Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สัปดาห์ที่ 1 วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

สัปดาห์ที่ 1 วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

Description: สัปดาห์ที่ 1 วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

คะแนนท่ไี ด้ แบบทดสอบก่อนเรยี น วชิ าวิทยาศาสตร์ 1. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเกีย่ วกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก. การต้ังสมมติฐาน การสังเกต การต้ังปญั หา การตรวจสอบสมมติฐาน ข. การตง้ั ปญั หาการสงั เกตการต้ังสมมตฐิ านการตงั้ กฎ ค. การสงั เกต การต้งั ปัญหา การตั้งสมมตฐิ าน การตรวจสอบสมมติฐาน ง. การตรวจสอบสมมตฐิ าน การสงั เกต การต้ังสมมติฐาน 2. ค่าน้าท่บี า้ น 3 เดือนที่ผ่านมาสงู กว่าปกติ จากข้อความเกดิ จากทักษะข้อใด ก. สงั เกต ข. ต้ังปัญหา ค. ตง้ั สมมติฐาน ง. ออกแบบการทดลอง 3. แกว้ เลีย้ งแมว 2 ตวั ตัว 1 กินนมกบั ปลาย่างและข้าวสวย ตัวที่ 2 กินปลาทกู บั ขา้ วสวย 4 สัปดาหต์ ่อมา ปรากฏว่าแมวทัง้ สองตวั มนี า้ หนกั เพิม่ ขึน้ เทา่ กนั ปัญหาของแก้วก่อนการทดลองคอื ข้อใด ก. ปลาอะไรท่แี มวชอบกิน ข. แมวชอบกินปลาทหู รอื ปลายา่ ง ค. ชนดิ ของอาหารมผี ลต่อการเจริญเติบโตหรอื ไม่ ง. ปลาทูทา้ ใหแ้ มวสองตัวน้าหนกั เพิ่มขึ้นเท่ากัน 4. จากปญั หา “ชนดิ ของเสยี งจะมีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของไก่หรือไม่” ควรจะตัง้ สมมตฐิ านว่าอย่างไร ก. จังหวะของเพลงมีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของไก่หรือไม่ ข. ไก่ทชี่ อบฟังเพลงจะโตดีกวา่ ไก่ทไ่ี ม่ฟงั เพลง ค. ถ้าไกฟ่ ังเพลงไทยเดิมจะโตดีกว่าไก่ฟังเพลงสากล ง. ไกท่ ีฟ่ ังเพลงสากลและเพลงไทยเดิมจะโตเทา่ กัน 5. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขน้ั ตอนใด ทจ่ี ะน้าไปสู่การสรปุ ผล และการศึกษาต่อไป ก. การตงั้ สมมตฐิ านและการออกแบบการทดลอง ข. การสังเกต ค. การรวบรวมขอ้ มลู ง. การหาความสมั พันธ์ของขอ้ เท็จจรงิ 6. ขอ้ ใดเปน็ เทคโนโลยีชีวภาพ ก. การผลติ น้ายาลา้ งจาน ข. การน้าเปลอื กส้มโอมาไลย่ ุง ค. การนา้ ขยะเปียกไปหมักใหเ้ กิดแก๊ส ง. สนุ ขั พนั ธ์พุ ้นื เมอื งไทย 7. อปุ กรณใ์ ดในหอ้ งปฏบิ ัติการเม่ือเกิดอุบัตเิ หตไุ ม่สามารถจัดการดว้ ยตนเองได้ ก. ท่ลี ้างตัวฉุกเฉิน ข. ตู้ดคู วัน ค. สัญญาณเตอื นภยั ง. เครือ่ งดับเพลงิ

8. สิ่งท่ตี ้องค้านึงถึงมากท่สี ุดในการใช้สารเคมี คือข้อใด ก. องค์ประกอบของสาร ข. วนั ทผ่ี ลิต ค. วธิ ีการใชแ้ ละข้อมูลความปลอดภัย ง. แหลง่ /โรงงานผลิต 9. การวดั ความกว้าง – ยาว ของโต๊ะควรใชเ้ ครื่องมือชนดิ ใด ก. ไม้เมตร ข. ตลบั เมตร ค. ไม้บรรทัด ง. ไมโ้ ปรเจกเตอร์ 10. ขอ้ ใด ไม่จดั เป็น ข้อมูลทางวทิ ยาศาสตร์ ก. จติ ใจ ข. ร้อนหนาว ค. กลนิ่ ฉนุ ง. การไดย้ นิ Scan QR CODE เพือ่ ทาแบบทดสอบก่อนเรยี น

วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เก่ียวกับสิ่งต่างๆในธรรมชาติท้ังที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และองค์ความรู้ ท่ีมี ระบบและระเบียบแบบแผน โดยท่ัวไปกระบวนการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (The Process of Science) ประกอบด้วย - ระเบียบวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) - เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Attitude)  การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน หลักการหรือวิธีคิดที่มนุษย์เราพัฒนาข้ึนมา จนเป็นที่ยอมรับและสรุปออกมาเป็นแม่แบบสาหรับใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่พบเจอ โดยจะกล่าวถึง ประเด็นต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วข้องทงั้ หมด 5 ประเดน็ ดังนี้ 1. อะไรคอื ปญั หา? : เพื่อศึกษาถึงความหมายของคา้ วา่ “ปญั หา” 2. การแก้ปญั หาด้วยวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ : เพ่อื ศกึ ษาขน้ั ตอนวิธที างวทิ ยาศาสตร์ที่เราน้ามาใช้แก้ปัญหา ต่าง ๆ ในปัจจุบนั 3. การแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิศวกรรม : เพ่ือศึกษาวิธีการทางวิศวกรรม และตัวอย่างปัญหาท่ีสามารถ แก้ไขไดด้ ว้ ยวิธีการทางวศิ วกรรม 4. การแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดแบบอริยสัจ…..เพ่ือศึกษาวิธีคิดแบบอริยสัจ ซ่ึงเป็นท่ียอมรับว่าสามารถน้ามา ประยุกตใ์ ช้แก้ปญั หาตา่ ง ๆ ไดท้ ุกชนดิ 5. การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ…..เพื่อศึกษาหลักการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการ เทคโนโลยีสารสนเทศ 1. การแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนวิธีการแก้ไขปัญหาตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แบ่งไดเ้ ป็น 5 ขน้ั ตอน ได้แก่ 1. ขั้นก้าหนดปัญหา (Problem) สังเกต รวบรวมข้อมูลของปัญหา และก้าหนดปัญหาที่ต้องการทราบ คา้ ตอบหรอื ตอ้ งการแก้ข้ึนมา 2. ขัน้ ตงั้ สมมติฐาน (Hypothesis) ต้งั แนวทางคา้ ตอบของปญั หาทส่ี ามารถเปน็ ไปไดโ้ ดยวิธีการอนมุ าน 3. ข้ันรวบรวมข้อมูล (Gathering Data) สังเกต รวบรวมข้อเท็จจริง หรือทดลอง เพื่อท้าการค้นคว้าหา ข้อมลู รวบรวมขอ้ มลู เพ่ือใช้ตรวจสอบดูว่าสมมติฐานขอ้ ใดเป็นค้าตอบท่ถี กู ตอ้ งท่ีสุด 4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) เป็นวิธีการน้าข้อมูลท่ีได้มาประมวลผลและวิเคราะห์ เพ่ือตรวจสอบ สมมติฐานท่ตี ้ังไว้ 5. ข้ันสรุป (Conclusion) สรุปความรูท้ ีไ่ ดจ้ ากการวเิ คราะหม์ าเขียนรายาน สรปุ ผลการศกึ ษาทีค่ นพบ

การใช้วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ แก้ปญั หาในชวี ติ ประจาวนั ตัวอย่างปัญหา \"ปลาในแม่น้าเพชรบรุ ี ทจ่ี งั หวดั เพชรบรุ ี ตายจานวนมาก\" ข้นั ท่ี 1 กาหนดปัญหาและขอบเขตของปัญหา ( ขน้ั แรกตอ้ งมีปัญหาก่อนแล้วจงึ กาหนดสาเหตุของปัญหา และสรปุ ขอบเขตของปัญหา )  ก้าหนดสาเหตขุ องปัญหา \"การตายของปลา\" วา่ ตายเพราะอะไร ไดด้ ังต่อไปน้ี ขั้นที่ 2 ต้ังสมมติฐาน ( เปน็ การทานายหรอื การคาดคะเนคาตอบของปญั หา ล่วงหน้าวา่ คืออะไร )  จากตวั อยา่ งสามารถ ตั้งสมมตฐิ านไดด้ งั นี้ 2.1 ปลาตายเน่อื งจากอนั ตรายจาก ภายนอก 2.2 ปลาตายเน่อื งจากอากาศ 2.3 โรคติดต่อทา้ ใหป้ ลาตาย 2.4 นา้ เนา่ ทา้ ใหป้ ลาตาย 2.5 ขาดอาหาร 2.6 คนวางยา 2.7 ขาดออกซเิ จน 2.8 ในนา้ มสี ารพษิ จา้ นวนมากเกินไป 2.9 สายไฟตกลงไปในน้า 2.10 เป็นโรคตดิ ตอ่ ขั้นท่ี 3 ทดลองหรือตรวจสอบสมมติฐาน มีการเก็บรวบรวมข้อมูลและน้าข้อมูลท่ีได้มาท้าการวิเคราะห์ แยกแยะ ว่าเป็นไปตาม สมมติฐานที่ต้ังไว้หรือไม่ เช่น เอาน้าในแม่น้าไปวิเคราะห์หรือ ตรวจสอบโดยวิธีการ ทางเคมีวา่ มี อะไรเจือปนอยบู่ ้าง เชน่ พบว่า นา้ เนา่ ข้ันที่ 4 ตีความหมายของข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล โดยน้าผลท่ีวิเคราะห์ได้แล้วจากข้ันท่ี 3 มาตีความหมายว่า ปลาตายเพราะ น้าเน่าโดยท้าการตรวจสอบผล โดยตัก น้าจากในแม่น้าน้ันเอามาลองเล้ียงปลา ชนิดเดียวกัน น้นั แลว้ ปรากฏว่าปลา ตายจริงเพอื่ เปน็ การยนื ยันผลท่ีได้ ขน้ั ที่ 5 สรุปผล เป็นการสรปุ ผลท่ไี ด้จากข้นั ท่ี 4 เมอื่ ตรวจสอบคา้ ตอบแลว้ พบว่าปลาท่ีเลย้ี งในนา้ ท่ี ตักมาจาก ในแม่น้าน้นั ปลาตายจริง สรปุ \"นา้ เนา่ ท้าใหป้ ลาในแม่น้าเพชรบุรี ที่จงั หวดั เพชรบุรี ตายเป็นจ้านวนมาก\"

เจตคติทางวิทยาศาสตร์ (Science Attitude) หมายถึง ลักษณะหรือพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมา ซึ่ง ข้ึนอยู่ กับความรู้ ประสบการณ์ หรือความรู้สึกของแต่ละบุคคล ลักษณะของเจตคติทางวิทยาศาสตร์ แบ่งได้ เปน็ 2 ลักษณะ คือ 1. เจตคตทิ ่เี กดิ จากการใช้ความรู้ 1. กฎเกณฑ์ ทฤษฎี และหลักการตา่ งๆ ทางวทิ ยาศาสตร์ 2. การอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยถือผลท่ีเกิดจากการสังเกต ทดลอง ตามท่ี เกดิ จรงิ โดยอาศัยข้อมูลองคป์ ระกอบทเ่ี หมาะสม 2. เจตคติท่ีเกดิ จากความรู้สกึ 1. กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์มุ่งที่ก่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ เพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ คุณค่า ส้าคญั จงึ อยทู่ ก่ี ารสรา้ งทฤษฎี 2. ความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตรจ์ ะมมี ากขึน้ ถา้ ไดร้ ับการสนบั สนนุ จากบุคคล 3. การเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือการท้างานที่ต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่น่าสนใจและมี คุณคา่ คณุ ลกั ษณะของบุคคลท่มี ีเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ สรุปไดด้ งั นี้ 1. มีเหตุผล 2. มีความอยากร้อู ยากเหน็ 3. มใี จกว้าง 4. มคี วามซอื่ สัตยแ์ ละมใี จเปน็ กลาง 5. มคี วามเพียรพยายาม 6. มคี วามละเอยี ดรอบคอบ การแบ่งสาขาทางวทิ ยาศาสตร์ • วิทยาศาสตร์บรสิ ุทธ์ิ (Pure Science) • วิทยาศาสตร์ประยกุ ต์ (Applied Science or Technology) สาขาของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ วิทยาศาสตร์ประยกุ ต์  วิทยาศาสตร์กายภาพ  วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ  วิทยาศาสตร์พฤติกรรม  เกษตรศาสตร์  เคมี  พฤกษศาสตร์  นิตศิ าสตร์  แพทยศาสตร์  ฟิสิกส์  สัตวศ์ าสตร์  รฐั ศาสตร์  วศิ วกรรมศาสตร์  ดาราศาสตร์  มนษุ ยศาสตร์  ธรณีวิทยา  เศรษฐศาสตร์  อตุ นุ ิยมวทิ ยา  สงั คมศาสตร์

ประเภทความรทู้ างวิทยาศาสตร์ 1.ข้อเท็จจริง หมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้มาจากการสังเกต /การวัด /หรือเหตุการณ์อย่างใดอย่าง หนึง่ อยา่ ง ตรงไปตรงมา ซงึ่ คา่ คลาดเคลื่อนอยู่ในคา่ ทีย่ อมรับได้ ข้อเทจ็ จริงเปน็ ความจรงิ ที่สังเกตครั้งใดก็ได้ค่า เดิม ทุกคร้ังแม้ว่าในการสังเกตจะต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการสังเกตก็ตาม ข้อเท็จจริงเป็นหน่วยย่อยท่ีเล็กท่ีสุด ของความร้ทู างวิทยาศาสตร์ ตวั อยา่ งข้อเทจ็ จรงิ ได้แก่ - แมงมมุ มี 8 ขา - น้าไหลจากทส่ี งู ลงส่ทู ีต่ า้่ - เอาวตั ถุไปวางก้นั ทางเดินของแสงจะเกดิ เงาด้านหลังของวตั ถุ - ต๊ักแตนจะเปลยี่ นสีไปตามสขี องสงิ่ แวดล้อมท่ีตวั เองอาศยั อยู่ 2.สมมติฐาน หมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากความพยายามในการตอบปัญหาของนักวิทยาศาสตร์ สมมติฐาน มักเป็นการคาดคะเนค้าตอบของปัญหาที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาอยู่โดยอาศัยข้อมูลและ ประสบการณ์ความรู้ เดิมเป็นพ้ืนฐานหรือเป็นการคาดคะเนที่เกิดจากความเชื่อหรือความบันดาลใจของ นักวทิ ยาศาสตร์เอง ตวั อยา่ งสมมตฐิ าน ไดแ้ ก่ - สมมตฐิ านของเมนเดล (อธบิ ายการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม) - สมมติฐานของโบร์ (อธบิ ายโครงสรา้ งอะตอมของไฮโดรเจน) - สมมติฐานของอาโวกาโดร (อธบิ ายเกยี่ วกบั จ้านวนโมเลกลุ ของแก๊ส) 3.ความคิดรวบยอดหรือมโนคติ หมายถึงการสร้างภาพของวัตถุหรือเหตุการณ์ในความคิด (สมอง) ของแต่ละ คน โดยอาศยั ข้อเท็จจริงท่ีสงั เกตหรือวัดได้ ขอ้ เทจ็ จรงิ เดียวกันแต่ละคนอาจมีความคิด รวบยอดคนละอย่างได้ ซึง่ จะขน้ึ อยกู่ บั ประสบการณ์และวฒุ ภิ าวะของแตล่ ะบุคคล ตัวอยา่ งความคิดรวบยอด ได้แก่ - ควายเป็นสตั ว์ 4 เท้า เล้ยี งลกู ด้วยนม กนิ หญา้ เป็นอาหาร - ดวงอาทิตยเ์ ป็นดาวฤกษท์ ่ีมีแสงสว่างในตวั เอง เปน็ ศูนย์กลางของระบบ สุรยิ ะ - ทะเลเปน็ แหล่งท่ีรวมกันของนา้ มรี สเคม็ 4.หลักการ หมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีสามารถน้าไปอ้างอิงเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้ เกิด จากการ น าความคิดรวบยอดหลาย ๆ ความคิดมาสัมพันธ์กัน จนได้ข้อสรุปเดียวกันสามารถน้าหลักการไป อธิบาย เหตกุ ารณ์หรือแก้ปญั หาท่เี กยี่ วขอ้ งได้ ตวั อย่างหลกั การทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ - กา๊ ซเมอื่ ไดร้ บั ความร้อนจะขยายตวั

- ถา้ เอาพันธพุ์ ชื แทเ้ ดน่ ผสมกบั พนั ธ์ุพชื แทด้ ้อย ลูกทีไ่ ดจ้ ะมลี ักษณะเด่นหมด - ขวั้ แม่เหล็กเหมอื นกันจะผลักกนั และขว้ั ตา่ งกันจะดดู กัน 5.กฎ หมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีคล้ายกับหลักการแต่สามารถเขียนเป็นสมการแทนความสัมพันธ์ ระหว่าง เหตแุ ละผลท่ีเกดิ ข้นึ ได้ กฎจะเปน็ ความจริงในตัวมันเอง เมื่อทา้ การทดสอบมผี ลตรงกนั ทุกครั้ง ถา้ หาก กฎ ท่ีได้ขัดแย้งกับผลการทดลองที่ควบคุมตัวแปรอย่างดีแล้ว กฎน้ันก็จะถูกยกเลิกไป กฎและหลักการ สามารถแทนกันได้ ตวั อยา่ งกฎทางวทิ ยาศาสตร์ ได้แก่ - กฎการอนรุ กั ษ์มวลสาร - กฎทรงพลังงาน - กฎการเคลื่อนทขี่ องนิวตนั 6.ทฤษฎี หมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นข้อความสามารถใช้อธิบาย กฎ หลักการ และข้อเท็จจริงของ เร่ืองราวท่ีอยู่ในขอบเขตของทฤษฎีน้ันได้ โดยที่ทฤษฎีสามารถที่จะอนุมานออกไปเป็นกฎ หรือหลักการ บางอย่างได้ และทฤษฎีสามารถท้านายปรากฏการณ์ที่อาจเกิดตามมาได้ ตัวอย่างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไดแ้ ก่ - ทฤษฎอี ะตอมของดอลตัน (อธบิ ายโครงสร้างของอะตอม) - ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ (อธบิ ายพลงั งาน ความดนั ปรมิ าตร และอุณหภูมขิ องแกส๊ ) - ทฤษฎกี ารผา่ เหลา่ (อธบิ ายลักษณะของลกู หลานที่มีลักษณะแตกต่างจากบรรพบรุ ุษ) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นทักษะทางสติปัญญา (Intellectual Skills) ที่ นักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่น้าวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้าสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่างๆ แบง่ ออกเป็น 14 ทักษะ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แบ่งออกเปน็ 2 ขน้ั ดงั น้ี 1. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ั้นพืน้ ฐานมีทักษะท่ี 1-8 2. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขั้นสงู หรือขน้ั ผสมมี ทกั ษะที่ 9-14 1.1 ทักษะการสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัส อย่างใดอย่างหน่ึง หรือ หลายอย่าง รวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุ หรือเหตุการณ์ เพ่ือค้นหา ข้อมูลซึ่งเป็น รายละเอยี ดของส่งิ นนั้ โดยไมใ่ ส่ความเห็น หรอื ความรู้สึกของผสู้ งั เกตลงไป 1.2 การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การอธิบายผลที่ได้จากการสังเกต อย่างมีเหตุผล โดยใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิม และเหตุผล หรือ เพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวลงไปด้วย เป็นการตอบเกิน ข้อมูลทไี่ ด้จากการสังเกต 1.3 การจาแนก (Classifying) หมายถึง การแบ่ง หรือ การเรียงล้าดับ วัตถุหรือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ ต้องการศึกษาออกเป็นหมวดหมู่ โดยพิจารณาจากลักษณะท่ีเหมือนกัน สัมพันธ์กันหรือต่างกันของสิง่ ของหรือ เหตุการณ์ต่างๆ การจ้าแนก อาจจัดได้ หลายประเภททง้ั น้ี ขน้ึ อยู่กบั เกณฑ์ 1.4 การวัด (Measuring) หมายถึง ความสามารถในการเลือกและใช้เคร่ืองมือต่างๆ ท้าการ วัดหาปริมาณ ของสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นตัวเลขท่ีแน่นอนได้อย่างเหมาะสม และถูกต้องโดยมีหน่วยก้ากับ ตลอดจนสามารถ อา่ นคา่ ทีว่ ดั ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 1.5 การคานวณ หมายถึง การคิดค้านวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร เช่น การหา ค่าเฉล่ีย การหาพื้นท่ี การ หาปริมาตรความหนาแนน่ เป็นต้น

1.6 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกบั สเปส และ สเปสกับเวลา สเปสของวัตถุ (Space) หมายถึง ท่ีว่างที่วัตถุน้ันครองท่ีอยู่ซึ่งจะมี รูปร่างลักษณะเช่นเดียวกับวัตถุนั้น โดยทั่วไปแล้ว สเปสของวัตถุจะมี 3 มิติ คือ ความกวา้ ง ความยาว และความสูง สเปสกบั สเปส 1. ความสัมพันธ์ระหวา่ งมิติ 2. บอกต้าแหน่งหรอื ทิศของวตั ถุ 3. บอกความสัมพันธข์ องสง่ิ ทอ่ี ยูห่ นา้ กระจกเงา และภาพท่ีปรากฏในกระจกได้ 4. เปรียบเทียบสเปสของวตั ถุหรือส่ิงของ 2 อย่าง 1.7 การจัดกระทาและการส่ือความหมายข้อมูล หมายถึง การน้าข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต การวัด การ ทดลอง และ จากแหล่งอนื่ ๆ มาจัดกระท้าเสยี ใหม่ โดยอาศยั วิธกี ารต่างๆ เช่น การจดั ล้าดบั การจัดกลุ่ม หรือ การคา้ นวณหาค่าใหม่ 1.8 การพยากรณ์ หมายถึง การทา้ นาย หรือ การคาดคะเนส่ิงท่ีเกดิ ขน้ึ ลว่ งหน้า โดยอาศยั ข้อมูลที่ได้จาก การสงั เกต หรือ ปรากฏการณท์ ่เี กิดข้นึ ซ้า ๆ หรือ ความรูท้ ่เี ปน็ ความจริง หลกั การ กฎ หรอื ทฤษฏีท่ีมีอยู่ แลว้ ในเรือ่ งนนั้ มาชว่ ยสรุป 1.9 การตั้งสมมติฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถึง การคิดหาค้าตอบล่วงหน้า ก่อนที่จะ ดา้ เนนิ การทดลอง เพื่อตรวจความถูกต้องในเร่อื งนัน้ ๆ 1. เปน็ เครอื่ งมือก้าหนดแนวทางใน การออกแบบการทดลอง 2. บอกความสมั พนั ธข์ องตัวแปร 3. อาจถกู หรือผิดก็ได้ 1.10. การกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) หมายถึง การให้ความหมายของ คา้ หรือ ข้อความเพอื่ ใหเ้ ข้าใจตรงกนั และ สามารถ สังเกต หรือ วดั ได้ ตัวอย่าง ออกซิเจนเป็นก๊าซท่ีช่วยในการติดไฟ เม่ือน้าก้านไม้ขีดไฟท่ีคุแดง แหย่ลงไปในก๊าซน้ันแล้ว ก้านไมข้ ดี ไฟจะลกุ เปน็ เปลวไฟ(สงั เกตและระบุสถานการณ์ ทดสอบได้) 1.11 ก า ร ก า ห น ด แ ล ะ ค ว บ คุ ม ตั ว แ ป ร (Identifying and controlling Variables) หมายถึง ความสามารถที่จะชบี้ ่งได้วา่ ในการทดลอง หน่ึงๆตัวแปรใด เป็น ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และ ตัวแปรท่ีจะต้อง ควบคุมเราสามารถจ้าแนกตวั แปรไดเ้ ป็น 3 ชนดิ คือ 1. ตัวแปรตน้ หรือ ตัวแปรอสิ ระ 2. ตัวแปรตาม 3. ตวั แปรทต่ี ้องควบคมุ 1.12 การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติ เพื่อหา ค้าตอบหรือตรวจสอบ สมมติฐานที่ตงั้ ไว้ 1. การออกแบบการทดลอง ประกอบด้วยกิจกรรมดงั นี้ 1.1 วิธกี ารทดลอง 1.2 วสั ดอุ ุปกรณท์ ใ่ี ช้ในการทดลอง 2. การปฏบิ ัติการทดลอง 3. การบันทึกผลการทดลอง

1.13 การตีความหมายข้อมูลและลงสรุปข้อมูล (Interpreting data and making conclusions) การลงข้อสรุป หมายถึง การสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูล ซึ่งจะเก่ียวข้องกับความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่ ต้องการศกึ ษา การลงข้อสรุปจะเกี่ยวข้องกบั สมมติฐานทตี่ ้ังไว้ก่อนการทดลอง 1.14 การสรา้ งแบบจาลอง (Modeling Construction) หมายถึง การน าเสนอข้อมลู แนวคดิ ความคิด รวบยอด เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจใน รูปของแบบจ้าลองต่างๆ เช่น กราฟ รูปภาพ ภาพเคล่ือนไหว วัสดุ ส่ิงของ สิ่งประดษิ ฐ์ หุ่น เปน็ ต้น  ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มีประโยชน์ต่อมนุษย์และมีบทบาทส้าคัญต่อการพัฒนาประเทศ ผลของการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เก่ียวโยงกับความเจริญในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การส่ือสาร คมนาคม การเกษตร การศกึ ษา การอตุ สาหกรรม การเมือง การเศรษฐกิจ ฯลฯ สรปุ ไดด้ งั น้ี  วิทยาศาสตร์ชว่ ยใหม้ ีความสามารถในสังคม ในสงั คมที่มสี ิง่ แวดลอ้ มทางวทิ ยาศาสตร์ บคุ คลทีม่ คี วามรู้ ทางวทิ ยาศาสตร์ จะเป็นผ้มู ีความสามารถ และมคี วามส้าคัญต่อการพัฒนาชมุ ชนและสังคม  วิทยาศาสตร์ช่วยแนะแนวอาชีพ วิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดอาชีพหลายสาขา และเป็นประโยชน์ต่อการ ดา้ รงชีวติ  วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดความเจริญทางร่างกายและจิตใจ การได้รับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท้ัง ทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพ อนามัย อาหาร การด้ารงชีวิต จะช่วยให้ รา่ งกายเจรญิ เตบิ โตและมีสขุ ภาพแขง็ แรง  วิทยาศาสตร์ช่วยให้เป็นผู้บริโภคที่สามารถ หมายถึง การตัดสินใจในการใช้สินค้าหรือบริการต่างๆ โดยอาศยั หลักการทางวิทยาศาสตร์  วิทยาศาสตร์ช่วยให้รู้จกั ใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นการศึกษาคน้ ควา้ เรอื่ งท่ีสนใจ  วทิ ยาศาสตร์ชว่ ยใหร้ ู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เปน็ ประโยชน์  วทิ ยาศาสตร์ช่วยแกป้ ญั หาต่างๆ โครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ถือเป็นงานวิจัยในระดับนักเรียน เพราะเป็นการศึกษา เร่ืองราวทางวิทยาศาสตร์ ที่ นักเรียนสนใจ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นแนวทางในการศึกษาและ แก้ปญั หา มกี ารวางแผนท่จี ะศกึ ษา ภายใน ขอบเขตของระดับความรู้ ระยะเวลาและอุปกรณ์ที่มีอยู่ และลงมือ ศึกษา ส้ารวจ ทดลอง เพื่อรวบรวมข้อมูล แล้ว น้ามาประมวลผลจนได้ข้อสรุปออกมาเป็นผลงานท่ีมีความ สมบูรณใ์ นตวั เอง โครงงาน วิทยาศาสตรจ์ ึงเปน็ กิจกรรม วิทยาศาสตร์ ทชี่ ่วยให้นักเรียนได้เรยี นรู้ ฝึกฝนการใช้ ทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการแกป้ ญั หา รวมทงั้ การพัฒนาเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ ลักษณะของ โครงงานวิทยาศาสตร์ กิจกรรมท่ีเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรมีองค์ประกอบหลักดั งต่อไปน้ี (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร,2544:2) - เปน็ กจิ กรรมทเ่ี ก่ยี วกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - ผู้เรียนเปน็ ผูร้ เิ ร่มิ และเลือกเร่อื งทจี่ ะศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเองตามความสนใจและระดบั ความรู้ความสามารถ - เป็นกจิ กรรมที่มีการใช้วิทยาศาสตรช์ ่วยในการศกึ ษาค้นควา้ เพื่อตอบปัญหาที่สงสยั - ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนด้าเนินการปฏิบัติการทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูล หรือ ประดษิ ฐ์คดิ คน้ รวมท้ังการแปรผล สรปุ ผล และเสนอผลการศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง โดยมีครอู าจารย์เป็นผู้ให้ คา้ ปรกึ ษา - มีประโยชนต์ อ่ สงั คม

- กลา้ ท่จี ะคิด - มคี วามรคู้ วามชา้ นาญ - ใช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ - เรยี นร้ใู นเรอ่ื งที่ตนเองสนใจ – สร้างจิตส้านกึ และความรบั ผดิ ชอบ - เปิดโอกาสไดแ้ สดงความสามารถ – หาค้าตอบอยา่ งมีเหตุผล จุดม่งุ หมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ - เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นใช้ความรแู้ ละประสบการณ์เลือกทา้ โครงงานวิทยาศาสตรต์ ามความสนใจ - เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นได้ศึกษาหาความรู้ หาขอ้ มลู จากแหลง่ ความรตู้ า่ ง ๆ ด้วยตนเอง - เพอ่ื ให้ผูเ้ รียนไดแ้ สดงออกซึง่ ความคิดสร้างสรรค์ - เพื่อให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เห็นคุณค่าของการใช้กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ในการแก้ปญั หาตา่ ง ๆ - เพือ่ ให้ผเู้ รยี นได้แนวทางในการประยุกตใ์ ชว้ ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยใี นแต่ละท้องถนิ่ จุดมุ่งหมายท่ีสาคัญของโครงงานวิทยาศาสตร์ คือเน้นให้ผู้เรียนรู้จักขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์และศึกษาหา ความรู้ดว้ ย ตนเอง ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ แบ่งเป็น 4 ประเภท ดงั นี้ 1) โครงงานประเภททดลอง 2) โครงงานประเภทการสา้ รวจรวบรวมข้อมลู 3) โครงงานประเภทการพัฒนาหรือการประดษิ ฐ์ 4) โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎหี รือค้าอธบิ าย ขั้นตอนการท าโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1) การคิดและเลือกหัวขอ้ เรอื่ งหรือปญั หาทจี่ ะศกึ ษา 2) การวางแผนในการทา้ โครงงาน 3) การลงมอื ทา้ โครงงาน 4) การเขียนรายงาน 5) การแสดงผลงาน การนาเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สามารถเสนอได้ใน 2 ลักษณะ คอื 1) ลักษณะการบรรยาย 2) ลกั ษณะการบรรยายประกอบแผงโครงงาน

แบบฝึกหัดทา้ ยบท วิชาวิทยาศาสตร์ กศน.ตาบลหาดเจา้ สาราญ ช่ือ – นามสกลุ ....................................................................... ระดบั ช้นั ...................................... ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอเมืองเพชรบรุ ี 1.ค้าวา่ “วทิ ยาศาสตร์” ในภาษาละติน หมายถึง ……………………………………………………………………………………. 2. วิทยาศาสตร์ (science) หมายถงึ ................................................................................................................... ...................................................................................................................................... .................................... 3. กระบวนการหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ คือ ........................................................................................................................................................................ ....................................................................................... .................................................... ............................. 4. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หมายถงึ ……………………………………………………………………….………………………. 5. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มี……………ขน้ั ตอน ได้แก่……………………………………………………………………….. 6. ตัวแปร หมายถงึ ……………………………………………………………………………………………………………………...………. 7. ตัวแปร แบ่งออกเปน็ ……………………ประเภท ไดแ้ ก่……………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. ตวั แปรต้น หมายถงึ ………………………………………………………………………………………………………………………….. 9. ตัวแปรตาม หมายถึง………………………………………………………………………………………………………………………… 10. ตัวแปรควบคมุ หมายถึง…………………………………………………………………………………………………………………. 11. เจตคติทางวิทยาศาสตร์ แบง่ ได้เป็น…………………ลกั ษณะ ได้แก่………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 12. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ……………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 13. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบง่ ออกเป็น…………….ประเภท ได้แก่……………………………………..…… …………………………………………………………………………………………………………………………………..………………… 14. ทกั ษะการสงั เกตใช้ประสาทสมั ผัส………………ชนิด ไดแ้ ก่……………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… 15. โครงงานวิทยาศาสตร์ หมายถงึ ……………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 16. ประโยชนท์ ี่ไดจ้ ากกิจกรรมโครงงาน ได้แก่………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 17. โครงงานวิทยาศาสตร์ แบ่งเปน็ .................ประเภท ไดแ้ ก่ (1)........................................................................ (2)..............................................................(3).........................................................(4)......... .......................... 18. ขนั้ ตอนการทา้ โครงงานวิทยาศาสตร์ ได้แก่ (1) ........................................... (2) .......................................... (3) ......................................................... (4) ......................................................... (5).........................................................

19. การเขยี นรายงานควรครอบคลุมหัวขอ้ ต่อไปน้ี (1).................................................................................................................................................................... (2) .................................................................................................................................................................... (3) .................................................................................................................................................................... (4) .................................................................................................................................................................... (5) .................................................................................................................................................................... (6) .................................................................................................................................................................... (7) .................................................................................................................................................................... (8) .................................................................................................................................................................... (9) .................................................................................................................................................................... (10) ........................................................................................................................ ............................................ (11) .................................................................................................................................................................... (12) ........................................................................................................................ ............................................ 20. การน้าเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สามารถเสนอได้……………....................................……….ลักษณะ ไดแ้ ก่ (1)....................................................................................................................................................... (2)........................................................................................................................................................

คะแนนท่ไี ด้ แบบทดสอบหลังเรียน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 1. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องเกย่ี วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ก. การต้ังสมมติฐาน การสังเกต การต้ังปญั หา การตรวจสอบสมมตฐิ าน ข. การตงั้ ปัญหาการสงั เกตการต้ังสมมตฐิ านการตั้งกฎ ค. การสงั เกต การตั้งปัญหา การต้งั สมมตฐิ าน การตรวจสอบสมมติฐาน ง. การตรวจสอบสมมตฐิ าน การสงั เกต การต้ังสมมติฐาน 2. ค่าน้าทบ่ี า้ น 3 เดอื นทีผ่ ่านมาสูงกวา่ ปกติ จากข้อความเกิดจากทักษะข้อใด ก. สังเกต ข. ตั้งปัญหา ค. ตง้ั สมมตฐิ าน ง. ออกแบบการทดลอง 3. แก้วเลีย้ งแมว 2 ตัว ตวั 1 กนิ นมกับปลาย่างและข้าวสวย ตวั ท่ี 2 กินปลาทกู บั ขา้ วสวย 4 สัปดาห์ต่อมา ปรากฏว่าแมวท้งั สองตัวมนี ้าหนักเพิ่มขึน้ เทา่ กัน ปัญหาของแกว้ ก่อนการทดลองคือขอ้ ใด ก. ปลาอะไรทีแ่ มวชอบกนิ ข. แมวชอบกินปลาทูหรอื ปลายา่ ง ค. ชนดิ ของอาหารมผี ลต่อการเจรญิ เติบโตหรือไม่ ง. ปลาทูท้าใหแ้ มวสองตัวน้าหนักเพ่ิมข้ึนเท่ากนั 4. จากปัญหา “ชนดิ ของเสยี งจะมีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของไกห่ รือไม่” ควรจะตง้ั สมมติฐานวา่ อยา่ งไร ก. จงั หวะของเพลงมีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของไกห่ รอื ไม่ ข. ไกท่ ี่ชอบฟังเพลงจะโตดีกว่าไก่ที่ไม่ฟงั เพลง ค. ถา้ ไก่ฟังเพลงไทยเดิมจะโตดกี วา่ ไก่ฟงั เพลงสากล ง. ไกท่ ่ฟี ังเพลงสากลและเพลงไทยเดมิ จะโตเทา่ กัน 5. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ ตอนใด ทีจ่ ะน้าไปสู่การสรุปผล และการศกึ ษาต่อไป ก. การตั้งสมมติฐานและการออกแบบการทดลอง ข. การสงั เกต ค. การรวบรวมขอ้ มูล ง. การหาความสัมพันธข์ องขอ้ เทจ็ จริง 6. ขอ้ ใดเป็นเทคโนโลยีชวี ภาพ ก. การผลิตนา้ ยาล้างจาน ข. การนา้ เปลอื กสม้ โอมาไล่ยงุ ค. การน้าขยะเปยี กไปหมักให้เกิดแกส๊ ง. สุนขั พันธ์พุ ืน้ เมอื งไทย 7. อุปกรณใ์ ดในห้องปฏิบตั ิการเมือ่ เกิดอุบัติเหตุไมส่ ามารถจัดการดว้ ยตนเองได้ ก. ทีล่ ้างตวั ฉกุ เฉิน ข. ต้ดู ูควนั ค. สญั ญาณเตอื นภยั ง. เครอ่ื งดบั เพลิง

8. สิ่งท่ตี ้องคา้ นึงถึงมากท่ีสดุ ในการใชส้ ารเคมี คือข้อใด ก. องค์ประกอบของสาร ข. วนั ท่ีผลิต ค. วธิ กี ารใช้และข้อมลู ความปลอดภยั ง. แหล่ง/โรงงานผลติ 9. การวดั ความกวา้ ง – ยาว ของโต๊ะควรใช้เคร่ืองมือชนิดใด ก. ไม้เมตร ข. ตลับเมตร ค. ไม้บรรทดั ง. ไม้โปรเจกเตอร์ 10. ข้อใด ไม่จดั เป็น ข้อมลู ทางวิทยาศาสตร์ ก. จติ ใจ ข. รอ้ นหนาว ค. กลนิ่ ฉุน ง. การได้ยิน Scan QR CODE เพ่ือทาแบบทดสอบหลังเรยี น