Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สถานทีท่องเที่ยว นครวัด

สถานทีท่องเที่ยว นครวัด

Published by MANTANA TASITH, 2019-07-24 02:59:47

Description: นครวัด ,ประเทศกัมพูชา

Keywords: สวยงาม,สถาปัตยกรรม,ประวัติศาสตร์

Search

Read the Text Version

นครวดั (เขมร: អង្រគ វត្)ត เป็นหมปู่ ราสาทในประเทศกมั พชู าและเป็นศาสนสถานท่ใี หญ่ท่ีสดุ ในโลก[1] ด้วยพนื ้ ทร่ี วมกวา่ 162.6 เฮกเตอร์ (1.6 ล้านตารางเมตร ซงึ่ เทา่ กบั 402 เอเคอร์)[2] แรกเร่ิมนนั้ สร้างขนึ ้ เป็ นเทวลยั ใน ศาสนาฮินดเู พื่ออทุ ศิ แดพ่ ระวษิ ณุ กอ่ นจะคอ่ ยๆเปลยี่ นแปลงกลายเป็ นวดั ในศาสนาพทุ ธในชว่ งปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 12[3] นครวดั สร้างขนึ ้ ในชว่ งต้นของคริสศตวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าสรู ยวรรมนั ท่ี 2[4] แหง่ เมอื งยโสธรปรุ ะ (ในปัจจบุ นั คอื เมอื งพระนคร) ซง่ึ เป็ นเมืองหลวงของจกั รวรรดิเขมร สร้างขนึ ้ เพอื่ ให้เป็ นเทวลยั ประจารฐั และเป็ นสสุ านฝังพระศพ ถือเป็ น การเปลยี่ นแปลงการนบั ถอื ในลทั ธิไศวนกิ ายของกษตั ริย์องค์กอ่ นๆ เหตเุ พราะนครวดั นนั้ สร้างขนึ ้ เพอื่ อทุ ศิ แดพ่ ระวษิ ณุ แทนท่จี ะเป็ นพระศวิ ะ และเนือ่ งจากเป็ นปราสาททไี่ ด้รับการอนรุ ักษ์ดีท่สี ดุ ในบริเวณทตี่ งั้ โดยรอบ นครวดั จึงเป็ นปราสาท เพยี งแหง่ เดียวทยี่ งั คงความเป็ นศนู ย์กลางทางศาสนาทมี่ คี วามสาคญั มาตงั้ แตเ่ ริ่มกอ่ สร้าง โดยนครวดั ถือจดุ สงู สดุ ของ รูปแบบการสร้างสถาปัตยกรรมเขมรแบบดงั้ เดิม และได้กลายเป็ นสญั ลกั ษณ์ของประเทศกมั พชู า[5] มกี ารปรากฏอยบู่ นธง ชาติ และได้เป็ นสถานทที่ อ่ งเที่ยวของประเทศกมั พชู าทม่ี คี วามสาคญั ที่สดุ ในหมนู่ กั ทอ่ งเทย่ี ว[6] นครวดั ได้รวมเอาการวางผงั พนื ้ ฐานในสถาปัตยกรรมเขมรสองแบบมาใช้ประกอบเข้าด้วยกนั ซงึ่ ก็ได้แก่ ผงั การสร้าง ปราสาทให้เสมือนภเู ขา (ปราสาทบนฐานชนั้ ) และการสร้างปราสาทแบบมีระเบยี งคดทีม่ ีภาพสลกั การสร้างปราสาท รูปแบบนไี ้ ด้สอื่ ถงึ เขาพระสเุ มรุ ซง่ึ เป็ นสถานทที่ สี่ ถติ ของเทพเทวญั ในปกรณมั ของศาสนาฮินดู ด้านนอกมคี นู า้ และกาแพง ล้อม ความยาวรวมกวา่ 3.6 กิโลเมตร โดยตวั ปราสาทประกอบด้วยระเบยี งคดสเ่ี หลย่ี มทีม่ ีภาพสลกั ทงั้ หมดสามชนั้ แตล่ ะ ชนั้ ตงั้ อยสู่ งู กวา่ ชนั้ ลา่ ง ตรงกลางของปราสาทคอื พระปรางค์ทมี่ ที งั้ หมด 5 ยอด นครวดั มคี วามแตกตา่ งจากปราสาทใน พระนครปราสาทอนื่ ๆ เน่ืองจากมกี ารหนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ตก ซง่ึ นกั วชิ าการตา่ งก็มคี วามเหน็ ทแ่ี ตกตา่ งออกไปในเร่ือง นยั ยะของการสร้างในลกั ษณะนี ้นครวดั ยงั ได้รับการยกยอ่ งในด้านความงามและความกลมกลนื ของตวั สถาปัตยกรรม อาทิ ภาพสลกั นนู ตา่ ทใี่ หญ่โต รวมถึงภาพเทวดาท่มี กี ารตกแตง่ ตามผนงั เป็ นจานวนมาก

ประวตั ิ นครวดั ตงั้ อยทู่ างทศิ เหนอื ของเมอื งเสยี มราฐในปัจจบุ นั หา่ งออกไป 5.5 กิโลเมตรจากตวั เมอื ง แตห่ ากวดั จากเมืองหลวง กอ่ นหน้าซงึ่ มีศนู ย์กลางอยทู่ ่ปี ราสาทบาปวน นครวดั จะมีระยะหา่ งจากเมืองหลวงเดิมเพยี งเลก็ น้อยเทา่ นนั้ โดยนครวดั จะ ตงั้ อยทู่ างทศิ ใต้เยอื ้ งไปทางทศิ ตะวนั ออกเลก็ น้อย และถือเป็ นปราสาทท่ีตงั้ อยทู่ างตอนใต้สดุ ของบริเวณเมืองพระนคร ตามตานานแล้ว การกอ่ สร้างปราสาทนครวดั นนั้ สร้างขนึ ้ ตามคาสง่ั ของพระอนิ ทร์ ซงึ่ ต้องการสร้างปราสาทนใี ้ ห้เป็ นวงั ท่ี ประทบั ของพระโอรสของพระองค์[7] ตามบนั ทกึ ในช่วงคริสศตวรรษที่ 13 ของนกั เดินทางนามวา่ โจว ตากวน ได้ระบวุ า่ มี ผ้คู นบางสว่ นเช่ือกนั วา่ ปราสาทแหง่ นสี ้ ร้างขนึ ้ โดยเทพแหง่ สถาปัตยกรรมศาสตร์ในเวลาเพยี งหนงึ่ คนื [8] การออกแบบในขนั้ ต้นและการกอ่ สร้างตวั ปราสาทเร่ิมต้นขนึ ้ ในชว่ งครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษท่ี 12 ในชว่ งรชั สมยั ของพระ เจ้าสรู ยวรรมนั ที่ 2 (ครองราชย์ในปี ค.ศ. 1113-1150) โดยสร้างขนึ ้ เพอื่ เป็ นปราสาทประจาพระองค์และประจาเมอื งพระ นคร เพอื่ อทุ ศิ ให้แกพ่ ระวษิ ณุ และเนือ่ งจากไมม่ กี ารพบหลกั ฐานทเ่ี ป็ นจารึกสมยั การกอ่ สร้างหรือจารึกสมยั ใหมท่ ่รี ะบวุ า่ ได้ มีการสร้างปราสาทขนึ ้ จงึ ไมส่ ามารถทราบชื่อดงั้ เดมิ ของปราสาทได้ แตอ่ าจเป็ นทรี่ ู้จกั กนั ในชื่อ “ปราสาทวษิ ณโุ ลก” ซงึ่ เป็ นช่ือทต่ี งั้ ตามเทพองค์ประธานของปราสาท คาดกนั วา่ การกอ่ สร้างนา่ จะหยดุ ลงไมน่ านหลงั การสวรรคตของพระเจ้า สรู ยวรรมนั ท่ี 2 ทาให้ภาพสลกั นนู ตา่ บางสว่ นนนั้ ยงั แกะสลกั ไมเ่ สร็จสนิ ้ [9] ในปี 1177 หลงั การสวรรคตของพระเจ้า สรุ ยวรรมนั ที่ 2 ราว 27 ปี เมอื งพระนครถกู ยดึ ครองโดยชาวจามทเี่ ป็ นศตั รูเดมิ ของชาวเขมร[10] ภายหลงั จงึ มกี ารฟืน้ ฟู อาณาจกั รขนึ ้ มาอีกครงั้ โดยพระเจ้าชยั วรมนั ที่ 7 ซง่ึ ได้สถาปนาเมอื งหลวงและปราสาทประจาเมอื งแหง่ ใหมข่ นึ ้ คือนครธม และปราสาทบายน ตามลาดบั ซงึ่ อยหู่ า่ งจากนครวดั ไปทางเหนอื ไมก่ ี่กิโลเมตร ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 นครวดั ได้คอ่ ยๆเปลยี่ นแปลงจากศนู ย์กลางด้านจิตใจในศาสนาฮินดไู ปเป็ นศาสนาพทุ ธ ซง่ึ ก็ได้สบื เนือ่ งมาจนถงึ ปัจจบุ นั [3] นครวดั มคี วามแตกตา่ งจากปราสาทอนื่ ในเมืองพระนคร แม้ตวั ปราสาทจะหมด ความสาคญั ลงไปหลงั คริสศตวรรษที่ 16 แตต่ วั ปราสาทกลบั ไมเ่ คยถกู ทงิ ้ ร้างอยา่ งสมบรู ณ์เลย ซง่ึ ตา่ งจากปราสาทหลงั อ่นื ๆในเมอื งพระนคร ปราสาทแหง่ นไี ้ ด้รับการปกป้ องจากการรุกลา้ ของป่ าเนื่องด้วยข้อเทจ็ จริงทวี่ า่ คนู า้ รอบปราสาทนนั้ ได้ สามารถทาหน้าทปี่ ้ องกนั ตวั ปราสาทได้[11] หนง่ึ ในชาวตะวนั ตกคนแรกๆทไี่ ด้พบเห็นนครวดั คือ แอนโตนโิ อ ดา มาดาลนี า นกั บวชชาวโปรตเุ กส ผ้เู ดินทางมาถึงในปี 1586 และกลา่ วเอาไว้วา่ นครวดั คือ “สง่ิ ก่อสร้างทน่ี า่ พศิ วง ซงึ่ ไมส่ ามารถอธิบายมนั ออกมาผา่ นปลายปากกาได้ ทีส่ าคญั คอื ปราสาทหลงั นไี ้ มเ่ หมอื นสง่ิ กอ่ สร้างใดๆบนโลกนเี ้ลย ปราสาทมียอดหลายยอด มกี ารตกแตง่ และมคี วามวจิ ิตรทมี่ เี พยี ง คนอจั ฉริยะเทา่ นนั้ ทจี่ ะสามารถสร้างสรรค์ออกมาได้เช่นนี”้ [12]

ในชว่ งคริสต์ศตวรรษท่ี 17 นครวดั ไมไ่ ด้ถกู ทงิ ้ ร้างโดยสมบรู ณ์ ยงั คงทาหน้าทเี่ ป็ นวดั ในศาสนาพทุ ธอยเู่ ช่นเดิม มีการค้นพบ ศลิ าจารึกท่ีมีอายอุ ยใู่ นชว่ งคริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 กวา่ 14 หลกั ในบริเวณพนื ้ ที่เมอื งพระนคร ระบถุ งึ ผ้แู สวงบญุ ชาวญี่ป่ นุ ซง่ึ เป็ นผ้แู สวงบญุ ในศาสนาพทุ ธทไี่ ด้มาตงั้ ชมุ ชนเล็กๆตดิ กบั ชาวเขมรท้องถิ่น[13] โดยในตอนนนั้ ชาวญ่ีป่ นุ ทม่ี าเยือนนครวดั คดิ วา่ ปราสาทแหง่ นคี ้ ือสวนของวดั เชตวนั มหาวิหารอนั เลอ่ื งชื่อของพระพทุ ธเจ้า ซงึ่ แท้จริงแล้วตงั้ อยใู่ นแคว้นมคธ ประเทศ อินเดยี [14] โดยจารึกทเี่ ป็ นทีร่ ู้จกั กนั มากทส่ี ดุ คอื จารึกเร่ืองราวของอกู นดายุ คาซฟู สู ะ นกั แสวงบญุ ผ้ไู ด้เฉลมิ ฉลองวนั ขนึ ้ ปี ใหมเ่ ขมรท่ีนครวดั ในปี ค.ศ. 1632[15] ในช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษท่ี 19 ออ็ งรี มโู อ นกั สารวจและนกั ธรรมชาตวิ ิทยาชาวฝรั่งเศสได้เดินทางมาที่ปราสาทแหง่ นี ้ โดยมโู อได้ทาให้นครวดั เป็ นทีร่ ู้จกั กนั ในหมชู่ าวตะวนั ตกผา่ นบนั ทกึ การเดนิ ทางทไ่ี ด้รับการตพี มิ พ์ของเขา เขาได้เขียนไว้วา่ หนงึ่ ในปราสาทเหลา่ นี ้ซง่ึ นา่ จะเป็ นคปู่ รับกบั วิหารโซโลมอน ถกู สร้ างสรรค์โดยมเี กลนั เจโลแหง่ ยคุ โบราณ อาจจะเป็ น สถานท่ีทน่ี า่ ยกยอ่ งพอๆกบั สงิ่ กอ่ สร้างทีง่ ดงามของพวกเรา ยงิ่ ใหญ่กวา่ สงิ่ ใดๆทก่ี รีกหรือโรมนั ทงิ ้ เอาไว้ แตก่ ช็ า่ งขดั แย้ง อยา่ งนา่ เศร้ากบั ดนิ แดนทเ่ี สอื่ มอานาจจนกลายเป็ นแดนป่ าเถื่อนไปแล้ว[16] เชน่ เดียวกนั กบั ชาวตะวนั ตกกลมุ่ แรกทีพ่ บเหน็ นครวดั มโู อนนั้ แทบจะไมเ่ ช่ือวา่ ชาวเขมรจะสามารถสร้างปราสาทหลงั นไี ้ ด้ และได้กาหนดอายสุ มยั ของนครวดั เอาไว้อยา่ งผดิ พลาด โดยระบวุ า่ นา่ จะอยใู่ นชว่ งยคุ สมยั เดยี วกนั กบั กรุงโรม ประวตั ทิ ี่ แท้จริงของนครวดั ได้รับจากเพยี งแคห่ ลกั ฐานด้านรูปแบบการสร้างและจารึกท่ีถกู รวบรวมขนึ ้ ในระหวา่ งการเก็บกวาดและ บรู ณะพนื ้ ท่ีในชว่ งหลงั ที่มกี ารดาเนนิ การในพนื ้ ท่ีทงั้ หมดของเมืองพระนคร ในการบรู ณะพนื ้ ท่ีนนั้ ไมม่ กี ารค้นพบร่องรอย การตงั้ ถิ่นฐานหรือท่ีพกั อาศยั ทว่ั ไปเลย ทงั้ นยี ้ งั รวมไปถึงอปุ กรณ์ประกอบอาหาร อาวธุ หรือสง่ิ ของทีเ่ กย่ี วข้องกบั การแตง่ กายซงึ่ มกั จะพบเจอในบริเวณเขตเมอื งโบราณ แตถ่ งึ อยา่ งนนั้ หลกั ฐานทคี่ ้นพบก็คอื สงิ่ กอ่ สร้างทงั้ หลายนนั่ เอง[17] ในช่วงศตวรรษท่ี 20 นนั้ นครวดั มีความจาเป็ นต้องได้รับการบรู ณะเป็ นอยา่ งมาก ซงึ่ เป็ นการกาจดั วชั พืชและกองดนิ เสยี สว่ นใหญ่[18] แตง่ านบรู ณะกต็ ้องหยดุ ชะงกั ลงเนอื่ งจากเกิดสงครามกลางเมอื งในประเทศกมั พชู าและกองกาลงั เขมรแดง ก็ได้เข้ามาควบคมุ ประเทศตลอดในชว่ งปี ทศวรรษท่ี 1970 ถึงทศวรรษท่ี 1980 แตต่ ลอดระยะเวลานนั้ ตวั ปราสาทก็ได้รับ ความเสยี หายไมม่ ากนกั กองกาลงั เขมรแดงท่ตี ้องพกั แรมได้ใช้ไม้ทกุ ชนิดทเี่ หลอื อยู่ในปราสาทเพื่อเป็ นฟืน หนงึ่ ในโคปรุ ะ ในพนื ้ ทนี่ นั้ ถกู ทาลายลงด้วยปลอกระเบิดของทหารฝ่ังสหรัฐอเมริกา ในขณะทีก่ ารยงิ ตอบโต้กนั ของกองกาลงั เขมรแดงและ ทหารเวยี ดนามก็ได้สร้างร่องรอยกระสนุ เลก็ น้อยบนภาพสลกั นนู ตา่ ความเสยี หายทีร่ ุนแรงกวา่ เกิดขนึ ้ ภายหลงั สงครามยตุ ิ ลง โดยเหลา่ หวั ขโมยงานศลิ ปะทปี่ ฏบิ ตั กิ ารกนั นอกประเทศไทย ซง่ึ ในชว่ งปลายของทศวรรษท่ี 1980 ถงึ ชว่ งต้นทศวรรษท่ี

1990 ได้อ้างสทิ ธิ์ครอบครองพระเศียรแทบทกุ ชิน้ ท่ีสามารถตดั ออกจากสว่ นพระศอทงั้ จากประตมิ ากรรมและจากงาน บรู ณะได้[19] ปราสาทแหง่ นถี ้ ือเป็ นสญั ลกั ษณ์ทม่ี อี ิทธิพลที่สดุ ของประเทศกมั พชู า และยงั เป็ นความภาคภมู ใิ จของชาตทิ ีม่ ีสว่ นช่วยใน เร่ืองความสมั พนั ธ์ทางการทตู กบั ประเทศฝร่ังเศส สหรัฐอเมริกาและประเทศเพือ่ นบ้านอยา่ งประเทศไทย ภาพลายเส้นของ นครวดั ยงั ถกู ใช้เป็ นสว่ นหนงึ่ ของธงชาติกมั พชู ามานบั ตงั้ แต่ ค.ศ. 1863[20] ซง่ึ เป็ นธงรุ่นแรกทใ่ี ช้ภาพของนครวดั บนตวั ธง อยา่ งไรก็ตาม หากดจู ากมมุ มองทางด้านวฒั นธรรมข้ามชาตหิ รือแม้แตท่ างด้านประวตั ศิ าสตร์ให้กว้างขนึ ้ ก็จะพบวา่ นครวดั นนั้ ไมไ่ ด้กลายมาเป็ นสญั ลกั ษณ์แหง่ ความภาคภมู ใิ จของชาติกมั พชู าเพยี งชาตเิ ดยี ว แต่นครวดั ยงั ถกู จดจาด้วย กระบวนการด้านวฒั นธรรมการเมอื งที่เกิดจากมรดกทีต่ กทอดมาของจกั รวรรดอิ าณานิคมฝร่ังเศส โดยได้มีการจดั แสดง ปราสาทนครวดั ท่ีจาลองไว้ในนิทรรศการของอาณานคิ มฝรั่งเศสทป่ี ารีสและมาร์แซย์ระหวา่ งปี ค.ศ. 1889 ถึงปี ค.ศ. 1937[21] และความงดงามของนครวดั ยงั ถกู จดั แสดงในรูปแบบแมพ่ มิ พ์ปนู พลาสเตอร์ทพี่ ิพิธภณั ฑ์ของหลยุ ส์ เดอลา ปอร์ตท่ีชื่อวา่ พิพิธภณั ฑ์อินโดจีนแหง่ ตรอกาเดโร ซงึ่ จดั แสดงอยใู่ นวงั พาริเซนิ ตรอกาเดโล ให้ชาวฝร่ังเศสได้ช่ืนชมในความ เกรียงไกรของการแผข่ ยายอาณานิคมของตนตงั้ แตช่ ว่ ง ค.ศ. 1880 ถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 20[22] ตานานเก่ียวกบั ความงามด้านศลิ ปะของนครวดั และสง่ิ ก่อสร้างอน่ื ๆในเขตเมืองพระนคร ได้สง่ ผลโดยตรงตอ่ การทฝ่ี ร่ังเศส เลอื กประเทศกมั พชู าเป็ นรัฐในอารักขาเมอ่ื วนั ท่ี 11 สงิ หาคม ค.ศ. 1863 และเริ่มบกุ รุกสยาม เพ่อื หวงั เข้ามาควบคมุ และ จดั การโบราณสถานตา่ งๆ การกระทาดงั กลา่ วได้สง่ ผลให้ประเทศกมั พชู าอ้างสทิ ธ์ิในการครอบครองดนิ แดนทางด้านทิศ ตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของประเทศ คนื จากการครอบครองของสยามอีกครัง้ หนง่ึ ซงึ่ ดนิ แดนดงั กลา่ วได้อยภู่ ายใต้การปกครอง ของสยามมานบั ตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1351 หรือตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1431[23] ตามทบ่ี นั ทกึ บางชิน้ ได้อ้างถงึ กมั พชู าได้รับอสิ รภาพคนื จากฝรั่งเศสในวนั ท่ี 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 และได้เข้ามาดแู ลปราสาทนครวดั มานบั แตน่ นั้ เป็ นต้นมา อาจกลา่ วได้วา่ นบั ตงั้ แตช่ ว่ งทป่ี ระเทศตกเป็ นอาณานิคมเรื่อยมาจนถึงชว่ งที่นครวดั ได้รับการเสนอช่ือให้เป็ นมรดกโลกของยเู นสโกในปี ค.ศ. 1992 ตวั ปราสาทนครวดั นนั้ เป็ นสว่ นสาคญั ในโครงสร้างแหง่ ยคุ สมยั ใหม่ และช่วยเผยแพร่แนวคิดเร่ืองมรดกทาง วฒั นธรรมประเภทสงิ่ ปลกู สร้างได้อยา่ งคอ่ ยเป็ นคอ่ ยไป[24] ในเดือนธนั วาคม ค.ศ. 2015 ได้มีการประกาศวา่ ทมี วจิ ยั จากมหาวิทยาลยั ซดิ นยี ์ได้ค้นพบกลมุ่ ซากปราสาทฝังอยใู่ ต้ดนิ ซงึ่ ยงั ไมเ่ คยมกี ารค้นพบมากอ่ น โดยคาดวา่ มีการสร้างและพงั ทลายลงในชว่ งการก่อสร้างนครวดั เช่นเดียวกบั ป้ อมปราการที่ ทาจากไม้และสงิ่ ก่อสร้างขนาดใหญ่ทางทิศใต้ท่ยี งั ไมร่ ู้จดุ ประสงค์ของการสร้าง การค้นพบครงั้ นยี ้ งั รวมไปถงึ การค้น หลกั ฐานเร่ืองการตงั้ ถ่ินทอี่ ยขู่ องผ้คู นที่ไมไ่ ด้หนาแนน่ นกั รวมไปถงึ การตดั ถนนแบบตาราง สระนา้ และคนั ดนิ ซงึ่ ได้ ชีใ้ ห้เห็นวา่ บริเวณของปราสาททแี่ ม้จะมกี ารล้อมอาณาเขตด้วยคนู า้ และกาแพงนนั้ ก็อาจจะไมไ่ ด้เป็ นสถานทท่ี ่ถี กู จากดั เอาไว้ให้คนชนชนั้ สงู ทเี่ ป็ นนกั บวชเพียงอยา่ งเดียวดงั ทเี่ คยสนั นิษฐานไว้ในตอนแรก ทีมวจิ ยั ยงั ได้ใช้ไลดาร์ ให้สญั ญาณ เรดาร์ทะลทุ ะลวงลงไปในพนื ้ ดินและพนื ้ ท่ขี ดุ ค้นทส่ี นใจเพ่ือทาแผนที่ของนครวดั ขนึ ้ [25]

สถาปัตยกรรม นครวดั เป็ นสงิ่ กอ่ สร้างท่โี ดดเดน่ ด้วยการรวมเอาลกั ษณะการสร้างปราสาทให้เสมอื นภเู ขา (แบบแผนของการออกแบบ ปราสาทของอาณาจกั ร) เข้ากบั แบบผงั ของอาคารในสมยั หลงั ทม่ี กี ารทาระเบยี งคดล้อมจดุ ศนู ย์กลาง การกอ่ สร้างนครวดั ยงั ได้บง่ บอกให้ทราบวา่ ปราสาทยงั มนี ยั ยะสาคญั เกีย่ วข้องกบั ท้องฟ้ าเนือ่ งด้วยองค์ประกอบบางสว่ นของตวั ปราสาท นยั ยะดงั กลา่ วคือในบริเวณด้านทศิ ตะวนั ออกและตะวนั ตกของปราสาท ซงึ่ ระเบยี งภายในได้มกี ารออกแบบให้เชื่อมตอ่ เข้าหา กนั โดยปราศจากสง่ิ กาบงั สง่ ผลให้ปราสาททงั้ สองทศิ ตงั้ อยใู่ นตาแหนง่ เดยี วกนั กบั พระอาทติ ย์ท่ขี นึ ้ ช่วงวนั อายัน[26] ปราสาทแหง่ นคี ้ ืออาคารที่สอื่ ถึงเขาพระสเุ มรุอนั เป็ นทสี่ ถิตของเทพเจ้า โดยปรางค์ประธานตรงกลางทงั้ ห้านนั้ เป็ น สญั ลกั ษณ์แทนถึงยอดห้ายอดของภเู ขา สว่ นกาแพงแตล่ ะชนั้ และคนู า้ นนั้ ก็แทนถงึ เขาสตั บริภณั ฑ์และมหาสมทุ ร[27] แต่ เดมิ พนื ้ ที่สว่ นบนของปราสาทนนั้ ถกู จากดั สิทธิการเข้าถงึ มาโดยตลอด ผ้ทู ่เี ป็ นฆราวาสจึงถกู จากดั ให้อยแู่ คบ่ ริเวณสว่ นลา่ ง ของปราสาทเทา่ นนั้ [28] นครวดั มคี วามแตกตา่ งจากปราสาทเขมรหลงั อื่นในเร่ืองของการวางทิศประธานที่หนั ไปทางทิศตะวนั ตกแทนทจ่ี ะเป็ นทิศ ตะวนั ออก ความตา่ งนไี ้ ด้สง่ ผลให้ผ้คู นจานวนมาก (รวมไปถงึ มอริส เกรซ และ ยอร์ช เซเดส์) ออกมาสรุปวา่ พระเจ้าสุ ริยวรรมนั นนั้ ประสงค์ทจ่ี ะสร้างปราสาทแหง่ นขี ้ นึ ้ ให้เป็ นปราสาททเ่ี ก็บพระบรมศพของพระองค์[29][30] แนวคดิ นไี ้ ด้รับการ สนบั สนนุ จากหลกั ฐานอ่นื ๆ ทไ่ี ด้จากการศกึ ษาภาพสลกั นนู ตา่ ท่ีเรียงลาดบั เร่ืองราวในทิศทวนเข็มนาฬกิ า ซงึ่ ตา่ งไปจาก เทวสถานฮินดทู วั่ ไป โดยพธิ ีกรรมตา่ งๆ ของพราหมณ์ในพธิ ีพระบรมศพก็ยงั จดั ขนึ ้ แบบย้อนลาดบั อกี ด้วย[18] นกั โบราณคดี ชาร์ล ไฮแฮม ยงั ได้อธิบายถงึ ภาชนะชิน้ หนง่ึ วา่ มคี วามเป็ นไปได้วา่ จะเป็ นพระโกศบรรจพุ ระบรมอฐั ิ โดยภาชนะ นถี ้ กู ขดุ ขนึ ้ มาจากปรางค์ประธานตรงกลาง[31] โดยบคุ คลบางกลมุ่ ได้เสนอแนวคดิ ทีว่ า่ ปรางค์ประธานตรงกลางนนั้ เหมาะสมทสี่ ดุ ในการทาพธิ ีจดั การกบั พระบรมศพ เพราะเช่ือกนั วา่ เปรียบเสมอื นศนู ย์รวมของพลงั อานาจทงั้ ปวง[32] อยา่ งไรกต็ าม นกั วชิ าการบางคนได้ระบวุ า่ ปราสาทหลายหลงั ในเมอื งพระนครเองก็ไมไ่ ด้หนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ออกตาม ธรรมเนยี มเสยี หมด และได้เสนอวา่ การทนี่ ครวดั มีการวางทศิ เชน่ นกี ้ ็เพราะปราสาทหลงั นสี ้ ร้างขนึ ้ เพ่อื อทุ ศิ แดพ่ ระวษิ ณุ ซงึ่ เป็ นเทพเจ้าประจาทิศตะวนั ตก[27] เอเลนอร์ แมนนิกกาได้นาเสนอการตคี วามนครวดั ในแบบทแ่ี ตกตา่ งออกไป โดยได้วิเคราะห์จากการวางทศิ มติ ิของอาคาร และจากลาดบั การเลา่ เรื่องและเนอื ้ หาของภาพสลกั นนู ตา่ เธอได้แย้งวา่ ปราสาทแหง่ นไี ้ ด้อ้างถงึ ยคุ สมยั ใหมแ่ หง่ ความ สงบสขุ ในรัชสมยั ของพระเจ้าสรุ ิยวรรมนั ท่ี 2 โดยได้ระบวุ า่ “เนือ่ งจากมกี ารคานวณวงจรเวลาการขนึ ้ ของพระอาทติ ย์และ พระจนั ทร์ไว้ในพนื ้ ที่ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิของนครวดั ภาพเทพเทวดาผ้อู ยใู่ นอาณตั ขิ องการปกครองจึงได้ปรากฏอยบู่ นตวั เรือนธาตุ และเฉลยี ง สอ่ื ความหมายถงึ ปกปักษ์ให้อานาจของกษัตริย์เป็ นนจิ นริ ันดร เป็ นการเฉลมิ พระเกียรติและสร้างความสงบแก่ เหลา่ เทวดาทปี่ ระทพั อยบู่ นสรวงสวรรค์”[33][34] ข้อเสนอของแมนนิกกานนั้ ได้มอบทงั้ ความสนใจและข้อแคลงใจในแวด วงวิชาการ[31] เธอได้ฉีกหนีข้อสนั นษิ ฐานของนกั วิชาการคนอนื่ ๆ อาทิ แกรแฮม แฮนคอก ด้วยข้อสนั นษิ ฐานทวี่ า่ นครวดั นนั้ คือสง่ิ หนงึ่ ท่แี สดงถึงกลมุ่ ดาวมงั กร[35]

นครวดั ถือเป็ นตวั อยา่ งของสถาปัตยกรรมเขมรรูปแบบคลาสสคิ ทสี่ าคญั ทีส่ ดุ ซงึ่ ชื่อเรียกรูปแบบศลิ ปะในสมยั คลาสสคิ นยี ้ งั เรียกกนั วา่ “ศลิ ปะนครวดั ” อีกด้วย ในชว่ งคริสต์ศตวรรษท่ี 12 นนั้ สถาปนิกเขมรได้มีทงั้ ทกั ษะความสามารถและความ มน่ั ใจในการใช้หินทรายเป็ นวสั ดโุ ครงสร้างหลกั ของอาคาร (จากเดมิ ทใ่ี ช้อฐิ หรือศิลาแลงในการก่อสร้าง) สว่ นของปราสาท ท่มี องเห็นได้นนั้ ทามาจากหนิ ทรายทีม่ กี ารตดั เป็ นบลอ็ ก ในขณะทกี่ าแพงภายนอกและโครงสร้างภายในนนั้ ทาจากศิลา แลงแตใ่ ช้บลอ็ กหินทรายปิดบงั เอาไว้ภายนอก ยงั ไมม่ กี ารชีช้ ดั วา่ วสั ดทุ ใ่ี ช้เช่ือมหนิ แตล่ ะก้อนให้ตดิ กนั นนั้ คืออะไร แม้จะมี จะมีการเสนอวา่ เป็ นยางไม้และนา้ ปนู ใสมาโดยตลอดก็ตาม[36] ปราสาทแหง่ นไี ้ ด้รับการยกยอ่ งเหนือปราสาทหลงั อื่นๆ เนื่องด้วยความกลมกลนื ของการออกแบบ มอริส เกรซ นกั อนรุ ักษ์ ของปราสาทนครวดั ในชว่ งศตวรรษท่ี 20 ได้ระบวุ า่ ปราสาทหลงั นี ้“ได้บรรลถุ งึ ความสมบรู ณ์แบบที่คลาสสกิ ด้วยการเป็ น อนสุ รณ์แหง่ องค์ประกอบทมี่ ีความพอดอี ยา่ งประณีต มกี ารจดั สดั สว่ นทีแ่ มน่ ยา เป็ นผลงานที่เป่ียมไปด้วยพลงั มีความเป็ น หนงึ่ เดยี ว และเตม็ ไปด้วยลลี า”[37]

สถาปัตยกรรม นครวดั เป็ นสงิ่ ก่อสร้างทีโ่ ดดเดน่ ด้วยการรวมเอาลกั ษณะการสร้างปราสาทให้เสมือนภเู ขา (แบบแผนของการออกแบบ ปราสาทของอาณาจกั ร) เข้ากบั แบบผงั ของอาคารในสมยั หลงั ท่มี กี ารทาระเบียงคดล้อมจดุ ศนู ย์กลาง การก่อสร้างนครวดั ยงั ได้บง่ บอกให้ทราบวา่ ปราสาทยงั มีนยั ยะสาคญั เก่ียวข้องกบั ท้องฟ้ าเนือ่ งด้วยองค์ประกอบบางสว่ นของตวั ปราสาท นยั ยะดงั กลา่ วคอื ในบริเวณด้านทศิ ตะวนั ออกและตะวนั ตกของปราสาท ซงึ่ ระเบยี งภายในได้มกี ารออกแบบให้เช่ือมตอ่ เข้าหา กนั โดยปราศจากสงิ่ กาบงั สง่ ผลให้ปราสาททงั้ สองทศิ ตงั้ อยใู่ นตาแหนง่ เดยี วกนั กบั พระอาทติ ย์ทีข่ นึ ้ ช่วงวนั อายนั [26] ปราสาทแหง่ นคี ้ ืออาคารที่สอ่ื ถงึ เขาพระสเุ มรุอนั เป็ นทส่ี ถิตของเทพเจ้า โดยปรางค์ประธานตรงกลางทงั้ ห้านนั้ เป็ น สญั ลกั ษณ์แทนถงึ ยอดห้ายอดของภเู ขา สว่ นกาแพงแตล่ ะชนั้ และคนู า้ นนั้ ก็แทนถงึ เขาสตั บริภณั ฑ์และมหาสมทุ ร[27] แต่ เดมิ พนื ้ ที่สว่ นบนของปราสาทนนั้ ถกู จากดั สทิ ธิการเข้าถงึ มาโดยตลอด ผ้ทู ่ีเป็ นฆราวาสจึงถกู จากดั ให้อยแู่ คบ่ ริเวณสว่ นลา่ ง ของปราสาทเทา่ นนั้ [28] นครวดั มคี วามแตกตา่ งจากปราสาทเขมรหลงั อื่นในเรื่องของการวางทิศประธานที่หนั ไปทางทิศตะวนั ตกแทนทจ่ี ะเป็ นทิศ ตะวนั ออก ความตา่ งนไี ้ ด้สง่ ผลให้ผ้คู นจานวนมาก (รวมไปถึงมอริส เกรซ และ ยอร์ช เซเดส)์ ออกมาสรุปวา่ พระเจ้าสุ ริยวรรมนั นนั้ ประสงค์ทจี่ ะสร้างปราสาทแหง่ นขี ้ นึ ้ ให้เป็ นปราสาททเี่ ก็บพระบรมศพของพระองค์[29][30] แนวคิดนไี ้ ด้รับ การสนบั สนนุ จากหลกั ฐานอ่นื ๆ ท่ีได้จากการศกึ ษาภาพสลกั นนู ตา่ ท่ีเรียงลาดบั เรื่องราวในทศิ ทวนเขม็ นาฬิกา ซง่ึ ตา่ งไป จากเทวสถานฮินดทู ว่ั ไป โดยพิธีกรรมตา่ งๆ ของพราหมณ์ในพธิ ีพระบรมศพก็ยงั จดั ขนึ ้ แบบย้อนลาดบั อีกด้วย[18] นกั โบราณคดี ชาร์ล ไฮแฮม ยงั ได้อธิบายถงึ ภาชนะชิน้ หนง่ึ วา่ มคี วามเป็ นไปได้วา่ จะเป็ นพระโกศบรรจพุ ระบรมอฐั ิ โดยภาชนะ นถี ้ กู ขดุ ขนึ ้ มาจากปรางค์ประธานตรงกลาง[31] โดยบคุ คลบางกลมุ่ ได้เสนอแนวคดิ ที่วา่ ปรางค์ประธานตรงกลางนนั้ เหมาะสมที่สดุ ในการทาพธิ ีจดั การกบั พระบรมศพ เพราะเช่ือกนั วา่ เปรียบเสมอื นศนู ย์รวมของพลงั อานาจทงั้ ปวง[32] อยา่ งไรก็ตาม นกั วิชาการบางคนได้ระบวุ า่ ปราสาทหลายหลงั ในเมืองพระนครเองก็ไมไ่ ด้หนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ออกตาม ธรรมเนยี มเสยี หมด และได้เสนอวา่ การท่นี ครวดั มีการวางทศิ เช่นนกี ้ ็เพราะปราสาทหลงั นสี ้ ร้างขนึ ้ เพอ่ื อทุ ิศแดพ่ ระวษิ ณุ ซง่ึ เป็ นเทพเจ้าประจาทิศตะวนั ตก[27] เอเลนอร์ แมนนิกกาได้นาเสนอการตคี วามนครวดั ในแบบทแี่ ตกตา่ งออกไป โดยได้วเิ คราะห์จากการวางทศิ มิติของอาคาร และจากลาดบั การเลา่ เรื่องและเนอื ้ หาของภาพสลกั นนู ตา่ เธอได้แย้งวา่ ปราสาทแหง่ นไี ้ ด้อ้างถงึ ยคุ สมยั ใหมแ่ หง่ ความ สงบสขุ ในรัชสมยั ของพระเจ้าสรุ ิยวรรมนั ที่ 2 โดยได้ระบวุ า่ “เนื่องจากมีการคานวณวงจรเวลาการขนึ ้ ของพระอาทติ ย์และ พระจนั ทร์ไว้ในพืน้ ทศี่ กั ด์ิสทิ ธ์ิของนครวดั ภาพเทพเทวดาผ้อู ยใู่ นอาณตั ขิ องการปกครองจงึ ได้ปรากฏอยบู่ นตวั เรือนธาตุ และเฉลยี ง สอ่ื ความหมายถงึ ปกปักษ์ให้อานาจของกษตั ริย์เป็ นนจิ นริ ันดร เป็ นการเฉลมิ พระเกยี รตแิ ละสร้างความสงบแก่ เหลา่ เทวดาทีป่ ระทพั อยบู่ นสรวงสวรรค์”[33][34] ข้อเสนอของแมนนกิ กานนั้ ได้มอบทงั้ ความสนใจและข้อแคลงใจในแวด

วงวชิ าการ[31] เธอได้ฉีกหนีข้อสนั นิษฐานของนกั วชิ าการคนอ่ืนๆ อาทิ แกรแฮม แฮนคอก ด้วยข้อสนั นษิ ฐานทวี่ า่ นครวดั นนั้ คอื สงิ่ หนง่ึ ท่แี สดงถงึ กลมุ่ ดาวมงั กร[35] ภาพนครวดั จากมมุ มองด้านข้าง นครวดั ถือเป็ นตวั อยา่ งของสถาปัตยกรรมเขมรรูปแบบคลาสสคิ ทส่ี าคญั ทส่ี ดุ ซง่ึ ช่ือเรียกรูปแบบศลิ ปะในสมยั คลาสสคิ นยี ้ งั เรียกกนั วา่ “ศลิ ปะนครวดั ” อกี ด้วย ในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 12 นนั้ สถาปนกิ เขมรได้มีทงั้ ทกั ษะความสามารถและความ มนั่ ใจในการใช้หนิ ทรายเป็ นวสั ดโุ ครงสร้างหลกั ของอาคาร (จากเดมิ ทใ่ี ช้อฐิ หรือศิลาแลงในการกอ่ สร้าง) สว่ นของปราสาท ท่มี องเหน็ ได้นนั้ ทามาจากหนิ ทรายท่มี กี ารตดั เป็ นบลอ็ ก ในขณะทีก่ าแพงภายนอกและโครงสร้างภายในนนั้ ทาจากศลิ า แลงแตใ่ ช้บลอ็ กหินทรายปิดบงั เอาไว้ภายนอก ยงั ไมม่ กี ารชีช้ ดั วา่ วสั ดทุ ี่ใช้เชื่อมหินแตล่ ะก้อนให้ตดิ กนั นนั้ คืออะไร แม้จะมี จะมีการเสนอวา่ เป็ นยางไม้และนา้ ปนู ใสมาโดยตลอดก็ตาม[36] ปราสาทแหง่ นไี ้ ด้รับการยกยอ่ งเหนอื ปราสาทหลงั อนื่ ๆ เนอ่ื งด้วยความกลมกลนื ของการออกแบบ มอริส เกรซ นกั อนรุ ักษ์ ของปราสาทนครวดั ในชว่ งศตวรรษที่ 20 ได้ระบวุ า่ ปราสาทหลงั นี ้“ได้บรรลถุ ึงความสมบรู ณ์แบบท่คี ลาสสกิ ด้วยการเป็ น อนสุ รณ์แหง่ องค์ประกอบทม่ี คี วามพอดอี ยา่ งประณีต มีการจดั สดั สว่ นท่ีแมน่ ยา เป็ นผลงานท่ีเปี่ยมไปด้วยพลงั มคี วามเป็ น หนง่ึ เดยี ว และเต็มไปด้วยลลี า”[37]

งานประติมากรรม ทางด้านกาแพงชนั้ นอกรอบปราสาทนนั้ มีความยาวกวา่ 800 เมตร มงี านแกะสลกั เก่ยี วกบั พระราชกรณียกจิ ของพระเจ้าสุ ริยวรมนั ที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลกั ท่มี ีช่ือทสี่ ดุ คอื รูปแกะสลกั การกวนเกษียรสมทุ ร[38] มี รูปแกะสลกั นางอปั สรมากกวา่ 1,796 นาง ทที่ งั้ หมดมเี คร่ืองแตง่ กายและทรงผมทไ่ี มซ่ า้ กนั [39]


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook