขนาด 24 Point ควรใช้แบบอักษรมาตรฐาน เพ่อื หลีกเลย่ี งความผดิ พลาดเมอ่ื ต้องนาเสนอดว้ ยเครื่องคอมพวิ เตอร์อืน่ ควรเลือกใชส้ ีตวั อักษรท่ตี ัดกับฉากหลังอยา่ งชดั เจน ใชส้ ีในการแยกระดับหัวเร่อื งกบั เนื้อหา สาหรบั เนือ้ หาให้ใชส้ ชี ่วยในการเน้นคาสาคัญ แตค่ วรใชเ้ ป็นกรณีที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษเท่าน้นั ไม่ควรใช้ตัวอกั ษรตัดขอบ ตรวจสอบการสะกดคาผดิ การใช้คาซ้าและการใช้ไวยากรณผ์ ดิ ในเอกสารนาเสนอ กรณขี องภาษาองั กฤษ หากไม่แนใ่ จควรให้ผูท้ ่ีมคี วามรูภ้ าษาอังกฤษช่วยแนะนา แสดงข้อความสาคญั ทลี ะประเด็น จะชว่ ยใหผ้ ฟู้ งั มุ่งความสนใจไปทสี่ ิ่งทีต่ ้องการนาเสนอ เป็นการป้องกนั ไม่ใหผ้ ฟู้ ังอา่ นล่วงหน้าไปก่อน และทาให้การนาเสนอทาได้ง่ายและตรงประเดน็ PowerPoint เป็นเพยี งเครอ่ื งมืออยา่ งหน่งึ ทม่ี นษุ ย์ใช้สอ่ื สาร ส่งิ สาคัญคอื ผใู้ ชต้ อ้ งมีความรคู้ วามเขา้ ใจ ในเนื้อหาทจ่ี ะบรรยายเป็นอยา่ งดี จึงจะสามารถสง่ สารไปถึงผรู้ บั สารได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รวมถึงความ ต้ังใจจริงของผู้ส่งสารท่ีจะถา่ ยทอดความรู้ และผรู้ ับสารก็มีความพร้อมทจี่ ะเรยี นรูจ้ ากสาร การสอ่ื สารนน้ั จึงจะประสบผลสาเรจ็
13 ใบกิจกรรมที่ 5 เร่อื ง การนาเสนอดว้ ย Power Point คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนออกแบบสไลด์การนาเสนองานวิจัยของนักเรยี นด้วย Power Point จานวน 2 หน้าสไลด์
14 ใบความรู้ท่ี 4 เทคนิควธิ ีการนาเสนอผลงานทางวิชาการอย่างมืออาชีพ ไมต่ อ้ งกลัว ไมต่ อ้ งคิดมาก ม่ันใจในขอ้ มลู พึงตระหนักวา่ ไมม่ ีใครสมบูรณไ์ ปเสยี ทุกอยา่ ง เม่ือมเี วลานาเสนอจากัด เลือกเพียงเนอ้ื หาใจความที่สาคัญ ไมต่ อ้ งอัดแน่น ไมต่ ้องไปเลยี นแบบใคร นาเสนอดว้ ยความเป็นตวั ของตวั เอง อารมณข์ นั มีประโยชน์ อย่าคิดควบคมุ ปัจจยั ที่เราควบคมุ ไมไ่ ด้ เชน่ ผู้ฟัง หรอื สภาพแวดลอ้ ม ใช้เวลาเตรยี มตัวให้เหมาะสม อยา่ นอ้ ยไป และไม่มากเกนิ ไป เชอ่ื ม่ันวา่ ผฟู้ งั กต็ ้องการให้การนาเสนอของเราประสบความสาเร็จ เตรียมตวั ให้พร้อม ไปถึงกอ่ นเวลา เตรยี มไฟล์สอ่ื การสาเสนอใหพ้ ร้อม สารวจหอ้ งทต่ี อ้ งใช้ ซอ้ มลุก ยนื เดิน นัง่ มั่นใจ พดู กบั ผู้ฟงั ส่งใจไปใหถ้ ึง คาแนะนาเมื่อเกดิ เหตุการณไ์ มค่ าดฝัน มีสติ คดิ แกส้ ถานการณอ์ ยา่ งใจเยน็ รักษาบุคลิกภาพ ยม้ิ ไว้ อารมณ์ขนั ชว่ ยได้ ใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชนด์ ว้ ยการพดู คยุ กบั ผ้ฟู ัง อย่าให้อยใู่ นความเงยี บมากเกินไป ดึงความสนใจของคนใหอ้ ยกู่ ับเรา ใหก้ าลงั ใจและกลา่ วขอบคณุ ผู้ชว่ ยเหลือคุณ บคุ ลิกภาพในการนาเสนอผลงาน แตง่ กายสภุ าพ สบตาผฟู้ ัง เพือ่ จะได้ทราบว่าผฟู้ ังฟงั อยู่ หรือเขา้ ใจหรือไม่ ห้ามล้วง แคะ แกะ เกา ทา่ ยนื ใหย้ ืนตวั ตรง ลงน้าหนักท้งั สองขา้ ง ไม่เทา้ หนา้ เท้าหลงั กับโต๊ะใหด้ ูไมส่ ภุ าพ สิ่งที่ถือออกมา อยา่ ให้เกะกะ ถือมาแล้วควรใช้ ย้มิ ได้กย็ มิ้ หนอ่ ย สรา้ งบรรยากาศท่ดี ีใหก้ ับการบรรยาย มีทา่ ทางประกอบการบรรยายทส่ี อดคล้องกบั เรอื่ งท่พี ดู และเปน็ ธรรมชาติ ต้องมรี ะดับเสยี ง ดงั พอเหมาะ ชัดเจน การออกเสียงถูกอกั ขระวิธีของภาษานนั้ ๆ โดยเฉพาะคาควบกลา้ และศพั ทเ์ ทคนคิ ต่าง ๆ ไม่ควรกา้ วรา้ ว อทุ าน ตกใจ ประชด สบถ พดู เนน้ เสียง เพอื่ แสดงความสาคัญ ไม่เน้นทกุ คา ไมค่ วรพดู ราบเรียบไปจนนา่ เบอ่ื มกี ารหยดุ วรรค แตไ่ ม่ควรหยุดกลางประโยค ภาษาทไี่ ม่เป็นคา (เออ่ อา่ นะครบั นะคะ่ ใชไ่ มใ่ ช่ เสยี งประกอบอ่นื ๆ) ไมค่ วรพดู บ๋อย
15 ใบกจิ กรรมท่ี 6 เร่ือง เทคนคิ การนาเสนอผลงานทางวชิ าการ คาช้แี จง ให้นกั เรียนเลอื กบทความจากอนิ เทอร์เนต็ มา 1 บทความเพอื่ ออกแบบลาดบั ข้นั ตอนการพดู นาเสนอ ตดิ บทความจากอนิ เทอร์เนต็ ลาดบั ขัน้ ตอนการพูดนาเสนอ
16 เอกสารอ้างองิ สมาคมวิทยาศาสตร์แหง่ ประเทศไทยในพระบรมราชปู ถมั ภ์. (2561). โครงงานวิทย์ พิชติ เวทีโลก. นานมีบุ๊คสพ์ ับลิเคช่ันส์, กรุงเทพมหานคร. รศ.ดร. สมพงศ์ จนั ทร์โพธิศ์ รี. (2558). โครงงานวิทยาศาสตร์ ระดบั มัธยมศกึ ษา (ฉบบั ปรบั ปรุงใหม่). ไฮเอ็ดพบั ลิชช่งิ , กรุงเทพมหานคร. ศุภวลั ย์ ตนั วรรณรักษ.์ (2553). โครงงานวทิ ยร์ ะดับ A+. นานมบี คุ๊ ส์พบั ลิเคชน่ั ส์, กรงุ เทพมหานคร. มนธิดา สติ ะธน.ี (2551). หนังสอื ส่งเสริมการพัฒนาการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ระดบั โรงเรยี น “โครงงาน วิทยาศาสตร์แบบงานวจิ ัย”. สานักงานพัฒนาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, ปทุมธานี.
17 ชอ่ื – นามสกลุ ประวตั ิผเู้ ขียนเอกสาร ประวตั ิการศึกษา นางยศวดี ศศิธร พ.ศ. 2554 หลกั สูตรวิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาชีววทิ ยา พ.ศ. 2557 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพมหานคร หลักสูตรการศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ สงขลา
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: