Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 4 วิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้

บทที่ 4 วิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้

Published by benjamas, 2020-06-14 04:26:50

Description: วิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

- 59 - บทที่ 4 วธิ ีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีลักษณะการใช้ แตกต่างกันตามโอกาสหรือสถานการณ์ ต่าง ๆ ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้การวัดและ ประเมินผลเป็นไปตามจุดมุ่งหมายในการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งหวังให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมท้ังด้าน พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะทราบได้ จาเป็นต้องอาศัยเคร่ืองมือในการวัดพฤติกรรมแต่ละด้าน ครูผู้สอนต้องศึกษาและเรียนรู้ เกีย่ วกับวิธีการและการใช้เคร่อื งมือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพือ่ นาไปใช้ในการวดั และ ประเมินผลได้อย่างเหมาะสม 1. ความหมายของวธิ ีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ วิธีก ารวัด แล ะป ระเมิ นผ ลก ารเรียนรู้ ห ม ายถึง แนวคิ ด รูป แบ บ ก ลยุท ธ์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลของการจัดการเรียนรู้ ที่ครูผู้สอนเลือกใช้ให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมาย ของการนาผลการประเมินไปใช้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ แต่ละรายวิชา โดยวีการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ด้วยการทดสอบเหมาะสาหรับการวัดและประเมินความรู้ สติปัญญา (พุทธิพิสัย) ส่วนการสังเกตที่สามารถดูพฤติกรรมเบื้องต้นได้ทันที การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การประเมินต่าง ๆ เหมาะสาหรับการวัดเจตคติและทักษะ (จิตพิสัย และ ทักษะพิสัย) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีทั้งแบบทางการและแบบไม่เป็นทางการ เช่น การทดสอบ/การสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบถาม การประเมินการปฏิบัติ การประเมินเจตคติ การประเมินตามสภาพจริง เป็นต้น ซึ่งวิธีการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ครูผสู้ อนสามารถดาเนินการในจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนือ่ ง 2. วธิ ีการวัดพฤติกรรมด้านพทุ ธิพิสัย การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยเป็นการวัดการเรียนรู้ทางด้านความคิด ความรู้ การ แก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมด้านสติปัญญาและสมอง โดยมีวิธีการวัด คือ การทดสอบ (Testing) หมายถึง กระบวนการในการนาชุดของสิ่งเร้าไปกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่ ต้องการวัดออกมาให้ครูผู้สังเกตได้และวัดได้ โดยท่ัวไปครูผู้สอนใช้การทดสอบ เพื่อวัด พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยของผู้เรียน โดยมีแบบทดสอบ (Test) เป็นเคร่ืองมือสาคัญในการ กระตนุ้ ให้ผเู้ รียนแสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมา

- 60 - 3. วธิ ีการวัดพฤติกรรมดา้ นจิตพิสัย การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นการวัดเกี่ยวกับความรู้สึก จิตใจ อารมณ์ ทัศนคติ คุณลักษณะ โดยมีวิธีการวัดได้หลายหลาย เช่น การสังเกต การสอบถาม การสัมภาษณ์ เป็น ต้น โดยมีรายละเอียดดังน้ี 3.1 การสังเกตจากครูผ้สู อน (Teacher Observation) เป็นการสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ ของผเู้ รียนโดยครูผสู้ อนเป็นผู้สังเกต โดยมีข้ันตอนการสังเกต (อนวุ ตั ิ คูณแก้ว, 2558) ดังน้ี 3.1.1 กาหนดพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองที่จะสังเกต โดยอันดับแรกผู้สังเกต ต้องกาหนดและนิยามคุณลักษณะที่จะสังเกตให้ชัดเจน เช่น เจตคติต่อการเรียนในรายวิชา ภาษาไทย เป็นต้น 3.1.2 เขียนรายการพฤติกรรมของผู้เรียน และกิจกรรมซึ่งผู้เรียนได้แสดงออกมา ทั้งด้านบวก และด้านลบ เช่น ด้านบวก ไม่ค่อยขาดเรียน เข้าเรียนทันเวลา ชอบถามครูผู้สอน ชอบช่วยเหลือเพื่อน เป็นต้น ส่วนด้านลบ เช่น ขาดเรียนบ่อย เข้าเรียนสายเป็นประจา เม่ือ ไม่เข้าใจเนื้อหามกั ไม่ถามครูผสู้ อน ไม่ช่วยเหลือเพื่อน เป็นต้น 3.1.3 กาหนดเคร่ืองมือที่ใช้ในการสังเกต โดยนารายการพฤติกรรมดังกล่าวมา สร้างเป็นแบบประเมินประกอบการสังเกต โดยอาจจะเป็นแบบตรวจสอบรายการหรือแบบ มาตราส่วนประมาณค่า 3.2 การใช้วิธีการสังเกต (Observation) หมายถึง การเฝ้าดูพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของบุคคลหรือกลุ่มคน โดยใช้ประสาทสัมผัส ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ตาและหูในการสังเกต (อนุวัติ คูณแก้ว, 2558) แล้วจดบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ ลงสรุปสิ่งที่ทาการสังเกตได้ ครูผู้สอนใช้การสงั เกตในการวัดพฤติกรรมจติ พิสัยและทักษะพิสัย ของผเู้ รียน 3.2.1 รูปแบบการสังเกต แบ่งได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง โดยทว่ั ไปนิยมแบ่งประเภทการสังเกตโดยยึดวิธีการสังเกตเปน็ หลกั ซึง่ แบ่งออกได้ 2 แบบ ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, 2558) 1) การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ หรือกิจ กรรม (Participant Observation) หรือ สังเกตแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วม หรือคลุกคลีในหมู่ผู้ถูกสังเกต และอาจร่วมทากิจกรรมด้วยกัน คือ อาจเข้าไปร่วมอยู่ในฐานะ เป็นสมาชิกคนหน่ึง การบนั ทึกข้อความมักจะกระทาภายหลังการเข้าไปร่วมกิจกรรมนั้น ๆ และ มักจะบันทึกในรูปของการสังเคราะห์ข้อความ ผู้ถูกสังเกตจะไม่รู้ตัว เพื่อช่วยให้การเก็บข้อมูล เป็นจรงิ หรอื ธรรมชาติมากที่สุด

- 61 - 2) การสังเกตโดยผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม (Non-Participant Observation) หรือ สังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม หมายถึง การที่ผู้สังเกต อยู่ภายนอกกลุ่มของผู้ถูกสังเกต คือ สังเกตในฐานะเป็นบุคคลภายนอก ไม่เข้าร่วมกระทา กิจกรรมกับผถู้ กู สังเกต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 2.1) การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผสู้ ังเกตไม่ได้กาหนดเรือ่ งเฉพาะที่มุ่งสังเกตเพียงอย่างเดียว แต่จะสังเกต เร่ืองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ส่วนใหญ่ใช้กับการสารวจเร่ืองทั่วไป ไม่สามารถกาหนดรูปแบบ ทีแ่ น่นอนได้ 2.2) การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (structured Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตกาหนดเร่ืองที่จะสังเกตเฉพาะไว้แล้ว โดยคาดว่าพฤติกรรม ที่สังเกตจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทาการสังเกต เช่น การสังเกตพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียน เป็นต้น ผู้ถูกสังเกตจะไม่ทราบว่าถูกสังเกตเกี่ยวกับอะไร ช่วยให้การจดบันทึกพฤติกรรม ถูกต้องตามความเป็นจริงมากขึ้น 3.2.2 ขั้นตอนการประเมินโดยการสังเกต (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2553; Witt and others, 1994 อ้างถึงใน อนวุ ัติ คูณแก้ว, 2558) มีดังนี้ 1) กาหนดเป้าหมายหรือนิยามเชิงปฏิบัติการของพฤติกรรมที่จะสังเกต ซึ่งผู้สังเกตต้องเป็นผู้นิยามเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าพฤติกรรมนั้นหมายถึงอะไร มีขอบเขต เพียงใด 2) กาหนดมิติของพฤติกรรมที่จะวัด เป็นการกาหนดลักษณะการแสดงออก ความเข้ม และพฤติกรรมทีเ่ ป็นลกั ษณะนิสยั 3) ระบุจานวนพฤติกรรมที่จะประเมิน ซึ่งแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน และมี ปริมาณพฤติกรรมทีแ่ สดงออกไม่เท่ากนั จงึ ตอ้ งระบุพฤติกรรมตา่ ง ๆ ทีจ่ ะสังเกตอย่างชดั เจน 4) กาหนดจานวนคร้ังในการสังเกต ซึ่งผู้สังเกตไม่สามารถที่จะสังเกตได้ ตลอดเวลา จงึ ต้องสุ่มสิ่งที่จะสงั เกต กาหนดจานวนครั้ง และควรระมัดระวังความคลาดเคลื่อน จากการสุ่มเวลา บางเรือ่ งอาจต้องสังเกตตามช่วงเวลาต่าง ๆ กัน หลาย ๆ คร้ัง หรอื ใช้ผสู้ งั เกต หลาย ๆ คน เพื่อให้ผลการสังเกตเชื่อถือได้ 5) กาหนดวิธีการบันทึกพฤติกรรม และบันทึกทันทีที่สังเกต ไม่ควรทิ้งไว้นาน เพราะอาจลมื ได้ และไม่ควรบนั ทึกให้ผู้ถกู สงั เกตเหน็ วิธีการสังเกตที่ดีน้ัน ผู้สังเกตต้องขจัดความอคติหรือความลาเอียงให้หมด วางตัวเป็นกลาง บันทึกเหตุการณ์ตามการรับรู้อย่างตรงไปตรงมาและไม่รังเกียจผู้ถูกสังเกต

- 62 - ไม่ควรตีความขณะสังเกตเพราะจะทาให้ความสนใจในการสังเกตลดลง ก่อนการสังเกตจริง ควรมีการฝึกการสังเกต และบันทึกเหตุการณ์ เคร่ืองมือที่ใช้ประกอบการสังเกต เช่น แบบตรวจสอบรายการ มาตราส่วนประมาณค่า แบบสังเกตพฤติกรรม แบบบันทึกพฤติกรรม เปน็ ต้น 3.2.3 ข้อดีและข้อจากัดของการสังเกต (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2553; McMillan, 2001 อ้างถึงใน อนุวัติ คณู แก้ว, 2558) 1) ข้อดขี องการสงั เกต 1.1) บันทึกพฤติกรรมโดยตรง 1.2) สะดวกในการปฏิบตั ิ สามารถเริ่มหรอื หยุดสงั เกตเวลาไหนก็ได้ 1.3) สังเกตได้หลายอย่าง 1.4) สามารถบันทึก แล้วแปลผลภายหลัง 1.5) สามารถเห็นการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม 1.6) สามารถใช้กับผู้ที่อ่านหนังสือไม่ได้ เขียนไม่ได้ พูดไม่ได้ ไม่มีเวลา เด็กเล็ก ผู้พิการทางสมอง และไม่ให้ความร่วมมือ 1.7) ระบุระดบั ของการพัฒนาทักษะได้ดี 1.8) เหน็ การเปลีย่ นแปลงของผเู้ รียนทันที แล้วใชข้ ้อมลู นน้ั ย้อนกลับ 1.9) มีความเป็นธรรมชาติ ไม่ฝืนความรู้สกึ 1.10) ใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนหรือขัดแย้งความในเรื่องเดียวกันที่ทราบ จากการเก็บข้อมูลโดยวิธีอน่ื หรอื เสริมให้ชดั เจนขึน้ 2) ข้อจากดั ของการสงั เกต 2.1) บางครงั้ อาจใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมาก 2.2) ไม่สามารถเกบ็ ข้อมูลที่เจ้าของเหตกุ ารณ์ไม่อนญุ าต 2.3) พฤติกรรมบางอย่าง อาจไม่แสดงออกในระหว่างทีส่ ังเกต 2.4) ต้องใช้เครอ่ื งมอื อย่างอน่ื ประกอบ 2.5) เกิดความลาเอียงของผสู้ ังเกต 2.6) ไม่สามารถที่จะบนั ทึกพฤติกรรมได้ครบ 2.7) หากผู้สังเกตไม่คุ้นเคยกับประเพณีวัฒนธรรม อาจทาให้ แปลความหมายจากการสงั เกตผดิ ไปได้ 3.3 การรายงานตนเองของผู้เรียน (Student self-report) เป็นวิธีการที่ผู้เรียน เป็นผู้ประเมนิ ตนเอง เชน่ การสัมภาษณ์ การพูดคุยสอบถาม การเขียนตอบ เป็นต้น ดังน้ี

- 63 - 3.3.1 การสมั ภาษณ์ (Interview) คือ การสนทนาหรอื การพูดโต้ตอบกันอย่าง มีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาความรู้ ความจริง ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ การสังภาษณ์จะ ประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้สัมภาษณ์กับผู้ถูกสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์นอกจากจะได้ ข้อมูลตามความต้องการแล้ว ยังช่วยให้ทราบข้อเท็จจริงของผู้ถูกสัมภาษณ์ในด้านบุคลิกภาพ อีกด้วย เช่น ท่วงที วาจา อารมณ์ อปุ นิสัย ปฏิภาณไหวพริบ เปน็ ต้น (สมนกึ ภัททิยธนี, 2558) ซึ่งครูผสู้ อนใช้การสัมภาษณ์ผเู้ รียนเพือ่ เก็บข้อมลู เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เจตคติ และ ความรสู้ ึก ของผเู้ รียน หรอื อาจสมั ภาษณ์ผู้ปกครองเพื่อเก็บข้อมลู ทีเ่ กี่ยวข้องกบั ตัวผเู้ รียน 1) รปู แบบการสัมภาษณ์แบ่งออกเป็น 2 แบบ คอื (อนวุ ตั ิ คูณแก้ว, 2558) 1.1) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interview) เป็นการ สัมภาษณ์ทีผ่ ู้สัมภาษณ์ได้เตรียมคาถามไว้แล้ว ผู้ให้สัมภาษณ์จะถูกถามด้วยคาถามที่เหมอื นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการถามที่คาตอบให้เลือกตอบ การสัมภาษณ์แบบนี้ ทาให้ได้ข้อมูลตามที่ ต้องการ และเหมาะสาหรับผู้สมั ภาษณ์ที่ไม่ค่อยมีทักษะในการสัมภาษณ์ 1.2) การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured interview) เป็น การสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์ได้กาหนดเพียงแนวทางการสัมภาษณ์ เป็นหัวข้อกว่าง ๆ เท่าน้ัน เปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ การสัมภาษณ์อาจจะเปลี่ยนไป ตามสถานการณ์ ดังน้ันผู้สัมภาษณ์ต้องมีทักษะในการสัมภาษณ์ เป็นผู้ฟังที่ดี มีเทคนิคในการ ชกั จูงให้ตรงประเด็นที่ตอ้ งการสัมภาษณ์ รวมทั้งมที กั ษะในการบันทึกข้อมูลดว้ ย 2) ส่วนประกอบของแบบสัมภาษณ์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ (สมนึก ภัททิยธนี, 2558) 2.1) ส่วนที่หนึ่ง เป็นส่วนที่ใช้สาหรับบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ เช่น ชื่อโครงการ ชื่อเรื่อง หรือชื่อผู้ถูกสัมภาษณ์ วัน เดือน ปี เวลา ที่สัมภาษณ์ ชื่อผู้สัมภาษณ์ ลักษณะบางประการของกลุ่มที่จะสัมภาษณ์ เช่น ระดับชั้น ห้องเรียน โรงเรียน หมู่บ้าน ตาบล จงั หวดั เปน็ ต้น 2.2) ส่วนที่สอง เป็นรายละเอียดส่วนตัวของผู้ถูกสัมภาษณ์ ในส่วนนี้ ยงั ไม่เกีย่ วกับเรื่องทีจ่ ะสมั ภาษณ์ เช่น เพศ อายุ จานวนสมาชิกในครอบครัว ศาสนา อาชีพของ บิดามารดา เป็นต้น 2.3) ส่วนที่สาม เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ คือ เป็น ข้อคาถาม คาตอบทีต่ รงกบั จุดมงุ่ หมายของการสมั ภาษณ์ 3) หลักและวิธีการสัมภาษณ์ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2553; สมนึก ภัททิยธนี ,2558; อนุวตั ิ คูณแก้ว, 2558)

- 64 - 3.1) ก่ อ น ก ารสั ม ภ าษ ณ์ ผู้ ถู ก สั ม ภ าษ ณ์ ต้ อ งท าค วาม เข้าใ จ ในสาระสาคัญของการสัมภาษณ์ และผู้สัมภาษณ์ต้องแนะนาตนเอง บอกจุดมุ่งหมายของ การสัมภาษณ์ ประโยชน์ที่ได้รบั และแจ้งว่าจะไม่เปิดเผยข้อมลู ในลกั ษณะส่วนตัว 3.2) ระหว่างการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ต้องสร้างบรรยากาศที่ดี ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์มีความรู้สึกเป็นมิตร ใช้การถามทีละคาถามด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่ควรชี้แนะคาตอบ และเร่งรัดคาตอบจนเกินไป ไม่ควรวิจารณ์คาตอบ และใช้ไหวพริบสังเกต ท่าทีผู้ถูกสัมภาษณ์ว่าเต็มใจหรือลาบากใจที่จะตอบความจริง ซึ่งต้องระวังอย่าให้เกิด ความรสู้ ึกดงั กล่าว 3.3) หลังการสัมภาษณ์ ต้องจดบันทึกทันทีหลังสัมภาษณ์เสร็จ เฉพาะ เนื้อหาสาระจากการสัมภาษณ์เท่าน้ัน ไม่ควรใส่ความคิดเห็นของผู้สัมภาษณ์ลงไป ถ้าถามแล้ว ไม่ได้คาตอบใหบ้ นั ทึกเหตุไว้ และตรวจสอบความถกู ต้องก่อนนาข้อมูลไปวิเคราะห์ 4) ข้อดีและข้อจากัดของการสัมภาษณ์ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2553; สมนึก ภทั ทิยธนี,2558; อนวุ ตั ิ คณู แก้ว, 2558) 4.1) ข้อดขี องการสมั ภาษณ์ 4.1.1) ใช้ได้กับคนทุกวัย ทุกเพศ และเหมาะสาหรับผทู้ ี่อ่านหนังสือ ไม่ออก หรอื เขียนหนงั สอื ไม่ได้ หรอื มีปญั หาในการอา่ นและเขียน 4.1.2) ช่วยให้ได้ข้อมูลที่ละเอียด มีความคลาดเคลื่อนน้อย และ สามารถสังเกตพฤติกรรม ท่าที ของผู้ให้สัมภาษณ์ในขณะสัมภาษณ์ และได้ข้อมูลครบถ้วน เพราะผถู้ กู สมั ภาษณ์มโี อกาสตรวจสอบคาถามที่ยังไม่ได้ตอบได้ 4.1.3) สามารถปรบั คาถามให้ชัดเจนยืดหยุ่นได้ และทาให้สามารถ ซกั ถามข้อสงสัยต่าง ๆ หรอื คาตอบทีย่ ังชัดเจนได้ 4.1.4) ผู้ให้สัมภาษณ์จะให้ความร่วมมือดีกว่าการรวบรวมข้อมูล โดยการใชแ้ บบสอบถาม 4.2) ข้อจากัดของการสัมภาษณ์ 4.2.1) เสียเวลา สิน้ เปลืองแรงงานและเสียค่าใช้จ่ายสูง 4.2.2) การร่วมมืออาจนอ้ ยลงหากผู้สัมภาษณ์ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ดพี อ 4.2.3) ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้สัมภาษณ์ เพราะผู้ถูก สัมภาษณ์มกั จะระวงั ตัว 4.2.4) การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างจะทาให้รวบรวมคาตอบ ได้ค่อนข้างยาก

- 65 - 3.3.2 การใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นวิธีการที่นิยมใช้กันอย่าง มาก เพราะสะดวกและวัดได้อย่างกว้างขวางโดยอาศัยแบบสอบถามที่เป็นชุดของคาถามที่ใช้ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการทราบ โดยผู้ตอบจะต้องเขียนตอบลงในแบบสอบถามด้วย ตัวเอง ครูผู้สอนใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลลักษณะเดียวกับการสัมภาษณ์ เช่น ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เจตคติ และ ความรู้สึก ของผู้เรียน เป็นต้น แต่จะใช้ได้ดีในกรณีผู้เรียนอ่านออก เขียนได้ ใช้วัดด้านจติ พิสัย 1) รูปแบบของคาถามแบ่งออกเป็น คาถามที่ให้ตอบโดยการเขียนและ คาถามแบบมีตัวเลือก (อนุวัติ คูณแก้ว, 2558) ซึ่งทาให้ได้ข้อมูลจากคาตอบของผู้เรียน ที่สะท้อนความรู้สึกของตนเอง โดยที่ไม่มีการชี้แนะคาตอบ แต่ต้องมีเวลาเพียงพอให้ผู้เรียน ตอบ โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 1.1) คาถามที่ให้ตอบโดยการเขียน คาถามที่ถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม อ่านแล้วเข้าใจตรงกัน ลักษณะของคาถามอาจอยู่ในรูปของบอกเล่า ประโยคคาถาม หรือ ประโยคทีไ่ ม่สมบรู ณ์ แล้วให้ผเู้ รียนเติมขอ้ ความ เชน่ เมือ่ ฉันมเี วลาว่างฉันจะ....................................................................... ฉนั ชอบวิชานีม้ ากเพราะ..................................................................... ถ้าฉันโตขึ้นฉันอยากเป็น..................เพราะ......................................... หรอื เปน็ คาถามแบบความเรยี งเพือ่ ให้ผเู้ รียนได้แสดงความรู้สกึ เชน่ ผเู้ รียนคิดว่าการเปน็ คนดีมปี ระโยชน์อย่างไรต่อสงั คม ผเู้ รียนคิดว่าการประหยัดไฟฟ้าควรทาอย่างไร 1.2) คาถามแบบมีตัวเลือก มีรูปแบบหลายชนิด ที่นิยมใช้ได้แก่ แบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Likert Rating Scale) แบบวัดใช้ความแตกต่างของภาษา (Semantic Differential) ของออสกูด (Osgood) และแบบวัดเชิงสถานการณ์ เปน็ ต้น 3.4 การวัดคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (สานักวิชาการ และมาตรฐานการศกึ ษา, 2553) ได้กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ ได้แก่ 1) รัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งม่ันใน การทางาน 7) รักความเป็นไทย และ 8) มีจิตสาธารณะ โดยแต่ละคุณลักษณะมีนิยาม ตัวชี้วัด และพฤติกรรมบ่งชีเ้ พือ่ นาไปสู่การพัฒนาผเู้ รียนใหม้ ีประสิทธิภาพ ดังน้ี

- 66 - ข้อที่ 1 รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ นิยาม รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดี ของชาติ ธารงไว้ซึ่งความเป็นไทย ศรัทธา ยึดมั่นในศาสนา และเคารพเทิดทูนสถาบัน พระมหากษัตรยิ ์ ผทู้ ี่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คือ ผู้ที่มีลักษณะซึ่งแสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดีของชาติ มีความสามัคคี ปรองดอง ภูมิใจ เทิดทูนความเป็นไทย ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ และแสดงความจงรักภกั ดีตอ่ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ ตัวชี้วัด 1.1 เปน็ พลเมืองดขี องชาติ 1.2 ธารงไว้ซึ่งความเปน็ ชาติไทย 1.3 ศรัทธายึดมน่ั และปฏิบตั ิตามหลกั ของศาสนา 1.4 เคารพเทิดทูนสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ตารางที่ 4.1 แสดงตัวช้วี ดั และพฤติกรรมบ่งชี้คุณลกั ษณะรกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ตวั ชีว้ ดั พฤติกรรมบ่งชี้ 1.1 เป็นพลเมืองดขี องชาติ 1.1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติ และอธิบาย ความหมายของเพลงชาติได้ถกู ต้อง 1.1.2 ปฏิบตั ิตนตามสิทธิและหน้าที่พลเมืองดีของชาติ 1.1.3 มีความสามัคคีปรองดอง 1.2 ธารงไว้ซึ่งความเป็นชาติไทย 1.2.1 เข้าร่วมส่งเสริมสนบั สนนุ กิจกรรมทีส่ ร้าง ความสามคั คีปรองดองที่เปน็ ประโยชน์ตอ่ โรงเรียน ชมุ ชน และสังคม 1.2.2 หวงแหน ปกป้อง ยกย่องความเปน็ ชาติไทย 1.3 ศรทั ธายึดม่ันและปฏิบัติตาม 1.3.1 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ หลกั ของศาสนา 1.3.2 ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนาทีต่ นนบั ถือ 1.3.3 เป็นแบบอย่างทีด่ ีของศาสนิกชน 1.4 เคารพเทิดทนู สถาบนั 1.4.1 เข้าร่วมและมีส่วนรว่ มในการจดั กิจกรรมทีเ่ กีย่ วกับ พระมหากษัตรยิ ์ สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ 1.4.2 แสดงออกซึง่ ความจงรักภกั ดีตอ่ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์

- 67 - ข้อที่ 2 ซือ่ สัตยส์ ุจรติ นิยาม ซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการยึดมั่นในความถูกต้อง ประพฤติตรงตามความเป็นจริงต่อตนเองและผอู้ ื่นท้ังกาย วาจา ใจ ผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต คือ ผู้ที่ประพฤติตรงตามความเป็นจริงทั้งกาย วาจา ใจ และ ยึดหลักความจรงิ ความถูกต้อง ในการดาเนินชีวติ มคี วามละอายและเกรงกลวั ต่อการกระทาผดิ ตวั ชีว้ ดั 1.1 พฤติกรรมตรงตามความเป็นจริงต่อตนเองทั้งกาย วาจา ใจ 1.2 พฤติกรรมตรงตามความเป็นจริงต่อผู้อ่นื ทั้งกาย วาจา ใจ ตารางที่ 4.2 แสดงตวั ช้วี ดั และพฤติกรรมบ่งชีค้ ณุ ลกั ษณะซื่อสัตย์สุจริต ตวั ชีว้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ 1.1 พฤติกรรมตรงตามความเป็น 2.1.1 ให้ข้อมูลทีถ่ กู ต้องและเป็นจรงิ จรงิ ตอ่ ตนเองทั้งกาย วาจา ใจ 2.1.2 ปฏิบตั ิตนโดยคานึงถึงความถกู ต้อง ละอายและ เกรงกลัวต่อการกระทาผดิ 2.1.3 ปฏิบตั ิตามคามน่ั สัญญา 1.2 พฤติกรรมตรงตามความ 2.2.1 ไม่ ไม่ถือเอาสิง่ ของหรอื ผลงานผอู้ ืน่ มาเปน็ ของตนเอง เป็นจรงิ ตอ่ ผอู้ ื่นท้ังกาย วาจา ใจ 2.2.2 ปฏิบตั ิตนต่อดว้ ยความซื่อตรง 2.2.3 ไม่หาประโยชน์ในทางทีไ่ ม่ถกู ต้อง ขอ้ ที่ 3 มีวินยั นิยาม มีวินัย หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการยึดม่ันในข้อตกลง กฎเกณฑ์ และระเบียบ ข้อบังคับของครอบครวั โรงเรียน และสังคม ผู้ที่มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสงั คมเป็นปกติวสิ ยั ไม่ละเมดิ สิทธิของผอู้ ืน่ ตัวชีว้ ดั 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คับของครอบครัว โรงเรียน และสงั คม ตารางที่ 4.3 แสดงตัวช้วี ดั และพฤติกรรมบ่งชีค้ ุณลักษณะมีวนิ ยั ตวั ชี้วัด พฤติกรรมบง่ ชี้ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง 3.1.1 ปฏิบัติตนตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บังคับ กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คับของ ของครอบครัว โรงเรียน และสงั คม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อืน่ ครอบครัว โรงเรียน และสังคม 3.1.2 ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตวั ช้วี ดั และพฤติกรรมบ่งชี้ ในชีวติ ประจาวัน และรับผิดชอบในการทางาน

- 68 - ข้อที่ 4 ใฝเ่ รยี นรู้ นิยาม ใฝ่เรียนรู้ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ ความเพียรพยายาม ในการเรียน แสวงหาความรจู้ ากแหล่งเรียนรู้ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียน ผู้ที่ใฝ่เรียนรู้ คือผู้ที่มีลักษณะแสดงออกถึงความต้ังใจ เพียรพยายามในการเรียน และ เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน อย่างสม่าเสมอ ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็น องค์ความรู้ แลกเปลีย่ นเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่และนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ ตัวชีว้ ดั 4.1 ต้ังใจ เพียรพยายามในการเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งภายในและนอกโรงเรียน โดย การเลือกใช้สอ่ื อย่างเหมาะสม สรปุ องค์ความรู้ และนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้ ตารางที่ 4.4 แสดงตัวช้วี ัดและพฤติกรรมบ่งชี้คณุ ลักษณะใฝ่เรยี นรู้ ตัวชี้วดั พฤติกรรมบง่ ชี้ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายาม 4.1.1 ตั้งใจเรียน ในการเรียน และเข้าร่วม 4.1.2 เอาใจใส่และมีความพยายามในการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ 4.1.3 สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้ต่าง ๆ 4.2 แสวงหาความรจู้ าก 4.2.1 ศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสอื เอกสาร ส่ิงพิมพ์ แหลง่ เรียนรู้ต่าง ๆ ท้ังภายใน สือ่ เทคโนโลยีต่าง ๆ แหล่งเรียนรทู้ ้ังภายในและภายนอก และนอกโรงเรยี น โดยการ โรงเรียน เลือกใช้ส่อื ได้อย่างเหมาะสม เลือกใช้ส่อื อย่างเหมาะสม 4.2.2 บนั ทึกความรู้ วเิ คราะหข์ ้อมลู จากสิ่งที่เรียนรู้ สรุป สรปุ องค์ความรู้ และนาไปใช้ เปน็ องค์ความรู้ ในชีวติ ประจาวันได้ 4.2.3 แลกเปลีย่ นความรดู้ ้วยวิธีการตา่ ง ๆ และนาไปใช้ ในชีวติ ประจาวนั ข้อที่ 5 อยอู่ ย่างพอเพียง นิยาม อยู่อย่างพอเพียง หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการดาเนินชีวิต อย่างพอประมาณ มีเหตุผล รอบคอบ มีคุณธรรม มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี และปรับตัวเพื่ออยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุข ผู้ที่อยู่อย่างพอเพียง คือ ผู้ที่ดาเนินชีวิตอย่างประมาณตน มีเหตุผล รอบคอบ ระมัดระวัง อยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความรับผิดชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เห็นคุณค่าของทรัพยากร ต่าง ๆ มีการวางแผนป้องกันความเสีย่ งและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

- 69 - ตัวชี้วัด 5.1 ดาเนนิ ชีวติ อย่างพอประมาณ มีเหตุผล รอบคอบ มคี ุณธรรม 5.2 มีภมู ิคมุ้ กนั ในตัวที่ดี ปรบั ตัวเพือ่ อยู่ในสังคมได้อย่างมคี วามสุข ตารางที่ 4.5 แสดงตวั ช้วี ัดและพฤติกรรมบ่งชีค้ ุณลักษณะอยู่อย่างพอเพียง ตวั ชี้วดั พฤติกรรมบง่ ชี้ 5.1 ดาเนนิ ชีวติ อย่าง 5.1.1 มีทรพั ย์สินของตนเอง เช่น เงิน สง่ิ ของ เครื่องใช้ ฯลฯ พอประมาณ มเี หตุผล อย่างประหยดั คุ้มค่า และเก็บรกั ษาดแู ลอย่างดี รวมท้ัง รอบคอบ มคี ุณธรรม การใชเ้ วลาอย่างเหมาะสม 5.1.2 ใช้ทรพั ยากรของสว่ นรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และ เกบ็ รกั ษาดูแลอย่างดี 5.1.3 ปฏิบตั ิตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.1.4 ไม่เอาเปรียบผู้อน่ื และไม่ทาให้ผู้อืน่ เดือดร้อน พร้อมใหอ้ ภัยเมื่อผอู้ ื่นกระทาผดิ พลาด 5.2 มีภมู ิคมุ้ กนั ในตัวที่ดี 5.2.1 วางแผนการเรียน การทางาน และการใช้ชีวติ บนพืน้ ฐาน ปรบั ตวั เพื่ออยู่ในสังคมได้ ของความรู้ขอ้ มลู ขา่ วสาร อย่างมคี วามสุข 5.2.2 รู้เท่าทนั การเปลี่ยนแปลงของสงั คมและสภาพแวดล้อม ยอมรบั และปรบั ตัวเพือ่ อยู่ร่วมกบั ผอู้ ื่นอย่างมคี วามสุข ข้อที่ 6 ม่งุ ม่ันในการทางาน นิยาม มุ่งมั่นในการทางาน หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจและ ความรับผิดชอบในการทาหน้าที่การงานด้วยความเพียรพยายาม อดทน เพื่อให้งานสาเร็จ ตามเป้าหมาย ผู้ที่มุ่งมั่นในการทางาน คือ ผู้ที่มีลักษณะซึ่งแสดงออกถึงความต้ังใจปฏิบัติหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายด้วยความเพียรพยายาม ทุ่มเทกาลังกาย กาลังใจ ในการปฏิบัติกิจกรรม ต่าง ๆ ให้สาเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่กาหนดด้วยความรับผิดชอบ และมีความภาคภูมิใจ ในผลงาน ตวั ชี้วดั 6.1 ตั้งใจและรบั ผดิ ชอบในการปฏิบตั ิหนา้ ที่การงาน 6.2 ทางานด้วยความเพียรพยายาม และอดทนเพื่อให้งานสาเรจ็ ตามเป้าหมาย

- 70 - ตารางที่ 4.6 แสดงตัวช้วี ัดและพฤติกรรมบ่งชี้คณุ ลักษณะมุ่งม่ันในการทางาน ตัวชี้วัด พฤติกรรมบ่งชี้ 6.1 ต้ังใจและรบั ผดิ ชอบใน 6.1.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหนา้ ที่ทีไ่ ด้รับมอบหมาย การปฏิบตั ิหน้าที่การงาน 6.1.2 ต้งั ใจและรับผดิ ชอบในการทางานให้สาเร็จ 6.1.3 ปรบั ปรุงและพฒั นาการทางานด้วยตนเอง 6.2 ทางานด้วยความเพียร 6.2.1 ทุ่มเททางาน อดทน ไม่ย่อท้อตอ่ ปัญหาและอปุ สรรค พยายาม และอดทนเพื่อให้ ในการทางาน งานสาเร็จตามเป้าหมาย 6.2.2 พยายามแก้ปญั หาและอุปสรรคในการทางานให้สาเรจ็ 6.2.3 ชื่นชมผลงานด้วยความภาคภมู ใิ จ ข้อที่ 7 รกั ความเปน็ ไทย นิยาม รักความเป็นไทย หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความภูมิใจ เห็นคุณค่า ร่วมอนุรักษ์ สืบทอดภูมิปัญญา ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ศิลปะ และวัฒนธรรม ใช้ภาษาไทยในการสอ่ื สารได้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม ผู้ที่รักความเป็นไทย คือ ผู้ที่มีความภูมิใจ เห็นคุณค่า ชื่นชม มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ สืบทอด เผยแพร่ภูมิปัญญาไทย ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และวัฒนธรรมไทย มีความ กตัญญกู ตเวที ใช้ภาษาไทยในการส่อื สารอย่างถกู ต้องเหมาะสม ตวั ชีว้ ัด 7.1 ภาคภูมิใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรมไทย และมีความ กตัญญูกตเวที 7.2 เหน็ คุณค่าและใช้ภาษาไทยในการส่อื สารได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม 7.3 อนุรกั ษ์และสบื ทอดภมู ปิ ัญญาไทย ตารางที่ 4.7 แสดงตัวช้วี ดั และพฤติกรรมบ่งชี้คุณลกั ษณะรกั ความเป็นไทย ตัวชีว้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ 7.1 ภาคภูมใิ จในขนบธรรมเนียม 7.1.1 แต่งกายและมีมารยาทงดงามแบบไทย ประเพณี ศลิ ปวัฒนธรรมไทย มีสัมมาคารวะ กตัญญูกตเวทีตอ่ ผมู้ ีพระคณุ และมีความกตัญญูกตเวที 7.1.2 ร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกบั ประเพณี ศลิ ปะ และ วฒั นธรรมไทย 7.1.3 ชกั ชวน แนะนาให้ผู้อ่ืนปฏิบัติตามขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศลิ ปะ และวัฒนธรรมไทย

- 71 - ตัวชี้วัด พฤติกรรมบ่งชี้ 7.2 เหน็ คณุ ค่าและใช้ภาษาไทย 7.2.1 ใช้ภาษาไทยและเลขไทยในการส่อื สาร ในการสือ่ สารได้อย่างถกู ต้อง ได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม เหมาะสม 7.2.2 ชกั ชวน แนะนาให้ผู้อ่ืนเหน็ คณุ ค่าของการ ใช้ภาษาไทยที่ถกู ต้อง 7.3 อนุรกั ษ์และสืบทอด 7.3.1 นาภมู ปิ ญั ญาไทยมาใช้ให้เหมาะสมในวิถีชีวติ ภูมปิ ัญญาไทย 7.3.2 ร่วมกิจกรรมที่เกีย่ วข้องกับ ภูมปิ ญั ญาไทย 7.3.3 แนะนา มีสว่ นร่วมในการสบื ทอดภูมปิ ญั ญาไทย ข้อที่ 8 มีจิตสาธารณะ นิยาม มีจิตสาธารณะ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผอู้ ื่น ชุมชน และสังคม ด้วยความเตม็ ใจ กระตือรือร้น โดยไม่หวงั ผลตอบแทน ผู้ที่มีจิตสาธารณะ คือ ผู้ที่มีลักษณะเป็นผู้ให้และช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งปันความสุข ส่วนตนเพื่อทาประโยชน์แก่ส่วนรวม เข้าใจ เห็นใจผู้ที่มีความเดือดร้อน อาสาช่วยเหลือสังคม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยแรงกาย สติปัญญา ลงมือปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา หรือร่วมสร้างสรรค์ สิง่ ทีด่ งี ามให้เกิดในชุมชน โดยไม่หวงั สิ่งตอบแทน ตวั ชี้วัด 8.1 ช่วยเหลือผู้อ่นื ด้วยความเต็มใจโดยไม่หวังผลตอบแทน 8.2 เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ตอ่ โรงเรียน ชมุ ชน และสงั คม ตารางที่ 4.8 แสดงตัวช้วี ัดและพฤติกรรมบ่งชีค้ ณุ ลกั ษณะมีจิตสาธารณะ ตัวชีว้ ดั พฤติกรรมบ่งชี้ 8.1 ช่วยเหลือผอู้ ืน่ ด้วย 8.1.1 ช่วยพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครูทางานด้วยความเต็มใจ ความเต็มใจโดยไม่หวัง 8.1.2 อาสาทางานให้ผอู้ ืน่ ด้วยกาลังกาย กาลังใจ และ ผลตอบแทน กาลังสตปิ ัญญา ด้วยความสมคั รใจ 8.1.3 แบ่งปนั สิ่งของ ทรัพย์สนิ และอื่น ๆ และช่วยแก้ปัญหาหรือ สร้างความสขุ ให้กบั ผอู้ ื่น 8.2 เข้าร่วมกิจกรรมทีเ่ ปน็ 8.2.1 ดูแลรกั ษาสาธารณสมบตั ิและสิ่งแวดล้อมด้วยความเต็มใจ ประโยชน์ตอ่ โรงเรียน 8.2.2 ร่วมกิจกรรมทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ โรงเรียน ชุมชน และสงั คม ชุมชน และสังคม 8.2.3 ร่วมกิจกรรมเพือ่ แก้ปญั หาหรอื ร่วมสร้างสง่ิ ที่ดีงามของ ส่วนรวมตามสถานการณ์ทีเ่ กิดขึ้นตามความกระตอื รอื ร้น

- 72 - 4. วธิ ีการวัดพฤติกรรมด้านทกั ษะพิสยั การวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นการวัดและประเมินผลจากการปฏิบัติ โดย ครูผู้สอนมอบหมายงานหรือกิจกรรม ให้ผู้เรียนปฏิบัติท้ังการปฏิบัติรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม เพื่อให้ได้ผลการปฏิบัติหรือชิ้นงาน และการกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) ซึ่งเน้น การวัดและประเมินผลที่ตรงตามสภาพจริง และเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถ ของผู้เรียนได้อย่างชัดเจน โดยมีวิธีการวัดและประเมินผลที่หลากหลาย เช่น การประเมินหรือ การทดสอบการปฏิบัติ การประเมนิ ตามสภาพจริง แฟ้มสะสมงาน เป็นต้น ดังน้ี 4.1 การประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment)การประเมินการปฏิบัติ หรือการทดสอบภาคปฏิบัติ เป็นวิธีการวัดและประเมินงานหรือกิจกรรมที่ผู้สอนมอบหมาย ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ต้องมีการกาหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะงานหรือกิจกรรม ผู้สอนต้องสังเกตและประเมิน กระบวนการที่เป็นข้ันตอนของการได้ผลงานผู้เรียน หรือเป็นงานที่เน้นผลผลิตที่ผู้สอนประเมิน เฉพาะคุณภาพของผลงานว่าเป็นไปตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้หรือไม่ โดยมีลักษณะของงานและ ประเภทของการประเมินการปฏิบัติ ดังน้ี 4.1.1 ลักษณะของงานท่ีให้ผู้เรียนปฏิบัติ (McMillan, 2000 อ้างถึงใน อนุวัติ คูณแก้ว, 2558) มีดงั นี้ 1) เป็นงานทีต่ ้องใช้ทกั ษะขั้นสูงหรอื ทักษะทีส่ าคัญในการดาเนินงานน้ัน 2) เป็นงานตามสภาพจริง 3) โครงสรา้ งของงานเพื่อประเมินเป้าหมายการเรียนรู้ทีห่ ลากหลาย 4) โครงสรา้ งของงานเพือ่ ให้ครูผสู้ อนชว่ ยเหลอื ผเู้ รียนให้ประสบความสาเร็จ 5) เป็นสิง่ งานที่ผเู้ รียนสามารถปฏิบตั ิได้ 6) เป็นงานที่สามารถปฏิบตั ิได้หลายวิธี 7) งานที่ให้ทาควรจะมีความชัดเจนว่าให้ทาอะไร 8) เป็นงานทีท่ ้าทายและเรา้ ใจผเู้ รียน 9) มีเกณฑ์การให้คะแนนอย่างชดั เจน 10) ต้องระบเุ งอ่ื นไขความสาเรจ็ ของงานอย่างชดั เจน 4.1.2 ประเภทของการวดั และประเมินการปฏิบัติ (สมนึก ภัททิยธนี, 2558) ดงั น้ี 1) แบ่งตามด้านทีต่ ้องการจะวัด แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1.1) การวัดกระบวนการ (Process) เป็นการวัดที่พิจารณาเฉพาะวิธีทา วิธีปฏิบัติในการทางานหรือกิจกรรมให้สาเร็จ เช่น ให้ผู้เรียนทาการทดลองในห้องปฏิบัติการ

- 73 - การใช้เคร่ืองมือช่างทาเฟอร์นิเจอร์ การตีเทนนิสแบบลูกหลังมือ (Back Hand) การกล่าว สุนทรพจน์ เปน็ ต้น 1.2) การวัดผลงาน (Product) เป็นการวัดที่พิจารณาเฉพาะผลงานหรือ ผลผลิตซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการทางานหรือกิจกรรม เช่น เฟอร์นิเจอร์ ภาพวาด ดอกไม้ ประดิษฐ์จากฝีมือผู้เรียน เป็นต้น ซึ่งในบางกิจกรรมหรืองานนั้น อาจวัดได้ทั้งกระบวนการและ ผลงาน เชน่ การเสียบกิ่งมะม่วง การประดษิ ฐ์หนุ่ ยนต์ การซ่อมคอมพิวเตอร์ เปน็ ต้น 2) แบ่งตามลักษณะสถานการณ์ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 2.1) ใช้สถานการณ์จริง (Real Setting) เป็นการวัดผลงานภาคปฏิบัติ โดยใช้สถานการณ์จริง เชน่ การฝกึ สอน การตรวจคนไข้ การซ่อมรถจกั รยานยนต์ เป็นต้น 2.2) ใช้สถานการณ์ จาลอง (Simulated Setting) การวัดผลงาน ภาคปฏิบัติในบางเร่อื งต้องใช้สถานการณ์จาลอง เพราะถ้าใช้สถานการณ์จริงจะสิ้นเปลืองมาก หรือมีอันตราย หรือไม่สามารถกระทาได้ เช่น การต่อวงจรไฟฟ้า การปฐมพยาบาล การฝึกดับเพลิง เปน็ ต้น 3) แบ่งตามสิง่ เร้า แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 3.1) ใช้สิ่งเร้าที่เป็นธรรมชาติ (Natural Stimulus) เป็นการวัดที่เป็นไป ตามธรรมชาติ ผู้วัดไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เช่น ทักษะทางสังคมของผู้เรียนที่ผู้วัดทาการสังเกต ในสภาพที่เป็นจริง ไม่ได้กาหนดให้ปฏิบัติ นิยมใช้วัดคุณลักษณะของบุคลิกภาพ นิสัย การทางาน ความเต็มใจในการปฏิบัติตามกระบวนการที่กาหนดให้ เช่น กฎความปลอดภัย เป็นต้น 3.2) ใช้สิ่งเร้าที่จัดขึ้น (Structured Stimulus) เป็นการวัดที่สามารถ แสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้หรือปรากฏให้เห็นเด่นชัด เช่น การให้ผู้เรียนเตรียมและ กล่าวสุนทรพจน์ การให้ทดลองวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ การอ่านออกเสียง การเล่น ดนตรี เป็นต้น วิธีนจี้ ะลดเวลาการสังเกตลง เพราะไม่ต้องรอให้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 4.1.3 ข้อดีของการประเมินหรอื การทดสอบภาคปฏิบัติ 1) สามารถใช้สอบวัดความสามารถในการปฏิบัติได้จริง หรือวัดได้ สอดคล้องกับสภาพจริงของผู้เรยี น 2) สามารถสอบวัดทักษะ และความสามารถในทางปฏิบัติบางอย่าง ที่อาจวดั ได้ดว้ ยเครื่องมอื อย่างอ่นื เชน่ แบบทดสอบเขียนตอบ แบบทดสอบเลือกตอบ เปน็ ต้น 3) สามารถใช้สอบวดั ความสามารถในการนาความรไู้ ปใช้ได้เปน็ อย่างดี 4 ) ช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้จากการทดสอบการปฏิบตั ิ

- 74 - 4.1.4 ข้อจากดั ของการประเมินหรอื การทดสอบภาคปฏิบตั ิ 1) ใช้เวลาในการดาเนินการสอบมากเน่ืองจากไม่สามารถให้ผู้เรียนสอบ ได้พร้อม ๆ กันทั้งชั้น โดยปกติการสอบภาคปฏิบัติจะทดสอบได้ทีละคน หรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 2-3 คน จงึ ตอ้ งใชเ้ วลามากกว่าจะครบทุกคน 2) สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากเน่ืองจากการปฏิบัติจริงต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ ในการทดสอบเป็นรายคน 3) การตรวจให้คะแนนการทดสอบภาคปฏิบัติ จะมีลักษณะเช่นเดียวกับ แบบทดสอบอัตนัย ดังน้ันหากเกณฑ์ไม่ชัดเจน หรือผู้ตรวจหรือผู้ประเมินมีความลาเอียง ผลการประเมินจะขาดความเชื่อถอื 4.2 การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็นวิธีการประเมินด้วย วิธีการทีห่ ลากหลายเพือ่ ให้ผลการประเมินที่สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผเู้ รียนมากทีส่ ุด ไม่เน้นการประเมินทักษะพื้นฐาน แต่ให้ผู้เรียนได้ผลิตผลงานอย่างสร้างสรรค์ เน้นการใช้ ความคิดระดับสูง การทางานและแก้ปัญหา โดยต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้และ การประเมินผลอย่างมีส่วนร่วมระหว่างครผู ู้สอน ผู้เรียน และผู้ปกครอง และควรกาหนดเกณฑ์ การประเมนิ ให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ 4.2.1 ลกั ษณะของการประเมินตามสภาพจรงิ (พิชิต ฤทธิ์จรญู , 2553) มีดังนี้ 1) เปน็ การประเมินผลที่เน้นการปฏิบตั ิจากสภาพจรงิ กระทาได้ตลอดเวลา และทุกสถานทีอ่ ย่างไม่เป็นทางการ 2) กาหนดงานหรือกาหนดปัญหาแบบปลายเปิดเพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง คาตอบเองด้วยการอสดง ทางานสร้างสรรคห์ รอื ผลติ ผลงาน 3) ไม่เน้นการประเมินเฉพาะทักษะพื้นฐาน แต่ให้ผู้เรียนผลิต สร้าง หรือ ทาบางสิง่ บางอย่างที่เน้นทักษะทีซ่ ับซ้อน เส้นงานทีใ่ ช้ความคิดระดับสูง การพิจารณาไตร่ตรอง การทางานและแก้ปญั หา 4) ใช้ข้อมูลอย่างหลากหลายเพื่อการประเมิน โดยใช้เคร่ืองมือประเมิน หลาย ๆ ประเภท 5) เน้นการประเมินที่มสี ่วนรว่ มระหว่างผู้สอน ผเู้ รียนและผปู้ กครอง 6) ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะประเมินตวั เองตรงไหน เร่ืองอะไร เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักวางแผนการเรียนรู้ตามความต้องการของตนเองว่าอยากรู้ อยากทาอะไร อนั จะนาไปสู่การกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีเรียนรู้ และกาหนดเกณฑ์ในการประเมินผล ของการเรยี นรู้

- 75 - 7) เน้นงานที่มีเนื้อหาสาระนาไปสู่การสนทนาระหว่างผู้สอนและผู้เรียน หรือผู้เรียนกับผู้เรียน หรือผู้เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเปิดโอกาสให้ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วม โดยใช้ความคิดระดับสูง เช่น อธิบาย วิเคราะห์ สังเคราะห์ อภิปราย ประเมิน เปน็ ต้น และเปน็ งานที่สัมพันธ์เชือ่ มโยงกบั ชีวติ จรงิ 4.2.2 ขอ้ ดีของการประเมินตามสภาพจรงิ 1) เป็นการวัดที่พยายามทาให้คุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด เป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยใช้วิธีการประเมินหลายรูปแบบ ประเมินอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และ ตามสภาพที่เป็นจริง 2) ดาเนินการสอบโดยไม่แยกออกจากการจัดการเรียนรู้ โดยการสอนและ การสอบเกิดขึ้นพร้อม ๆ กนั ไม่มีการจัดสอบเป็นพิธีการ ผเู้ รียนจะไม่รู้สึกว่าถูกสอบ ซึ่งผู้เรียน จะปฏิบัติงานอย่างเตม็ ศักยภาพ 3) ส่งเสริมการเรียนรู้ความแตกต่างของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง และส่งผล ต่อการพฒั นาคณุ ภาพการสอนของครูผสู้ อน 4.2.3 ขอ้ จากดั ของการประเมินตามสภาพจรงิ 1) หากครูผู้สอนไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการประเมินผล ครผู สู้ อนไม่อาจประเมนิ ตามสภาพจริงได้ 2) ครูผู้สอนมีภาระงานเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องประเมินอย่างต่อเน่ือง ต้องบูรณ าการความรู้ ต้องวางแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับลักษณ ะของ การประเมินตามสภาพจริง ต้องพยายามให้ผู้เรียนผลิตงานขึ้นมา และต้องตรวจงานมากขึ้น ซึ่งหากครูผู้สอนปรับตัวไม่ได้ก็อาจทาให้ครูผสู้ อนกลบั ไปใช้วิธีการวัดและประเมินผลแบบเดิม 4.3 การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment) การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงานเป็นวิธีการเก็บรวบรวมชิ้นงานของผู้เรียน เพื่อสะท้อนความก้าวหน้าและความสาเร็จของผู้เรียน (อิทธิพันธ์ สวุ ทันพรกูล, 2557 ; สมนึก ภัททิยธนี, 2558) 4.3.1 การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน โดยพิจารณาลักษณะของแฟ้มสะสม งาน (พิชิต ฤทธิจ์ รูญ, 2553 ; อิทธิพันธ์ สุวทันพรกูล, 2557) ดังน้ี 1) แฟ้มสะสมงานของผู้เรียน ที่ครูผู้สอนแนะนาให้ผู้เรียนร่วมกาหนด เป้าหมาย และกาหนดว่าต้องมีสง่ิ ใดบ้างในแฟ้มสะสมงาน แบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ 1.1) แฟ้มสะสมงานที่แสดงความก้าวหน้าของผู้เรียน โดยผู้เรียนต้องมี ผลงานในชว่ งเวลาต่าง ๆ ทีแ่ สดงถึงความก้าวหน้า

- 76 - 1.2) แฟ้ ม สะส ม งาน ดีเด่ น ผู้ เรียน ต้ องแส ด งผล งาน ที่ ส ะท้ อ น ความสามารถของผู้เรียน และต้องแสดงความคิดเห็น หรือเหตุผลที่เลือกผลงานนั้นเก็บไว้ ตามวัตถปุ ระสงค์ของแฟ้มสะสมงาน 2) แฟ้มสะสมงานเป็นผลผลิตมากกว่ากระบวนการทางาน เนื่องจาก ในแฟ้มสะสมงานจะมีส่วนของผลงานมากกว่าส่วนอื่น หลังจากพิจารณาตรวจทานแล้วผู้เรียน จะเลือกผลงานบรรจุในแฟ้มสะสมงานซึ่งครูผู้สอนจะไม่เห็นกระบวนการที่ใช้ในการผลิตงาน โดยตรง 3) แฟ้มสะสมงานที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยให้ผู้เรียนวางแผนลงมือ ทางาน คัดเลือกผลงาน ประเมินและปรับปรุงผลงานด้วยตัวเองอย่างต่อเน่ือง โดยครูผู้สอน เป็นผชู้ ี้แนะ ผู้เรียนเป็นเจา้ ของผลงาน เจ้าของแฟ้มสะสมงาน ผลงานของผู้เรียนมีความสมั พันธ์ เช่อื มโยงกับชีวติ จรงิ 4.3.2 ขอ้ ดีของแฟม้ สะสมงาน 1) สามารถประเมินคุณลักษณะของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผู้สอน รู้จกั ผเู้ รียนได้ละเอียดกว่าปกติ 2) ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการคัดเลือก หรือจัดสรรผลงาน และประเมินผล งานด้วยตนเอง 3) ผู้เรียนมีแรงจูงใจ ทาการพัฒนาตนเองหรือ แข่งขันกับตนเอง และ เกิดความภาคภูมใจ 4) เป็นส่วนสาคัญในการส่งเสริมความก้าวหน้าของผู้เรียนท้ังเรียนเก่ง และเรียนอ่อน จงึ เปน็ ส่วนทีเ่ สริมประสานกิจกรรมการเรยี นกบั การประเมนิ ผล 5) ฝกึ ความมีวนิ ัยและฝึกการเก็บข้อมลู อย่างมรี ะบบระเบียบจนเปน็ นิสัยที่ดี 6) ครูผู้สอนได้ข้อมูลสะท้อนกลับในการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ของตนจากผเู้ รียน 4.3.3 ขอ้ จากัดของแฟม้ สะสมงาน 1) ใช้เวลามาก เพราะนอกจากจะใช้เวลาในการจัดทาแฟ้มสะสมงาน แล้วยังใชเ้ วลาในการพิจารณาตรวจทาน (Review) มากอีกด้วย 2) ไม่สามารถวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนได้ ซึ่งวดั เกีย่ วกบั ด้านพุทธิพิสยั

- 77 - สรุป วิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ครูผู้สอนสามารถนาไปใช้ในการประเมิน เพื่อพัฒนาผู้เรียนได้อย่างหลากหลายให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของการนาผลการประเมิน ไปใช้ของแต่ละรายวิชาท้ังเป็นแบบทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งวิธีการวัดพฤติกรรมของ ผู้เรียนแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ในด้านพุทธิพิสัยเป็นการวัดการเรียนรู้ทางด้านความคิด ความรู้ โดยมีวิธีการวัดและประเมิน คือ การทดสอบ ส่วนด้านจิตพิสัยเป็นการวัดและประเมินเกี่ยวกับความรู้สึก จิตใจ อารมณ์ ทัศนคติ หรือคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยมีวิธีการวัดและประเมิน คือ การสังเกต การรายงานตนเองของผู้เรียน เช่น การสัมภา ษ ณ์ การใช้แบ บ สอบ ถาม เป็ นต้น การวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางฯ กาหนดขึ้น 8 ประการ ได้แก่ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งม่ันในการทางาน รักความเป็นไทย และมีจิตสาธารณะ และในด้านทักษะพิสัย เป็นการวัดและประเมินผลจาก การปฏิบัติ โดยประเมินกระบวนการปฏิบัติหรือชิ้นงานที่ได้จากการปฏิบัติ โดยครูผู้สอนจะต้อง กาหนดเกณฑ์การให้คะแนน ที่เน้นการวัดและประเมินตรงตามสภาพจริง ประกอบด้วย การประเมินการปฏิบัติ การประเมินตามสภาพจริง การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน ซึ่งครูผู้สอนเลือกวิธีการวัดและประเมินเพื่อใช้ไปพร้อมกับเคร่ืองมือการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ บางกรณีอาจใช้เคร่ืองมือฉบับเดียว แต่บางกรณีใช้เคร่ืองมือหลายประเภทผสมกัน โดยเคร่ืองมือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดต่างก็มี ความเหมาะสมกับการวัดและประเมินผลแตกต่างกนั แบบฝึกหัด 1. จงอธิบายวิธีการวัดพฤติกรรมของผเู้ รียนมาพอสังเขป 2.1 วิธีการวดั พฤติกรรมดา้ นพทุ ธิพิสัย 2.2 วิธีการวดั พฤติกรรมดา้ นจติ พิสัย 2.3 วิธีการวัดพฤติกรรมดา้ นทักษะพิสยั 2. จงอธิบายความแตกต่างของวิธีการวัดพฤติกรรมด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและ ไม่มสี ่วนรว่ ม มาพอสงั เขป 3. จงอธิบายความแตกต่างของวิธีการวัดพฤติกรรมด้วยการสัมภาษณ์แบบมี โครงสรา้ งและแบบไม่มโี ครงสรา้ ง มาพอสังเขป

- 78 - 4. จงออกแบบวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้เรียน (พุทธิพิสัย จติ พิสัย ทกั ษะพิสยั ) พร้อมทั้งระบุข้อดีและข้อจากัดของวิธีการดังกล่าว 5. จากสถานการณ์ต่อไปนี้ เป็นการวัดและประเมินผลด้วยวิธีการใด (แต่ละข้อตอบได้ มากกว่า 1 คาตอบ) สถานการณ์ วิธีการวัดและประเมินผล 1. การนาเสนอหน้าชน้ั เรียน 2. การปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม 3. การทากระทงเพื่อรว่ ม กิจกรรมหนองหัวหงอกบนั เทิง 4. การวัดผลสัมฤทธิท์ างการ เรียนแตล่ ะรายวิชา 5. สิง่ ประดิษฐ์ของผเู้ รียน 6. การทดลองวิทยาศาสตร์ 7. พฤติกรรมการมีจติ อาสา 8. การอธิบายวิธีการสร้างและ หาคุณภาพเคร่อื งมอื วดั และ ประเมินผลการเรียนรู้ 9. สมรรถนะทางร่างกาย 10. ความคิดเห็นต่อการปฏิรปู การศกึ ษาไทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook