รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ผลกระทบทาง เ ศ ร ษ ฐ กิ จ จากการ รั ฐ ป ร ะ ห า ร ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โครงงานกลุ่มวิชา PEG 201
สารบัญ list of contents
1 รัฐประหารปี 2557 รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 13 ใน ประวัติศาสตร์ไทย กว่า 7 ปีแล้ว ที่มีการรัฐประหาร ถึงแม้จะมีการอ้างเหตุผลความจำเป็น หลายอย่างในการทำรัฐประหาร การทำรัฐประหารในปี 2557 มีผลกระทบ ทางเศรษฐกิจมีค่อนข้างมาก ทั้งนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ นานาชาติต่างกำหนดกติกาให้ประเทศต่างๆ ยอมรับ เพื่อให้เข้ากับหลัก สากล และจะมองที่การพัฒนาของประเทศนั้นๆ เป็นหลัก หากประเทศใด ที่มีการพัฒนาทางการเมืองย้อนหลัง ก็ยากที่จะเป็นที่ยอมรับของประชาคม โลก ผลกระทบต่างๆ จึงมีค่อนข้างมาก ซึ่งในปั จจุบันก็พิสูจน์แล้วว่าผลกระทบความเสียหายต่อเศรษฐกิจมีอย่าง มหาศาล หลังจากการรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยจะขอให้ข้อมูลดังนี้ คสช .
221 การลงทุนที่หายไป 1เกือบหมด ซึ่งโดยปกติการลงทุนภาคเอกชนของนักลงทุนภายในประเทศและนักลงทุนต่าง ประเทศที่ลงทุนในประเทศไทยจะมีประมาณปีละ 2 ล้านล้านบาท แต่หลังจาก การรัฐประหารการลงทุนเหล่านี้ได้หายไปเกือบหมด ยกตัวอย่างเช่นปี 2558 การลงทุนจากต่างประเทศเหลือเพียงแค่แสนกว่าล้านบาท หรือเหลือเพียง 10% เท่านั้นจากความเสียหายเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยพัฒนาล่าช้ากว่า ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่โลกกำลัง เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ การลงทุนในอุตสาหกรรมที่มี เทคโนโลยีสูงและมีมูลค่าสูงได้หนีไปลงทุนในประเทศอื่นหมด
3 การลงทุนที่หายไป 1เกือบหมด โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ที่อุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์หันไปลงทุนในประเทศเวียดนามกันหมด จนการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของเวียดนามได้แซงหน้า การส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยไปแล้ว ซึ่งหาก ยังไม่สามารถฟื้ นฟูความมั่นใจให้นักลงทุนทั้งในและต่าง ประเทศลงทุนได้ ประเทศไทยจะเสียโอกาสในการพัฒนา อย่างมาก และจะมีผลถึงการว่างงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นเร็ว มากโดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่จะหางานทำได้ยาก นอกจากนี้การจะฟื้ นฟูให้นักลงทุน ต่างประเทศมั่นใจและกลับมา ลงทุนใหม่คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี ซึ่งนักลงทุนต้องมั่นใจว่าจะไม่เกิด รัฐประหารขึ้นอีก และการเจรจา การค้ากับประเทศต่างๆ จะต้อง เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
4 การส่งออกที่ลดลง 2 ตัวอย่างการส่งออกของปี 2559 หลังจากมีการทำรัฐประหาร การส่งออกที่แท้จริงได้ลดลงตลอด 19 เดือน และมาเป็นบวกได้ 2 เดือน ซึ่งทำให้การส่งออกทั้งปีติดลบต่อ เป็นการส่งออกที่ติดลบ 4 ปีติดต่อกัน และเพราะติดลบมาตลอดหลาย ปี การส่งออกในปี 2559 จะต่ำสุดในรอบ 6 ปี เพราะสินค้าที่ไทยผลิต ได้หลายชนิดเริ่มหมดความนิยมในตลาดโลก และสินค้าบางอย่างก็ แข่งขันไม่ได้แล้วในด้านต้นทุน ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจ จะไม่เอื้ออำนวยนัก แต่การรัฐประหารยิ่งส่งผลกระทบทำให้การส่ง ออกที่แย่อยู่แล้วกลับแย่ยิ่งกว่าเดิม เพราะประเทศไทยไม่สามารถ เจรจาข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศได้ โดยเฉพาะกับกลุ่ม ประเทศในอียู ทำให้การส่งออกยิ่งทรุดหนักทางออกของประเทศไทย คือ จะต้องมีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยีสูงและมี มูลค่าเพิ่มสูง เพื่อมาทดแทนและสนับสนุนให้การส่งออกเพิ่มขึ้น
5 นักท่องเที่ยวที่มีฐานะดี 3 ไม่เดินทางเข้ามาในประเทศ การท่องเที่ยวนับเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจเดียวที่ไทยยังหวังพึ่งได้นอกจาก การใช้จ่ายภาครัฐที่ สูง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แล้วเศรษฐกิจก็ยังไม่ กระตือรือร้นขึ้นรัฐบาลอาจจะลืมไปว่านักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพที่มีรายได้สูง จำนวนมากจะไม่มาท่องเที่ยวในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและยิ่ง ประเทศที่มีข่าวทั้งด้านลบและการละเมิดสิทธิอยู่บ่อยครั้งนักท่องเที่ยว ประเภทนี้จะไม่มาท่องเที่ยวอย่างแน่นอนนอกจากนี้บริษัทข้ามชาติใหญ่ที่ชอบ จัดสัมมนาในประเทศต่างๆรวมถึงจัดประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ที่เคยจะจัด ในประเทศไทยจนประเทศไทยเคยต้องเร่งสร้างศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ก็ ไม่มาจัดในประเทศไทยเพราะสาเหตุเดียวกันนี้ซึ่งทำให้ประเทศไทยขาดราย ได้จากนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพอย่างมาก
6 ความสามารถแข่งขันของ 4 ประเทศลดลง หลังจากการทำรัฐประหาร ความสามารถแข่งขันของไทยที่จัดอันดับโดย World Economic Forum (WEF) ได้ลดต่ำลง 2 ปีซ้อน และหากได้ เข้าไปดูในสาเหตุหลักในรายงานประจำปี WEF ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าผลมา จากความไม่มั่นคงของรัฐบาลและการรัฐประหาร 5 เศรษฐกิจไทยโต ต่ำกว่าศักยภาพมาก องค์การการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก ระบุชัดเจนว่า การเจริญ เติบโตของไทยต่ำกว่าศักยภาพมาก และเติบโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ทั้งนี้ รมว.คลังก็ออกมายอมรับเองว่าประเทศไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมาก สาเหตุหลักก็คงมาจากการลงทุนและการส่งออกที่ลดลงตามที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการทำรัฐประหาร
7 การสูญเสียโอกาสการ 6 เป็นผู้นำของอาเซียน โอกาสของประเทศไทยที่จะก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีราย ได้สูงคือการใช้ประโยชน์จากสถานที่ตั้งภูมิศาสตร์ของ ไทยที่เป็นศูนย์กลาง ประกอบกับการพัฒนาของ ประเทศไทยเช่น การค้าขาย การแลกเปลี่ยน ที่ก้าวหน้า กว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการจะเป็นศูนย์กลางและเป็น ผู้นำทางเศรษฐกิจได้ประเทศไทยจะต้องเป็นที่ยอมรับ ของนานาชาติ แต่ในปั จจุบันเนื่องจากสาเหตุของการรัฐประหาร นัก ลงทุนต่างประเทศต่างก็ย้ายหนีไปลงทุนประเทศอื่นกัน หมด โอกาสของประเทศไทยที่จะขึ้นเป็นผู้นำและ ศูนย์กลางของอาเซียนก็หดหายไปเรื่อย ๆด้วยผลกระทบ ดังกล่าวจึงทำให้รายได้ของประชาชนทั้งหมดของ ประเทศลดลงอย่างมาก ดังนั้นเราควรเร่งเข้าสู่ระบบการ ปกครองที่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติโดยเร็วที่สุด
8 ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกฝ่ายจัดต้องเปลี่ยนความคิด หันมาคิดใหม่ทำใหม่ยึดผล ประโยชน์ของชาติและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นหลักเพื่อให้ประเทศไทย ก้าวก้าวหน้าขึ้นไปเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทยและการ ปรับเปลี่ยนของโลก อ้างอิง https://www.matichon.co.th/columnists/news_390176 https://www.bbc.com/thai/thailand-57196551 https://www.blockdit.com/posts/60f6eb2a1b826b1b89 c14d02 http://iiu.isit.or.th/th/news/Content-1885.aspx http://thailandcompetitiveness.org/topic/detail/198 https://www.prachachat.net/finance/news-423167
จัดทำโดย ณิชชาวีณ์ รังสีเจริญเลิศ 6403081 กัญญาภัค ไชยศรี 6403391 ธันยา สุวงค์ 6403854 ศิวัชญ์ หงวนประเสริฐ 6406463 ปิยวัฒน์ ปิดตาระโพธิ์ 6406597 วณิชชา จัตวานิล 6406659
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: