4. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของ กราชาและริเอชแมนน์ (Grasha & Riechmann, 1974 ) กราชาและริเอชแมนน์ (Grasha & Riechmann, 1974) ได้เสนอรูปแบบของการเรียนรู้ในลักษณะ ของความชอบและทศั นคติของบคุ คล ในการมปี ฏิสัมพันธก์ ับผสู้ อนและเพื่อนในการเรียนทางวิชาการ เป็น 6 แบบ ดังนี้ 4.1 แบบมสี ่วนรว่ ม (participant) เป็นผู้เรียนทส่ี นใจอยากจะรู้เกย่ี วกับเนอื้ หาของ รายวิชาท่ีเรียน อยากเรียน สนกุ กับการเรยี นในช้ันเรียน และคลอ้ ยตามและติดตามทศิ ทางของการเรียนการ สอน 4.2 แบบหลีกหนี (Avoidant) เป็นผู้เรียนท่ีไม่มีความต้องการท่ีจะรู้เกี่ยวเน้ือหา รายวิชาทีเ่ รยี น ไมช่ อบเข้าชั้นเรยี น ไม่สนใจที่จะเรยี นรู้ รูส้ ึกต่อตา้ นทศิ ทางของการเรียนการสอน 4.3 แบบร่วมมือ (Collaborative) เป็นผู้เรียนท่ีชอบกิจกรรมการเรียนที่ผู้เรียนมี สว่ นรว่ มและการรว่ มมือกัน ชอบการมีปฏิสมั พนั ธ์กนั รสู้ ึกสนกุ ในการทางานกลมุ่ 4.4 แบบแข่งขัน (Competitive) เป็นผู้เรียนท่ีมีลักษณะของการแข่งขันและยึด ตนเองเป็นศูนย์กลาง สนใจแตต่ นเอง และมีแรงจูงใจในการเรียนจากการได้ชนะผอู้ ่ืน สนกุ กับเกม/กีฬาการ ต่อสู้ ชอบกจิ กรรมที่มีการแพ้-ชนะ สนุกในเกมทเี่ ลน่ เป็นกลมุ่ 4.5 แบบอิสระ(Independent) เป็นผู้ที่ทางานด้วยตนเอง สามารถทางานใหเ้ สร็จ สมบูรณ์ ไวต่อการตอบสนอง/โต้ตอบได้รวดเร็ว และมคี วามคิดอสิ ระ เป็นตัวของตัวเอง 4.6 แบบพึ่งพา (Dependent) เป็นผู้ท่ีต้องอาศัยครูให้คาแนะนา ต้องการการ ชว่ ยเหลือ และแรงจูงใจภายนอก (เช่น คาชม รางวัล) ในการจูงใจให้การเรียน ไม่ค่อยไวในการตอบสนอง/ โต้ตอบ มีความกระตือรือร้นในการเรียนไม่มาก และมักจะทาตามความคิดของผู้นา ประโยชน์ของความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ ความรูค้ วามเข้าใจเก่ียวกบั ความแตกต่างระหว่าง บคุ คลในรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้มีประโยชนต์ อ่ ทั้งผู้เรียนและผู้สอน ในแง่การสง่ เสริมการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนใหส้ ามารถเรียนรูไ้ ดเ้ ตม็ ศักยภาพ และมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสูงขึน้ และการจัดการศกึ ษา ได้อยา่ งประสทิ ธิภาพยง่ิ ขนึ้ ก. ประโยชนข์ องความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกับรูปแบบการคิดและรปู แบบการเรียนรู้ ต่อผู้เรียน ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจตนเองและเข้าใจในความแตกต่างระหว่างตนเองและผู้อื่น และใช้ประโยชน์จาก ความรู้ความเข้าใจในจุดเด่นของรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ของตนไปให้เกิดประโยชน์ท้ังต่อการ เรียนทางวิชาการ การเรียนรู้ในสภาพการณ์ทั่วไป และการทางานในอนาคตต่อไป พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไข จุดอ่อนของตนในรปู แบบการคิดและรูปแบบการเรยี นรู้ทีไ่ ม่เคยใช้หรือไม่ค่อยได้ใช้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพ่ือจะได้ เป็นผู้มีรูปแบบการคดิ และรูปแบบการเรยี นรู้หลายรูปแบบ ซ่งึ จะทาให้สามารถเลอื กนาออกมาใชใ้ หเ้ หมาะสม กับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลย่ิงข้ึน ทั้งน้ีเพราะถ้าผู้เรียนท่ียึดม่ันในการใช้ รูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้แบบใดแบบหน่ึงเพียงรูปแบบเดียว ก็จะสามารถเรียนรู้ได้ดีเฉพาะใน บางรายวิชาหรือบางสถานการณ์ ที่สอดคล้องกับการจัดการสอนเท่านั้น แต่ในบางรายวิชาหรือบาง สถานการณ์ ที่ตอ้ งการรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรยี นรทู้ ี่แตกต่างออกไป กจ็ ะเกดิ ความรู้สึกยุ่งยากหรือ อาจเป็นปญั หาการเรียนได้ ข.ประโยชนข์ องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการคดิ และรูปแบบการเรียนรู้ ต่อผู้สอน ความรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกบั ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลในรูปแบบการคดิ และรปู แบบการเรยี นรู้ ทา
ให้นักจิตวิทยาและนักการศึกษาเห็นถึงความจาเป็น ทผ่ี ู้สอนจะต้องปรับสภาพการเรียนการสอน และกลวิธี การสอนใหเ้ ข้ากบั ลักษณะของผเู้ รยี น เพือ่ เพิ่มประสิทธิภาพของการเรยี นการสอน และช่วยให้ผู้เรียนบรรลุถึง จุดมุ่งหมายของการเรียน (Saracho, 1997; Morgan, 1997) โดยผู้สอนควรจะสร้างความสมดุลในการ จัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนทุกคน ด้วยการจัดรูปแบบการเรียนการสอนให้มีความหลากหลายและ ยืดหยุ่น เพื่อสอดรับกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียนท่ีแตกต่างกัน และช่วยให้นักศึกษามีทักษะในการใช้ รูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ท่ีตนชอบมากกว่าและอีกทั้งจัดรูปแบบการเรียนการสอน ท่ีช่วยให้ ผ้เู รียนไดเ้ พ่ิมทักษะการใช้รูปการเรียนที่ตนชอบนอ้ ยกว่าใหส้ ูงขึ้นดว้ ย ดังที่ Robotham (1995) เสนอแนะว่า ในช่วงแรกของการเรียน ผู้สอนควรจัดรูปแบบการสอนให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียน เพราะจะช่วยให้ ผู้เรียนสามารถเรยี นร้สู ง่ิ ใหมไ่ ด้ดีกวา่ และเมอื่ ผ้เู รยี นมคี วามสามารถเพม่ิ ขึ้นแล้ว ผูส้ อนควรใช้รูปแบบการสอน ทไ่ี มส่ อดคล้องกบั รปู แบบการเรียนของผเู้ รยี น เพอ่ื ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนได้พัฒนารปู แบบการเรียนของตนใหก้ ว้าง ขนึ้ และจะได้สามารถใชเ้ ลือกรูปแบบการเรียนใหเ้ หมาะสมกบั งานท่ีแตกตา่ งได้ตอ่ ไป โดยไม่ติดยึดกบั รปู แบบ การเรียนแบบใดแบบหนึ่งเพียงแบบเดียว นอกจากนี้ผู้สอนยังสามารถนาความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความ แตกต่างระหว่างบุคคล ในรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ ไปใช้ในการออกแบบหลักสูตร การเขียน ตารา การพฒั นาชุดการสอนด้วยคอมพวิ เตอร์ และออกแบบวธิ สี อน เพ่ือชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรูไ้ ด้อย่าง เต็มศักยภาพไดอ้ ีกด้วย (Felder,1996 ; Saracho, 1997) แนวทางการใช้ประโยชนจ์ ากรูปแบบการคิดและ รูปแบบการเรียนรู้ของตนเอง เลือกกิจกรรมการเรียนที่ตรงกับรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ของ ตนเอง เพื่อจะได้ใช้ความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่ เช่น งานเด่ียว งานกลุ่ม งานที่ผู้สอนกาหนดให้งาน อสิ ระที่ผู้เรียนกาหนดเอง งานท่ีเปิดโอกาสให้คิดได้หลากหลาย ต้องการคาตอบที่ถูกต้องเพียงคาตอบเดียวเ ลอื กแหล่งความรู้ท่ีมีการนาเสนอในรูปแบบท่ีสอดคล้องกับรูปแบบการคิดของตนเอง เช่น หนังสือ ตาราที่มี การเรียบเรียงจัดระบบเนอ้ื หาอยา่ งดีและมีภาพประกอบ หรอื วีดีทศั น์ จัดสภาพการณก์ ารเรียนใหก้ ับตนเองใหส้ อดคล้องกับรปู แบบการเรียนรู้ของตน เชน่ อ่านหนังสือในท่ี สงบเงียบ มีดนตรีเบาๆ มีแสงสว่างมาก สลัว เลือกส่ิงจูงใจภายใน แรงจูงใจภายนอกเพื่อกระตุ้นให้เกิด แรงจงู ใจในการเรียน แนวทางการพัฒนารูปแบบการคิดและรปู แบบการเรยี นรู้ของตนเอง 1. สารวจรูปแบบการคิดและรูปแบบการเรียนรู้ท่ีตนเองชอบใช้และสอดคล้องกับ สิ่งที่เรียน (ซ่ึงถือวา่ เป็นจุดแขง็ ) และพิจารณาวา่ รูปแบบการคิดและรปู แบบการเรยี นรู้ใดที่จาเปน็ ตอ่ การเรยี น ของตน แตต่ นเองยงั ขาดทักษะในการใช้หรือไม่คอ่ ยไดน้ ามาใช้ (ซ่ึงถือว่าเป็นจุดอ่อน) 2. พัฒนาและปรับปรุงตนเองจุดอ่อนของตนเองจากที่ได้จากการสารวจในข้อที่ 1 โดยฝึกฝนตนเองในการใช้รปู แบบการคดิ และรปู แบบการเรยี นที่จาเป็น โดยเรียนรจู้ ากเพื่อนที่มีรปู แบบการ คิดและรูปแบบการเรียนร้ทู ี่เราต้องการฝกึ ด้วยการเลือกทางานกลมุ่ หรือทางานคูก่ ับเพือ่ นทีม่ ีรปู แบบการคิด ต่างไปจากตนเพ่อื เรียนรูซ้ ง่ึ กนั และกัน และฝกึ ตนเองในลกั ษณะทีต่ า่ งไปจากเดมิ เช่น เรียนรทู้ ักษะทางสังคม ทักษะการสื่อสาร การทางานร่วมกัน การเลือก/กาหนดเป้าหมายของงานด้วยตนเอง การวิเคราะห์และ ประเมนิ ขอ้ มลู ข่าวสารที่ได้รบั เป็นต้น 4.2.4.2. ความคดิ สรา้ งสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ creative เป็นแนวทางการคิดเห็นท่ีแปลกไปจากแนวความคดิ ทั่วไปโดยสังเกต ได้ชัดเจนที่ผลสัมฤทธิ์ซึ่งจะออกมาในรูปแบบของผลงานใหม่ๆไม่ซ้ากับผลสัมฤทธ์ิเดิมที่ปรากฏอยู่ท่ัวไป ความคิดสร้างสรรค์จะเป็นลักษณะพฤติกรรมการมองเห็นการรับรู้แบบเอกเทศเป็นลักษณะเฉพาะตัวของ
บุคคลคนๆหนึ่งจะไม่เหมือนกับหรือเท่าเทียมกับทุกคน โดยจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และประสบการณ์ทาง การศึกษาเชาวป์ ัญญาและความสามารถของการทาสมาธใิ นการควบคุมแนวความคิดของแต่ละบุคคล จากผล ท่ีได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติเราจะพบว่าการที่สังคมมนุษย์มีวิวัฒนาการมาโดยลาดับต้ังแต่ มนุษย์โลกยุคบรรพกาลที่มีสภาพไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์ป่าค่อยๆพัฒนาเข้าสู่ยุคเกษตรกรรมซ่ึงมนุษย์รู้จัก เล้ียงสตั ว์เพาะปลูกเลือกกินอาหารดิบและรจู้ ักสรา้ งบา้ นที่อยู่อาศัยตอ่ จากนั้นก็มีพัฒนาการอีกอย่างตอ่ เนื่อง เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมีการพัฒนาทางด้านสังคมเศรษฐกิจการศึกษาอย่างมากมายจนเข้าสู่ยุคโลกาภิ วตั น์ในปจั จุบันซง่ึ ถือเปน็ ยคุ ท่ีสังคมโลกมีภาพลกั ษณแ์ บบไร้พรมแดนทางด้านสารสนเทศสามารถติดตอ่ ถึงกัน ทุกตาแหน่งบนโลกได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจากข้อความที่ยกมาอ้างน้ีเพ่ือให้ชี้ให้เห็นว่าทุก ขน้ั ตอนทม่ี นุษยใ์ นโลกววิ ัฒนาการและพัฒนาการด้านต่างๆเปลีย่ นแปลงสภาพดขี ึ้นกว่าเดิมตามลาดบั น้ันเหตุ ปัจจัยท่ีสาคัญเป็นแรงผลักดันคือความคิดสร้างสรรค์นั้นเองถ้ามนุษย์ทุกยุคสมัยขาดพฤติกรรม ความคิดเชิงสร้างสรรค์การวิวัฒนาการทางด้านต่างๆในสังคมมนุษย์โลกก็จะไม่บังเกิดขึ้นสังคมมนุษย์ก็จะ เป็นอยู่อย่างเดิมเหมือนตอนท่ีมนุษย์อุบัติขึ้นมาบนโลกใบใหม่ก่อนที่จะเข้าใจถึงความหมายของความคิด สร้างสรรค์ก็อยากจะกลา่ วย้าถึงลักษณะท่ีมาเสียก่อนโดยการศึกษาของนักจติ วทิ ยาต่างๆไดอ้ ธิบายแนวความ เช่ือเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ไว้ลักษณะที่ของการและจาแนกชั้นความคิดสร้างสรรค์ของบุคคลเป็น 3 ข้นั ตอนหลงั จากที่บุคคลได้รับกระตนุ้ จากสง่ิ เรา้ (stimulus) แลว้ เกิดปฏกิ ริ ิยาตอบสนองท่ีเกดิ ข้ึนภายในจิตใจ ท่ีเรียกว่าความคิดได้แก่ ขั้นตอนท่ี 1 ความคิดเห็น Thinking และจินตนาการ (imagingtion) เป็นอาการ ทางจติ ใจนาเอาสิง่ ที่พบเห็นมาแต่กอ่ นทาให้ปรากฏข้นึ ในใจอกี คร้ังหน่ึงซึ่งเรียกว่าจินตภาพหรอื จนิ ตนาการซึ่ง เป็นภาพลักษณท์ ่ีปรากฏในความคดิ ชนั้ ต้นอาจจะเปน็ เชงิ นามธรรมหรือรูปธรรมกไ็ ด้ ขนั้ ตอนท่ี 2 ความคิดหา เหตุผลเป็นข้ันตอนการคิดเพ่ือหาทางแก้ปัญหาหรือคิดวิธีการดาเนินการสร้างงานอย่างจริงจังตาม แนวความคดิ แบบจินตนาการในขนั้ หนึง่ โดยการใช้กระบวนการทางการศึกษาปญั ญาเฉพาะตัวเปน็ ตน้ เป็นเหตุ ปัจจัยหลักในการชว่ ยสนับสนุนการค้นคว้าหาความรู้โดยตรง ต้องใหป้ ระจักษ์ ข้นั ตอนท่ี 3 ความคิด สร้างสรรค์ (creation) เป็นข้ันตอนการสาแดงเพ่ือให้บังเกิดผลจริงจังเป็นรูปประธรรมในเชิงปฏิบัติการซ่ึง จะต้องมีการวางแผนการออกแบบและปฏิบัติการโดยการเลือกใช้ส่ือที่เหมาะสมมีการคิดค้นคว้าทดลองทา คร้ังแล้วครั้งเล่าจนเกิดความมน่ั ใจแน่ใจว่าผลสัมฤทธ์ิท่ีเกิดขึ้นเป็นลกั ษณะใหม่ไม่ซ้ากับปรากฏการณ์ท่ีเคยมี อยเู่ ดมิ และจะกอ่ ให้เกดิ พัฒนาการในวงการนัน้ ๆอย่างไม่หยดุ ย้งั สืบเนื่องไปจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนงึ่ หรือ จากกลุม่ คนหนง่ึ ไปสอู่ กี คนหนึง่ ไมข่ าดสายสร้างความเจรญิ กา้ วหน้าขึ้นตามลาดบั ทง้ั 3 ขน้ั ตอนดงั ที่กล่าวมาน้ี จะบังเกิดข้ึนในใจของบุคคลตามลาดับและจะมีความประสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นเอกภาพกล่าวคือเม่ือ เกดิ ขึ้นตอนที่ 1 ก็จะอาการตามลักษณะขั้นตอนท่ี 2 ตามมาอยา่ งทันทแี ละอาการในขน้ั ตอนท่ี 3 จะปรากฏขนึ้ โดยอตั โนมตั ถิ ้าจะกล่าวว่าความคิดสร้างสรรคจ์ ะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยอีก 2 ข้อคือความเห็นจนิ ตนาการและความคดิ หาเหตุผลเปน็ พนื้ ฐานกค็ งจะไมผ่ ิด ความคิดสรา้ งสรรค์คืออะไร จากผูเ้ ช่ียวชาญวัดดวงต่างๆในแตล่ ะอาชีพซ่งึ มมี ากมายในสังคมยุคปัจจุบันนจ้ี ะได้คาตอบหลกั หลาย ซึ่งประกอบไปด้วยตามวัตถุประสงค์ของอาชีพตนเองและจะสอดคล้องกับสภาพการณ์ทัศนคติความมุ่งหวัง ของสังคมในขณะน้ันเช่นความคิดสร้างสรรค์ในทัศนะของแพทย์ก็จะเนน้ การนาหลกั วิชาการทางการแพทย์
การคิดค้นเคร่ืองมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ใหม่ๆมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบาบัดรักษาผู้ป่วยไข้ให้มี ประสทิ ธิภาพสงู ข้ึนโดยไม่ใหผ้ ้ปู ่วยต้องทกุ ข์ทรมานในการเข้ารบั การบาบดั รักษาถ้าจะมองความคิดสร้างสรรค์ ในฐานะของนักวิชาการเกษตรก็คงได้คาอธิบายที่เน้นหลักการวิทยาศาสตร์หรือวิธีปฏิบัติการใหม่ๆด้าน การเกษตรท่ีสามารถแก้ไขปัญหาหลักๆทางด้านการเกษตรได้อย่างดีเย่ียมอาจจะเป็นวิธีการขยายปรับปรุง พันธุ์พืชและสัตว์เล้ียงต่างๆที่ดีข้ึนอาจจะเป็นวิธีการกาจัดศัตรูพืชโดยไม่ต้องใช้สารเคมีให้เกิดมลภาวะทาง ส่งิ แวดล้อมอาจเป็นวิธกี ารทาการเกษตรด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหมเ่ ข้าช่วยหรือความคิดสร้างสรรค์ ตามทัศนะของสถาปนิกกจ็ ะมองถึงการศึกษาค้นคว้าหลักวิชาการการออกแบบโครงสร้างอาคารให้สวยงาม ทนั สมยั แปลกใหม่กว่าคันอ่ืนโดยอาจจะเน้นรูปร่างอาคารอาจจะเนน้ การตดิ ตั้งวัสดอุ ุปกรณ์ทค่ี ิดคน้ ใหม่ๆเพื่อ อานวยความสะดวกภายในอาคารหรอื อาจมิ้นเทคนิคการออกแบบเพ่ือประหยัดพลงั งานภายในอาคารยามท่ี สงั คมปัจจุบันมุ่งหวังและใช้พลังงานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คานิยามความคิดสร้างสรรคข์ องทศั นศิลป์ ของบุคคลในวงการศิลปะก็จะหมายถึงการสรรหาคิดค้นรูปแบบหรือหน่ วยที่มีสาระต่อจุดหมายของการ ปฏิบัติงานเพ่ือจัดระเบียบของหน่วยนั้นหรือหน่วยเหลา่ นั้นให้เกิดข้ึนเป็นรูปแบบใหม่และจะเป็นรูปทรงที่มี เอกภาพคือลักษณะเฉพาะตัวมลี ักษณะความเป็นตน้ แบบและมีความเปน็ เอกภาพการสร้างสรรค์ตามทัศนคติ ของศลิ ปินจะไม่ใชก่ ารลอกเลยี นแบบไม่ใช่การลอกหรือบอกการเรยี นแบบธรรมชาติหรือจากสิ่งท่มี นุษย์สรา้ ง ข้ึนก็ตามนักวิชาการและนักจิตวิทยาจึงสนใจศึกษาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์มาช้านานและอธิบาย ความหมายไว้อย่างน่าพิจารณาว่าผู้ชานาญในแวดวงอาชีพก็พยายามนิยามความคิดสร้างสรรค์ตาม วัตถุประสงค์ความสนใจและมุมมองของตนกันอย่างหลักหลายเพียงใดก็สามารถที่จะสรุปได้ง่ายต่อการทา ความเข้าใจโดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือบางกลุ่มจะมองความคิดสร้างสรรค์เป็นแบบลักษณะกระบวนการ process ของการคิดแล้วพวกหนึ่งก็จะมองความคิดสร้างสรรค์ในเชิงของลักษณะผลผลิต Product กล่าวคือ ไม่วา่ จะนิยามความหมายเพื่อวัตถุประสงค์ใดตามทศั นะของอาชีพใดก็จะหนไี ปจาก 2 ลกั ษณะนี้ไม่พน้ จึงพอ สรุปเห็นรปู ประธรรมได้ว่าการมองความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบของกระบวนการของความคิดน้ัน คอื กระบวนการคิดในลักษณะของอุปมาอปุ ไมยเร่อื งราวหลักการวิธกี ารและส่ิงตา่ งๆใหเ้ ปน็ รูปแบบใหมๆ่ เพ่ือ คัดสรรจาแนกวิธีการความเป็นไปหลายๆอย่างเพื่อประมวลรวบรวมเข้าด้วยกันสรุปเป็นประเด็นแนวทาง แก้ปญั หาหรอื เป็นแนวทางเพ่ือสร้างสิง่ ใหมๆ่ เกดิ ขึ้นส่วนการมองความคิดสรา้ งสรรค์ในรปู แบบของผลผลิตนั้น อธบิ ายวา่ อาจเปน็ ความคิดท่ีกอ่ ให้เกิดความแปลกใหมเ่ ก่ียวกบั ผลผลิตเช่นรูปแบบของตายใหมๆ่ และมี value หากเป็นคุณค่าด้านความงามความถูกต้องหรือคุณค่าทางประโยชน์ใช้สอย function ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ ใหม่โดยไมซ่ ้ากับปรากฏการณ์เดมิ ทีม่ ีอยู่ องคป์ ระกอบของความคดิ สร้างสรรค์ Torrance ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ไว้ว่าการท่ีบุคคลจะแสดง พฤติกรรมความคิดสร้างสรรค์ใดๆจะข้ึนอยู่กับองค์ประกอบสาคัญ 2 ส่วนคือส่วนท่ีเป็นแรงผลักดันแรง กระตุ้นเร่งเร้าอันเป็นศักยภาพภายในตัวบุคคลซึ่งได้แก่ความสามารถ ability และทักษะ Skill และอีกส่วน หนึ่ง การถูกกระต้นุ จากภายนอกและสิ่งแวดล้อมจากบุคคลกลุ่มบุคคลรอบข้างที่กระตุ้นความคดิ ทาใหบ้ ุคคล อยากรู้อยากเหน็ เกิดจนิ ตภาพหรือจินตนาการกลา่ วโดยสรุปองค์ประกอบทก่ี ่อให้เกิดความคดิ สร้างสรรค์ของ บคุ คลตา่ งๆนั้นได้แก่ความสามารถทักษะและแรงจูงใจท้ัง 3 องค์ประกอบนี้จะเกี่ยวขอ้ งสัมพันธ์กันอย่างแน่น แฟ้นเกดิ ขนึ้ โดดเด่ียวหรือเป็นอสิ ระแยกจากกนั โดยเขยี นเป็น diagram ดงั น้ี * ความคดิ สร้างสรรค์ คิดหลกั การวธิ กี าร จติ นาการ วางแผนเลือกสอื่ ความสามารถ ทักษะ แรงจงู ใจ *
4.1.4.3. แนวความคิดสร้างสรรค์ กลา่ วได้ว่าความสามารถทกั ษะท่กี ่อให้เกิดความคดิ สร้างสรรค์นนั้ อาจมีผลจากการประพันธ์และการ ฝึกอบรมหรือการศึกษาเรียนรู้กล่าวคือถา้ หากบคุ คลมีความสามารถในการคิดไดร้ ับการฝึกฝนให้สามารถคิด อย่างเฉียบคมและได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการคิดค้นหรือริเริ่มส่ิงใหม่ๆก็จะเกิดความกา้ วหน้าใน การคิดความเชื่อท่ีว่าความคิดสร้างสรรค์สามารถพัฒนาได้ด้วยกระบวนการการฝึกได้รับการยอมรับโดยมี ผลการวิจัยสนับสนุนทั้งในและต่างประเทศของนักจิตวิทยาและนักศึกษาต่างๆการกาหนดรูปแบบกิจกรรม และกลวิธที นี่ ยิ มใช้ในการพัฒนาความคดิ สร้างสรรคม์ ีหลากหลายรูปแบบโดยมีรูปแบบขา้ งต้นดงั น้ี 1. การฝึกความไวในความรูส้ ึก (sensitivity Training) เม่ือเรามีโอกาสทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนเป็นกลมุ่ ก็ มักจะกอ่ ความรหู้ รือก่อใหเ้ กิดความคดิ ริเริ่มทม่ี ีคณุ ค่าโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคลจากการมีกิจกรรม รว่ มกันและให้สมาชิกในกลุ่มมีความรู้สึกท่ีดีเห็นความสาคัญของกลุ่มโดยใหแ้ ต่ละคนพยายามปรับปรุงทักษะ ในการส่ือความหมายภายในกล่มุ ทางานและมีโอกาสทจ่ี ะกระทาในสิง่ ต่อไปนี้ 1.1 รสู้ ทิ ธหิ น้าท่ีของตัวเองโดยเฉพาะในสว่ นทจี่ ะมผี ลกระทบตอ่ ผอู้ น่ื 1.2 เขา้ ใจลักษณะและวธิ ีควบคุมอารมณ์และความรสู้ ึกของตนเองใหเ้ กิดพฤติกรรมทดี่ ซี ง่ึ จะ มีผลกระทบต่อสมาชิกของคนอื่นภายในกล่มุ 1.3 มีความรู้สกึ ไวในการรับสัมผัสสื่อความหมายต่างๆภายในกลมุ่ 1.4 รจู้ กั การสร้างนิสัยเพื่อที่จะเปน็ ผูฟ้ ังท่ีดี 1.5 ตระหนกั วา่ สมาชิกทกุ คนในกลมุ่ มีความสาคัญตามหน้าทอี่ ย่างเทา่ เทยี มกัน 1.6 การเรียนรู้วธิ กี ารทช่ี ่วยในการทางานของกลุม่ มีประสทิ ธภิ าพย่ิงขน้ึ 2. การฝึกทกั ษะการวินจิ ฉัย (Diagnotic skill Training) ในการทางานของกลุ่มมีย่อมจะมอี ุปสรรค การประสบปัญหาด้านต่างๆเปรียบได้กับอาการของผู้ป่วยของกลุ่มทางานดังนั้นสมาชิกของกลุ่มแต่ละคน จะต้องช่วยกันวินจิ ฉยั หาสาเหตขุ ้อขัดแย้งความเฉยชาการชะลอการตัดสินใจและการตัดสินใจทผี่ ิดพลาดของ กลมุ่ ให้พบและช่วยการวิเคราะห์เพ่ือค้นหาหนทางแกป้ ัญหาท่ีดีท่ีเหมาะสมที่สุดการดาเนินการแก้ปัญหาของ กลุ่มอย่างสร้างสรรค์โดยยดึ มั่นในกฎระเบียบของกลุ่มความรสู้ ึกของสมาชกิ ในการร่วมงานและการประกาศ ประชุมร่วมกัน 3 ชมความคิด brainstorming บนพื้นฐานความเช่ือท่ีว่าความคิดท่ีดีจานวนมากของบุคคล จะถูกเก็บไว้และจะไม่แสดงออกมาเน่ืองจากกลัวการถูกวิจารณ์จากผู้อื่นถ้าปล่อยให้เขาแ สดงออกมาตาม ลาพังช้ันบนวิธีการระบายความคิดออกมาให้ได้มากทส่ี ดุ เท่าที่จะมากได้โดยปราศจากการวิจารณ์ในขัน้ ตอนนี้ จะผิดหรือถกู เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมไม่เป็นไรหลกั สาคัญที่การพยายามกระตุ้นให้สมาชิกทุกๆคนภายใน กลุม่ คิดใหม้ ากหลากหลายแนวทางเสียกอ่ นแล้วจึงจะมีการประเมินแนวความคิดทลี ะประเดน็ ภายในภายหลัง 4 การฝึกตนเองด้วยวิธีการอุปมา (Analogy Training) เป็นพ้ืนฐานการคิดตามหลักการของ (william Gordon) ซ่ึงมคี วามเชอื่ ว่าวิธีการสร้างความคุ้นเคยในส่ิงท่ีแปลกใหม่และการสรา้ งความแปลกใหม่จากสิ่งที่ คุ้นเคยโดยการอุปมาจะช่วยให้การมองแนวทางแก้ปัญหาได้ชัดเจนเชิงรูปธรรมมากย่ิงข้ึนโดยการแบ่งวิธี อุปมาไว้ 4 ชนิดดังนี้ 2.1 การอปุ มาตนเอง personal analogy คอื วิธีการเปรียบตัวเองเปน็ ตัวปัญหาแล้วท่านก็ จะพยายามถามตวั เองว่าถา้ ร้สู ึกอยา่ งไรต่อปญั หานนั้ ๆและท่านจะแกป้ ัญหาอย่างไร 2.2 การอุปมาโดยตรง direct analogy หมายถึงการเป็นบุคคลพยายามนึกถึงสิ่งอื่นๆท่ีมี ลักษณะเหมือนหรือคล้ายคลึงกับปัญหาที่กาลังประสบอยู่ควบคู่กับการพิจารณาธรรมชาติของสิ่งนั้นกับ
ธรรมชาติของปัญหาท่ีประสบอยู่น้ันในเชงิ ความสัมพันธด์ ังน้ันการแก้ปัญหาจึงมักตัง้ อยบู่ นพ้ืนฐานของความ จริงทางธรรมชาติและส่ิงของนนั้ ๆ 2.3 การอุปมาสัญลกั ษณ์ symbols analogy หมายถึงการพยายามท่ีจะใช้สัญลักษณ์เพื่อ อธิบายคุณลกั ษณะบางอย่างของส่ิงใดส่ิงหนึ่งบุคคลใดบุคคลหน่ึงตัวอย่างเชน่ เมอ่ื เราจะอธิบายถึงสัญลักษณ์ ลักษณะของคนท่ีมีความอดทนเป็นเลิศแล้วก็จะกล้าว่าเขาแข็งแรงและอดทนเหมือนแรดหรือจะอธิบาย คุณลกั ษณะของหญิงงามทีม่ ีรูปรา่ งหน้าตาสวยสดทอ่ี าจจะกลา่ ววา่ เธอสวยดุจด่งั นางฟ้า 2.4 การอุปมาเพ้อฝัน แฟนตาซี analogy เป็นลักษณะการคิดแบบอุปมาบนพื้นฐานของ การใชจ้ ินตนาการจากเรื่องเล่าประสบการณน์ ทิ านนวนิยายวรรณคดแี ละอ่นื ๆเช่นอาจฝันว่าถ้าคนเรามสี ายตา ทส่ี ามารถมองเห็นส่ิงเลก็ ๆไดเ้ หมอื นการมองผ่านกล้องจุลทรรศนจ์ ะเกดิ อะไรขึ้นหรอื อาจจนิ ตนาการเร่ืองราว ในวรรณคดีวา่ หากคนบางคนในปัจจุบนั ท่ีมีร่างกายเป็นทองเหมือนพระสังขใ์ นวรรณคดีเร่ืองสงั ข์ทองเขาจะมี พฤติกรรมการดารงชีวิตประจาวันอย่างไรจะเกิดขึ้นเม่ือเขาต้องเข้าสังคมร่วมกับคนปกติธรรมดาคนอ่ืนๆ อย่างไร ความคิดสร้างสรรคใ์ นเชิงศิลปะ (creation of Arts) เป็นรปู แบบการคดิ ท่ีค่อนขา้ งจะไม่เหมือน การคิดสร้างสรรค์ท่ัวไปในเชิงเนื้อหาและจุดมุ่งหมายด้านความจาเป็นที่จะต้องนาเสนอแ นวความคิด สร้างสรรค์ซ่ึงต้องเกีย่ วขอ้ งกับลักษณะสุนทรยี ภาพอนั เป็นหวั ใจสาคัญของการทางานศลิ ปะออกมาดว้ ยดงั นั้น ความพยายามท่จี ะสร้างสรรคร์ ูปลกั ษณ์ที่พงึ พอใจข้ึนมาโดยรูปลักษณะน้ันอาจก่อใหเ้ กิดอารมณค์ วามรสู้ ึกใน ความงามและอาจก่อให้เกิดความรู้สึกความพึงพอใจด้านต่างๆหรือด้านอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับความงามก็ได้เช่น ประโยชน์ใช้สอยการบนั ทกึ ความทรงจาเปน็ ต้นโดยปกติความคิดสรา้ งสรรค์เชงิ ศิลปะจะปรากฏใน 3 ลกั ษณะ โดยแบ่งวิธกี ารกระตุ้นอารมณค์ วามรู้สึกในความพึงพอใจการรบั ร้สู ัมผสั ดงั น้คี ือ 1. เป็นการสร้างสรรค์ศิลปะด้วยวิธีกระตุ้นอารมณ์ทางความรู้สึกทางการได้ยินได้ฟังเช่นวรรณคดี หรือวรรณกรรมศิลป์ (litennature arts) ตัวการฟังบทกลอนบทเพลงทางการออกเสียงขับร้องและสุริยาง ศิลป์ (Music Arts) โดยการรับฟังเสียงดนตรีจากการบรรเลงทางส่ือต่างๆนักการศึกษาได้เรียกชื่อศิลปะ ลกั ษณะน้วี ่าโสตศลิ ป์ (Aural arts) 2. เป็นการสร้างสรรค์ศิลปะลักษณะท่ีกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกจากการสัมผัสด้วยการฟังและการ เห็นพร้อมกันได้แก่นาฏศิลป์การแสดงภาพยนตร์โทรทัศน์เรียกชื่อศิลปะลักษณะนี้ว่าโสตทัศนศิลป์ (Audio Visual Arts) 3. เป็น เป็นการสรา้ งสรรค์ศิลปะลักษณะที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกดว้ ยการมองเห็นอย่างเดียวคือ ศิลปะทีม่ รี ูปทรงพระ เป็นการสรา้ งสรรคศ์ ิลปะลกั ษณะทกี่ ระต้นุ อารมณค์ วามรสู้ ึกดว้ ยการมองเห็นอยา่ งเดียว คือศิลปะที่มีรูปทรง (plastic arts) ซึ่งนักการศึกษาจะเรียกชื่อศิลปะลักษณะนี้ว่าทัศนศิลป์ (Visual Art) ซ่ึง ได้แกผ่ ลงานดา้ นจิตรกรรมประติมากรรมภาพพิมพ์ศิลปะประดิษฐ์และสถาปัตยกรรมโดยในบทเรียนนี้จะได้ นาเสนอรายละเอียดเป็นเฉพาะในความชัดเจนถึงได้เรียนรู้การสร้างสรรค์การทางานศิลปะให้เกิดรูปแบบ ใหมๆ่ ซึง่ ในโลกด้วยภูมิปญั ญาของมนุษย์ผู้สรา้ งสรรค์งานศิลปะสาขาต่างๆโดยเฉพาะในกลุ่มงานทศั นศิลป์ซ่ึง ได้แก่รูปลักษณ์ลักษณะใหม่ๆท่ีปรากฏในงานจิตรกรรมงานประติมากรรม งานสถาปัตยกรรมงานศิลปะ ประดิษฐ์ต่างๆในยุคปัจจุบันท้ังท่ีเป็นความแปลกใหม่ของลักษณะผลงานและหลักการวิธีการใหม่ๆใน กระบวนการสรา้ งงานทัศนศิลป์การสร้างสรรคจ์ ึงเปน็ พฤตกิ รรมท่ีสาคญั ของมนุษย์ผูส้ ร้างสรรคง์ านศลิ ปะเพื่อ นาพาไปสู่การค้นหาแนวทางสร้างลักษณะความแปลกใหมน่ ่าประทับใจใหแ้ ก่ผลงานของตนเองนบั ต้ังแต่อดีต
จนถึงปัจจุบันศิลปินได้ถ่ายทอดรูปแบบทัศนศิลป์ไว้มากมายรูปแบบทางด้านทัศนศิลป์เปรียบเสมือนกับ อาหารทม่ี ีรสชาตหิ ลากหลายท่เี หล่ามวลมนษุ ย์จาเปน็ ต้องบรโิ ภคเป็นอาหารทางจติ ใจอยู่ทกุ ยุคทุกสมัยไม่ว่า จะเป็นการบริโภคอย่างรู้และไม่รู้สึกตัวเองหรือไม่ก็ตามจากทัศนศิลป์ที่ปรากฏอยู่ทั่วไปมีหลายรูปแบบเป็น การยากที่จะทาความเข้าใจในรูปลักษณะรูปแบบได้ทั้งหมดกล่าวได้ว่าผลงานทางทัศนศิลป์มีส่วนผูกพันกับ ชีวิตคนเรามากมายจนแทบจะเป็นส่วนเดียวกันกับวิถีแห่งการดาเนินชีวิตไม่ว่าจะย่างก้าวไปท่ีใดเราจะได้ สมั ผัสกับทัศนศลิ ป์ในประเทศใดประเทศหนง่ึ จะได้โดยต้ังใจหรือไม่ตง้ั ใจกต็ ามเช่นตั้งแตเ่ รือ่ งการเลือกใช้ของ เคร่ืองแต่งกายของใช้ผลติ ภัณฑต์ ่างๆบ้านและท่ีอย่อู าศัยเป็นตน้ และอาจพบว่าทัศนศิลปม์ ีความสาคัญในการ เป็นส่วนรว่ มพิจารณาการตัดสนิ เลือกสรรและการทาสิ่งของเครือ่ งใช้ตา่ งๆเหล่าน้ันใหม้ ีความเหมาะสมแสดง ถงึ ความเป็นผู้มรี สนิยมที่ดีท้ังสิ้นประเภทของทัศนศิลปอ์ ีกประการหนึง่ ที่ผู้คนท่ัวไปมกั คิดไม่ถึงคือประโยชน์ ทางจิตใจท่ีมีการให้ผลทางด้านความสุขความเบิกบานแจ่มใสซ่ึงไม่สามารถอธิบายเป็นคาพูดถ้านักเรียนเป็น ผลงานท่ีมนุษย์สร้างข้ึนให้แก่ตนเองและสังคมประโยชน์จึงสนองต่อผู้สร้างและผู้ดูท้ังมุมแคบและมุมกว้าง ข้ึนอยู่กับจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายคุณลักษณะของทัศนศิลป์น้ันๆเป็นสาคัญนักวิชาการได้จาแนกคุณนะ ประโยชนข์ องทศั นศลิ ป์ไว้ 3 ประเภทดังน้ี 1. ประโยชน์สาหรับบุคคลเปน็ ลักษณะที่ทศั นศิลปเ์ สนอความต้องการความรสู้ ึกและอารมณ์ ส่วนตัวโดยผู้สนใจหรือผู้ชมจะได้รับความรู้ความหมายของส่ือทัศนศิลป์แต่ละประเภทได้อย่างหลากหลาย ลกั ษณะเช่น 1.1 การแสดงออกทางสุนทรียภาพคือการนาเสนอในแง่ของความงามเกิดความ ประทับใจและเพลดิ เพลินยนิ ดวี ิธีการและกระบวนการทางการทางานจะมุง่ เน้นความประณีตบรรจงพถิ ีพถิ ัน ในการจดั วางตาแหน่งต่างๆของทัศนศิลป์ทใี่ ช้ 1.2 การแสดงความเชื่อซ่ึงเกี่ยวกับศาสนาเป็นลักษณะของทัศนศิลป์ท่ีนามาเสนอ เพื่อสนองความเชอ่ื ของตนเองต่อการเคารพนับถือตามแนวทางปรัชญาทางศาสนาเช่นการสร้างพระพุทธรูป ไว้สาหรับการกราบไหว้บูชาของชาวพุทธและศาสนาพุทธท่มี ีรปู ร่างงดงามตามอดุ มคติของแตล่ ะยุคสมยั แต่ละ กลุ่มชนจะมีรูปร่างและลักษณะแตกต่างกันไปตามแนวความเชื่อและแนวความคิดสร้างสรรค์ท่ีเป็นแรง บนั ดาลใจ 1.3 การแสดงออกทางความร้สู ึกส่วนตัวเป็นลกั ษณะทัศนศิลป์ที่นาเสนอความรูส้ ึก นึกคิดเฉพาะตัวของผู้สร้างศิลปะเพ่ือเน้นความรู้สึกอารมณ์และความต้องการของตนเองออกมาให้มองเห็น เพื่อกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกของผู้พบเห็นได้คอยตามมีวิธีและกระบวนการในการใช้งานทัศนธาตุท่ี มงุ่ เนน้ การออกตามความพงึ พอใจอาจจะรนุ แรงฉับไวมงุ่ เนน้ ความสวยงามเปน็ หลักกไ็ ด้ 2. ประโยชน์สาหรับสังคมเช่นทศั นศลิ ปป์ ระเภทต่างๆทถี่ ูกสร้างขึ้นเพอ่ื บนั ทึกประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของส่งิ ใดส่ิงหนงึ่ หรือความคดิ เห็นของคนในยุคหน่ึงทางประวัตศิ าสตรเ์ ช่นการสร้างอนสุ าวรียจ์ ะ จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณีตลอดจนการใช้ทัศนศิลป์เป็นสื่อโฆษณาเพ่ือชักจูงให้คนตลาดเกี่ยวกับ สภาพหรอื ปัญหาต่างๆท่เี กิดข้นึ ในสังคมและการใช้ หรอื สรา้ งความสวยงามต่อส่ิงต่างๆในชวี ติ ประจาวัน 3. ประโยชน์สาหรับศิลปะโดยตรงหมายถึงลักษณะทางกายภาพของทัศนศิลป์เองแต่ละ ประเภทเช่นสถาปัตยกรรมจิตรกรรมประติมากรรมภาพพิมพ์และศิลปะประดิษฐ์ซึ่งแต่ละประเภทต่างก็มี ความจาเป็นท่ีต้องการพัฒนาให้มีความก้าวหน้าที่มีความแปลกใหม่ปรากฏขึ้นในวงการทัศนศิลป์โดยการ อาศัยแรงผลักดันจากการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินและผู้สร้างงานทัศนศิลป์แต่ละประเภทเป็นหลัก
สาคัญร่วมกันจะเห็นได้ว่าทัศนศิลป์เป็นอานวยคุณประโยชน์นับประการต่อการดาเนินชีวิตประจาวันของ มนุษย์ทุกด้านเพ่ือพัฒนาผลผลิตของเครื่องใช้ต่างๆให้มีความสวยงามเกิดความประทับใจและความ เพลิดเพลินในการใช้สอยแต่ขณะเดียวกันตัวทศั นศิลป์เองก็จาเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างตลอดเวลาให้มี ประสทิ ธิภาพเช่นเดียวกันและส่ิงทีเ่ ป็นปัจจัยหลักและสาคัญมากก็คือวิธีการกระบวนการคดิ สร้างสรรค์ที่ถูก นามาใช้ในการออกแบบและสร้างงานทัศนศิลป์ของแต่ละประเภทกล่าวคือถ้าหากมีการนาความคิด สรา้ งสรรค์มาใชใ้ นวงการทัศนศิลปอ์ ย่างแพร่หลายและมปี ระสิทธภิ าพก็จะทาให้เกิดความสวยงามแปลกใหม่ ปรากฏข้ึนแตร่ ปู ทรงของผลผลิตตลอดเวลาเปน็ การลดหรือขจดั ความนา่ เบื่อของรปู ทรงต่างๆทปี่ รากฏมาจาก อดีตอย่างสร้างสรรค์และในทานองเดียวกันตัวความคิดสร้างสรรค์เองก็จะมีความจาเป็นได้รับการปรับปรุง พัฒนาให้กา้ วหนา้ อย่างไม่หยุดยัง้ เชน่ เดยี วกันดว้ ยระบบวิธกี ระบวนการทางการศึกษาเพราะการสรา้ งสรรค์ใน เชิงทัศนศิลป์คือการสร้างหรือจัดทาส่ิงที่แปลกใหม่ในแนวทางใดทางหนึ่งให้ปรากฏขึ้นต่อรูปลักษณ์ของ ผลงานทางทัศนศิลป์จึงไม่ใช่วิธีการลอกเลียนแบบไม่ว่าจะเป็นส่ิงนั้นจะเป็นธรรมชาติความคิดหรือตัวอย่าง ผลงานของผอู้ น่ื ฉะน้ันงานทัศนศลิ ป์แบบรูปประธรรมหรือแบบเหมือนจริงท่ีมีจดุ ม่งุ หมายลอ้ เลียนสภาพท่เี ป็น จรงิ ตามธรรมชาตเิ ชน่ ทิวทัศนห์ ุน่ นง่ิ ภาพดอกไม้ภาพคนและอนื่ ๆคงจะไมไ่ ดแ้ สดงความคิดสรา้ งสรรค์ตามเหตุ ท่ีกล่าวมาข้างต้นน้ีเพราะงานทัศนศิลป์ดังกล่าวเป็นการสร้างส่ิงใหม่ข้ึนมาโดยอาศัยรูปทรงที่เป็นจริงตาม สภาพแวดล้อมในธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจส่ิงใหม่ว่าน้ีก็คือความคิดหรือจินตนาการความรู้สึกเกี่ยวกับ ความงามตามสภาพของอารมณ์ที่เป็นทักษะนะส่วนตัวของศิลปินเองสร้างลักษณะรูปทรงของธรรมชาติท่ี ผสมผสานกับบุคลิกภาพและการเปลี่ยนแปลงไปตามจุดประสงค์ของศิลปินในการแสดงออกจ นปรากฏถึง ผลงานทัศนคติต่อการสร้างสรรคจ์ ึงหมายถงึ งานต้นแบบไม่ซา้ ใครหรือแม้แต่กับช้ินงานช้ินอ่ืนของตัวเองส่วน การสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์แบบ ที่ศิลปินคิดและทาส่ิงใหม่ๆขึ้นมาในโลกโดยอาศัยจินตนาการเป็นรูปของ ความคดิ ความฝนั โดยไมต่ ้องอาศัยรปู ทรงท่ีเปน็ ปรากฏในธรรมชาตทิ ี่มองเห็นอย่รู อบๆเป็นตวั สรา้ งแรงบนั ดาล ใจผลงานศิลปินที่ปรากฏออกมาอาจไม่ได้มุ่งหวังหรอื มุ่งหมายในการสร้างความประณีตสวยงามเป็นหลักแต่ มงุ่ เน้นการสร้างความพึงพอใจในการแสดงออกเป็นหลักก็ได้ผู้เร่ิมทางานศิลปะจะต้องปรับทัศนคติเกี่ยวกับ ความคดิ สร้างสรรค์ให้ถูกต้องก่อนจะไดไ้ ม่หลงแนวทางในการฝกึ ฝนวิธีกระบวนการที่ตรงกนั ขา้ มกับความคิด สร้างสรรค์คือการลอกเลียนแบบเราอาจพบช่างเขียนรูปคนเขียนรูปวิวทิวทัศนห์ รอื รปู ดอกไม้จากภาพถ่ายได้ เหมือนมากแทบจะไม่ผิดเพี้ยนเลยก็น่าจะนามาเป็นวิเคราะห์ได้เห็นแนวทางการพิจารณาว่าจะจัดเป็น วธิ ีการใช้ความคิดสร้างสรรคเ์ ชิงทัศนศิลป์ใช่หรือไม่อย่างไรคาตอบก็คือรูปเขียนดังกลา่ ว ไม่ได้แสดงอารมณ์ ความรู้สกึ เฉพาะตัวหรือบุคลิกภาพของช่างเขียนผูน้ ้ันออกมาเลยกค็ ือการเรียนแบบเช่นเดียวกับการใช้กล้อง ถ่ายรูปจาลอง แบบธร รมชาติมาเป็นภาพในแผ่น เฟร มหรือ แผ่น กร ะดาษแ ต่ถ้าช่างเขียนมีเจตนาและ ความสามารถที่จะแสดงความคดิ หรอื แสดงอารมณ์ความรู้สึกเฉพาะตัวออกมาโดยการเลือกเน้นเรื่องมุมมอง แสงและเงาและสีสันบางชว่ งบางตอนให้โดดเด่นและมีการลดหลั่นลดทอนบางส่วนลงให้เป็นส่วนประกอบมี ความประสานสมั พันธแ์ ละสอดคล้องกับการแสดงออกของเขาได้ รูปแบบวิธีการคิดคงเคยได้ทราบมาแล้วบ้างว่าศิลปะมีความหมายและวิธีการสร้างงานอย่าง กวา้ งขวางด้วยภูมิปญั ญาของมนุษยเ์ ชน่ การแสดงออกท่เี ป็นวิธีเรียนแบบธรรมชาตผิ ลงานทีป่ รากฏออกมาจะ เหมอื นสงิ่ ที่ปรากฏอย่ตู ามส่ิงแวดล้อมทวั่ ไปเป็นการเคารพความจริงแบบวตั ถนุ ิสัยนิยมซึง่ อาจจะมุง่ แสดงออก ทางความงามเป็นหลักคือการเขียนหรือการป้ันภาพคนเหมือนการเขียนภาพคนการเขียนภาพทิวทัศน์และ เขียนภาพดอกไม้หุ่นนิ่งการจาลองแบบน้าตกเป็นต้น การแสดงอีกแนวทางหน่ึงเพื่อมุ่งหวังความพึงพอใจซึ่ง
เกิดขึ้นจากจินตนาการความคิดความฝันอารมณ์ความรู้สึกเฉพาะตัวของผู้สร้างงานศิลปะเองแล้วถ่ายทอด ความรู้สึกของตนออกมาเป็นรูปทรงตามความหมายต่างๆเป็นลักษณะการใช้ส่ือสัญลักษณ์และวิธีการ แสดงออกตามบุคลิกภาพส่วนตัวเป็นการเคารพเหตุและผลทางความคิดความฝันแบบจิตวิสัยนิยมและการ สร้างความเก่ียวข้องกับการแสดงออกเพ่ือสนองความศรัทธาความเชื่อของสังคมส่วนรวมเช่นศาสนา วฒั นธรรมชุมชนชนชาติเร่ืองราวเกี่ยวกับประวัติศาสตรแ์ ละกิจกรรมประเพณีต่างๆโดยแนวการสร้างผลงาน อาจมุ่งความงามด้านสุนทรยี ภาพด้านความพึงพอใจด้านประโยชน์ใช้สอยอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่าง พร้อมกันก็ได้จะพบว่าการแสดงออกโดยเน้นความสาคัญเพื่อสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างบุคคลและ สังคมแบบสัมพนั ธ์นิยมจากลักษณะการแสดงออกท่ียกมาข้างต้นนีเ้ ป็นการแสดงออกของมนษุ ย์หรอื พดู ง่ายๆ วา่ มนุษย์เปน็ ผสู้ ร้างจึงเกิดเป็นผลงานทส่ี าเร็จออกมาเปน็ ผลงานศลิ ปะหรือกระบวนการทางศิลปะเพราะสรา้ ง ขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจจินตนาการเกิดการถ่ายทอดความรู้ความคิดให้ปรากฏเป็น รปู ทรงตามบุคลกิ ภาพเฉพาะตนของแต่ละคนคาว่า ความคิดสร้างสรรค์จึงหมายถึงสิ่งท่ีมนุษย์สร้างขึ้นให้เป็นของแปลกใหม่เป็นสิ่งท่ีไม่เคยเห็นหรือไม่ เคยมีประสบการณ์มาก่อนซ่ึงอาจจะแปลกใหม่สาหรับตนเองในอันดับแรกก่อนแล้วค่อยๆพัฒนาไปสู่อันดับ สูงข้นึ คอื สามารถสร้างความแปลกใหมส่ าหรบั สงั คมเปน็ ท่ยี อมรบั ของสมาชิกส่วนต่างๆในสังคมนักการศกึ ษา และนกั จิตวิทยาได้กาหนดรูปแบบของความคิดสรา้ งสรรค์ในงานทศั นศลิ ป์ไว้ 3 รูปแบบคอื 1. ความคิดสร้างสรรค์ทางความคดิ (creative inking) ได้แกก่ ารรจู้ ักวิเคราะห์พจิ ารณาด้วย เหตุและผลเพื่อคิดค้นวิธีกระบวนการสร้างผลงานทางศิลปะให้แปลกใหม่ไปจากเดิมตามความพึงพอใจ อารมณ์และความรู้สึกเฉพาะตัวด้วยแรงบันดาลใจบันดาลใจลักษณะต่างๆท้ังจากภายในและส่ิงแวดล้อม ภายนอก 2. ความคิดสร้างสรรค์ทางประโยชน์ใช้สอย (creative in function) ไดแ้ กก่ ารใชค้ วามคิด ในการทาส่ิงของสิ่งใดส่ิงหนึ่งเพื่อประโยชน์ใช้สอยอาจจะเป็นประโยชน์ที่เกิดข้ึนใหม่ซึ่งแตกต่างไปจาก ประโยชน์เดมิ หรือการปรับปรุงประโยชน์เดิมให้มคี ุณภาพยิ่งข้ึนมีศักยภาพในการอานวยความสะดวกย่ิงข้ึนมี ความคงทนถาวรมากขน้ึ ประหยัดพลงั งานมากขึ้นหากผลผลิตนั้นต้องใช้พลงั งานจุดมุง่ หมายด้านประโยชนใ์ ช้ สอยของผลงานด้านทศั นศิลป์จาเปน็ ต้องคานงึ ถึงความสวยงามของรูปรา่ งรปู ทรงของสิง่ ของทีส่ ร้างข้นึ ดว้ ยจึง จะจัดได้ว่าเป็นผลงานศิลปะซ่ึงคุณสมบัติท่ีว่าน้ีช่างหรือผู้สร้างงานศิลปะยอมรับการว่าต้องคานึงและให้ ความสาคัญเท่าๆกับคุณค่าทางประโยชน์ใชส้ อยและคุณค่าทางความสวยงาม 3. ความคิดสร้างสรรค์ทางความงาม (creative in Beauty) ได้แก่การคิดค้นหาวิธีหรือ กระบวนการเพ่ือสร้างความสวยงามซึ่งควรจะแปลกใหม่ไปจากเดิมท่ีเคยพบเห็นอยู่ทุกวันโดยจะข้ึนอยู่กับ ความนิยมความยอมรับของสงั คมเปน็ หลกั การในการพิจารณาดว้ ยผลงานทศั นศลิ ปโ์ ดยท่ัวไปจะมงุ่ เน้นในการ สร้างสรรค์ความงามความประณีตและความพิถีพิถันจากวิธีการใช้ทัศนศิลป์จึงจะได้รับความนิยมผู้ริเร่ิม ทางานทัศนศิลป์ใหม่ๆจะนิยมเน้นการสร้างสรรค์ตามบุคลิกภาพและบรรยากาศให้คล้ายคลึงวัตถุจริงมาก ท่ีสุดด้วยความประณีตพิถีพิถันเคารพในสภาพเดมิ ของวตั ถุทเี่ ปน็ อยู่และบันดาลใจจุดบันดาลใจทเี่ กดิ ข้ึนจาก อารมณ์ความรู้สึกภายในหรอื ลักษณะตัวอยา่ งที่พบเห็นจากธรรมชาติหรือสง่ิ แวดล้อมภายนอกจะผลักดันให้ เกดิ แนวคิดแบบจนิ ตนาการแลว้ เห็นแจง้ โดยสัญชาตญาณซ่งึ อยนู่ อกเหนือเหตผุ ลธรรมดาเป็นคนใครของจติ ที่ เราจะแกล้งให้บังคับให้เกิดตามลักษณะต่างๆโดยพลการไม่ได้ เมื่อเกิดขึ้นและพัฒนาถึงข้ันสุดท้ายแล้วก็จะ แสดงออกอย่างตรงใจตรงความรู้สกึ ที่พงึ พอใจและมีความปรารถนาบคุ คลทเี่ สแสร้งแกล้งเขียนขนึ้ หรือปัน้ ขึ้น
ในรูปแบบเรอ่ื งราวทตี่ นไม่ร้สู ึกหรือมีความปรารถนาจากจิตใจแล้วก็จะสามารถกระทาได้เพียงรปู เขียนรูปปั้น ท่ีคล้ายคลึงงานทัศนศิลป์เท่านั้นคงไม่สามารถนาเสนอภาพลักษณ์ในเชิงการสร้างสรรค์แบบศิลปะด้วยจิต วิญญาณของศิลปินที่ดีได้สาหรับงานอ่ืนๆของทัศนศิลป์เช่นงานช่างไม้ทาเครื่องเรือนงานสร้างภาพแผ่น โปสเตอร์หรืองานตกแต่งต่างๆก็จะเป็นการสร้างสรรค์ในแวดวงศิลปะได้ถึงแม้ผลงานนั้นทาขึ้นเพ่ือ จุดม่งุ หมายภายนอกอ่นื ๆบางอย่างถา้ พูดทาสามารถสรา้ งจินตนาการจากแนวเร่ืองหรอื รูปทรงนัน้ ไดผ้ ลงานที่ เกิดขึ้นก็จัดว่าเป็นการสร้างสรรคท์ างศิลป์ศิลปะเราทราบกันดีอยู่วา่ ความคิดสร้างสรรค์ตามวิธีของทัศนศิลป์ จะประกอบข้ึนด้วยส่วนสาคัญ 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือแนวเร่ืองกับส่วนท่ีเป็นรูปร่างรูปทรง กล่าวคือรูปทรงในงานศิลปะจะเกดิ ขึ้นได้ก็จะต้องเกิดจากศิลปินเป็นผู้สร้างศิลปะตอ้ งมีลกู ความคิดไอเดีย ที่ เร่ิมกอ่ ตวั มาจากแรงบันดาลใจที่มีความหมายและมีเอกภาพในตัวเองเสียก่อนความคิดนัน้ จึงมีศกั ยภาพพลัง พอท่ีจะผลักดันให้ก่อตัวเป็นรูปร่าง อาบแล้วความหมายได้บุคคลที่มีความคิดสับสนมีความคิดหลักหลาย ต่างๆนานาจนจัดลาดับความสาคัญหรือข้ันตอนไม่ได้กจ็ ะแสดงออกทางรูปทรงทม่ี ีความขดั แย้งขาดเอกภาพ ซึ่งเปน็ หัวใจสาคัญของงานทัศนศิลป์ไปกระบวนการทางานศิลปะทกุ ระดับจะตอ้ งมีการจัดระบบระเบยี บของ ความคิดอย่างเป็นเอกภาพควบคู่กันการมีความรู้ความเข้าใจในการสร้างเอกภาพของรูปทรงแนวเร่ืองของ ผู้สร้างงานทัศนศิลป์ เป็นหลักสาคัญศิลปินท่ีต้องมีเสรีภาพทางแนวความคิดไม่ยึดม่ันยึดติดกับส่ิงใดเป็น บรรทัดฐานตายตัวไม่เป็นทาสของสง่ิ ใดไม่ว่าจะเป็นลัทธิศาสนาอุดมการณ์หรือแมก้ ระท่งั ความคดิ ของตวั เองก็ ศิลปินจะเกิดและเติบโตในแบบส่ิงมีชีวิตด้วยความพอเหมาะพอดีของสภาพแวดล้อมความคิ ดของศิลปะ เหมอื นเม็ดพืชซึ่งศิลปินผู้สรา้ งงานศิลปะมีหนา้ ทเี่ ตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเช่นการเตรียมดินและมัน ลดน้าใหเ้ มลด็ พืชน้าเจรญิ เติบโตเป็นต้นไม้ที่สมบูรณแ์ บบในรูปแบบพันธพ์ุ ืชของมันจะบังคับให้เป็นไปตามใจ ของตนทาฝ่ายเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะถ้าความคิดถูกบังคับควบคุมด้วยสิ่งที่เมาท่ีผิดจากธรรมชาติงาน ทัศนศิลป์จากความคิดน้ันก็จะพิกลพิการไม่ประสบความสาเร็จความคิดในทางศิลปะท่ีไม่พิการคือ แนวความคิดทางบวกซึ่งจะให้คุณก่อประโยชน์ส่วนความคิดในแนวรบนน้ั ในตัวมนุษย์และสรา้ งสังคมมนุษย์ ปัจจุบันน้ันมีมากมายอย่างเหลือหลายจาเป็นท่ีต้องเพิ่มเข้าไปด้วยการแสดงออกทางด้านศิลปะ สาหรับวิธีคิดสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์น้ันจึงเป็นผู้สร้างงานศิลปะตลอดจนนักวิชาการด้านการศึกษาต่างก็ แสดงความเห็นและมกี ารยอมรบั ตรงกนั วา่ เกิดข้ึนจากพัฒนาการด้านสมรรถภาพท่ีสาคญั 3 ประการดังน้ี 1. การรบั รู้ perception 2. จินตนาการ imagination 3. ประสบการณ์ experience แนวคิดทางการสร้างสรรค์ทัศนศิลป์โดยเฉพาะการสร้างงานทัศนศิลป์เพ่ือเป็นการกาหนดแนวทาง ทิศทางที่จะดาเนนิ การและแนวทางแก้ไขข้อบกพรอ่ งท่จี ะเกิดขนึ้ กับการทางานไม่มกี ารทางานทัศนศิลปใ์ ดๆ จะประสบผลสาเร็จที่ดีได้โดยปราศจากแนวคิดหลักการและการสร้างสรรค์ผู้เขียนจะได้ชี้นาหลักการเพื่อ ประกอบพิจารณาแนวทางการคดิ สร้างสรรคไ์ ว้ 3 ประการดงั น้ี 1. การมคี วามรู้ท่ดี ีเกี่ยวกบั วัตถุประสงคข์ องงานทต่ี ้องการสร้างสรรคค์ อื จาเป็นต้องศึกษาใน รายละเอียดของข้อมลู ตา่ งๆทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั วัตถุประสงค์ในการทางานทศั นศิลป์นัน้ เพื่อจะได้ใชเ้ ปน็ ช่องทางใน การกาหนดวิธีขั้นตอนในการทางานใหส้ อดคล้องกันเช่นก่อนสถาปนกิ จะออกแบบเพ่อื สร้างบ้านอาคารที่พัก อาศัยต้องนึกถึงแนวคิดความต้องการท่ีโดดเด่นในการใช้สอยอาคารและงบประมาณท่ีมีอยู่เพ่ือเป็นค่าใชจ้ ่าย ในการก่อสร้างด้วยเป็นการศึกษาข้อมูลและรายละเอียดพื้นฐานแล้วจึงกาหนดแบบบ้านเป็นต้นหรือในบาง
โอกาสของผู้สร้างงานทัศนศิลป์ต้องศึกษาข้อมูลทางธรรมชาติหรือส่ิงแวดล้อมประกอบด้วยตัวอย่างเช่นใน การออกแบบด้านพาณิชย์ศลิ ป์จะต้องศึกษาแนวโน้มความนิยมความของสังคมในขณะน้ันเพ่ือประกอบการ พิจารณาการจดั ทาสอื่ โฆษณาสินค้าต่างๆในปัจจุบนั อาจจะพิจารณาจากสาเหตุท่ีคนไทยนิยมฟงั เพลงกนั มาก ส่ือสารมวลชนทกุ ชนดิ กจ็ ะนยิ มจดั รายการเพลงและแทรกโฆษณา โดยมกั จะใช้นักร้องทม่ี ีชื่อเสียงและเพลงท่ี ได้รับความนิยมเพื่อชักจูงผู้บริโภคลูกค้าท่ีสนใจสินค้าสิ่งท่ีต้องการโฆษณาการศึกษาวัตถุประสงค์ที่มีวิธีการ มากมายขน้ึ อยู่กบั เหตแุ ละผลและเง่ือนไขของงานทีจ่ ะทากล่าวคือ รกั ศิลปินเขยี นภาพจินตนาการที่มีลักษณะ เฉพาะตัวแนวคิดสร้างสรรค์เพ่ือกาหนดวัตถุประสงค์จะเป็นของศิลปินเองโดยอาจจะเป็นวัตถุประสงค์ท่ี มุ่งเน้นความสวยงามด้านสุนทรียภาพหรือวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์ความพึงพอใจส่วนตัวดา แนวทางจิตพิสัยนิยมก็ไดโ้ ดยปกติผูส้ ร้างงานทัศนศลิ ป์มอื ใหมๆ่ จะใช้วิธีหาความร้จู ากแนวความคิดต่างๆเป็น ของศิลปินที่มีช่ือเสียงและผู้ที่ประสบความสาเร็จทั้งในต่างประเทศและในประเทศการนาเป็นตัวอย่างเพ่ือ ฝกึ หัดหรือนามาเปรียบเทียบเพอื่ ปรับปรุงงานสร้างสรรค์ของงานเช่นศลิ ปนิ ทม่ี ีชื่อเสยี งของโลกกระทากนั มา กลา่ วคอื ปาโบลปีกสั โซเคยได้รบั อิทธพิ ลจากวิธีการเขยี นภาพของปอลเซซานในช่วงแรกของการทางานสิ่งของ เขาและตอ่ มาก็ได้รบั อทิ ธิพลของศิลปินแอฟริกากันจนกระทัง่ ได้รับการพัฒนาเป็นรูปแบบสไตลก์ ารเขียนภาพ ของตนเองเฉพาะการรับอิทธิพลทางรูปแบบแนวความคิดจากศิลปินอื่นหรือบุคคลอน่ื ๆไม่ใช่เรื่องเสียหายต่อ การสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ถา้ หากวา่ เป็นการรับมาเพื่อให้เป็นแรงบนั ดาลใจเป็นกลวิธเี พื่อปรบั ปรุงแนวทาง ในการทางานผลของตนเองให้ดีขนึ้ โดยมิใช่เป็นการรับมาเพ่อื การลอกเลียนแบบตัวอย่างใดหรือตามเรอื่ งราว เทคนิคและการจัดภาพลักษณะเหมือนกับต้นแบบทุกประการคงไม่ใช่สิ่งท่ีควรสนับสนุนให้กระทาอย่าง แนน่ อนเพราะน่นั คอื การลอกเลยี นแบบทย่ี นื อยตู่ รงกันข้ามกับความคิดสร้างสรรค์โดยสิ้นเชิง 2. เทคนิคการทางานหมายถึงการกาหนดวิธีการสร้างสรรค์ในการทางานทัศนศิลป์ต่างๆ เพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่ต่อผลงานซ่ึงต้องใช้ความชานาญและความเชี่ยวชาญเฉพาะงานโดยจะ ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้เคร่ืองมืออุปกรณ์วัสดุและกระบวนการทางานศิลปินหรือช่างจาเป็นต้องมีความ เชี่ยวชาญรู้เทคนิคการทางานแขนงใดแขนงหนึ่งเป็นการเฉพาะจึงจะสามารถส่งผลงานได้ดีและมี ความก้าวหน้าผู้เร่ิมทางานทัศนศิลป์ใหม่ๆควรตัดสินใจเลือกเทคนิคท่ีตนเองถนัดและมีควา มสนใจจึงจะ ประสบผลสาเร็จในการทางานวิธีท่ีจะศึกษาว่าตนเองมีความถนัดอะไรก็ควรลงมือปฏิบัติงานทัศนศิลป์ได้ หลายแบบหลายๆด้านเปรยี บเทียบกบั การพิจารณาศกึ ษาเก่ียวกบั สิ่งตอ่ ไปนี้ 2.1 วัตถุประสงคว์ ตั ถแุ ละการใช้วตั ถทุ ่ีเหมาะสมกับคุณสมบัตแิ ละหน้าทใี่ ช้สอย 2.2. มีการใช้เคร่ืองมืออปุ กรณช์ นิดตา่ งๆในการปฏิบัตงิ านอย่างถูกตอ้ ง 2.3. รู้จักกาหนดวิธีการกระบวนการและลาดับขั้นตอนในการทางานได้ถูกต้องซ่ึง จะแตกต่างกนั ไปตามลกั ษณะหรอื วัตถุประสงค์ของการทางานแตล่ ะแขนง 3. คณุ คา่ ด้านสุนทรียภาพหมายถงึ การสร้างค่าเก็บผลงานทัศนศลิ ปท์ ีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ความสวย ความงามในการกาหนดโครงสร้างส่วนสผี ิวทัศนธาตุอื่นๆและองค์ประกอบท่ีเก่ยี วข้องตา่ งๆพรุ่งน้ีเรม่ิ ทางาน ทัศนศิลป์ใหม่ๆจาเป็นต้องมีความเข้าใจไม่คาดเคลื่อนเก่ียวกับวิธีการสร้างความสวยงามโดยเข้าใจว่าความ สวยงามเป็นเรื่องของหญิงงามและดอกไม้งามเป็นต้นงานสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์เป็นการสร้างคุณค่าทาง ความงามทางศิลปะอย่างกว้างขวางมสี ว่ นประกอบสาคญั ในการพจิ ารณาความงามดังน้ี 3.1. ส่วนมูลฐานท่ีแสดงถึงความรู้ความเข้าใจและทักษะในการจัดวางตาแหน่ง ขณะท่ที างของทศั นธาตุคือเสน้ สรี ูปรา่ งรปู ทรงผวิ และนา้ หนัก
3.2. แนวคิดการสร้างสรรค์คุณคา่ ทางความงามและคุณคา่ ทางด้านสุนทรียศาสตร์ (aesthetics) ซึ่งจะมีจดุ ท่ีน่าสังเกตคือการสร้าง ดุลยภาพสว่ นชว่ งจังหวะความกลมกลืนความแตกต่างและ จุดเด่น 3.3. เทคนคิ การใช้วัสดใุ นการตกแตง่ พน้ื ผวิ การใช้วสั ดุให้เหมาะสมกับหน้าที่ใช้สอย และการสร้างสรรค์รูปร่างลักษณะให้เหมาะสมกับคุณสมบัติของวัตถุในการทางานกลวิธีในการสร้างสรรค์ ลกั ษณะรูปแบบของทัศนศิลป์ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้เกิดมีศิลปินผู้สร้างงานศิลปะหลากหลายกลุ่มหลากหลายยุคสมัย แตกต่างกันไปถ่ายทอดความรู้ทางทัศนศิลป์ไว้มากมายหลายชนิดแบบประเภทหลากหลายวิธีตากหลาย รูปแบบดังน้ันการถ่ายทอดความรทู้ ัศนศิลปอ์ ันเป็นตวั กลางจงึ มีความแตกตา่ งกันไปตามลักษณะของเช้ือชาติ และความเชื่อภาษากายของแต่ละกลุ่ม ท่ีมีแนวความคดิ ด้วยกันรวมทง้ั สภาพแวดล้อมจึงเป็นการยากที่จะทา ความเข้าใจในลักษณะรูปแบบทัศนศิลป์ต่างๆได้ ท้ังหมดอย่างไรก็ตามนักวิชาการก็ได้พยายามสรุปเป็น หมวดหมู่ให้ง่ายต่อการคน้ คว้าและทาความเข้าใจโดยการนาเอาลักษณะรวมบางประการของคณะศิลป์เป็น หลักพิจารณาและไดแ้ บ่งวธิ กี ารสรา้ งสรรคร์ ูปแบบทัศนศลิ ป์ไว้ 3 ลกั ษณะคอื 1. การสรา้ งสรรคแ์ บบศิลปะรปู ลักษณ์ (figurative art) หมายถงึ วิธีสรา้ งสรรคง์ านทศั นศิลป์ ด้วยการแสดงรูปลักษณข์ องคนสัตว์ส่ิงของและสิ่งอื่นๆท่พี บเห็นในธรรมชาติอย่างเคร่งครัดพยายามนาเสนอ ผลงานโดยไม่มีการเปล่ียนแปลงหรือบิดเบอื นไปจากความจริงที่ปรากฏในสภาพแวดล้อมจากการมองเห็นซึ่ง จดั วา่ เป็นการสร้างสรรค์ผลงานให้สอ่ื ความหมายออกมาในลักษณะทใ่ี กลเ้ คยี งเหมือนธรรมชาติมากท่สี ุดเป็น ลักษณะแปลความหมายและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตัวศิลปินลงไปในผลงานอีกทอดหนึ่งเร่ืองราวจะ เปน็ การนาเสนอความจรงิ เกีย่ วกบั ธรรมชาติชีวิตความเปน็ อยู่ของคนในสังคมต่างๆการสรา้ งสรรคร์ ูปแบบดว้ ย กลวธิ นี เ้ี รยี กอกี ชือ่ หนง่ึ ว่าศิลปะรูปธรรม 2. การสร้างสรรค์แบบศิลปะไร้รูปลักษณะ (non figurative art) หรือเรียกอีกช่ือหนึ่งว่า ศิลปะนามธรรมเป็นศิลปะที่มุ่งแสดงออกโดยการสร้างสรรค์รูปแบบท่ีแยกความรู้สึกออกจากรูปทรงหรือ รูปร่างท่ีเป็นจรงิ และเปิดโอกาสให้ผ้ดู ูสามารถรับรูซ้ าบซึง้ ไดต้ ามอธั ยาภาพอาจไม่จาเป็นต้องเข้าใจความหมาย ของผลงานตรงกับผู้สร้างสรรค์ผลงานก็ไดศ้ ิลปะนามธรรมเป็นศิลปะท่ีมีลักษณะสกัดความรู้สึกโดยส่วนรวม ออกจากสภาพหรือส่ิงแว ดล้อมหรือพูดง่ายๆว่าศิลปินจะไ ม่สนใจเรื่อ งราวความเป็นจริง ตามธร รมชาติที่ มองเห็นแต่จะให้ความสาคัญกบั การจดั ทัศนธาตเุ ช่นการใช้เส้นสรี ูปร่างรูปทรงตา่ งๆบางครั้งก็มีรปู รา่ งเหมือน จริงแต่ก็บางอย่างแตกต่างกันเช่นการเขียนภาพถ้ามัวการใช้ลีลาจังหวะซ้ากันตลอดจนการใช้วิธีลดทอน (distortion) รปู ทรงจากธรรมชาตใิ ห้เปน็ รูปทรงงา่ ยๆจนแทบไม่มีเขาคงรูปทรงต้นแบบอยูเ่ ลยบางคร้ังผู้สรา้ ง งานทัศนศิลป์ตามวิธีนี้อาจสร้างสรรค์รูปทรงข้ึนจากรูปร่างต่างๆของเรขาคณิตหรือการสร้างสรรค์ด้านรอย แปลงรนุ แรงชกั ไวมีจงั หวะมลี ีลาซ้อนกัน 3. การสร้างสรรค์ศิลปะแบบกึ่งไร้รูปลักษณ์ (semi figurative art and non figurative art) หมายถงึ การสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะโดยให้ความสาคัญแก่รปู แบบธรรมชาติน้อยลงและเพิม่ ความสาคัญ ให้แก่รูปแบบในความรู้สึกนึกคิดของตนเองมากข้ึนลักษณะรูปแบบจะถูกสร้างขึ้นโดยวิธีการสกัดทองจาก รูปทรงธรรมชาติโดยเลือกเฉพาะลักษณะเด่นมาเป็นบางส่วนแล้วนามาจัดองค์ประกอบขึ้นใหม่ลักษณะกึ่ง นามธรรมคือลักษณะที่คร่ึงจริงตามธรรมชาติและคร่ึงเป็นไปตามใจของปรารถนาของศิลปินรูปแบบท่ีแสดง ถ่ายทอดในลักษณะนี้จะไม่มีการแบ่งเป็นภาพคนสัตว์ภาพหุ่นนิ่งหรือภาพทิวทัศน์ดังเช่นการสร้างสรรค์ใน
ลักษณะท่ีเหมือนจริงตามธรรมชาติการทาความเข้าใจเก่ียวกับรูปแบบกึ่งนามธรรมหรือก่ึงไร้รูปลักษณ์นี้ ค่อนข้างยากเพราะจะไม่แสดงรูปลักษณะท่ีชัดเจนออกมาต้องใช้การสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของ ความเป็นนามธรรมและความเป็นรปู ประธรรมให้ชัดเจนอตั ราส่วนที่ลดทอนในการถา่ ยทอดความรู้ถ่ายทอด รูปแบบมากนอ้ ยเพียงใดโดยปกติผู้สร้างสรรคจ์ ะเดนิ จากปลายข้างรูปประธรรมไปหานามธรรมถา้ มคี วามรสู้ ึก วา่ เดินไกลเกนิ ความจาเป็นที่ธรรมชาติภายในตนเองจะยอมรับไดก้ ็จะเดินกลับศลิ ปนิ บางคนเดินกลับไปมาอยู่ บนเสน้ แกนนีโ้ ดยไมย่ อมจากดั ตวั เองอยใู่ นลทั ธิใดลัทธหิ นึ่งท่ชี ัดเจน
Search