Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สวาพฤกษสาสตร์ในโรงเรียน

สวาพฤกษสาสตร์ในโรงเรียน

Published by เด็กนมกล่อง, 2020-11-03 08:31:02

Description: นายบูญญาทรัย์ ประเทิงชั้น5/6เลขที่19
นาย ก้องภพ ปงลังกา ม.5/6 เลขที่13

Search

Read the Text Version

ประกอบวชิ า ว.32101 เทคโนโลยี 2 ครูผสู้ อน ครู รัชชนก วงศเ์ ขียว

คำนำ หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์เล่มน้ีจดั ทาข้ึนเพื่อศึกษาเก่ียวกบั สวน พฤกษศาสตร์ในโรงเรียน โดยเน้ือหาประกอบไปดว้ ยตน้ ไมใ้ น โรงเรียนและประกอบการเรียนวชิ า ว32101 เทคโนโลยี 2 ผจู้ ดั ทาหวงั วา่ จะป็นประโยชน์ตอ่ ผศู้ ึกษาไดเ้ ป็นอยา่ งดี ช่ือ นาย กอ้ งภพ ปงลงั กา ช้นั ม. 5/6 เลขท่ี13 ชื่อ นาย บุญญาทรัพย์ ประเทิง ช้นั ม.5/6 เลขที่ 19

• ชื่อตน้ ไม้ พญาสตั บนั หนา้ หนาวมาทีไร แถวบา้ นใครที่ปลกู ต้นตนี เป็ ด หรือต้น พญาสัตบรรณ เอาไวค้ งไดก้ ลิ่นจากดอกของตน้ น้ีอยา่ งชดั เจน บา้ งกว็ า่ หอมชื่นใจ บา้ งกว็ า่ เหมน็ จนเวยี นหวั แต่ไม่วา่ อยา่ งไรตน้ ตีนเป็ดกก็ ลายเป็นสญั ลกั ษณ์ของ “ลม หนาว” ไปโดยปริยาย • นอกจากตน้ ตีนเป็ดจะเป็นตน้ ไมใ้ หญ่ท่ีใหร้ ่มเงากบั เราไดเ้ ป็นอยา่ งดีแลว้ ยงั มี สรรพคุณดีๆ ที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ ในฐานะของการเป็นสมุนไพรไทยไดอ้ ีกดว้ ย • ต้นตนี เป็ ด หรือพญาสัตบรรณ กบั ประโยชน์ดๆี ต่อสุขภาพ 1. เปลือกของลาตน้ มีรสขม สามารถนามาทาเป็นยาที่ช่วยในการเจริญอาหาร ช่วยลด ระดบั น้าตาลในเลือด ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน และแกห้ วดั แกไ้ อ บรรเทาอาการหลอดลมอกั เสบ 2. เปลือกของลาตน้ ช่วยรักษาโรคบิด ทอ้ งร่วง ทอ้ งเดินเร้ือรัง โรคลาไสแ้ ละลาไสต้ ิด เช้ือ

เฟื่ องฟ้ า ชื่อวทิ ยาศาสตร์: Bougainvillea เป็นไมย้ นื ตน้ ประเภทพ่มุ ก่ึงเล้ือย ขนาดต้งั แต่ พุ่มเลก็ ถึงพมุ่ ใหญ่ มีหนามข้ึนตามลาตน้ อยู่ ใบเด่ียว แตกออก สลบั กบั กิ่ง หรือเย้อื งกนั มีขน ข้ึนปกคลุมเลก็ นอ้ ย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กวา้ ง 2 – 3 ซม. ใบ ประดบั ลกั ษณะคลา้ ยรูปหวั ใจหรือรูปไข่มี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู สม้ ฟ้ า เหลืองและอื่นๆ มีท้งั ดอกสมบูรณ์เพศและไม่สมบรู ณ์เพศ ออกเป็นช่อ ตามซอก ใบหรือปลาย ก่ิง แต่ละช่อมี 3 ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม.ตอ้ งการแสงแดดจดั ในสภาพกลางแจง้ ไดร้ ับ แสงแดดตลอดวนั ถา้ ไดร้ ับแสงแดดไม่เพียงพอจะทา ใหส้ ีของใบไม่เขม้ ออกดอกนอ้ ย ตอ้ งการอุณหภมู ิ ปานกลางหรือร้อนช้ืน เม่ือโตข้ึน ตอ้ งการน้าปานกลาง ถึงคอ่ นขา้ งต่า ถา้ รด น้ามากเกินไปจะไม่ออกดอก ขยายพนั ธุ์ดว้ ยการปักชากิ่ง, ตอนกิ่ง, เสียบยอด

ดอกรัก ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Calotropis gigantea (L.) Dryand. ช่ือวงศ์ : Apocynaceae ... วงศย์ อ่ ย : Asclepiadoideae ช่ือสามญั : Crown Flower, Giant Indian Milkweed, Gigantic ชื่อพ้ืนเมือง : รัก ดอกรัก รักขาว รักซอ้ น ปอเถ่ือน ป่ านเถ่ือน รักดอกขาว รักดอกม่วง รักร้อยมาลยั ถิ่นกาเนิด : เอเชียกลางและอินเดีย รวมไปถึงบางพ้ืนท่ีของจีน การเจริญเติบโต : เจริญเติบโตไดด้ ีและรวดเร็ว ชอบแสงแดดจดั เตม็ วนั ดิน ร่วนซุยระบายน้าไดด้ ี



• กลว้ ยเป็นไมล้ ม้ ลุกขนาดใหญ่[1] ทุกส่วนเหนือพ้ืนดิน ของกลว้ ยเจริญจากส่วนที่เรียกวา่ \"หวั \" หรือ \"เหงา้ \"[2] ปกติแลว้ ตน้ กลว้ ยจะสูงและแขง็ แรง พอสมควร ทาใหเ้ ขา้ ใจผดิ วา่ เป็นตน้ ไม้ ซ่ึงแทจ้ ริงแลว้ ส่วนท่ีคลา้ ยกบั ลาตน้ คือ \"ลาตน้ เทียม\" (pseudostem) ใบของกลว้ ยประกอบดว้ ย \"กา้ น ใบ\" (petiole) และแผน่ ใบ (lamina) ฐานกา้ นใบ แผอ่ อกเป็นกาบ กาบที่รวมตวั กนั อยา่ งหนาแน่นทาให้ เกิดลาตน้ เทียม มีหนา้ ท่ีชูกา้ นใบ พยงุ ใหพ้ ืชต้งั ตรงดู คลา้ ยตน้ ไม้ เม่ือแรกเจริญขอบของกาบจะจรดกนั คลา้ ย ท่อ เม่ือมีใบเจริญข้ึนใหม่ที่ใจกลางลาตน้ เทียม ขอบกาบ ท่ีจรดกนั น้นั กจ็ ะแยกออกจากกนั [

• ชื่อวงศ์: RUBIACEAE ลกั ษณะทว่ั ไปทางพนั ธุศาสตร์เขม็ ตน้ เขม็ เดิมเป็นพรรณไมพ้ ้ืนเมืองของอเมริกาใต้ จดั วา่ เป็นไมพ้ มุ่ ซ่ึงมีความสูง 1-3 เมตร เขม็ หอม หรือเขม็ ขาวมีสาตน้ ขนาดเลก็ แตกก่ิงใกลผ้ วิ ดินจานวนมาก เราจึงพบวา่ เขม็ หอมมกั อยู่ กนั เป็นพมุ่ แน่น โดยแต่ละตน้ มีเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางของลาตน้ 1- 2 เซนติเมตร เปลือกสีดาหรือม่วงเขม้ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปรีแกมขอบ ขนาน เรียงตรงขา้ ม หนา้ ใบมนั สีเขียวเขม้ หลงั ใบสีอ่อนกวา่ และ เห็นเสน้ ใบชดั เจน ในส่วนของช่อดอก จะมีสีขาว ออกท่ีปลายยอด มีเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางช่อดอก 8-18 เซนติเมตร มีดอกยอ่ ยจานวน มาก ดอกยอ่ ยมีกลีบเล้ียงสีเขียวรูปถว้ ย ปลายแยกเป็นกลีบ โคน กลีบดอกเชื่อมติดกนั เป็นหลอดเลก็ ๆ ยาว 2.5-3 เซนติเมตรปลาย หลอดมีกลีบแยกจากกนั เป็น 4 กลีบ แต่ละกลีบรูปไข่ กวา้ ง 0.3 เซนติเมตร ยาว 0.6 เซนติเมตร เมื่อดอกบานมีเสน้





– ลน่ั ทม หรือ ลลี าวดี เป็นไมด้ อกยนื ตน้ ในวงศต์ ีนเป็ด หรือ วงศไ์ ม้ ลนั่ ทม (Apocynaceae) มีหลายชนิดดว้ ยกนั บางคนมีความเช่ือ วา่ ไม่ควรปลกู ตน้ ลนั่ ทมในบา้ นเพราะมีความเช่ือวา่ เป็นอปั มงคล คือ ไปพอ้ งกบั คาวา่ 'ระทม' ซ่ึงแปลวา่ เศร้าโศก ทุกขใ์ จ นิยมปลกู กนั แพร่หลายอยา่ งมาก ช่ือพ้ืนเมืองอ่ืน ๆ ไดแ้ ก่ จาปา, จาปาลาว และ จาปาขอม เป็นตน้ (สาหรับชื่อภาษาองั กฤษ ไดแ้ ก่ Frangipani, Plumeria, Temple Tree, Graveyard Tree) • ตน้ ลีลาวดีเป็นพชื นิยมปลกู เพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ไดแ้ ก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู สีขาวข่นุ ฯลฯ บางดอกมีมากกวา่ 1 สี อาจมีมากถึง หลายสีในดอกเดียว

• มะม่วง (ช่ือวทิ ยาศาสตร์: Mangifera Indica) เป็นไมย้ นื ตน้ ในสกุล Mangifera ซ่ึงเป็นไมผ้ ลเมืองร้อนใน วงศ์ Anacardiaceae (กลุ่มเดียวกบั ถวั่ พสิ ตาชีโอและ มะม่วงหิมพานต)์ เป็นพืชท่ีมีถ่ินกาเนิดในอินเดีย เพราะ การท่ีภมู ิภาคน้นั มีความหลากหลายทางพนั ธุกรรมและ ร่องรอยฟอสซิลที่หลากหลาย นบั ยอ้ นไปไดถ้ ึง 25-30 ลา้ นปี ก่อน[2] มะม่วงมีความแตกตา่ งประมาณ 49 สาย พนั ธุ์กระจายอยตู่ ามประเทศในเขตร้อนต้งั แต่อินเดียไป จนถึงฟิ ลิปปิ นส์ จากน้นั จึงแพร่หลายไปทวั่ โลก เป็นไม้ พมุ่ ขนาดกลาง ใบโต ยาว ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ใบ อ่อนสีแดง ออกดอกเป็นช่อตามปลายก่ิง ดอกขนาดเลก็ สี ขาว ผลออ่ นสีเขียว ผลแก่สีเหลือง เมลด็ แบน เปลือกหุม้ เมลด็ แขง็

มะละกอ ช่ือวทิ ยาศาสตร์คือ Carica papyya L. ช่ือ วงศ:์ CARICACEAE ชื่อสามญั :Papaya. ช่ือทอ้ งถ่ิน: ตะกรวยเตด็ กรวยเทด็ ลอกอ ลกั ษณะโดยทวั่ ไปของมะละกอน้นั สามารถ เจริญเติบโตไดด้ ีในทุกสภาพภมู ิอากาศ ข้ึนในบริเวณท่ีเป็น ดิน ร่วนปนทรายที่มีการระบายน้า ไดด้ ี น้าไม่ท่วมขงั มาก ดินมีความเป็นกรดเป็นด่างอยรู่ ะหวา่ ง 6.0-6.8 ซ่ึง ประโยชน์ ของมะละกอน้นั สามารถใชผ้ ลบริโภคได้ ท้งั ผล ดิบและผลสุก ยางมะละกอสามารถนาไปตม้ เพื่อเพมิ่ การ เปื่ อยยยุ่ ของอาหารได้ ยางมีฤทธ์ิกดั กร่อนอยา่ ง อ่อน ยอดออ่ นนามาตม้ สุกรับประทานไดด้ ีแกร้ ้อนใน มะละกอเป็นผลไมย้ นื ตน้

จดั ทำโดย นาย กอ้ งภพ ปงลงั กา ช้นั ม.5/6 เลขที่13 นาย บุญทรัพย์ ประเทิง ช้นั ม.5/6 เลขที่19 E-mail tle0959531977


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook