ศาสนาสาคญั ของโลกหนา้ ท่พี ลเมืองและศลี ธรรม รหัสวิชา 2000-1501
ใบความรู้ หน่วยที่ 2 ศาสนาสาคญั ของโลก ศาสนาที่มีความสาคัญในปัจจุบันในโลกท่ีมีผู้นับถืออยู่จานวนมาก ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามและศาสนาพราหมณ์ฮนิ ดู ท้ัง 4 ศาสนาต่างมปี ระวัตคิ วามเป็นมาทีย่ าวนาน มีเรือ่ งราวทนี่ ่าสนใจในหนว่ ยนนี้ กั เรยี นจะไดศ้ ึกษาถงึ รายละเอยี ดของแต่ละศาสนาในเบ้อื งต้นวา่ แต่ละศาสนามีจุดกาเนิดอย่างไร มีใครเป็นศาสดาของศาสนา มีแนวทางปฏิบตั อิ ยา่ งไรและแตล่ ะศาสนามจี ดุ มงุ่ หมายอยา่ งไร1.ศาสนาคริสต์ (จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมข้อ 1) สัญลักษณ์: ไม้กางเขน ความหมาย: ความเสยี สละ ของพระเยซคู ริสต์1.1ประวัตศิ าสนาครสิ ต์ ศาสนาคริสต์ มีลักษณะ เปน็ ศาสนาเทวนิยม ซึง่ นับถือพระเจ้าองคเ์ ดียว คือ พระยะโฮวา หรือ พระยาเวห์ คาว่า \"คริสต์\" มาจากภาษากรกี ว่า \"คริสตอล\" แปลว่า ผู้ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพระเจ้า ศาสนาคริสต์ เปน็ ศาสนา ท่ีเนน้ การมอบความรกั ที่บริสุทธิ์ใหแ้ ก่กัน เพราะหลักการของศาสนาครสิ ต์ ถอื ว่า มนุษย์ทุกคน เปน็ บุตรของพระเจ้า ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนา ท่ีพัฒนาหรือปฏิรูปมาจากศาสนายิว หรือ ยูดาย ดังนั้น การศึกษาศาสนาครสิ ต์ จงึ ตอ้ งศกึ ษาที่ศาสนายดู ายก่อน ประมาณ 2,000 ปี ก่อนคริสต์กาล ชนเผ่าหน่ึง เป็นบรรบุรุษ ของชาวยิว ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ดินแดนเมโสโปเตเมีย (ปัจจบุ ัน อยู่ในประเทศอิรัก) มหี ัวหน้าเผ่าชื่อ \"อับราฮัม\" (อบั ราฮัม ได้รับการยกย่องว่าเปน็ บิดาของชาวยิว) ได้อ้างตนว่า ได้รับโองการจากพระเจ้า ให้อพยพ ชนเผ่าไปอยู่ในดินแดนท่ีเรียกว่า คานาอัน(ประเทศอิสราเอล ในปัจจุบัน) โดยอับราฮัม กล่าวว่า พระเจ้ากาหนดและสัญญาให้ชนเผ่าน้ี เป็นชนชาติ ท่ียง่ิ ใหญ่ตอ่ ไป การท่ีพระเจ้าสัญญา จึงกอ่ ใหเ้ กิดพนั ธสญั ญา ระหว่างพระเจา้ กบั ชนชาวยิว ดังนน้ั ในเวลาต่อมาจึงเรยี กคัมภีร์ ของศาสนายูดาย และศาสนาคริสตว์ า่ \"พันธสัญญา\"ต่อมาดินแดนคานาอนั ประสบความแห้งแล้งอย่างรุนแรง ชาวยิว จึงอพยพกลบั ไปอยูใ่ นดินแดนของประเทศอยี ิปต์ และกลายเป็นทาสของอียิปต์ ชาวยิว ทนความลาบากของสภาพทาสไม่ได้ จึงคิดอพยพกลับไปดินแดนคานาอนั การเดินทางครั้งนี้ พระเจ้าทรงมีโองการให้ชาวยิวคนหน่ึงช่ือ \"โมเสส\" เป็นหัวหน้า ระหว่างเดินทางเตม็ ไปด้วยความลาบาก และต้องรอนแรมกลางทะเลทรายหลายปี และชาวอียปิ ตไ์ ด้ส่งทหารติดตามกวาดลา้ งโดยคิดว่าชาวยิวจะก่อกบฏ เม่อื ไล่ติดตามมาถึงทะเลแดง ด้วยอานาจของพระเจ้า โมเสสได้แยกนา้ ออกจากกันทาให้ชาวยิวหนีรอดมาได้ เหตุการณส์ าคัญนี้ ต่อมาไดก้ ลายเปน็ เหตุการณส์ าคญั ในงานฉลองประจาปี เรียกว่างานฉลองปาสกา นอกจากนี้ พระเจ้าไดม้ อบบญั ญัติ 10 ประการ ให้แกโ่ มเสส เพื่อใหช้ าวยิวนาไปยึดถอื ปฏิบตั ิ
บญั ญัติ 10 ประการนี้ ถือเป็นหลักสาคัญของศาสนายูดาย และต่อมาถือเป็นหลักสาคญั ของศาสนาครสิ ต์ ด้วยโมเสส ได้รับการยกย่องให้เป็นศาสดาของศาสนายูดาย ชาวยิวได้ต้ังอาณาจักรคานาอัน ต่อมาอาณาจักรน้ีได้ตกเป็นเมอื งข้นึ ของอาณาจกั รบาบิโลน และเป็นเมืองข้ึนของอาณาจกั รโรมันตามลาดบั ชาวยิว ยงั คงได้รบั การกดข่ีข่มเหงจากอาณาจักรโรมัน เราจะเห็นว่า ประวัตศิ าสตร์ ของชาวยิวเป็นประวัตศิ าสตร์แห่งความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ชาวยิว จึงมคี วามเช่ือในคาทานายของศาสดาว่า วันหน่ึง พระเจ้าจะส่งคนลงมาชว่ ย เพื่อปลดเปลื้องความทกุ ข์ยากท้ังหมดของชาวยวิ หรือช่วยไถ่บาปให้กับชาวยิว เรียกบคุ คลนวี้ า่ \"เมสสิอาห์\" (Messiah)คาวา่ เมสสิอาห์ เป็นภาษายิว ตรงกบั คาว่า คริสต์ (Christ) หรอื ไครสต์ ในภาษากรกี ซึ่งแปลวา่ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพระเจ้า ความเชื่อดังกล่าว ทาให้ชาวยิว มีความหวังในชีวิต เม่ือพระเยซู (Jesus) ประสูติชาวยวิ จานวนหน่งึ จึงมีความเชอ่ื ว่า พระเยซู คือ เมสสอิ าห์1.2 ประวตั ิพระเยซู พระเยซูมีเช้ือชาติยิว คริสต์ศาสนาถือว่า วันสมภพของพระองค์ คือ วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1 (ซ่ึงถอื เอาวันสมภพเป็นปที ี่ 1 แห่งคริสต์ศักราช ซึ่งตรงกบั พุทธศักราช 543) ณ หมู่บ้านเบธเลเฮม แควน้ ยดู า ในดินแดนปาเลสไตน์ (อิสราเอล ในปัจจุบัน) มารดาช่ือมารีอา หรือมาเรีย ชาวคริสต์เชื่อว่านางมาเรยี ต้ังครรภ์ไม่เหมือนสตรีอื่น ๆ เปน็ การต้ังครรภ์โดยอานุภาพแห่งพระเจ้า มีบดิ าเลี้ยงช่ือ โยเซฟ สมยั นน้ั กษัตริย์ผู้ครองเมืองช่ือ เฮโรด เม่ือได้ยินคาพยากรณว์ ่า จะมีผ้มู ีบุญ มาเกิด จึงคิดกาจดั ดงั น้ัน โยเซฟและมาเรียจึงหนไี ปอยู่อยี ปิ ต์เป็นการชวั่ คราว เม่ือเรอื่ งราวสงบแล้ว กอ็ พยพกลับถิ่นฐานเดิม พระเยซูเติบโตขึ้นท่ีหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองนาซาเรธ แควน้ กาลลิ ี เมื่อวยั เยาว์ พระเยซูเปน็ ผูส้ นใจในเรื่องศาสนธรรม และเปน็ ผู้มคี วามเฉลยี วฉลาดเปน็ อย่างยิ่ง เม่ืออายุ 30 ปี ได้ท่องเทียว ไปในดินแดนปาเลสไตน์ ณ ริมแม่น้าจอร์แดน ทรงพบกับจอห์น หรือ โจฮันหรือ John the Baptism ซ่ึงหมายถึง จอห์น ผู้ให้ศีลจุ่ม หลังท่ีได้รับศีลจุ่มแล้ว ได้เสด็จไปประทับในป่าอันอ้างว้างเปล่าเปล่ียวเพียงพระองค์เดียว ทรงบาเพ็ญพรต โดยอดพระกระยาหารเป็นเวลา 40 วัน จากน้ันพระองค์กเ็ รม่ิ สอนประชาชน ใหห้ ลุดพ้น และประสบสันตสิ ขุ พระองคม์ ีสาวกทสี่ าคัญ 12 คน (เน่อื งจากชาวยิวมี 12 เผ่าพันธุ์) สาวกองค์แรก ที่เป็นกาลังสาคัญในการเผยแพร่ศาสนา คือ ซีมอน หรือเปโตร หรือ เดฟาสหรอื ที่ครสิ ต์ศาสนิกชนเรยี กว่า นกั บุญปเี ตอร์ หรือ เซนต์ปเี ตอร์ (Saint Peter) นักบุญอกี ทา่ นหนึ่ง ทีม่ ีบทบาทในการเผยแพร่ ศาสนาคริสต์คือ นักบุญเปาโล หรือเซนต์ปอล เป็นนักบุญท่ีกลับใจ จากการตามจับกุม และลงโทษพวก คริสเตยี น มาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาครสิ ต์ ต้งั แตป่ ีแรก ๆ ทพี่ ระเยซสู ิ้นพระชนม์ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของศาสนาคริสต์ ได้สร้างความหวั่นไหว และส่งผล สะเทือนต่อศาสนายิวเป็นอย่างย่ิง ปุโรหิตผู้ดูแลวิหารเสียผลประโยชน์ เกรงว่า พระเยซูจะแย่งสาวกของตนไป เพราะคาสอนของศาสนาคริสต์ เน้นเร่ืองจริยธรรม ศีลธรรมมากกว่าพิธีกรรม ซ่ึงพิธีกรรมของศาสนายิว จะได้แก่ การบูชาพระเจา้ ด้วยเครื่องบูชา เช่น เนอ้ื ววั แพะ แกะ นกพริ าบ นกเขา เป็นต้น ในทสี่ ดุ ผ้ปู กครองชาวโรมนั กส็ ่งั ประหารชีวิตพระเยซู ด้วยการตรึงกับไม้กางเขน เพราะเกรงวา่ ชาวยวิ ทีค่ ดั ค้านพระเยซจู ะไม่พอใจ ชาวคริสต์ถือว่าเหตุการณ์ ครั้งนั้น เป็นการแสดงความรัก เพราะพระเจ้าทรงกรุณาแก่สัตว์โลก จึงประทานบุตร มาไถ่บาปของมนุษย์ด้วยการสละชีวิตพระบุตรของพระองค์เอง พระเยซู สิ้นพระชนม์ ที่เมืองโกลกอต (Golgotha) เมื่อพระชนมไ์ ด้ 33 พรรษา
หลังจากการส้ินพระชนม์ของพระเยซูแล้ว ศาสนาคริสต์ ได้กลายเป็น ศาสนาประจาชาติ ของอาณาจักรโรมัน ในปลายศตวรรษท่ี 1 และปลายศตวรรษท่ี 4 จากน้ัน ได้แพร่กระจายเป็นศาสนาประจาชาติของหลายประเทศในทวปี ยุโรป 1. หลกั ธรรมสาคญั ของศาสนาครสิ ต์ ตามหลกั ฐานในพระคมั ภรี ์ เม่อื พระเจ้าสรา้ งโลก และไดส้ ร้างหญิงชายคหู่ น่ึง คอื อาดมั กับอีฟ (หรืออีวา) และเนรมิตสวนเอเดนให้ทง้ั คู่อยู่อย่างมีความสขุ ต่อมามนุษย์ ได้แอบกินผลไม้ตอ้ งห้าม จึงถูกลงโทษ ด้วยการขับให้มาตกระกาลาบาก บาปของมนุษย์คู่นี้ จึงตกทอดมาถึงมนษุ ย์ทุกคนดว้ ย บาปน้ี เรยี กว่า \"บาปกาเนิด(Original Sin)\" แม้มนษุ ย์จะทาบาป แต่พระเจา้ ก็ทรงเมตตา โดยสง่ พระเยซู ให้อวตาร ลงมาเกดิ ในโลกมนษุ ย์เพอ่ื ไถ่บาปให้กับมนุษย์ เพอ่ื ใหม้ นุษย์หลุดพ้นจากความทุกขเ์ ข็ญ และเพราะมนุษย์ มีจติ ใจที่ไม่เขม้ แขง็ จึงต้องพึง่ พระเจ้า และพระบตุ รของพระองค์ เพอ่ื ช่วยให้มนุษยม์ จี ติ ใจ เขม้ แข็งขนึ้ 2. หลกั ตรเี อกานภุ าพ ศาสนาคริสต์สอนว่า มีพระเจ้าองค์เดียว (Monotheism) คือ พระยะโฮวา หรือ พระยาเวห์ ในพระเจ้าองคเ์ ดียวน้ี แบง่ ออกเป็น 3 ภาค คอื 1.พระบดิ า คอื พระเจ้าสร้างโลก เป็นผู้สรา้ งทุกส่ิง ทรงเปน็ นิรันดร 2.พระบุตร คือ พระเยซู ซ่ึงจุติมาเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รบั ฟังคาส่ังสอนของพระเจ้า อย่าง ใกล้ชิด 3.พระจิต คอื พระเจ้าทีป่ รากฏเป็นดวงวญิ ญาณ ของมนุษย์ เพือ่ เก้ือหนนุ ให้มนษุ ย์ ประกอบกรรมดี 3. ความรกั ความรักถือเป็นบทบัญญตั ิท่ีสาคัญของศาสนาครสิ ต์ ดังพระเยซูตรัสวา่ \"จงรักพระเจา้ อย่างสุดใจ สุดความคิด และสุดกาลงั และจงรกั เพ่ือนมนุษย์เหมือนรักตนเอง\" ความรักน้ี ไม่ใช่ความรักของหนุ่มสาว แต่เป็นความรกั ต่อเพ่ือนมนษุ ย์ ศาสนาครสิ ต์ ถือวา่ ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า จงึ ควรรักกนั เหมือนพ่นี อ้ ง 4. บัญญัติ 10 ประการ บัญญัติ 10 ประการ เป็นหลักศีลธรรมของศาสนา ยูดาย ซึ่งโมเสสเป็นผู้ได้รับจากพระเจ้า เพื่อประกาศ ให้ชาวยิว นาไปยดึ ถือปฏิบตั ิ ซงึ่ ศาสนาครสิ ต์กย็ อมรับ บัญญัติ 10 ประการ มีเนื้อหาดงั นี้ 1. จงนมสั การพระเจ้า แต่เพยี งองคเ์ ดียว 2. อย่าออกนามพระเจา้ โดยไมส่ มเหตุ หรือพร่าเพร่ือ 3. จงนับถือวนั พระเจ้า เป็นศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ 4. จงนับถือบิดามารดา 5. อย่าฆ่าคน 6. อย่าผิดประเวณี 7. อยา่ งลักทรัพย์ 8. อย่านินทาว่ารา้ ยผู้อืน่ อย่างเป็นพยานเทจ็ 9. อย่าคดิ มิชอบ 10. อย่ามีความโลภ
5. พิธกี รรมท่ีสาคัญในครสิ ตศ์ าสนา พธิ ีกรรมท่ีสาคัญในคริสต์ศาสนา เรียกว่า พิธีศักด์ิสิทธิ์ 7 ประการ ได้แก่ ศีลจุ่ม หรอื ศีลล้างบาป ศีลกาลัง ศีลมหาสนทิ ศลี สมรส ศีลสารภาพบาป ศีลเจิมครัง้ สุดท้าย หรือศีลเจมิ คนไข้ ศลี เขา้ บวชหรือศีลอนุกรมในพิธีกรรมท้ังหมดน้ี นิกายโรมันคาทอลิก และนิกายออร์ธอด็อกซ์ จะปฏิบัติทั้ง 7 พิธีกรรม ส่วนนิกายโปรเตสแตนท์ ถือว่า ศีลศักดสิ์ ิทธ์ิ มี 2 ศีล คือ ศีลลา้ งบาป และศีลมหาสนทิ ศีลในคริสต์ศาสนา มีความหมายต่างกับศีลในพุทธศาสนา ศีลในพุทธศาสนา หมายถึง ข้อฝึกหัด (สิกขา = Training) คือ ฝึกหัด และตั้งใจ(เจตนา, สมาทาน) ว่า จะ (ฝึกหัด) งดเว้นจากการฆ่า การเบียดเบียน การลักขโมย การพูดโกหก หลอกลวงการประพฤติในกาม การด่ืมของมึนเมา เป็นต้น ไม่ใช่ข้อห้าม แต่ศีลในคริสต์ศาสนา เชื่อกันว่า เป็นพิธีกรรมพเิ ศษ ท่ีพระเยซูทรงกาหนดข้ึน เพ่ือยืนยันถึงความช่วยเหลือของพระองค์ สาหรับผู้ท่ีทาพิธีกรรมนั้น ๆ ตามโอกาสทกี่ าหนดไว้ 6. คัมภรี ์ของศาสนาครสิ ต์ คัมภีรข์ องศาสนาคริสต์ เรียกว่า \"คัมภีรไ์ บเบิล (Bible)\" ถือเปน็ คมั ภรี ์ศักดิส์ ิทธิ์ ทีเ่ ปน็ พระวจนะของพระเจา้ แบง่ ออกเปน็ 2 ภาค คือ พระคัมภีร์เก่า หรือพนั ธสญั ญาเดิม และพระคัมภีรใ์ หม่ หรอื พันธสญั ญาใหม่ -พันธสัญญาเดิม (Old Teatament) ภาคน้ี เป็นคัมภีร์ ของศาสนายิว จารึกเป็นภาษาฮิบรู เล่าเรื่องพระเจ้าสร้างโลก จนถึงสมัยก่อนพระเยซูประสตู ิ เชน่ ความเปน็ มาของชนชาติยวิ บญั ญัติ 10 ประการ ศาสดาพยากรณ์ ฯลฯ -พนั ธสัญญาใหม่ (New Testament) จารึกเปน็ ภาษากรกี เล่าเร่ืองตง้ั แตพ่ ระเยซูประสูติ การเผยแพร่ศาสนา รวมถึงเร่ืองราวของอัครสาวก และสาวกด้วย ภาคน้ีชาวยิวไม่ยอมรับว่า เป็นคัมภีร์ ในศาสนาตนเพราะไมย่ อมรบั พระเยซูวา่ เป็นบตุ รของพระเจ้า2.ศาสนาอิสลาม (จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมขอ้ 2) เครอื่ งหมาย: พระจนั ทรเ์ ส้ียว และดาว ความหมาย: คืนทีพ่ ระศาสดามฮู ัมหมัด อพยพไปอยเู่ มืองเมดนิ า แต่ชาวมุสลมิ บอกว่านามาใช้ เพื่อเป็นเครื่องบอก ให้ทราบว่าเป็นมสุ ลิม หรือเป็นของมสุ ลมิ2.1 ประวัติศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาท่ีมีผู้นิยมนับถือมากท่ีสุดศาสนาหน่ึง เป็นศาสนาที่แพร่หลาย ในเอเชียตะวนั ตก หรือตะวันออกกลาง มีลักษณะ เป็นศาสนาเอกเทวนิยม ซึง่ นบั ถือพระเจา้ เพียงองคเ์ ดียว เป็นศาสนาสายเดียวกับศาสนายิว (ยดู าย) และศาสนาครสิ ต์ อิสลาม แปลวา่ การนอบนอ้ ม สันติ การยอมจานนอยา่ งสน้ิ เชงิ ดังนัน้ ศาสนาอสิ ลาม จึงหมายถึง การนอบน้อตน ต่อพระอัลเลาะห์ เพียงพระองค์เดียวอย่างส้ินเชิง หัวใจของศาสนาอิสลาม ก็คือ การประกาศ
เปิดเผยความเป็นเอกภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดยี วกัน กับพระอัลเลาะห์ (พระเจ้า) เน้นการมอบตัวต่อพระประสงค์ ของพระอลั เลาะห์ ผู้นับถืออิสลาม เรียกว่า \"มสุ ลมิ \" ศาสนาอิสลาม ไมม่ ีพระหรอื นักบวช แต่มี \"อีหมา่ ม\" ซ่งึ ทาหน้าทีเ่ ปน็ เพียงผู้นา ในการนมสั การพระอัลเลาะห์ ไมไ่ ด้ทาหนา้ ทเี่ ปน็ คนกลาง ในการติดต่อระหว่าง พระเจา้ กับมนษุ ย์ ศาสนาอิสลามยังมีลักษณะเดน่ ที่แตกตา่ งจากศาสนาอนื่ คือ นอกจากจะมกี ารสอนเรือ่ งจริยธรรมเหมอื นกับศาสนาอื่นแลว้ ยังเปน็ ระบบการเมอื ง เศรษฐกจิ และวัฒนธรรมด้วย เชน่ บทวา่ ดว้ ยการลงโทษทางอาญา การรบั มรดก การหย่า การพาณชิ ย์ เปน็ ตน้ ศาสนาอิสลามถอื วา่ ศาสดาเป็นมนุษย์ธรรมดา มิไดเ้ ป็นบุตรของพระเจ้า ศาสดาของศาสนาอิสลาม คือทา่ นะบีมะหะหมดั หรอื มุฮมั หมดั ส่วนคาวา่ \"นะบ\"ี แปลว่า ผู้รับโองการจากพระเจ้า) ท่านศาสดา เกิดทเ่ี มืองเมกกะ ประเทศอาหรบั (ปัจจุบัน คือ ประเทศซาอดุ อี าระเบีย) เกิดวนั ที่ 29 สงิ หาคม พ.ศ. 1113 เปน็ บตุ รของท่านอบั ดุลเลาะหแ์ ละนางอามีนะฮ์ ทา่ นกาพรา้ บดิ ามารดามาแต่เยาวว์ ัย เมือ่ อายุ 25 ปี ได้แต่งงานกบั หญิงหม้าย อายุ 40 ปี จากนัน้ ท่านไดร้ บั อาลีบตุ รชายของลงุ มาเลยี้ งเป็นบุตรบญุ ธรรมเมือ่ ทา่ นศาสดาอายไุ ด้ 40 ปีได้เห็นสงั คมอาหรับมีแต่ความเส่ือมโทรม ผู้คนมิได้ประพฤตติ นอยศู่ ีลธรรม ทา่ นศาสดา เป็นคนช่างคิด จงึ มกัออกไปหาความ วิเวก ณ ถา้ ฮริ อฮ์ หา่ งจากเมอื งเมกกะ 3 ไมล์ คนื หน่งึ ของเดือนรอมาฎอน เทพญบิ รออิล ซึง่เป็นทตู สวรรค์ ไดย้ นื่ โองการสวรรคใ์ หแ้ ก่ท่าน ทา่ นจึงคดิ ว่า ตนเองจติ ฟ่ันเฟือน ต่อมาไดร้ บั โองการสวรรคอ์ ีกทา่ นจึงได้เริม่ ประกาศศาสนาในคัมภรี อ์ ลั กรุ อาน กลา่ วว่า \"แทจ้ รงิ ศาสนาแห่งอลั เลาะหน์ นั้ คือ ศาสนาอิสลาม\"แสดงวา่ ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาของพระผู้เปน็ เจ้า ไมใ่ ช่ศาสนา ท่ีมนุษยต์ ัง้ ข้นึ คาสอนในศาสนาอสิ ลามไมใ่ ชค่ าสอนของพระศาสดามูฮาหมัด พระศาสดามูฮาหมดั มไิ ดเ้ ป็นผูก้ อ่ ตัง้ ศาสนาอสิ ลามขึน้ พระองค์ เป็นเพยี งผู้รับเอา ศาสนาอสิ ลาม อนั เปน็ ของ พระอลั เลาะห์ มาประกาศเผยแพร่แก่มนษุ ยชาติเท่านั้น ศาสนาอิสลามมีคาสอนว่า พระอัลเลาะห์ ทรงสรา้ งโลก และสรรพสิ่งในจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์คู่แรกของโลก คือ อาดัมและเฮาวาฮ์ (อาดัมกบั อีวา หรืออฟี ในศาสนายวิ และศาสนาครสิ ต)์ พระองค์ไดต้ รสั ว่า\"โออาดมั เจา้ และภรรยาของเจ้า จงพานักอย่ใู นสวรรค์ และเจา้ ท้งั สองจงกนิ ของในนน้ั ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ และไม่ตอ้ งหวงห้าม ตามทเี่ จา้ ทง้ั สองตอ้ งการ แตจ่ งอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ เพ่ือเจ้าทง้ั สอง จะไดไ้ ม่เป็นพวกทรยศ\" แต่แลว้ มารรา้ ย กไ็ ด้ใช้อุบายหลอกลวง ใหม้ นษุ ยท์ ้ังสองฝา่ ฝนื คาสัง่ หา้ มของพระผู้เป็นเจ้า พระอัลเลาะห์ จงึทรงขับไล่ อาดัม และเฮาวาฮ์ไม่ให้อย่ใู นสวรรค์ ใหล้ งมาอยู่ ณ หน้าแผ่นดนิ พระผู้เปน็ เจ้า ทรงสง่ พระศาสนทตู(รอซูล) ลงมาสั่งสอนมนษุ ย์เปน็ คร้งั คราว ผู้ท่ีได้รับมอบหมาย จากพระอัลเลาะหใ์ ห้มาเป็นพระศาสนทตู นบั แต่อาดัม ซ่ึงถือวา่ เปน็ พระศาสนทตู คนแรก จนถงึ พระศาสดามูฮาหมัด ศาสดาคนสุดท้าย มีจานวนมากด้วยกนัแตท่ รี่ ะบชุ ่อื อยู่ในพระคัมภรี อ์ ัลกรุรอานนน้ั มี 25 ท่าน ศาสนาอิสลาม ถือว่า โมเสสและพระเยซู เป็นผู้ท่ีพระอัลเลาะห์ ทรงใช้ให้มาก่อน และถือว่าพระศาสดา มูฮาหมัด ท่ีทรงใช้ให้มาในคราวหลังน้ี เป็นผู้นาพระคัมภีร์ ฉบับสุดท้าย เป็นพระคัมภีร์ที่ประมวลเอาเน้ือความแหง่ พระคัมภรี ์ตา่ ง ๆ ทป่ี ระทาน แกศ่ าสนทูตในอดีตไวด้ ้วย คัมภรี ์อลั กุรอาน จึงเปน็ พระคัมภีร์ท่ีสมุบูรณ์ ไมม่ กี ารแก้ไข การประกาศศาสนาในนครเมกกะ ชว่ งระยะเวลา 3 ปแี รก ตอ้ งทากันอย่างเร้นลับ และเต็มไปด้วยความยากลาบาก เพราะคนบางกลุ่มเสียผละประโยชน์ และบางคนไม่พอใจท่านศาสดา ทีส่ อนว่า การบูชารูปเคารพ เป็นสิ่งงมงาย ท่านนะบี จึงถูกปองร้าย ท่านจึงอพยพมาอยู่เมือง ยัทริบ (ต่อมาเปล่ียนเป็นชื่อเมืองเมดินา) การอพยพครั้งน้ี ตรงกับวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 1165 (ค.ศ. 622) ถือเป็นการเริ่มต้นของฮิจเราะห์ศักราชอิสลาม (ซ่ึงก็คือศักราชของอิสลาม) แม้จะพานักท่ีเมืองเมดินา แต่กองทัพเมืองเมกกะ ก็ยังรกุ รานอยู่ ตอ่ มาท่านนะบี ได้เป็นผูป้ กครองเมืองเมดินา สงครามระหวา่ งเมอื งเมกกะกบั เมืองเมดินา กเ็ กิดขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่ง พ.ศ. 1173 ท่านได้ยาตราทัพเข้าเมืองเมกกะ โดยไม่มีการสู้รบ ศาสนาอิสลาม จึงได้
สถาปนาข้นึ ในเมอื งเมกกะ และสถาปนา อาณาจักรของชาวอาหรบั ข้ึน ทา่ นนะบี ถงึ แก่กรรมเม่ือปี พ.ศ. 1175ตรงกบั ฮจิ เราะหศ์ กั ราชที่ 11 รวมอายุ 63 ปี และเผยแพรศ่ าสนาอิสลามได้ 23 ปีท่านะบีมูฮาหมัด เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ถือยศศักด์ิ อยู่ง่ายกินง่าย (แม้กระทั่งเส้ือผ้าและรองเท้า จะซอ่ มแซมเอง) อดทน มีจิตใจเข้มแข็ง รักความยุติธรรม มบี ุคลิกน่าเลื่อใส ฯลฯ จากคุณสมบัติที่ดีเลิศ จึงทาให้การ เผยแพร่ศาสนาอิสลาม เป็นไปอย่างราบรนื่ แม้จะมอี ปุ สรรคนานปั การก็ตาม1. หลกั ศรทั ธา 6 ประการ ซ่งึ เรยี กว่า อีมาน แปลวา่ ความเชื่อถือ ไดแ้ ก่ -ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า พระอัลเลาะห์ ต้องศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ไม่ต้ังสิ่งอ่ืนใด ข้ึนเป็นภาคีทาการเคารพสกั การะพระเจา้ -ศรัทธาในบรรดามลาอกิ ะห์ ซ่ึงเปน็ บ่าว ของพระเจ้าประเภทหน่ึง -ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ อัลกุรอาน ซ่ึงศาสนา อสิ ลาม เช่อื ว่า เปน็ คัมภีร์ฉบับสุดท้าย ที่พระผู้เปน็ เจ้าประทานลงมาใหม้ นษุ ย์ โดยผา่ น ทางศาสดามูฮาหมดั -ศรัทธาตอ่ บรรดาศาสนทตู (รอซูล) ของอลั เลาะห์ -ศรัทธาในวันพิพากษา (เว้นกิยามะห์) ชาวมุสลมิ ต้องศรัทธาว่า โลกนี้ (โลกตนุ ยา) เป็นโลกแห่งการทดลอง เปน็ โลกท่ีไม่จีรัง จะต้องมีวันแตกสลาย ซ่ึงวันน้ันเรียกว่า วันกยิ ามะห์ หรือวันแห่งการพิพากษา เป็นวันสุดท้ายของมนุษยชาติ เป็นวนั ท่ีมีจริง การใช้ชีวิตของมุสลิมนั้น เขาจะตระหนักอยู่เสมอ ว่า เขาจะตอ้ งฟ้ืนข้นึ มาใหมใ่ นวันกิยามะห์ เพ่ือจะรายงานการกระทาของเขา ทงั้ ความดี และความช่ัว ซ่ึงจะเป็นการเตือนมุสลิมว่า การกระทาทุกขณะของเขาในโลกนี้ จะมผี ลต่อเขา ท้ังในโลกนแ้ี ละโลกหน้าดว้ ย2. หลักปฏิบัติ 5 ประการ หลักคาสอนที่สาคัญของศาสนาอสิ ลาม ภาคปฏิบัติ เรียกว่า \"อิบาดะห์\" แปลว่า ปฏิบัติการภักดี มี 5ประการ คอื 1.การปฏญิ าณตน เปน็ หัวใจของมสุ ลมิ โดยการ กล่าวคาปฏิญาณว่า \"ขา้ พเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอ่นื ใดนอกจากอลั เลาะห์ และแทจ้ ริง มฮู าหมดั เป็นศาสนทูต (รอซูล) ของอลั เลาะห์ 2.การละหมาด คือ การแสดงความเคารพต่อ พระเจา้ ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยละหมาดวันละ 5 ครั้งครง้ั ละ ประมาณ 5 - 10 นาที่ คอื เวลายา่ ร่งุ เรียกวา่ ละหมาดซุบป์ เริ่มตงั้ แต่อรุณ จนถงึ ดวงอาทิตย์ข้นึ เวลากลางวัน เรียกว่า ละหมาดซุห์ร หรือดุฮริ เริ่มต้ังแต่ดวงอาทิตย์ คล้อย จนถึงเวลาท่ีเงาของสิ่งของยาวเท่าตัวเวลาบ่ายเรยี กว่า ละหมาดอัชร์ อศั ร หรอื อศั ริ ต้งั แต่หมดเวลาละหมาดอุฮริ จนถึงเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเวลาพลบค่า เรยี กว่า ละหมาดมัฆริบ ต้ังแต่เวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนส้ินแสงตะวันสีแดง เวลากลางคืนเรยี กวา่ ละหมาดอิชาอ์ หรืออิชา ตง้ั แตส่ น้ิ เวลาแสงตะวัน สีแดง จนถึงแสงเงนิ แสงทองข้นึ 3.การบริจาคชะกาด หมายถึง การจา่ ยทาน บังคับจากผู้มีทรพั ย์สนิ ครบรอบปี มเี กินจานวน ท่ีกาหนดไว้ ให้แก่คนท่มี ีสิทธ์ริ บั ซะกาด ตามอัตราที่กาหนด เป็นการฝกึ ความเออื้ เฟอ้ื เผ่อื แผ่ ไมเ่ ป็นทาสของวัตถุ 4.การถือศีลอด คือ การงดเว้นจากการบริโภค อาหาร เคร่อื งดื่ม การร่วมสงั วาส การรักษาอวัยวะทุกส่วนใหพ้ น้ จากการทาชว่ั ท้งั ดา้ นกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ตั้งแสงอรณุ ขึน้ จนกระทง่ั หมดแสง เพ่ือให้มีความ หนกั แน่นอดทน ให้ทุกคนรู้รสชาติ ของความหวิ โหย เพ่ือจะได้เห็นอกเห็นใจคนจน 5.การประกอบพธิ ฮี ัจญ์ ฮัจญ์ แปลว่า การมงุ่ ไปสู่ หรือการไปเยือน หมายถึง การเดินทางไป ประกอบศาสนกิจ ณ อัลกะบะห์ หรือบัยดุลลอห์ ในนครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ตามอย่างที่ท่านศาสดามูฮาหมดั ได้กระทาไว้
3.ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู (จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ 3) สญั ลกั ษณ์ : โอม ความหมาย : เป็นคาศักดส์ิ ทิ ธ์ใิ นลัทธโิ ยคะ ใช้สาหรับบรกิ รรม(ทอ่ งซา้ ๆ ) เพอื่ ให้เกดิ ความรถู้ ึงส่ิงสงู สุด และเพอ่ื ป้องกนั อุปสรรค ในการบาเพญ็ โยคะ3.1 ประวตั ิความเปน็ มา ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู นับว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ ไม่อาจนับจานวน ปีที่ที่แน่นอนได้ เพียงแต่ประมาณเวลาได้เท่านั้น นักการศาสนา นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ได้แบ่งยุคของลัทธิศาสนานีอ้ อกเป็นหลายแบบแตกต่างกนั เช่น พระเทพวิสุทธิเมธี (พุทธทาสภิกขุ) แบ่งตามแนวประวัติศาสตร์เปน็ 7 ยุค คอื ยุคก่อนอารยนั ยคุ อารยันเข้าอินเดีย ยุคฤคเวท ยุเวทตา่ ง ๆ ยคุ พราหมณะ ยุคอปุ นิษัท และยุคพทุ ธกาล ศาสนาพราหมณ์ เกิดในประเทศอนิ เดยี ก่อนพุทธศาสนา ประมาณ 1,000 ปขี ึ้นไป พระพุทธเจา้ ขณะยงั ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ได้ไปศึกษา คาสอนของศาสนาพราหมณ์จนจบไตรเพท จบโยคะ และหมดคาสอนของอาจารย์ (คอื อาฬาระดาบส กับอุททกะดาบส) ศาสนาพราหมณ์ ไม่มีองค์พระศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาท่ีเป็นมนุษย์เหมือนศาสนาอื่น ๆ แต่ก่อรูปขึ้นจากลัทธิบูชาธรรมชาติ และวิวัฒนาการเป็นลัทธิบูชาเทพเจ้า ต่าง ๆหลายองค์ ดงั ท่ีเป็นอยใู่ นปัจจุบันศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาธรรมชาติ แรกเร่ิมเดมิ ที กาเนิดมาจากความเชื่อของชาวอารยันท่ีนบั ถือบชู ากราบไหว้ธรรมชาติ และเช่ือว่า มีเทพเจ้าประจา ธรรมชาตนิ ้ัน ๆ (ทานองเดียวกันกบั การเชอ่ื หรือการนบั ถอื ผีปยู่ ่า ตายาย ของไทยเราในสมยั โบราณ) เช่น ในสมัยพระเวทตอนต้น ชาวอารยันจัดเทพเจ้า เป็น 3 หมวด คือ พวกที่หนึ่งอยู่บนสวรรค์ ได้แก่ วรุณ (ฝน = ไทยเรียก พระพิรุณ) สูรย์ (พระอาทิตย์) โสมะ (พระจันทร์) อุษา (แสงเงินแสงทอง) เป็นต้น พวกท่ีสองอยู่บนฟ้า เป็นเทวดาประจาอากาศได้แก่ อินทระ (พระอินทร์ = ในศาสนาพุทธ เรียก ท้าวสักกะ เจา้ แห่งสวรรค์ช้ันดาวดึงส)์ มารุต (ลม) เปน็ ต้นพวกท่ีสามอยบู่ นพน้ื โลก เป็นเทวดาประจาแผน่ ดนิ ไดแ้ ก่ อคั นี (ไฟ) ปฤถวี (แผ่นดิน) และยม (พระยม) เป็นต้นในสมัยพระเวท นับถือพระอินทร์ว่า เป็นเทพเจ้า สูงสุด มีสายฟ้าเป็นอาวุธ สามารถทาลายศัตรูให้พินาศราบคาบลงไดช้ ว่ั พริบตา ต่อมาในสมัยพราหมณะ เกิดคาสอนว่า มีเทพองค์หนึ่ง เป็นใหญ่กว่าเทพเจ้า ท้ังหลาย เรียกว่า พระเป็นเจ้า หรอื พรหม ซงึ่ เปน็ ผู้สร้างโลก รวมทง้ั เทพเจ้า ท้งั หลาย และมนษุ ย์ แลว้ ขีดชะตาชีวิตให้ เรยี กว่า พรหมเนรมติ และพรหมลิขติ ตามลาดบั (ซึง่ พระพทุ ธเจ้าทรงปฏิเสธวา่ ไมเ่ ป็นความจรงิ พอ่ แม่เทา่ น้ัน สร้างโลก และสร้างมนุษย์ จึงเรียกพ่อแม่ว่าเป็นพรหม) ในสมัยต่อมา ก็มีการเปลี่ยนแปลง ความเช่ือถือ และลัทธิพิธีมาโดยลาดบั ทุกระยะ จากศตวรรษหนึ่ง ไปยังศตวรรษหนึ่ง กล่าวคือ ได้เทวดาใหม่ ๆ มาเพิ่มเตมิ เช่น พระวิษณุ และพระศิวะ ส่วนเทวดาเก่า ในสมัยพระเวท ก็ลดความสาคัญลง เช่น พระอินทร์ บางองค์ถูกทอดทิ้ง เช่น พระอัคนี พระวรุณ เป็นต้น
ต่อมานกั ปราชญพ์ ราหมณ์ คนสาคัญ คือ ศังกรายจารย์ เห็นว่า ศาสนาพราหมณ์ จะอยู่ไม่ได้ เน่ืองจากคนหันไปฟังคาสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ พราหมณ์เอง พราหมณ์ที่มีชอ่ื เสียงหลายท่านหันไปเป็นพุทธมามกะ เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ และคนอื่น ๆ อีกมากมาย สังกรายจารย์ จึงไปศึกษาคาสอนของพุทธศาสนา แล้วเอามาดัดแปลงเข้ากับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกใหม่ว่า ฮินดูซ่งึ แปลวา่ ศาสนาของชาวอนิ เดีย คือ รวมทกุ ศาสนา ท่ีมีอยู่ ในอินเดียว่า เป็นฮนิ ดหู มด พระพุทธเจา้ ก็เปน็ ปางหน่ึงของพระนารายณ์ ทีเ่ รียกว่า นารายณ์อวตาร คือ เปน็ ปางที่ 9 ปางพุทธมายา แล้วแบ่งคาสอนเลียนแบบพุทธ ว่า ตรีมูรติ (เลียนแบบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ = ไตรรัตน)์ ซ่ึงแปลว่า รูปสาม สอนว่า เทพเจ้าที่สาคัญมี 3 องค์ คอื พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และพระศิวะ เทพเจ้าท้งั สามพระองค์นี้ แท้จริงเป็นองค์เดยี วกัน แต่แบง่ ภาคออกเปน็ 3 องค์ เพือ่ ทาหน้าท่ีสามประการ คอื พระพรหม มีหน้าที่สร้างสรรค์ พระวษิ ณุ มีหน้าทท่ี ะนบุ ารุง เลีย้ งดู (นารายณอ์ วตาร ลงมาปราบมาร) พระศวิ ะ มหี นา้ ที่ทาลาย สมัยก่อนในศาสนาพราหมณ์ จะไม่มีวัด แต่จะเป็นเทวสถาน และไม่มีนักบวช หรือ ที่เรียกว่า พระศาสนาพราหมณ์ จะคล้าย ๆ กับ ศาสนาอิสลาม คือ มีครอบครัว มีลูกมีเมียได้ เป็นเศรษฐี เป็นกุฎุมพี เป็นยาจก เป็นชาวนา กม็ ีท้งั นนั้ เม่ือสังกราจารย์ เลียนแบบพุทธ จึงมวี ดั มีนักบวช3.2 สรปุ ประวัติของศาสนาพราหมณ์ จะแบง่ ววิ ัฒนาการออกเปน็ 2 ชว่ ง คอื 1. สมัยพระเวท เป็นสมัยท่ีมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้ามากมายหลายพระองค์ (ซึง่ ย้ายมาประเทศไทยเกือบทกุ พระองค)์ แบ่งออกเปน็ 3 กลมุ่ คอื เทพบนพน้ื โลก เทพบนอากาศ และเทพบนสวรรค์ ซ่ึงมีเทพเจา้ ท่ีมีความสาคัญ และถูกยกให้ยงิ่ ใหญ่ กวา่ เทพเจา้ องคอ์ ่ืน ๆ คอื พระอนิ ทร์ พระวรณุ และพระพฤหสั บดี ฯลฯ 2. สมัยพราหมณ์ ความเช่ือของมนุษย์ในสมัยนี้ ก้าวไกลออกไปถึงการหาเทพ ผู้ย่ิงใหญ่ ผู้สร้างโลก(เนรมิต) และสร้างสรรพสิ่ง (ลขิ ิต) เทพเจ้าองค์ใหม่น้ี เรยี กว่า \"พระพรหม\" โดยพระองค์ เปน็ ผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพส่ิง ก็เกิดจาก พระองค์ เม่ือตายแล้ว ก็ต้องกลับคืนสู่พระพรหม นอกจากนี้ ยังมีเทพเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่ อกี 2 องค์ คอื พระวิษณุ (พระนารายณ)์ และ พระศิวะ (พระอิศวร) เทพเจ้าทัง้ 2 องค์ น้ี ไดร้ ับการนับถอื เทยี บเท่ากับพระพรหม ทาใหเ้ รยี กเทพเจา้ ทัง้ 3 พระองคว์ ่า \"ตรีมรู ต\"ิ ซึง่ แปลว่า \"รูปสาม\" ดังกลา่ วแลว้ คอื •พระพรหม เทพผู้สรา้ ง •พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เทพผ้รู กั ษา •พระศิวะหรอื พระอศิ วร เทพผทู้ าลาย จากความเช่ือเร่ืองตรีมูรติ ทาให้เกิดความเชื่อในเรื่องของการเกิดยุค ซ่ึงเรียกว่า \"กัลป์\" ซึ่งเป็นชว่ งเวลาตั้งแต่พระพรหมสร้างโลก พระนารายณ์รักษาโลก ใหพ้ น้ อานาจของคนชั่ว จนกระทัง่ พระศวิ ะตอ้ งทาหน้าที่มาล้างและทาลายโลก ดังน้ัน 1 กัลป์ จึงมีชว่ งเวลาต้ังแตโ่ ลกถูกสร้างขึ้นมา จนถงึ โลกถูกทาลายไป แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ •กฤตยุค หมายถงึ ยคุ ที่มนุษยม์ ีความดีอย่างเต็มเปยี่ ม •ไตรดายคุ หมายถึง ยคุ ทีค่ วามช่วั เร่มิ เข้ามาในสงั คม ประมาณ 1 ใน 4 แต่ความดียงั มากกวา่ •ทวาปรยุค หมายถงึ ยุคทมี่ ีความชัว่ เข้ามาในสังคมคร่งึ หนง่ึ มคี วามดี และความชว่ั เท่าเทยี มกนั •กลียคุ หมายถึง ยุคท่ีมีความช่ัวเข้ามา 3 ส่วน ความดีเหลืออยู่ เพียงส่วนเดียว ทาใหส้ ังคมมคี วามช่ัวมากกวา่ ความดี สงั คมวนุ่ วาย
3.3หลักคาสอน 1. หลกั ธรรม 10 ประการ •ธฤติ ไดแ้ ก่ ความมั่นคง ความกล้า ความสุข คือ ความพากเพียรจนสาเรจ็ และพอใจในสิง่ ที่ตนมี •กษมา ได้แก่ความอดกล้นั ความอดทน •ทมะ ไดแ้ ก่ การระงบั จติ ใจ การข่มใจ •อัสเตยะ ได้แก่ การไมล่ ักขโมย •เศาจะ ได้แก่ การทาตนให้บรสิ ทุ ธิ์ ทงั้ กายและใจ •อินทรียนิครหะ ได้แก่ การระงับอนิ ทรียท์ ง้ั 10 คือ ประสาทความรู้ 5 ประการ ไดแ้ ก่ หู ตา จมูก ล้ินและผิวหนงั ประสาทความรสู้ ึก ทางการกระทา ได้แก่ มอื เทา้ ทวารหนกั ทวารเบา และลาคอ •ธี ได้แก่ ปญั ญา สติ •วิทยา ได้แก่ ความรทู้ างปรัชญา •สัตยะ ได้แก่ ความจรงิ ความสจุ รติ ความซ่อื สตั ย์ •อโกธะ ได้แก่ ความไม่โกรธหลักธรรม 10 ประการ มจี ดุ ประสงค์ เพ่ือใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ิ รจู้ กั ควบคมุ ตนเอง ไมใ่ หห้ ลงมวั เมาในสง่ิ ผิด 2. หลักอาศรม 4 หลกั อาศรม 4 หมายถึง ขน้ั ตอนของชวี ิต หรอื ทางปฏิบัติเพื่อยกระดบั ชีวติ ใหส้ ูงขน้ึ มี 4 ประการ คอื •พรหมจารี เป็นข้ันตอนของเด็กชายตระกลู พราหมณท์ ุกคน จะตอ้ งรับการคล้องด้าย ศักดส์ิ ิทธ์ิ จากอาจารย์ พธิ ีคล้องดา้ ยศกั ดิส์ ทิ ธิ์ เรยี กว่า \"ยัชโญปวตี \" เมื่อได้รับการคลอ้ งแล้ว เท่ากบั ประกาศตนเปน็ พรหมจารีถอื วา่ เป็น พราหมณ์ โดยสมบูรณ์ จากนั้น จะตอ้ งศึกษา อย่ใู นสานักของอาจารยจ์ นสาเรจ็ การศกึ ษา •คฤหัสถ์ หรือผู้ครองเรือน เมื่อสาเร็จการศึกษา แล้ว จะกลับบ้านเรือนของตน เพื่อแต่งงาน และมีบุตร •วานปรัสถ์ เป็นช่วงเวลาที่พราหมณ์ ปฏิบัติตน เพ่ือสังคมและประเทศ เมื่อครอบครัวเป็นปึกแผ่นและบุตรได้ออกเรือนเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ผเู้ ป็นหัวหน้าครอบครัวจะออกป่า เพื่อแสวงหาความวเิ วกและฝกึ จิตของตน ซึ่งอาจ กระทาเปน็ ครั้งคราวแล้วกลับสู่เรือนก็ได้ ซ่ึงคล้ายกับชาวไทยในพุทธศาสนา ซงึ่ เมื่อแกเ่ ฒา่ ลง กจ็ ะหันหนา้ เข้าหาวัด •สันยาสี เป็นระยะเวลาที่พราหมณ์ ทาเพ่ือมนุษยชาติทั้งปวง เป็นการสละชีวิตคฤหัสถ์ ของผู้ครองเรือน เพ่ือเข้าป่าออกบวช และเพื่อจุดหมายสงู สุดของชีวติ คอื โมกษะ 3. หลกั ปรุ ุษารถะ หรือจดุ มงุ่ หมายของชีวติ •ธรรม หมายถงึ หลักศลี ธรรมในสงั คม เพื่อใหส้ งั คมอยู่อยา่ งสันติสขุ •กาม เป็นการหาความสุขทางโลก โดยให้ดาเนิน ไปตามแนวของธรรม ซึ่งมีผลให้ตนเอง มีความสุขขณะท่สี งั คมกม็ คี วามสุขดว้ ย •อรรถ เป็นการแสวงหาทรัพย์ หรอื การสรา้ งฐานะ ทางเศรษฐกจิ โดยยดึ แนวทางธรรมเป็นหลกั •โมกษะ เป็นอิสรภาพแห่งวิญญาณ หลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิด หรือหลุดพ้น จากสังสารวัฏเปน็ อดุ มคตแิ ละคุณค่าสูงสุด ของชวี ิต ถือเป็นความสขุ อันเป็นนิรนั ดร 4. หลักปรมาตมนั และโมกษะ •ปรมาตมนั เปน็ ดวงวญิ ญาณทีย่ ่งิ ใหญ่ เป็นสงิ่ ที่เกิดข้ึนเอง เป็นตน้ เหตุของสรรพสง่ิ (คลา้ ยกบั พระเจ้าในคริสต์ศาสนา) หรอื สรรพส่งิ เกดิ จากปรมาตมนั ปรมาตมนั เปน็ อมตะ ไมม่ เี บ้อื งต้น และไม่มีที่ส้ินสดุ ไม่ทเี พศเปน็ สนั ตสิ ุขในตัวเอง เป็นปฐมวิญญาณ ของสิ่งทั้งปวง และเป็นบ่อเกดิ ของอาตมัน
•อาตมัน เปน็ ดวงวญิ ญาณของปรมาตมัน คอื ทเ่ี กิดเป็นสัตว์ตา่ ง ๆ เชน่ มนษุ ย์ เทพเจา้ เดรัจฉาน ฯลฯ •โมกษะ การท่ีดวงวิญญาณย่อยหรือาตมัน รวมเป็นหน่ึงเดียวกับปรมาตมันได้นั้น จะต้องเข้าถึงจดุ หมายของชีวติ ให้ได้ ซึ่งก็คือ โมกษะ หรอื การหลดุ พ้นจากสังสารวฏั ส่วนวิธี ท่ีจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ คือมรรคสี่ ไดแ้ ก่ Oกรรมมรรค คือ การละกรรม ที่เป็นต้นเหตุ ให้เกดิ การเวียนว่ายตายเกิด พึงกระทากรรมที่ เป็นเหตใุ ห้เขา้ ถงึ การหลดุ พน้ oชญานมรรค คอื วิถีแห่งการหลดุ พน้ ดว้ ยการร้แู จง้ ในบรมสัตย์ Oภกั ติมรรค คอื วถิ แี หง่ การหลดุ พ้น ดว้ ยการภักดใี นองค์พระเปน็ เจา้ Oราชมรรค คือ วถิ ีแหง่ การหลุดพ้น ด้วยการฝึกฝนทางจิต 5. หลักทรรศนะ 6 หลักทรรศนะ 6 เป็นหลักธรรม และการปฏิบัติ ที่เป็นการเคล่ือนไหว เปลี่ยนแปลง ที่ทาให้ความเป็นพราหมณ์กลายมาเป็นความเป็น ฮินดูในปัจจุบัน หลักทรรศนะ 6 ได้แก่ ลัทธิสังขยา ลัทธิโยคะ (เน้นการบริกรรม คาวา่ \"โอม\" เป็นคาศักด์ิสทิ ธิ์ ท่ีใช้ในการภาวนา) ลัทธินยายะ ลทั ธิไวเศษกิ ะ ลัทธิมีมางสา หรือปูรวมีมางสา และลัทธิเวทานตะ 6. คัมภรี ข์ องศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู •ฤคเวท เป็นคัมภีร์แหง่ ความรอบรู้ในบทสวด สรรเสริญพระเจ้า •ยชุรเวท เป็นคมั ภีร์รวบรวมบทรอ้ ยกรอง ใช้ในพิธกี ารบชู ายญั ในศาสนา •สามเวท เป็นคัมภรี ์รวบรวมบทสวดมนต์ สาหรบั ประกอบพิธกี รรมต่าง ๆ ของประชาชน โดยท่วั ไป รวม 3 อย่างนี้ เรียกวา่ \"ไตรเพท\" ต่อมาเพิม่ เข้ามาอกี คัมภีร์หน่ึง คือ อาถรรพเวท เป็นคัมภีรเ์ วทมนต์คาถา ท่ีเรียกว่า พระเวท มนตร์ขลงั ส่วนคัมภีร์รุ่นหลงั ท่ีสาคัญ คือ คัมภีร์ภควัทคตี า เป็นคัมภีร์ซ่ึงถอื ว่า เป็นยอดวรรณคดี และเป็นหวั ใจ ปรัชญาของฮินดู หลักธรรมของคัมภีร์น้ี มีอิทธิพล อย่างแรงกล้าเหนือจิตใจชาวฮินดูตลอดเวลา 1,600 ปี ที่ผ่านมา ถ้อยคา และสานวนในคัมภีร์ มีความไพเราะ อย่างยิ่ง คัมพีร์ภควัทคีตาเป็นสว่ นหน่ึงของมหากาพย์ มหาภารตะ เป็นสว่ นหน่ึง หรอื ฉากหนึ่ง ของภษี มบรรพ4.พทุ ธศาสนา (จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมขอ้ 4) สัญลักษณ์ : ธรรมจกั ร ความหมาย: วงลอ้ คือธรรม ทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงหมุน หรือประกาศ แกม่ หาชนชาวโลก
4.1 ประวัติโดยยอ่ พุทธศาสนาเกิดท่ีชมพูทวีป ซ่ึงปัจจุบันได้แบ่งแยก เป็น อินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ภูฏานเนปาล และบังคลาเทศ โดยผู้ประกาศคาสอน ได้แก่ เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งกรุงกบิลพัสด์ุ แคว้นสักกะ ตอนเหนอื ของชมพทู วปี เชงิ เขาหิมาลยั ซ่งึ ปจั จบุ นั อยูใ่ นประเทศเนปาล เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับพระนาง สิริมหามายา ทรงประสูติ เมื่อวันขึ้น15 ค่า เดือน วิสาขะ (ตรงกับเดือน 6 ของไทย) ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวหะ ซ่ึงปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตาบลรุมมินเด ประเทศเนปาล มีพระนามทางพระโคตร(นามสกลุ ) วา่ \"โคตมะ\" แปลว่า \"วงศ์พระอาทิตย์\" ในวรรณะกษัตรยิ ์ ทรงได้รับความปรนปรือ ด้วยโลกยี สุขอยู่เป็นเวลาถงึ 29 ปี ด้วยทรงได้รับพยากรณจ์ ากนกั ปราชญ์ราชบัณฑิตว่า ถ้าทรงอยคู่ รอง ฆราวาส จักเปน็ พระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าทรงออกผนวช จักเป็นศาสดาเอก ของโลก พระเจ้าสุทโธทนะ ประสงค์จะให้เป็นแบบแรกมากกว่า จึงทรงปรนปรือด้วยโลกียสุข และมิใช่เพียงปรนปรือเอาใจเท่านั้น ยังได้ทรงถูกปิดกั้นไม่ให้พบเห็นสภาพความเป็นอยู่ ที่ระคนด้วยความทกุ ข์ ของสามัญชนท้ังดว้ ย แต่สภาพน้ัน ก็ไมส่ ามารถปิดบังพระองค์ ได้เรื่อยไป ปญั หาเรื่องความทุกข์ความเดือดร้อนต่าง ๆ ของมนุษย์ อันรวมเด่นอย่ทู ่ีความแก่ เจ็บ และตาย เป็นสงิ่ ท่ีทาให้พระองค์ ต้องอครุ่นคิดแกไ้ ข ซ่ึงเป็นปัญหาของสภาพสังคมทุกยุคทุกสมัย ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกคนต่างจ้องแย่งชิงดีชิงเด่นกัน มุ่งแต่แสวงหาความสมบูรณ์ พูนสุขด้านวัตถุใส่ตน แข่งขันแย่งชิงเบียดเบียนกันหมกมุ่นมัวเมา อยู่ในความสุขเหล่านั้น ไม่ตอ้ งคิดถึงความทุกขย์ ากเดือดร้อนของใคร ๆ ดารงชีวิตอยูอ่ ยา่ งเป็นทาสของวตั ถุ ยามสขุ ก็ละเมอมัวเมา ถงึ คราว ถกู ความทุกข์เข้าครอบงา ก็ลุ่มหลงไร้สติ เห่ยี วแหง้ คับแค้นเกินสมควร บ้างก็คิดฆ่าตัว บ้างก็แก้ด้วยการเสพสุราเมรยั แล้วก็แกเ่ จ็บตายไป อยา่ งไร้สาระ ฝ่ายคนท่ีเสียเปรียบไมม่ โี อกาส ถกู บบี คนั้ กดขี่ อยอู่ ย่างคับแค้น แลว้ กแ็ กเ่ จบ็ ตายไปโดยไร้ความหมาย เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงมองเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ทรงเบื่อหน่ายในสภาพ ความเป็นอยู่ของพระองค์มองเหน็ ความสุขความปรนปรอื เหล่านั้น เปน็ ของไรส้ าระ ทรงคิดหาทางแก้ไขจะใหม้ คี วามสุขที่มนั่ คง เปน็ แก่นสาร ทรงคิดแก้ปัญหาน้ีไม่ตก และสภาพความเป็นอยู่ของพระองค์ ท่ามกลางความเย้ายวน สับสนวุ่นวายเช่นนั้น ไม่อานวยแกก่ ารใช้ความคิดที่ได้ผล ในท่ีสดุ ทรงมองเห็นภาพพวกสมณะ ซ่งึ เป็นผู้ได้ปลกี ตวั จากสงั คมไปค้นควา้ หาความจริงต่าง ๆ โดยมีความเปน็ อยู่ แบบง่าย ๆ ปราศจากความกงั วล และสะดวกในการแสวงหาความรู้และคิดหาเหตุผล สภาพความเป็นอยูแ่ บบนี้นา่ จะช่วยพระองค์ให้แก้ปญั หานี้ได้ และยางทีสมณะพวกน้ีทไี่ ปคดิ ค้นความจริงกันต่าง ๆ บางคนอาจมอี ะไรบางอยา่ ง ท่พี ระองค์ จะเรียนรไู้ ด้บา้ ง พระองค์จึงเสดจ็ ออกบรรพชาอย่างพวกสมณะท่ีมอี ยู่แล้วในสมัยน้ัน ได้เสดจ็ จาริก ไปศกึ ษาหาความรู้เท่าที่พวกนักบวชสมัยน้ันจะรู้และปฏิบัติกัน ทรงศึกษาท้ังวิธีการ แบบโยคะ ทรงบาเพ็ญสมาธิจนได้ฌานสมาบัติ ถึงอรูปสมาบัติชน้ั สูงสุด ทรงแสดง อิทธิปาฏหิ าริย์ได้ตามวิธีการของโยคะนั้น ทรงบาเพ็ญตบะทรมานพระองค์ ในทส่ี ุดกท็ รงตดั สนิ ได้ว่า วิธีการของพรวกนักบวชเหล่าน้ที ้ังหมด ไม่สามารถแก้ปัญหาที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ เมื่อเทยี บชีวติ ของพระองค์ กอ่ นเสด็จออกบรรพชาแล้ว ก็นับวา่ เป็นการดารงชีวิตอย่างเอียงสุดท้ังสองฝ่าย คือ ฝ่ายหน่ึง หมกมุ่นแต่ในวัตถุนิยม ฝ่ายหนึ่ง หมกมุ่นอยู่แต่ในสุขทางจิตใจ เมื่อออกจากฌานแล้วกิเลสยังมีอยู่ กเ็ กิดทกุ ข์อกี เปน็ ความสุขทีก่ ลับกลายได้ ไมย่ ่ังยืน ทง้ั สองอยา่ ง พระองค์จงึ ทรงหันมาดาเนนิ การคดิ ค้นด้วยพระองค์เอง จนในท่ีสุดก็ไดต้ รัสรธู้ รรมที่พระองคท์ รงค้นพบน้ี ต่อมาเมื่อทรงนาไปแสดง แก่ผ้อู ่ืนฟังทรงเรยี กว่า \"มชั เฌนธรรม\" หรือ หลักธรรมสายกลาง และทรงเรียก ข้อปฏบิ ตั ทิ ี่พระองค์ทรงตง้ั เปน็ ระบบขึ้นวา่\"มัชฌิมาปฏิปทา\" หรือ ทางสายกลาง จนมีผู้เข้าใจและยอมรับวิธีดาเนินชีวิตแบบพระองค์เป็นอันมาก ผู้ที่ยอมรบั วิธีดาเนิน ชีวิตแบบพระองค์ เรียกวา่ \"สาวก\" แปลว่า \"ผู้ฟัง หรือ ผู้ปฏบิ ัติตาม\" และ เรียกพระองค์ว่า\"พระศาสดา\" หรอื \"พระพุทธเจา้ \" แปลว่า \"ผู้สง่ั สอน ผู้เปน็ คร\"ู และ \"ผูร้ ้คู วามจริงของชวี ติ ผู้ตรัสรแู้ ล้ว \"
ทางสายกลางนนั้ ไม่ใช่ว่า \"อยู่ตรงกลาง\" ระหว่างทางสองสาย แต่หมายถึง ทางทถี่ กู ต้อง ทางทนี่ าไปสู่ความพ้นสุขอย่างแท้จริง ตรงกันข้ามกับการดารงชีวิต แบบเดิม ๆ ของคนทั่ว ๆ ไป ไม่ว่ายคุ ใดสมัยใด คือ ไม่ติดลุ่มหลงในวัตถนุ ิยม ก็ติดลุ่มหลงอยู่ในความสุขทางจิต ติดในฌานสมาบัติ เป็นทาสของความสุขเหล่านั้น ซึ่งเมือ่ สิ่งเหลา่ นนั้ เส่ือมสลายกลายเป็นอ่ืน กก็ ลับเป็นทุกข์ได้อกี จึงเรยี กว่า เอยี งสดุ หรือ สุดโตง่ ทงั้ สองทาง ทางทถ่ี กู ต้องตามคาสอนของพระพทุ ธเจ้า คือปฏิบตั ิ เพื่อดับกิเลสตัณหา อนั เปน็ เหตุ เป็นเพลิงแห่งกองทุกขท์ ้งั มวลโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือซาก ไม่กลับกลาย เท่ียงแท้ยง่ั ยืน ซ่ึงพระองค์เรียกการดาเนินชีวิตแบบน้ีว่า \"พรหมจรรย์\"แปลว่า \"การดาเนินชีวิตอย่างประเสริฐดีเลิศ\" (ดังนั้น พระพุทธศาสนา เดิมที เรียก พรหมจรรย์ และเมื่อพระองค์ก่อต้ังเป็นระบบแบบแผน ของการดาเนินชีวิตแบบน้ี ก็เรียกว่า \"ธรรมวนิ ัย\" ไม่เรียกว่า \"พทุ ธศาสนา\"ซ่ึงคนรนุ่ หลงั ใชเ้ รียก) ความจริง คนเราดาเนินชีวิต ก็เพียงแต่ กิน นอน สืบพันธุ์ ถ่ายของเสีย เท่านั้น การกิน ก็กิน(รับประทาน) ได้อย่างมากไม่เกิน 3 กามือ (จาน) และวันหนึ่ง ๆ ก็กินได้ อย่างไม่มากไม่เกิน 5 ม้ือ ส่วนมากคนเราจะแสวงหาวัตถุมาเพือ่ ปรนปรือกเิ ลส หรือ ความต้องการทางด้านจิตใจของตนเองเทา่ นน้ั เชน่ เกียรตยิ ศชอื่ เสียง ลาภ ยศ ตาแหน่ง ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน บ้างก็ฆ่าฟันห้าห่ันกัน บ้างก็ใช้จิตวิทยา เข้ามาชิงดีชิงเดน่ เบยี ดเบยี นซง่ึ กนั และกนั วุ่นวาย แลว้ กต็ ายไปอย่างไร้สาระ ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง เกียรตยิ ศ ชื่อเสียง ตาแหน่งต่าง ๆ ที่อุตสาหะเบียดเบียน ชิงดีชิงเด่นกันมา ก็เอาไปไม่ได้ ได้แต่ท้ิงให้คนรุ่นหลังได้กล่าวขาน หรือ ติฉินนินทา จะเห็นว่า คนทุกยุคทุกสมัย มุ่งแต่จะสนองความต้องการทางจิตใจ หรือ มุ่งจะสนอง กิเลสตัณหามากกว่า มุ่งดารงชีวิตให้มีความสุขอย่างแท้จริง จะเหน็ ว่า ของทุกสง่ิ ที่ตนหามาได้ สุดท้ายก็ทิ้งให้คนรุ่นหลังแย่งชิงกันต่อไป เหมือนกับเหนอื่ ยเปล่า ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราช หรือ เจง กิ๊สข่าน มีจะห้าหั่น บีฑา คนตายหลายล้านคน เพ่อื ให้ไดม้ าซึ่งแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล สุดท้าย ตัวเอง ก็ได้แค่ที่ดินสาหรับฝังศพเท่านั้น (แมท้ ี่ดินฝงั ศพ อกี ไมน่ านคนอนื่ ก็อาจจะเอาไม่ใชป้ ระโยชน์) นค่ี ือความไรส้ าระ ที่คนทุกยุคทุกสมัย ติดข้อง ลุ่มหลงกันว่าเป็นสาระ โดยเคร่ืองมือที่สนองความต้องการ คือ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี พระพุทธเจา้ เมือ่ ทรงคน้ พบวธิ กี ารดาเนนิ ชวี ติ แบบ ไมเ่ ข้าไปยึดตดิ สดุ โต่ง ท้ังสองข้างน้นั แล้ว พระองค์ทรงเสด็จกลบั มาเริ่มต้นสั่งสอนส่ิงทพ่ี ระองค์ทรงค้นพบ เพ่อื ประโยชน์ของชาวโลกอย่างหนักแน่นจริงจัง มิใช่ทรงปลีกตัว ออกไปสิ้นเชิงเลย คือ ตนเองประสบความสาเร็จและไปถึงแล้ว ก็กลับมานาผู้อื่นให้ประสบความสุข แบบพระองค์ และทรงดาเนินงานน้ีจนตลอดระยะเวลาที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ คือ 45 ปีหลังก่อนที่จะปรินิพพาน แมร้ ะบบนี้ สาวกกย็ ังรักษาไว้ตราบเท่าทุกวันนี้ (เกบ็ คาสอนไว้ในพระไตรปิฎก) ท่ปี ัจจบุ ันเรยี กว่า \"พระพุทธศาสนา\" แปลว่า \"คาสอนของพระพุทธเจ้า\" เปน็ คาทคี่ นรุ่นหลังใชเ้ รียกระบบน้ี คนเขา้ ถงึ บ้างไมเ่ ข้าถึงบ้าง แลว้ แต่ระดบั สตปิ ญั ญาของคนนน้ั ๆ4.2 จุดเด่นของคาสอนของพระพทุ ธเจ้า (พรหมจรรย)์ คาสอนของพระพทุ ธเจา้ หรือ ที่พระองคเ์ รียกว่า \"พรหมจรรย์\" หรือ \"ธรรมวินัย\" มีจุดเดน่ คอื เป็นวิธีดาเนินชีวิต ที่ค้นพบด้วยมนุษย์เอง ด้วยเรี่ยวแรงและสติปัญญา ของมนุษย์เอง มิใช่การดลบันดาลของเทพสงู สดุ ที่สังคมสมยั นน้ั เรียกว่า \"เทพเจ้า เทวดา หรือพระพรหม\" มนุษย์นแ่ี หละ จะบรรลุความสุข ทแี่ ท้จริงได้กด็ ้วยความสามารถ (การกระทา = กรรม) ของตนเอง ด้วยเร่ียวแรง ความพยายาม (วริ ิยะ) ของตนเอง มิใช่ดว้ ยการอ้อนวอน บูชาบวงสรวง หรอื ท่เี รียกว่า เซ่นสรงบูชายญั ทกุ คนสามารถเขา้ ถงึ ความสุขนีไ้ ด้ ด้วยตนเองในปัจจบุ ันชาตนิ ี้ มิใช่เข้าถึงหลังจากตายแล้ว คอื ประสบไดท้ ้ังที่ยังมีชีวิตอยู่ และคาสอนของพระพุทธเจ้านั้นมิได้จากัดไว้เฉพาะนักบวชเท่าน้ัน หรือ จากัดเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง วัยใดวัยหนึ่ง เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย จะ
เห็นว่าพระองค์ ทรงวางระบบไว้ทั้งแก่พระภิกษุและฆราวาส จนพระองค์ต้ังข้ึนเป็นบริษัท 4 คือ ภิกษุ (รวมสามเณรด้วย) ภิกษุณี (รวมสามเณรีด้วย = นักบวชแบบพุทธ ท่ีเป็นผู้หญิง) อุบาสก (ฆราวาสที่เป็นผู้ชาย ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ท่ียอมรบั นับถือวิธีดาเนนิ ชีวิตแบบพุทธ) อุบาสิกา (ฆราวาสท่ีเป็นผู้หญงิ ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ท่ียอมรับนับถือวิธีดาเนินชีวิตแบบพุทธ) ซ่ึงพระพุทธองค์ ตรัสว่า เพียงขาดบริษัทใดบริษัทหน่ึง ก็ยังไม่ช่ือว่าพรหมจรรยน์ ี้ เจริญบริบูรณเ์ ป็นปึกแผน่ ซึ่งพระเจา้ ทรงตรัสไว้ตั้งแตเ่ ร่ิมส่งพระสาวกรุ่นไปแรกออกประกาศคาสอนน้ี ว่า \"ภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายจงจาริกไป เพ่ือประโยชน์และความสุข ของชนเป็นอันมาก เพ่ืออนเุ คราะหช์ าวโลก เพือ่ ประโยชน์เกื้อกลู และความสุข แกท่ วยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย\" ดงั นัน้ คาว่า \"พุทธบริษัท\" หมายถึง ท้ังบรรพชิต หรือ นกั บวช และฆราวาส ท้ังหญิงชาย ท้ังเด็กและผู้ใหญ่ ที่ยอมรับนับถือคาสอนของพระพุทธเจ้า มิใช่ยกให้ เป็นสมบัติของบริษัทใดบริษทั หนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึง่ ซึ่งคนรุ่นหลัง (ซึ่งอาจจะไม่นิยมคาสอนของพระพทุ ธเจ้า (นิยมวทิ ยาศาสตร์)) มักจะพูดวา่ เปน็ เร่ืองพระของสงฆ์เป็นต้น ซ่ึงไม่ตรงตามพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า ท่ีมอบหลักการนี้ไว้แก่บริษัท 4 ดังว่ามาขอให้ผู้ท่ียอมรับว่าเป็นพุทธบริษัท ได้รับผิดชอบร่วมกัน เหมือนกับสาวกในศาสนาอ่ืน ๆ (ดังตัวอย่างอิสลามเขาทากนั อย่างเอาจรงิ เอาจงั ไม่โยนไปใหผ้ ้นู าศาสนา แตเ่ ขารบั ผิดชอบทุกคน) การรับผิดชอบ คือ เรยี น และศึกษาให้เข้าใจคาสอนและวิธีดาเนินชีวติ แบบพุทธ อย่างแท้จริง แล้วนาไปประกาศให้ถูกต้อง นี่แหละคือการรับผิดชอบ คอยตาหนิ ตเิ ตยี นผู้ท่เี ป็นเหลอื บ คอยบอ่ ยทาลาย คอยสนบั สนนุ ผูท้ เี่ ป็นแบบอยา่ งท่ดี ี เป็นตน้4.3 หลักคาสอน พุทธศาสนา เกดิ ข้ึนมาจาก ความกลวั ทุกข์ ดงั ท่กี ล่าวไว้ในประวตั แิ ล้ววา่ พระพุทธเจ้า ทรงต้องการจะแกไ้ ขความทุกข์ อันเกดิ จาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ซ่ึงพว่ งดว้ ย ความเศร้าโศก ปรเิ ทวะความพไิ รราพรรณ ความโทมนสั ความเสียใจ ทุกขใ์ จ อุปายาส ความคับแค้นใจ เพราะประสงค์สิ่งใด ไม่ได้ดังประสงค์ หรือ ได้ส่ิงท่ีไม่พึงประสงค์ ฯลฯ ดังน้ัน คาสอนของ พระพุทธเจา้ จึงทรงเน้นเฉพาะ เร่ือง ทุกข์ และความดับ หรือความพ้นทุกข์ หรือวิธีปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ จนฝร่ังตะวันตก กล่าวหาว่า พุทธศาสนา เป็นpessimism (ลทั ธิมองโลกในแงร่ ้าย) ตรงขา้ มกับ optimism (ลัทธิมองโลกในแง่ด)ี อันเป็นความไมเ่ ข้าใจ ของฝรั่งเอง พุทธศาสนา ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ดงั คาของฝรัง่ ตะวันตก พุทธศาสนาไม่เข้าไปเกี่ยวข้องทัง้ สองอย่าง คือท้งั สุขนิยม และ ทุกขนิยม แต่พดู ตามความจริงตรง ๆ แล้วก็บอกวิธีแก้ หรือ ข้อปฏิบตั ิเพื่อเขา้ ถึงสุขท่ีแท้จริงหรอื เพื่อพ้นไปจากความทุกข์ด้วย ดงั นัน้ แม้คาสอนของพระพทุ ธเจา้ จะมีถงึ 84,000 พระธรรมขันธ์ บรรจุอยู่ในพระไตรปฎิ กถงึ 45 เลม่สรุปแล้ว ก็กลา่ วถึงแตเ่ ร่ืองทุกข์ และความดับทุกข์ เท่านัน้ ดังพุทธพจน์ที่ตรสั ไว้ ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระไตรปิฎกเลม่ ที่ 17 ข้อ 214 ว่า \"เราสอนแตท่ ุกข์ และความดับทกุ ขเ์ ทา่ นัน้ \" ถามว่า แล้วพุทธศาสนา ไม่เชื่อว่ามีสุขหรือ ? ตอบว่า สุขน่ันแหละ ที่พระพุทธศาสนาปรารถนาต้องการ และเปน็ จุดม่งุ หมายสงู สุด ของพระพุทธศาสนา แต่ต้องเป็นสุข แบบยั่งยืน ถาวร ไมก่ ับกลายเป็นทกุ ข์ในภายหลัง เมื่อดับทุกข์แล้ว สุขก็เกิดขึ้นเอง เหมือนกับ ทางโลกที่ว่า มีแต่อุณหภูมิ (ความร้อน) เท่าน้ันเพิ่งความเยน็ ไมม่ ี ท่รี สู้ ึกเย็น เพราะความร้อนลดลง ดังนั้น คาสอนของพุทธศาสนาทงั้ หมด จงึ สรุปลงใน อรยิ สัจ 4 หรือ ปฏิจจสมุปบาท หรอื อทิ ปั ัจจยตา ดัง้ นี้ 1. ทุกข์ ความทุกข์ สภาพท่ที นได้ยาก สภาวะบีบค้ัน ขัดแยง้ บกพร่อง ขาดแกน่ สารและความเที่ยงแท้ไม่ใหค้ วามพึงพอใจแทจ้ ริง ไดแ้ ก่ ความเกดิ ความแก่ ความตาย การไดส้ ่ิงท่ีพึงประสงค์ การพลัดพราก จากส่ิงท่ีรัก ความปรารถนาไม่สมหวัง
2. ทุกขสมุทัย เหตุเกิดแห่งทุกข์ สาเหตุให้ทุกข์เกิด อันได้แก่ ความทะยานอยาก 3 อย่าง คือ ความอยากได้ ส่ิงบารุงบาเรอทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันสวยงาม น่ารัก น่าใคร น่าปรารถนา น่าพอใจ(กามตณั หา) ความอยากมี อยากเป็น อยากมีฐานะร่ารวย อยากเปน็ เศรษฐี อยากเปน็ รฐั มนตรี อยากเป็นนายกฯ สูงสุด คือ ความอยากมีตัวตน เพ่ือสนองความอยาก ข้อแรก (ภวตัณหา) ความเบ่ือหน่าย จาเจ อยากออกจาก ภาวะท่ีจาเจ อยากไปจากสภาพทีต่ นไมป่ รารถนา สูงสดุ คอื อยากขาดสูญ อยากไมม่ ตี ัวตน (วภิ วตณั หา) 3. ทุกขนิโรธ ภาวะที่ตณั หา 3 อย่างดับสิ้นไป ภาวะที่กิเลสดับส้ินไป ภาวะที่เข้าได้ เมื่อกาจัดอวิชชา(ความไมร่ ู้) สารอกตัณหาสนิ้ แล้ว ไมถ่ ูกย้อม ไมต่ ดิ ข้อง หลดุ พ้น สงบ ปลอดโปร่ง เปน็ อิสระ คือนิพพาน 4. ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏบิ ัตนิ าไปสู่ ความดับทกุ ข์ ข้อปฏิบัติให้ถงึ ความดับทกุ ข์ ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 หรือมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง ไดแ้ ก่ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ระบบจริยธรรม ของพทุ ธศาสนาจะอยทู่ ีข่ ้อนี้ โลกทุกวันนี้ เข้าใจกันว่า สุขอยู่ท่ีความมีทรัพย์สมบัติ พร่ังพร้อม จึงเอาเร่ียวแรงความพยายามทุ่มเทไปเพื่อให้มาซึ่งส่ิงเหล่าน้ัน ไม่ว่าจะถูกตอ้ ง หรอื ไม่ถูกต้อง จงึ เกิดความวุ่นวาย คนก็เกิดมามาก วัตถุส่ิงเสพท่ีมีอยูใ่ นโลก กร็ ่อยหรอลงทกุ วนั ไม่เพียงพอ ตอ่ ความตอ้ งการ เกดิ การแก่งแย่ง ชงิ ดีชงิ เดน่ กัน ฆ่าฟันกนั ลกั ขโมยกัน เล่นชู้ค่ผู ัวตัวเมียซงึ่ กันและกนั พูดหลอกลวงกัน เพ่ือใหไ้ ดม้ าซึ่งส่ิงท่ีตอ้ งการ จนโลก จะไม่มอี ะไรจะสนองแล้ว อเมรกิ า จึงคดิ จะไปแสวงหา สง่ิ เหลา่ นี้ ท่ดี าวอังคารอกี ดาวองั คาร กค็ งจะเป็นเหมอื น โลกทกุ วันนี้ เพราะเชอ้ื ความทุกข์ คอื ความไมร่ ู้จักพอ ยังอย่ใู นจิตใจของมนษุ ย์ ไปอย่ทู ไี่ หน กท็ าลายทีน่ ่ัน กระบวนการดับสาเหตุแหง่ ทุกข์ ของพุทธศาสนา สรุปย่อ ๆ ได้แก่ ศลี สมาธิ ปัญญา (ไตรสิกขา= ข้อฝึกหัดจิตใจ (training mind) เพื่อให้พ้นจากเหตุเกิด แห่งทุกข์ 3 อย่าง) ศีล เป็นข้อฝึกหัดขั้นพ้ืนฐานเตรียมจิตใจให้พร้อม เพื่อให้เกิดสมาธิ สมาธิ เปน็ ข้อฝึกจิตใจ เพื่อใหเ้ กิดปญั ญา ปัญญา ทาให้รู้ความจริงตามธรรมชาติวา่ ทุกสงิ่ ทุกอย่าง เกิดข้นึ เพราะเหตุปัจจยั เมอื่ หมดปัจจยั ก็ดับ คือทุกส่ิง ทกุ อยา่ ง มขี ึ้น เปน็ ไปตามเหตุปัจจัย ไมเ่ ป็นไป ตามความปรารถนาหรอื ความตอ้ งการของใคร มันเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และกด็ ับไปเป็นธรรมดาไม่มีใคร จะทาให้มันยั่งยืนถาวรได้ และยึดไว้เป็นของตัวเองไม่ได้ ไม่เป็นของใคร เม่ือรู้อย่างน้ีแล้ว คนเราก็คลายความ ยึดมั่นถือม่ัน จิตใจเป็นอิสระ ความทะยานอยาก ก็หมดไป ทุกข์ก็ดับไป นี่แหละเป็นภาวะที่ตอ้ งการของพทุ ธศาสนา ซงึ่ เข้าถงึ ได้ในปจั จบุ นั ไมจ่ าเปน็ ต้องเข้าถงึ หลงั จากตาย เมือ่ ถึงจดุ จบแล้ว (คือเม่อื บรรลุถึงความสุข อันถาวรแล้ว) พุทธศาสนา ไม่ใหย้ ดึ ม่นั ทง้ั ความดีความชั่วคือ ให้ละทิ้งหมดทั้งความดี ความชั่ว ความชั่วเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความดีก็เป็นสะพาน ให้ถึงความดับทุกข์เปรียบเสมือนคนเราอาศัยเรือ ข้ามฟากแล้ว สุดท้าย ก็ต้องท้ิงเรือ ไม่แบกเรือไปด้วย ฉันน้ัน ท่ีภาษาทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า \"ปุญญะปาปะปะหีโน = ผู้ละบุญและบาปแล้ว หมายถึง พระอรหันต์ ผู้บรรลุถึงจดุ หมาย คอื ความสขุ อนั ถาวร ย่ังยืน (นิพพาน) ของพระพทุ ธศาสนาแลว้ ศาสนาทุกศาสนาไม่ว่าจะศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามหรือศาสนาพราหมณ์ฮินดูล้วนมีศาสดา การปฏิบตั ติ น หลักธรรมทางศาสนาและเป้าหมายสงู สุดท่แี ตกต่างกนั ออกไปดังที่ไดศ้ ึกษามาแต่หากมีสิ่งหนึ่งท่ีไม่ว่าศาสนาใดในโลกก็ตาม ล้วนอบรม สั่งสอนหรือคอยชี้แนะเหมือนกันก็คือ การสอนมนุษยท์ ุกคนให้เป็นคนดขี องสังคม ไม่สรา้ งความเดือดร้อนให้แก่ผอู้ ่ืน หากนักเรียนสามารถปฏิบตั ิตนเป็นคนดี ไม่สรา้ งความเดอื ดร้อนใหแ้ ก่ผอู้ ื่นได้ ก็จะไดช้ ่อื ว่าเป็นบคุ คลทีท่ าหนา้ ท่ใี นฐานะบุคคลท่ีดีมคี ณุ ภาพได้อย่างสมบรู ณ์แบบ แล้วสังคมกจ็ ะกลายเป็นสังคมท่ีสงบสขุ ทง้ั สงั คมทน่ี ักเรยี นอยู่และสงั คมโลก
บรรณานกุ รมพสิ ฐิ พงศ์ สีดาว. หน้าทีพ่ ลเมอื งและศลี ธรรม. สานักพมิ พ์ศูนยส์ ง่ เสรมิ อาชวี ะ, 2560
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: