Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ขอบหน้า พืชอวบน้ำและต้นกระบองเพชร ว่างเปล่า

ขอบหน้า พืชอวบน้ำและต้นกระบองเพชร ว่างเปล่า

Published by Buajan Tree, 2022-08-29 02:13:34

Description: ขอบหน้า พืชอวบน้ำและต้นกระบองเพชร ว่างเปล่า

Search

Read the Text Version

จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกตะขาบ ( Roller ) นกตะขาบ หรือ นกขาบ (อังกฤษ: Roller) เป็นนกในวงศ์หนึ่ง ที่อยู่ใน อันดับนกตะขาบ (Coraciiformes) ซึ่งร่วมด้วยนกกะรางหัวขวาน (Upupidae), นกกระเต็น (Alcedinidae), นกจาบคา (Meropidae), นก เงือก (Bucerotidae) สำหรับนกตะขาบจัดอยู่ในวงศ์ Coraciidae นกตะขาบ เป็นที่บินได้เก่งมาก ลำตัวอวบอ้วน หัวโต ปากหนาใหญ่ ลำตัวขนาดพอ ๆ กับอีกา ส่วนใหญ่ลำตัวมีสีม่วงหรือน้ำเงินคล้ำ ชอบเกาะนิ่งตามที่โล่ง ๆ เช่น ทุ่งหญ้า, ทุ่งนาเพื่อมองหาเหยื่อซึ่งได้แก่ แมลงขนาดใหญ่, กิ้งก่า และสัตว์ เล็ก ๆ เมื่อพบจะบินออกไปจับอย่างรวดเร็ว ทั้งพุ่งลงไปที่พื้นดินและบินไล่ จับกลางอากาศ ชอบบินร่อนฉวัดเฉวียนเสมอ ทำรังในโพรงไม้หรือซอกหิน วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัว 17-20 วัน ลูกนกใช้เวลา ประมาณ 30 วันอาศัยอยู่ในรัง[4] โดยในบางชนิด เมื่อโตแล้วแยกออกไป สร้างรังต่างหาก ยังมีพฤติกรรมกลับมาช่วยพ่อแม่ที่ให้กำเนิด เลี้ยงดูลูกนก ที่เกิดใหม่ด้วย ดังนั้น ในรังบางครอกจะมีลูกนกที่เป็นเครือญาติกันเกิด พร้อม ๆ กัน จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกยูงไทย ( Green peafowl) นกยูงไทย หรือ นกยูงสีเขียว (อังกฤษ: Green peafowl; ชื่อ วิทยาศาสตร์: Pavo muticus มาจากภาษาละติน Pavo, นกยูง; muticus, เชื่อมต่อ หรือ ตัดทอน) เป็นไก่ฟ้ าขนาดใหญ่ที่พบในป่าเขตร้อนของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เป็นญาติใกล้ชิดกับนกยูงอินเดียหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นกยูงสีฟ้ า (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pavo cristatus) ที่ส่วนมากพบในอนุทวีป อินเดีย โดยจัดให้อยู่ในกลุ่มชนิดใกล้สูญพันธุ์ตามบัญชีแดงไอยูซีเอ็นตั้งแต่ ค.ศ. 2009 เนื่องจากประชากรทั่วโลกลดลงอย่างมากและมีการกระจัด กระจายอย่างมากจากการสูญเสียที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ การเกี้ยวพาราสีกันของนกยูงเริ่มเมื่อนกยูงตัวเมียหากินเข้าไปดิน แดนของนกตัวผู้ ตัวผู้จะร่วมเข้าไปหากินในฝูงด้วย หากตัวเมียพร้อมที่จะ ผสมพันธุ์จะย่อตัวลงให้ตัวผู้ขึ้นผสมพันธุ์ นกยูงทำรังบนพื้นดินตามที่โล่ง หรือตามซุ้มกอพืช อาจมีหญ้าหรือใบไม้แห้งมารองรัง วางไข่ครั้งละ 3 - 6 ฟอง เริ่มฟักไข่หลังจากออกไข่ฟองสุดท้ายแล้ว โดยใช้เวลาฟักทั้งสิ้น 26 วัน ลูกนกแรกเกิดมีขนอุยคลุมทั่วตัว สามารถยืนและเดินตามแม่ไปหาอาหารได้ ทันทีที่ขนแห้ง โดยลูกนกจะตามแม่ไปหากินไม่น้ อยกว่า 6 เดือน จากนั้นจึง หากินตามลำพัง จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกเค้า ( Collared Scops-owl ) นกเค้า หรือ​นกฮูก เป็นนกที่อยู่ในอันดับ Strigiformes มีรูปใบหน้ า คล้ายแมว อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ จับสัตว์เล็ก ๆ กินเป็นอาหาร เช่น ค้างคาว หนู, งู สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเล็ก ๆ ในขณะที่บาง ชนิดที่มีขนาดใหญ่อาจจับปลาหรือปูกินได้ด้วย จัดเป็นนกล่าเหยื่อจำพวก หนึ่งเหมือนเหยี่ยว, อินทรี และแร้ง ที่หากินในเวลากลางวัน ส่วน นกเค้าแมวนั้นมักหากินในเวลากลางคืน ทำให้มีเล็บโค้งแหลมและมีปากงุ้ม แหลมสำหรับจับสัตว์กิน หูของนกเค้าแมวมีความไวมากเป็ นพิเศษสำหรับการฟั งเสียงในเวลา กลางคืนและหาเหยื่อ มีขนปีกอ่อนนุ่ม บินได้เงียบเพื่อไม่ให้เหยื่อรู้ตัว และมี ประสาทสายตาที่มองเห็นได้ดีกว่ามนุษย์ถึง 100 เท่าโดยปกติแล้วตัวเมียมี ขนาดโตกว่าตัวผู้ ตัวเมียเป็นตัวที่กกไข่ ตัวผู้ไม่กกไข่ มักพบก้อนที่สำรอก คายออกทิ้งลงมาที่พื้นเบื้องล่างในรังหรือบริเวณใกล้เคียงกับรัง เพราะ นกเค้าแมวมักกลืนเหยื่อเข้าไปทั้งตัว กระดูกและขนที่ไม่ย่อยก็สำรอกออก มาเป็ นก้อนทิ้งทีหลัง จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกแสก (Tytonidae) นกแสก นกแฝก หรือ นกเค้าหน้ าลิง เป็นนกเค้าแมวชนิดหนึ่งในวงศ์ นกแสก (Tytonidae) วงศ์ย่อย Tytoninae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tyto alba จัดเป็น 1 ชนิดในจำนวน 19 ชนิดของนกในอันดับนกเค้าแมวที่พบได้ใน ประเทศไทย และนับเป็นนกแสกชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย (อีก 1 ชนิดนั้นคือ นกแสกแดง) นกแสกนับได้ว่าเป็นนกที่มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางมาก โดย พบได้แทบทุกมุมโลก ยกเว้นในทวีปอเมริกาเหนือในส่วนของรัฐอะแลสกา และประเทศแคนาดา บางส่วนของทวีปแอฟริกาทางตอนเหนือ และทวีป เอเชียในส่วนของภูมิภาคเอเชียเหนือ, เอเชียกลางและเอเชียตะวันออก เท่านั้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ในทุกภาค จึงทำให้นกแสกมี ชนิดย่อยมากมายถึง 32 ชนิดย่อยด้วยกัน[2] เช่น T. a. alba พบในทวีป ยุโรปและทวีปแอฟริกาบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์, T. a. javanica พบในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็ นต้น จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกปรอดหัวโขน (Red-whiskered bulbul นกปรอดหัวโขน หรือ นกปรอดหัวจุก หรือที่นิยมเรียกกันว่า นกกรง หัวจุก (อังกฤษ: Red-whiskered bulbul; พายัพ: นกปิ๊ดจะลิว; ชื่อ วิทยาศาสตร์: Pycnonotus jocosus) เป็นนกที่อยู่ในวงศ์นกปรอด (Pycnonotidae) ซึ่งอยู่ด้วยกันทั้งหมด 109 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบ ได้ 36 ชนิด นกปรอดหัวโขนเป็นนกขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร ที่มีสีสันสวยงามและเสียงร้องไพเราะ ที่แก้มและคอจนถึง หน้ าอกจะมีสีขาวและมีสีแดงเป็นเส้นอยู่ข้างหูลงมาถึงหน้ าอกเหมือนเป็น เส้นแบ่งขนสีขาวกับสีดำที่มีอยู่ทั่วทั้งตัวขนส่วนหัวจะร่วมกัน เป็นเหมือน หน่อตั้งอยู่บนหัวสูงขึ้นไปเหมือนหัวโขน อันเป็นที่มาของชื่อ ใต้ท้องมีขนสี ขาว พบกระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเอเชียตะวันออก พบได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ตั้งแต่ยอดเขาสูง ป่าที่ราบต่ำ จนถึงทุ่ง หญ้า ชายป่า และเขตที่ใกล้กับชุมนุมมนุษย์ จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกปรอดทอง ( Black-headed bulbul ) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pycnonotus atriceps ลักษณะ : ไม่มีหงอน หัวและคอดำเป็นมัน ตาสีฟ้ า ลำตัวด้านบนและอก เขียวแกมเหลือง ลำตัวด้านล่างและตะโพกเหลืองสด ปีกเหลือง ขนปลายปีก ดำ หางสีเหลืองครึ่งล่างดำ ปลายขลิบเหลืองสด นกบางตัวอกและท้องเทา (หายาก) หรือลำตัวด้านล่างเขียวแกมเหลืองทั้งหมด ขนาด : 17.5 – 19 cm เสียงร้อง : “จิ๊บ” แหลมสูง ทิ้งจังหวะ ถิ่นอาศัย : ป่าดิบ ป่าโปร่ง ชายป่า มี่ราบถึงความสูง 1,600 เมตร นกประจำ ถิ่น พบบ่อย จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกปรอดหัวสีเขม่า (Sooty-headed bulbul) นกปรอดหัวสีเขม่า หรือ นกแทดตากแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pycnonotus aurigaster; อังกฤษ: Sooty-headed bulbul) เป็นนกประจำ ถิ่นที่จัดอยู่ในประเภทสัตว์ป่าคุ้มครอง พบเห็นได้ง่ายในทุกภาคของนก ปรอดหัวสีเขม่าเป็นนกขนาดเล็ก ลำตัวยาวประมาณ 18–20 เซนติเมตร ปากมีสีดำ เรียวแหลม และโค้งลงเล็กน้ อย มีขนหนวด มีขนทรงพังค์เล็ก ๆ สีดำที่หัวด้านบน โดยส่วนนี้จะมีสีดำครอบตั้งแต่รอบดวงตาไล่มาถึงแก้มและ จมูกซึ่งเป็นจุดเด่นของนกชนิดนี้ แก้มและคางมีสีเทาแกมขาว ตั้งแต่คางลง ไปถึงใต้ท้องมีสีขาวนวล ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลแกมเทา บริเวณก้นมีสีส้ม แดง สีแดงสด สีเหลือง โดยสีดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาหรือแหล่งที่อยู่ อาศัยที่แตกต่างกัน หางยาวมีสีน้ำตาลเทาเกือบดำ ส่วนปลายหางมีสีขาวเห็น ได้ชัดเจนขณะบิน โดยตัวผู้กับตัวเมียมีลักษณะคล้าย ๆ กันประเทศไทย ยกเว้นทางภาคใต้ จัดอยู่ในวงศ์นกปรอด (Pycnonotidae) ในประเทศไทยพบได้ในทุกภาค ยกเว้นภาคใต้และตอนล่างของภาค ตะวันตก รวมทั้งพบได้ในประเทศทางแถบเอเชียเช่น กัมพูชา พม่า ฮ่องกง จีน อินโดนีเซีย ลาว และเวียดนามเป็นต้น จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกเจ้าฟ้าหญิง สิรินธร (White-eyed River-Martin ) ลักษณะ : นกนางแอ่นที่มีลำตัวยาว ๑๕ เซนติเมตร สีโดยทั่วไปมีสีดำ เหลือบเขียวแกมฟ้ า โคนหางมีแถบสีขาว ลักษณะเด่นได้แก่ มีวงสีขาวรอบ ตา ทำให้ดูมีดวงตาโปนโตออกมา จึงเรียกว่านกตาพอง นกที่โตเต็มวัย มี แกนขนหางคู่กลางยื่นยาวออกมา ๒ เส้น อุปนิสัย : แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และที่อาศัยในฤดูร้อนยังไม่ทราบ ใน บริเวณ บึงบอระเพ็ด นกเจ้าหญิงสิรินธรจะเกาะนอน อยู่ในฝูงนกนางแอ่น ชนิดอื่นๆ ที่เกาะอยู่ตามใบอ้อ และใบสนุ่นภายในบึงบอระเพ็ด บางครั้งก็พบ อยู่ในกลุ่มนกกระจาบ และนกจาบปีกอ่อน กลุ่มนกเหล่านี้มีจำนวนนับพันตัว อาหารเชื่อได้ว่าได้แก่แมลงที่โฉบจับได้ในอากาศ จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกมาคอร์ ( Macaw ) มาคอว์ (อังกฤษ: Macaw) เป็นสัตว์ปีกอยู่ในวงศ์ Psittacidae มาคอว์ จัดเป็นนกในตระกูลปากขอที่มีขนาดใหญ่ นิยมเลี้ยงกันมากเนื่องจากมีสีสัน ที่สวยงาม เชื่อง และสามารถพูดเลียนเสียงคนได้ มาคอว์ถือเป็นนกแก้วที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโก และทวีปอเมริกาใต้ มีสีสันสวยงาม มีเสียงร้องที่ดังมากจะงอยปากจะใหญ่ เป็นพิเศษ เหนือปากด้านบนจะมีสีขาวเส้นเล็กๆ คาดระหว่างปากกับหัว บน หัวมีขนสีเขียวสดและสีฟ้ า ดวงตามีขนเป็นลายเส้นดำ 4-5 เส้น ขนบริเวณ คอจนถึงหน้ าอกเป็นสีเหลืองเข้มและขนหางมีสีแดงสด ขาสั้นใหญ่ แข็งแรง ขนที่ปีกบางทีก็เป็นสีฟ้ าและสีเหลืองหรือสีเขียวเหลือง ขนาดของนกแก้วมา คอว์มีขนาดตั้งแต่ 32-35 นิ้ว อาหารของมาคอว์คือ ผลไม้และเมล็ดธัญพืช ชอบอยู่กันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ในฤดูผสมพันธุ์จะจับคู่กันแบบคู่ใครคู่มัน และไปสร้างรังตามต้นไม้ใหญ่เพื่อ วางไข่ วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ 30-35 วัน ขนของลูกนกจะขึ้น หลังจาก 3 สัปดาห์และขึ้นจนเต็มตัวและมีสีสันสวยงาม ลูกนกจะแข็งแรง เต็มที่เมื่ออายุสามเดือน ในระหว่างที่ยังเล็กต้องอาศัยอาหารจากแม่นกที่นำ มาป้ อน โดยจะใช้ปากจิกกินอาหารจากปากแม่ของมันจนกระทั่งลูกนก สามารถช่วยตนเองได้ และในที่สุดมันก็จะบินและหาอาหารเองโดยไม่ต้อง อาศัยพ่อแม่อีกต่อไป จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกแก้วโม่ง ( Alexandrine parakeet ) นกแก้วโม่ง (อังกฤษ: Alexandrine parakeet, Alexandrine parrot; ชื่อวิทยาศาสตร์: Psittacula eupatria) เป็นนกตระกูลนกแก้วขนาดเล็ก- กลาง โดยมีชื่อสามัญตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ อเล็กซานเดอร์มหาราชกษัต ริย์แห่งอาณาจักรมาซิโดเนีย เมื่อครั้งยาตราทัพเข้ามาสู่ในทวีปเอเชีย โดยได้ นำนกแก้วชนิดนี้กลับไปยังทวีปยุโรป นกแก้วโม่งมีความยาววัดจากหัวถึงปลายหางได้ราว 57-58 เซนติเมตร ลำตัวมีสีเขียว จะงอยปากมีลักษณะงุ้มใหญ่สีแดงสด บริเวณหัว ไหล่จะมีแถบสีแดงแต้มอยู่ทั้งสองข้าง นกเพศผู้และเมียสามารถแยกแยะได้ เมื่อนกโตเต็มที่ กล่าวคือในเพศผู้จะปรากฏมีแถบขนสีดำและสีชมพูรอบคอ ที่เรียกกันว่า \"Ring Neck\" ซึ่งในนกเพศเมียไม่มีเส้นที่ปรากฏดังกล่าว จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกมาคอนัวร์ ( Conure ) นกคอนัวร์ (Conure) เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของ นกแก้ว ที่มีถิ่นกำเนิด อยู่แถบละตินอเมริกา จากเม็กซิโกลงมาถึงหมู่เกาะคาริบเบียนและชิลีใต้ นก คอนัวร์ พันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ พาทาโกเนี่ยน มีความยาวประมาณ 17.5 นิ้ว และ นกคอนัวร์ พันธุ์ที่เล็กที่สุดคือ เพ้นท์เท็ต มีความยาวประมาณ 8.5 นิ้ว โดย นกคอนัวร์ เป็นนกที่รักความสงบและอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ทั้งนี้ คำว่า conure (คอนัวร์) มาจากคำว่า Conurus (คอนูรัส) นกคอ นัวร์ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Aratinga (อาราทิงก้า) นกคอนัวร์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Aratinga และ Pyrrhura จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกหงส์หยก ( Budgie ) นกหงส์หยก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Melopsittacus undulatus) เป็นนก ปากขอขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่มีลวดลายและสีสันที่สวยงาม ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม ของนกหงส์หยกอยู่ตามแถบทุ่งหญ้าในประเทศออสเตรเลีย มีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า \"บัดจี\" (budgie) หรือ \"แพระคีต\" (parakeet) ครั้งหนึ่ง ผู้คนทั่วไปเคย เข้าใจว่านกหงส์หยกเป็ นนกที่อยู่ในจำพวกนกเลิฟเบิร์ดแต่ในปั จจุบันได้ ยอมรับกันแล้วว่าเป็นนกคนละจำพวกกัน โดยผู้ที่ทำการอนุกรมวิธาน คือ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น กูลด์ ที่เข้าไปศึกษาธรรมชาติวิทยาที่ ออสเตรเลียเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว [2] โดยถือเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในสกุล Melopsittacus[3] โดยทั่วไปแล้วสีตามธรรมชาติ นกหงส์หยกมักมีขนสีเขียว, ฟ้ า, เหลือง และขาว แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความหลากหลาย ออกไปจากสีดั้งเดิมตามธรรมชาติในฐานะของการเป็นสัตว์เลี้ยง โดยมีชื่อ เรียกต่าง ๆ กันตามลักษณะ อาทิ \"โอแพล์ลิน\", \"อัลบิโนส์\" และ\"ลูติโนส์ จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกเงือก ( Buceros bicornis ) นกเงือก เป็นนกขนาดใหญ่ ที่อยู่ในวงศ์ Bucerotidae ในอันดับนก ตะขาบ (Coraciiformes) (บางข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลเก่าจะจัดให้อยู่ในอันดับ Bucerotiformes ซึ่งเป็นอันดับเฉพาะของนกเงือกเอง แต่ปัจจุบันนับเป็นชื่อ พ้อง โดยนับรวมนกเงือกดินเข้าไปด้วย เป็นนกที่เชื่อว่าถือกำเนิดมานานกว่า 45 ล้านปีมาแล้ว นกเงือก มีลักษณะการทำรังที่แปลกจากนกอื่น คือ เมื่อถึงฤดูกาลทำรัง นกคู่ผัวเมียจะพากันหารัง ซึ่งได้แก่ โพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นยาง ที่ อยู่ในที่ลับตา เมื่อตัวเมียเข้าไปอยู่ในโพรง จะทำความสะอาดแล้วเริ่ม ปิดปากโพรง ด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ดิน เปลือกไม้ ตัวเมียจะขังตัวเองอยู่ ภายในเพื่อออกไข่และเลี้ยงลูก จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกนางนวล ( Charadrilformes ) นกนางนวล เป็นนกทะเลวงศ์หนึ่ง ในอันดับนกชายเลนและนก นางนวล (Charadriiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Laridae เป็นนกที่มีขนาดปานกลางจนถึงขนาดใหญ่ มีลักษณะทั่วไป คือ มีขนสีเทา หรือขาว บางชนิดมีสีดำแต้มที่หัวหรือปีก มีปากหนายาว และเท้าเป็นผังพืด เป็นนกที่มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ หากินตามชายฝั่งทะเล และบาง ชนิดเข้ามาหากินในแหล่งน้ำจืดบ้าง เป็นนกที่ชาวทะเลหรือนักเดินเรือให้ ความนับถือ โดยถือว่า หากได้พบนกนางนวลแล้วก็แสดงว่าอยู่ใกล้แผ่นดิน มากเท่านั้น พบทั่วโลก 55 ชนิด ใน 11 สกุล (ดูในตาราง) พบในประเทศไทย ทั้งหมด 9 ชนิด โดยทุกชนิดถือเป็นนกอพยพหนีความหนาวจากซีกโลกทาง เหนือ จะพบได้บ่อยในช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดูกาลระหว่างฤดูฝนกับฤดูหนาว โดย สามารถบินได้เร็วในระยะทาง 170-190 กิโลเมตร และบินตามมากันเป็นฝูง ใช้เวลากกไข่นานราว 24 วัน ลูกนกใช้เวลา 3 เดือน จึงจะบินได้เหมือนพ่อ แม่สถานที่ ๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอพยพของนกนางนวลในประเทศไทย คือ บางปู ในจังหวัดสมุทรปราการ เป็นแหล่งที่ชมนกนางนวลอพยพได้ในทุกปี โดยแต่ละครั้งจะมีจำนวนนกไม่ต่ำกว่า 5,000 ตัวอนึ่ง นกในวงศ์นกนางนวล เดิมเคยถูกจัดเป็นวงศ์ใหญ่ เคยมีนกในวงศ์อื่นถูกจัดให้อยู่ร่วมวงศ์เดียวกัน จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกแขกเต้า ( Red-breasted parakeet ) นกแขกเต้า (Psittacula alexandri, Red-breasted parakeet) เป็นนกแก้วชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นนกประจำถิ่นที่พบได้ทุกภาคของ ประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้เท่านั้นที่ไม่พบนกชนิดนี้มีลำตัวขนาด 35 เซนติเมตร หัวใหญ่ คอสั้น หางยาวแหลม ขนปกคลุมลำตัวสีสันสดใสตัวผู้ ลำตัวด้านบนสีเขียว ลำตัวด้านล่างมีสีเขียวอ่อนอมฟ้ า บริเวณอกสีชมพูแก้ม ส้ม หัวสีม่วงแกมเทาหน้ าผากมีแถบสีดำคาดไปจรดตาทั้งสองข้าง และมี แถบสีดำลากจากโคนปากไปถึงแก้ม จะงอยปากบนสีแดงสด จะงอยปากล่าง สีดำ ส่วนตัวเมียต่างจากตัวผู้ตรงที่หัวเป็นสีน้ำเงินแกมเทาจะงอยปากบนสี ดำสนิท นกแขกเต้าพบได้ในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชาและ เวียดนาม ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ที่พบน้ อยมาก อาศัยอยู่ในป่าโปร่ง ตั้งแต่พื้นราบไปจนถึงระดับความสูง 1,200 เมตรจากระ ดับน้ำทะเล จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกแขวก ( Night heron ) นกแขวก (อังกฤษ: Black-crowned night heron, Night heron; ชื่อวิทยาศาสตร์: Nycticorax nycticorax) เป็นนกชนิดหนึ่ง จำพวกนกยาง จัดเป็นนกยางหรือนกกระยางชนิดที่ปรับตัวให้หากินในเวลากลางคืนได้ ซึ่ง ต่างจากนกยางทั่วไปที่หากินในเวลากลางวัน โดยได้ชื่อมาจากเสียงร้องที่ดัง \"แคว้ก\" ที่มักจะร้องดังขณะบินผ่านยามค่ำคืน ในขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์ Nycticorax หมายถึง \"นกเรเวนกลางคืน\" เป็นนกที่มีแหล่งอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะ แหล่งน้ำขนาดใหญ่เช่น บึงที่มีไม้ยืนต้นขึ้นรก ๆ หรือแม้แต่ตามสวน สาธารณะในเมืองใหญ่ มักเกาะอยู่กับกิ่งไม้หรือตอไม้นิ่ง ๆ เพื่อรอจับเหยื่อ ซึ่งได้แก่ สัตว์น้ำรวมถึงสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกเล็ก ๆ แม้จะหากินในเวลากลางคืนเป็นหลักและไม่ค่อยบินไกลในเวลากลางวัน แต่ พฤติกรรมการหากินในเวลากลางวันก็เป็ นเรื่ องปกติ พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก พบได้ทั้งในเขตอบอุ่นและเขต ร้อน ยกเว้นทวีปออสเตรเลีย นกแขวกทางตอนใต้ของทวีปอเมริกามี กระหม่อมและหลังสีเทาอ่อนกว่าที่อื่น นอกจากนี้บริเวณส่วนหัวและอกก็เป็น สีน้ำตาลอมเทา ประชากรทางตอนเหนือจะอพยพบินสู่ทางใต้ในช่วงฤดูหนาว จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกยางควาย ( Cattle egret ) นกยางควาย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bubulcus ibis; อังกฤษ: Cattle egret) เป็นนกยางสีขาว ในวงศ์ Ardeidae พบในเขตร้อนและอบอุ่น นก กระยางควายมีจุดกำเนิดในทวีปเอเชีย แอฟริกาและยุโรป แต่นกยางมีการ ขยายพันธุ์และกระจายตัวไปทั่วโลก และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราช บัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จัดเป็นนกเพียงชนิด เดียวเท่านั้นในสกุล Bubulcus ในฤดูผสมพันธุ์นกชนิดนี้จะดูสวยและจำแนกได้ง่าย เพราะหัว คอ หน้ าอก และหลังจะมีขนสีเหลืองทองสดใสปกคลุมไปทั่ว ขาที่เคยเป็นสีดำ สนิทก็จะมีสีเหลืองหรือสีแดงมาแทนที่ ในช่วงนี้เมื่อจับคู่แล้วนกทั้งสองเพศ จะช่วยกันทำรังโดยตัวผู้หาวัสดุซึ่งก็คือกิ่งไม้แห้งที่อาจจะหามาเองหรือขโมย เอาจากรังใกล้ๆ ตัวเมียสร้างรัง เมื่อวางไข่ ไข่เป็นสีฟ้ า-ขาวซีด เป็นรูปวงรี ขนาด 45 มิลลิเมตร x 53 มิลลิเมตร แล้วจะช่วยกันกกไข่และหาอาหารมา ป้ อนลูก จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกกระทุง ( Spot-billed pelican ) นกกระทุง (อังกฤษ: Spot-billed pelican; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pelecanus philippensis) นกน้ำขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระทุง (Pelecanidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์นี้ ที่พบได้ใน ประเทศไทย ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงทั้งช่วงเวลาหากินและทำรัง ขณะหา อาหารจะใช้ถุงใต้คอทำหน้ าที่คล้ายสวิงช้อนปลาลงในลำคอ นกกระทุงทำรัง อยู่บนต้นไม้รวมกันเป็นฝูง วางไข่คราวละ 1–5 ฟอง และใช้เวลาฟักไข่ ประมาณ 30 วัน โดยทั้งตัวผู้และตัวเมียผลัดกันทำหน้ าที่ จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกกาเหว่า ( Asian koel ) นกกาเหว่า หรือ นกดุเหว่า (อังกฤษ: Asian koel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Eudynamys scolopaceus เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกคัคคู (Cuculidae) พบในเอเชียใต้ จีน เอเชียอาคเนย์รวมทั้งประเทศไทย เป็นญาติใกล้ชิดกับ E. melanorhynchus (อังกฤษ: black-billed koel) และกับ E. orientalis (อังกฤษ: Pacific koel) โดยทั้งสองบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ย่อยของ E. scolopaceus เป็นญาติใกล้ชิดกับ E. melanorhynchus (อังกฤษ: black- billed koel) และกับ E. orientalis (อังกฤษ: Pacific koel) โดยทั้งสองบาง ครั้งจัดเป็นสปีชีส์ย่อยของ E. scolopaceus เป็นนกปรสิตที่วางไข่ให้กาและ นกอื่น ๆ เลี้ยง เป็นนกจำพวกคัคคูที่ไม่เหมือนพันธุ์อื่น ๆ เพราะโดยมากกิน ผลไม้ (frugivore) เมื่อเติบใหญ่[6] เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ชื่อว่า \"กาเหว่า\" และชื่ออื่น ๆ อีกหลายภาษารวมทั้งชื่ออังกฤษว่า \"koel\" เป็นชื่อ เลียนเสียงนก เป็นนกที่ใช้เป็นสัญลักษณ์อย่างมากมายในวรรณกรรมอินเดีย จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกกนะจิบ ( Asian koel ) กระจิบ หรือ นกกระจิบ (อังกฤษ: Tailorbird)อยู่ในสกุล Orthotomus เป็นนกขนาดเล็ก จากปลายปากถึงปลายหางรวมกันแล้วยาว เพียง 12 เซนติเมตร ปากเล็กบาง ขายาวเรียวเล็ก ชอบกระดกหางขึ้นลง และกระโดดไปมาตลอดเวลา หากินตามกิ่งไม้ อยู่เป็นคู่ ทำรังอยู่ด้วยกัน วางไข่คราวละ 3-5 ฟอง ไข่สีเขียว สีฟ้ าหรือสีชมพู มีจุดสีน้ำตาลกระจายอยู่ ทั่วไป ใช้เวลากกไข่ประมาณ 12 วันก็จะฟักออกเป็นตัว จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกกางเขน ( Oriental magpie robin ) นกกางเขน หรือ นกกางเขนบ้าน (อังกฤษ: Oriental magpie robin, ชื่อวิทยาศาสตร์: Copsychus saularis) เป็นนกชนิดหนึ่งที่กินแมลง มีขนาดไม่ใหญ่นัก ยาวประมาณ 18-20 เซนติเมตร ส่วนบนลำตัวสีดำเงา ส่วนล่างตั้งแต่หน้ าอกลงไปจะเป็นสีขาวหม่น ใต้หางและข้างหางมีสีขาว ปีก มีลายพาดสีขาวทั้งปีก ตัวผู้สีจะชัดกว่าตัวเมีย ส่วนที่เป็นสีดำในตัวผู้ ในตัว เมียจะเป็นสีเทาแก่ ปากและขาสีดำ มักจะพบเป็นตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก หากินแมลงตามพุ่มไม้ บางครั้งก็โฉบจับแมลงกลางอากาศ หางของมันมัก กระดกขึ้นลง ร้องเสียงสูงบ้าง ต่ำบ้าง ฟังไพเราะ ทำรังตามโพรงไม้ที่ไม่สูง นัก มันจะวางไข่ครั้งละ 4-5 ฟองและตัวเมียเท่านั้นจะกกไข่ และจะฟักไข่ นานประมาณ 8-14 วัน อายุ 15 วัน แล้วจะเริ่มหัดบิน ในประเทศไทยพบ ทั่วไปในทุกภาคแม้ในเมืองใหญ่ ๆ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกกนะเต็น ( Alcedines ) นกกระเต็น เป็นนกที่อยู่ในอันดับย่อย Alcedines ในอันดับนก ตะขาบ (Coraciiformes) จัดเป็นนกขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 13-16 เซนติเมตร (ในชนิดที่ใหญ่อาจยาวได้ถึง 41 เซนติเมตร) ตัวผู้และตัวเมียมี ลักษณะคล้ายกัน มีลักษณะทั่วไปคือ มีส่วนหัวโต คอสั้น จะงอยปากแหลม ยาวตรงและแข็งแรง ส่วนใหญ่มีสีสวยสดสะดุดตา เมื่อเวลาบินจะบินได้ อย่างคล่องแคล่ว มักพบในแหล่งน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ เป็ นนกที่หากินด้วยวิธีการพุ่งลงไปในน้ำด้วยความเร็วและแรง โดยปกติเป็นนกที่อยู่ลำพังเพียงตัวเดียว ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ การ ทำรังวางไข่ นกกระเต็นมักใช้จะงอยปากขุดรูริมฝั่งน้ำ และหาหญ้ามารอง เป็นพื้น วางไข่ครั้งละ 4-5 ฟอง บางชนิดอาจขุดรูไว้มากถึง 2-3 รู เพื่อหลอก สัตว์ผู้ล่า ขณะที่บางชนิดอาจจะใช้โพรงไม้หรือโพรงไม้เก่าของนกอื่นที่ทิ้ง ร้างไว้เป็นที่วางไข่ โดยมากจะวางไข่ในช่วงฤดูหนาว จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกต้อยตีวิด ( Vanellus indicus) ) นกต้อยตีวิด หรือ นกกระต้อยตีวิด หรือ นกกระแตแต้แว้ดหรือ นก แต้แว้ด (ชื่อวิทยาศาสตร์: Vanellus indicus) เป็นนกที่สีสวยน่าดู พบได้ ตามพื้นที่โล่งเกือบทุกสภาพทั่วประเทศ อยู่ในวงศ์นกหัวโต (Charadriidae) วงศ์ย่อย Vanellinae หรือ Charadriinae มีเสียงร้องเตือนภัยแหลมดังที่ไม่ เหมือนใครว่า \"แตแต้แวด\" หรือตามคนพูดภาษาอังกฤษว่า did he do it หรือ pity to do it ทำให้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามเสียงร้องทั้งภาษาไทยและ ภาษาอื่น ๆ เป็นนกที่มักจะเห็นเป็นคู่ ๆ หรือเป็นฝูงเล็ก ๆ ไม่ไกลจากแหล่ง น้ำ แต่อาจจะอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ในฤดูหนาวที่ไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ ใน ประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง สัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่ง ออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้าม การครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกกีวี ( kiwi ) นกกีวี (อังกฤษ: kiwi) เป็นนกจำพวกหนึ่งที่บินไม่ได้ มีลักษณะที่ แปลกไปจากนกอื่น ๆ ด้วยมีวิวัฒนาการเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน เป็นนก ออกหากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในธรรมชาติอยู่ในนิวซีแลนด์เท่านั้น นก กีวีจัดอยู่ในสกุล Apteryx ในวงศ์ Apterygidae เมื่อใดที่นกกีวีหาคู่ได้แล้ว จะอยู่ด้วยกัน 2 ตัวไปตลอดชีวิต ในฤดู ผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน-มีนาคม ทั้งสองตัวจะผสมพันธุ์กันตอน กลางคืน ทุก ๆ 3 วัน นกกีวีจะออกไข่ได้ฤดูละ 1 ฟอง ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ทำให้จำนวนนกกีวีเพิ่มขึ้นช้า ขณะที่อายุขัยโดยเฉลี่ยของนกกีวีอยู่ที่ 30 ปี นั่นหมายความว่า นกตัวเมียตลอดทั้งชีวิตจะสามารถมีลูกได้ทั้งหมด 30 ตัว จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกจาบคาหัวเขียว ( Blue-tailed bee-eater ) นกจาบคาหัวเขียว (อังกฤษ: Blue-tailed bee-eater) มีชื่อทาง วิทยาศาสตร์ว่า Merops philippinus เป็นนกในตระกูล Meropidae จัดเป็น นกอพยพชนิดหนึ่ง มีแหล่งผสมพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางครั้งอาจถูกจัดให้อยู่ในสปีชีส์เดียวกับนกจาบคาแก้มฟ้ า (Merops persicus) ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง นกจาบคาหัวเขียวชอบสร้างรังอยู่ด้วยกันเป็ นกลุ่มใหญ่ตามริมฝั่ ง แหล่งน้ำที่เป็นทรายหรือพื้นที่ราบเปิดโล่ง รังมีลักษณะเป็นเหมือนอุโมงค์ ค่อนข้างยาว นกชนิดนี้จะวางไข่ทรงกลมสีขาวครั้งละ 5-7 ฟอง ทั้งตัวผู้และ ตัวเมียจะเฝ้ าดูแลไข่ด้วยกัน นอกจากนี้ เวลาออกหากินหรือพักเกาะตามที่ สูง ก็มักจะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเช่นกัน จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกอีลุ้ม ( Watercock ) นกอีลุ้ม หรือ นกอีล้ม (อังกฤษ: Watercock) เป็นนกน้ำในวงศ์นก อัญชัน พบในทวีปเอเชียแถบประเทศอินเดีย จีนไต้หวัน เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และในประเทศไทยพบอยู่ทั่วทุกภาค พบในทวีปเอเชียแถบประเทศอินเดีย จีน ไต้หวัน เวียดนามกัมพูชา พม่า ฟิลิปปินส์ และไทย ในประเทศไทยพบอยู่ทั่วทุกภาค อาศัยอยู่ตามท้อง ทุ่งนา หนองบึง ช่วงฤดูฝนมักอาศัยอยู่ตามท้องนา แต่ในฤดูแล้งจะไปหากิน ตามหนองบึง จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกกะดง ( Nicobar pigeon ) นกชาปีไหน หรือ นกกะดง (อังกฤษ: Nicobar pigeon, Nicobar dove; ชื่อวิทยาศาสตร์: Caloenas nicobarica) เป็นนกชนิดหนึ่ง จัดอยู่ใน วงศ์นกพิราบและนกเขา(Columbidae) นับเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ในสกุล Caloenas ในขณะที่ชนิดอื่น ๆ สูญพันธุ์ไป หมดแล้ว โดยมีความใกล้ชิดกับนกโดโดที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย เป็ นนกที่ถูกจัดให้เป็ นสัตว์ป่ าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและ คุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักรราช 2535 แต่ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว โดยทางการของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2538 พบว่านกชาปีไหนสามารถวางไข่ได้ ตลอดทั้งปี โดยสร้างรังแบบหยาบ ๆ รูปร่างคล้ายจาน โดยใช้กิ่งไม้และใบไม้ แห้งวางไข่ ครั้งละเพียง 1 ฟอง มีขนาด 31.64x45.0 มิลลิเมตร น้ำหนัก 25.05 กรัม พ่อและแม่นกช่วยกันฟักไข่ มีระยะฟัก 25-29 วัน แม่นก สามารถจะวางไข่ชุดใหม่ต่อไปได้หลังจากลูกนกมีอายุได้ประมาณ 40 วัน ลูกนกออกจากไข่ไม่มีขนปกคลุมตัว จัดอยู่ในพวกอัลติเชียล (นกที่บินไม่ได้) พ่อและแม่นกช่วยกันเลี้ยงดูลูกนกจนมีอายุได้ 34-36 วัน ลูกนกจึงจะทิ้งรัง และกินอาหารเองได้ ขนชุดแรกขึ้นปกคลุมตัวสมบูรณ์หมด เมื่อลูกนกมีอายุ ได้ 3 เดือน และเมื่อมีอายุ 7 เดือน มีการผลัดขนปีกชุดแรก และมีขนชุด ใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

นกพญาไฟสีเทา ( Ashy Minivet ) นกพญาไฟสีเทา (อังกฤษ: Ashy Minivet ; ชื่อวิทยาศาสตร์:Pericrocotus divaricatus) เป็นนกอยู่ในวงศ์ย่อย อีกา มี ขนาดเล็กมากจนถึงขนาดกลาง ความยาวจากปลายปากจดหาง 20 ซม. มัก พบอยู่เป็นฝูง และ อาจพบหากินร่วมกับ นกกินแมลง ชนิดอื่น นกตัวผู้ หน้ าผากและลำตัวด้านล่างสีขาว มีเส้นสีดำลากผ่านตากลาง กระหม่อม และท้ายทอยสีดำ โคนขนปีกมีลายแถบสีขาว บางตัวอาจไม่มี ลายสีขาวที่กลางปัก ขนหางคู่นอก ส่วนใหญ่เป็นสีขาว ไหล่ และ ขนคลุม หางด้านบน สีเทา นกตัวเมีย ตั้งแต่ กระหม่อมลงไปถึงท้ายทอย และ ลำตัว ด้านล่าง สีเทา บางส่วนของกระหม่อมจะมีสีเข้ม มีแถบสีขาวลากจากหน้ า ผากผ่านตา และ มีแถบสีดำจางๆบริเวณหน้ าผาก จัดทำโดย นางสาวบัวจันทร์ ตรี

เรื่องของนก จบแล้วขอบคุณค้า จัดทำโดย นางบัวจันทร์ ตรี เลขที่ 23 ม.6/1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook