Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Social Media (Nitipong Sakunar)

Social Media (Nitipong Sakunar)

Published by oat_tom, 2019-01-25 11:05:39

Description: หน้าปก รายงาน-merged

Search

Read the Text Version

การใช้ SOCIAL MEDIA ในการเรียนการสอน นำเสนอ ดร. วลิ ำวลั ย์ สมยำโรน สำขำวชิ ำหลกั สูตรและกำรสอน หลกั สูตรกำรศึกษำมหำบณั ฑติ มหำวทิ ยำลยั พะเยำ วทิ ยำเขตเชียงรำย

SOCIAL MEDIA ความหมายของ Social Media ให้ครูไทย พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมการใช้ social media ใน ราชบัณฑิตยสถาน (2554) ได้บัญญัติคาว่า “Social การจัดการเรียนรู้ โดยเล็งเห็นความสาคัญในการส่งเสริมและ ผ ลั ก ดั น ใ ห้ ค รู ส า ม า ร ถ น า เ ค รื่ อ ง มื อ อ อ น ไ ล น์ ท่ี มี อ ยู่ บ น ร ะ บ บ Media” ไว้ว่า “สื่อสังคม” หมายถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ให้เกิดเป็น สื่อกลางท่ีให้บุคคลท่ัวไปมีส่วนร่วมสร้างและแลกเปลี่ยนความ เครือข่ายและเกดิ ความรว่ มมือกันระหวา่ งครูกบั ครู นกั เรยี นกบั ครู คดิ เหน็ ตา่ ง ๆ ผ่านอินเทอรเ์ นต็ ได้ สือ่ เหล่าน้เี ปน็ ของบริษทั ตา่ ง ๆ และนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน โดยไม่มีข้อจากัดเร่ืองเวลา และ ให้บริการผ่านเว็บไซต์ของตน เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook), ไฮไฟฟ์ สถานท่ี ก่อให้เกิดการเรียนรู้แบบไม่มีที่ส้ินสุด (สานักเทคโนโลยี (Hi5) (อ่านว่า ไฮ-ไฟ้), ทวติ เตอร์ (Twitter), วิกิพเี ดยี (Wikipedia) เพอื่ การเรยี นการสอน, 2552) นับเปน็ ยคุ เว็บ 2.0 ท่นี ักการศึกษา ฯลฯ จาเป็นต้องตระหนัก เข้าใจ และเข้าถึงแหล่งเรียนรูท้ ี่สาคญั แห่งนี้ เพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันและอนาคต กานดา รุณนะพงศา สายแก้ว (ม.ป.ป.) อาจารย์ประจา อยา่ งหลกี เล่ียงไม่ได้ (Jeff Dunn, 2011) ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าว ว่า “มีเดีย (“Media”) หมายถึง ส่ือหรือเคร่ืองมือที่ใช้เพื่อการ โดยเครื่องมือท่ีทางสานักเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการ ส่ือสารโซเชียล (“Social”) หมายถึง สังคม และในบริบทของ สอน (สทร.) แนะนาให้ครูได้นาไปปรับใช้ ได้แก่ (การนา Social โซเชยี ลมเี ดยี โซเชยี ลหมายถึงการแบ่งปนั ในสงั คม ซึ่งอาจจะเปน็ Media มาใชใ้ นการจัดการเรียนรู้, 2556) การแบ่งปันเนื้อหา (ไฟล์, รสนิยม ความเห็น) หรือปฏิสัมพันธ์ใน 1) Facebook: คือ เว็บไซต์สาหรับให้ครูและนักเรียนสามารถ สังคม (การรวมกับเป็นกลุ่ม) เพราะฉะน้ัน โซเชียลมีเดียในท่ีน้ี ส่ือสารและแลกเปล่ียนความคิดเห็นซ่ึงกันได้ โดยการตั้งกลุ่ม หมายถึงส่ืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีทาให้ผู้ใช้แสดงความเป็นตัวตนของ รายวิชา เพื่อการส่ือสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูกับนักเรียน ตนเองเพื่อทจี่ ะมปี ฏิสมั พนั ธ์กบั หรอื แบ่งปนั ข้อมลู กบั บคุ คลอื่น” และนักเรยี นกบั นกั เรียน 2) WordPress: คือ เว็บไซต์สาเร็จรูปหรือบล็อก ที่นักเรียนและ สรุปได้ว่า โซเชียลมีเดีย หรือ สื่อสังคม หมายถึง ส่ือ ครูสามารถใช้สร้างบล็อกส่วนตัว หรือในแต่ละรายวิชาสาหรับ ดิจิทัลหรือซอฟแวร์ท่ีทางานอยู่บนพื้นฐานของระบบเว็บไซต์บน เผยแพร่บทเรียนในแต่ละรายวิชา หรือ สร้างปฏิสัมพันธ์กับ อินเทอร์เน็ต อันเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการทางสังคมท่ีมี นกั เรียนได้ ผู้จัดทาขึ้น โดยเม่ือผู้ส่งสารพบเจอเร่ืองราว เหตุการณ์ บทความ 3) YouTube: คือ เว็บไซต์ที่ใช้ ในการแบ่งปันไฟล์วิดีโอ ครู ประสบการณ์ รูปภาพ วิดโี อและเพลงต่าง ๆ จงึ นาขอ้ มลู เหลา่ นน้ั สามารถอัพโหลดและเผยแพร่วิดีโอการสอนผ่านเว็บไซต์ยูธูป ใช้ มาแบ่งปันกับผู้ใช้ในโลกออนไลน์ภายใต้เครือข่ายของตนได้รับรู้ วิดีโอที่มีอยู่บนเว็บไซต์เป็นส่ือในการเรียนการสอน และนักเรียน และใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถเผยแพร่ผลงานของตนเองให้เพ่ือน ๆ และครูได้แสดง (อรวรรณ วงศ์แก้วโพธ์ิทอง, 2553; Elizabeth F. Churchill, ความคิดเหน็ 2012) 4) Twitter: ใช้ในการส่ือสารข้อความสั้นๆ โต้ตอบกันได้อย่าง การประยุกตใ์ ชโ้ ซเชยี ลมีเดยี ในการจัดการเรยี นการสอน รวดเร็ว ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ สานัก เทคโนโลยเี พอื่ การเรียนการสอน ดาเนินการจัดอบรมเพ่ือกระตนุ้

SOCIAL MEDIA 5) SlideShare: ใชใ้ นการแบ่งบนั เอกสาร 1. Twitter เป็นส่ือสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆของการเรียนรู้ใน อย่างไรก็ตามส่ือโซเชียลมีเดียเหล่านี้ หากจาแนกหรือ ประเด็นทีส่ นใจสาหรับผูเ้ รยี น 2. ใช้ Twitter ในการถามตอบข้อสงสัยส้ันๆ (Quiz) หรือซักถาม จัดประเภทของลักษณะการใช้หรือการให้บริการแล้ว สามารถ ประเด็นปญั หาที่ผ้เู รียนสนใจ จาแนกไดด้ ังนี้ 3. เป็นแนวทางในการเสริมสร้างมโนทัศน์ (Track a Concept) 1. การตีพมิ พ:์ เช่น บล็อก, วิกพิ ีเดยี , เวบ็ รวมที่ให้ทกุ คนโพสตข์ ่าว โดยใช้ Twitter เป็นตัวเช่ือมโยงแนวคิดที่นาเสนอของผู้เรียน – หรือข้อความ ผสู้ อน 2. การแบ่งปัน: เช่น วิดโี อ, รปู ภาพ, ดนตรี, ลิงก์ 4. เป็นสื่อเชื่อมโยงด้านเวลา (Track Time) โดยสื่อ Twitter 3. การอภปิ ราย: เชน่ การเสวนา, โปรแกรมการสนทนาออนไลน์ สามารถเช่ือมโยงด้านเวลา รวมท้ังการกาหนดเวลาได้เหมาะสม 4. เครือข่ายสังคม: เครือข่ายสังคมโดยทั่วไป และเครือข่ายสงั คม สาหรับผ้ใู ช้ เฉพาะดา้ น 5. เป็นส่ือท่ีช่วยกาหนดปฏิทินหรือตารางการเรียนรู้ (Learning 5. การตีพิมพ์แบบไมโคร: เช่น ไมโครบล็อก Diary) โดยผู้เรียนสามารถจดั การและเก็บรวบรวมองคค์ วามรูจ้ าก 6. เครื่องมือที่รวมข้อมลู จากหลากหลายแหลง่ โซเชียลมเี ดยี เขา้ การใช้ Twitter ไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบตอ่ เนื่อง ด้วยกนั (Social Aggregation Tools) กล่าวโดยสรุปแล้ว สื่อสังคม หรือสื่อ Social Media แนวคดิ ในการปรบั ใชส้ ่ือโซเชยี ลมเี ดยี เพอ่ื การเรียนรู้ เป็นส่ือทางการศึกษาเรียนรู้ในยุคแห่งสังคมออนไลน์ที่กาลังก้าว แนวคิดสาหรบั Facebook เพอ่ื การเรียนการสอน รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในการปรับใช้ในวงการศึกษา ดังน้ันผู้ที่มี 1. ใช้ Facebook เสมือนหน่ึงเป็นการสร้างระบบบริหารจัดการ ส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ต้องตระหนักและมองเห็นความสาคัญต่อ ความรู้ (Use as Learning Management Systems: LMS) ส่ือดังกล่าวรวมทั้งการกาหนดแนวทางของการปรับใช้ให้ 2. ใช้ Facebook เพ่ือเป็นแหล่งสาหรับการสืบค้นอ้างอิง เหมาะสมกับสภาพการณท์ างสงั คมในปัจจบุ ัน ซ่ึง Social Media (Reference Citations) ใ น ห ล า ก ห ล า ย ป ร ะ เ ภ ท ท่ี ก ล่ า ว ถึ ง ใ น เ บื้ อ ง ต้ น นั้ น ค ง เ ป็ น 3. ใ ช้ ส า ห รั บ ก า ร ป ร ะ ก า ศ ห รื อ ป ร ะ ช า สั ม พั น ธ์ สื่อการศึกษาท่ีต้องเข้ามามีบทบาทสาคัญต่อการศึกษาเรียนรู้ใน (Announcements) สังคมอย่างแน่นอนจึงเป็นประเด็นสาคัญที่ทุกฝ่ายต้องตระหนัก 4. ใช้ในการส่ือสารข้อความภายหลังการสอนหรือจบบทเรียนใน และเตรยี มรบั การเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน ชน้ั เรยี น (Post Class Notes) 5. ใช้ในการอภิปรายกลุ่มเชิงสร้างสรรค์ (Create Group Discussions) แนวคดิ สาหรับ Twitter เพือ่ การเรยี นการสอน

Method of instruction วธิ ีการสอนในรปู แบบตา่ ง ๆ processes) ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ จากผลการศึกษาพบว่า ❖ Interactive Learning กับการเรยี นรใู้ นยุคสมยั ใหม่ ปัจจัยภายในมีส่วนช่วยทาให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย และความรู้เดิมมีส่วนเก่ียวข้องและเสริมสร้างความเข้าใจของ Interactive Learning คือ การศึกษาในแนวทางที่ ผู้เรียน แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม(Constructivism) ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนผ่านรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถ หรือ เรียกช่ือแตกต่างกันไป ไดแ้ ก่ สรา้ งสรรความรนู้ ิยม หรอื สรร \"ตอบโต้\" กับผู้เรียนได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า \"การเรียนรู้แบบตอบ สร้างความรู้นิยม หรือ การสร้างความรู้(โครงการพัฒนา โต้\" ซ่ึงหนึ่งในสว่ นประกอบสาคญั ของการเรยี นรู้แบบตอบโต้ก็คือ กระบวนการเรียนรู้, 2544) \"ข้อมูลข่าวสาร\" และรูปแบบในการออกแบบสอื่ การสอนใหด้ ึงดดู ใจผู้เรียน ทาใหเ้ กิดความรูส้ กึ อยากเรยี นรมู้ ากข้นึ ไปอกี จากการศึกษาแนวคดิ เกีย่ วกับคอนสตรคั ตวิ ิสซึม สรุป เป็นสาระสาคญั ไดด้ ังนี้ โดยการเรยี นรู้แบบตอบโตน้ ัน้ ผเู้ รยี นสามารถเรียนรผู้ า่ น สื่อต่าง ๆ ผ่านการใช้คอมพิวเตอร์ สมารท์ โฟน แทป็ เล็ต เครอื ขา่ ย 1. ความรู้ของบุคคลใด คือ โครงสร้างทางปัญญาของ สังคมออนไลน์ ที่สามารถทาให้เกิดการตอบโต้กันระหว่างผู้เรียน บุคคลน้ันท่สี ร้างขึ้นจากประสบการณ์ในการคลคี่ ลายสถานการณ์ และผู้สอนได้อย่างสะดวกสบาย และในปัจจุบันการเรียนรู้ใน ท่ีเป็นปัญหาและสามารถนาไปใช้เป็นฐานในการแก้ปัญหาหรือ รูปแบบนี้มักจะเจริญเติบโตตามเทคโนโลยีดิจิตอล ที่พัฒนาขึ้น อธบิ ายสถานการณ์อืน่ ๆ ได้ อย่างมากในโลกยุคปัจจบุ ัน (Tapscott, D (1998). Growing Up Digital: The Rise of the Net Generation. New York: 2. นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีการที่ต่าง ๆ กัน McGraw-Hill.) โดยอาศัยประสบการณ์และโครงสรา้ งทางปญั ญาทมี่ อี ยู่เดิม ความ สนใจและแรงจงู ใจภายในตนเองเปน็ จดุ เริ่มต้น จากการศึกษาเรื่องราวของการเรียนรู้แบบตอบโต้น้ัน หน่ึงในแนวทางท่ีใช้ในการเรียนรู้ก็คือ \"การเรียนรู้ผ่านมือถือ\" 3. ครูมีหน้าท่ีจัดการให้นักเรียนได้ปรบั ขยายโครงสรา้ ง หรือ Mobile Learning ท่ีมีผู้ที่ศึกษาแนวทางนี้อย่างกว้างขวาง ทางปญั ญาของนักเรยี นเอง ภายใต้ ขอ้ สมมตฐิ านต่อไปน้ี และน่าสนใจเปน็ พเิ ศษ เนอ่ื งจากการเรียนรผู้ ่านมือถอื ยคุ ใหม่เป็น ส่วนท่ีทาให้เกิดแรงจูงใจกับผู้ เรียนโดยเฉพาะเดก็ และเยาวชนที่ 3.1 สถานการณ์ที่เป็นปัญหาและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ใกล้ชิดการเคร่ืองมืออิเล็กโทรนิกส์ประเภทโทรศัพท์มือถือยุค กอ่ ให้เกดิ ความขดั แยง้ ทางปัญญา ใหม่ (Smart Phone) ค่อนขา้ งมาก และโดดเดน่ 3.2 ความขัดแย้งทางปัญญาเป็นแรงจูงใจภายในใหเ้ กิด ❖ ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรคั ตวิ ิซึม กิจกรรมการไตร่ตรองเพ่ือขจัดความขัดแยง้ นั้น Dewey ไดอ้ ธิบาย ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Theory) เปน็ เกี่ยวกับลักษณะการไตร่ตรอง(Reflection) เป็นการพิจารณา อยา่ งรอบคอบ กจิ กรรมการไตรต่ รองจะเริม่ ต้นด้วยสถานการณ์ท่ี ทฤษฎีท่ีว่าด้วยการสร้างความรู้ ได้มีการเปล่ียนจากเดิมที่เน้น เปน็ ปญั หา นา่ สงสยั งงงวย ยุ่งยาก ซับซอ้ น เรียกวา่ สถานการณ์ การศึกษาปัจจัยภายนอกมาเป็น สิ่งเร้าภายใน ซ่ึงได้แก่ ความรู้ ก่อนไตร่ตรอง และจะจบลงด้วยความแจ่มชัดที่สามารถอธิบาย ความเข้าใจ หรือกระบวนการรู้คิด กระบวนการคิด(Cognitive สถานการณด์ ังกล่าว สามารถแกป้ ัญหาได้ ตลอดจนได้เรยี นร้แู ละ พึงพอใจกบั ผลท่ีไดร้ ับ

3.3 การไตร่ตรองบนฐานแห่งประสบการณ์และ 3. สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ทสี่ มั พนั ธก์ ันในแต่ละศาสตรส์ าขาวชิ า โครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดมิ ภายใตก้ ารมปี ฎิสมั พันธ์ทางสังคม และทาแผนการเรียนรู้ กระตุน้ ให้มีการสร้างโครงสรา้ งใหม่ทางปัญญา ❖ การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem จากแนวคิดข้างต้นนี้กระบวนการเรียนการสอนในแนว based learning) คอนสตรัคติวิสซึม จึงมักเป็นไปในแบบที่ให้นักเรียนสร้างความรู้ จากการช่วยกันแก้ปัญหา (Cooperative problem solving) แนวคดิ กระบวนการเรียนการสอนจะเรมิ่ ต้นด้วยปัญหาท่ีก่อให้เกิดความ เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ท่ีเร่ิมต้นจากปัญหาท่ี ขัดแย้งทางปัญญา (Cognitive conflict) น่ันคือประสบการณ์ และโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดิม ไม่สามารถจัดการแก้ปัญหา เกิดข้ึนโดยสรา้ งความรู้จากกระบวนการทางานกล่มุ ตัวปัญหาจะ น้ันได้ลงตัวพอดีเหมือนปัญหาที่เคยแก้มาแล้ว ต้องมีการคิดค้น เป็นจุดต้ังต้นของกระบวนการเรียนรู้ และเป็นตัวกระตุ้นการ เพิ่มเติมท่ีเรียกว่า “การปรับโครงสร้าง” หรือ “การสร้าง พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยเหตุผล และการสืบค้นหาข้อมูล โครงสร้างใหม่” ทางปัญญา (Cognitive restructuring) โดยการ เพอื่ เขา้ ใจกลไกของตวั ปัญหา รวมทัง้ วิธกี ารแก้ปญั หา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ถกเถียงปัญหา ซักค้านจนกระท่ังหา ขั้นตอนการจดั การเรยี นรู้ เหตุผล หรือหลักฐานในเชิงประจักษ์มาขจัดความขัดแย้งทาง 1. ขั้นที่ 1 กาหนดปัญหาจดั สถานการณต์ ่าง ๆ กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี น ปัญญาภายในตนเอง และระหวา่ งบคุ คลได้ (ไพจติ ร, 2543) เกิดความสนใจ มองเห็นปัญหากาหนดสิ่งท่ีเป็นปัญหาที่ผู้เรียน อยากรู้อยากเรยี น และเกิดความสนใจทจี่ ะค้นหาคาตอบ ❖ การสอนแบบบูรณาการ (Integration Instruction) 2. ทาความเข้าใจกับปัญหา ผู้เรียนจะต้องสามารถอธิบายสิ่งต่าง เป็นการสอนที่นาเอาศาสตร์สาขาวิชา ต่าง ๆท่ีมี ๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ กับปญั หาได้ 3. ดาเนินการศึกษาค้นคว้า กาหนดสิ่งที่ต้องการเรียนและ ความสัมพันธเ์ กย่ี วข้องกันเขา้ มาผสมผสานกันเพือ่ ใหเ้ กิดความรู้ที่ ดาเนนิ การศึกษาค้นควา้ อย่างหลากหลาย หลากหลายและสอดคล้องกับชีวิตประจาวัน จุดเน้นของการบูร 4. สังเคราะห์ความรู้ ผู้เรียนนาความรู้ท่ีได้ค้นคว้ามาแลกเปลี่ยน ณาการคือการองค์รวมของวิชามากกว่ารายละเอียดของวิชา เรยี นรู้ร่วมกัน อภปิ รายผลและสงั เคราะหค์ วามรทู้ ไ่ี ดม้ าวา่ มีความ การบูรณาการจาแนกเป็นบูรณาการตามจานวนผู้สอน ได้แก่ เหมาะสมหรือไม่ บูรณาการแบบผสู้ อนคนเดียว แบบคู่ขนาน แบบเป็นทีม บูรณา 5. สรุปและประเมินค่าของคาตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มสรุปสรุป การตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ และบูรณาการแบบสหวิทยาการ ผลงานของกลมุ่ ตนเอง ประเมินผลงานว่าขอ้ มลู ที่ได้ศึกษาคน้ ควา้ และแบบพหวุ ิทยาการ ขน้ั ตอนของการบูรณาการมี ดังนี้ มีความเหมาะสมเพียงใด โดยการตรวจสอบแนวคิดภายในกลุ่ม 1. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาพรวม และวิเคราะห์ ของตนเองอย่างอิสระ ทุกกลุ่มร่วมกนั สรปุ องคค์ วามรูใ้ นภาพรวม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน จากนั้นจึงกาหนดสาระการเรียนรู้ ของปัญหาอีกครั้ง และผลการเรยี นรูท้ ี่คาดหวัง 2. จัดทาคาอธบิ ายรายวชิ าและหน่วยการเรียนรู้

6. นาเสนอและประเมินผลงาน ผู้เรียนนาข้อมูลท่ีได้มาจัดระบบ ปกติได้ อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆเช่น การเข้าร่วมกิจกรรม องคค์ วามรู้และนาเสนอในรูปแบบผลงานท่ีหลากหลาย ผู้เรียนทุก การป่วย หรือเน้ือหาบทเรียนยากและตอ้ งใช้เวลาในการทาความ คนและผเู้ กี่ยวข้องกบั ปัญหา รว่ มกนั ประเมนิ ผลงาน เข้าใจอย่างมาก เวลาในห้องเรียนไม่เพียงพอ จึงเกิดการคิดหา แนวทางในการแก้ไขหาทางออก โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้า ประโยชน์ ช่วย และใช้เทคโนโลยีท่ีนกั เรียนสามารถเข้าถึง และมีอุปกรณใ์ น มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการ การเข้าถึงได้ง่าย น่ันคือ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต เปน็ ต้น ดว้ ยวธิ ีการถ่ายคลิปวีดีโอการเรยี นการสอน และอพั โหลด เรยี นรู้ และพัฒนาผ้เู รียนใหส้ ามารถเรยี นรู้โดยการช้ีนาตนเอง ซงึ่ เข้าในระบบ นักศึกษาสามารถที่จะเข้าไปเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุก ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิด สถานทท่ี ีม่ ีอินเตอรเ์ น็ต ดว้ ยการแกป้ ญั หาอย่างมคี วามหมายตอ่ ผเู้ รียน ห้องเรียนกลับด้านเป็นการแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยี ❖ การเรียนรูแ้ บบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped classroom) เข้าช่วย นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองท่ีนอกห้องเรียน และเม่ือเข้าห้องเรียน นักเรียนจะมีข้อซักถาม และมีเวลาในการ ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็นการ ทาความเข้าใจมากขึ้น ซ่ึงหมายความว่า การเรียนในลักษณะน้ี จัดการเรียนการสอนที่ถูกคิดค้นข้ึนจากประสบการณ์ของคุณครู เป็นการพลิกกลับห้องเรียน กล่าวคือ ในการเรียนทั่วไปนั้น ชาวสหรฐั อเมรกิ าช่อื Jonathan Bergman & Aaron Sams สอน นกั เรยี นจะไดเ้ รียนร้ใู นห้องเรยี น และกลับไปทาแบบฝึกหัดท่ีบ้าน ท่ีโรงเรียน Woodland Park High School ซึ่งครูทั้งสองคนสอน หากนักเรียนทาแบบฝึกหัดและไม่เข้าใจในบทเรียนจะไม่สามารถ วิชาคมี และได้ทาการเขียนหนังสือเก่ียวกับแนวคิดการสอน ถามใครได้ นอกจากคนในครอบครัว แต่หากเป็นการพลิกกลับ ห้องเรยี นกลับด้านในชือ่ Flip Your Classroom : Reach Every ห้องเรียน กระบวนการจะเกิดการสลับด้าน กล่าวคือ นักเรียนจะ Student in Every Class Every Day แนวคิดของคุณครูทั้งสอง ไดเ้ รยี นรูท้ ่ีบ้าน และทาการบ้านทห่ี อ้ งเรยี นเพื่อเพม่ิ ความเข้าใจ ท่านนี้เกิดขึ้นมาจากการที่นักเรียนไม่สามารถเข้าเรียนในเวลา ❖ วิธสี อนแบบศกึ ษาด้วยตนเอง (Self-Study Method) วิธีสอนแบบศึกษาด้วยตนเอง เป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้จากแหล่งวิชาด้วยตนเอง ได้แก่ การศึกษาจากหนังสือและการศึกษานอกสถานที่ การสอนวิธีนี้ บางคร้งั เรียกวา่ วิธี Problem Solving หรือ Discovery Method ความมุ่งหมายของวิธสี อนแบบศกึ ษาดว้ ยตนเอง 1. เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ภายใต้การดูแลและ การแนะนาของครู เพือ่ ให้

นักเรียนได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยการแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม 3. เพ่อื สง่ เสรมิ การศึกษาค้นคว้าแทนการจดจาจากตารา ยอ่ ย และหาข้อสรุป ข้ันตอนของวธิ ีสอนแบบปฏิบัตกิ ารหรอื การทดลอง 1. ขั้นกลา่ วนา ข้ันตอนของวิธีสอนแบบศกึ ษาดว้ ยตนเอง 2. ขน้ั เตรียมดาเนนิ การ 1. จัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรืออาจเป็นผู้เรียนคนเดียว 3. ข้ันดาเนินการทดลอง ศึกษาคน้ คว้าตามลาพัง 4. ข้นั เสนอผลการทดลอง 2. ครูกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นหรืออภิปรายและให้ 5. ข้ันอภิปรายและสรปุ ผล คาแนะนาให้มีการร่วมมือกันในการวางแผนท่ีจะศึกษาคน้ คว้าใน เร่ืองต่าง ๆ ดูแลและให้ความช่วยเหลือในการศึกษาของนักเรียน แต่ละคน จัดหาและเสนอแนะแหล่งความรู้ ได้แก่ วัสดุ หนังสือ และส่ิงพิมพ์อ่ืน ๆ ท่ีนักเรียนต้องใช้ รวมท้ังอาจแนะนาให้หา ความรู้ไดจ้ ากการสัมภาษณ์บคุ คลภายนอกโรงเรียน 3. หลังการแสดงความคดิ เหน็ และปฏิบัตกิ จิ กรรมท่เี น้นการเรยี นรู้ ดว้ ยตนเองแลว้ นกั เรียนเขยี นรายงานผลการวินิจฉยั ปัญหา ❖ วิธีสอนแบบปฏิบัติการหรือการทดลอง (Laboratory Method) วิธีสอนแบบปฏิบัติการหรอื การทดลอง เป็นวิธีสอนท่ีครูเปิด โอกาสให้นักเรียนลงมือปฏิบัติหรือทาการทดลองค้นหาความรู้ ด้วยตนเอง ทาให้เกิดประสบการณ์ตรง วิธีสอนแบบปฏิบัติหรือ การทดลองแตกต่างจากวิธีสอนแบบสาธิต คือ วิธีสอนแบบ ปฏิบัติการหรือการทดลองผู้เรียนเป็นผู้กระทาเพ่ือพิสูจน์หรือ ค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ส่วนวิธีสอนแบบสาธิตน้ันครูหรือ นักเรยี นเปน็ ผสู้ าธิตกระบวนการและผลทไี่ ด้รบั จากการสาธิต เม่ือ จบการสาธิตแล้วผู้เรียนตอ้ งทาตามกระบวนการและวิธีการสาธิต นัน้ ความมุ่งหมายของวธิ ีสอนแบบปฏิบัติการหรือการทดลอง 1. เพ่ือให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติหรือทดลองค้นหาความรู้ด้วย ตนเอง 2. เพอ่ื ส่งเสริมการใช้ประสบการณ์ตรงในการแกป้ ญั หา

SOCIAL M

MEDIA

ตารางสงั เค Social Medi การ

คราะหก์ ารใช้ ia ในการเรยี น รสอน 2

3 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

3 ial Media ในการเรยี นการสอน

4 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

4 ial Media ในการเรยี นการสอน

5 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

5 ial Media ในการเรยี นการสอน

6 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

6 ial Media ในการเรยี นการสอน

7 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

7 ial Media ในการเรยี นการสอน

8 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

8 ial Media ในการเรยี นการสอน

9 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

9 ial Media ในการเรยี นการสอน

10 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

0 ial Media ในการเรยี นการสอน

11 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

1 ial Media ในการเรยี นการสอน

12 ตารางสงั เคราะหก์ ารใช้ Soci

2 ial Media ในการเรยี นการสอน

การใช้ Soc ในการเรยี

cial Media ยนการสอน 13

14 การใช้ Social Media

4 ในการเรยี นการสอน

15 การใช้ Social Media

5 ในการเรยี นการสอน

ตารางรวมการสงั เครา

าะห ์ 16

สรุปตารางรวมการสงั เคร จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการนา ตา่ งประเทศ จานวน 10 เรือ่ ง พบวา่ การจดั การเรียนรทู้ ใี่ ช้ Fac เรยี นรู้แบบบูรณาการ (Integration Instruction) การเรียนด วิสซึม (Constructivism) และ การเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ ( Classroom จานวน 2 ลักษณะ ได้แก่ การเรียนรู้แบบห้องเรีย (Self-Study Method) และที่ใช้ CAI จานวน 2 ลักษณะ กระบวนการเรยี นรู้แบบบูรณาการ (Integration Instruction) เรียนรแู้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem based learning) ก ตนเอง (Self-Study Method) การใช้ E-learning จานวน (Laboratory Method)และ การใช้ E-Book จานวน 1 ลักษ

ราะห ์ า Social Media มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนทั้งในและ 17 cebook ในการเรยี นการสอนมี 4 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ กระบวนการ ด้วยตนเอง (Self-Study Method) การสอนแบบคอนสตรัคติ (interactive) ลาดับถัดไป การจัดการเรียนรู้ท่ีใช้ Google ยนกลับด้าน (Flipped classroom) และ การเรียนด้วยตนเอง ะ ได้แก่ การเรียนด้วยตนเอง (Self-Study Method) และ ) มีการใช้ Web Blog จานวน 1 ลักษณะ ได้แก่ การจัดการ การใช้ Video Sharing จานวน 1 ลกั ษณะ ได้แก่ การเรียนด้วย 1 ลักษณะ ได้แก่ วิธีสอนแบบปฏิบัติการหรือการทดลอง ษณะ ได้แก่ การเรียนด้วยตนเอง (Self-Study Method)

จ ร น ม ส

จดั ทาโดย นายนิตพิ งษ ์ สกณุ า รหสั ประจำตวั นิสติ 61170579 นิสติ ชนั้ ปี ที่ 1 หลกั สตู รกำรศกึ ษำ มหำบณั ฑติ สำขำหลกั สตู รและกำร สอน 18


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook